เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)
บทที่41คุณชายสี่แห่งนิกายมารฟ้า(P.10วันที่ 29/7/59)
หลังจากผ่านวันวุ่นวายไปหนึ่งเดือนทุกอย่างจึงได้กลับมาสู่สภาพเดิมอีกครั้ง ไม่มีศัตรูหรือพี่น้องที่จะแย่งชิงอำนาจ เวลานี้ลั่วเหยียนเจิ้งเหลือพี่น้องเพียงแค่สามคนเท่านั้นหากไม่นับคนที่ตัดขาดไปแล้วอย่างเช่นองค์ชายเก้าและองค์ชายห้า เวลานี้ผู้ที่รับใช้ราชวงศ์อย่างแท้จริงจึงเหลือองค์ชายเจ็ดลั่วหวังอู๋ องค์ชายสิบเอ็ดมู่เหรินและสุดท้ายองค์ชายสิบห้าเพ่ยอวี้เท่านั้น
นับตั้งแต่การลอบสังหารของหลิงเซียวในครั้งนั้น ทำให้พระสนมกุ้ยเฟยหมู่ตานนอนเป็นเจ้าหญิงนิทราถึงหนึ่งเดือนและด้วยความดีความชอบที่ปกป้องว่าที่องค์รัชทายาทจึงได้มอบอิสระให้ตามคำร้องขอ เวลานี้นางจึงได้ตำแหน่งองค์หญิงคืนมาและพักอยู่ในวังหลวงในฐานะแขก ซึ่งทางฮ่องเต้แคว้นโจวไม่ได้ตำหนิอันใดเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเพราะแผนการขององค์หญิงที่ต้องการตอบแทนบุญคุณเพ่ยอวี้ จึงได้ใช้วิธีนี้เข้ามาอยู่ในวังหลวงลั่วหยางแทน อีกทั้งความสัมพันธ์ระหว่างฮ่องเต้แคว้นโจวกับลู่เฟยและจิวชงหยวนนั้นดีต่อกันเสมอมาจึงไม่ได้เก็บมาให้ขุ่นพระทัย
ทุกอย่างเหมือนจะราบรื่นหลังจากผ่านความเป็นความตายมาด้วยกัน ลั่วเหยียนเจิ้งคิดว่าพระสนมรักอย่างหลิ่วเหวินอี้จะไม่กล้าไปไหนแล้ว แต่ที่ไหนได้ ตอนนี้เมียเขาหายไปเหลือทิ้งไว้จดหมายฉบับหนึ่งเท่านั้น เมื่อคืนสอนบทเรียนรักให้เมียรักจนสลบคาอกแทบขยับไมได้ ทว่าช่วงสายกลับหายไป! บทรักที่ร้อนแรงเมื่อคืนนี้เป็นสิ่งหลอกล่อให้เขาตายใจ น่าเจ็บใจนักคนที่เจ้าเล่ห์ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าเขาก็คืออี้เอ่อร์
“ฝ่าบาทไม่ไปตามพระสนมหรือพ่ะย่ะค่ะ” หยางซือหมิงเอ่ยถามอย่างวิตกกังวล เวลานี้ฮ่องเต้กลับนั่งอ่านฏีกาอย่างเคร่งเครียดทั้งๆ ที่สนมรักหายไป
ลั่วเหยียนเจิ้งนั่งเงียบ ในมือยังถือจดหมายแปกปลอมที่วางทับกับฏีกาไว้แน่นแล้วถอนหายใจเมียก็ห่วงงานก็ห่วง แต่หลังจากที่อ่านฏีจดหมายฉบับนี้แล้วทำให้อารมณ์หงุดหงิดดีขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะปรายตามององครักษ์ตัวเองเล็กน้อยแล้วเอ่ยดักคออย่างรู้ทัน
“ที่ร้อนรนอย่างนี้พวกเจ้าห่วงเมียข้าหรือว่าห่วงกวางหนุ่มตัวนั้นกัน”
“เอ่อ...ฝ่าบาทพวกกระหม่อมก็ห่วงพระสนมสิพ่ะย่ะค่ะ ไม่รู้หายไปไหนหากกลับไปนิกายมารฟ้าจะโดนรังแกหรือไม่ ฝ่าบาททรงเข้าใจผิดไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ” น้ำเสียงร้อนรนของหยางซือหมิงทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งหัวเราะในลำคออย่างรู้ทันก่อนจะอ่านจดหมายในมืออีกครั้ง
“เคลียร์งานของท่านให้เรียบร้อย ข้าจะรออยู่นิกายมารฟ้าหากต้องการให้ข้าอยู่เคียงข้าจริงๆ ท่านพี่คงรู้ว่าต้องทำอย่างไร ขอเตือนว่าท่านพ่อข้าเจ้าเล่ห์ไม่น้อยไปกว่าท่านระวังจิ้งจอกเฒ่าจะลอบกัดด้วย หลิ่วเหวินอี้”
ลั่วเหยียนเจิ้งยกยิ้มมุมปากคล้ายเห็นเรื่องสนุก กว่าจะได้ครอบครองหลิ่วเหวินอี้ก็หลอกล่อจนเหนื่อยยังจะมีจิ้งจอกเฒ่ามาขัดขวางความรักเขาอย่างนั้นหรือ ไม่มีทางเขาจะแสดงให้รู้ว่าต่อให้เจ้าเล่ห์เพียงใดก็ต้องพ่ายให้กับเขาให้จงได้ สองมือพับกระดาษไว้ในอกเสื้อและเริ่มทำงานอย่างจริงจัง ในเมื่อเมียรักรออยู่จะชักช้าไม่ได้
“รอเจิ้นก่อนนะอี้เอ๋อร์”
หลิ่วเหวินอี้กลับมานิกายมารฟ้าหลังจากหายไปเกือบครึ่งปี เวลานี้นิกายมารดูเงียบเหงามากเนื่องจากการหายตัวไปของพี่รองหลิ่วเชวี่ยนไป๋ แม้เขาจะรู้ดีว่าเพราะเหตุใดแต่เขาไม่จำเป็นต้องมาอธิบายให้ใครฟัง ทว่าการกลับมาครั้งนี้กลับเห็นภาพแปลกประหลาด ดวงตาเรียวสวยมองดูสองร่างที่กำลังแง่งอนต่อกันภายในเรือนดอกท้อของตนเอง ใบหน้างดงามที่เหมือนตัวเองไม่มีผิดเพี้ยนกำลังหงุดหงิดโมโหมู่ฉีดูแล้วก็แปลกตาเพราะโดยปกติเขาไม่เคยมีกิริยาแบบนั้นมาก่อนนอกช่วงหลังๆ ที่รู้สึกหงุดหงิดบ่อยเพราะราชภูตในหัวเมืองจะส่งผู้หญิงมาถวายให้ลั่วเหยียนเจิ้ง
“นายน้อย ข้าว่ามันแปลกๆ นะขอรับ” หลวนซานที่ยืนอยู่ข้างหลังเอ่ยออกมาเสียงเบา หลิ่วเหวินอี้ยกยิ้มมุมปากนิดๆ อาจจะแปลกจริงๆ ก็ได้ นี่คงเป็นสาเหตุที่มู่ฉีมีกิริยาแปลกไปจากครั้งสุดท้ายที่เจอกัน เหมือนเด็กที่ทำความผิด แต่เขาสงสัยว่ามู่ฉีจะหลงรักจั่วเหรินในร่างของเขาหรือว่ารักจั่วเหรินจริงๆ เท่านั้นเอง
“จั่วเหรินข้าขอโทษ ยกโทษให้ข้านะ”
“ไม่ ไปให้พ้น”
“แต่เจ้าเป็นเมียข้านะจะให้ข้าไปไหน”
“ใครเมียเจ้าอย่าพูดให้มั่ว เดี๋ยวจะมีคนเข้าใจนายน้อยผิดไป เจ้าคนใจโลเลไปให้พ้นข้าไม่อยากเห็นหน้าเจ้า”
“ข้าชอบเจ้าจะให้ข้าไปที่ใดกัน”
“ฮึ อย่าหลอกตัวเองเลย เจ้าชอบนายน้อยหาใช่ข้าไม่”
หลิ่วเหวินอี้นิ่วหน้ามองการสนทนาของทั้งคู่แล้วส่ายหน้า หน้าต่างมีหูประตูมีช่องแต่ทั้งคู่โต้เถียงกันอยู่ในสวนดอกท้อโจ้งแจ้งแบบนี้ชื่อเสียงของเขาไม่หายไปก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรแล้ว ร่างโปร่งกระโดดลงจากต้นไม้ลงไปหาทั้งคู่อย่างเงียบงัน ทั้งคู่มองมาที่ตนด้วยความตกใจ
“ข้ากลับมาแล้วไปเปลี่ยนชุดได้แล้ว” หลิ่วเหวินอี้บอกจั่วเหรินเสียงเรียบ ก่อนจะปรายตามองมู่ฉีอย่างเย็นชาจากสิ่งที่ได้ยินก็พอจะเดาได้ว่าเรื่องเป็นมาอย่างไร
“ขอรับ” จั่วเหรินตอบกลับเสียงเบาก่อนจะเดินเร็วกลับไปยังห้องของตน ความร่าเริงของอีกฝ่ายเหมือนจะหายไปเพราะไข้ใจจากที่ดูก็พอรู้ว่าจั่วเหรินรู้สึกอย่างไร เรื่องนี้ทั้งคู่เป็นคนในปกครองของตนเองแต่เรื่องของความรักเขาไม่อาจยื่นมือไปยุ่งเกี่ยวได้
“พิสูจน์ตัวเองว่าเจ้ารักจั่วเหรินจริงๆ มิใช่เห็นเขาเป็นตัวแทนของข้า”
“ขอบคุณนายน้อย ข้าเข้าใจแล้ว” มู่ฉีตอบรับด้วยความโล่งใจก่อนจะเร้นกายจากไปเมื่อเห็นเจ้านายโบกมือไล่
“นายน้อยจะใจดีไปหรือเปล่าขอรับ” หลวนซานเดินเข้ามาหาอย่างไม่เห็นด้วย
“ไม่หรอกข้าเข้าใจพวกเขา” หลิ่วเหวินอี้ยกยิ้มบางแล้วส่ายหน้าเบาๆ สองมือไขว่หลังเดินไปยังตึกใหญ่ซึ่งมีท่านพ่อที่แสนจะเจ้าเล่ห์อยู่ที่นั่น ความเคลื่อนไหวของเขาอีกฝ่ายคงจะพอรู้ไม่มากก็น้อย ในเมื่อปิดไม่มิดก็เปิดเผยไปเลยแล้วกัน...
ร่างสูงโปร่งในอาภรณ์สีขาวเนื้อดีปักดิ้นด้วยไหมทองงดงามลายหงส์ซึ่งคนธรรมดาไม่อาจมีไว้ครอบครองได้ ทว่าเวลานี้กลับอยู่นเรือนร่างสูงโปร่งของคุณชายสี่แห่งนิกายมารฟ้าผู้ขึ้นชื่อว่าเป็นฝ่ายอธรรม เหล่าลูกศิษย์น้อยใหญ่ที่ฝึกซ้อมวิชาอยู่ลานกลางของนิกายต่างหันไปมองนายน้อยผู้ซึ่งถูกเรียกขยะทางเดียวกัน ความสง่างามและรัศมีเจิดจ้ากว่าครั้งไหนที่เห็น ร่างกายที่ผู้คนบอกว่าไม่เอาไหนกลับสร้างความกดดันให้ผู้พบเห็นอย่างน่าตกใจ
“นั่นคุณชายสี่หรือ” หนึ่งในนั้นเอ่ยถามสหายคล้ายกับละเมอ คุณชายสี่ที่พวกมันรู้จักไม่ย่างกายเข้ามาทางตึกใหญ่ โดยเฉพาะลานฝึกของนิกายมารฟ้า อีกทั้งช่วงนี้ได้ข่าวว่าป่วยไข้เก็บตัวอยู่แต่เรือนดอกท้อแล้วเหตุใดวันนี้ถึงมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่
และคนที่แปลกใจไม่ได้มีเพียงแค่ลูกศิษย์เท่านั้น หลิ่วโอวหยางที่มาดูการฝึกซ้อมของเหล่าลูกศิษย์วันนี้ถึงกับเลิกคิ้วขึ้นสูงมองบุตรชายคนที่สี่อย่างประหลาดใจ มุมปากยกขึ้นคล้ายยิ้มและไม่ยิ้มมองดูความเปลี่ยนแปลงของบุตรชายอย่างใคร่สงสัย วันนี้เหตุใดจึงเผยความจริงที่ปิดบังซ่อนเร้นมาสิบกว่าปีออกมาให้ผู้อื่นพบเห็น ก่อนจะหรี่ตามองเสื้อผ้าที่บุตรชายสวมใส่ซึ่งคนธรรมดาคงไม่มีไว้ครอบครองเสื้อผ้าซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของเชื่อพระวงศ์!
“เหวินอี้คำนับท่านพ่อ”
หลิ่วเหวินอี้ยกมือคำนับบิดาที่จ้องมองตนอย่างเงียบงัน สายตามากมายหยุดลงที่เขาแต่นั่นไม่ได้ทำให้เขาใส่ใจแม้แต่น้อย ดวงตาเรียวมองผ่านไปยังหลิ่วเหวยจวงกับหลิ่วเมิ่งซุนซึ่งอยู่ข้างกายบิดา ดวงตาคมของทั้งคู่มองมาที่เขาคล้ายประหลาดใจ
“ชนะข้าให้ได้ ก่อนที่คิดจะออกจากนิกายมารฟ้า” หลิ่วเหวินอี้นิ่งอึ้งไป เขาไม่ได้ต้องการที่จะออกจากนิกายมารฟ้าเลยเพียงแค่อยากเป็นอิสระเท่านั้น ที่นี่เป็นที่แห่งแรกที่ลืมตาขึ้นมาในโลกแห่งนี้แม้มันไม่ได้อบอุ่นอย่างที่ควรจะเป็นแต่มันมีความผูกพันธ์ไม่น้อย
คำพูดของประมุขทำให้เหล่าลุกศิษย์ฮือฮาราวกับผึ้งแตกรัง มองดูคุณชายสี่ที่ไร้ประโยชน์ ไม่อยู่ในสายตาพวกมัน วรยุทธอ่อนด้อยมีแค่ความงามเท่านั้นที่เหนือกว่าผู้อื่น อีกทั้งนิสัยเย่อหยิ่งเย็นชาไม่เห็นหัวผู้ต่ำกว่าทำให้พวกมันเกียจชังนายน้อยสี่เข้ากระดูกดำ และคำยั่วยุจากคุณชายสามทำให้ไม่มีใครเข้าไปใกล้แม้แต่คนเดียว เพราะอาจจะเดือดร้อนอย่างไม่รู้ตัว วันนี้พวกมันได้ยินคำพูดของประมุขนิกายมารฟ้าเหมือนเป็นเรื่องเพ้อฝันเท่านั้น คุณชายสี่ที่วรยุทธอ่อนด้อยจับกระบี่แทบไม่เป็นจะชนะท่านประมุขได้อย่างไร น่าขำสิ้นดี!
“ตกลง” หลิ่วเหวินอี้ตอบรับเสียงดังเมื่อพิจารณารูปแบบประโยคและแววตาห่วงใยของอีกฝ่ายออกแม้เพียงชั่วครู่แต่เขากลับมองเห็นมันได้อย่างชัดเจน “ดวงตาทิพย์” นั่นคือสิ่งที่ลู่เฟยเคยบอกไว้ดวงตาของเทพพยากรณ์ที่หายตัวไปหลายพันปี เรื่องราวแต่หนหลังเขาไม่ได้เอ่ยถามเพราะคิดว่าอยู่ปัจจุบันดีกว่า เขาเคยเจ็บและจมปรักอยู่กับอดีตจนไม่มีความสุข ทว่าต่อไปนี้ไม่ใช่อีกแล้ว เพราะเขายังมีคนต้องคอยดูแลและปกป้อง
“หาเรื่องตาย” หลิ่วเหวินอี้ไม่ได้ใส่ใจคำพูดของพี่ใหญ่ แต่เดินไปยังลานประลองพร้อมหยิบกระบี่ในนั้นมาหนึ่งเล่ม แม้มันไม่ได้คุณภาพแต่ก็พอแก้ขัดไปได้ ตอนนี้เขาไม่มีอาวุธประจำกายหลังจากมันแตกหักไปแล้ว
“เหวยจวงไปเอาดาบวงเดือนและกระบี่จันทราในห้องเก็บอาวุธมา” คำสั่งของประมุขพรรคทำให้คนฟังต่างตื่นตระหนกเพราะกระบี่ทั้งคู่ถือว่าเป็นศาสตร์ตราวุธที่สำคัญของพรรคมีแต่ผู้ถูกเลือกเท่านั้นถึงจะได้ครอบครอง
“ขอรับ” แม้จะไม่เต็มใจแต่ก็มิอาจขัดคำสั่งบิดาได้ ผ่านไปหนึ่งเค่อเหวยจวงก็มาพร้อมกับศาสตร์ตราวุธ หลิ่วโอวหยางรับทั้งคู่มาก่อนจะทยานลงไปกลางเวทีซึ่งบุตรชายคนที่สี่รออยู่
“เจ้าต้องการใช้สิ่งใด” หลิ่วเหวินอี้มองศาตร์ตราวุธทั้งคู่ที่อยู่เคียงคู่นิกายมารฟ้ามาช้านาน ก่อนจะเลือกกระบี่จันทราแม้มันใช่กระบี่เทพเหมือนของลั่วเหยียนเจิ้งแต่มันก็เป็นกระบี่ที่ดี
“ทำไมคุณชายสี่ถึงได้โง่เขลาเช่นนั้น”
“หาเรื่องตายหรือยังไงคนที่ไม่เคยจับกระบี่จะสู้ประมุขได้อย่างไร”
“พวกเจ้าพูดถูกแค่ชนะคุณชายสามให้ได้ก่อนเถอะ”
“เงียบ!”
คำสั่นที่ดังก้องทั่วลานประลองอัดแน่นไปด้วยลมปราณทำให้ลูกศิษย์ที่นินทาดูถูกคุณชายสี่ต่างพากันเงียบกริบร่างกายสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว
หลิ่วเหวินอี้ไม่ได้เดือดร้อนใจกับเสียงนกเสียงกาที่กำลังดูถูกตนเอง เขากลับรู้สึกชื่นชอบเสียอีกเพราะพวกมันล้วนประมาทและต้องรับความพ่ายแพ้อย่างง่ายดาย แต่คนที่ไม่ได้ดูถูกศัตรูอย่างเช่นบิดานั่นถือว่าเป็นคู่ต่อสู้ที่น่ากลัว เขาลองตวัดกระบี่กับอากาศไปมาจนรู้สึกคุ้นมือ
“เข้ามา”
หลิ่วเหวินอี้มองร่างสูงสง่าดั่งภูผาของบิดาด้วยสีหน้าเรียบเฉย ความแข็งแกร่งของบิดาคือของจริงประมุขนิกายมารฟ้าไม่ได้มาเพียงแค่ชื่อ เขายกมือคารวะตามธรรมเนียมผู้น้อย ก่อนจะพุ่งเข้าหาร่างของหลิ่วโอวหยางด้วยความเร็ว
ร่างสีขาวเคลื่อนกายพุ่งเข้าหาประมุขนิกายมารฟ้าด้วยเร็วจนแทบมองตามไม่ทัน ทำให้ผู้คนรอบข้างต่างมองตามอย่างตกตะลึง พวกมันกำลังฝันไปใช่ไหม ความเร็วขนาดนั้นคนที่ไร้ประโยชน์จะทำได้เช่นไร
เคร้ง เคร้ง เคร้ง...
กระบี่สีดำสนิทปะทะเข้ากับดาบวงเดือนที่โค้งยาวเป็นวงกลมล้อมร่างประมุขหลิ่วโอวหยางไว้ ความเร็วที่โจมตีและตอบโต้ทำให้ทุกคนต่างตื่นตระหนก โดยเฉพาะหลิ่วเหวยจวงบุตรชายคนโตที่ไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง น้องสี่ของมันมีวรยุทธและไม่ได้ต้ำช้าแม้แต่น้อย หมายความว่าที่ผ่านมาหลิ่วเหวินอี้ปกปิดความจริงมาโดยตลอด แต่ทำเช่นนั้นทำไมในเมื่อถูกตราหน้าว่าเป็นขยะ
เปรี้ยง!!!
พลังสองสายปะทะกันอย่างรุนแรง สองร่างถอยห่างจากกันไปสามก้าวหลิ่วโอวหยางมองบุตรชายด้วยรอยยิ้มมุมปาก เป็นอย่างที่คิด เจ้าเด็กนี้ร้ายกาจแต่อย่างไรก็ยังเป็นแค่เด็กน้อย ดวงตาคมเบิกกว้างอีกครั้งเมื่อร่างของบุตรชายเคลื่อนกายเข้ามาด้วยความเร็วจนเกิดภาพลวงตา สองมือตวัดกระบี่ตอบรับและตอบโต้ด้วยคามเร็ว
ตูม!
ทว่ากลับช้าไปหนึ่งก้าว ร่างประมุขนิกายมารฟ้ากระเด็นถอยห่างไปอีกเจ็ดก้าว ดวงตาคมหรี่มองบุตรชายที่ก้าวเท้าบางอย่างจนเกิดภาพลวงตามันเป็นวิชาอันใดในนิกายไม่เคยมีวิชาเช่นนี้มาก่อน
เคร้ง เคร้ง เคร้ง
หลิ่วเหวินอี้ก้าวเท้าสลับกันไปมาด้วยความเร็วเพื่อให้เกิดภาพลวงตา และยังใช้พลังลมปราณของจิ้งจอกวิชาอาคมที่ฝังลึกเข้ามาในใจเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายจึงทำให้ไม่อาจแยกออกได้ว่าร่างไหนจริงร่างไหนคือภาพหลอก
เปรี้ยง!
ภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้เหล่าลูกศิษย์ต่างมองตามอย่างโง่งม นี่มันเกิดอะไรขึ้นคนที่ไร้ประโยชน์สามารถทำให้ประมุขก้าวถอยหลังได้ ที่สำคัญพลังโจมตีมันไม่ใช่ต่ำอีกทั้งมากมายกว่าพวกมันเสียอีก ใบหน้าแต่ละคนอ้าปากค้างอย่างตะลึงอีกทั้งเบิกตากว้างขึ้นมากกว่าเดิม เพื่อให้เห็นว่าสิ่งที่เห็นมันคือความจริงไม่ใช่เพราะความเข้าใจผิด
สองร่างโรมรันฟันแทงกันอย่างดุเดือด พลังลมปราณที่น่าหวาดกลัวกระจายทั่วอากาศ ความกดดันทำให้เหล่าคนดูต่างถอยห่างออกไปไกลสามเมตรเพื่อความปลอดภัยของตัวเอง พื้นลานประลองแตกร้าวจนกระทั่งยุบลงไม่หลงเหลือเค้าเดิม ทว่าสองร่างที่ฟาดฟันกันนั้นไม่อาจมองด้วยตาเปล่าได้เพราะความเร็วของวรยุทธขั้นสูงและพลังวัตรที่เอ่อล้นจนยากที่จอมยุทธธรรมดาจะมองตามได้ทัน
เปรี้ยง!
หลิ่วโอวหยางตอบโต้บุตรชายได้อย่างดุเดือดแม้จะฟาดฟันไปยังเงาร่างลวงตาบ้างแต่ด้วยความเร็วที่ตวัดดาบวงเดือนกลับมาทันทำให้ไม่ได้รับคมกระบี่จันทรา แต่เมื่อหลายครั้งเข้าจึงได้พลาดท่าเสียทีจนได้รับบาดเจ็บที่ไหล่ซ้าย ความสามารถของหลิ่วเหวินอี้ช่างน่าหวาดหวั่นและน่าภูมิใจเสียดายที่เจ้าตัวไม่โลภมากในอำนาจแต่ถึงกระนั้นก็ยังได้อำนาจที่เหนือกว่าชาวยุทธภพ
“ท่านพ่อท่านคงไม่ได้ออกแรงมานาน วิชาท่านคงไม่ขึ้นสนิมหรอกใช่หรือไม่” หลิ่วเหวินอี้มองร่างที่ได้รับบาดเจ็บอย่างรู้สึกผิดเล็กน้อย จึงได้แสร้งเอ่ยถามเพื่อไว้หน้าให้กับบิดา เขาคงเอาชนะประมุขนิกายมารฟ้าไม่ได้จริงๆ เช่นนั้นแล้วคนตรงหน้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ใดลูกศิษย์จะเคารพอยู่เช่นเดิมหรือไม่ แม้ไม่ได้ผูกพันธ์แต่อย่างไรจิ้งจอกเฒ่าก็ยังเป็นบิดาบังเกิดเกล้า
“เจ้าชนะแล้วเหวินอี้” หลิ่วเหวินอี้มองหน้าบิดาที่ไม่ได้มีใจสู้ต่ออาจเพราะเห็นผลลัพท์ที่จะตามมา เขายกมือคารวะแล้วเอ่ยตอบเสียงเรียบ
“ขอบคุณท่านพ่อที่ออมมือ”
“เอาเถิดเรื่องนี้ไปคุยกันในห้องหนังสือแล้วกัน” หลิ่วโอวหยางเดินมาตบไหล่บุตรชายพร้อมเดินนำไปยังห้องสมุด
สองร่างที่เดินจากไปนั้นดูสง่างามน่าเกรงขาม การประลองเมื่อครู่ดูก็รู้ว่ายังออมมือ แต่สิ่งที่ทำให้พวกมันไม่อยากเชื่อคือคุณชายสี่ไม่ใช่ขยะอีกต่อไป พลันใดนั้นข่าวลือของคุณชายสี่หลิ่วเหวินอี้ต่างร่ำลือไปไกลทั่วแคว้นว่ามีวรยุทธล้ำเลิศสามารถต่อสู้กับบิดาได้อย่างทัดเทียม จากคุณชายเจ้าสำราญชอบทำตัวไร้ค่ากับเป็นคุณชายน้อยมากความสามารถเพียงชั่วข้ามคืน ข่าวลือนี้ยังมีต่อไปอีกเนิ่นนาน บ้างก็ใส่สีตีไข่จนบัดนี้คุณชายสี่กลายเป็นผู้วิเศษไปเสียแล้ว...
ขอบคุณทุกกำลังใจมากนะคะ อีกหนึ่งตอนก็จบแล้ว ฟางมีกิจกรรมแจกหนังสือเรื่องเล่ห์รักเทวาสรรค์ในหน้าแฟนเพจตามไปเล่นได้ค่ะ แล้วพบกันใหม่ค่าาา