Heartless แค้นนี้...มิอาจห้ามรัก
ตอนที่ 62
ช่วยเหลือ...
ผลัวะ!!!
ทันทีที่อินทัชดูคลิปที่เทพากรส่งมาจบเขาก็ปาโทรศัพท์เครื่องหรูของตนใส่กำลังของห้องแล้วตรงเข้าไปกระทืบซากมันซ้ำๆ จนธีรไนยต้องมาดึงไว้ให้ระงับสติอารมณ์ตัวเอง
“อิน...มึงใจเย็นๆ”
“เพราะกู...ธีร์” อินทัชโทษตัวเอง สบตาแดงๆ ของตัวเองกับดวงตาเล็กของเพื่อนสนิท
“ไม่ใช่เพราะมึง ไม่ใช่” ธีรไนยปลอบใจ
มันไม่ใช่ความผิดของอินทัช ไม่ใช่ความผิดของรามินทร์
ไม่ใช่ความผิดของใครทั้งนั้น ถ้าจะมีคนผิดก็ต้องผิดที่คนทะเยอทะยาน แค้นไม่จบไม่สิ้นอย่างเทพากรต่างหาก
“ทำไมจะไม่ใช่เพราะกูวะธีร์” ร่างโปร่งหันมาพูดกับธีรไนยสียงสั่น ดวงตาปริ่มไปด้วยน้ำแต่มันก็ยังไม่ไหลออกมา ธีรไนยนับถือความเข้มแข็งของอินทัชมาก
เห็นสภาพคนที่รักสะบักสะบอมขนาดนั้นเป็นธีรไนยเองก็คงจะไม่ไหว...
“ใจเย็นๆ ดิวะอิน ยังไงเราก็ช่วยไอ้รามได้น่า”
“แล้วถ้าอาเทพฆ่ามันก่อนล่ะ”
“อามึงคงไม่โง่ฆ่าหรอก เพราะมันยังทำให้มึงเจ็บได้อีกเยอะ ที่สำคัญนอกจากอาเทพจะแก้แค้นมึงแล้วกูว่ายังต้องการเงินจากมึงด้วย”
แม้จะดูโหดร้าย แต่ที่ธีรไนยพูดมันก็ถูก รามินทร์ยังใช้ทรมานอินทัชได้อีกเยอะ ฆ่ามันยังคงไม่สะใจสำหรับเทพากรแน่ๆ แล้วคนโลภมากแบบนั้น ยังไงเรื่องเงินก็ต้องมีเอี่ยวแน่ๆ
“เออ...”
“มึงได้บอกพ่อกับแม่ไหมวะ” ธีรไนยถาม
“ไม่ได้บอก กูไม่อยากให้ท่านกังวล แต่ถึงไม่บอก พ่อก็รู้อยู่ว่าอาเป็นยังไง ทำอะไร ที่ไหน” อินทัชทิ้งตัวนั่งกับโซฟา เอานิ้วมือนวดคลึงขมับตัวเอง “กูไม่อยากจะรบกวนมึงหรอกนะธีร์ แต่มึงเท่านั้นที่จะช่วยกูได้”
“เอาน่า คนของกูกำลังสืบหาที่อยู่ให้มึงอยู่ สบายใจได้ คนของไอ้พัฒน์ไม่เคยพลาด” ธีรไนตบบ่าเพื่อนรักให้กำลังใจผ่านการสัมผัสเบาๆ
“ขอบใจมึงมากนะ ฝากขอบคุณคุณพัฒน์ด้วย”
“เออ! มันช่วยมึงเต็มที่อยู่แล้ว มึงเองก็เถอะ อย่าลืมทำตามที่คุยกันไว้ เข้าใจนะ” ธีรไนยกำชับ ซึ่งอินทัชก็พยักหน้ารับด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยจะมีเรี่ยวแรง
“กูฝากมึงด้วยนะธีร์ ส่วนกูจะต้องเข้าบริษัทปกติ ทำงานด้วยความปกติ ไม่รู้สึกรู้สาทั้งๆ ที่ไอ้รามกำลังเจ็บ ใช่ไหม?” ร่างโปร่งถามเพื่อนสนิท
อินทัชพยายามขนาดไหนที่จะไม่อ่อนแอต่อหน้าเพื่อน แต่มันก็เริ่มทนไม่ไหวทุกที
“กูทำไม่ได้ว่ะธีร์ กูทำไม่ได้ กูเป็นห่วงไอ้ราม มันจะต้องเจ็บมากแน่ๆ สภาพมัน...ธีร์ มึงต้องหาไอ้รามให้เร็วๆ นะ กูกลัว...กูไม่น่าทะเลาะกับมันเลย”
อินทัชรู้สึกผิดที่ครั้งสุดท้ายที่เราคุยกัน...เขาไล่มันกลับไป
ถ้าย้อนกลับไปได้...อินทัชจะพูดดีๆ
“กูสัญญา...เร็วๆ นี้แน่นอน”
“อย่าลืมโทรหากูนะ ได้เรื่องเมื่อไหร่ โทรหากูทันทีเลยนะ”
“อืม...วันนี้กูจะอยู่เป็นเพื่อนมึงเอง ไม่ต้องเครียดนะเว้ย”
ธีรไนยคว้าเพื่อนรักมากอดเอาไว้ เสียใจไม่ต่างกับที่อินทัชกำลังรู้สึก ส่วนร่างโปร่งที่กอดเพื่อนไม่ปล่อยก็ได้แต่หลับตาพยายามไม่นึกภาพที่รามินทร์ถูกทรมานนั่น...
เวลาผ่านไปสามวันนับจากวันนั้น อินทัชก็เข้าทำงานตามปกติ พยายามทำงานอย่างมีสมาธิที่สุด ไม่วอกแวก และเป็นสามวันที่อินทัชไม่ได้รับการติดต่อจากอาของเขาเลย คงเป็นเพราะว่าสัญญาโทรศัพท์จะทำให้ถูกตามตัวได้ง่ายด้วยนั่นแหละ
แล้วแบบนี้เขาจะรู้ไหมล่ะว่าเทพากรต้องการอะไร แล้วจะติดต่อมาวิธีไหน นอกจากส่งคลิปมาให้ดูแล้วก็เปลี่ยนหมายเลขโทรศัพท์ทุกครั้ง และก็ทำลายมันจนตามรอยไม่ได้เลย
สภาพใบหน้าที่หล่อเหลาของรามินทร์ เต็มไปด้วยเลือดและบาดแผล หน้าบวมมาก เขาจำเป็นต้องดูคลิปนั้นทุกๆ วัน โทรศัพท์เครื่องต่อหลายเครื่องพังไปด้วยน้ำมือของอินทัช
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“อิน!!!” ธีรไนยเคาะประตูห้องทำงานของอินทัชแล้วก็พรวดพราดเข้ามา คนที่นั่งทำงานอยู่รีบลุกขึ้นมาแล้วเดินไปหาเพื่อน มองเลยไปยังด้านหลังที่มีทั้งจุลจักร เจ้าจอม ขรรค์ หิรัญ แล้วก็พีรพัฒน์มาด้วย
ใบหน้าสวยหันมองหน้าทุกคนอย่างแปลกใจที่ทั้งหมดมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ มันต้องมีเรื่องอะไรแน่ๆ ไม่เช่นนั้นก็คงจะไม่พร้อมใจกันมา
“เกิดอะไรขึ้น? ทำไมทุกคนถึงมาที่นี่”
“เจอที่กบดานแล้ว” ธีรไนยเป็นคนตอบ อินทัชยิ้มออกมานิดๆ หันมาสบตาเพื่อนสนิทอย่างรวดเร็ว
“งั้นก็บอกกูมาสิ”
“ไม่ได้ เราจะไปเลยโดยไม่วางแผนไม่ได้ คนของไอ้พัฒน์สืบเจอ ลูกน้องของอาเทพไม่เยอะก็จริงประมาณเจ็ดแปดคนแต่มีอาวุธทุกคน สุ่มสี่สุ่มห้าเข้าไป ไม่เราก็ไอ้รามที่ต้องตาย ใจเย็นๆ แล้วมานั่งวางแผนกันก่อน”
อินทัชกัดแฟน มองหน้ากับเจ้าจอมที่มีสีหน้าเป็นห่วงพี่ชายของตัวเองแล้วก็ยอมกลับมานั่งที่โต๊ะทำงานของตัวเองคืน พีรพัฒน์ไปยืนกอดอกพิงกำแพงอยู่ห่างๆ เพราะไม่ค่อยชอบรวมกลุ่มเท่าไหร่ ธีรไนยก็ยืนกลางระหว่างโต๊ะทำงานกับโซฟาที่เจ้าจอมกับหิรัญนั่งอยู่ ส่วนขรรค์กับจุลจักรก็นั่งพิงตรงขอบโซฟาข้างๆ คนรักตัวเอง เว้นโซฟาไว้ที่หนึ่งเพื่อให้แขกอีกคนนั่ง
“จะวางแผนยังไงก็ว่ามา”
“เดี๋ยวผู้กองเทียนจะมาที่นี่ คงอีกไม่เกินสิบนาที” ธีรไนยบอก อินทัชขมวดคิ้วแน่น สงสัยว่าคนชื่อเทียนคือใคร เพราะคนที่ดูแลคดีให้เขาไม่ได้มีชื่อว่าเทียน
“ใครวะ?”
“คนรู้จักของกู เป็นเพื่อนสนิทคุณดินคุณเพลิง”
“แล้วมาเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้วะ”
“กูกับผู้กองเทียนเนี่ย ทำงานร่วมกันมานานแล้วว่ะ ก็เลยขอให้เขามาช่วยเรื่องคดีของมึง”
“กูพอจะจำได้แล้วที่มึงบอกว่าเขาอยู่หน่วยปราบปรามพิเศษใช่ไหม แต่คดีกูมันเล็กๆ มากเลยนะถ้าเทียบกับสิ่งที่เขาต้องรับผิดชอบ มึงรบกวนเขาทำไมวะธีร์” อินทัชตำหนิเพื่อน
“ไม่เป็นไรหรอก คุณเทียนเขาเต็มใจที่จะช่วย”
ร่างโปร่งถอนหายใจ นั่งเคาะโต๊ะรออย่างใจร้อนมองไปที่ประตูห้องทำงานของตัวเองอยู่ตลอดเวลา
“คนของมึงว่ายังไงบ้าง”
“ไอ้รามมันยังไม่ตายหรอก แต่สภาพก็ตามที่มึงในคลิป ดีหน่อยที่ให้น้ำดื่ม แต่ข้าว...” ธีรไนยส่ายหน้าไม่ยอมพูดต่อให้จบ แค่นั้นก็ทำให้อินทัชเข้าใจทุกอย่างได้แล้ว
“กะเอาให้อดตายเลยเหรอ พี่ราม...จอมเป็นห่วงพี่ราม” เจ้าจอมโพล่งขึ้นมาเสียงสั่น อินทัชไม่กล้ามองหน้าน้อง ไม่กล้าสบตา เพราะเขารู้สึกผิด
ผิดที่เป็นต้นเหตุเรื่องทั้งหมด...
“พี่ขอโทษนะครับเจ้าจอม” อินทัชพูดเสียงเบา เจ้าจอมส่ายหน้าทั้งน้ำตา
“ไม่เลยครับ พี่ไม่ได้ผิด พี่อินไม่ได้ผิดอะไรเลย”
“แต่พี่เป็นต้นเหตุ”
“ไม่ครับ...พี่ไม่ใช่ต้นเหตุ และจอมก็เชื่อว่าพี่รามจะต้องไม่เป็นอะไร พี่รามเป็นคนดี เป็นคนดีมาโดยตลอด...” เจ้าจอมพูดอย่างมั่นใจ แม้ว่าความกังวลจะมีอยู่สูง แต่อย่างน้อยเขาก็เชื่อในความดีของพี่ชายตน
รามินทร์อาจจะไม่ใช่คนที่ดีมากร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ก็ไม่เคยทำเรื่องที่มันเลวร้าย...ถ้าไม่นับเรื่องที่เคยทำเอาไว้กับอินทัช
“พี่ก็เชื่อว่ามันต้องไม่เป็นไร”
เพราะพี่...จะต้องช่วยมันให้ได้ ช่วยด้วยน้ำมือของพี่เอง
“คุณอินจะต้องรอให้ทางนายเทพากรติดต่อมา ว่าทางนั้นต้องการใช้ตัวประกันเจรจาต่อรองเอาอะไรจากคุณ จากนั้นคุณจะต้องเอาสิ่งที่มันต้องการไปให้ ตอนนี้ทางนายเทพากรมีสภาพเป็นผู้ต้องหาอย่างเต็มตัวแล้ว เรามีหลักฐานที่จับกุมนายเทพากร ถ้าจะให้ตำรวจบุกเข้าจับเลยก็ต้องมีการชิงตัวประกันให้ปลอดภัยก่อน เรื่องนี้มันไม่ยากหรอกครับ เพียงแต่ว่า...”
อินทัชและทุกคนตั้งใจฟังในสิ่งที่ผู้กองเทียนพูดอย่างตั้งใจ รู้สึกมีความหวังที่จะเข้าไปช่วยรามินทร์ออกมาได้ พอผู้กองหยุดชะงักไป อินทัชก็เร่งเร้าเอาคำตอบ
“แต่ว่าอะไรครับ”
“ถ้าทีมผมพลาดให้พวกมันรู้...พวกมันอาจจะฆ่าตัวประกันทันที”
อินทัชหลับตาเอามือกุมขมับด้วยความเครียด...ขรรค์กับจุลจักรก็พยายามที่จะปลอบเจ้าจอมให้หายกลัว ส่วนหิรัญก็เดินมาหาร่างโปร่ง ลูบไหล่ของเขาเบาๆ อย่างให้กำลังใจ
“ไม่เป็นไรนะ เราต้องทำได้”
“ครับ...” อินทัชตอบรับเบาๆ แล้วหันมาสบตากับผู้กองเทียนอีกครั้ง
“ผมไม่อยากบอกว่าทีมของผมคือมืออาชีพ ส่วนน้อยจะทำงานพลาดแล้วเรื่องเล็กๆ แบบชิงตัวประกันและจับกุมนี้ ทีมพวกผมก็ไม่เคยพลาด แต่คติของผมคือไม่ประมาท อะไรที่เป็นไปไม่ได้ ให้คิดว่าเป็นไปได้เสมอ”
“กูรับรองนะเว้ยอิน คุณเทียนไม่เคยทำงานพลาด เขาเป็นเบอร์หนึ่งของประเทศ แล้วแค่ไอ้พวกกระจอกเจ็ดแปดคนแค่นั้น คงไม่ยากอะไรนักหรอก” ธีรไนยที่ทำงานร่วมกับผู้กองเทียนมานานสบทบอีกคนเพื่อให้เพื่อนรักไว้วางใจ และอยากให้ทุกคนไว้วางใจด้วย
“ไม่ต้องห่วงนะอิน ผมจะเตรียมรถจากโรงพยาบาลของพ่อไปด้วย เผื่อมีอะไรฉุกเฉินเราจะคอยช่วยเหลือได้ทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลารอรถโรงพยาบาลนาน” หิรัญพูดขึ้น ซึ่งผู้กองก็หันไปพยักหน้าให้
“ผมเห็นด้วยกับหมอเงินนะครับ ถ้าตกลงที่จะบุกชิงตัวและจับกุมเลย ผมจะประชุมทีมเพื่อวางแผนการแล้วดำเนินการคืนนี้เลย ยังไงซะ ทางเราก็รู้ที่ของมัน ภายใน ภายนอกหมดแล้ว แค่หาทางบุกเข้าไปก็เท่านั้นครับ”
“ถ้าคืนนี้ ผมขอไปด้วยนะครับ” อินทัชรีบพูดบอก
“มันอันตรายนะครับ ถ้าเกิดว่ามันมีการปะทะกัน”
“ผมพอใช้ปืนเป็น และป้องกันตัวเองได้ครับ”
“ไม่ต้องห่วงนะคุณเทียน เดี่ยวผมจะไปกับไอ้อินเอง” ธีรไนยอาสา ซึ่งผู้กองที่เคยเห็นฝีมือของธีรไนยมานับครั้งไม่ถ้วนก็พยักหน้ารับอย่างตกลง หากแต่มีคนไม่ตกลงด้วย...
“ถามกูหรือยัง?” พีรพัฒน์โพล่งขึ้นมาเสียงราบเรียบ ทำเอาธีรไนยลืมไปเลยว่าคนรักของตัวเองก็อยู่ด้วย หันไปขอร้องคนรักทางสายตา จนร่างสูงต้องถอนหายใจออกมา
“จริงๆ เรื่องนี้ไม่ต้องถึงมือตำรวจก็ได้”
“ให้ตำรวจจัดการน่ะถูกแล้วครับคุณพัฒน์ บ้านเมืองมีกฎหมาย คนทำความผิดตามกฎหมายก็ต้องให้กฎหมายจัดการ ไม่ใช่ทำตัวเป็นศาลเตี้ยพิพากษาใครต่อใครด้วยตัวเอง” ผู้กองพูดกับพีรพัฒน์ด้วยสีหน้าและน้ำเสียงจริงจัง
“แล้วไม่ใช่เพราะผมหรือไงที่ทำให้คุณจับคนร้ายได้หลายครั้ง ถึงผมจะทำตัวเป็นศาลเตี้ย แต่ทั้งหมดก็เพื่อช่วยทางการอย่างที่คุณดินต้องการ หรือว่าไม่จริงครับ?” เป็นครั้งแรกที่อินทัชเห็นพีรพัฒน์พูดยาวและเยอะขนาดนี้
ผู้กองเถียงไม่ออก จ้องหน้าของพีรพัฒน์อย่างไม่ค่อยพอใจนัก ส่วนธีรไนยก็รีบปรามคนรักตัวเองไม่ให้พูดไปมากกว่านี้
“พอเถอะนะ ทั้งคู่เลย เจอกันทีไรก็เถียงกันทุกที เบื่อ...ดูสถานการณ์บ้าง เพื่อนของกูกำลังเครียดนะเว้ย”
“เออ!!” ร่างสูงมองออกไปยังด้านนอกอย่างไม่พอใจ ธีรไนยส่ายหน้าไปมาแล้วหันมาคุยกับเพื่อนต่อ
“เอาไงมึง”
“ให้ผู้กองจัดการเลยครับ แต่ผมขอไปด้วย” อินทัชว่า
“ได้ครับ ถ้าอย่างนั้นประมาณเที่ยงคืนเจอกันที่จุดนัดพบ แต่จุดนัดพบผมจะบอกอีกทีนะครับ ต้องไปวางแผนกับลูกน้องในทีมก่อน แล้วผมก็อนุญาตให้ไปได้แค่คุณอินกับธีร์นะครับ อ้อ...หรือคุณพัฒน์จะไปเฝ้าธีร์ก็ได้นะครับ ผมไม่ว่า” ไม่วายหันไปแขวะพีรพัฒน์ที่ยืนนิ่งๆ หากแต่ร่างสูงก็ไม่ได้สนใจจะตอบโต้กลับ เพราะรู้ดีว่าผู้กองเทียนต้องการจะหลอกใช้เขาก็เท่านั้น
เสียใจด้วย คนอย่างพีรพัฒน์ ไม่ว่าใครก็หลอกไม่ได้
“โอเคครับ” เจ้าของห้องตอบตกลง ส่วนคนที่อยากจะไปด้วยอย่างเจ้าจอม จุลจักร ขรรค์ ก็คงจะไปได้แค่จุดที่รถโรงพยาบาลของหิรัญจะไปแสตนบายรอเท่านั้น ไม่เป็นไร แค่นั้นก็ดีแล้ว...ดีกว่ารออยู่ที่บ้านเฉยๆ
“ส่วนจุดจอดรถโรงพยาบาลผมจะบอกหมอเงินอีกครั้งนะครับ”
“ได้ครับ” หิรัญรับคำอย่างจริงจัง มองหน้าของอินทัชด้วยความเป็นห่วง ส่วนธีรไนยก็เดินมายืนอยู่ตรงหน้าของอินทัช ลูบศีรษะของเพื่อนรัก เป็นการกระทำที่ดูเหมือนทำกับเด็ก แต่ธีรไนยก็ทำแบบนี้มาโดยตลอดตอนที่อินทัชกำลังเจอกับเรื่องไม่สบายใจ
“ทุกอย่างมันต้องจบในคืนนี้!”
อินทัชต้องการช่วยรามินทร์ออกมาให้ไวที่สุด ต้องการให้เห็นกับตาว่ารามินทร์ไม่เป็นอะไร ปลอดภัย แล้วก็กลับมาตื๊อ มากวนกันต่อสักที
เพราะถ้าผ่านวันนี้ไปได้ด้วยดี เขาจะไม่ให้รามินทร์พิสูจน์หรือทดสอบอะไรแล้ว...
เขารู้แล้ว...ว่าชีวิตคนเรามันไม่แน่นอน จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อไหร่ ตอนไหนก็ไม่มีทางที่จะรู้ได้ล่วงหน้าเลย เพราะฉะนั้น ก่อนที่อะไรจะสายไป อินทัชก็ขอให้ตัวเองมีความสุขแล้วก็คนที่เขารักมีความสุข...
มันจะได้ไม่ต้องมาเสียใจทีหลัง...
รามินทร์นอนหมดเรี่ยวแรงและเจ็บปวดรวดร้าวไปตามร่างกายเมื่อขยับ ไม่มีตรงไหนของร่างกายที่จะไม่มีบาดแผลเลย ถึงไม่มีแผลก็ช้ำเขียว
“อึก...โอ้ย!” รามินทร์ร้องออกมาเบาๆ เมื่อพยามที่จะขยับตัวนั่ง ส่วนไอ้สองคนที่เฝ้าเขาอยู่ข้างในก็หลับไปแล้ว แต่ถึงจะหลับไป รามินทร์ก็ไม่มีทางที่จะหนีได้เลย เพราะโซ่ยังอยู่ที่ขาของเขา แม้ว่าพวกมันจะใจดียอมแก้มัดมือให้เขาแต่ก็ใช่ว่าจะช่วยเหลือตัวเองได้
รามินทร์คิดว่าตัวเองจะต้องตายอยู่ที่นี่แล้วล่ะ...
“อิน...”
คนที่รามินทร์คิดถึงอยู่ตลอดเวลาคือพ่อกับน้องสาว และคนที่รามินทร์รักมากที่สุดอย่างอินทัช เขาอยากเห็นหน้าอยากได้ยินเสียง ยังมีเรื่องที่อยากทำอีกมาก เขาไม่อยากตาย...แต่ถ้าต้องตาย...
เขาก็คงจะตายตาไม่หลับ
รามินทร์คิดว่าที่เขาโดนแบบนี้มันเป็นเวรกรรม เป็นกรรมที่เขาต้องชดใช้...เพราะสิ่งที่เขาทำกับอินทัช มันหนักหนาสาหัสกว่านี้มาก...
กูโดนทรมานแค่ร่างกาย แต่กับมึง กูทำร้ายทั้งกายและใจ...มันก็เป็นเวรรกรรมที่ตามสนองกูแล้วล่ะ
“ไง...ตายห่าไปหรือยัง” เทพากรเข้ามาหาเขาด้วยสีหน้าที่ดูสะใจ
“หึ” รามินทร์ทำได้แค่ส่งเสียงขึ้นจมูกเท่านั้น ไม่อยากจะพูดให้เจ็บปากและไม่อยากให้ตัวเองโดนซ้อมไปมากกว่านี้...ไม่งั้นก็คงจะตายเร็วขึ้นไปอีก
รามินทร์ยังอยากมีชีวิตอยู่เพราะมันยังมีอะไรที่เขายังไม่ได้ทำอีกเยอะมาก และยังมีอะไรที่เขาอยากจะทำกับคนที่เขารักอยู่อีก...
อยากแก่ตาย...ไม่ใช่ว่าอยากโดนฆ่าตาย
“เฮ้ย!! ฉันจ้างพวกแกมานอนเล่นหรือไงวะ” เทพากรตะโกนเสียงดังที่เห็นลูกน้องสองคนที่มีหน้าที่ในการเฝ้ารามินทร์ด้านในจนสะดุ้งลุกขึ้นยืนอย่างกลัวๆ
“ข่ะ ขอโทษครับนาย”
ก็เล่นใช้งานทั้งวันทั้งคืนไม่ให้พักผ่อนแบบนี้ ใครที่ไหนจะไปฝืนเปลือกตาตัวเองได้กันล่ะ...
“พวกแกอย่าทำพลาดก็แล้วกัน ไม่รู้หรือไงว่าไอ้อินมันทำอะไรได้บ้าง ยิ่งเพื่อนสนิทมันอย่างไอ้ธีร์น่ะ น่ากลัวกว่าไอ้อินเยอะ มันต้องให้ไอ้ธีร์หาฉันอยู่แน่ๆ แล้วก็ไม่รู้ว่ามันจะรู้วันไหนที่มันจะรู้ว่าเรากบดานอยู่ที่นี่!! แล้วตำรวจก็กำลังตามจับฉันอยู่” เทพากรพูดกับลูกน้อง
รามินทร์หัวเราะในใจ ภาวนาให้มันโดนจับไวๆ
“แต่ว่ามันก็ไม่ได้ประกาศจับไม่ใช่หรือครับ ยังไงก็ยากที่จะตามตัวเราอยู่แล้ว”
“ที่มันไม่ประกาศเพราะกลัวว่าตระกูลของพวกมันจะเสียชื่อไง แต่เรื่องที่ฉันสั่งฆ่ามัน แล้วเอาไอ้นั่นมาซ้อม หลักฐานก็มัดตัวฉันทุกอย่างแล้ว!!”
เทพากรใจร้อนวู่วามเอง เพราะอินทัชระวังตัวเองเก่งก็เลยทำไม่ได้อย่างที่ตัวเองต้องการ เทพากรเลยตัดสินใจที่จะทำทุกอย่างเพื่อแก้แค้นโดนที่อาจจะไม่ใช่เป็นทางที่ดีที่สุด และอาจจะทำให้เขาพลาดท่าง่ายๆ อย่างน้อยก็ขอให้อินทัชมันเจ็บปวดที่สุด
“วันนี้ฉันจะจบความแค้นที่ฉันมีกับมัน!!”
“นายจะทำอะไรครับ”
“นัดมันมาไง!!!” เทพากรประกาศกร้าว ทำเอารามินทร์รีบห้าม
“อย่านะเว้ย อึก แก...ก็ทำฉันแล้วไง”
“แต่แกกับมัน มันคนละคนกัน!!” เทพากรตะคอกใส่หน้าของร่างสูง ก่อนจะกระชากคอเสื้อของร่างสูงขึ้นมาจนแทบจะหายใจไม่ออก
“อึก...”
“ถ้าจะให้สะใจต้องทำให้มันเห็น...หึหึ แกนี่มันมีประโยชน์กว่าที่ฉันคิดนะ”
“ชั่ว!!! นั่นหลานแท้ๆ แกนะ!”
“กูไม่เคยมีหลาน!!!” เทพากรตะคอก “มันเป็นตัวซวย เป็นตัววิบัติ เป็นตัวขัดความเจริญของกู!!!”
ปัก!!
“โอ้ย!!” ร่างของรามินทร์กระแทกที่พื้นซ้ำกับรอยช้ำเดิมตามตัว จนต้องร้องด้วยความเจ็บปวด ใบหน้าเหยเก บิดเบี้ยวไม่มีเค้าของความหล่อให้เห็นเลยสักนิด
“เอาโทรศัพท์มา ฉันจะติดต่อไปหาไอ้อิน”
ผ่าง!!
“ไม่ต้อง!! ผมมาแล้ว!!!” อินทัชเปิดประตูโรงงานเข้ามาพร้อมด้วยธีรไนยกับผู้กองเทียน เทพากรรีบเอาปืนที่เสียบไว้ด้านหลังออกมาพร้อมยิงใส่ทั้งสามคน ส่วนลูกน้องของเทพากรคนหนึ่งก็เล็งปืนไปที่รามินทร์เอาไว้ หากสามคนคิดจะทำอะไรก็ต้องระวังรามินทร์ไว้
“แก!! หาที่นี่เจอได้ยังไง” เทพากรถามอย่างโกรธๆ
“อาไม่รู้เหรอครับ ว่าไม่มีอะไรเกินความสามารถของผม” ธีรไนยเป็นคนตอบแทน ทำเอาเทพากรหันไปจ้องหน้าคนพูดอย่างโกรธแค้น
เขาเกลียดธีรไนยพอๆ กับเกลียดอินทัช เพราะไม่ว่าอะไรก็มักจะมีมันมาเกี่ยวข้องด้วยเสมอ
“พวกแกนี่มัน!! เอาสิ จะมาจับฉันใช่เหรอ ฉันจะยอมให้จับก็ได้ แต่หลังจากที่ฉันฆ่าไอ้เหี้ยนี่ก่อน”
ในจังหวะที่เทพากรเปลี่ยนทิศทางของกระบอกปืนไปยังรามินทร์ ก็ทำให้ทางอินทัชคิดไม่ตกว่าจะทำยังไงต่อไป เขาขยับตัวเพื่อที่จะเข้าไป แต่ก็ต้องหยุดชะงักเอาไว้ เพราะถ้าเขาหุนหันพลันแล่น อาจจะทำให้สถานการณ์มันแย่ก็ได้
“วางปืนของพวกแกลงซะ ไม่งั้นกูฆ่าคนที่แกรักแน่ๆ ไอ้อิน” ผู้เป็นอาสั่ง
“อย่า...อย่าทำ” รามินทร์ส่ายหน้า พูดบอกอินทัชเสียงดังที่สุดเท่าที่จะทำได้
ดวงตาสวยสบเข้ากับร่างสูงด้วยความเป็นห่วงมองสำรวจร่างกายที่เต็มไปด้วยบาดแผลจนความรู้สึกโกรธตีขึ้นหน้า มองอาของตัวเองด้วยสายตาแข็งกร้าว
ผลัวะ!!!
“โอ๊ย!!”
“อาเทพ!!!”
เสียงร้องของรามินทร์ดังพร้อมๆ กับที่อินทัชเรียกอาของตน หลังจากที่เทพากรใช้ปืนฟาดที่หน้าของรามินทร์ อินทัชแทบจะถลาเข้าไปหา หากไม่ได้ผู้กองดึงเอาไว้ได้ทัน
“ใจเย็นๆ ครับ ทำตามแผน” ผู้กองกระซิบเสียงเบา อินทัชกัดฟันอดทนนึกถึงแผนการที่เตรียมเอาไว้ก่อนจะเข้ามาที่นี่...มันเป็นแผนที่เพิ่งประชุมกะทันหันเมื่อกี้นี้ก่อนจะเข้ามาไม่กี่นาทีเพราะได้ยินว่าเทพากรต้องการจะเจอกับอินทัชตอนดักฟังอยู่ข้างนอก
มีต่อ
V
V
V