จากหนึ่งบิดพริ้วเป็นสองส่วน
ตอบองค์ครบถ้วนมิหวนไห้
ขาดหนึ่งเหลือหนึ่งจึงจำใจ
แฝงไว้เร้นกายหนึ่งแสงเงา
ตามตำรับตำราที่ว่าไว้
มิให้ใครเข้าค้ำคำคนเขลา
มีสองเหลือหนึ่งให้คิดเอา
ลอบแผนเชาว์เราหนึ่งเจ้า..เดาอุบาย
-๒๘-
ผมเคยคิดว่าช่วงเวลาปิดเทอมเล็กในเดือนตุลามันช่างแสนสั้นนัก
..แต่ตอนนี้มันกลับยาวนานเหมือนผ่านไปเป็นปี ทุกวันที่ผมเอาแต่นั่งจดจ่ออยู่กับโทรศัพท์มือถือที่ไม่มีใครโทรเข้า ข้อความในไลน์ที่ส่งไปไม่รู้จักกี่ครั้งก็ไม่มีคนเปิดอ่าน อีเมลล์ แชทเฟส ทวีตเตอร์ กับอีกหลายครั้งที่ผมตัดสินใจโทรไปหาแต่ก็ไม่มีสัญญาณตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก และนั่นไม่ใช่ทั้งหมดที่ผมทำ
สองอาทิตย์แรกผมตัดสินใจกลับไปนอนรอที่บ้านอย่างกระวนกระวายใจ
แต่ก็กลับมานอนรอที่หอในช่วงเวลาที่เหลือด้วยเผื่อว่าเขาจะกลับมา
มันคือความหวาดกลัว
…ที่เราไม่รู้อะไรเลย ทุกวันผมยังไปนั่งรอที่หน้าตึกคณะประหนึ่งสัมภเวสีเผื่อว่าจะเห็นเขาสักแวบหนึ่ง รุ่นพี่ปีสี่ส่วนใหญ่กำลังยุ่งกับโปรเจคจบทำให้พวกเขาต้องไปมหา’ลัยกันแทบทุกวัน แต่หนึ่งในนั้นไม่ใช่ไอ้พี่วัน เพราะไม่ว่าจะถามใครกี่ครั้งกี่หนก็ไม่มีใครเห็นเขาเลย แม้กระทั่งอาจารย์ที่ปรึกษาของเขาเองด้วยซ้ำ
และตอนนั้นเองที่ผมกำลังคิดว่าตัวเองกำลังจะเป็นบ้า ไอ้โป๊ยก็โทรมา
“ว่าไง..”
((…กูได้ยินมาว่ามึงอยู่หน้าคณะ)) ผมไม่มีเหตุผลอะไรจะปฏิเสธมัน สายข่าวในม.เราเร็วจะตาย ซึ่งก็เป็นอย่างนี้มาตั้งนานแล้ว…
“ใช่”
((รอพี่วันเหรอ?))
“อื้อ”
((เจอบ้างยัง))
“ยังเลย”
โป๊ยรู้ว่าผมรอเขามานานแค่ไหนแล้ว..ตั้งแต่ที่โรงพยาบาล ตั้งแต่สอบเสร็จ ตั้งแต่ปิดเทอม…จนมาถึงวันนี้มันเป็นวันที่เท่าไหร่…แม้แต่ผมเองก็ไม่เคยนับ
และมันก็พูด..ในสิ่งที่มันพูดมาตลอด
((ไม่เป็นไรมั้งมึง เดี๋ยวพี่วันเค้าก็คงมาเองแหละ))
“แต่ปีสี่มันต้องเตรียมทำโปรเจคแล้วนะเว้ย” ผมพูดเสียงดังใส่หูโทรศัพท์อย่างลืมตัว รู้สึกว่าอะไรบางอย่างที่อัดอั้นอยู่ในอกมันมากกว่าความเหงาและความว้าเหว่ “ต้องทำเรื่องโน่นนี่ ต้องปรึกษาอาจารย์ พี่ๆทุกคนเค้าก็มากันหมด แล้วไอ้พี่วันก็ยังไม่มา…มึงไม่คิดว่ามันแปลกบ้างรึไง”
((…..กูคิดว่ามันแปลกตั้งแต่แรกแล้ว)) มันขึ้นบ้าง
((โดยเฉพาะมึงอ่ะแหละ)) …
ผมเงียบทันที
((ไปหาไรกินกัน)) มันบอก ((ของหวานๆเย็นๆก็ได้ ดับอารมณ์มึงหน่อย))
“อื้อ” ผมรับ “ขอบใจว่ะ…”
((เดี๋ยวเค้าก็มา เชื่อกู))
“อื้อ”
((พี่วันไม่ใช่คนขาดความรับผิดชอบขนาดนั้นน่า))
บอกตามตรงว่าผมไม่เชื่อคำพูดมันหรอก แต่ตอนนั้นไม่มีอะไรที่พอจะเป็นความหวังไปได้มากกว่า ‘ความเชื่อ’ พวกนั้นอีกแล้วล่ะ
ผมนัดเจอกับไอ้โป๊ยที่หน้ามหา’ลัยตามที่มันบอก อีกฝ่ายบอกว่าจะชวนเพื่อนๆไปหาไรหวานๆกินแถวเสาชิงช้า ซึ่งก็โอเคครับ ผมคิดว่าหลายวันมานี้ผมเหนื่อยกับ ‘การรอคอย’ เหลือเกิน และนี่คงจะเป็นสิ่งที่เรียกว่า ‘การผ่อนคลาย’ ที่แท้จริงล่ะมั้ง
อากาศในช่วงเดือนตุลาซึ่งเพิ่งพ่นหน้าฝนและกำลังเตรียมเข้าหน้าหนาวควรจะเย็นกว่าหน้าร้อน แต่เพราะประเทศไทยทำสัญญาจองดวงอาทิตย์เอาไว้ก็เลยพูดไม่ได้ว่าอากาศดีนัก
ผมหิ้วถุงเปปซี่(อุปกรณ์แก้ร้อน)ลากรองเท้าเตะออกมายืนรอหน้าประตู ทักทายกับรุ่นน้องที่นัดกันมาซ้อมเชียร์แว่บหนึ่งทั้งๆที่ไม่ได้อยากเจอใคร หลายครั้งที่เผลอใช้สมาธิไปกับการมองหาไอ้พี่วันโดยไม่รู้ตัว…ทั้งที่รู้ว่ายังไงก็ไม่เจอ
..การอยู่คนเดียวมันช่างฟุ้งซ่าน
..และผมเข้าใจแล้วว่าทำไมคนเราถึงเป็นบ้าได้ ผมคิดถึงเหตุการณ์ที่อยู่ในน้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่าเหมือนภาพยนตร์เก่าๆที่ฉายวนไปวนมาไม่รู้จบ ครั้งแรกที่ผมเห็นเขาในร่างจระเข้ตัวมหึมา วินาทีที่ทวนหางขนาดใหญ่ฟาดปั๊กลงมาที่สะพาน ตัวผมที่กำลังดำดิ่งลงข้างล่างกับคลื่นมหึมาถาโถมจนคิดว่าจะขาดอากาศหายใจตาย…..
….ไปจนถึงน้ำสีแดงคล้ำที่ค่อยกระจายอยู่บนผิวน้ำนั่นก็ด้วย “เฮ้ย!” จู่ๆก็มีอะไรบางอย่างมากระแทกไหล่ปั๊กจนแทบล้ม
ความตกใจทำให้ผมเผลอสะบัดมือไปปัด--เพี๊ยะ! แรงจนเจ็บทั้งมือทั้งไหล่…ส่วนไอ้คนผลักแม่งแทบชักมือกลับแทบไม่ทัน แถมยังกระพริบตาปริบๆอ้าปากพะงาบด้วยความตกใจไม่แตกต่างจากผมนัก
“ไอ้เหี้ย ตกใจขนาดนั้นเลยเรอะ…”
“ก…ก็มึง….” ผมเปลี่ยนมายกมือกดหน้าอกตัวเองไว้แน่น ไม่อยากให้ความตกใจจู่โจมไปมากกว่านี้ “…มึงนั่นแหละ เข้ามาไม่ให้ซุ่มให้เสียง”
“แล้วกูต้องเรียกมึงล่วงหน้าระดับไหนวะ สิบเมตรมั้ยยังไง?”
“โอ้ย อย่ากวนตีนน่า”
“เออ ไปได้ละ…อ๊ะ แดกหน่อย”
ไอ้โป๊ยฉวยเปปซี่ถุงที่เกือบละลายแล้วในมือผมไปดูดจนหมด ละโยนลงถังขยะ
“แล้วคนอื่นๆอ่ะ?”
“ไปกันที่ร้านละ วันนี้กูนี่แหละสาย”
“โอ้ยเวร เลยลากกูไปสายด้วยเลยว่างั้น?”
“ใครว่าเล่า กูพามึงมาบันเทิงเว้ย”
“กูละเหนื่อยเหลือเกิน..”
“อดทนหน่อยสิ”
“เฮ้อ”
อีกฝ่ายมอง
“….ไหวป่าววะ?” “ก็ต้องไหวป่ะ?”
“เอาน่า” มันตบไหล่ผม ลากไปขึ้นตุ๊กตุ๊ก “กินไอติมให้หายเครียดไปพวก”
ผมยิ้มอ่อน สัมผัสได้ลางๆว่าความพยายามของไอ้โป๊ยที่อยากให้ผมร่าเริงมันมากมายแค่ไหน เพื่อนก็แบบนี้แหละครับ..ความสัมพันธ์ที่ยิ่งใหญ่กว่าคำว่า..คนรัก..มาก และพอนึกถึงตอนที่ทำตัวงี่เง่าใส่มันเพราะเรื่องเครียดๆแล้วมันก็อยากจะ ‘ขอโทษ’ เหลือเกิน…..แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดออกไป
ไม่นาตุ๊กตุ๊กก็ปุเลงๆพาเราทั้งคู่มาถึงร้านได้สำเร็จ ไอ้โป๊ยเดินลงไปหาเพื่อนๆที่นั่งกันเต็มร้านก่อน ส่วนผมก็รับหน้าที่จ่ายเงินไปสิครับพับผ่า..ถอนความคิดเมื่อครู่ไปได้เลย!
“โป๊ย! ไกร! ทางนี้!” ผมหันกลับมาตามเสียงเรียกแล้วก็เดินต่อกแต่กไม่ทันได้มองทางเพราะกำลังวุ่นกับการเก็บเงินทอนเข้ากระเป๋า ซิปช่องเหรียญมันติดต้องยึกยักอยู่นานกว่าจะเปิดออกได้สำเร็จ
และเมื่อผมเงยหน้าขึ้นมา ลมหายใจก็แทบจะหยุดชะงัก..แต่ก็ไม่ถึงกับตกใจ
…อาจเพราะเรื่องที่จะได้เจอกันวันนี้…
เหมือนมีอะไรบางอย่างบอกผมไว้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว กว่าที่เธอจะเงยหน้าขึ้นมาสบตากับผม..ก็เป็นจังหวะที่ผมเลือกเก้าอี้นั่งข้างๆเธอ ผมดึงเก้าอี้ไม้ตัวกลมออกมานั่ง ขณะที่โป๊ยเลือกที่ว่างอีกทีตรงมุมโต๊ะฝั่งตรงข้าม
อีกฝ่ายเอียงหน้ายิ้มหวาน..รอยยิ้มหวานๆเหมือนนางฟ้าที่ทำให้ผมเกือบเคลิ้มไป..แม้จะเพียงชั่วขณะ
“สวัสดีจ้ะไกร”
ทุกอย่าง…เป็นเหมือนเช่นปกติราวกับว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน
“สวัสดี” ผมทักกลับ
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ..แก้ว”+++++++++++++++++++
..จริงๆแล้วมันเป็นเวลาเพียงแค่เกือบๆสามอาทิตย์..
ถ้าเปรียบเทียบกับบรรดาเพื่อนต่างเพศที่อยู่ต่างกลุ่มสำหรับผมผมว่ามันไม่ใช่ระยะเวลาที่ยาวนานอะไรนัก แต่อาจเพราะข้อสงสัยนั้นมันค้างคาอยู่ในใจมานานมากพอที่ผมควรจะอึดอัด และควรจะหยุดหนีความจริงแบบนี้สักที
…เมื่อใส่อาวุธตีบวกครบก็พร้อมพุ่งชนลาสต์บอส
……..ให้ตายเถอะ ทำไมผมต้องคิดว่าตัวเองเป็นฮีโร่อะไรแบบนั้นด้วยนะ… ที่โต๊ะสั่งไอศครีมหม้อไฟมาทานกันสามหม้อ ซึ่งเป็นไปตามคาด..ผมได้กินหม้อเดียวกับแป้งและเพื่อนอีกสองคน ซึ่งเราก็สนิทกันพอประมาณอยู่แล้วเลยไม่ได้ตะขิดตะขวงอะไร แถมเรื่องที่คุยกันส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องทั่วไปซะด้วย พอจะเป็นโหมโรงศึกที่ไม่เลว
ทั้งๆที่ผมกำลังฮึกเหิมจะเป็นจะตาย กลับกันแก้วกลับไม่ได้มีท่าทีร้อนรนแปลกตาอะไรเลยแม้แต่น้อย จนผมเริ่มเอะใจ ว่าที่สันนิษฐานมาในตอนแรกทั้งหมดมันเป็นเรื่องที่ผิดพลาดหรือความจริงแล้วมันก็แค่………
…ผมมองข้ามอะไรบางอย่างไปรึเปล่านะ?
“แก้ว” กว่าจะคิดทัน ผมก็เอ่ยเรียกชื่อเธอออกไปซะแล้ว
อีกฝ่ายหันมามองผม แล้วยิ้มให้ “อะไรจ๊ะไกร?”
“…วันก่อนขอบคุณนะ” ทุกสิ่งทุกอย่างในสมองผมตีกันไปหมด แต่ก็คิดว่าคำพูดเมื่อครู่ไม่เลวทีเดียว “ที่ช่วยเราขึ้นจากน้ำ”
เธอมองหน้าผม
..วูบหนึ่ง ที่สัมผัสได้ถึงบางอย่างแปลกประหลาดในดวงตากลมโตคู่นั้น ก่อนจะแปรเปลี่ยนไป..
“อ้อ” เธอยิ้ม “ไม่เป็นไรหรอก”
“แก้วไปทำอะไรแถวนั้นเหรอ?”
“เรากลับบ้านทางนั้นพอดีน่ะ”
….
ถ้าไม่ได้มองด้วยอคติ ผมคงไม่พบพิรุธอะไรเลยในคำพูดเหล่านั้นเลย
แก้วยิ้มหวานเหมือนที่ปกติเธอก็เป็น ดวงหน้าใสใต้เครื่องสำอางค์บางๆไม่ได้สื่ออะไรนักมากไปกว่าสเน่ห์มากมายที่ถ้าเป็นผมเมื่อ2-3เดือนก่อนคงเผลอเคลิ้มไปแล้ว นอกเหนือจากแววตาที่วูบไหวอย่างประหลาดเพียงเสี้ยววินาทีนั้นก็..แทบไม่มีอะไรผิดสังเกต
…แถมเธอยังถามผมกลับอีก “มีอะไรรึเปล่าไกร…สีหน้าดูไม่ดีเท่าไหร่เลย”
“….เปล่า” พลังงานเกือบทั้งหมดวิ่งไปบังคับไม่ให้ตัวเองเผลอยกมือลูบหน้า “ไม่มี..อะไรหรอก”
“อาฮะ”
“…จริงๆก็มี…” “หืม?”
“แก้วชอบจระเข้มั้ย?” ..บ้าจริง..ผมถามห่าอะไรออกไปวะ? แต่เพราะคำถามงี่เง่าแบบนั้นแม่งโพล่งออกไปแบบไม่ทันคิดนั่นแหละ อีกฝ่ายก็เลยไม่ทันคิดเหมือนกันว่าผมจะถาม เธอดูฉงน ตกใจ และนิ่งค้างไปทั้งแบบนั้นเลย
ผมคิดว่าคำถามมันธรรมดาเกินไปนะ
..แต่สำหรับเราทั้งคู่..มันคงมีความหมายอะไรมากกว่านั้น.. ขณะที่ผมกำลังจะเอ่ยปากพูดอะไรสักอย่างที่ผมยังคิดต่อไม่ออก เสียงที่อยู่ฝั่งตรงข้ามก็ดังขึ้น
“ไกรชอบจระเข้เหรอ?” แตงโมถามด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ
“ชอบแบบไหนอ่ะ? ถ้ากระเป๋าหนังจระเข้ก็โอเคนะ”
“แก วันก่อนชั้นไปกินลูกชิ้นเนื้อจระเข้มา”
“เฮ้ย ที่เค้าบอกว่าเหมือนเนื้อไก่แม่งจริงป่ะวะ?”
“บอกตามตรงไม่ค่อยรู้รสว่ะ”
“อ้าวกำ”
“ก็เนื้อๆเหมือนกันแหละ กินได้ก็พอละ”
“พูดถึงจระเข้ วันก่อนดูข่าวปะวะ”
“ข่าวไรๆ”
“ที่จระเข้หลุดจากฟาร์มอ่ะ ชาวบ้านแถวนั้นกลัวกันใหญ่”
“ตอนน้ำท่วมปี54 แถวบ้านกูก็มีจระเข้หลุดมาเหมือนกัน”
“แล้วมึงทำไง?”
“หนีดิ จะอยู่ทำซากอ้อยอะไร..สุดท้ายก็จับได้อ่ะนะ”
“ค่อยยังชั่วหน่อย”
“ไอ้ข่าวจระเข้หลุดๆนี่ก็เห็นมีบ่อยๆนะ น่าจะมีมาตรการรักษาความปลอดภัยที่ดีกว่านี้”
“มันเป็นสัตว์ดุร้ายเหรอ? ไม่ใช่ว่าถ้าเราไม่ทำอะไรมันก็ไม่ทำเหรอ?”
“…ก็ไม่รู้สินะ”
“มันก็สัตว์กินเนื้ออ่ะ ปลอดภัยไว้ก่อน”
“เราก็กินเนื้อเหมือนกับมันนั่นแหละ”
ผมกับแก้วยังมองหน้ากันอยู่ระหว่างที่เพื่อนในโต๊ะชวนคุยเรื่องต่างๆนานากันต่อไป
และจากการกระทำนั้นผมถึงรู้ว่าเธอเองก็รู้เหมือนกัน
อีกฝ่ายหลุบตาลง เม้มปาก
และในที่สุด..เธอก็กระซิบออกมา
“คิดอยู่แล้วว่า…วันนี้ต้องมาถึงเข้าสักวัน..” คำนั้นทำให้ผมรู้สึกมากกว่าคำว่าตะลึงค้าง..หัวใจที่เต้นระรัวอยู่ในอกโครมครามนี้บอกได้แทบทุกอย่าง ยิ่งเมื่ออีกฝ่ายช้อนดวงตากลมโตแน่วแน่ขึ้นมาสบตากับผม มันก็เป็นความรู้สึกที่คล้ายกับว่า..เรากำลังถูกผลักให้ตกจากปากเหวลึก..ที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ไม่ร่วงลงไปถึงก้นบึ้งนั้นสักที…
“..เราขอโทษ”+++++++++++++++++++
ผมเดินตามเธอมา
จริงๆแล้ว…ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเดินตามเธอมาทำไม
เพียงแค่อีกคนบอกให้ผมทำตามนั้นโดยไม่ยอมตอบคำถามอื่น(ซึ่งผมก็ไม่ได้ถามอะไรเพิ่มเติมหรอกฮะ มันตกใจจนอะไรๆก็พูดออกไปไม่ได้) หลังจากกินไอศครีมแบบไม่ค่อยรู้รสเท่าไหร่ไปจนจบวง ทุกคนก็แยกย้ายกันกลับบ้าน..หลายคนไปสยามกันต่อ โป๊ยจะชวนผมกลับบ้าน แต่..แก้วเดินมาชวนก่อน
และเหตุการณ์นั้นทำให้ทั้งผมทั้งโป๊ยอึ้งกิมกี่ ผมมองหน้ามัน..จำได้ลางๆว่ามันเคยบอกว่ามันชอบแก้ว แต่ก็ไม่ได้ทำหน้าอิจฉาอะไรผม จนผมเนี่ยแหละต้องเป็นฝ่ายบอกเองว่าเดี๋ยวเล่าให้ฟังวันหลัง
ตอนนี้ผมหยุดยืนอยู่ที่หน้าบ้านเดี่ยวหลังหนึ่งไม่ไกลจากถนนใหญ่นัก ละแวกนี้ดูธรรมดา..ก็เหมือนบ้านของคนธรรมดา ดูจากลักษณะของบ้านท่าทางจะมีอายุมากกว่า30-40ปี ที่ผ่านการบูรณะมาหลายครั้งแล้วแต่ยังคงกลิ่นไอของสิ่งปลูกสร้างในสมัยนั้นอยู่
ได้ยินเสียงเด็กปิดซอยเล่นตีแบดกันไกลออกไป อาม่าอากงนั่งคุยกันหน้าบ้านจ้อกแจ้ก แมวหลายใช้กำแพงบ้านที่ต่อเนื่องกันนี้แทนถนนเดิน ท้องฟ้ายามตำวันเริ่มคล้อยต่ำลงนั้นมืดลงอย่างรวดเร็วจนน่าประหลาดใจ แต่ยังไม่ทันที่มันจะตกดิน เสาไฟสาธารณะก็ติดขึ้นมาสว่างไสวเรียกเหล่าแมลงหวี่ตัวเล็กตัวน้อยมาสุมหัวกันทุกระยะ แต่ทุกคนก็ยังดำเนินชีวิตประจำวันของตัวเองอย่างเป็นธรรมชาติ
ไม่มีอะไรผิดแปลกเลยสักนิด
…จะมีก็แต่ผมเนี่ยแหละ แก้วเปิดประตูเหล็กสีเทาฟ้าเข้าบ้านตัวเอง มันดังก๊องแก๊งสะเทือนฉุดให้ผมขึ้นมาจากภวังค์
ในที่สุดผมก็พูดออกมาได้
“เราไม่เข้าไปนะ” ผมบอกเธอ ชัดเจน
สิ่งที่อยู่ในสมอง…มีแต่คำว่า
‘อันตราย’ ประสบการณ์หลายครั้งหลายหนบอกให้ผมรู้ว่าผมควรจะเริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเอง ไม่ใช่คนที่ยอมเลยตามเลย..ตามน้ำไหลไปเจอกับอะไรก็ไม่รู้ข้างหน้า เพราะว่าไม่มีอะไรที่เกิดขึ้นไม่ได้ ที่ผ่านมาผมต้องเผชิญหน้ากับอันตรายมาหลายครั้งแล้วและ…ไม่อยากจะเจออีก
…อย่างน้อยก็ไม่ใช่วันนี้ เธอหันมามองผม ท่าทางจะอ่านทุกอย่างออกทั้งหมดจากสีหน้าของผมออก
“เข้ามาเถอะ” เธอพูด..เสียงหวานนั้นสั่นเครือไม่แพ้ของผมเลย “ไม่มีอะไรหรอก”
“ถ้าไม่มีอะไร แก้วจะพาเราเข้าไปทำไม”
“แค่ห้านาที ห้านาทีแล้วเราจะพาไกรออกมาจ้ะ” แก้วมองตาผม ไม่มีประกายลังเลในดวงตาคู่นั้น “สัญญาว่าจะพาออกมาแน่ๆ ถ้ากังวล..จะโทรหาโป๊ยหรือเพื่อนคนอื่นก็ได้นะ”
มันทำให้ผมคล้อยตาม
แต่….
“…ถ้ามีอะไร ทำไมแก้วไม่พูดตรงนี้ล่ะ พูดมาตรงๆเลย” ผมถามเธอ เสียงไม่ได้ดังมาก..แต่พบว่าน้ำเสียงนั้นกระด้างเกินกว่าจะใช้พูดกับผู้หญิง
“แก้วมีอะไรปิดบังน่ะเราไม่สนใจหรอก…ถ้าแก้วไม่สะดวกจะบอก เราคิดว่าแก้วเป็นเพื่อนและ..และคิดว่าแก้วไม่มีทางทำร้ายเราเพราะความเป็นเพื่อน แต่ที่เราเห็นทั้งหมดมันไม่ใช่ แก้ว…แก้วก็แค่บอกเราว่า…มันเกิดอะไรขึ้น?”
ระหว่างเรามีแต่ความเงียบ
จนในที่สุดพระอาทิตย์ก็ตกดินไปจนเหลือแต่ท้องฟ้ามืดมิดไร้ดวงดาว มันคงเป็นชั่วเวลาเพียงแค่อึดใจ ก่อนที่เธอจะตอบคำถามของผมด้วยน้ำเสียงที่เบามาก
“เราเอง..ก็ไม่รู้” “หา?”
“…เราขอโทษไกร เรา..เราไม่รู้อะไรเลย และ..เราเสียใจ” เธอทำหน้าเหมือนจะร้องไห้..เพียงแค่ไม่มีน้ำตา
“เราอยากให้ไกรไปดูด้วยตาของไกรเอง” และไม่ว่าจะด้วยสาเหตุอะไรก็ตาม ผมก้าวเท้าตามเธอเข้าไป
หัวใจที่กำลังเต้นกระหน่ำแบบนี้บอกผมว่าผมกำลังถลำลึกเข้าไปมากกว่าเดิม ผมนึกถึงเรื่องต่างๆ..เรื่องอาจารย์คงที่ผมแทบจะลืมไปแล้ว เรื่องพ่อกับอาที่กลายเป็นแค่เรื่องจิ๊บจ๊อย เรื่องเพื่อนที่มหา’ลัยเฮฮาปาร์ตี้ เรื่องชีวิตที่ปกติสุขของผมมาโดยตลอดจนกระทั่ง…ได้รู้ความลับของพี่วัน
…ถ้าผมเป็นอะไรไปตอนนี้…จะไม่มีทางได้รู้เรื่องพี่วันอีกเลย
บ้าจริง..
…ผมกำลังโทษตัวเอง…ว่าเดินเข้ามาในที่แบบนี้ได้ยังไง ประตูกรอบไม้ลูกฟักกระจกใสถูกดันให้เปิดออกอย่างช้าๆ ถ้าไม่นับความเงียบสงบแล้วที่นี่ก็แทบไม่ต่างอะไรกับบ้านธรรมดาของคนชั้นกลางค่อนไปทางสูงนิดหน่อยด้วยซ้ำ ตั่งไม้ครบชุดหน้าทีวีมีหมอนวางระเกะระกะ ขนาดรีโมทยังเก็บไว้ตามซอกเบาะหนังด้วยซ้ำ ผมเดินผ่านชั้นหนังสือเก่าๆที่หนังสือทุกเล่มดูเหมือนผ่านการหยิบจับบ่อยจนคุ้มราคา นาฬิกาลูกตุ้มยืนตายอยู่ระหว่างชั้นวางของกับห้องครัว ที่ผมเผลอเลี้ยวขึ้นบันไดเสียก่อน
ผมพยายามดูให้ครบ เก็บทุกเม็ดอย่างละเอียด ดูหน้าต่าง..หาทางหนีทีไล่แบบที่พระเอกในหนังไล่ฆ่ามันชอบทำ และให้ตาย..บ้านหลังนี้ไม่ได้มีอะไรแอดว๊านซ์ล้ำสมัยอะไรให้เก็บรายละเอียดขนาดนั้น
มันก็แค่…บ้านธรรมดา
ที่ดูเหมือนคนในครอบครัวจะเยอะไม่น้อยนั่นแหละ
“นี่ห้องเรา”
เธอชี้ที่ห้องแรกทันทีที่เราเดินขึ้นบันไดมาด้วยรอยยิ้ม..อารมณ์ดีคล้ายเด็กที่เพิ่งเคยพาเพื่อนมาบ้านครั้งแรก
แต่ก็เท่านั้นครับ เธอไม่ได้เปิดให้ผมเข้าไป
“นี่ห้องพ่อกับแม่เรา นี่ห้องน้ำจ้ะ”
แก้วชี้เรียงไปทีละห้อง มันทำให้ผมหายใจได้ทั่วท้องนิดหน่อย มีรูปถ่ายของเธอในตอนเด็กแปะอยู่บนบอร์ด ผมเหลือบสายตามอง และเธอก็แนะนำทีละรูปว่าไปเที่ยวที่ไหนมาบ้าง
และในที่สุด เธอก็เดินนำผมมาที่ประตูด้านในสุดของชั้น
มันเป็นห้องที่อยู่สุดโถงทางเดิน หน้าต่างข้างๆกันส่องให้เห็นต้นมะม่วงต้นยักษ์ที่ปลูกไว้หน้าบ้านเธอ บดบังเกือบทุกทัศนยภาพอย่างเสียมิได้ ผมก้าวเท้าตามไป…ก่อนจะชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นอีกคนเปิดประตู
แก้วก้าวเท้าเข้าไปโดยไม่แนะนำอะไรผมเลย
ผมมองจากระยะไกล บานประตูไม้นั้นไม่ได้มีของประดับตกแต่งอะไรเหมือนห้องหลายห้องที่ผ่านมา มันเรียบเฉย..และแลคเกอร์ที่เคลือบไว้ก็เงาวับราวไม่เคยถูกใช้งานมาก่อนด้วยซ้ำ ผมชั่งใจ..มองย้อนกลับไปที่บันไดอีกครั้ง…
….ผมไม่ควรหนี
หรือไม่ควรเอาตัวเองไปพัวพันมากกว่านี้..กันแน่?
“แล้วพ่อกับแม่ของแก้วล่ะ?” จังหวะนั้นที่ผมถาม เธอยังไม่ทันจะเดินเข้าไป
อีกฝ่ายหันมายิ้มให้ผมเร็วๆ “รีบมาก่อนพ่อแม่จะกลับดีกว่านะจ้ะ”
อีกครั้งที่ผมจำต้องสลัดความลังเล และก้าวเท้าตามเธอไป
..และปล่อยให้หัวใจตัวเองแทบจะหยุดเต้นอยู่ตรงนั้น ผมคิดว่าผมกำลังยิ่งกว่าอ้าปากค้าง อย่าว่าแต่ร่างกายจะขยับเลย แม้แต่สมองที่เป็นส่วนสำคัญสำหรับสั่งการยังไม่มีความเห็นใดๆกับภาพตรงหน้าด้วยซ้ำ
ห้องนอนขนาดกลางไม่เล็กไม่ใหญ่นั้นต่างออกไปจากห้องอื่นๆที่เดินผ่านมา ผนังไม้อัดไม่ได้ถูกทาสีสวยๆตามลายไม้หรือแม้แต่จะใส่ใจติดวอลเปเปอร์ใดๆทั้งสิ้น พื้นที่เกือบทั้งหมดถูกแผ่นกระดาษสเกตภาพอักขระประหลาดที่คุ้นๆเหมือนเคยเห็นในหนังลองของเต็มไปหมด พื้นปาร์เก้สีเข้มมีรอยหยดเทียนเขรอะมากมายรวมไปถึงกระดาษแผ่นเล็กคล้ายที่ปิดทองในวัด ลากมาจนถึงอักขระนูนสีดำคล้ำคล้าย…ก้อนเลือด…ที่ลากยาวไปถึงเตียง
เตียงเหล็กง่ายๆไร้รสนิยมคล้ายเตียงราคาถูกของห้องพยาบาลตั้งอยู่ตรงกลางห้อง…..ใช่ครับ คำว่า ‘กลาง’ อาจจะฟังดูน้อยไป แต่มันกลางจริงๆ กลางแบบที่ไม่ได้ดันด้านใดด้านหนังติดผนัง ไม่เว้นแม้แต่หัวเตียงด้วยซ้ำ
ห้องทั้งห้องนั้นไม่มีเฟอร์นิเจอร์ใดๆอยู่เลย นอกเหนือจากเตียงนั้น
หน้าต่างทุกบานปิดสนิทราวกับปิดตาย และถูกติดทับด้วยภาพสเก็ตรูป ‘จระเข้’ ขนาดใหญ่เต็มไปหมด ทุกลายเส้นเหล่านั้นคุ้นตา…แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่ผมตกใจ
…บนเตียงนั้นมีร่างๆหนึ่งนอนอยู่ ผมเงยหน้าขึ้นมองแก้ว แต่ไม่ได้มองแบบตั้งคำถาม…คือการมองอย่างพิจารณาเค้าโครงหน้านั้นให้ชัดเจนขึ้นใจอีกครั้งหนึ่ง ก่อนจะมองร่างบอบบางที่นอนสงบอยู่บนเตียง…ไม่สิ…เรียกว่านอนคงไม่ถูกต้องนัก…
………..คล้ายกับ….ไร้วิญญาณ…. “นี่พี่สุวรรณา” เธอบอกผม
“…พี่สาวฝาแฝดของเราเอง”TBC============================