Chapter four
Freeze
ปลายลังเลเล็กน้อยตอนที่เดินมาหยุดอยู่ที่บล็อกที่สิบเอ็ดเป็นครั้งที่สองหลังจากครั้งแรก
บอกไม่ถูกหลังจากที่เจอพี่ฟีมครั้งแรก ถึงพี่ฟีมจะลดปราการลงมาบ้างแต่ปลายก็ไม่แน่ใจนักว่าที่ตัวเองกำลังทำอยู่คืออะไรกันแน่ เห็นแก่ตัวรึเปล่า ทำให้อีกฝ่ายอึดอัดหรือไม่ ดูคิดมากเกินกว่าที่ผู้ชายอายุสามสิบนิดๆ อย่างเขาจะคิดได้ โดนพี่ฟีมเอ็ดหลายต่อหลายครั้งว่านิสัยจุกจิกเหมือนผู้หญิง การคิดการอ่านก็ราวกับเพศสตรี โดนหาว่าผิดเพศจากคนอื่นก็ยังมี อาจจะเป็นเพราะปลายใช้เวลาอยู่กับตัวเองเยอะเกินไปและเลือกที่จะอยู่คนเดียวมาตลอด โลกส่วนตัวของเขาเลยค่อนข้างสูงมากกว่าคนอื่น
ปลายกดกริ่งหน้าบ้าน หวนคิดถึงตอนมหาลัยไม่ได้ว่าตอนนั้นบ้านพี่ฟีมชินกับการที่พี่ฟีมลากเขามากินข้าวด้วยจนแค่เห็นเขาเดินผ่านหน้าบ้านก็ยังเรียกให้เข้าไปนั่งทั้งๆ ที่ไม่ได้นัดกับพี่ฟีมไว้ แต่ว่าคราวนี้บ้านพี่ฟีมช่างเงียบเหงา หลายคนล้มหายตายจากไปตามกาลเวลา ไม่เว้นแม้กระทั่งพี่ดาว
“อาปลาย”
“อะ...อ้าว ฟอง ป๊าฟีมอยู่ไหมครับ”
“อาปลายมาทำอะไร”
ฟองส่งสายตาไม่ไว้วางใจเต็มที่มาให้หลังบานประตูเลื่อนเหล็ก เจ้าตัวเล็กโผล่ตัวออกมาหลังบานประตูกระจกเลื่อนชั้นในอีกชั้นเพียงครึ่งตัว ก่อนที่ปลายจะพึงระลึกได้ว่าวันนี้วันอังคาร วันที่ฟองไม่มีเรียนพิเศษ และพี่ฟีมก็ทำงานเลิกทุ่มอยู่แล้วทุกวัน คิดแล้วก็ถอนหายใจอย่างเอือมระอาให้ตัวเองที่สะเพร่า ตอนนี้เพิ่งจะหกโมงเพียงเท่านั้นเอง แต่ครั้นจะกลับไปเลยก็สงสารเด็กตรงหน้าที่ต้องอยู่บ้านคนเดียว ฟองเหมือนพี่ฟีมอย่างกับแกะ ต่อให้หน้าตาส่วนใหญ่จะได้จากพี่ดาวมาก็เถอะ แต่ไอ้นิสัยตั้งกำแพงขู่เป็นแมวแบบนี้ได้พ่อมาเต็มๆ เลยนี่หว่า
“อาปลายจะมาหาป๊าฟีม แต่ว่าลืมไปว่าป๊าฟีมทำงานเลิกค่ำๆ” ปลายตอบก่อนจะย่อตัวลงมาให้อยู่ในระดับเดียวกับฟองเพื่อให้ตัวเองดูเป็นมิตรมากขึ้น “ฟองไม่มีเรียนพิเศษใช่ไหมวันนี้ ป๊าฟีมบอกอาปลายมาครั้งก่อน”
“ครับ” ฟองตอบสั้นๆ ยังคงไม่ยอมเปิดประตูให้ และปลายเองก็รู้ว่าตัวเองยังดูไม่น่าไว้ใจมากนัก พี่ฟีมคงจะสอนลูกมาดี ฟองถึงได้ไม่ไว้ใจคนแปลกหน้าแบบเขาเร็วแม้จะเคยเข้าไปในบ้านมาแล้วครั้งนึงก็ตาม
“เดี๋ยวอาปลายนั่งรอป๊าฟีมตรงนี้ก็ได้” ปลายบอกก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ด้านหน้าที่ค่อนข้างเก่ามากแล้ว เมื่อก่อนตอนที่แม่ของพี่ฟีมยังอยู่ที่นี่ แม่พี่ฟีมชอบใส่บาตรตอนเช้า เลยมีเก้าอี้ตัวนี้ตั้งอยู่ตรงหน้าบ้านเพื่อให้แกนั่งรอพระ กลิ่นยากันยุงที่โชยจากมวนยาสีเขียวด้านล่างทำให้ฟีมนึกอุ่นใจหน่อยๆ ที่ตัวเองจะไม่โดนยุงหามไประหว่างรอคนพ่อกลับมา
“แต่ป๊าฟีมอีกนานเลยนะกว่าจะกลับมา”
“นานขนาดนั้นเลยเหรอครับ”
“นานมากกกก หลายล้านชั่วโมงเลยยยย”
เด็กหนอเด็ก ชอบพูดอะไรเป็นเลขหลักล้านกันหมด แต่ก็พอเข้าใจได้ การ์ตูนที่ฉายตามโมเดิร์นไนน์การ์ตูนก็มีแต่อะไรที่ออกจะเกินจริงไปเยอะอยู่ การที่เด็กจะพูดอะไรแบบนี้ก็ไม่แปลกเท่าไหร่
“งั้นเหรอ แย่จังครับ แบบนี้ป๊าฟีมไม่หิวตายเหรอ อาปลายอุตส่าห์ไปซื้อกุ้งอบวุ้นเส้นเจ้าที่ป๊าฟีมชอบกินมา ซื้อมาฝากฟองด้วยนะ” ปลายชูถุงพลาสติกในมือที่มีกล่องโฟมสามกล่องให้ดูก่อนจะยิ้มบางๆ พี่ฟีมชอบกินเจ้านี้มาก ไม่รู้ว่าได้มีโอกาสกินบ้างไหมตั้งแต่มาอยู่นี่เป็นปี แต่ดูท่าน่าจะไม่มีเวลาคิดเรื่องอาหารการกินตัวเองเลยด้วยซ้ำไป
“แต่ฟองไม่กินขิง”
“เดี๋ยวให้ป๊าฟีมเขี่ยออกให้ก็ได้ครับ”
“แต่ว่ามันมีกลิ่นขิง”
“งั้นเดี๋ยวตอนป๊าฟีมกลับมาอยู่กับฟองแล้วอาปลายไปซื้ออะไรมาให้กินใหม่เอาไหม”
“ไม่เป็นไร ป๊าฟีมบอกว่าอย่าเรื่องมาก เป็นผู้ชายต้องหัดกินผักให้ได้ทุกชนิด”
ฟังคำตอบฟองแล้วปลายก็ยิ้มแหย พี่ฟีมต้องเลิกเอาข้ออ้างคำว่าเป็นผู้ชายมาสอนลูกได้แล้วแล้วเหตุผลที่โยงก็ไม่ได้เมคเซ้นส์เลยสักนิดเดียว ปลายกุมหัว ไม่แน่ใจว่าจะแก้นิสัยใครก่อนดีระหว่างคนพ่อหรือคนลูก ไม้อ่อนดัดง่าย ไม้แก่ดัดยากก็จริง แต่ฟองก็ดูท่าจะไม่ฟังใครนอกจากพ่อตัวเองเหมือนกัน
“จริงๆ ป๊าฟีมพูดแบบนั้นเพราะว่าอยากให้ฟองกินผักแล้วจะได้แข็งแรงไงครับ ไม่ต้องเป็นผู้ชายก็ได้ จะผู้หญิงหรือเพศไหน หัดกินผักก็ดีต่อร่างกายหมดเลยนะ”
“อาปลายพูดเยอะจัง”
โดนเด็กบอกว่าพูดมากแหละไอ้ปลาย
“แล้วอาปลายเป็นเพื่อนกับป๊าตอนไหน ทำไมฟองไม่เห็นรู้เรื่องเลย”
“ตอนนั้นฟองยังเป็นวุ้นอยู่เลยมั้งนั่น อาปลายรู้จักกับป๊าฟีมตั้งแต่ตอนเรียนมหาลัยนู่นเลย ตอนนั้นป๊าฟีมยังไม่เจอหม่าม๊าของฟองเลยด้วยซ้ำ”
“อาปลายรู้จักม๊าดาวด้วยเหรอ!?”
“รู้จักครับ ป๊าฟีมเจอม๊าดาวตอนเริ่มไปทำงานใหม่ๆ แล้วก็มาเล่าให้อาปลายฟังตลอดเลย” ปลายนึกถึงตอนนั้นออก ตอนที่พี่ฟีมเอาแต่พูดถึงผู้หญิงที่ชื่อดุจดาว อาการแรกเริ่มของคำว่าชอบและพัฒนามาเป็นรักใคร่อย่างง่ายดาย ปลายดูออก พี่ฟีมปรึกษาเขาหลายอย่างด้วยความที่สนิทกันและอายเพื่อนตัวเอง ก็เลยมาพึ่งปลายเพราะว่าตัวเองเป็นคนขวานผ่าซากแถมพูดจาดีๆ ไม่ค่อยเป็น ซึ่งตรงข้ามกับบุคลิกปลายโดยสิ้นเชิง
‘ขอเป็นแฟนยังไงดีวะปลาย แม่งยากอะ คือทำไมคนเราพูดกันตรงๆ เลยไม่ได้วะ’
‘จริงๆ ต่อให้ปลายแนะนำพี่ไป พี่ก็จะพูดตรงๆ กับพี่ดาวอยู่ดี’
‘มาสลับร่างกันวันนึงได้ปะ ยากชิบหายเลย คือเนี่ย คิดสถานที่คิดของที่จะให้ออกนะ แต่แค่ขอคบทำไมยากที่สุดเลยวะ’
‘เพราะพี่ชอบเขาไง เวลาจะพูดอะไรมันก็ยากไปหมด แต่กลับกันเวลาพี่ทำอะไรมันดูง่ายไปหมดใช่ไหม ผมก็เหมือนพี่ กระทำง่ายกว่าคำพูด ผมว่าพี่ดาวไม่ปฏิเสธพี่หรอกต่อให้พี่พูดตรงๆ สั้นๆ ว่าเป็นแฟนกันไหม เพราะการกระทำพี่ชัดเจน’
‘ก็จริงของแกว่ะปลาย ขอบคุณมากนะ’
“แล้วๆ แล้วป๊าฟีมจีบม๊าดาวก่อน หรือม๊าดาวจีบป๊าฟีมก่อน” ฟองถามอย่างตื่นเต้นที่จะฟังก่อนจะนั่งลงกับพื้นบ้านด้านใน กลายเป็นว่าพวกเขาคุยกันโดยที่มีประตูเหล็กกั้นอยู่ ถ้าพี่ฟีมกลับมาเห็นคงจะด่าลูกชายน่าดูว่าทำไมปล่อยให้เขานั่งตากยุงแบบนี้
“ป๊าฟีมจีบก่อนสิ แต่ตอนแรกม๊าดาวก็ไม่ได้ชอบนะ เพราะว่าป๊าฟีมพูดไม่เก่ง แล้วก็ชอบพูดห้วนๆ” ปลายเล่าพลางหัวเราะ
“อ้าว แล้วทำไมม๊าดาวแต่งงานกับป๊าฟีมได้”
“ม๊าดาวรู้ว่าป๊าฟีมจริงใจไงครับ อาปลายว่าม๊าดาวดูคนเป็นนะ เพราะอาปลายเองก็มองว่าป๊าฟีมเป็นคนดีแล้วก็เก่งมากที่เลี้ยงฟองมาได้จนตัวโตขนาดนี้”
“แล้วๆ ป๊าฟีมจีบม๊าดาวยังไง”
“อืม...อาปลายขอนึกก่อนนะ นานมากแล้ว แถมตอนนั้นอาปลายก็ไม่ได้ทำงานที่เดียวกับป๊าฟีมด้วย ก็เลยไม่รู้รายละเอียดชัดๆ เลยครับ” ปลายพยายามขุดลงไปในความทรงจำระหว่างตนเองกับพี่ฟีม ยิ่งขุดลึกเท่าไหร่ ความคิดถึงเก่าๆ หรือบางอย่างที่เราเคยมีและหลงลืมไปแล้วก็ยิ่งล้นทะลักออกมา จนเขากลัวว่าเด็กชายตรงหน้าจะรู้ ว่าความรู้สึกของเขาที่มีต่อพี่ฟีมนั้นท่วมท้นอย่างน่ากลัวเหลือเกิน
“อ้อๆ ป๊าฟีมเคยพูดถึงเพื่อนคนนึงอยู่บ่อยๆ ฟองเพิ่งนึกออก แบบว่าเพื่อนคนนั้นของป๊าฟีมชอบกวนประสาทป๊าฟีมบ่อยๆ แต่พูดเพราะมากกกก ไม่พูดคำหยาบเลยยย แต่ฟองไม่แน่ใจว่าใช่ม๊าดาวรึเปล่า เพราะว่าป๊าฟีมบอกว่าเพื่อนสมัยก่อน แล้วก็บอกว่าคิดถึงอยู่บ่อยๆ ตอนที่ม๊าดาวเพิ่งจะไป ฟองเลยงงๆ เพราะว่าม๊าดาวชอบอุทานคำหยาบแบบไม่รู้ตัว แต่ๆ ปกติม๊าดาวก็ไม่พูดคำหยาบนะ เวลาม๊าดาวเผลออุทาน ป๊าฟีมจะรีบบบบดุเลย แต่ป๊าฟีมก็บ่นคิดถึงม๊าดาวอยู่บ่อยมากๆๆๆ เหมือนกัน”
ปลายหัวเราะเสียงดังหลังจากฟังที่ฟองพูดมายาวยืด เขาชอบเด็กก็ตรงที่ซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกของตนเองนี่แหละ บางทีเครื่องจับโกหกก็ควรจะใช้คลื่นสมองของเด็กมาพัฒนาได้แล้ว
และปลายคิดว่าเพื่อนคนนั้นที่พี่ฟีมพูดถึง ถ้าหากไม่เข้าข้างตัวเองมากเกินไป ก็คงจะเป็นตัวเขาเอง
ที่พี่บอกว่าดีใจที่ได้เจอปลายน่ะ พูดจริงสินะ
“อาปลายว่าไม่ได้พูดถึงม๊าดาวหรอก ม๊าดาวพูดคำหยาบเยอะอยู่นา ตอนจีบใหม่ๆ ป๊าฟีมยังชอบมาบ่นให้ฟังเลยว่าปากจัด แต่ป๊าฟีมก็ยังชอบอยู่ดี” ปลายยิ้มเมื่อนึกถึงหน้าพี่ฟีมตอนนั้นที่เหนื่อยหน่ายเหลือเกินตอนพูดถึงพี่ดาวว่าโดนดุโดนบ่นมาอย่างงู้นอย่างงี้เพราะตัวเองเป็นเด็กเทรนด์ในความควบคุมของพี่ดาว “ม๊าดาวเป็นคนสวยแล้วก็เก่งมาก ทำอะไรเร็วตลอด พอมาเจอคนทำอะไรช้าแบบป๊าฟีมก็เลยได้เถียงกันบ่อยน่ะ”
“จริงงงงอาปลาย ม๊าดาวขี้บ่นม๊ากมาก เวลาฟองโดนยุงกัดก็บ่นตลอด แต่ๆ บ่นยุงนะ ไม่ได้บ่นฟอง”
“แล้วป๊าฟีมก็จะเป็นคนมาทายาแทนใช่ไหม ม๊าดาวจะได้เลิกบ่นแล้วไปทำอย่างอื่น” ปลายเดาต่อโดยอิงจากนิสัยของพี่ฟีม
“ใช่ๆๆ อาปลายเก่งจัง เดาถูกหมดเลย เป็นเพื่อนอันดับหนึ่งของป๊าฟีมแน่นอน ถูกต้องนะคร้าบบบ”
ปลายขำร่วนเมื่อเห็นฟองเลียนเสียงเหมือนตามรายการเกมโชว์ เขาไม่ค่อยได้คลุกคลีกับเด็กมากนัก แต่เขารู้สึกมาตลอดว่าความคิดของเด็กในวัยที่ยังเป็นผ้าขาวอยู่นั้นช่างน่าสนใจที่จะรับฟังให้เยอะมากกว่าสั่งสอนให้มาก เมื่อเราโตขึ้น เราก็คงไม่มีโอกาสที่จะมานั่งคิดนั่งสังเกตอะไรรอบข้างเล็กๆ น้อยๆ และนำมาเป็นเรื่องใหญ่อีกต่อไปแล้ว ทุกวันผ่านไปอย่างจืดชืด เราสนใจเพียงแค่สิ่งที่เราเคยชินและหมกมุ่น เราทำตามหน้าที่ที่หมุนวนเป็นเข็มนาฬิกา ก่อนที่เรื่องรอบตัวจะกลายเป็นเพียงสิ่งแวดล้อมที่เราอยู่ ไม่ใช่เรื่องน่าตื่นเต้นที่จะเก็บมาเล่าสู่กันฟังอีกต่อไป
“แล้วทำไมอาปลายไม่เคยมาหาป๊าฟีมเลยอะ”
ปลายชะงักกับคำถามนี้ราวกับโดนแช่แข็ง เขาไม่ใคร่แน่ใจนักว่าควรตอบอย่างไรให้เด็กตรงหน้าเข้าใจว่าระหว่างพวกเขาที่ควรจะมีระยะห่างเพียงสิบเอ็ดบล็อกนั้น ได้ห่างไกลออกไปอีกจนนับไม่ถ้วน
“ป๊าฟีมกับอาปลายโตขึ้นจนความเป็นผู้ใหญ่ทำให้เราไม่ยอมติดต่อกันครับ”
“แล้วความเป็นผู้ใหญ่คืออะไร อาปลายพูดอะไรยากจัง”
“ความเป็นผู้ใหญ่คือการที่อาปลายคิดถึงป๊าฟีม แต่ก็คิดเยอะเกินไปว่าป๊าฟีมอาจจะไม่อยากเจออาปลาย หรือว่าไม่ได้อยากคุยกับอาปลายแล้ว อาปลายก็เลยเลือกที่จะไม่มาหาป๊าฟีม”
“อ้าว แล้วอาปลายคิดเยอะทำไมอะ”
“นั่นสิ อาปลายคิดเยอะทำไมเนอะ ไม่งั้นคงได้เจอฟองเร็วกว่านี้แล้ว” ปลายยิ้มอย่างเสียดาย เขาไม่ได้เจอพี่ฟีม ถ้าวัดเป็นระยะเวลาที่แน่นอน ก็เท่ากับการเติบโตของเด็กคนนึงที่ชื่อฟอง
“แล้วทำไมป๊าฟีมไม่ติดต่ออาปลายอะ”
“อันนี้อาปลายไม่แน่ใจครับ ไม่กล้าคิดแทนป๊าฟีม” ปลายเลี้ยงที่จะตอบเพราะถ้าตอบออกไปเป็นภาษาที่อธิบายง่ายๆ ก็ยากพอตัวที่จะเลี่ยงความรู้สึกตัวเอง ปลายรู้สาเหตุที่ค่อนข้างมั่นใจ แต่เขาพูดต่อหน้าฟองไม่ได้ก็แค่นั้น
“แล้วทำไมฟองชื่อฟองล่ะ ใครตั้งชื่อให้ครับ” ปลายถามเปลี่ยนเรื่องด้วยความอยากรู้ส่วนตัวกึ่งหนึ่ง
“ม๊าดาวตั้งให้ เพราะป๊าฟีมชื่อฟ.ฟัน ม๊าดาวก็เลยอยากให้ชื่อฟ.ฟัน เพราะชื่อด.เด็กม๊าดาวบอกว่าอาม่าไปดูหมอมาบอกว่าไม่ดี ก็เลยจะตั้งฟ.ฟัน ทีนี้พอตั้งฟ.ฟันใช่มะ ก็นึกเป็นร้อยชื่อเลย ม๊าดาวบอกว่าปวดหัว ก็เลยให้ชื่อฟอง เพราะว่าตอนแพ้ท้องม๊าดาวอยากกินฟองดูว์ของสเวนเซ่น”
ปลายขำเพราะว่าแบคกราวด์ของชื่อเด็กตรงหน้าช่างง่ายดายเหลือเกิน จะบอกว่ามักง่ายก็ดูไม่มีมารยาทไปนิดนึง แต่ก็สมกับเป็นพี่ดาวดี พี่ฟีมก็ตามใจอยู่แล้ว แต่ปลายไม่ได้คาดคิดว่าชื่อฟองของเด็กชายจะมาจากฟองดูว์สเวนเซ่นสักหน่อยนี่นา
“แล้วทำไมอาปลายชื่อปลาย ใครตั้งให้”
คำถามโดนย้อนศรกลับมา ช่างลอกจริงๆ นะ
“อาปลายเกิดท้ายปี แล้วก็ชื่อปลายมาจากคำว่าปลายทางครับ”
“แล้วๆ ปลายทางแปลว่าอะไร”
“อืม...แปลว่าสุดทาง สิ้นสุดของทางนั้นๆ แม่บอกว่าตั้งชื่อนี้ให้เพราะว่าอยากให้อาปลายทำอะไรก็ทำให้สุด แล้วแม่ก็เชื่อว่าถ้าเราไปได้ไกลถึงปลายทาง เราก็จะเจอสิ่งดีๆ หรือใครดีๆ รออยู่ตรงนั้นครับ”
“อ๋ออออ แบบนี้เอง แล้วป๊าฟีมล่ะ อาปลายรู้ไหมว่าทำไมป๊าฟีมชื่อฟีม”
“เห็นป๊าฟีมบอกว่าเพราะว่าอาแมะชอบดูหนังฝรั่งน่ะครับ ชื่อของอี้เฟย์? ใช่ไหม...? ฟองต้องเรียกว่าอาอี้ใช่เปล่า อาปลายไม่ใช่คนจีน เรียกไม่ถูกเหมือนกัน” ปลายหยุดกลางคันก่อนจะถาม
“ใช่ๆ อี้เฟย์”
“ชื่ออี้เฟย์ เห็นป๊าฟีมบอกว่าเป็นชื่อนางเอกในนิยายที่อาแมะชอบอ่านสมัยสาวๆ ก็เลยได้ชื่อนี้กันมาครับ”
“อาปลายรู้เยอะจัง แสดงว่าป๊าฟีมพูดเยอะกับอาปลายใช่ไหม”
“อาปลายพูดเก่งกว่าอีก แย่งป๊าฟีมพูดไปหมดแล้ว”
ปลายยิ้ม เขารู้สึกถูกชะตากับฟองเหมือนพี่รู้สึกกับพี่ฟีม ความรู้สึกดีมันสามารถถ่ายทอดทางสายเลือดได้ด้วยงั้นสินะ การสนทนากับฟองในครั้งนี้ทำให้ปลายรื้อลงไปในจิตใจและหีบความทรงจำมากกว่าที่ควรจะล้ำเส้นไป และนั่นทำให้เขารู้สึกผิดเมื่อนั่งอยู่ตรงหน้าเด็กชายที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยตรงนี้
ฟองเป็นตัวแทนของระยะห่างระหว่างปลายกับพี่ฟีมอย่างชัดเจน
บางทีถ้าย้อนกลับไปได้ ปลายก็จะกลับไปหยุดเวลาไว้ตอนที่เขาปีสองและพี่ฟีมปีสี่ ถึงตอนนั้นจะขรุขระและมีรสขมไปบ้าง แต่ก็ยังสวยงามกว่าสิ่งที่อยู่ในหีบความทรงจำของเขาตอนนี้ เป็นม้วนฟิล์มที่ถูกลืมเลือน เจือจาง และหม่นแสงจนดูไม่รู้เรื่องอีกต่อไป
tbc.
แชปนี้ให้แอร์ไทม์น้องฟองเต็มที่ หายไปหลายวันเลยค่ะ ไม่แน่ใจเลยว่าเล่นชาเล้นจ์จริงๆ ไหม แง จะมาตามให้ทันๆๆๆ
#ห่างเพียงสิบเอ็ดบล็อก