Chapter 11 Nephew
สุริยะ หยางใช้เวลาว่างอันเหลือเฟือเอนตัวพิงหมอนอิงให้อาหารปลาคาร์ฟ เสื้อคลุมผ้าไหมร่วงหล่นลงจากไหล่เผยให้เห็นรอยสักรูปพระอาทิตย์ แขนข้างหนึ่งพิงหมอนอิง เข่าข้างหนึ่งยกขึ้น ฉากหลังเป็นตัวบ้านแบบจีนกลมกลืนไปกับการตกแต่งแบบสมัยใหม่
มุมปากยกยิ้มพึงพอใจเมื่อเหล่าปลาลูกรักกินอาหารกันดีเหลือเกิน เลี้ยงอะไรก็อยากให้อ้วน พอเห็นปลาอ้วนก็ดีใจ การลงทุนไม่สูญเปล่า
ก่อนคิ้วเข้มจะขมวดเล็กน้อยเมื่อนึกถึงช่วงอาทิตย์ก่อนที่เพิ่ง ‘กำจัด’ คนล้างบ่อตัวปลอมทิ้งไป ดีนะสัตวแพทย์มาตรวจแล้วลูกๆ เขาปลอดภัยกันทุกตัว
ส่ายหัวเบาๆ สลัดอารมณ์คุกกรุ่นออกไป ก่อนจะหันไปมองตุ๊กตากระต่ายตัวใหญ่ที่นั่งอยู่เลยปลายเท้าไปหน่อย ปั้นชา...กระต่ายที่ซื้อให้กันติชา อุตส่าห์หวังว่าคนน่ารักของเขาจะหลงใหลได้ปลื้มหิ้วตุ๊กตาไปนั่นมานี่ คิดภาพแล้วก็พึงพอใจยิ่งนัก
แต่เปล่า...กันติชาไม่ได้ชอบไอ้หูยาวนี่เท่าไหร่ กอดบ้างเป็นบางที แถมชอบเตะมันลงไปนอนกับพื้น ไล่มันไปนอนโซฟาบ้าง
ตุ๊กตาที่อุตส่าห์สั่งซื้อมาอย่างดี เลือกตัวที่นิ่มที่สุด วัสดุดีที่สุด....ดันไม่โปรด แถมไม่หิ้วกลับไทยไปด้วยทั้งๆ ที่อุตส่าห์คาดหวังว่ากันติชาจะเอาไปนอนกอดจะได้คิดถึงกัน
กลายเป็นเขานอนกอดตุ๊กตาเพราะคิดถึงอวิ๋น มันก็ไม่เหมือนอวิ๋นเท่าไหร่แต่ก็จะพยายามหลับหูหลับตากอดๆ ไปแก้ขัด เขาไม่ชินจะนอนคนเดียวไปแล้ว แล้วเมื่อไหร่อวิ๋นจะกลับมา?
โทรไปหาก็คุยแต่เรื่องหลาน! เจิ้นอย่างนั้น อย่างนี้ เจิ้นสอบได้ที่หนึ่ง เจิ้นแข่งวิ่งชนะงานกีฬาสี เจิ้นเลี้ยงนก เด็กห้าขวบอะไรจะเก่งปานนั้น
มือหนายกขึ้นกดคิ้วตัวเองให้คลายออก อากาศเย็นกำลังดีอย่าหัวเสียจะดีกว่า สักพักกลิ่นชาหอมๆ ก็ลอยเข้ามา...นี่ก็อีกคน ตัวน่ารำคาญ
“ชาครับหยาง”
“ว่าง?”
“น้อยกว่าคุณ”
“เหอะ...”
สุริยะ หยางรับถ้วยชาขึ้นจรดเรียวปาก เสียงพึมพำดังแผ่วเบาในลำคอด้วยความพอใจ ชาดี...สมราคา
หลังจากทำธุระที่ปักกิ่งเสร็จ ชีวิตก็เข้าสู่ลูปว่างงาน นั่งดูโครงสร้างพิพิธภัณฑ์ ตรวจบัญชีนับเงินนับทอง ถึงจะไม่ได้บริหารแต่เรื่องบัญชียังไงก็ต้องตรวจเอง เกิดรวมหัวกันโกงเขาขึ้นมาอดใช้ชีวิตขี้เกียจไปตลอดแน่ๆ
“ช่วงนี้ทองคำราคาลง คุณจะซื้อไว้ไหม?”
“อยากให้ฉันตายไวหรือไง ซื้อทองมาตุนไว้เดี๋ยวก็หาว่าอยากจะสร้างอำนาจ ว่าแต่...เท่าไหร่นะ?”
นิสัยชอบของสวยๆ งามๆ ราคาแพงมันแก้ไม่หาย
“ซื้อไว้ไม่เป็นไรหรอกครับหยาง เราซื้อผ่านคนกลาง”
“ถ้านายโดนเก็บฉันไม่เกี่ยวนะชิวซี”
ชิวซีมีเพียงรอยยิ้มสุภาพส่งกลับมาให้ รอยยิ้มแบบนี้ล่ะที่ไม่อยากจะคบค้าสมาคมด้วยแต่ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ บนนี้ไม่มีใคร ไม่คุยกับมันก็ต้องคุยกับปลาแล้วล่ะ
“เกรดอวิ๋นออกยัง?”
“ออกแล้วครับ ท็อปคณิตศาสตร์ เขาคงทำบัญชีเก่งจริงๆ”
“ดี ต่อไปจะโยนให้อวิ๋นทำ”
“คุณไว้ใจ?”
“ยังไงนายกับเลขาฉันก็ตรวจอีกทีอยู่ดี คนทั้งโลกนี้อาจจะทรยศฉันได้ แต่นายกับเลขาห้าคนนั่นคงไม่มีทาง เพราะถ้าฉันตาย รัฐบาลคงไม่ปล่อยพวกนายไว้หรอก ถ้ายังอยากทำผลงาน ก็เอาบัญชีไปทำซะนะ”
สุริยะ หยางยกยิ้มกวนประสาท การเอาคืนเล็กๆ น้อยๆ ก็เป็นความรื่นรมย์ชั่วครั้งชั่วคราว และร่างหนาก็ดันตัวขึ้นขยับสาปเสื้อมัดจนเรียบร้อย หิ้วหูกระต่ายเดินเข้าบ้าน
ชิวซีมองตามแผ่นหลังกว้างกับกระต่ายที่ห้อยต่องแต่งแล้วก็ถอนหายใจปลงๆ หยางเป็นมนุษย์เอาแต่ใจติดอับของประเทศก็ว่าได้ แต่ก็ช่วยไม่ได้เพราะหยางเป็น ‘คนโปรด’
“ไปอีกแล้วหรอ”
“ใช่ เดี๋ยวปิดเทอมหน้ามาใหม่”
เจิ้นเม้มปากแน่นจนผมใจหาย การใช้เวลาหลายวันอยู่กับหลานทำให้ไม่อยากกลับไป แต่ไม่ได้เพราะมันเป็นหน้าที่และพี่ซันก็รออยู่
มือป้อมดึงตัวต่อเลโก้ออกจากมือผมไปแปะยอดปราสาท เลโก้ที่เราต่อกันหลายวันเสร็จลงในที่สุด เจิ้นชอบของเล่นที่ต้องใช้สมาธิ ใช้ความคิด ไม่ได้มีใครบังคับแต่เจ้าตัวเขาชอบเอง เป็นเจ้าเด็กห้าขวบกว่าๆ ตัวแสบ
“เดี๋ยวลืมกลับมา”
“เจิ้นก็ไปหาน้าที่จีนสิ ดีไหม? ไปเจอหยางด้วย”
ผมเล่าเรื่องพี่ซันให้เจิ้นฟังหลายอย่าง แน่นอนว่าข้ามเรื่องระหว่างเราไป เจิ้นยังเด็กเกินกว่าจะเข้าใจอะไรพวกนี้ จริงๆ ผมก็ยังเด็ก แต่สิ่งที่พี่ซันทำ สิ่งที่ผมทำ...ที่เราทำด้วยกัน มันทำให้ผมกลายเป็นเด็กแก่แดด
“ไม่อยากเจอ อยากเจอแค่น้าตอง”
น่าปลื้มใจที่หลานชายคนเดียวหวงน้า เจ้าอ้วนเป็นเด็กขี้หวงตัวจริง เด็กชายเจิ้น เยว่! ค่อยคุ้มที่เลี้ยงมาหน่อย
“มาให้ได้ก่อนเถอะ เดี๋ยวไปรับที่สนามบินเลย พาไปดูปลาด้วย มีปลาเยอะแยะ”
“ไม่มีนกหรอ?”
“มีแต่ปลา ปลาอยู่บนดาดฟ้า”
“ปลาอะไรอยู่บนดาดฟ้า ปลาต้องอยู่ในน้ำสิ ทิชเชอร์บอก”
“ก็บ่อปลาอยู่บนดาดฟ้า ปลาก็เลยอยู่บนดาดฟ้า”
โลกของเจิ้นยังไม่กว้างเท่าไหร่ บางครั้งเหตุผลของเด็กๆ ก็น่ามันเขี้ยว แต่ก็เถียงไม่ออกจริงๆ นั่นแหละว่าปลาต้องอยู่ในน้ำ เจ้าอ้วนเจิ้นก็เถียงซะจริงจัง
“บ้านน้าตองที่จีนแปลกจัง”
“ใช่ แปลกมาก มีแจกันหน้าตาน่าเกลียดด้วย”
“ทำไมน้าตองชอบบอกว่าหยางมีแต่ของน่าเกลียด มันก็ต้องไม่น่าอยู่สิ คนอะไรชอบของน่าเกลียด แต่น้าตองเคยบอกว่าหยางชอบน้าตอง น้าตองก็น่าเกลียดหรอ?”
แล้วเส้นความหมั่นไส้ของผมก็ขาดผึง เจ้าหลานตัวแสบบบบบบบ ขอขย้ำพุงสักทีเหอะ!
พอถึงคืนสุดท้ายต้องไปจริงๆ เจิ้นก็เป็นหลานนิสัยดีขึ้นมาแบบผิดหูผิดตา เราจูงมือกันทั้งวันแถมเจ้าอ้วนยังหิ้วหมอนผ้าห่มมานอนด้วย
“น้าตองโทรหาทุกวันด้วยนะ”
“ก็โทรเกือบทุกวันแล้ว บางวันเจิ้นมีเรียนพิเศษไม่ได้โทรไง”
นอกจากใช้เวลาใส่ใจพี่ซันมากเกินความพอดี ผมก็โทรหาเจิ้นบ่อยๆ เราเป็นน้าหลานที่สนิทกัน ช่วงนี้พี่ซันก็บ่นว่าเล่าแต่เรื่องหลานให้ฟัง ก็มีเจ้าอ้วนคนเดียวจะให้เล่าเรื่องใครทีพี่ซันยังเล่าแต่เรื่องปลา
มิสเตอร์หยางชอบปลาคาร์ฟของเขามาก มากขนาดมีรูปปลาคาร์ฟวาดเลียนแบบหยินหยางอยู่บนหัวเตียง แถมยังเรียกว่าลูกๆ จนอยากจะขำ
แต่เริ่มใกล้วันกลับพี่ซันก็ชักงอแงอ่ะ นี่มาแค่สิบวันนะถ้ามาเป็นเดือนสงสัยเป็นพระอาทิตย์งุ่นง่าน แต่ผมเองก็นอนไม่ค่อยหลับเหมือนกัน
มันไม่ชิน...ไม่มีอ้อมกอดอุ่นๆ ของพี่ซัน แต่ยังดีได้หลานมาแทน แต่มันก็ไม่เหมือน...ไม่มีใครแทนใครได้ พี่ซันก็คือพี่ซัน เจิ้นก็คือเจิ้น
“น้าตองต้องกินเยอะๆ นะ จะได้ไม่โดนลมพัดปลิว”
หลอกหลานเอาไว้ว่าบ้านพี่ซันลมแรง เดินไม่ระวังจะโดนลมพลัดตกได้
“อ้วนแบบเจิ้นใช่ไหม? เตะทีสะพานหัก”
“แข็งแรงกว่าน้าตองแล้วกัน”
“แล้วมีแฟนยัง? ที่โรงเรียนมีสาวๆ มาชอบไหม ตอนน้าเรียนอนุบาลมีแฟนตั้งสิบคน”
“มีคนมาชอบ แต่ผมไม่ชอบหรอก ต้องเลี้ยงนก ต้องเรียนพิเศษ ต่อไปเลี้ยงลูกน้าตองอีก”
เจ้าอ้วนเป็นเด็กจริงจังจริงๆ ! ตระกูลเยว่ได้ว่าที่เจ้าบ้านคนใหม่ที่เป็นเด็กหน้านิ่วคิ้วขมวดตั้งแต่ห้าขวบครึ่ง ทั้งขำทั้งโมโห เด็กอะไร้ภาระเยอะแยะ
“ช่ายยย ดีมากกกก พอน้ามีลูกเจิ้นก็ต้องจูงมือน้องไปโรงเรียนแบบที่น้าทำด้วย”
“น้าตองจะมีน้องเมื่อไหร่ อยากจูงน้องไปโรงเรียนแล้ว เป็นผู้หญิงไหม หรือว่าผู้ชาย?”
“อืม...นั่นสิ สงสัยต้องจับฉลากว่าได้ผู้หญิงหรือผู้ชาย”
“จับที่ไหนอ่ะ?”
“งานวัดไง ล้วงไห รางวัลใหญ่ได้ลูกหนึ่งคน”
“โม้ตลอดอ่ะ รางวัลใหญ่มีแต่ตุ๊กตา”
อันนี้หลอกไม่สำเร็จแฮะ เจ้าอ้วนรู้ทัน แย่จัง
“ไม่ค่อยตื่นเต้นเลยนะครับ”
ตาคมปรายตามองบอดี้การ์ดคนสนิท ก่อนจะทำเป็นไม่ได้ยิน พวกเสียงนกเสียงกาจะมาขัดอารมณ์ต้อนรับเมียกลับบ้านของเขาไม่ได้หรอก
“ตื่นมาโกนหนวดแต่เช้า กลัวอวิ๋นโกนให้”
นี่ก็ไอ้คนข้างบ้านน่ารำคาญ ทำไมรอบตัวเขามีแต่คนน่ารำคาญ ไล่ไปไหนก็ไม่ได้ มีแค่อวิ๋นคนเดียวได้ไหม? เจ้าพวกนี้ไม่เจริญหูเจริญตาเอาซะเลย
“เขยิบออกไป รำคาญ”
ระยะส่วนตัวที่ขอได้ก็อย่างกับในหนังจีนที่ขันทีนางกำนัลจะเขยิบออกไปประมาณหนึ่ง ไม่ใช่เพราะเขาเป็นจักรพรรดิพระอาทิตย์ แต่เพราะกลัวไกลกว่านี้จะคาดสายตา พระอาทิตย์โดนฆ่า หาคนมาทำงานแทนไม่ได้อีก
ไฟลท์บินของกันติชาจะถึงเซี่ยงไฮ้ในอีกครึ่งชั่วโมง มีทางออกพิเศษสำหรับผู้โดยสารเฟิร์สคลาสแล้วไหนจะบริการพิเศษสำหรับกันติชาอีกที่เขาซื้อให้ ในฐานะผู้ปกครองก็มีห้องรับรองให้รอรับเหมือนกัน
ครึ่งชั่วโมงยาวนานเหมือนครึ่งวันในที่สุดคนตัวเล็กในชุดเสื้อโค้ทกันหนาวก็เดินตามพนักงานของสารการบินออกมา ใบหน้าแสนคิดถึงยิ้มกว้างแล้วโผเข้ามาในอ้อมกอด
ความกังวลต่างๆ ว่าสภาพอากาศหรืออุบัติเหตุอาจจะทำให้เขาเสียก้อนเมฆก้อนนี้หายวับไปทันที มือหนาดันคนตัวเล็กออกก่อนจะกวาดตามองตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วก็หงุดหงิด
มือเล็กเย็นจนซีด แถมแก้มแดง จมูกแดง หูแดง กันติชาเป็นมนุษย์ขี้หนาวของแท้แล้วไหนถุงมือ? ไหนผ้าพันคอ? ไหนหมวก? สารพัดที่บังคับให้ใส่หายไปไหน?
“อวิ๋น ถุงมือ? ผ้าพันคอ หมวก?”
“อยู่ในกระเป๋าครับ อยากเจอพี่ซันไวๆ เลยรีบออกมา”
ยังไม่ทันดุเจ้าตัวก็หันหลังให้ช่วยเปิดกระเป๋าเป้ เลยต้องรีบหยิบไอเทมกันหนาวออกมา
“อย่าปล่อยให้ตัวเองหนาว แล้วจะรีบทำไมพี่ก็รออยู่นี่ มือเย็นหมดแล้วเห็นไหม?”
อุตส่าห์บอกว่าคิดถึง แต่พี่ซันก็ไม่ลืมเรื่องนี้ง่ายๆ ผมเลยได้แต่ทำหน้าจ๋อยปล่อยให้เขาสวมถุงมือให้ ตามด้วยผ้าพันคอและหมวกที่ปิดลงมาถึงหูได้ อากาศช่วงนี้ของจีนเย็นมากจริงๆ
“ชิวซี”
“นี่ครับ”
พี่ซันเตรียมหมอนกอดที่ใส่น้ำร้อนข้างในมาให้ผมด้วย หมอนอุ่นประจำตัวผมเอง ให้ความรู้สึกที่ดีมากเลย ผมรีบซุกมันเข้ากับพุง แล้วยกตัวขึ้นหอมแก้มเขา
“ขอบคุณครับ คิดถึงพี่ซันจัง ชิวซีด้วยนะ แล้วก็คุณบอดี้การ์ดด้วยครับ”
“ไปคิดถึงคนอื่นทำไม?”
กลายเป็นหงุดหงิด ก็ถ้าบอกคิดถึงพี่ซันคนเดียวก็ดูไม่ค่อยมีมารยาททางสังคมนี่นา ผมยังไม่ทันแก้ตัวก็ถูกวงแขนกว้างโอบเอวเข้าชิดตัวให้เดินตามออกไป
พระอาทิตย์ของผมงอนซะแล้ว
ไฟลท์ผมมาถึงในช่วงเช้าทำให้ผมมีเวลาทั้งบ่ายในการนอน การเดินทางนานๆ ทำให้ผมง่วงงุน พี่ซันเองก็ไม่ได้เอาแต่ใจกับผมแค่หยิบเจ้าปั้นชาหูยาวมาให้ ฮีทเตอร์ในห้องนอนทำให้ผมนอนหลับสบายตื่นมาอีกทีก็บ่ายแก่ๆ
สำหรับผมอากาศเย็นมาก แต่พี่ซันก็ยังคงแต่งตัวรุ่มร่ามไม่สนฟ้าสนลมนอนให้อาหารปลาอยู่ริมบ่อน้ำ เอนตัวเป็นจักรพรรดิขี้เกียจ ส่วนผมแต่งตัวอย่างกับดักแด้
“พี่ซันไม่หนาวหรอครับ อ้ะ ผิวเย็นหมดแล้ว แต่งตัวดีๆ สิครับ”
ผมแตะมือลงบนลาดไหล่แกร่ง ผิวพี่ซันเย็นจริงๆ ถึงเขาจะชินกับอากาศหนาวแต่เขาก็อาจจะป่วยได้เหมือนกัน
“มาให้พี่กอดก็พอแล้ว”
มือหนาดึงผมลงไปในอ้อมแขน ก่อนเขาจะตวัดเสื้อคลุมตัวหนาที่วางอยู่ข้างๆ ขึ้นคลุมตัวเราทั้งคู่ สายตาวิบวับทำให้ผมอายอย่างไร้เหตุผล
“เป็นไงบ้างประเทศไทย?”
“ร้อนกว่าที่นี่เยอะเลยครับ พี่ซันล่ะครับ เป็นไงบ้าง คิดถึงอวิ๋นไหม?”
“คิดถึงสิ...เมียพี่ทั้งคน”
เสียงทุ้มนุ่มกับจูบแผ่วเบาที่หน้าผากทำให้ผมเหมือนตัวติดปีก เยว่อาจจะเป็นบ้านที่ผมคิดถึง แต่ตอนนี้หยางคือบ้านของผม พี่ซันคือบ้านของผม
“ไม่ได้แอบไปทำเจ้าชู้กับใครตอนผมไม่อยู่นะครับ?”
ผมแกล้งทำหน้าดุ ขมวดคิ้ว ย่นจมูกใส่ เขาหัวเราะชอบใจแล้วก็ส่ายหน้าเบาๆ
“สู้อวิ๋นไม่ได้สักคน”
มือพี่ซันเริ่มขยับต่ำลงจากเอวมาขยำก้นผมเล่น เขาเริ่มซนอีกแล้ว ผมยังไม่ทันหายเหนื่อยสักหน่อย
“แล้วอยู่นั่น รักหลานมากกว่าพี่แล้วมั้ง”
เขาไม่ได้เร่งเร้าอะไรแค่เหมือนหาที่ขยำมือเล่นเพลินๆ และบังเอิญมันคือก้นผม
“ก็หลานน่ารัก พี่ซันทำตัวน่ารักสิครับ ตองจะได้รักเยอะๆ”
ผมแกล้งงับไหล่ที่มีรอยสักรูปพระอาทิตย์เล่น เขาหัวเราะและถามเรื่องนั้นเรื่องนี้ ผมชอบเวลาแบบนี้จัง เวลาที่ผมกับพี่ซันได้นอนคุยกันเรื่อยเปื่อย ใช้เวลาไปเรื่อยๆ อย่างคนขี้เกียจ
และความเคยชินก็ทำให้เราจูบกันหลายครั้ง ผมหัวเราะอย่างไร้สาระ จูบเขาก่อนบ้าง ปล่อยให้เขาจูบบ้าง และก็เป็นผมเองที่เป็นฝ่ายขยับตัวขึ้นนั่งคร่อมตักเขา
บดเบียดตัวเองกับความร้อนผ่าวของพี่ซัน....สิบวันที่ห่างหาย พี่ซันจะต้องชดใช้ให้ผมอย่างเต็มที่
หนีไปไหนไม่รอดหรอกนะครับสุริยะ หยาง เพราะผมมีเวลาทั้งปิดเทอมที่จะเอาแต่ใจสารพัดจนคุณปวดหัวเลยล่ะ
--------------------
คิดถึงกันไหมมม >___< พอดีหนีไปปิดเล่ม ในปกครอง มา แฮ่!!!