สวัสดีครับ ทุกคน
เมื่อต้นเดือนไม่อยู่บ้านครับ เลยไม่ได้อัพ
นี่ก็...จบแล้วละครับ
จบไปอีกเรื่อง ทีนี้ก็ครบซีรี่ส์แล้วละครับ (ตกลงมันคือซีรี่ส์งั้นเรอะ?)
ก็คาดว่าจะรวมเล่มสักปลายปีนี้น่ะครับ และยังไม่รู้เลยว่าจะได้เขียนนิยายเรื่องยาวแบบนี้อีกเมื่อไร ช่วงนี้งานแปลเข้าเยอะน่ะครับเลยไม่ได้เขียนนิยายตัวเองเลย
ถ้ายังไง สนใจติดตามเรื่องอื่นๆ หรือข่าวความคืบหน้าการรวมเล่มก็เชิญที่นี่นะครับ
https://web.facebook.com/hakuroallstory/ขออนุญาตโฆษณานิดหนึ่งนะครับ
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามกันมาตลอดนะครับ
HAKURO_KOKURO
+++++++++++++++++++++++++++++++++
Lock on You 20
เข้าฤดูร้อนเต็มที่แล้ว ที่มหาวิทยาลัยก็ปิดเทอมหน้าร้อนแล้ว นักศึกษาทยอยหยุดเรียนกลับบ้าน ทำงานพิเศษ หรือไปท่องเที่ยวกันเยอะ ลูกค้าที่ร้านน้อยลงไปถนัดใจ กระทั่งคิโยฮารุกับคิริฮาระยังหายหน้าไปชมทุ่งลาเวนเดอร์ที่ฮอกไกโด ในช่วงเวลาแบบนี้เองที่ฟุยุกิกำลังจะย้ายเข้ามาอยู่ที่ร้านกับนัตสึเมะ
วันพุธซึ่งเป็นวันหยุดประจำร้าน นัตสึเมะชวนฟุยุกิไปซื้อข้าวของเครื่องใช้ด้วยกันที่ห้างสรรพสินค้าใกล้บ้าน
“จริง ๆ ไม่ต้องซื้อใหม่ก็ได้นี่ครับ ผมใช้พวกเครื่องนอนที่นัตสึเมะซังเอาไว้รับแขกก็ได้” ฟุยุกิบอกเพราะรู้สึกว่ามันสิ้นเปลืองและรบกวนนัตสึเมะมาก
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ถึงทำแบบนั้นผมก็ต้องซื้อเครื่องนอนรับแขกใหม่อยู่ดีแหละ ฟุยุกิคุงใช้ของใหม่ไปเลยน่ะดีแล้ว...ว่าแต่ไม่เอาเตียงจริง ๆ เหรอครับ?”
“ไม่เอาหรอกครับ ผมถนัดนอนฟูกปูพื้นอยู่แล้ว แถมเราก็มีตู้เก็บของที่ใช้กั้นห้องมาใช้เก็บฟูกแล้วด้วยนี่ครับ ถ้าซื้อนั่นซื้อนี้เยอะก็เกรงใจนัตสึเมะซัง เล่นไม่ยอมให้ผมออกค่าอะไรเลยนี่นา” เด็กหนุ่มบ่นอุบอิบ
นัตสึเมะอมยิ้ม ที่จริงเขากะจะกั้นห้องชั้นบนให้เป็นสัดส่วนเพื่อความเป็นส่วนตัวของฟุยุกิ แต่เด็กหนุ่มกลับบอกให้ใช้ตู้เก็บของที่ตั้งชิดผนังอยู่มากั้นแทนเพื่อประหยัดค่าต่อเติมบ้าน คนเป็นเจ้าของบ้านแอบดีใจกับไอเดียนี้ เพราะนั่นแปลว่าจะไม่มีอะไรขวางกั้นระหว่างพวกเขามากเกินไปนัก เข้าทางเขาแบบที่ฟุยุกิไม่รู้ตัวเลยทีเดียว
ซื่อบริสุทธิ์เกินไปมันก็ดีแบบนี้ละนะ...
นัตสึเมะเรียกช่างมาย้ายข้าวของ ย้ายตู้เก็บของมายึดตรึงติดกับเพดานกลางบ้าน และจัดการทำความสะอาดทาสีตกแต่งห้องใหม่ตั้งแต่ต้นเดือนแล้ว พออะไรพร้อมสรรพเรียบร้อยจึงได้ชวนฟุยุกิมาซื้อของใช้
ฟุยุกิเลือกฟูกนอนและผ้านวมเนื้อนุ่มคุณภาพดีกับปลอกนวมลายเรียบ ๆ รวมถึงผ้าห่มขนสัตว์สำหรับฤดูหนาวสีเข้มเรียบง่าย นัตสึเมะยิ้มนิด ๆ กับรสนิยมการเลือกนั้น ฟุยุกิเลือกของที่ขัดกับบุคลิกและเป็นผู้ใหญ่เกินตัว ดูอย่างไรนั่นก็เหมาะกับเคียวยะหรือคุณพ่อเสียมากกว่า...ฟุยุกิไม่เคยเลือกของเอง ไม่เคยมีรสนิยมของตัวเอง แต่รสนิยมที่ซึมซับมาก็หล่อหลอมขึ้นมาเป็นตัวเขาในตอนนี้
“แน่ใจเหรอครับว่าชอบลายแบบนี้?” นัตสึเมะลองหยั่งเชิงดู
“อืม...ไม่รู้สิครับ ปกติใช้แต่แบบนี้มาตลอด” คำตอบเรียบง่ายและเป็นไปตามคาด
“ไม่ลองเลือกแบบที่ตัวเองชอบดูเหรอครับ?”
“เอ๊ะ?”
“แบบที่คุณชอบไง อะไรก็ได้ ลายอะไรก็ได้”
“เอ๊ะ...เอ่อ...” ฟุยุกิทำหน้าลังเล ไม่เคยมีใครบอกให้เขาเลือกเองมาก่อนเลย
“เอาพวกนี้ไว้นี่ก่อน แล้วไปเดินหาลายที่ฟุยุกิคุงชอบกันเถอะครับ” นัตสึเมะชวน
“...ครับ” เด็กหนุ่มตอบอย่างไม่มั่นใจ เขาไม่รู้หรอกว่าตัวเองชอบลวดลายแบบไหน
แผนกเครื่องนอนมีปลอกผ้านวมให้เลือกมากมายจนตาลาย มีตั้งแต่แบบหวานแหววน่ารักไปจนถึงเคร่งขรึมแบบผู้ใหญ่และแบบไม่มีลาย ฟุยุกิมองไปรอบ ๆ ตัวด้วยสีหน้าลำบากใจ แต่แล้วก็ไปสะดุดกับผ้าผืนสวยสีขาวที่มีลายใบเมเปิ้ลสีแดงและเหลืองให้ความรู้สึกแบบฤดูใบไม้ร่วงที่นุ่มนวล
“อันนี้ครับ” ฟุยุกิชี้หมับโดยไม่ต้องคิด
นัตสึเมะเลิกคิ้วนิด ๆ ก่อนจะยิ้มออกมา ก็ดูเหมาะกับฟุยุกิดี มันทำให้เขาหวนคิดไปถึงคอนเสิร์ตฤดูใบไม้ร่วงกับเพลงเดี่ยวไวโอลินของคิริฮาระ ภาพที่ผุดขึ้นมาในห้วงคำนึงของเขา...คือฟุยุกิที่ยืนอยู่ท่ามกลางใบเมเปิ้ลสีแดง ดังนั้นปลอกนวมผืนนี้จึงเหมาะกับฟุยุกิอย่างบอกไม่ถูก
“สวยครับ เอาสิ” นัตสึเมะตอบรับโดยไม่ถามราคาด้วยซ้ำ เขาบอกความต้องการกับพนักงานแล้วพูดกับฟุยุกิต่อ “ทีนี้ก็ผ้าห่มขนสัตว์นะครับ”
“ไม่มีลายเดียวกันเหรอครับ?” ฟุยุกิถามพนักงาน
คำตอบคือไม่มี ฟุยุกิจึงต้องไปเดินหาลายที่เขาน่าจะชอบเองอีกครั้ง ผ้าห่มขนสัตว์มีลวดลายเยอะแบบกว่าปลอกนวม แต่ฟุยุกิใช้เวลาไม่นานนักก็เลือกผ้าออกมาผืนหนึ่ง
“เอาผืนนี้ครับ”
“...วัว?” นัตสึเมะกลั้นขำกับผ้าห่มลายขาวดำที่ดูแล้วอยากดื่มนมขึ้นมาทันที
“ไม่ใช่วัวเฉย ๆ นะครับ มีแมวซ่อนอยู่ในวัวด้วย” ฟุยุกิชี้ให้ดูลายผ้าชัด ๆ จริงด้วย...ถ้ามองผ่าน ๆ จะเห็นแค่ลวดลายสีดำกระจายอยู่ตามผืนผ้า แต่พวกจุดเล็ก ๆ กลับทำเป็นรูปแมวเอาไว้
“ตาดีจังครับ ผมไม่สังเกตเลยนะเนี่ย” นัตสึเมะออกปากชม “ฟุยุกิคุงนี่ช่างสังเกตนะครับ”
ฟุยุกิหัวเราะอาย ๆ ได้มาเลือกของใช้เองแบบนี้เป็นครั้งแรกมันรู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูก ทีนี้เขาก็ได้ปลอกนวมลายสวยกับผ้าห่มขนสัตว์ลายน่ารักไว้ห่มนอนแล้ว...แต่เมื่อไรจะถึงหน้าหนาวกันนะ ตอนนี้คงต้องกลับไปห่มผ้าผืนบางที่จะหอบหิ้วมาจากบ้านพ่อไปก่อน
“เอาละ ทีนี้ก็ของผมบ้าง”
“เอ๊ะ นัตสึเมะซังก็จะซื้อด้วยเหรอครับ?”
“ครับ ผมใช้ของเดิมมานานเต็มที อยากเปลี่ยนสีสันให้ชีวิตบ้าง” ที่นัตสึเมะละไว้ก็คือ ที่นอนหมอนมุ้งที่เขาใช้อยู่ในตอนนี้มันผ่านเคย์โกะมาหมดแล้ว เขาอยากจะโละมันออกจากชีวิตไปให้หมดเสียที
“แล้วนัตสึเมะซังชอบแบบไหนล่ะครับ?”
“นั่นสิครับ...ผมว่าจะให้ฟุยุกิคุงเลือกให้แน่ะ”
“เอ๊ะ!?” เด็กหนุ่มร้อง
“คือผมไม่ค่อยเลือกของใช้เองเท่าไร อยากรู้ว่าคนเลือกจะมองผมแบบไหนน่ะครับ”
นี่ก็เป็นความจริงเรื่องหนึ่ง แต่ถ้าพูดให้ลึกลงไปแล้วอาจเพราะช่วงวัยเด็กถึงวัยรุ่นเขาไม่ค่อยมีตัวตนของตัวเองเท่าไร เมื่อคิริฮาระเริ่มซื้อถ้วยกาแฟมาให้เขาใช้ในร้านและสำหรับแขกขาประจำคนอื่น ๆ นัตสึเมะก็รู้สึกสนุกกับการคาดเดาและตีความบุคลิกของคนอื่นผ่านสายตาของคิริฮาระ และสนุกกับการที่คนอื่นตีความเขาและเลือกซื้อของมาให้...อย่างผ้ากันเปื้อนส่วนมากของเขาก็ได้พวกคุณป้าขาประจำที่มาดื่มกันตั้งแต่สมัยยังเป็นร้านของคุณป้าซื้อหามาให้เสียหลายตัว
และครั้งนี้เขาอยากรู้ว่าฟุยุกิมองเขาเป็นอย่างไร
“มะ...ไม่เอาดีกว่า เดี๋ยวผมเลือกไม่ถูกใจนัตสึเมะซัง” ฟุยุกิรีบบอกปฏิเสธ
“เลือกเถอะครับ แบบไหนผมก็ถูกใจทั้งนั้นแหละ” แน่นอน...ก็เป็นของที่ฟุยุกิเลือกให้นี่นา
“เอางั้นเหรอครับ?”
“ครับ...เอาแบบที่ฟุยุกิคุงคิดว่าน่าจะเหมาะกับผม”
แล้วฟุยุกิก็ต้องเดินตีหน้ายุ่งไปตามชั้นสินค้าอีกครั้ง ของที่เหมาะกับนัตสึเมะงั้นหรือ...พูดถึงนัตสึเมะแล้วก็ต้องกาแฟสินะ ตัวนัตสึเมะกรุ่นไปด้วยกลิ่นกาแฟตลอดเวลา แม้เจ้าตัวจะใช้น้ำหอมกลิ่นสดชื่นเป็นประจำ แต่จะได้กลิ่นน้ำหอมนั่นเฉพาะเวลาที่ใกล้ชิดกันจริง ๆ เท่านั้น...คิดถึงตรงนี้แล้วฟุยุกิก็หน้าแดงขึ้นมาวูบหนึ่ง ต้องแสร้งทำเป็นเลือกผ้าห่มอย่างจริงจังเพื่อไม่ให้นัตสึเมะเห็นหน้า
ผ้าห่มลายเมล็ดกาแฟหรือถ้วยกาแฟก็มีอยู่ แต่ถ้าอะไร ๆ จะเป็นกาแฟไปหมดชีวิตนัตสึเมะคงน่าเบื่อแย่ ไม่หรอก...นัตสึเมะอาจจะชงกาแฟอร่อย แต่ก็ไม่ใช่ว่าเขามีดีอยู่แค่นั้นนี่นา
แล้วสายตาของฟุยุกิก็ไปสะดุดเข้ากับผ้านวมผืนหนึ่ง เป็นสีดำและมีลวดลายที่ยังดูไม่ออก เด็กหนุ่มหยิบภาพตัวอย่างที่แขวนอยู่กับสินค้ามาดู...มันเป็นผ้าห่มรูปท้องฟ้าตอนกลางคืนที่มีดาวประปรายและพระจันทร์สีเหลืองดวงใหญ่ ฉากหน้าเป็นเงาต้นไม้สีเงิน
ฟุยุกิมองภาพนั้นแล้วก็คิดถึงอะไรบางอย่าง ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขารู้สึกว่าคิริฮาระเหมือนดวงตะวัน ส่วนนัตสึเมะคือดวงจันทร์...ทั้งสองส่องแสงสว่างให้ชีวิตที่มืดมนของเขา คิริฮาระสว่างเจิดจ้าน่าหลงใหล ในขณะที่นัตสึเมะจะส่องแสงลงมาโอบกอดเขาอย่างนุ่มนวลในเวลาที่มืดมนที่สุด
“ผืนนี้แหละครับ” ฟุยุกิหันไปบอกกับนัตสึเมะ
“ผืนนี้เหรอครับ?” นัตสึเมะทำหน้าประหลาดใจน้อย ๆ ก่อนจะหยิบผ้าผืนนั้นขึ้นมาดู
“ครับ เหมาะกับนัตสึเมะซังที่สุดเลย” ฟุยุกิเพียงแต่ยิ้ม...ไม่ยอมอธิบายอะไร
ผ้าผืนนั้นมีปลอกนวมที่เข้าชุดกันอยู่ เพียงแต่ปลอกนวมเป็นลายท้องฟ้าราตรีที่เต็มไปด้วยดาวและดวงจันทร์เท่านั้น ฟุยุกิเลือกมันเป็นชุดแบบไม่ต้องคิดอะไรเพิ่ม
“ผมเหมือนตอนกลางคืนเหรอครับ?” นัตสึเมะถามยิ้ม ๆ
“แล้วแต่จะคิดครับ” เด็กหนุ่มยิ้ม
ฟุยุกิไม่คิดจะบอกนัตสึเมะหรอกว่ามันหมายความว่าอย่างไร เรื่องที่นัตสึเมะเป็นดวงจันทร์ผู้อ่อนโยนของเขา...ให้เขารู้เพียงคนเดียวก็พอแล้ว
...
การใช้ชีวิตร่วมกับนัตสึเมะไม่ใช่เรื่องยากอะไร ที่ยากคือฟุยุกิรู้สึกเกรงใจนัตสึเมะเหลือเกิน เขาเพิ่งมารู้ตัวจริงจังตอนมาอยู่กับนัตสึเมะนี่เองว่าเขาทำอะไรไม่เป็นเลย อย่างที่มิโนรุว่านั่นแหละ ถ้าเขาออกไปอยู่ตามลำพังเขาต้องไม่รอดแน่ ไม่ใช่แค่เรื่องอาหารการกินเท่านั้น แต่ไม่ว่าเรื่องอะไรเขาก็ไม่เป็นทั้งสิ้น...กระทั่งทำความสะอาดห้องน้ำก็ยังไม่เคย นัตสึเมะทำให้เขาหมดทุกอย่างแถมไม่มีท่าทีเดือดร้อนอะไรเลย มันทำให้ฟุยุกิคิดว่าต้องทำอะไรสักอย่าง
เช้านี้ฟุยุกิย่องลงจากบ้านตั้งแต่ตะวันยังไม่ขึ้น หมายจะทำมื้อเช้าให้นัตสึเมะกินบ้าง ถ้าเป็นอาหารง่าย ๆ อย่างไข่ดาวกับขนมปังปิ้งและสลัดเขาก็พอจะทำได้ เด็กหนุ่มปิ้งขนมปังแล้วพยายามจะทำไข่ดาว...แต่...เขาเปิดเตาแก๊สบ้านนี้ไม่เป็น ฟุยุกินิ่วหน้า...เอาเถอะ ไว้ให้นัตสึเมะมาทำก็แล้วกัน เดี๋ยวเขาทำสลัดให้ดีกว่า...อ้อ เตรียมผักไว้เผื่อทำคลับแซนด์วิชสำหรับขายเลยแล้วกัน
ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย...สลัดตามปกติที่ฟุยุกิทำกินเองนั้นเขาไม่ได้คิดมากอะไร มีผักอะไรก็ใช้มือเด็ด ๆ เป็นชิ้นเล็ก ๆ เอาลงชามไปรวม ๆ กันแล้วใส่มะเขือเทศลูกเล็กลงไป ราดด้วยมายองเนส...ก็แค่นั้น แต่ของจะทำขายนี่คงใช้มือเด็ดเอาไม่ได้ แถมมะเขือเทศที่นัตสึเมะใช้ยังเป็นมะเขือเทศลูกใหญ่ที่ต้องฝานเอาเสียอีก
ฟุยุกิเงอะงะอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจเด็ดขาด หยิบเขียงและมีดออกมา...เพื่อที่จะบาดมือตัวเองตอนหั่นมะเขือเทศ
“เกิดอะไรขึ้นครับ?” นัตสึเมะตื่นลงมาตามเวลาของตัวเอง ความจริงเขาได้ยินเสียงกุกกักมาตั้งแต่เมื่อครู่แล้วแต่เพิ่งจะลงมาเมื่อได้ยินเสียงร้องเบา ๆ
“มะ...ไม่มีอะไรครับ” ฟุยุกิรีบซ่อนมือที่เป็นแผล
“เห็นนะครับ เลือดใช่ไหม?” กวาดตามองไปตามเคาน์เตอร์ครัวแล้วก็พอจะเดาได้ “มีดบาดใช่ไหมครับ?”
“คะ...ครับ” ฟุยุกิตอบอ่อย ๆ
“ไหนดูซิ ทำอีท่าไหนเข้าล่ะครับ” นัตสึเมะจับมือฟุยุกิมาดูแล้วเอาไปล้างน้ำ
“ก็...คิดว่า...จะทำมื้อเช้าให้นัตสึเมะซัง แล้วก็อยากเตรียมผักไว้สำหรับทำคลับแซนด์วิชด้วย...ก็เลย...เลย...มะเขือเทศลูกใหญ่นี่ลื่นจังนะครับ”
“ฟุยุกิคุงไม่เคยใช้มีดสินะครับ” ชายหนุ่มยิ้มก่อนจะไปหยิบกล่องปฐมพยาบาลมาทำแผลให้
“...ไม่เคยครับ” ฟุยุกิหน้ามุ่ย
“ไม่รู้นี่ครับว่าอยากทำ ผมจะได้สอนให้”
“จริงเหรอครับ?”
“ครับ ถ้าฟุยุกิคุงอยากทำอาหารน่ะนะ ถึงผมจะทำได้แต่อาหารง่าย ๆ ก็เถอะ”
“ทำครับ ผมอยากทำครับ สอนหน่อยนะครับ” เด็กหนุ่มกระตือรือร้นขึ้นมาทันที
“งั้นไว้จะสอนนะครับ” นัตสึเมะจูบลงตรงแผลที่พันพลาสเตอร์แล้วของฟุยุกิเบา ๆ “เอาละ เรียบร้อย เดี๋ยวก็หายครับ”
ฟุยุกิตัวแข็งทื่อ ตั้งแต่มาอยู่ด้วยกันนี่นัตสึเมะทำอะไรแบบนี้กับเขาอยู่เรื่อย เดี๋ยวก็กอด เดี๋ยวก็โอบ เดี๋ยวก็หอมแก้ม...ถึงจะเริ่มชิน ๆ บ้างแล้วแต่โดนเล่นทีเผลอทีไรไปไม่เป็นทุกที
“ไม่ชินอีกเหรอครับ?” นัตสึเมะกระซิบถามเบา ๆ น้ำเสียงนุ่มนวล
“ไม่...ชินครับ...”
ชายหนุ่มหัวเราะเบา ๆ แล้วจูบหน้าผากของฟุยุกิอีกครั้ง
“ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะครับ เดี๋ยวผมทำต่อเอง”
พูดแล้วนัตสึเมะก็สวมผ้ากันเปื้อนแล้วหันไปจัดการกับกองผักสลัดที่ฟุยุกิวางไว้
ก่อนจะถูกกอดเอวจากด้านหลังแรง ๆ
“อะ...เอ๊ะ...ฟุยุกิคุง...?”
ฟุยุกิแนบหน้านิ่งอยู่กับแผ่นหลังของนัตสึเมะชั่วขณะหนึ่งก่อนจะรีบผละออกอย่างรวดเร็ว
“เอาคืนครับ!” เด็กหนุ่มบอกแล้ววิ่งตื๋อขึ้นบ้านไป
นัตสึเมะได้แต่ยืนงง ก่อนจะหัวเราะออกมาเบา ๆ...เอาคืนน่ารักแบบนี้ คงต้องแกล้งบ่อย ๆ แล้วสินะ...
...
“มีความสุขมากไปแล้ว นัตสึเมะ”
“หา?...”
“หน้าตาน่าหมั่นไส้นั่นมันอะไร ฉันแค่ไปฮอกไกโดอาทิตย์เดียว ทำไมนายถึงทำหน้าเหมือนคนถูกรางวัลที่หนึ่งแบบนั้น” คิริฮาระจ้องหน้าเพื่อนพลางใช้น้ำเสียงเหน็บแนม
นัตสึเมะกระตุกยิ้มที่มุมปาก ซึ่งมันดูยียวนสิ้นดีสำหรับคิริฮาระ
“ยิ่งกว่าถูกรางวัลที่หนึ่งอีก จะบอกให้”
“โอ๊ย หมั่นไส้!” นักดนตรีหนุ่มโวยวาย “ไปถึงขั้นไหนกันแล้ว บอกมาเดี๋ยวนี้นะ”
“เสียงดังเกินไปแล้ว เกรงใจลูกค้าหน่อย” นัตสึเมะกวาดตามองลูกค้าที่นั่งอยู่สองสามโต๊ะ “ไม่ถึงไหนหรอก ใสซื่อออกขนาดนั้น ใครจะไปกล้าทำอะไร”
“แต่ฉันว่านายต้องทำไปแล้วแน่ ๆ ไม่อะไรก็อะไรสักอย่าง” คิริฮาระฟันธง
“ก็ทำน้อยกว่าตอนที่นายจ้องจับคิโยฮารุคุงครั้งแรกก็แล้วกัน” นัตสึเมะยิ้มหวานพลางกระแทกถ้วยเอสเปรสโซแถมคุกกี้ลงตรงหน้าคิริฮาระ “เอสเปรสโซเกาะเพื่อนกินได้แล้วครับ”
“นะ...นัตสึเมะรังแกเค้า...” คิริฮาระทำท่าซับน้ำตาแต่รีบหยิบถ้วยกาแฟมาจิบ
“เพื่อนไม่รักดีมีไว้ให้รังแกนะ” เจ้าของร้านตอบอย่างไม่ใส่ใจแล้วทำความสะอาดเครื่องชงกาแฟ
“ว่าแต่...ทุกอย่างโอเคดีใช่ไหม?” คิริฮาระถามพลางเหลือบมองฟุยุกิที่กำลังเก็บโต๊ะ
“ดีสิ ถึงเมื่อเช้าจะโดนมีดบาดก็เถอะนะ”
“โอ๊ย อันนั้นเรื่องปกติ ฉันกับคิโยะยังทำมีดบาดมือกันบ่อย ๆ อยู่เลย”
“เดี๋ยวก็ไม่เหลือนิ้วไว้เล่นไวโอลินกันพอดี หัดทำอาหารกันซะบ้างเถอะ ประหยัดรายจ่ายกันบ้าง” นัตสึเมะบ่น คิริฮาระกับคิโยฮารุไม่ยอมทำอาหารกินกันเสียเลย เอาแต่ฝากท้องไว้ที่ร้านของเขากับร้านอาหารใกล้บ้าน
“ถ้าคิโยะมีข้าวกล่องมากินเอง...นายจะเจ๊งนะ นัตสึเมะ” คิริฮาระทำหน้าจริงจัง
“อืม...ก็อาจจะจริง...” นัตสึเมะชักเชื่อตาม เพราะตั้งแต่กลับมาสอนที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ คิโยฮารุก็ยึดร้านของเขาเป็นห้องทำงานมื้อเที่ยงทุกวัน แถมยังกินคลับแซนด์วิชสูตรเดิม ๆ ได้ไม่มีเบื่อด้วย
“คุยอะไรกันเหรอครับ?” ฟุยุกิถือถาดใส่ถ้วยจานใช้แล้วเดินมาวางที่เคาน์เตอร์
“กำลังคุยว่านัตสึเมะคงอยากกินอาหารฝีมือฟุยุกิคุงเต็มทีแล้วละ” คิริฮาระตอบทันที
“อะ...เอ๋!? ไม่ไหวหรอกครับ ยังทำไม่เป็นหรอก” เด็กหนุ่มดูลนลาน
“อย่าไปเชื่อมันสิครับ ฟุยุกิคุง” นัตสึเมะรีบเบรก ไม่อย่างนั้นคิริฮาระต้องปั้นเรื่องอะไรไปใหญ่โตอีกแน่
“เอ๋ ไม่ได้อยากกินหรอกเหรอครับ?”
“ก็อยากกินอยู่หรอกครับ แต่รอให้หัดก่อนก็ได้”
“อะ...อือ...ผมจะพยายามนะครับ” ฟุยุกิก้มหน้างุด ๆ แล้วรีบหยิบถาดที่ยกมาไปล้าง
คิริฮาระมองตามฟุยุกิแล้วเลื่อนสายตากลับมาจับที่ใบหน้าของเพื่อนรัก