- 27 -
(part2)
จากนั้นปกป้องพาทัวร์ก็เดินนำลัดเลาะไปยังตรอกซอกซอยต่างๆ จนมาโผล่ที่แหล่งช๊อปปิ้งของวัยรุ่น มีทั้งของกินและของขายมากมาย แต่ส่วนใหญ่ผมจะซื้อของกินเสียมากกว่า
“เอาสีแดง2ไม้”
“เป็น3ไม้เลยครับ” ปกป้องสั่งตาม
ผมมองพ่อค้าที่เขย่าๆถังแล้วหยิบหลอดแช่น้ำก่อนจะส่งมาให้ผม ส่วนปกป้องจ่ายเงินให้แล้ว
“กินเป็นเหรอ ไอติมหลอด” ผมหันไปถามพร้อมกับยื่นให้1ไม้
“เอ้า เป็นดิ ถามแปลก” เด็กมันตอบกวนๆ ถือไอติมสีแดงในมือชูขึ้นสูงเล็กน้อย ก่อนจะถ่ายรูป
ดูท่าทางแล้วปกป้องน่าจะเป็นสายถ่ายรูปวัตถุ ถ่ายพวกสถานที่อะไรงี้ ไม่คิดว่าจะถ่ายอาหารกับเขาด้วย
ผมเดินดูของและกินไอติมหลอดไปเรื่อยๆจนหมดแท่งแรก ผมหยิบแท่งที่2ขึ้นมาแทะต่อทันที แต่ไอเด็กข้างๆกลับโวยวายขึ้นมาซะงั้น
“อ่าว แย่งเฉย”
“ไม่ได้แย่งเหอะ ตอนสั่งทำไมไม่สั่ง4ไม้ล่ะ”
ปกป้องไม่ตอบแต่กลับแย่งไอติมหลอดในมือผมไปแทะต่อทันที ทำท่ากวนตีนอย่างมีความสุข ผมได้แต่ถอนหายใจ จะวนกลับไปซื้อใหม่ก็ใช่เรื่อง กินขนมเบื้องดีกว่า
“ขายยังไงครับ”
“อันละ2บาทจ้า”
“เอา20บาทครับ ไส้หวานอย่างเดียวครับ”
“เป็น30บาทไปเลยครับ เอาผสมเค็มด้วย”
มาอีกและ...ไอ้เด็กเวรนี่ มารผจญของกินชัดๆ
ผมเดินไปตามทาง แวะดูเสื้อ ดูกางเกง ดูกระเป๋า แต่ไม่ซื้ออะไรสักอย่าง คนขายเขาจะด่าผมมั้ยวะเนี่ย ก็ทำไงได้ ยังไม่ถูกใจนี่หว่า ตรงข้ามกับปกป้องที่ซื้อของมาจนในมือถือถุงพลาสติกพะรุงพะรัง เห็นแล้วสงสาร ไหนจะกล้องที่คล้องคออีก ผมเลยช่วยถือเป็นบางชิ้น
ปกป้องมาเดินมายังท่าน้ำ บรรยากาศดีมากๆ ลมแรง เสียงตะโกนโหวกเหวกโวยวายดังมาเป็นระยะๆจากท่าเรือที่มีทั้งเรือด่วน เรือข้ามฟาก เรือหางยาวที่จอดรอรับลูกค้า ผมเดินไปนั่งเพราะเริ่มรู้สึกเมื่อย กะว่าจะหันไปเรียกปกป้องแต่ได้รับเสียงแชะกลับมาแทน
“นี่ พอก่อน จะถ่ายให้เมมเต็มเลยรึไงห๊ะ”
จากตอนแรกที่เขินๆเวลาถูกกล้องโฟกัสโดยผ่านสายตาของอีกฝ่าย แต่ตอนนี้ผมไม่มีอายแล้วล่ะครับ เก๊กหล่อบ้าง แลบลิ้นปลิ้นตาบ้าง ด่าปกป้องแบบไม่ออกเสียงบ้าง ไม่รู้ว่ารูปจะออกมาเป็นยังไง ช่างแม่มมมมมม คนมันหล่อ ทำยังไงก็หล่ออยู่แล้ว รูปต้องออกมาเพอร์เฟ็คแน่นอน เชื่อผมสิ
“ใช่ เต็มแล้ว แต่ไม่เป็นไร ผมมีเมมสำรองมาเปลี่ยน”
เอ่ออออออออ กลอกตามองบนเลยครับ
“อยากกินอะไรอีกก็ไม่รู้” ผมเอ่ยลอยๆในขณะที่ดูดโค้กอึกใหญ่หลังจากจัดการทาโกะยากิหมดไป6ลูก
“ห๊ะ นี่ยังกะกินอีกหรอ รู้มั้ยว่าในกล้องมีแต่รูปโมกิน กิน กิน และก็กิน” ปกป้องที่กำลังเปลี่ยนเมมถึงกับเงยหน้าขึ้นมาอย่างตกใจ
เอ้า ก็คนมันไม่ค่อยได้ออกมาเที่ยวแบบนี้สักเท่าไหร่นี่หว่า... นานๆทีจะได้ออกมากินออกมาเที่ยวบ้าง ปกติเห็นแต่ในเพจรีวิวของกิน แต่อย่างละอย่างทำเอาน้ำลายไหล แถมเพจพวกนี้ชอบโพสกลางดึกด้วยนะ
“หยุดกินก่อน หน้าบานหมดแล้ว ดู” ปกป้องยื่นรูปมาให้ดู
โอ้โห นั่นหน้าหรือจานข้าว บานอะไรปานนั้น
“แล้วนี่จะไปไหนต่อ”
“นั่งเรือข้ามฟากไปถ่ายรูปที่สนามหลวงกัน”
พอได้นั่งเรือข้ามฟากแล้วนึกถึงสิ่งที่ไอ้บูมเคยเล่าให้พวกผมฟัง ตอนนั้นกำลังเรียนเรื่องอะไรสักอย่างที่มันเกี่ยวกับการคมนาคมนี่แหละ
‘พวกมึงเคยนั่งเรือข้ามฟากกันใช่มะ?’ตอนนั้นพวกเราทุกคนรวมถึงไอ้ฉลามพยักหน้ากันหงึกๆ
‘กูจะบอกไรให้เว้ย มันมีวิธีโกงค่าโดยสารอยู่’
‘โธ่บูม ค่าโดยสารมันแค่2-5บาทเอง มึงยังจะโกงอีกหรอสัด จิตใจมึงทำด้วยอะไรวะ’ โดนไอ้จ๊อบด่าไปหนึ่งดอก
แต่ไอ้บูมหาได้สะทกสะท้านไม่ มันยังคงพูดต่อ
‘อันดับแรกเว้ยมึงต้องนิ่งๆไว้’
‘แล้วเดินผ่านโต๊ะเก็บค่าโดยสารไปไม่ต้องจ่าย?’ ไอ้โทต่อทันที
‘ไม่ใช่ อย่าเพิ่งขัดสิวะ ต่อๆ อันดับสอง พอมึงนิ่ง มึงต้องเลือกหาที่นั่งแจ่มๆ’‘ไว้มองสาว?’ จ๊อบทาย
‘ถูกต้อง โดยเฉพาะท้ายเรือนะ อื้อหือ...’
‘เด็ดๆทั้งนั้นสินะ’ จ๊อบยังคงรับมุขกากๆของไอ้บูม เพราะมันกลัวเพื่อนเหงา กลัวเพื่อนไม่มีใครเล่นด้วย
‘กลิ่นควันเหม็นชิบหาย!’
‘ตึ่งโป๊ะ!’
‘ต่อๆ มึงก็นั่งรอให้เรือมันไปถึงอีกฝั่ง รอจนทุกคนขึ้นท่าไปหมดแล้ว แล้วก็รอให้คนอื่นๆที่จะข้ามฝั่งกลับขึ้นมานั่งจนเต็มเรือ พอไปถึงอีกฝั่งมึงก็นิ่งๆไว้ ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ทำซ้ำๆกันกี่รอบก็ได้ ถ้ามึงอยากโกงเยอะก็หลายๆรอบหน่อย แค่นี้มึงก็จะได้นั่งเรือฟรีๆเพียงแค่เสียค่าโดยสารรอบเดียวเท่านั้น เป็นไงละ พวกมึงจะเอาวิธีนี้ไปใช้ก็ได้นะเว้ย แต่กูไม่แนะนำให้บอกใครต่อเพราะมันเป็นเคล็ดลับที่มีไม่กี่คนเท่านั้นที่จะรู้…แล้วยังมีอีกนะ…’ครับ ผม จ๊อบ ฉลาม และไอ้โทเลิกฟังมันตั้งแต่ทำซ้ำๆกี่รอบก็ได้แล้วล่ะครับ ปล่อยมันพล่ามไป ใครอยากเสียเวลาชีวิตโดยเปล่าประโยชน์ก็ลองทำตามวิธีของไอ้บูมได้นะครับ
ตอนนี้เป็นเวลาเย็นๆ เวลาที่แดดกำลังสวย แถมไม่ร้อนเท่าไหร่ด้วย ผมแหวนหน้ามองขึ้นบนท้องฟ้า เห็นว่าวหลากหลายรูปร่างกำลังบิน แต่ถ้าหากสังเกตดีๆก็จะเห็นเชือกที่คนเล่นบังคับอยู่บนพื้นดินวิ่งเล่นอย่างสนุกสนาน ผมปล่อยให้ปกป้องถ่ายรูป ส่วนตัวเองก็เดินรอบๆซึมซับบรรยากาศไปเรื่อยรู้ตัวอีกทีก็แสงหมดซะแล้ว
“โมอยากกินไรอีกปะ”
“อยาก แต่ไม่รู้จะกินอะไร แถวนี้มีอะไรอร่อยๆบ้าง”
“เพียบครับ ถ้าข้ามถนนตรงเชิงสะพานพระปิ่นเกล้าไปก็เป็นถนนข้าวสาร ร้านเหล้าเยอะ ฝรั่งแยะ แต่ถ้าเดินไปอีกฝั่งก็จะเจอเสาชิงช้า มีร้านขายของกินนิดหน่อย แต่มันมีร้านขนมปังดังๆ ไม่รู้โมชอบรึเปล่า”
“อืมมมมม...” ในหัวผมกำลังคิดคำนวณถึงระยะทางกับร้านอาหารที่อยากกิน แต่ยังไม่ทันได้ตอบไกด์ชั่วคราวก็เดินนำไปเรียบร้อย
“ไปเสาชิงช้าก่อน เดะพาโมไปกินหนมปัง...แล้วค่อยข้ามถนนตรงอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยไปหาร้านเหล้านั่งที่ถนนข้าวสารต่อ”
หืม ที่พูดมานี่เพราะตัวเองอยากไปอยู่แล้วสินะ
“เป็นเด็กเป็นเล็กริหัดกินเหล้า”
“ไม่เด็กแล้วเหอะ โมอ่ะชอบมองว่าผมเป็นเด็กอยู่เรื่อย”
“ต่ำกว่า20เข้าผับไม่ได้นะจ๊ะ ฮ่าๆๆๆๆๆ” การหยอกเด็กคืองานของเรา
“คำก็เด็ก สองคำก็เด็ก เคยโดนเด็กกินไหมครับพี่นะโม” ไม่พูดเปล่า ยังส่งสายตาที่มีความหมายแปลกๆมาให้อีกด้วย
“ไม่เคยว่ะ...แต่ตอนนี้มีแผนที่กำลังจะ...”
ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆอีกฝ่าย กระซิบเบาๆว่า
“กินเด็ก”
พูดจบแล้วยิ้มยกมุมปากพร้อมกับยักคิ้วหนึ่งข้าง
หึหึ เอาสิ ให้มันรู้กันไป ผมไม่ยอมง่ายๆหรอกนะ
ขณะที่ผมนั่งรอให้ปกป้องไปสั่งขนมปัง ตัวผมก็หันมาสนใจโลกโซเชี่ยลบ้าง หลังจากที่ไม่ได้แตะโทรศัพท์มาเลยทั้งวัน เมื่อเปิดสัญญาณอินเตอร์เน็ต สิ่งแรกที่แจ้งเตือนไอ้โทมันไลน์มาถามผมว่ากลับกี่โมง ผมพิมตอบกลับไปว่าสักพัก จากนั้นหันมาเข้าแอพสีฟ้าๆแทน นิ้วโป้งเลื่อนหน้าจอนิวฟีด เห็นไอ้จ๊อบมันเช็คอินที่โรงหนัง สงสัยแอบไปดูหนังกับสาวๆโดยไม่บอกเพื่อนอีกตามเคย มารู้อีกทีก็ตอนสาวเจ้าเดินผ่านนั่นแหละครับ ถึงได้รู้ว่าชอบท่าไหน เอ๊ย ชอบผู้ชายแบบไหน
เลื่อนลงมาอีกหน่อยก็เจอกับใครบางคนที่เปลี่ยนรูปโปรไฟล์ ไม่ถึง 5 นานที คนกดไลค์เป็นพัน หมั่นไส้มันจริงๆ แต่เดี๋ยวนะ ทำไมรูปโปรไฟล์มันคุ้นๆ ยังไงก็ไม่รู้ ผมจิ้มเข้าไปดู
นี่มัน .. รูปเดียวกับที่ผมตัดมันออกจากเฟรมแล้วมาตั้งเป็นโปรไฟล์นี่หว่า เพียงแต่ว่าของไอ้โทมันก็ตัดผมออกจากเฟรมเช่นกัน อดไม่ได้ที่จะพิมคอมเม้นต์สักหน่อย
เลียนแบบว่ะผมเม้นต์ไปงั้นแหละครับเพราะรู้ว่ามันคงไม่อ่านหรอก จำนวนคอมเม้นต์ในรูปโปรไฟล์ก็ไม่น้อย มีแต่สาวๆน่ารักๆทั้งนั้น พี่โทอย่างนู้น พี่โทอย่างนี้ ตัดภาพกลับมาที่เฟสบุคตัวเอง ... อนาถชิบ เงียบเหงาได้อีก
แต่เพียงไม่ถึงนาทีก็มีแจ้งเตือนกลับมาว่าไอ้โทได้ตอบกลับคอมเม้นต์ของผม พอกดเข้าไปดูนึกว่ามันจะตอบอะไรที่กวนตีนๆกลับมา ที่ไหนได้ แค่สติ๊กเกอร์สีเหลืองทำหน้าโกรธนั่นแหละครับ ผมจึงไม่ได้ตอบอะไรกลับไปอีก พอดีกับที่ปกป้องเดินกลับมาพร้อมขนมปังหอมฉุย เจ้าตัวถือถาดมามีขนมปัง 4 แผ่น และแก้วน้ำ 2 ใบ
“ทำไร” ปกป้องนั่งลงแล้วถาม
“ดูไรไปเรื่อย”
“เช็คอินหรอ แท๊กผมด้วยสิ”
“ไม่อ่ะ ขี้เกียจ มึงเช็คสิ” ผมปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยแล้วหันมาจิ้มขนมปังเจ้าปากแทน “อร่อยว่ะ”
“บอกแล้ว” เจ้าตัวยืดอกภูมิใจอย่างกับเป็นคนปิ้งขนมปังเอง
นั่งกินกันจนหมดเกลี้ยง ผมกับปกป้องก็เดินออกมาจากร้าน คนเป็นไกด์ชั่วคราวยังคงยืนยันว่าจะไปสถานที่อโคจรให้ได้ แต่ผมว่ามันดึกแล้ว อีกอย่างเหนื่อยมาทั้งวัน เหนียวตัวไปหมด
“ผมก็แค่....อยากอยู่กับโมให้นานกว่านี้” ปกป้องพูดเบาๆ แต่ความรู้สึกกลับหนักอึ้งในใจผม “แต่ถ้าโมเหนื่อยงั้นเดี๋ยวผมไปส่ง”
เป็นอีกประโยคที่แสดงว่าปกป้องแคร์ความรู้สึกผมก่อนเสมอ ในขณะที่ผมไม่เคยคิดถึงความรู้สึกของคนตรงหน้าเลยว่าเขาจะรู้สึกยังไง ก่อนหน้านี้ที่ผมหยอกปกป้องไปเล็กๆ คนถูกหยอกก็หูดำหูแดงแล้วรีบเดินจ้ำอ้าวมายังร้านขนมปัง ดูก็รู้ว่าเจ้าตัวเขินแค่ไหน ปกป้องเป็นแบบนี้เสมอ รู้สึกยังไงก็แสดงออกมาตรง ๆ
ตลอดทั้งวันที่เดินเที่ยวด้วยกัน...ไม่สิ เรียกได้ว่าทุกครั้งเลยดีกว่าที่ปกป้องอยู่กับผมแล้วเขาดูมีความสุขมาก บรรยากาศบางอย่างรอบๆตัวของเด็กคนนี้ทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายสบายใจ ตั้งแต่ตอนที่ปกป้องมาอยู่กับผมที่หอพักราคาถูก ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกใดๆ ปกป้องก็ไม่เคยรังเกียจ รวมไปถึงการทำงานที่ร้านกุ้งเต้น ที่ถึงแม้จะเป็นงานหนักแต่ปกป้องก็พิสูจน์แล้วว่าเขาทำได้
ใบหน้าและสายตาที่ดูร่าเริงมาตลอดทั้งวันกลับแปรเปลี่ยนเป็นเศร้าหมอง นั่นทำให้ผมรู้สึกไม่ดี
ผมรู้...ผมรู้ตัวว่ากำลังโดนปกป้องจีบ สิ่งที่ทำให้เขามีความสุขก็คือผม และสิ่งที่ทำให้เขาทุกข์ก็มีสาเหตุมาจากผมอีกเช่นกัน
“โมอย่าทำหน้าแบบนั้น” จู่ๆปกป้องก็หยุดเดิน ในขณะที่เรากำลังเดินไปเรื่อยๆ อย่างไร้จุดหมาย “ผมผิดเองแหละที่พาโมเดินเที่ยวจนเหงื่อท่วมเต็มหน้าเต็มหลัง ตั้งแต่เที่ยงจนค่ำ ใครไม่เหนื่อยก็บ้าแล้ว ผมเองยังเมื่อยเลย”
เจ้าตัวว่าพลางนวดคอ ทำสีหน้ายุ่งยากก่อนจะเปลี่ยนเป็นยิ้มสดใส
“แถมไปดื่มเหล้าตอนนี้ได้มีหวังอ้วกแตกแน่ๆ กินกันเยอะขนาดนี้”
ผมรู้ว่าในใจเขาไม่ได้อยากกลับหรอก แต่เพราะผมบอกว่าเหนื่อยเขาจึงยอมปัดความต้องการของตัวเองทิ้งไป
“เออสิ แถมตัวก็เหม็นเหงื่อ เข้าร้านไปมีหวังโดนสาวๆยี้แน่” ผมสำทับ
“แต่ผมไม่ยี้นะครับ” ไม่พูดเปล่า เจ้าตัวก้มลงมาทำท่าฟุดฟิดๆรอบๆตัวผม
“อย่างกับหมาเลย 555555”
ระหว่างที่เรากำลังเดินไปป้ายรถเมล์เพื่อหาแท็กซี่สักคัน โทรศัพท์ผมก็มีแจ้งเตือนจากไลน์
เมื่อไหร่จะกลับ
ไหนว่าสักพัก
นี่มันเลยมาครึ่งชั่วโมงแล้วนะโอ้โหมาเป็นชุด จะใครซะอีกล่ะถ้าไม่ใช่คุณชายโท
ผมขมวดคิ้วเล็กน้อย เมื่อเช้าก็อารมณ์ดีอยู่นี่หว่า ไหงข้อความในไลน์พออ่านดูแล้วรู้สึกได้ถึงความหงุดหงิดไม่ก็อารมณ์เสียตามหลังมาเลย พาลเอาผมไม่อยากจะกลับซะงั้น
“จะว่าไปก็มีร้านนั่งชิลล์ๆ ไม่ต้องไปแออัด สั่งเบียร์เย็นๆ ฟังดนตรีสดสบายๆอยู่นะ เห็นไอ้จ๊อบเคยบอกอยู่”
ปกป้องถึงกับเหวอ ผมไม่พูดอะไรให้มากความ ลากปกป้องมายังร้านที่ไอ้จ๊อบเคยแอบนัดสาว เนื่องจากผมไม่เคยมาแต่จำได้ลางๆว่าอยู่ใกล้กับร้านฟาสฟู้ดชื่อดัง จึงทำให้ผมไม่ต้องเสียเวลาหานานมากนัก
ร้านนี้ส่วนใหญ่แขกจะเป็นชาวต่างชาติ ดีที่คนยังไม่เยอะมากนัก ผมกับปกป้องเลยได้ที่นั่งทำเลดี สั่งโปรเบียร์มา 2 ชุด
“ทำไมเปลี่ยนใจ” คนตรงข้ามถาม ก่อนจะจิบเบียร์เล็กน้อย
“ขี้เกียจกลับ” คำตอบง่ายๆหลุดจากปาก ในขณะที่เสียงครืดๆยังคงสั่นต่อเนื่อง ผมตัดสินใจหยิบขึ้นมาปิดสัญญาณอินเตอร์เน็ต และเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ ผมขอดูรูปที่ถ่ายมาทั้งวัน แต่ปกป้องบอกว่าแบตกล้องหมดซะแล้ว ค่อยดูทีเดียวตอนตกแต่งรูปเสร็จ
เรานั่งคุยกันไปเรื่อยๆ มีสาระบ้าง ไร้สาระบ้าง ขวดเบียร์ว่างเปล่าก็เพิ่มจำนวนมากขึ้น มีสายเข้าจากไอ้โทแต่ผมไม่ได้รับ โทรศัพท์สั่นอยู่แบบนั้นนานหลายนาทีก็จะหยุดไป นี้มันเป็นวันหยุดงานของผม ไม่ต้องไปดูแลมัน ดังนั้นผมมีสิทธิ์ที่จะกลับกี่โมงก็ได้ ถ้าเดาไม่ผิด ป่านนี้มันคงหัวเสียอาละวาดอยู่ละมั้ง ตามนิสัยเดิมๆของมัน
เวลาผ่านไปจนล่วงเลยมาถึง 5 ทุ่ม ปกป้องก็ดูท่าจะไม่ไหวซะแล้ว ผมคิดเงินและพาเขากลับ
“เดินไหวมั้ยเนี่ย?”
“หวายยย”
ไหวบ้าอะไร หัวเอียงไปซบกับฝรั่งที่ไหนแล้วละนั่น!?
“เห้ออออ สงสัยต้องทำหน้าที่พี่เลี้ยงเด็กซะแล้วมั่งเนี้ย”
ผมพยุงปกป้องและพยายามไม่ให้เขาไประรานคนอื่น ไอ้เด็กนี่ก็เทน้ำหนักมาอย่างไม่เกรงใจ ปากก็พูดอ้อแอ้ๆจับใจความไม่ได้สักอย่าง มาจนถึงจุดที่แท็กซี่จอดเรียงราย ผมบอกจุดหมายปลายทางซึ่งเป็นคอนโดของคนที่เมาแอ๋ โชคดีที่โชเฟอร์ไม่ได้ส่งรถ แก๊สหมด หรือหาสารพัดข้ออ้างสารพัดเพื่อปฏิเสธผู้โดยสาร ผมจึงรับยัดอีกฝ่ายเข้าไปในรถและถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน
เมื่อถึงที่หมายผมให้พี่ยามที่น่าจะคุ้นเคยกับปกป้องดีช่วยพยุง แล้วควานหาคีย์การ์ดในกระเป๋าของเจ้าตัวระหว่างรอลิฟต์ พอเปิดประตูห้องได้ปกป้องก็โดนโยนไว้ที่โซฟาหน้าทีวี
“ขอบคุณครับ”
“ด้วยความยินดีครับ” พี่ยามทำท่าตะเบ๊ะก่อนจะเดินออกจากห้องไป
ตอนแรกผมว่าจะกลับเลย แต่พอหันไปดูสภาพของคนเมาแล้วก็ทำใจไม่ได้จริงๆ นี่ไม่รู้ด้วยว่าพี่แป้งพี่สาวของปกป้องจะกลับมาเมื่อไหร่ หรือวันไหน ขืนปล่อยไว้แบบนี้รับรองได้เลยว่าวันรุ่งขึ้นร่างโตๆที่อยู่บนโซฟาต้องส่งกลิ่นไม่พึงประสงค์อย่างแน่นอน
ผมลุกไปหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กแล้วชุบน้ำหมาดๆ เพื่อนำมาเช็ดหน้าเช็ดตาของปกป้องเผื่อเขาจะรู้สึกดีขึ้น จัดการเลิกเสื้อยืดขึ้นไว้ตรงคอ เพราะทำได้แค่นั้น ให้ยกตัวถอดคงไม่ไหว
ดีนะที่ไม่ขย้อนของเก่าออกมา ไม่งั้นมีหวังเละกว่านี้แน่
จากนั้นมาถึงส่วนล่าง ผมปลดเข็มขัดก่อนจะค่อยๆดึงกางเกงยีนส์ลงอย่างทุลักทุเล
“ยกตูดดิ๊” ผมพูดแม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายคงไม่รู้เรื่อง “ให้ความร่วมมือหน่อยสิโว๊ยย”
ดันก็แล้ว ผลักก็แล้ว เดี๋ยวถีบตกโซฟาแม่ม
“โมจะกินผมหรอ?” เจ้าตัวพูดตาปรือขณะที่ยอมยกก้นขึ้นเพื่อให้ผมถอดกางเกงให้สะดวก ผมไม่ตอบเพราะรู้ดีว่าอย่าคุยกับคนเมา คุยไปก็เท่านั้น ตื่นมาก็จำอะไรไม่ได้หรอก
ผ้าขนหนูผืนเดิมถูกนำไปเช็ดขาทั้งสองข้าง ดีที่ปกป้องชอบใส่ทั้งบ๊อกเซอร์และกางเกงชั้นใน เลยไม่มีอะไรที่อุจาดตาสักเท่าไหร่
แต่เดี๋ยวนะ เมื่อกี้หลังมือผมไปโดนอะไรบางอย่างที่แข็งตัวโดยไม่ได้ตั้งใจ
ผมเลื่อนสายตาไปมอง...เอียงซ้ายเหมือนเดิม
ถึงจะไม่ได้อยู่ด้วยกันเป็นปีๆ แต่ด้วยช่วงระยะเวลาที่อาศัยอยู่ด้วยกัน ทั้งกิน นอน อาบน้ำ เล่น เรียน ทำงาน อยู่ในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆมันก็ต้องมีทีเผลอบ้างแหละครับ ยิ่งตอนเช้านี่ไม่ต้องพูดถึง คนยังหนุ่มยังแน่นก็เป็นลำมาเลย แต่อย่างที่ผมเคยบอกไป ปกป้องไม่เคยทำตัวรุ่มร่ามให้ลำบากใจ ดังนั้นผมจึงไม่รู้สึกเขินอะไร ก็เหมือนที่พี่ชายเห็นของน้องชายนั่นแหละครับ
แอบกระซิบนิดนึงว่ามันมีขนาดเกินมาตรฐานชายไทยไปนิดหน่อย
“มองทำไม อยากกินเหรอ...”
ผมสะดุ้ง รีบเอาผ้าในมือเช็ดกลบเกลื่อนและลุกอย่างรวดเร็ว แต่กลับมีมือมาดึงทำให้ผมเสียหลัก เซไปนั่งตักของคนที่เพิ่งจะเช็ดตัวให้
“เฮ้ย!” ผมร้องเสียงหลง พยายามขืนตัวออกจากอ้อมแขนที่กอดผมไว้แน่น “ปล่อย ไม่เล่นนะว้อยยยย”
“ก็ไม่ได้เล่น ผมจริงจังนะโม”
“มึงเมา รีบปล่อยกูแล้วนอน กูจะกลับไปอาบน้ำนอนเหมือนกัน”
“กลับไปไหน? ไปหาไอ้เหี้ยโทอะนะ โมนอนค้างที่นี่เหอะ” ใบหน้าของปกป้องซุกหลังผม พลางกระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้น สัมผัสได้ถึงจังหวะการเต้นหัวใจที่แผ่ซ่านไปทั่วทั้งแผ่นหลัง
“โมก็รู้ว่าผมรู้สึกกับโมยังไง...” แม้จะพูดเสียงอู้อี้แต่ก็ฟังรู้เรื่อง “ผมไม่เคยเหนื่อยเลยนะที่ผมต้องวิ่งไล่ตามโม ผมยอมเป็นไอ้โง่ที่ขอแค่ได้อยู่เคียงข้างไม่ว่าจะในฐานะอะไร...”
ใช่...ผมรู้...
“ยิ่งพักหลังมานี้โมชอบทำเหมือนให้ความหวังผม รู้มั้ยว่าผมดีใจมากแค่ไหน แต่บางทีโมก็เฉยชาจนผมไม่แน่ใจว่าไอ้ที่หยอกก่อนหน้านั้นมันคืออะไร...หรือว่าโมแค่ต้องการปั่นหัวผมเล่น”
ปกป้องพลิกตัวผมให้นอนราบไปกับโซฟา ก่อนที่ตนเองจะทาบทับลงมา แรงกดที่ขาทำผมเจ็บ มือทั้งสองข้างถูกรวบไว้แน่น
“ปกป้อง...อย่าทำแบบนี้”
“มันไม่สนุกเลย...ผมอยากเป็นคนรักของโม...ไม่ใช่ของเล่นเอาไว้ปั่นหัวหรือใช้ให้ใครหึง”
ผมหันหน้าไปอีกทาง แววตาเจ็บปวดของปกป้องมันให้ทำผมไม่กล้าสู้หน้า เพราะสิ่งที่เขาพูดมา...มันถูกต้องทุกอย่าง
คุยไลน์กับปกป้องต่อหน้าเพื่อทำให้ใครบางคนหงุดหงิด...และมันก็ได้ผลมาตลอด พอใครคนนั้นเริ่มประสาทเสีย ผมก็ไม่ได้ใสใจใยดีอะไรกับแชทไลน์ของปกป้อง ทิ้งเอาไว้แบบนั้น ปล่อยให้ขึ้น Read แต่ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป
แกล้งทำเป็นคุยโทรศัพท์ต่อหน้า เพราะอยากเห็นใครคนนั้นโมโห
จนมาถึงวันนี้ ที่ผมออกมาเที่ยวกับปกป้อง ส่วนหนึ่งก็เพราะอยากให้ไอ้โทมันคลั่ง ถึงแม้เมื่อเช้ามันจะดูอารมณ์ดีมาจากไหนไมรู้ แต่ตอนนี้ผมมั่นใจว่ามันกำลังทำตัวเหมือนสัตว์ร้ายแน่ๆ
เมื่อไหร่ไม่รู้ที่ผมมีนิสัยเหี้ยๆแบบนี้ ในช่วงแรกยอมรับเลยว่าหวั่นไหวกับปกป้องมากๆ เขาเข้ามาในตอนที่ผมอ่อนแอ คอยดูแลเอาใจใส่ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ผมก็ไม่ได้รู้สึกวาบหวิวหรือหัวใจเต้นแรงกับปกป้องเลยสักนิด นั่นแสดงว่าผมไม่ได้คิดอะไรเกินเลยไปมากกว่าพี่น้องจริงๆ
ผิดกับไอ้เหี้ยคนนึงที่ทำผมไม่เป็นตัวของตัวเอง เอาแต่คิดซ้ำไปซ้ำมาว่ามันรู้สึกกับผมยังไง? ทำไมต้องคอยทำสิ่งดีๆให้กับผมตอนปี1 ทั้งๆที่มันไม่จำเป็น รู้สึกตะขิดตะขวงใจเหมือนมีอะไรในอก มันเป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูก
ทว่ามันกลับทำเรื่องเลวทรามจนในตอนนั้นจากความรู้สึกที่บอกไม่ถูกกลับกลายเป็นความคับแค้น ความไม่เข้าใจ ความโกรธ และความเกลียด ตั้งปฏิญาณไว้กับตัวเองเลยว่าจะไม่รู้สึกอะไรกับมันอีก เสมือนเป็นธาตุอากาศที่ล่องลอย ไม่จำเป็นต้องไปรู้สึกอะไร ราวกับกักเก็บเอาไว้ไม่อยากให้ใครรู้
แต่สุดท้ายแล้ว...ผมก็ทำไม่ได้...สมองสั่งให้ไม่รู้สึก แต่หัวใจกลับเต้นแรงทุกครั้งที่มันบอกรักหรือทำสิ่งพิเศษที่คล้ายกับขอโทษในเรื่องราวที่ผ่านมา
ยิ่งเหตุการณ์ที่มันออกตัวรับลูกกระสุนแทนผม ในวินาทีนั้น ความรู้สึกในอกผมมันแตกกระจาย คล้ายกับจะสูญเสียสิ่งมีค่าไป และไม่สนเรื่องราวในอดีตว่ามันจะทำเลวร้ายกับผมยังไง ขอแค่มันปลอดภัยเท่านั้นผมก็ดีใจแล้ว
อาจจะโดยไม่รู้ตัว แต่ในหัวสมองผมมีแต่เรื่องของไอ้โท มีแต่เรื่องของมันมาตั้งแต่ต้น มาจนถึงตอนนี้ ที่แม้กายจะอยู่กับปกป้อง แต่การผมที่ไม่ยอมตอบไลน์หรือรับโทรศัพท์มันก็เป็นการแสดงนิสัยไม่ดีออกมาให้เห็น
ชอบเห็นมันหึง ได้ปั่นหัวให้คนอย่างไอ้โทประสาทเสีย...
โดยลืมไปว่าผมกำลังทำร้ายความรู้สึกของคนตรงหน้าอยู่...
“พี่ขอโทษ”
“ทำไม...เป็นผมไม่ได้หรอ...ทั้งๆที่ผมดีกับโมขนาดนี้”
นั่นสิ ทั้งๆที่ปกป้องดีกับผมขนาดนี้...แต่ทำไมผมกลับไม่รู้สึกอะไรที่มากกว่าคำว่าพี่น้องไปได้เลย...
“หรือต้องให้ผมร้าย...โมถึงจะหันมาหาผม...”
สิ้นคำริมฝีปากหนาก็ประกบลงมาทันที ผมเม้มปากแน่น ดิ้นสุดกำลัง เพื่อไม่ให้ลิ้นร้อนๆเข้ามารุกรานได้ และเมื่อเห็นว่าผมไม่ยอมเปิดปากเขาเลยเอียงมาทางด้านขวาแล้วดูดดึงที่คอผมจนเจ็บ เบื้องล่างโดนทับด้วยขาแกร่งทำให้ขาผมชาและขยับเขยื้อนไปไหนไม่ได้
ผิวหนังสัมผัสได้ถึงความเย็นจากเครื่องปรับอากาศภายในห้อง มือของปกป้องเลิกเสื้อผมขึ้น เคลื่อนศีรษะต่ำลง ระหว่างทางใช้ลิ้นอุ่นไล่เลียจนมาถึงส่วนที่ไวต่อความรู้สึกบริเวณยอดอก มันทำให้ผมสะท้าน
“ปกป้องที่พี่รู้จักไม่ใช่คนแบบนี้...”
คนถูกกล่าวถึงชะงักไป ตอนนี้ผมไม่ต่อต้านแล้ว ปกป้องปล่อยมือผมให้เป็นอิสระ ใบหน้าและนัยน์ตาที่เคยใสซื่อของเด็กหนุ่มวัยมัธยม บัดนี้มันเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา ผมเอื้อมมือโอบกอดเขาไว้ด้วยความรู้สึกที่มี แม้จะเป็นแค่เศษเสี้ยวเล็กๆเมื่อเทียบกับความรู้สึกของปกป้องที่มีต่อผมก็ตาม
“พี่ผิดเอง ที่ไม่เคยแคร์ความรู้สึกของปกป้องเลย...ปกป้องจะเกลียดพี่หรืออะไรก็ได้ แต่อย่าทำแบบนี้...เพราะคนที่เสียใจที่สุดก็คือตัวปกป้องเอง...”
จากบทเรียนในอดีต ผมรับรู้ได้ว่าคนที่ทำแบบนี้เพราะเขาต้องการสิ่งที่ตัวเองรัก ต้องการสิ่งที่ตัวเองอยากได้ หากใช้วิธีปกติไม่ได้ผล เมื่อถึงที่สุดแล้วก็ต้องใช้กำลังข่มเหง แม้ในใจเขาจะเจ็บปวดทรมานก็ตาม...เหมือนอย่างไอ้โท... ในตอนนั้นผมยังไม่เข้าใจ จึงได้แต่ใช้กำลังตอบโต้ ใช้อารมณ์ พูดจาประชดประชันจนเรื่องมันบานปลาย
ทว่าตอนนี้ผมเข้าใจแล้ว หากผมต่อต้าน ขัดขืน ใช้อารมณ์โต้ตอบกลับ มันก็เหมือนการเติมเชื้อเพลิงลงในกองไฟ แต่ถ้าหากผมใช้สติ คิดพิจารณาดีๆ ก็จะพบว่าแท้จริงแล้วมันไม่มีอะไรเลย...
ทั้งไอ้โท ทั้งปกป้อง...พวกเขาก็แค่อยากได้ความรักจากผมก็เท่านั้นเอง
ความรักที่ไม่มีรูปร่างหน้าตา ไม่มีเหตุผล ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นเมื่อไร แต่แค่ระบุเจาะจงว่ามันจะเกิดขึ้นกับใคร บางทีอาจต้องใช้เวลาเพื่อศึกษา รับรู้ และยอมรับมัน
“พี่รักปกป้อง...แบบพี่น้อง...ปกป้องคือน้องชายคนนึงของพี่” ขณะที่พูดคนฟังก็ยิ่งสะอึกสะอื้น ราวกับทุกคำพูดของผมมันกรีดแทงลึกลงไปในใจ ผมรู้ว่าปกป้องจะเจ็บปวด แต่ก็ต้องพูดเพื่อให้ทุกอย่างมันชัดเจน ผมทำร้ายเขาแบบนี้ต่อไปไม่ไหวแล้ว
“พี่ขอโทษที่ไม่สามารถตอบรับความรู้สึกดีๆที่ปกป้องมีต่อพี่ให้ได้” ผมพูดพลางลูบหัวเขาไปด้วย “และพี่ก็ขอบคุณ..ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง ทุกๆเรื่อง ในชีวิตนี้ถ้าไม่นับพ่อ แม่ และก็ป้า ปกป้องคือคนที่ดีที่สุดที่พี่เคยเจอ...แต่เชื่อเถอะว่าสิ่งที่ปกป้องกำลังจะทำเมื่อกี้มันอาจทำให้ทุกๆอย่างที่เราเคยมีต่อกันมันหมดความหมาย”
“ผมขอโทษ...อึก...ผมขอโทษจริงๆ...”
“ปกป้องสำคัญสำหรับพี่นะ...จำคำพี่ไว้ พี่จะไม่ยอมให้ใครมาทำให้น้องพี่เสียใจได้อีก”
“แต่โมก็ทำผมเสียใจไปแล้ว...” อีกฝ่ายดันตัวออกเล็กน้อย ผมมองใบหน้าที่เปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตาแล้วลูบออกเบาๆ
“ยกเว้นพี่ โอเคนะ”
“โมใจร้าย...”
“ให้พี่เป็นคนสุดท้ายที่ทำปกป้องเสียใจ ต่อจากนี้ไปพี่จะเป็นฝ่ายปกป้องเราบ้าง”
เด็กคนนี้ปกป้องผมมาเยอะแล้ว ให้ผมได้เป็นฝ่ายดูแลเขาบ้างเถอะ
“ไปล้างหน้าล้างตาได้แล้ว เดี๋ยวไม่หล่อนะ”
“หล่อไปก็เท่านั้น คนแถวนี้ยังใจร้ายได้ลงคอ”
แหนะ มีตัดพ้อใส่
ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่ปกป้องก็ยอมลุกแล้วเข้าห้องน้ำไปล้างหน้าล้างตา พอออกมาก็ดูตั้งสติได้มากกว่าเดิม
“บอกแล้วว่าอย่ากินเยอะ เตือนก็ไม่ฟัง เห็นมั้ยเมาแอ๋เลยเนี่ย” แถมผมเกือบโดนปล้ำแล้วไง
“ทำไมโมถึงไม่เมาอ่ะ”
“โถ ระดับพี่กับน้องยังห่างชั้นกันเย้อออ” ผมยักคิ้วอย่างเป็นต่อ ซึ่งความจริงแล้วผมกินเบียร์ไปไม่ถึงขวดด้วยซ้ำ เพราะไอ้เด็กนี้มันเอาแต่ซดๆ ไม่รู้ไปตายอดตายอยากมาจากไหน
“แล้วนี่จะกลับยังไง ค้างที่นี่เหอะ ผมเป็นห่วง เดี๋ยวโดนใครฉุดไปอีก”
“ไม่ล่ะ เดี๋ยวนั่งแท็กซี่กลับ ไม่ต้องเป็นห่วง เดี๋ยวโทรคุยตลอดทางเลยเอามั้ย”
อยากกลับไปเหนหน้าใครบางคนที่ป่านนี้คงกระวนกระวายไม่ได้หลับไม่ได้นอนแล้วล่ะมั้ง หึหึ
โปรดติดตามตอนต่อไป