ตอนที่ 7 มิตรภาพ
“ม่อนส่งแค่นี้นะพ่อ เดินทางปลอดภัยครับ” นคินทรกล่าวหลังจากประตูรถถูกดึงปิด
พลตรี นพ.ธรณินยิ้มพร้อมกับบีบไหล่ลูกชายที่ค้อมตัวไหว้ผ่านหน้าต่างรถยนต์ที่ลดกระจกลง “ขอบใจนะลูกที่มาส่ง”
“พ่อถึงบ้านแล้วอย่าลืมโทรบอกม่อนหน่อยนะครับ” มองเลยไปยังนายทหารคนสนิทของพ่อที่ขณะนี้นั่งประจำที่คนขับ “ม่อนฝากพ่อด้วยนะครับอา ถ้าอาง่วงต้องแวะพักนะ”
“ครับคุณม่อน ไม่ต้องห่วงครับ รับรองว่าผมจะส่งท่านให้ถึงบ้านอย่างปลอดภัยแน่นอน”
ได้ยินอีกฝ่ายรับปากเช่นนั้น นคินทรจึงค่อยคลายกังวล ผู้เป็นพ่อหัวเราะในลำคออย่างเอ็นดู เลื่อนมือขึ้นโยกหัวลูกชายเบา ๆ เมื่อเห็นสมควรแก่เวลาจึงดึงมือกลับ ทันทีที่กระจกเลื่อนขึ้น รถเก๋งคันหรูก็ค่อย ๆ เคลื่อนออกจากปั๊มน้ำมันกลางเมือง
นคินทรรอกระทั่งรถของพ่อลับตาจึงเดินกลับไปยังรถของตนซึ่งจอดอยู่หน้าร้านสะดวกซื้อ ชายหนุ่มขับรถมุ่งหน้าออกนอกเมืองลัดเลาะไปตามถนนคดโค้ง เกือบสามสิบนาทีรถก็มาจอดสนิทภายในอาณาบริเวณอันร่มรื่นของหอศิลป์แห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำน่าน เมื่อลงจากรถเขาก็เดินไปยังอาคารไม้ใกล้ ๆ ซึ่งเป็นที่ตั้งของร้านกาแฟ
“อ้าวม่อน วันนี้ลมอะไรหอบมาจ๊ะ” เจ้าของร้านซึ่งเป็นหญิงวัยกลางคนกล่าวทักทาย ขณะกำลังชงเครื่องดื่มให้แขกที่นั่งรออยู่ตรงระเบียงด้านนอก
“ผมขับรถมาส่งพ่อที่ในเมืองครับน้าดา คิดถึงเจ้าพวกนี้ก็เลยแวะมาหา” พูดจบก็ย่อตัวลงนั่งเกาคางเจ้าเหมียวพุงกลมที่กำลังนอนบิดขี้เกียจสบายอารมณ์อยู่บนตะกร้าสานแบบมีฝาปิด
“นอนกันทั้งวันเลย ตื่นมาก็ไล่ขับไล่กัดกันให้วุ่น” เจ้าของร้านพูดกลั้วหัวเราะก่อนจะยกเครื่องดื่มไปเสิร์ฟ
“แกวิ่งไล่ใครไหวด้วยเหรอเจ้าอ้วน” ชายหนุ่มหัวเราะพลางเลื่อนมือขึ้นลูบหัวเจ้าแมวอ้วนสีเทาแซมขาว
“ตัวดีเลยละ เห็นพุงย้อยอย่างนี้น่ะ เป็นหัวโจกพาเพื่อนวิ่งขับเจ้าตัวที่มาใหม่จนหางจุกตูดเลยนะ”
“มีแมวตัวใหม่เหรอครับน้าดา” นคินทรหันมาถามคนที่เพิ่งเดินกลับเข้ามา
“ลูกแมวจ้ะ หลงมาจากไหนก็ไม่รู้ เจ้าพวกนี้ก็เหลือเกิน จ้องจะกัดมันอยู่เรื่อย น้าเลยต้องจับขังไว้ในกรง อยู่โน่นไง” น้าดากล่าวพร้อมกับชี้ไปยังกรงสี่เหลี่ยมที่ตั้งอยู่อีกทาง
นคินทรมองตามอย่างสนใจ ในที่สุดก็ลุกขึ้นเดินไปหยุดที่หน้าต่างบานยาว จากตรงนี้มองเห็นสายน้ำสีราวกับชาไทยผสมนม สายลมที่พัดผ่านยามฝนเริ่มขาดเม็ดทำเจ้าลูกแมวสามสีสั่นไปทั้งตัว เอาแต่นอนขดไม่เงยหน้าขึ้นมามองแม้ชายหนุ่มจะส่งเสียงเรียก
“ม่อนเอาไปเลี้ยงไหม น้ายกให้”
เป็นประโยคคำถามที่ทำเอาหูผึ่ง “ยกให้ผมจริง ๆ เหรอครับน้าดา”
“จริงสิจ๊ะ มันอยู่กับน้าก็ต้องอยู่ในกรง เพราะถ้าปล่อยออกมาก็ถูกเจ้าแก๊งอันธพาลพวกนี้ไล่กัด น้าตามช่วยตลอดเวลาไม่ได้หรอก ดีไม่ดีจะตกน้ำตกท่าไป”
นคินทรพยักหน้าเข้าใจก่อนจะหันไปพูดกับลูกแมว “ไปอยู่ด้วยกันไหม”
ไม่รู้ว่าเพราะเจ้าลูกแมวฟังเข้าใจหรือเพราะนอนขดจนเมื่อย มันขยับตัวเงยหน้าขึ้นพร้อมกับร้องเหมียวทักทายชายหนุ่มที่ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ จากนั้นจึงลุกขึ้นปิดขี้เกียจแล้วเดินถูไถไปมารอบกรง
“ดูท่าทางมันจะชอบม่อนนะ”
“ถ้าอย่างนั้นผมขอเอามันไปเลี้ยงนะครับน้าดา”
“ได้เลยจ้ะ ยกไปทั้งกรงเลย น้าให้”
“ขอบคุณครับน้าดา” ชายหนุ่มกล่าวก่อนจะหันกลับไปเปิดกรงแล้วยกเจ้าตัวเล็กออกมา “ให้แกชื่ออะไรดีนะ” พูดไปก็มองตาแป๋ว ๆ ไปพลาง “อืม...มีสามสีแบบนี้ ชื่อซ่าหริ่มก็แล้วกัน”
“ชื่อน่ารักเชียว” น้าดากล่าว มองเจ้าตัวเล็กที่กำลังใช้ขาหน้าเขี่ยปลายจมูกเจ้าของคนใหม่ของมันอย่างเอ็นดู “แล้วนี่ม่อนเข้าไปข้างในมาหรือยังจ๊ะ ตรงที่เขาจัดแสดงนิทรรศการหมุนเวียนน่ะเขามีงานมาเปลี่ยนแล้วนะ”
“ยังเลยครับน้าดา ถ้าอย่างนั้นผมฝากเจ้าซ่าหริ่มไว้ก่อนนะครับ เดี๋ยวตอนกลับจะแวะมารับ” พูดจบนคินทรก็ใส่เจ้าลูกแมวกลับเข้าไปในกรงเหมือนเดิม จากนั้นจึงออกจากร้านกาแฟ เดินตรงไปยังอาคารหลังใหญ่ที่จัดแสดงศิลปะร่วมสมัย ทั้งที่เป็นนิทรรศการถาวรและนิทรรศการหมุนเวียน
ทันทีที่ก้าวเข้าไปในห้องโถงสีขาวขนาดใหญ่ก็รู้สึกถึงความเงียบสงบดังเช่นทุกครั้ง ได้ยินเพียงเสียงฝีเท้าของใครอีกคนที่ทำให้รู้ว่าตนเองมิได้อยู่ลำพัง นคินทรก้าวช้า ๆ ตากวาดมองภาพร่องรอยสีดำบนกระดาษในกรอบสีขาวที่ติดเรียงกันไปบนผนัง ครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นด้านหลังผนังสีขาวที่กั้นกลางตามแนวขวางแบ่งห้องออกเป็นสองฝั่ง
“ว่าไงสิ...”
“...เราอยู่ข้างในอาคารนิทรรศการน่ะ”
ภาพบนเฟรมผ้าใบสีสันฉูดฉาดเรียกให้นคินทรต้องย้ายสายตาจากงานภาพพิมพ์สีหม่น เดินไปหยุดที่ผนังกลางห้อง ยิ่งใกล้ก็ยิ่งได้ยินเสียงคนที่อยู่อีกฟากชัดขึ้น
“สิกับอาจารย์คุยธุระเสร็จแล้วใช่ไหม”
“...อืม...ถ้าอย่างนั้นเรารอข้างในนะ”
ชายหนุ่มขยับเท้าตามดวงตาที่เลื่อนไปหยุดยังภาพสุดท้าย ก้มอ่านชื่อเจ้าของผลงานก่อนจะยืดตัวขึ้น กำลังจะเดินอ้อมไปทางด้านหลังของผนังเป็นจังหวะเดียวกับที่เสียงของหญิงสาวผู้หนึ่งดังขึ้น
“อยู่ตรงไหนเนี่ย เดินออกมาหน่อยสิ”
“เดี๋ยวสิ ขอดูภาพตรงนี้ก่อน”
“ตรงไหน”
ดูเหมือนต่างคนต่างก็ได้ยินเสียงของกันและกัน
“ตรงนี้ไง” คนที่อยู่หลังผนังพูดกลั้วหัวเราะพลางสืบเท้าห่างออกจากจุดกำบังอย่างรวดเร็วจนทำให้ปะทะเข้ากับร่างของชายหนุ่มที่กำลังเดินอ้อมมาดูผลงานศิลปะด้านหลัง
ด้วยความตกใจทำให้นคินทรพยายามขืนตัว รีบชักเท้ากลับ แต่แรงกระแทกก็ทำให้เซไม่เป็นท่า โชคดีที่อีกฝ่ายไวกว่า สามารถคว้าต้นแขนของเขาไว้ได้ทัน ไม่เช่นนั้นคงได้ลงไปนั่งก้นจ้ำเบ้ากับพื้น
“ข...ขอโทษครับ” ฝ่ายผิดกล่าวอย่างร้อนใจ
“ไม่เป็นไร ผมไม่ทันระวังเอง” นคินทรตอบสั้น ๆ ก่อนจะขยับออกห่างพร้อมกับกล่าวขอบคุณ
“ม่อน!”
“ใครเรียก?” นั่นคือคำถามที่ผุดขึ้นในหัวก่อนที่เจ้าของชื่อจะหันกลับไปยังด้านหลัง ดวงตาจับจ้องใบหน้าสวยของคนที่กำลังเดินมาหยุดอย่างพิจารณา
“จำสิได้ไหม”
นคินทรตอบคำถามตัวเองได้ตั้งแต่วินาทีแรกที่เห็น และยิ่งหญิงสาวถามคำถามเมื่อครู่ก็ยิ่งตอกย้ำว่าคำตอบของเขานั้นถูกต้อง
“ใครจะจำดาวโรงเรียนไม่ได้” ชายหนุ่มยิ้ม
“แล้วจำผมได้หรือเปล่า” จู่ ๆ เจ้าของร่างสูงที่สวมเสื้อม่อฮ่อมทับเสื้อยืดสีขาวก็แทรกขึ้น
พลันรอยยิ้มของนคินทรก็ค่อย ๆ จางหาย หันกลับไปมองคนถามในขณะที่หัวคิ้วมุ่นเข้าหากัน “เราเคยรู้จักกันด้วยเหรอครับ”
คำถามนั้นทำสิชลหลุดขำ “นี่เพื่อนห้องสิเองจ้ะม่อน ชื่อแสนยา”
“เรียกแสนเฉย ๆ ก็ได้” อีกคนกล่าว
“แสนก็ถามแปลก ๆ ม่อนจะจำแสนได้ยังไง ก็แสนน่ะย้ายเข้ามาเรียนโรงเรียนเราหลังจากม่อนลาออกไปแล้วนี่นา”
“ก็ถามดูเฉย ๆ เผื่อว่าจะเคยเดินสวนกันที่ไหน” แสนยากล่าวพลางมองคนที่ยังทำหน้างงไม่หาย เห็นแล้วอดอมยิ้มไม่ได้ “สิคุยกับเพื่อนไปก่อนนะ เราเดินเข้าไปดูงานข้างในก่อน”
สิชลพยักหน้าแล้วหันมากล่าวกับคนที่ไม่ได้พบกันเสียหลายปี “ดีใจจังที่ได้เจอม่อน”
“เราก็ดีใจ สิสบายดีนะ”
“สบายดีจ้ะ ว่าแต่ม่อนเถอะ มาทำอะไรที่นี่”
“เราเข้ามาส่งพ่อในเมืองน่ะ ไม่รู้จะไปไหนก็เลยแวะที่นี่”
“แสดงว่าตอนนี้ม่อนอยู่น่านเหรอ” หญิงสาวทำตาวาว
“อื้อ สอบบรรจุเป็นครูได้ที่นี่น่ะ”
“นานหรือยังจ๊ะ”
“สามปีแล้วละ”
“ไม่ได้เจอกันเลยเนอะ ตั้งแต่เรียนจบสิก็ไปสอบบรรจุเป็นครูนาฏศิลป์ได้ที่แพร่น่ะ เพิ่งย้ายกลับมาบ้านเมื่อปลายปีที่แล้วนี่เอง วันนี้สิพาอาจารย์หัวหน้าหมวดมาคุยกับเจ้าของหอศิลป์ จะขอพาเด็ก ๆ มาทำกิจกรรมที่นี่จ้ะ ส่วนแสนน่ะขอตามมาด้วย เห็นว่าจะมาเก็บข้อมูลทำวิจัย”
นคินทรพยักหน้าพลางมองชายหนุ่มที่กำลังยืนจ้องภาพเขียนขนาดใหญ่อยู่ที่ด้านในสุดของห้องโถง
“ม่อนเจอเพื่อน ๆ บ้างไหม”
“ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ยังไม่เคยเจอใครเลย ไปที่โรงพยาบาลค่าย คนที่นั่นก็บอกว่าแม่ฉายย้ายไปอยู่ที่อื่น ส่วนคลินิกของพ่อหมอกก็กลายเป็นร้านสะดวกซื้อไปแล้ว”
“คลินิกย้ายไปอยู่หลังตลาดจ้ะ พอดีได้ตึกแถวที่ใหญ่กว่าเดิม ตอนนี้หมอกก็ดูแลอยู่”
“แสดงว่าหมอกเป็นสัตวแพทย์เหรอ”
“ใช่แล้ว เป็นไปตามคาดใช่ไหมล่ะ” หญิงสาวยิ้ม
“ดีจัง” นคินทรพลอยยิ้มตามไปด้วย
“วันหลังม่อนเข้ามาในเมืองก็แวะไปสิ หมอกอยู่คลินิกทั้งวันแหละ ส่วนฉาย...” ยังไม่ทันได้อธิบาย เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นขัดจังหวะ
“ตายจริง! มัวแต่คุยเพลิน อาจารย์โทรตามแล้ว” ว่าแล้วเธอก็กดรับสาย พูดกันอยู่ 2-3 ประโยคก็กดวาง “สิต้องไปแล้วนะม่อน สิขอเบอร์ม่อนไว้หน่อยได้ไหม กลางปีหน้าสิจะแต่งงาน จะได้โทรคุยกัน”
“ได้สิ” นคินทรตื่นเต้นตามไปด้วย รีบดึงโทรศัพท์จากกระเป๋ากางเกงแล้วยื่นให้
หญิงสาวรับมาก่อนจะใช้ปลายนิ้วสัมผัสบนตำแหน่งของตัวเลข ไม่นานหน้าจอโทรศัพท์ของเธอก็แจ้งเตือนว่ามีสายเข้า “เบอร์นี้นะ”
“อื้อ”
“ถ้าอย่างนั้นสิเข้าไปตามแสนก่อนนะม่อน นี่จ้ะ” พูดจบก็คืนโทรศัพท์ให้ก่อนจะรีบเดินเข้าไปด้านใน
นคินทรมองตามร่างเล็กที่เดินห่างออกไป แม้มีคำถามหนึ่งยังคาใจ แต่สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะทิ้งข้อสงสัยเอาไว้ตรงนั้น ชายหนุ่มขึ้นไปยังชั้นที่สองของอาคาร เดินชมผลงานศิลปะจนลืมดูนาฬิกา นึกขึ้นได้ว่าต้องกลับเสียทีก็ตอนที่ได้ยินเสียงฟ้าคำรามครืน ๆ ดังมาจากด้านนอก เท้าก้าวไปหยุดที่ระเบียงหน้าต่างบานยาว เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าเห็นเมฆสีเทาลอยต่ำก็พอจะคาดการณ์ได้ว่าอีกไม่นานฝนคงจะตกลงมาเป็นแน่ ดังนั้นนคินทรจึงรีบเดินออกจากอาคารแสดงนิทรรศการตรงไปยังร้านกาแฟทันที
“ฝนตั้งเค้ามาแล้วนะม่อน” เจ้าของร้านเอ่ยขึ้นขณะเก็บกวาดหน้าเคาน์เตอร์เพราะจวนได้เวลาปิดร้าน
“ท่าทางจะตกหนักเลยนะครับ” พูดพลางสอดมือที่หูหิ้วของกรงใบเล็กที่มีเจ้าลูกแมวสามสีนอนขดอยู่ข้างในแล้วยกขึ้น
“นั่นสิ พ่อหนุ่มคนเมื่อกี้น่ะ กว่ารถประจำทางจะมาสงสัยเปียกฝนเสียก่อนแน่ ๆ” น้าดาพึมพำกับตัวเอง
นคินทรได้แต่ฟังเฉย ๆ ไม่ถามว่าอีกฝ่ายกำลังพูดถึงใคร เขาเดินมาหยุดที่เคาน์เตอร์เพื่อบอกลาเจ้าของร้านก่อนจะพาเจ้าแมวเหมียวไปที่รถ
“กลับบ้านกันดีกว่าซ่าหริ่ม” ว่าแล้วก็วางกรงไว้ที่เบาะหลัง
ทันทีที่เข้ามานั่งประจำที่คนขับ เจ้าลูกแมวสามสีก็ส่งเสียงร้องเหมียว ๆ จนนคินทรต้องหันกลับไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น
“อยากออกมาข้างนอกละสิ เดี๋ยวไว้ถึงบ้านก่อนนะ ขืนออกมาตอนนี้ มีหวังซ่าหริ่มฝนเล็บจนเบาะรถม่อนเป็นรอยแน่ ๆ”
เจ้าตัวเล็กคล้ายจะเข้าใจ มันเดินวนไปวนอยู่ครู่หนึ่งก็นอนลงเงียบ ๆ ชายหนุ่มเห็นดังนั้นจึงติดเครื่องยนต์แล้วขับรถออกจากลานจอด กระทั่งเคลื่อนมาถึงปากทางก็เห็นใครคนหนึ่งกำลังยืนเงยหน้าขึ้นมองทั้งฟ้าขมุกขมัวสลับกับเส้นทางที่ทอดยาวซึ่งขณะนี้ปราศจากรถรา นคินทรจึงชะลอความเร็วแล้วเลื่อนกระจกลง
“จะไปไหนเหรอ”
“จะกลับเข้าไปในเมืองน่ะ รอรถประจำทางตั้งนานแล้ว ไม่ผ่านมาสักคัน” ชายหนุ่มที่พบกันแล้วหนหนึ่งในหอศิลป์กล่าว
“ขึ้นมาสิเดี๋ยวเราไปส่ง เราก็กำลังจะเข้าเมืองเหมือนกัน”
เมื่ออีกฝ่ายหยิบยื่นไมตรีให้ แสนยาก็ไม่คิดปฏิเสธ เขาปลดเป้สะพายหลังเปิดประตูขึ้นมานั่ง และเมื่อปิดประตูฝนก็ตกลงมาพอดี
“เกือบเปียกแล้วไหมล่ะ ขอบคุณมากนะ อืม...ม่อนใช่ไหม”
นคินทรพยักหน้าก่อนจะออกรถ “ให้เราไปส่งที่ไหน”
“ข่วงเมืองก็ได้ ไม่ลำบากใช่ไหม”
“ไม่หรอก แล้วทำไมถึงไม่กลับกับสิล่ะ มาด้วยกันไม่ใช่เหรอ”
“แค่อาศัยรถเขามาน่ะ กะว่าจะนั่งรถประจำทางกลับเอง”
“ปกติรถประจำทางก็ไม่เยอะหรอก ยิ่งฝนตกแบบนี้นาน ๆ จะผ่านมาสักคัน จริง ๆ บอกทางมาเดี๋ยวเราไปส่งที่บ้านก็ได้นะ”
“ไม่เป็นไร เราพักโรงแรมน่ะ พรุ่งนี้ก็จะกลับแล้ว วันนี้แค่มาเก็บข้อมูลเล็ก ๆ น้อย ๆ ก่อนทำวิจัยน่ะ”
เมื่อได้ฟังคำอธิบายที่ชัดเจน นคินทรก็ไม่เซ้าซี้ เขายังคงขับรถไปเงียบ ๆ จนกระทั่งอีกฝ่ายเอ่ยขึ้น
“เห็นสิบอกว่าพ่อนายเป็นทหาร”
“ใช่ ทำไมเหรอ”
“พ่อเราก็เป็นทหารเหมือนกัน เคยย้ายมาเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลค่ายที่นี่น่ะ เราก็เลยต้องย้ายตามมาด้วย จนได้มาเจอสิที่โรงเรียน แบบนี้นายก็ต้องรู้จักหมอกกับฉายน่ะสิ”
“เป็นเพื่อนกันตั้งแต่ม.ต้นน่ะ”
“แล้วทำไมถึงย้ายโรงเรียนล่ะ”
“พ่อเราย้ายไปเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลค่ายที่เพชรบูรณ์”
“ที่แท้พ่อนายก็เป็นผู้อำนวยการคนเก่านี่เอง พ่อเราพูดถึงอยู่บ่อย ๆ ว่าท่านเป็นนักพัฒนาที่เก่งมาก ๆ ล่าสุดได้ข่าวว่าย้ายกลับไปอยู่กรุงเทพฯ แล้วนี่นา แล้วทำไมนายถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ”
“เราสอบบรรจุเป็นครูได้ที่นี่”
“มาเสียไกลเลย แสดงว่าที่บ้านไม่ว่าละสิ”
“อือ ก็ไม่ได้ว่าอะไร”
“ไม่เหมือนพ่อเรา ตั้งแต่เล็กจนโตพูดกรอกหูทุกวันว่าอยากให้เราเป็นทหาร ตอนที่รู้ว่าเราไปสอบเข้าคณะจิตรกรรมได้ก็โวยวายบ้านแทบแตก เรียนจบมาแล้วยังบังคับให้เรียนต่อจะได้ไปเป็นอาจารย์ เราขี้เกียจฟังพ่อบ่นก็เลยเรียนให้ จะได้จบ ๆ จริง ๆ อยากเปิดแกลเลอรีวาดรูปมากกว่า พ่อไม่รู้หรอกว่าศิลปินดัง ๆ ขายรูปทีได้เป็นแสน เงินเดือนอาจารย์มหาวิทยาลัยน้อยจะตาย”
“เจอกันครึ่งทางไง ถึงจะเป็นอาจารย์แต่ก็ยังวาดรูปได้นี่ อย่างน้อยก็ทำให้พ่อสบายใจแถมตัวเองก็ได้ทำในสิ่งที่รัก”
“มันก็ใช่แหละ ว่าแต่นายเถอะ ทำไมถึงมาเป็นครูล่ะ เราได้ยินเขาพูดกันว่าครูน่ะเงินเดือนน้อยไม่ใช่เหรอ”
“เราก็ไม่ได้คิดว่าจะต้องร่ำรวยจากอาชีพนี้นี่” นคินทรตอบสั้น ๆ แต่ก็สื่อความหมายได้ชัดเจนจนอีกฝ่ายไม่คิดจะถามอะไรต่อ
เมื่อรถเคลื่อนเข้าเขตชุมชมก็เป็นเวลาเดียวกับที่สายฝนเริ่มซาเม็ดลงพอดี นคินทรส่งแสนยาลงที่ลานข่วงเมืองก่อนจะมุ่งหน้ากลับไปยังบ้านพักครูที่โรงเรียนเล็ก ๆ ภายในอำเภอสันติสุขซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองประมาณสามสิบกว่ากิโลเมตร
...
(มีต่อค่ะ)