ใช่ค่ะ...หลายเดือนผ่านไป ก็เพิ่งเอาตอนใหม่มาลง ไม่มีอะไรจะพูดนอกจากว่าแป้งจี่ฯ ต้องขอโทษทุกๆ คนที่รออ่านด้วยนะคะ ได้โปรดอย่าโบยตีเลยค่ะ
ถ้าเพื่อนคนไหนลืมเนื้อเรื่องไปแล้ว ก็อาจกลับไปอ่านตั้งแต่ตอนที่หนึ่งใหม่ได้นะคะ และต่อไปนี้จะพยายามมาให้สม่ำเสมอค่า ^____^
Chapter 5
To Ride or Go against the Tide
ชีวิตของนักศึกษามหาวิทยาลัย ‘บางคน’ จะมีอะไร นอกจากอ่านหนังสือบ้างเป็นบางโอกาส ปั่นงานส่งจนแทบไม่ทันในบางครั้ง ติดเกมในโทรศัพท์จนลืมกินลืมนอน ออกไปเที่ยวกลางคืนกับเพื่อนแล้วเมามายกลับมาห้อง และติดผู้ชาย
ใช่ครับ ‘บางคน’ นั้นก็คือผมนี่เอง
ความรู้สึกที่ผมมีต่อดัมพ์อาจเปรียบได้กับตื่นขึ้นมาตอนเช้า เดินเข้าห้องน้ำเพื่อล้างหน้า แปรงฟัน และทำความสะอาดร่างกายก่อนไปเรียน มันเป็นสิ่งที่กระทำจนเคยชิน ทราบว่ามีอยู่ และจะต้องมีต่อไป ไม่มีวันที่จะหยุดจนกว่าวันหนึ่งลมหายใจจะหมดไป
ผมรู้มานานแล้วละว่าตัวเองรู้สึกอย่างไร แต่อย่างที่เคยบอกมาแล้ว ผมไม่เคยพูดอะไรกับดัมพ์ มันเองก็ไม่เคยพูดอะไรเช่นกัน เรามองตากันก็เข้าใจ เห็นมุมปากกระตุกยิ้มก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร แค่เขายิ้มพร้อมประกายวิบวับในดวงตาผมก็เดินตามเข้าห้องนอนแล้ว ความสัมพันธ์ทางกายของเราเหมือนเป็นการหายใจ มันเกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ ไม่มีการขัดขืน
อย่างไรก็ตาม...การสัมผัสลึกซึ้งก็ยังเกิดขึ้นเบื้องหลังประตูปิดล็อกลงกลอนอยู่ดี คนอื่นไม่รู้ว่าเราลึกซึ้ง มีแต่เพื่อนสนิทที่ได้แต่พูดออกมาในเชิงล้อเลียน...แต่จริงๆ แล้วพวกมันก็ไม่แน่ใจเช่นกัน เรียกว่าหากจะฟันธงก็ยังชะงักมีดไว้ก่อน ไม่กล้าฟันลงไปจริงๆ
ช่วงนี้ผมสังเกตว่างานของดัมพ์ค่อนข้างชุกมากกว่าแต่ก่อน ยิ่งวันก็ยิ่งได้เจอกันน้อยลง แต่ยังดีที่ดัมพ์ยังตามเรื่องเรียนไม่บกพร่อง ดังนั้นผมจึงตัวติดกับแทนไทยิ่งกว่าหมากฝรั่งติดพื้นรองเท้า บางครั้งคุณแทนไทเกลอแก้วก็มาค้างที่ห้องด้วย ซึ่งวันไหนเป็นอย่างนั้นผมก็รู้สึกว่าไม่ต้องทำความสะอาดหูเลย เพราะคุณแทนไทกับคุณปังปอนด์ก็เหมือนลิ้นกับฟัน อยู่ใกล้กันเป็นฉะกันตลอด
ทว่าวันนี้พออาจารย์ปล่อยพวกเราออกมาสู่อิสระราวกับปล่อยนกโบยบิน คุณแทนไทก็บินไปทันที บอกว่าวันนี้มารดาให้กลับรวงรัง ไม่เช่นนั้นจะตัดเงินค่าขนม ผมจึงต้องยืนแกร่วอยู่คนเดียวตรงใต้อาคารเรียน ปังปอนด์ส่งไลน์มาบอกแล้วว่าให้ผมกลับก่อนได้เลย ส่วนดัมพ์นั้นไม่แน่ใจว่าวันนี้มีงานหรือไม่ ทว่าก่อนที่ผมจะยกโทรศัพท์ขึ้นมาพิมพ์ข้อความนั้นเอง คนอยู่ในใจก็โทร.มาพอดี
(กลับหรือยัง) ดัมพ์น้ำเสียงใสแจ๋ว
“ยังเลย แทนไทเพิ่งทิ้งไปเนี่ย”
(งั้นรอก่อน เดี๋ยวไปหา อยู่ที่ตึกคณะใช่ไหม)
ผมตอบไปว่าใช่ ไม่นานจากนั้นเกลอหัวใจก็เดินมาหา ดัมพ์ในชุดนักศึกษาดูน่ามองอย่างยิ่ง แม้ว่าเส้นผมจะยุ่งนิดหน่อย แขนเสื้อพับขึ้นมาไว้ตรงข้อศอก นักศึกษาสาวหลายคนที่กำลังนั่งจับกลุ่มทำงานกันอยู่แถวนั้นต่างหันมามอง คงเพราะออร่าของคนในวงการบันเทิงกระมัง
คงมีแค่ผมที่ไม่เห็นความต่างของดัมพ์เป็นสิ่งแปลก แต่สีผิวและหน้าตาของเขาก็บอกยี่ห้อคนต่างชาติ ซ้ำยังเป็นต่างชาติผิวสี เคยมีคนเข้าไปทักเขาเป็นภาษาอังกฤษ ด้วยนึกว่าเป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยนในโครงการอะไรสักอย่างของมหาวิทยาลัย
“รีบวิ่งมาเลยนะเนี่ย”
ดัมพ์ยิ้มกว้าง เห็นฟันขาวเรียงสวย
“หอบเชียว อย่าเพิ่งเป็นลมนะ”
“โห ไม่อ่อนขนาดนั้นครับคุณ”
เราออกเดินไปตามทางเท้าเพื่อไปหน้ามหาวิทยาลัย
“หิวหรือยัง กินอะไรกันไหม”
ดัมพ์เอ่ยถามขณะใช้หลังมือเช็ดเหงื่อตรงขมับ
“แถวนี้ไหมล่ะ ร้านตามสั่งเจ้าประจำไหม”
“อืม” เขาคิ้วขมวด “ไม่ดีกว่า เดี๋ยววันนี้พาไปข้างนอก”
“นี่ก็ข้างนอก”
“ที่ใหม่ๆ ไง” เขาหันมายิ้มให้ผม ดวงตาหวานเชื่อม “ไปกันสองคน”
ดัมพ์อยู่ในชุดกางเกงยีนส์และเสื้อยืดยี่ห้อแพง เสื้อผ้าพวกนี้เขาซื้อเองบ้าง พี่แววซื้อให้บ้าง โดยบอกว่าต้องใส่เสื้อผ้าสวยๆ มีระดับ ทำงานวงการบันเทิงต้องใช้หน้าตาเป็นหลัก จะมาไก่กาไม่ได้
ผมเองพอเห็นดังนั้นก็รีบหยิบเอาชุดที่คิดว่าค่อนข้างดูดีสักหน่อยออกมาจากตู้ อย่างน้อยตอนยืนอยู่ด้วยกันจะได้ดูไม่ต่ำต้อยด้อยค่า
เรามาถึงที่หมายด้วยรถแท็กซี่ ดัมพ์ออกค่าโดยสารขามา ผมเลยต้องออกขากลับ พอมองเห็นร้านเท่านั้นแหละ ผมก็ต้องชะงัก เพราะเป็นร้านหรูในย่านธุรกิจ มองจากภายนอกก็รู้แล้วว่าคนเดินดินทั่วไปไม่ค่อยเข้ามากินนักหรอก
“เดี๋ยว” ผมรั้งแขนดัมพ์ไว้ “เดือนนี้ต้องประหยัดหน่อยแล้วว่ะ เข้าร้านนี้จะดีเหรอ”
“ดีสิ” ดัมพ์ยังคงยิ้ม “วันนี้ถูกหวย”
“เฮ้ย จริงดิ”
เขาอมยิ้ม “วันนี้กินได้เต็มที่”
“นี่ไม่ได้อำ?”
“เอาเหอะน่า” ดัมพ์ยกมือวางบนหัวของผม ดันให้เดินเข้าไปในร้าน “วันนี้มีเงินเลี้ยงก็แล้วกัน แต่ของดส้มตำของชอบมึงไว้ก่อนนะ วันนี้เป็นอาหารญี่ปุ่น”
“หูย...ท่าจะแพงน่าดูเลย”
“แพงแล้วไง วันนี้มากับป๋า”
ดัมพ์ดันผมเข้าไปในร้านจนได้ จะขืนแรงช้างสารของมันก็กระไรอยู่ จึงปล่อยเลยตามเลย ก็ป๋าบอกว่ามีสตางค์จ่าย อีหนูอย่างผมก็จะปฏิเสธทำไม มีน้ำให้ตามก็ต้องตามไป
ก้าวเข้ามาในร้านก็ราวกับก้าวผ่านประตูของโดราเอม่อน เมื่อกี้ยังอยู่บางกอกเมืองฟ้าอมร ตอนนี้มาอยู่แดนอาทิตย์อุทัยแล้ว ดัมพ์อมยิ้มตลอดเวลาที่พนักงานสาวสวยในชุดยูกาตะเดินนำไปยังที่นั่งของเรา ที่นี่มีฉากกั้นโต๊ะแต่ละชุดเพื่อความเป็นส่วนตัวเท่าที่จะมีได้
เมื่อนั่งกับที่เรียบร้อยแล้ว ดัมพ์ก็บอกด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“อยากกินอะไร สั่งได้เลย”
ผมหรี่ตามอง “ไปรวยมาจากไหนเนี่ย”
“บอกตอนนี้ก็ไม่เซอร์ไพรส์สิ เอาเป็นว่าสั่งได้ตามใจ เอาให้พุงกางเลย”
ดังนั้นผมจึงสั่งเท่าที่คิดว่าจะรับประทานได้หมดสำหรับสองคน ตอนที่ออกจากห้องก็แปลกใจว่าแค่ออกไปกินข้าวเย็นทำไมจะต้องแต่งตัวพิถีพิถันขนาดนั้น พอมาถึงที่จึงรู้ว่าเพราะเหตุนี้เอง
“เอาแค่นั้นเหรอ”
“เดี๋ยวกินไม่หมด”
“งั้นกูสั่งอีกนะ หิวมาก”
แล้วเกลอในดวงใจก็สั่งมาอีกสามสี่อย่าง ผมมองราคาในเมนูแล้วก็รู้สึกเหงื่อเย็นๆ ไหลลงแผ่นหลัง ทั้งเนื้อทั้งตัวมีถึงพันหรือเปล่ายังไม่แน่ใจ แค่คำนวณจากทุกเมนูที่เราสั่ง ผมก็แทบจะหมดลมหายใจอยู่ตรงนี้
เมื่อพนักงานในชุดสวยเดินห่างไปแล้ว ดัมพ์ก็เท้าแขนกับโต๊ะ จ้องหน้าผมเขม็ง
เกิดอาการประหม่าเล็กน้อย จึงเอ่ยแก้เก้อ “อะไร”
เขาเงียบ เอาแต่ยิ้ม ราวกับว่าการยิ้มเป็นสิ่งเดียวที่เขาทำได้
“ยิ้มอยู่ได้ เป็นบ้าเหรอ”
เขาหลุดเสียงหัวเราะออกมา ตาคมๆ ภายใต้ขนตาดกหนาเป็นแพยามนี้มีประกายระยับราวกับเป็นเพียงเด็กชายตัวน้อยๆ วิ่งเล่นไล่จับตั๊กแตนในวารวันผันผ่าน
“ไม่บ้า แต่พามาฉลอง”
“ฉลองอะไร”
“คิดว่าฉลองอะไรล่ะ”
“เดี๋ยว อย่าบอกนะว่า...” ผมอ้าปากหวอ ในสมองเริ่มประมวลว่าอะไรทำให้เขาอารมณ์ดีขนาดนี้ ถ้าไม่ใช่ว่าฝันที่วาดหวังมานานได้เป็นจริงแล้วละก็ ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นเรื่องอะไรอีก
“กูได้เล่นละครแล้ว!” เขาเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเปี่ยมด้วยความดีใจ ใบหน้าของเขาราวกับจะเปล่งประกายออกมาเพราะความสุขนั้น
คำพูดประโยคนั้นของดัมพ์อัดแน่นไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก นี่ใช่ไหมสิ่งที่เขาฝันไว้ นี่สินะสิ่งที่เขาวางแผนเตรียมการไว้อย่างดีสำหรับอนาคตของตัวเอง ความรู้สึกของผมตอนนี้สับสนนิดหน่อย คล้ายกับไม่อยากเชื่อว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นเป็นการหยอกเล่นหรือเปล่า แต่แล้วก็กลับรู้สึกลิงโลดราวกับว่าตัวเองได้ทำสำเร็จตามฝันเสียเอง แต่มันจะแปลกอะไร ในเมื่อในความคิดของผม...เราเป็นคนคนเดียวกัน สิ่งที่ดัมพ์หวังผมก็จะร่วมดีใจไปกับเขาด้วย
แม้ว่าในใจลึกๆ แล้วจะเกิดความกลัวขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ ว่านี่เขาก็จะไกลออกไปจากผมอีกก้าวหนึ่งแล้วใช่ไหม
ที่ผมหวังไว้ลึกๆ ว่าอยากให้เขาอยู่ด้วยกันตลอดไปนั้นคงเป็นจริงไม่ได้
“ดีใจด้วยนะเว้ย”
“ขอบใจนะ” เขาเอ่ยออกมา มองหน้าผมด้วยดวงตาสุกใส “ฉลองกับเต๋าคนแรกเลย เราโตมาด้วยกัน มากกว่าพี่น้องซะอีก พอได้อย่างฝันไว้ก็นึกถึงมึงเลยนะ”
เมื่อก่อนดัมพ์ได้รับเพียงงานเดินแบบหรือโฆษณาเล็กๆ น้อยๆ เขาบอกเสมอว่าทางค่ายยังไม่ค่อยโปรโมตเท่าไหร่ มาตอนนี้ได้รับงานละครก็เหมือนกับการได้รับแรงผลักให้กระโดดลอยขึ้นไปในอากาศ จะเป็นดาวค้างฟ้า หรือแสงวาบของดาวสิ้นอายุขัยก็ขึ้นอยู่กับความสามารถและความตั้งใจของดัมพ์เองแล้ว
อาหารมื้อนั้นรู้สึกว่าอร่อยเป็นพิเศษ ดัมพ์กินได้เยอะกว่าปรกติ ไม่สนใจสักนิดว่าหุ่นจะเสียหรือเปล่า อย่างว่าแหละ...ดัมพ์ออกกำลังกายบ่อยๆ ที่ห้องยังมีอุปกรณ์เล็กๆ น้อยๆ สำหรับรีดไขมันเลย
“นี่...” เขาคีบเนื้อปลาดิบมาให้ผม “กินเยอะๆ ป๋าเลี้ยง”
“หมั่นไส้ป๋าว่ะ” ผมคร้านจะเถียง เลยได้แต่คีบเนื้อปลานั้นจิ้มกับวาซาบิแล้วยัดเข้าปาก “อื๊อ”
ดัมพ์หัวเราะก๊าก “จิ้มเยอะไปไง”
“มือมันพลาด”
“เผ็ดส้มตำยังกินได้” เขาว่า
“อันนั้นได้รสปลาร้ากลบเผ็ดนี่หว่า”
“จริงเหรอ” เขาทำเสียงล้อเลียน “ว่าแต่...”
“อะไร”
ดัมพ์ยื่นหน้าใกล้ ริมฝีปากบนล่างของเขาแนบกันสนิท วาดเป็นรูปโค้งของรอยยิ้ม กอปรกับแววตาพราวระยับนั่นอีก เสน่ห์ที่เขาหว่านมาจึงโดนตัวผมตั้งแต่หัวจดปลายเท้า
เสียงกระซิบกระซาบของเขาเรียกให้ในท้องของผมปั่นป่วนไปหมด
“คืนนี้อย่าลืมร้องอย่างนี้บ้างสิ”
“ระ...ร้องยังไง”
“อื๊อ”จะอุทานเป็นตัวเงินตัวทองก็ไม่ได้ เลยหันหน้าหนีไปมองชิ้นปลาดิบ ราวกับว่าชังน้ำหน้าของดัมพ์เสียแล้ว มือผมกำตะเกียบแน่นจนกลัวมันจะหักคามือ ความพิเรนทร์ของเพื่อนตัวเองนี่ไม่มีจุดสิ้นสุด ราวกับความเค็มของน้ำทะเลก็ไม่ปาน
“เขินเลย” ดัมพ์หัวเราะราวกับเด็กๆ
“ไอ้...”
ขืนปล่อยให้เขารุกอย่างนี้ มีหวังเมืองของเราต้องพ่ายเป็นแน่ อย่ากระนั้นเลย เราต้องเป็นฝ่ายบุกบ้าง ผมคีบเอาข้าวปั้นหน้าปลาดิบได้ก็ยัดเข้าปากเขาทันที ดัมพ์ซึ่งกำลังหัวเราะชอบใจตั้งตัวไม่ทันเลยต้องรับเอาเข้าปากอย่างช่วยไม่ได้
“แล้วตกลงละครเรื่องอะไรวะ”
“เกี่ยวกับทะเลทรายแล้วก็หน่วยอินเทอร์โพล”
“อิน...อะไรนะ”
“ตำรวจสากลน่ะ กูหน้าแบบนี้ไง เลยได้เล่นเป็นฝรั่ง”
“ต้องมีบทบู๊รึเปล่า”
“แน่นอนสิครับ”
ผมมองแขนของดัมพ์ซึ่งใหญ่เท่าลำคอผม มองแผ่นอกบึกบึนที่เสื้อยืดไม่อาจปกปิดได้ จะว่าไปเขาก็เหมาะกับบทนี้จริงๆ
“จะรอดูนะ”
“แน่นอนอยู่แล้ว วันไหนออนแอร์ต้องมานั่งดูด้วยกันหน้าทีวีเลย”
แม้จะพูดอย่างนั้น เราก็รู้ว่าละครที่เขาได้ร่วมเล่นนี้คงจะยังไม่เปิดกล้องเร็วๆ นี้หรอก กระนั้นก็เป็นนิมิตหมายที่ดีไม่ใช่หรือว่าเส้นทางบันเทิงได้เปิดกว้างให้เขาแล้ว เทพธิดาแห่งโชคชะตาก็กำลังโปรยยิ้มให้เขา ผมได้แต่มองดัมพ์เคี้ยวข้าวด้วยใบหน้าเปี่ยมสุข ดีใจกับเพื่อน แม้ว่าในเส้นทางการเป็นดวงดาวอาจไม่มีผมได้เดินเคียงข้าง
“เห็นเอ็มวีนี้ไหม”คุณแทนไทแทบจะทิ่มโทรศัพท์มือถือเข้าตาผม นี่ถ้าไม่ถองสีข้างให้มันขยับออกห่าง ผมคงเจ็บตาแน่ๆ
“เห็นแล้ว”
“แหม่...” แทนไททำเสียง “เพื่อนเรานี่มันซู้ดยอดจริงๆ รู้สึกจะเริ่มดังแล้วนะ งานเข้ารัวๆ ทั้งเดินแบบเอย ทั้งเล่นเอ็มวีเอย อีกหน่อยก็คงได้เล่นละครแล้วว่ะ”
ไอ้คุณแทนไทยังไม่รู้หรอกว่าเพื่อนของมันจะได้เล่นละครแล้ว ด้วยดัมพ์ยังไม่อยากบอกใครนอกจากผม ตอนนี้ก็ค่อยๆ สุมงานเข้ามาเรื่อยๆ เพื่อให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น พอเปิดกล้องนั่นแหละกระมังเขาถึงจะบอกคนอื่นๆ
“จะว่าไป...วันก่อนเห็นมันเอารูปเดินแบบมาให้ดู ถอดเสื้อด้วยนะ หูย...น้ำลายหก”
“แทนไท...”
“จ๋า”
“น้ำลายหก?”
เพื่อนยกมือยอมแพ้ “โอเค กูพูดไปงั้นแหละ ก็มันมีกล้ามไง จะสื่อว่าแบบ...กล้ามเป็นมัดๆ สาวๆ เห็นคงน้ำลายไหล”
“มึงก็มีเป็นมัดๆ เหมือนกันนะ”
แทนไทยิ้มกว้าง จับไหล่ผมอย่างดีใจ “จริงเหรอวะ แหม...ที่กูลุกมาวิ่งแต่เช้าทุกวันนี่ก็ได้ผลงั้นสิ”
“คือ...กล้ามท้องมึงเป็นมัดๆ เลย” ผมเหล่มองท้องเพื่อนที่เริ่ม ‘สูง’ ออกมาด้านหน้า “แบบข้าวต้มมัดน่ะ”
มีหรือมันจะสะทกสะท้าน “อยากจับไหมที่เลิฟ อะ...จับเลยๆ”
“ไม่อยากจับโว้ย พุงทั้งนั้น” ผมผลักมันออกอย่างไม่เห็นค่า “วิ่งทุกวันจริง แต่กินเยอะฉิบหาย”
“อ้าว คนมีตังค์”
“วู้ ขี้เกียจเถียง”
แทนไททำหน้าเซ็ง “วันนี้คุณจืดเขาไม่มานั่งกับเราเหรอวะ”
“มันก็มีเรียนของมันไหมล่ะ”
ความจริงพวกเรากำลังช่วยกันเตรียม PowerPoint ในหัวข้อเกี่ยวกับการตลาดยุคใหม่ แต่เพราะความตัวเป็นขนของแทนไท และความคิดของผมที่เอาแต่จะแล่นไปหาดัมพ์ ทำให้งานเราไม่คืบหน้าไปถึงไหน สุดท้ายก็เปิดดูเอ็มวีที่ดัมพ์ได้เล่นประกบกับนักแสดงสาวสวยคนหนึ่ง
“มันไม่มาก็ไม่มีคนด่ากู” แทนไทบ่น “กูอยากโดนด่า”
“กูด่ามึงก็ได้”
แทนไททำปากเบ้ ราวกับเด็กทารกเอาแต่ใจ “มึงด่าไม่ได้อารมณ์! แห้งแล้ง!”
“ไร้สาระ!”
แทนไทส่ายหน้าไปทางขวา
“เพ้อเจ้อ!”
ส่ายหน้าไปทางซ้าย
“โว้ย จะให้ด่าถึงบุพการีเลยไหม” ผมเบื่อจะทำตามความต้องการของเพื่อน เชิญส่ายหน้าให้คอหักไปเลย
“ถึงเพื่อนจะเลียนคำด่าของคุณจืดเขา แต่ก็ไม่ใช่คุณจืด ยังไงก็ไม่เหมือน”
“แหม...อย่างนี้ละเรียกหา ทีอยู่ต่อหน้าละเงียบเชียวนะ”
“เงียบที่ไหนวะ กูก็ตอกกลับเหอะ”
“แต่คำตอบกลับของมึงหงอมากๆ”
ผมเอ่ยบริภาษแทนไท แต่กลับไม่มีสัญญาณตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก เห็นเพื่อนเงียบเป็นเป่าสากจึงหันมอง แทนไทนั่งนิ่งเงยหน้าขึ้นประจัญสายตากับใครบางคนซึ่งกำลังยืนสูงอย่างกับเสาไฟฟ้าอยู่ใกล้ๆ ชุดโต๊ะหินอ่อนที่เรานั่ง
“มึงมาทำไม” ถึงประโยคจะดูหาเรื่อง แต่น้ำเสียงของแทนไทก็สงสัยจริงๆ
นฤเบศหันมามองผมแล้วตอบราวกับพูดถึงเรื่องดินฟ้าอากาศ “มาดูของดี”
“ของดีอะไรวะ” บอกว่าแทนไทงงเป็นไก่ตาแตกยังน้อยไป
นฤเบศไม่สนใจกับเพื่อนตาแตกของผม แต่เดินมานั่งเก้าอี้ที่ใกล้กัน เขาคว้าเอาไอติมแท่งรสผลไม้สีต่างๆ จากในถุงพลาสติกที่ถือมาด้วยออกมาแกะห่อออกกิน พิจารณาจากใบหน้าและบุคลิกแล้ว ดูไม่เหมาะกันมากๆ กับสิ่งที่ถืออยู่ในมือ
“ที่คณะไม่มีที่นั่งกินไอติมเหรอ” ทนไม่ไหว ปากไปเองก่อนเลย
“มี”
“แล้วทำไมมากินถึงนี่”
“กินที่นั่นแล้วไม้ไอติมติดคอ”
“บ้านคุณเขากินไอติมทั้งไม้เหรอ”
“จะลองไหม”
ไม่พูดเปล่า นฤเบศยื่นไอติมซึ่งผมเห็นกับตาตัวเองว่าเขาเพิ่งเลียไปแล้วหลายแผล็บนั้นมาข้างหน้าผม จ่อติดจนชิดริมฝีปากเลย
“โห...” หูได้ยินเสียงแทนไทอุทาน แต่ไม่ได้หันไปดูว่าทำสีหน้าอย่างไร ผมเบือนหน้าหนี “ไม่เอา”
“หรือจะเอาไอติม ‘อย่างอื่น’”
เน้นเสียงขนาดนี้ ไม่ต้องตีความเป็นอื่นหรอก ความหมายหนีไม่พ้นเรื่องใต้เข็มขัดแน่ๆ
“ทุเรศ”
ผมฟาดคำหยาบออกไป แต่นฤเบศก็คือสิ่งเดียวกับหินผา คือไม่สะทกสะท้าน เขาดึงไอติมกลับไปอมทั้งอัน แล้วกัดออกไปคำใหญ่ “ปากเก่งว่ะ”
“บริหารไม่เก่งแต่ปากนะ” ผมวางปากกาลงกับโต๊ะ กำหมัดเตรียมพร้อม
เขาเลียริมฝีปากที่เลอะไปด้วยน้ำไอศกรีม “ไม่รู้ละ ยังไงก็ต้องลองดูที่ปากก่อนละว่าเป็นยังไง จะ ‘เก่ง’ หรือเปล่า หืม...ลูกเต๋า” เขาลากเสียงตรงชื่อเล่นของผมอย่างมีความหมาย
แทนไทร้องเฮ้ยออกมาได้เพียงสามส่วนสี่ของคำ มือของผมก็ปลิวหวือออกไปเสียแล้ว จุดหมายปลายทางคือซีกซ้ายของใบหน้านฤเบศ เขามองผมนิ่งแต่มือที่วางเท้าโต๊ะเฉยอยู่เมื่อครู่ก็ฉกขึ้นมาราวกับเป็นอสรพิษ รับหมัดผมไว้ในกำมืออย่างทันท่วงที ในขณะที่มือขวาก็ยังจับไอศกรีมตะบวยนั่นใส่ปากกัดกินอย่างเอร็ดอร่อยเหลือเกิน
“หึ...” ขอให้สำลักไอติมตาย “ยังต้องฝึกอีกเยอะนะ”
เขาบีบมือผมแน่น แรงที่บีบมานั้นทำเอาเจ็บร้าวไปทั้งมือ นิ้วของเขาราวกับเป็นคีมเหล็กซึ่งหนีบมือผมไว้ไม่ให้หลุดออกได้ ผมเกร็งมือสู้ เขาก็ยิ่งเพิ่มแรงขึ้น มืออีกข้างจะขว้างหมัดออกไป แต่เพราะผมไม่ถนัดฝั่งนั้นเขาจึงรับมันไว้ได้อย่างง่ายดาย โดยเขาจับที่ข้อมือแล้วบีบอย่างแรงราวกับจะหักให้สะบั้น
มีหรือผมจะส่งเสียงให้เขารู้ว่าเจ็บ ผมส่งสายตามองเขา โกรธที่เขาพูดจาหาเรื่อง อารมณ์คุกรุ่นกำลังขยายในอก หงุดหงิดที่สู้แรงไม่ได้ นฤเบศในวันที่เจอกันครั้งแรกนั้น แม้จะพ่ายแพ้อย่างหมดสภาพในการชกต่อยเพราะอีกฝ่ายพวกมากกว่า ทว่าเขาก็ดูไม่กวนอารมณ์แบบนี้ ไม่หาเรื่องกันแบบนี้ พอตอนนี้เห็นเขาทำตัวอย่างอันธพาลเลยฉิวไปหมด “แทนไท ช่วยกูสิวะ!”
หันไปถลึงตาใส่เพื่อนผู้นั่งเป็นหุ่นขี้ผึ้งอยู่เป็นครู่แล้ว
“ไอ้นฤเบศ ปล่อยเพื่อนกู”
“เหอะ”
เขาแค่นเสียงหนึ่งคำ ก่อนจะปล่อยมือผมเป็นอิสระ ลุกขึ้นยืน “วันหลังมาใหม่”
แล้วเขาก็จากไปกับสายลมและแสงแดดของกรุงเทพมหานคร
ถ้าให้พูดจริงๆ นะ ผมอยากจะบอกว่าไม่เคยเข้าใจการกระทำของผู้ชายคนนี้ ไม่เคยเข้าใจสิ่งที่เขาอยากบอกผ่านคำพูดคำจา ไม่เคยเข้าใจสายตาที่ส่งผ่านมา ไม่รู้ด้วยว่าเขาได้อะไรจากการมากวนอารมณ์ผมแบบนี้
ไอ้แทนไทกระโจนมานั่งฝั่งเดียวกับผม รีบจับมือผมดู “เป็นไงบ้าง”
“ไม่รอให้มันต่อยหน้ากูก่อนล่ะ”
“โอ๊ย” แทนไทร้อง “มันไม่ทำหรอก”
“ไม่ทำแป๊ะสิ ดูมือกูก่อน”
“อ้าว มึงเป็นคนเริ่มนี่”
“ก็มันพูดจาหาเรื่องกูนี่”
“เอาน่า ถ้ามันจะเล่นมึงจริงๆ กูซัดมันไปแล้ว ไม่ปล่อยให้กินไอติมเฉยอยู่หรอก”
“คุย!”
“อ้าว นฤเบศลืมไอติมว่ะ ถุงเบ้อเริ่มเลย”
อดีตเพื่อนสนิทของผมหันไปคว้าเอาถุงพลาสติกของนฤเบศบนโต๊ะ เปิดดูเห็นไอศกรีมห่อใหญ่ๆ หลายห่อ “โห...แม็กนั่มทั้งนั้น แล้วทำไงดีเนี่ย เจ้าของก็เปิดตูบแน่บไปแล้ว”
“เอาไปทิ้งเลย” ผมไม่สน
“เสียของ!” แทนไทโอดครวญ “เดี๋ยวกูกินเอง”
“ที่บ้านรวยนักหรือไง กินทิ้งกินขว้าง” ผมด่าคนที่จากไปเมื่อครู่ พลางหยิบปากกาขึ้นมาขีดเส้นใต้เนื้อหาที่ต้องสรุปนำเสนอ
แทนไทไม่สนฟ้าสนแดดใดๆ แกะห่อไอศกรีมแท่งหนึ่งออกแล้วรีบกัดกินทันที เหอะ...ขอให้จี๊ดขึ้นสมองหน่อยเถอะ ตะกละจริงๆ เพื่อนเรา
กลืนคำแรกลงไปแล้ว อดีตเพื่อนสนิทที่ไม่คิดช่วยเพื่อนตอนเข้าตาจนก็นิ่งไป สีหน้าราวกับคนเพิ่งนึกอะไรบางอย่างออก
“เต๋า...”
“ว่า...”
“ไอ้นฤเบศ...”
“ทำไม มันกลับมาเหรอ” ผมมองซ้ายขวา แอบอยู่หลังต้นไม้เหรอ หรือว่าตรงถังขยะนั่น
“ไอ้นฤเบศ...หรือว่ามัน...”
“ทำไม” สงสัยใส่ยาพิษไว้ กินเข้าไปคำเดียว เพื่อนผมเสียสติเลย พูดจาไม่รู้เรื่อง
แทนไทหันมามองหน้าผม แล้วเอ่ยออกมาด้วยเสียงต่ำราวกับว่ามันเองก็ไม่เชื่อในสิ่งที่ตัวเองกำลังพูด
“กูว่ามัน...ซื้อไอติมมาให้มึง”
+*+*+*+*+*+*+*
แล้วเจอกันตอนใหม่นะคะ