# 27 (PETE)
แกร็ก ... เสียงบางอย่างปลุกผมจากการหลับใหล เมื่อเปิดเปลือกตาขึ้น ภาพที่เห็นล้วนเป็นสิ่งที่ไม่คุ้นเคย หลับตาลงอีกครั้งแล้วค่อยๆลืมตาขึ้นใหม่ มองกวาดไปรอบๆห้อง ... ผมอยู่ที่ไหน?
“อ้าว ตื่นแล้วเหรอ?” เสียงที่คุ้นหูทำให้ผมต้องหันตาม ... พี่เมฆยืนอยู่ตรงนั้น เขามีแค่ผ้าเช็ดตัวผืนเดียวพันกายท่อนล่าง ... ผมขยับ ยันตัวลุกนั่ง ในหัวหนักอึ้ง
“ปวดหัวล่ะสิ” พี่เมฆเดินมาหยุดอยู่ข้างเตียง
ผมกำมือทุบท้ายทอยตัวเอง “ครับ”
“ไปอาบน้ำสระผม กินอะไรสักหน่อยเดี๋ยวก็ดีขึ้น” พี่เมฆพูดแล้วเดินไปหยิบอะไรบางอย่าง แล้วหันกลับมายื่นมันให้ผม
ผมมองด้วยความรู้สึกมึนๆงงๆ
“ผ้าเช็ดตัว” พี่เมฆบอก
เมื่อเข้าใจแล้ว จึงยื่นมือไปรับเอาไว้ ขยับตัวออกจากผ้าห่ม ปวดตุบในหัว เมื่อก้าวลงจากเตียง ความรู้สึกเบาโหวงทำให้ต้องก้มลงมองตัวเอง ... ทั้งตัวของผมเปลือยเปล่า
ผมเงยหน้าขึ้นมองพี่เมฆโดยอัตโนมัติ และเมื่อพบว่าเขากำลังมองผมอยู่ ผ้าเช็ดตัวที่อยู่ในมือจึงถูกนำมาพันกายท่อนล่างไว้อย่างรวดเร็ว
ผมเงยขึ้นมองหน้าพี่เมฆอีกครั้งช้าๆ “พะ พี่ ... เมื่อคืนพี่ทำอะไรผม?” ผมเอ่ยถามออกไปด้วยความยากลำบาก ในหัวเริ่มคิดทบทวนเรื่องเมื่อคืน ... ผมมานอนที่เตียงของพี่เมฆได้ยังไง ทำไมผมถึงตื่นขึ้นมาด้วยสภาพล่อนจ้อนและอยู่ในห้องเดียวกันกับพี่เมฆที่มีแค่ผ้าเช็ดตัวผืนเดียวพันกาย ... อาการปวดหัวเมื่อครู่ยิ่งเพิ่มทวีคูณขึ้นแทบจะระเบิด
พี่เฆมไม่ตอบคำถามของผม เขายังคงยืนมองผมตาค้าง
“พี่!” ผมเรียกเขาเสียงดัง
“เฮ้ย!” พี่เมฆอุทานออกมาเสียงดังกว่าผมเสียอีก “พี่เปล่า!” พี่เมฆส่ายหน้าดิก
“พี่เปล่าแล้วผมมานอนแก้ผ้าบนเตียงพี่ได้ยังไง?” ผมส่งเสียงโวยวาย ยกมือกุมขมับ
“เมื่อคืนพีทเมา พี่กับไมค์ก็พาขึ้นมานอน แล้วพี่ก็ลงไปกินต่อ” พี่เมฆอธิบาย
“แล้ว?” ผมต้องการรู้ต่อว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
“แล้วอะไรล่ะ พี่ก็นอนอยู่ข้างล่างกับไอ้จิวไอ้เนส” พี่เมฆท้าวเอว
“แล้วไมค์ล่ะ?” ผมนึกถึงอีกคนที่เหลือ
“กินโจ๊กอยู่ข้างล่าง”
“เปล่า! ผมหมายถึงเมื่อคืนไมค์นอนที่ไหนฮะ?”
“ก็นอนที่ห้องนี้ไง”
คำตอบของพี่เมฆทำเอาผมแทบทรุด ... เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นระหว่างผมกับไมค์?
ผมเดินผ่านหน้าพี่เมฆไปอย่างเลื่อนลอย … ขณะอาบน้ำ ผมพยายามสำรวจความเสียหายจากร่างกายตัวเอง ... ไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ แต่ที่ไอ้ม่อกเคยเล่าให้ฟัง เรื่องของพี่ข้างบ้านมันที่เป็นเกย์ เขาบอกว่าครั้งแรกโคตรเจ็บ ทั้งสายเหลืองสายแดงคละคลุ้ง ระบมจนต้องนอนป่วยอยู่หลายวัน ผมกับพวกเพื่อนในแก๊งฟังแล้วยังขนลุก ไม่คิดว่าเรื่องอย่างว่าระหว่างผู้ชายกับผู้ชายจะน่ากลัวสยดสยองขนาดนั้น แต่ไอ้ม่อกยืนยันว่าพี่เขาบอกมันอย่างนั้นจริงๆ ... ผมยื่นมือไปแตะด้านหลังของตัวเองด้วยความรู้สึกกระดากอาย ... ไม่เจ็บ
ผมก้าวลงบันไดอย่างช้าๆ รู้สึกกลัวที่ต้องเผชิญหน้ากับไมค์ ... ที่ชั้นล่าง พี่เมฆทำอะไรบางอย่างอยู่ในครัว พี่เนส หลับอยู่บนรีไคลเนอร์ที่ปรับให้เอนลง พี่จิวหลับอยู่บนพื้น
“มาแล้วเหรอ? กินโจ๊กไหม จะได้อุ่นท้อง แล้วเดี๋ยวคงต้องออกกันเลย เผื่อทราฟฟิค” พี่เมฆเอ่ยถามเมื่อผมเดินเข้าไปในครัว
“ครับ”
พี่เมฆหันไปตักโจ๊กในหม้อ
“พี่ปิงกับ เอ่อ ... ไมค์ ไปไหนฮะ?”
พี่เมฆถือชามโจ๊กมาวางบนโต๊ะ ในมืออีกข้างมีแก้วกาแฟ เขาเดินไปนั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม “ไมค์เห็นบอกจะไปเดินเล่นแถวๆนี้ ส่วนพี่ปิง ... ออกไปส่งคุณกร”
ชื่อของคุณกร ทำให้ผมนึกได้ว่าเมื่อวานขณะที่พวกเรากำลังดื่มกินและร้องเพลงอย่างสนุกสนาน มีคนมากดกริ่งที่หน้าบ้าน ผมเดินออกไปเปิดประตู เมื่อเห็นใบหน้าของเขาชัดๆ ความคุ้นเคยบอกผมว่าคนๆนี้คือคนที่มายืนรอพี่ปิงในค่ำคืนที่พวกเรากลับจากสวนสนุก ... ผมยืนจ้องหน้าเขาจนเขาเอ่ยถามขึ้นมาว่า “ปิงอยู่ไหม?” ผมยืนมองเขาอยู่อย่างนั้น ยิ่งมองยิ่งคุ้นตา และแล้วภาพของชายหนุ่มคนหนึ่งก็ซ้อนขึ้นมา ... เขาคือผู้ชายที่อยู่เคียงข้างพี่ปิงในงานพืชสวนโลกที่เชียงใหม่ปีนั้น ถึงแม้ผมยังเด็ก และเวลาผ่านมาจนเกือบ 10 ปี แต่ผมจำเขาได้แน่ๆ
“เมื่อคืนคุณกรค้างที่นี่เหรอครับ?” ในอกข้างซ้ายเหมือนมีอะไรบางอย่างถ่วงไว้จนหนัก
พี่เมฆจิบกาแฟ วางแก้วลงบนโต๊ะแล้วพยักหน้า
“คุณกรนอนที่ไหนเหรอฮะ?” ผมไม่รู้ว่าคำถามนี้เสียมารยาทหรือไม่ แต่ผมอยากรู้
แกร๊ก ... เสียงที่ดังแทรกขึ้นมา ทำให้เราทั้งคู่หันไปทางหน้าบ้าน ... พี่ปิงผลักประตูเข้ามา เขายืนนิ่ง มองหน้าผมสลับกับหน้าพี่เมฆ นั่นคงเพราะเราสองคนต่างจ้องไปที่เขา
“ไมค์กลับมาหรือยัง? เราควรออกกันได้แล้ว เผื่อเวลาไว้สักหน่อยจะได้ไม่ฉุกละหุก” พี่ปิงเอ่ยขณะเดินเข้ามา
“เดี๋ยวเมฆโทรตาม” พี่เมฆลุกไปหยิบโทรศัพท์ที่ชาร์จเอาไว้ข้างๆโทรทัศน์
ผมก้มหน้า ตักโจ๊กเข้าปาก ในหัวยังปวดหนึบๆ ... ชื่อคุณกรและร่างบางของพี่ปิง ทำให้ผมนึกถึงท่าทางที่พวกเขานั่งอิงแอบกันเมื่อคืน ... ผมปวดใจแต่ทำอะไรไม่ได้นอกจากยกเบียร์ขึ้นดื่มอย่างเอาเป็นเอาตาย และหลังจากนั้นเหมือนว่าความทรงจำของผมจะเลือนราง รางจนไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นในห้องนั้น
“พีทเป็นไงบ้าง?” พี่ปิงมายืนอยู่ใกล้ๆตอนไหนไม่รู้ ผมเงยหน้าขึ้นมอง เขาวางมือไว้บนหัวผม “ปวดหัวไหม?” น้ำเสียงที่เอ่ยถามช่างอ่อนโยนเหลือเกิน
ผมกัดปากด้านในเอาไว้ ความใจดีของพี่ปิงทำให้ผมอยากร้องไห้ “นิดหน่อยครับ”
“เดี๋ยวตอนออกไปค่อยแวะ CVS ซื้อแก้แฮงค์มากินสักขวด อาจดีขึ้น” พี่ปิงลูบหัวผม พูดเสร็จแล้วหันไปมองหน้าพี่เมฆ
แกร๊ก ... เสียงประตูดังอีกครั้ง ผมไม่กล้าหันไปมอง เพราะรู้ว่าคราวนี้คนที่ก้าวเข้ามาน่าจะเป็นไมค์
“ไปเดินถึงไหนมา?” พี่เมฆเอ่ยถาม
“เรื่อยๆฮะ”
“งั้นเดี๋ยวเมฆไปถอยรถมาหน้าบ้าน” พี่เมฆหันไปบอกพี่ปิง
เสียงประตูปิดลง แสดงว่าพี่เมฆออกไปแล้ว
“ผมจะขึ้นไปเอากระเป๋า” เสียงของไมค์เอ่ยขึ้น และตามด้วยเสียงฝีเท้าที่เดินขึ้นบันไดไป
ผมกินโจ๊กหมดแล้วจึงลุกจะเอาชามเข้าไปล้างในครัว
“วางไว้ในอ่างนั่นแหละ เดี๋ยวพี่กลับมาจัดการเอง”
“ไม่เป็นไรครับ ผมล้างได้”
“ไม่เป็นไร ยังไงพี่ก็ต้องเคลียร์ของในครัวอยู่แล้ว”
ผมกวาดตามองข้าวของ ถ้วยจานที่วางอยู่บนเคาน์เตอร์ในครัว นึกเกรงใจที่ผมเป็นต้นเหตุให้พี่ปิงต้องเหนื่อยกับการจัดงานเลี้ยง “ขอโทษนะครับ เพราะต้องเลี้ยงส่งผม พี่ปิงเลยต้องเหนื่อย”
พี่ปิงส่ายหน้าแต่ยิ้ม “เรื่องเล็กน่ะ เดี๋ยวก็ช่วยๆกัน”
ไมค์เดินลงมา ผมมองหน้าเขาแว้บหนึ่งแล้วหลบตา “ผมขึ้นไปเก็บของบนห้องก่อนนะฮะ” เป้และเสื้อผ้าที่ผมถอดทิ้งไว้ยังอยู่บนห้องพี่เมฆ
“เดี๋ยวผมเอากระเป๋าลงไปรอพี่เมฆ” เสียงของไมค์พูดกับพี่ปิงดังขึ้นเมื่อผมก้าวขึ้นบันได
เมื่อเช็คอินแล้วผมยังมีเวลานิดหน่อยที่จะกล่าวลาทั้ง 3 คนที่มาส่ง ส่วนพี่เนสกับพี่จิวยังหลับเป็นตายเมื่อพวกเราออกมาจากบ้าน
“ไปถึงที่โน่นแล้วโทรหาพี่นะเว้ย” พี่เมฆตบไหล่ผม
“ครับ ... ขอบคุณมากนะครับ” ผมยกมือไหว้พี่เมฆ หากวันนั้นไม่ได้เจอเขาที่จอร์จวอชิงตัน ผมก็อาจจะไม่มีโอกาสได้พบกับพี่ปิง เพราะฉะนั้นเขาคือคนที่มีบุญคุณกับผมมาก
“เฮ้ย เล็กน้อย เอาไว้พี่กลับไทยเมื่อไหร่ พี่จะไปเอาคืน”
“พี่ต้องให้ผมพาเที่ยวนะ พี่สัญญากับผมแล้ว”
“แน่นอนดิวะ” พี่เมฆโยกหัวผมเบาๆ
ผมเหลือบมองคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ใบหน้าขาวแม้จะดูซีดเล็กน้อย แต่ก็ยังงดงามเสมอสำหรับผม
“ขอบคุณนะครับพี่ปิง” ผมพูดได้เพียงเท่านี้ เพราะรู้สึกร้อนผ่าวที่ขอบตา
พี่ปิงยิ้ม ... ผมกัดปากตัวเองจนรู้สึกเจ็บ
“เดินทาง ปล ...” เมื่อได้ยินเสียงของพี่ปิง ความอดกลั้นของผมก็พังทลาย
ผมเดินเข้าไปสวมกอดร่างบางเอาไว้ คำพูดของพี่ปิงสะดุด แต่แล้วเขาก็เอ่ยต่อขณะอยู่ในอ้อมกอดของผม “เดินทางปลอดภัยนะ”
“ผมจะรอพี่กลับไปเมืองไทย พี่ไปเมื่อไหร่ผมจะเทคแคร์พี่เอง”
“ขอบใจนะ” เสียงนุ่มของพี่ปิงเอ่ยลอดออกมา
“แต่ถ้าพี่ไม่ได้กลับไป ... พี่รอผมนะ ผมจะมาหาพี่เอง” ผมเอ่ยเบาๆที่ข้างหู
พี่ปิงไม่ตอบ แต่ผมรับรู้ถึงสัมผัสอุ่นจากมือของเขาที่ตบหลังผมเบาๆ … ร่างในอ้อมกอดขยับ ผมจึงจำใจต้องปล่อย ถอยออกมา 1 ก้าว เพื่อจะมองใบหน้าของพี่ปิงให้เต็มตา ดวงตายาวรีมองตอบกลับมา
ในคลองสายตา ใครอีกคนยืนห่างออกไป ผมตัดสินใจก้าวเข้าไปหา ... ระหว่างทางมาสนามบิน ไมค์นั่งหลับตา ไม่พูดอะไรเลยสักคำ
“ขอบใจนะ” ผมเอ่ยขึ้นเมื่อมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขา
ไมค์ไม่ตอบ ไม่พยักหน้า มีเพียงดวงตาสีน้ำตาลที่มองจ้องใบหน้าผมโดยไม่กะพริบ
“ไมค์ ...” ผมนึกถึงเรื่องเมื่อคืน แม้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ที่แน่ๆ เขาคือคนที่อยู่กับผมในห้องนั้น
“หันหลัง” อยู่ๆเขาก็เอ่ยขึ้นมา
ผมขมวดคิ้ว ไม่แน่ใจในสิ่งที่ไมค์พูด ... หันหลัง? เขาหมายถึงอะไร? หมายถึงเรื่องเมื่อคืนยังงั้นเหรอ? เมื่อคิดอย่างนั้น ความร้อนผ่าวก็ผุดขึ้นที่แก้ม
“ฉันบอกให้หันหลังไง” พูดแล้วก็จับไหล่ บังคับให้ผมหันหลังให้กับเขา
ผมรู้สึกว่าซิปของเป้ที่อยู่บนหลังถูกรูดลง ของบางอย่างถูกใส่ลงไป และซิปก็ถูกรูดปิด ผมค่อยๆหันกลับมาเผชิญหน้ากับไมค์อีกครั้ง
“Have a safe flight.” ไมค์ล้วงมือทั้งสองข้างลงในกระเป๋ากางเกง เขาก้มหน้าแล้วหันหลัง ก้าวเดินจากไป
“จวนได้เวลาแล้ว เข้าไปเถอะ” พี่เมฆเดินมายืนข้างๆ ตบไหล่ผม
“ครับ”
ระหว่างทางเดินไปที่เกท ผมพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้จนรู้สึกเจ็บในอก ... พี่เมฆและพี่ปิงที่ยืนอยู่ข้างนอกนั่น เมื่อหันกลับไปอีกครั้ง ผมเห็นเพียงด้านหลังของพวกเขาที่กำลังเดินห่างออกไป
เมื่อนั่งประจำที่บนเครื่อง ผมล้วงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงเพื่อที่จะปิด เสียงข้อความเข้าก็ดังขึ้น
ไมค์ - ฉันให้เวลานาย โปรดคิดเรื่องของฉันอีกครั้ง
ผมสูดหายใจลึกแล้วปล่อยออกอย่างช้าๆเมื่ออ่านข้อความจบ ... ไม่รู้ว่าควรรู้สึกอย่างไร ... ไมค์คือเพื่อน และคนที่ผมคิดถึงในขณะนี้มีเพียงพี่ปิง
ผมเปิดเป้เพื่อจะเก็บโทรศัพท์ แต่แล้วมือก็ไปกระทบกับของบางอย่าง ผมหยิบมันออกมา ... กล่องสี่เหลี่ยมสีดำ ผมเปิดมันออกในขณะที่ใจเริ่มเต้นตึกๆ ... มันคือนาฬิการุ่นที่ผมอยากได้ และไมค์ซื้อมันเมื่อวันก่อน ... ผมหยิบออกมาสวมแล้วจ้องมองมันอยู่อย่างนั้น ...
น้าติ๊ก น้าเขยและทีน่ามารับผมที่สนามบิน พวกเราแวะกินข้าวร้านจีนก่อนกลับเข้าบ้าน ผมมีของฝากเล็กๆน้อยๆให้กับทุกคน จากนั้นก็ขอตัวเข้าห้อง
ทิ้งตัวลงบนเตียง เปิดหน้าไลน์ ภาพดอกไฮเดรนเยียและภาพด้านข้างของไมค์ทำให้ผมลังเล ส่วนพี่เมฆนั้นผมส่งข้อความบอกตั้งแต่อยู่ที่สนามบิน และขณะนั่งรถกลับบ้าน น้าติ๊กก็โทรหาแม่ ผมจึงได้คุยกับท่านแล้ว
ผม – ถึงบ้านน้าติ๊กแล้วนะ
ผมเลือกส่งข้อความถึงไมค์ ข้อความถูกเปิดอ่านทันที
ผม – ขอบคุณมากสำหรับนาฬิกา เรานึกว่านายซื้อให้ตัวเองซะอีก
ผมถ่ายรูปนาฬิกาที่อยู่บนข้อมือส่งไปให้
ผม – มันเท่มาก แต่ก็แพงมากด้วย นายไม่น่าให้ของแพงๆแบบนี้กับเราเลย
ผมรู้สึกผิดขึ้นมานิดหน่อยเมื่อนึกถึงวันนั้นที่ไมค์เอานาฬิกาขึ้นมาอวด แล้วบอกให้ผมลองสวมดู ไม่นึกเลยว่าเขาจะยกให้ผม
ไมค์แนบรูปถ่ายมาให้ เมื่อเปิดดู มันคือภาพนาฬิกาข้อมือแบบเดียวกันต่างกันตรงที่ มันอยู่บนข้อมือของไมค์
ไมค์ – นั่นของนาย และนี่ของฉัน
ผมกัดริมฝีปาก ความรู้สึกผิดเพิ่มมากขึ้น ไมค์ซื้อนาฬิกาแบบเดียวกันกับของเขาให้ผม ... เขารู้ว่าผมชอบรุ่นนี้มาก แต่ผมกลับไม่มีอะไรให้กับเขา ... แม้จะตอบกลับความรู้สึกที่เขามีให้ ผมยังทำไม่ได้
ผม – เราไม่มีอะไรให้นายเลย
ไมค์ – ฉันไม่ต้องการอะไร แค่นายไม่ลืมฉันก็พอแล้ว
ผม – เราจะลืมได้ยังไง นายเป็นเพื่อนรักของเรานะ
ไมค์อ่าน แต่ไม่ตอบ รอสักพักก็ยังไม่ตอบ ... ผมรู้ว่าการเน้นย้ำคำว่าเพื่อนอาจทำร้ายความรู้สึกของไมค์ แต่ผมให้เขาได้เท่านั้นจริงๆ แม้ว่า ...
แม้ว่าเมื่อคืนอาจเกิดอะไรขึ้นแล้วระหว่างผมกับไมค์ ... ผมควรถามให้แน่ใจ
ผม – เมื่อคืนนายนอนบนห้องกับเราหรือเปล่า
ไมค์อ่าน และไม่นานเขาก็ตอบกลับมา
ไมค์ – ใช่
ผม – เราอ้วกใช่ไหม
ผมพยายามนึกว่าเพราะเหตุใดถึงได้นอนแก้ผ้า ... อาจเพราะเมาจนอ้วกและมันเลอะเทอะจนต้องถอดเสื้อผ้าทิ้งไป เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นในละครอยู่ออกบ่อย มันอาจเกิดขึ้นกับผมบ้างก็ได้
ไมค์ – เปล่า
จบกัน ... คำตอบของไมค์ทำเอาโทรศัพท์แทบร่วงจากมือ
ผม – งั้นเราคงร้อน
ผมนึกถึงความเป็นไปได้อย่างอื่น
ไมค์อ่านแล้วเงียบไป ผมทนรอไม่ไหวจึงต้องส่งข้อความย้ำกลับไป
ผม – เราคงร้อนเลยถอดเสื้อผ้าออก
ไมค์ – ใช่
คำตอบของไมค์ทำให้ผมรู้สึกโล่งเหมือนยกภูเขาออกจากอก … มันควรเป็นอย่างนั้น ผมไม่น่าคิดมากเกินไป บางทีผมเมา ไมค์ก็อาจจะเมาด้วยเหมือนกัน เขาคงไม่สนใจหรอกว่าผมจะแก้ผ้าหรือทำอะไร
ผมส่งสติ๊กเกอร์หัวเราะ
ไมค์ – นายถอดเสื้อผ้าตัวเอง และถอดของฉันด้วย
โทรศัพท์ร่วงจากมือลงมาใส่อกดังตุ้บ! ที่ไมค์พูดหมายความว่ายังไง? ผมร้อนรนจนตัดสินใจโทรกลับไป ไมค์ไม่รับสาย แต่ส่งข้อความกลับมา
ไมค์ – ฉันชอบเสียงครางของนาย
ผม – รับสายฉันเลย เราต้องคุยกัน
ผมโทรไปอีกครั้ง
“นายหมายความว่าไง?” ผมกรอกเสียงลงไปทันทีที่รู้ว่าไมค์รับสาย
/ก็ตามนั้น/ เสียงตอบกลับช่างไร้อารมณ์ ต่างกับผมในเวลานี้
“ไมค์ เราต้องการคำอธิบายที่ชัดเจน” อกข้างซ้ายเต้นตึกๆ
/.../
“ไมค์ นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กสำหรับเรานะ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่” ยิ่งเขาเงียบ ผมยิ่งร้อนรุ่ม
/นายทำอะไรลงไป จำไม่ได้เลยหรือไง?/ แทนที่เขาจะบอกว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่กลับตั้งคำถามย้อนกลับมา ตอนนี้ผมแทบจะเป็นบ้าอยู่แล้ว
“ถ้าเราจำได้ เราจะต้องมาซักนายอยู่อย่างนี้ไหม?” ผมสูดลมหายใจ พยายามระงับสติอารมณ์
/ถ้านายจำไม่ได้ ก็ให้มันแล้วไป/
“มันจะแล้วไปได้ยังไง เราตื่นมา เอ่อ ... แก้ผ้าล่อนจ้อน”
/นายแก้ของนายเอง จะมาโวยวายโทษใครกันล่ะ/ ทั้งน้ำเสียงและคำพูดของไมค์ทำเอาผมหน้าชา
“แล้วนายทำอะไรเราหรือเปล่า?” ผมต้องซักเอาความจริงให้ได้
/ทำไมนายถึงคิดว่าฉันจะต้องเป็นฝ่ายทำอะไรนายด้วย ทำไมไม่คิดว่านายเองอาจจะเป็นฝ่ายทำฉันก็ได้/ คำพูดของไมค์ทำให้ผมต้องหยุดคิด ... หรือที่ผมไม่รู้สึกเจ็บ นั่นเป็นเพราะผมไม่ได้เป็นฝ่ายถูกกระทำ ...
“เรา ...” อยู่ๆสมองก็ตื้อไปหมด นี่ผมทำอะไรลงไป? หรือที่ไมค์นั่งเงียบมาตลอดในรถ เพราะเขาอาจจะรู้สึกเจ็บจนพูดไม่ออก
“นายแน่ใจเหรอว่าเราทำมันลงไปจริงๆ” ไม่อยากเชื่อเลยจริงๆว่าผมจะทำเรื่องอย่างนั้นลงไป
/เห้อ ... ถ้านายจำไม่ได้ ก็ไม่ต้องไปใส่ใจ จบไหม?/
“...” จะให้จบง่ายๆอย่างนี้งั้นเหรอ?
/เอาล่ะๆ ฉันจะบอกความจริงก็ได้ นายเมาแล้วก็บ่นว่าร้อน แล้วก็ลุกขึ้นมาแก้ผ้า ฉันห้ามเท่าไหร่ก็ไม่ฟัง ฉันเองก็เมาเลยไม่ได้ใส่ใจ แล้วจากนั้นฉันก็หลับไป ... แค่นี้ล่ะ/ คำอธิบายยืดยาวของไมค์ กลับไม่น่าเชื่อถือเลยสำหรับผม
“นาย ... เจ็บไหม?” ถ้าผมไม่เจ็บ คนที่เจ็บคงเป็นไมค์ ผมนึกห่วงเขาขึ้นมา
/เจ็บ? เจ็บอะไรของนาย?/
“ก็ ... เจ็บตรงนั้น ... เราไม่รู้ตัว อาจทำนายเจ็บ” ผมนึกถึงสีหน้าของไอ้ม่อกตอนมันเล่าว่ารุ่นพี่ของมันเจ็บเจียนตาย
/ฮ่าๆๆๆๆๆๆ/ เสียงหัวเราะดังลั่นผ่านเข้ามา จนผมต้องเลื่อนโทรศัพท์ออกจากหู
“ขำอะไร?”
/ฉันชอบนายก็เพราะเงี้ย ฮ่าๆๆๆ/
“หยุดขำแล้วตอบคำถามเรา!” ผมเริ่มหัวเสีย เรื่องที่เกิดขึ้นไม่ตลกเลยสักนิด ... นี่คือความบริสุทธิ์ที่ผมรักษามาเกือบ 18 ปีเชียวนะ
/จะให้ฉันตอบอะไรอีกล่ะ ก็บอกไปหมดแล้ว/ ไมค์ยังหัวเราะหึๆ
“เอาล่ะ เราจำอะไรไม่ได้เลย เราตื่นมาพบตัวเองนอนแก้ผ้า แล้วนายก็นอนอยู่กับเราเมื่อคืน ถ้ามันเกิดอะไรขึ้น คือ ถ้าเราทำอะไรนาย ... เราขอโทษ”
/ขอโทษ? ... ถ้ามันเกิดอะไรขึ้นจริงๆ นายคิดว่าแค่ขอโทษแล้วก็จบเหรอ?/
“...” ถ้าแค่ขอโทษแล้วไม่จบ ผมควรทำยังไง?
/ถ้าเมื่อคืนมันเกิดอะไรขึ้นระหว่างเราสองคนจริงๆ นายคิดจะทำยังไงต่อไป?/
“...” ผมต้องรับผิดชอบไมค์หรือเปล่า?
/ถ้านายไม่รู้ว่าต้องทำยังไง นายจะถามให้มันได้อะไรขึ้นมา รู้หรือไม่รู้ เกิดหรือไม่เกิด มันจะทำให้อะไรเปลี่ยนแปลงงั้นเหรอ? ถ้าคำตอบคือไม่ ... งั้นก็จบแค่นี้/
“ไมค์ ... เรา ...” ผมไม่รู้ควรทำยังไง ควรพูดอะไร
/ฉันบอกนายแล้วว่าฉันให้เวลานาย ฉันไม่คิดจะเอาเรื่องเมื่อคืนมาเป็นเครื่องต่อรอง เพราะฉะนั้นไม่ต้องคิดมาก มันก็แค่คนเมาสองคนที่ทำอะไรไปอย่างขาดสติ/
“...” คนเมา ... ทำอะไร ... ขาดสติ ...
/แค่นี้นะ ฉันต้องลงไปหาคุณย่า/
“...”
ไมค์วางสายไป โดยที่ผมไม่ได้เอ่ยคำร่ำลา คำพูดของไมค์ทำให้มั่นใจว่าเมื่อคืนระหว่างผมกับไมค์ต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่ๆ ... แล้วผมควรทำยังไง? ผมชอบไมค์มาก แต่ในฐานะเพื่อน ไม่เคยคิดว่าจะเป็นอย่างอื่นได้มากกว่านี้ แม้จะรู้ว่าเขาชอบผมมากก็ตาม
ถ้าผมทำเป็นไม่สนใจ ไม่รับรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น แล้วปล่อยให้ทุกอย่างจบลงเงียบๆ เพราะถึงอย่างไรผมกับไมค์ก็อาจจะไม่ได้เจอกันอีกแล้วก็ได้ ... ผมจะเลวไปไหม?
เหม่อมองดวงไฟบนฝ้าเพดาน อีกไม่กี่วันผมก็จะไปจากแผ่นดินอเมริกา และก็ไม่รู้ว่าจะได้กลับมาอีกหรือไม่ เรื่องไมค์กับผมจึงไม่มีทางเป็นไปได้อยู่แล้ว ... แล้วเรื่องของผมกับพี่ปิงล่ะ มันจะเป็นยังไงต่อไป
ผมเลือกโทรออกแทนการส่งข้อความ เวลานี้ผมต้องการได้ยินน้ำเสียงที่จะปลอบโยนผมได้ รอไม่นาน คนทางนั้นก็รับสาย
/เป็นไง ทุกอย่างเรียบร้อยดีใช่ไหม?/ พี่ปิงเอ่ยถาม ... เสียงนี้ที่ผมคิดถึง
“เรียบร้อยครับ”
/เป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมเสียงหงอยๆ/
“ผม ... ผมคิดถึงพี่”
/.../
“ผมไม่อยากกลับเลย”
/แล้วไม่คิดถึงพ่อกับแม่เหรอ?/
“...”
/ท่านคงคิดถึงพีทมากนะ ลูกชายคนเดียวมาเที่ยวซะตั้งนาน/
“...”
/กลับไปตั้งใจเรียน เอาไว้ปิดเทอมแล้วค่อยมาเที่ยวอีก/
“ผมต้องมาอีกแน่ๆครับ”
/มาสิ แล้วพี่จะพาเที่ยว/
“จริงๆนะครับ” ผมสูดหายใจลึก การที่คิดว่าจะได้พบกับพี่ปิงอีกครั้ง จะเป็นพลังผลักดันให้ผมก้าวไปในวันข้างหน้าได้อย่างมีความหวัง
/จริงสิ/
“แล้วพี่จะกลับมาเมืองไทยไหมครับ? คุณแม่พี่ก็คงคิดถึงพี่เหมือนกัน” เมื่อตอนที่ออกไปเดินถ่ายรูปรอบๆหมู่บ้าน พี่ปิงเล่าว่าเขามีเพียงแม่และน้องสาวอยู่ที่เมืองไทย ส่วนพ่อเสียไปตั้งแต่เขายังเด็ก
/... คงอีกสักปีหรือ 2 ปี/
“ผมอยากให้พี่มา ผมอยากมีโอกาสดูแลพี่บ้าง ผมจะพาพี่ไปเที่ยวเชียงใหม่”
/ขอบใจนะ/
“พี่ปิง ...”
/.../
ผมหลับตา ขบริมฝีปากจนรู้สึกเจ็บ ก่อนจะเอ่ยค่ำนี้ออกมา “ผมชอบพี่”
/.../
“แค่เราอยู่กันคนละประเทศมันก็ห่างไกลกันมากแล้ว พี่อย่าปฏิเสธหรือผลักไสผมไปไหนเลยได้ไหมครับ”
พี่ปิงเงียบไปสักครู่ ก่อนจะตอบกลับมา /... ให้เวลาทำงานของมันก็แล้วกัน/
“พี่หมายความว่ายังไงฮะ?” เวลาจะทำอะไรงั้นเหรอ?
/นอนได้แล้วนะ/
“แต่ผม ...” ผมไม่อยากวางสาย อยากฟังเสียงของพี่ปิง อยากรู้สึกว่าเขาอยู่ใกล้ๆ
/ถ้าไม่อยากเป็นเด็ก ก็ต้องหัดคิดอย่างผู้ใหญ่ได้แล้ว/
“... ครับ” ถ้าผมเป็นผู้ใหญ่ พี่ปิงคงไม่ปฏิเสธผม
/ฝันดีนะ/
“ฝันดีครับ”
วินาทีที่เครื่องบินยกตัวขึ้นสู่อากาศ ผมมองแผ่นดินอเมริกาผ่านหน้าต่าง ... สักวันผมจะกลับมา