ตอนพิเศษ 2 : พี่ทิวลิป
“กลับมาแล้ว...”
“กลับมาแล้วเหรอไอ้ตัวดี เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยนอนบ้านนะ...วันนี้จะอ้างว่าไปนอนบ้านไหนอีกล่ะ”
“เปล่าซะหน่อย วันนี้ว่าจะนอนบ้านค่อยไปนอนบ้านไอ้ตูนพรุ่งนี้”
“...เดี๋ยวจะโทรฟ้องพ่อกับแม่ที่อังกฤษ ว่าเดี๋ยวนี้ทานตะวันเป็นเด็กดื้อไม่ค่อยยอมกลับบ้าน ไม่รู้ไปติดใจอะไรนอกบ้าน” แขวะน้องชายเข้าให้ทีนึง
“โหย คุณพี่ทิวลิปครับมันเปลืองตังค์นะ ค่าโทรศัพท์ข้ามประเทศไม่ได้ถูกๆ อีกอย่างก็รบกวนพ่อกับแม่เปล่าๆ พวกท่านไปทำงานนะพี่ ไม่ได้อยู่ว่างๆเหมือนเรา”
“แหม...ไอ้ตัวแสบ ช่างสรรหาเหตุผลมาเอาตัวรอดได้ตลอดเวลาเลยนะ” พูดไปก็ใช้มือขยี้หัวน้องชายตัวเองพลางดึงตัวเข้ามากอดด้วยความหมันเขี้ยว
“พี่ทิวนี่ หัวทานยุ่งหมด”
“อย่าคิดนะว่าที่อ้างไปนอนบ้านคนนู้นคนนี้แล้วพี่ไม่รู้ว่าไปค้างบ้านไอ้ทินมันตลอดอะ...”
“รู้ด้วยเหรอ...” รู้ทันตลอดอะพี่ทิว โกหกไม่เคยสำเร็จซักที
“แน่นอน...ถามจริงๆไปนอนบ้านมันบ่อยขนาดนั้นมีเรื่อง‘อะไร’ที่ยังไม่ได้บอกพี่กันรึเปล่า...”
“...ไม่มี”
“อ้อเหรอ...” ไม่มีน้อยน่ะสิ
ก็รู้ว่าน้องชายตัวเองหน้าตาน่ารักค่อนไปทางผู้หญิงมาตั้งแต่เด็กๆเพราะได้แม่ไปแบบเต็มๆ แต่พักนี้ไอ้ทานตะวันมันแลดูสวยขึ้น น่ารักขึ้นมากกว่าแต่ก่อนแบบผิดหูผิดตา จนอดที่จะคิดถึงประโยคที่เขาว่ากันว่า ผู้หญิงน่ะเวลามีผัวแล้วจะสวยขึ้นไม่ได้ เพราะก็ใช่ว่าจะไม่รู้เรื่องที่บ้านคืนนั้น...
“...ทีตอนนั้นที่พี่พาเพื่อนมาบ้านพี่ยังไล่ให้ทานไปนอนบ้านมันไอ้ทินมันอยู่เลย คราวนี้จะมาว่าอะไรล่ะ” ทำแก้มป่องแบบงอนนิดๆกลบเกลื่อน
“ตอนนั้นก็ตอนนั้นสิ นั่นมันคนละประเด็น...” ทิวลิปจับแก้มป่องๆนั่นยืดเล่นไปที ที่ไล่ไปก็เพราะเพื่อนพี่มันจ้องงาบทานอยู่น่ะสิ แต่ถ้ารู้ว่ามันเป็นเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อกันแบบนี้สู้ให้มันกลับมานอนบ้านแล้วยัดใส่ห้องล็อกกุญแจไว้ซะดีกว่า
“โอ๊ย พี่ทิวทานเจ็บนะ...คนละประเด็นอะไร ประเด็นเดียวกันชัดๆ” ทานตะวันทำหน้ายู่
“ก็ได้...งั้นตั้งแต่วันนี้นี้พี่ขอสั่งห้ามทานไปนอนบ้านไอ้ทินมันอีก...”
“ได้ไง...”
“...แล้วมี‘ปัญหา’อะไรรึไง ทานตะวัน”
“มะ...ไม่มี...จะให้มีอะไรล่ะ”
“ไม่มีก็ไม่มีสิ ใครว่าอะไร...งั้นก็ตามนี้...” ทำหน้างอนตุ๊บป่องๆแบบนี้จะรู้ตัวมั้ยเนี่ยว่าพี่กำลังต้องการจะสื่ออะไร...แต่ไม่เป็นไร...พี่คิดว่าฝ่ายนั้นต้องรู้แน่ถ้าได้ยินแบบนี้...และถ้ายังไม่กล้ามาคุยกันให้รู้เรื่อง ก็อย่าหาว่าพี่ใจร้ายก็แล้วกันทานตะวัน
.
.
“เป็นไรไอ้ทาน หน้าบูดมาเชียว เมนไม่มารึไงวะ...”
“เออมั้ง ไอ้ห่า...กวนตีนกูแต่เช้า”
“แหมๆ แซวนิดแซวหน่อยทำเครียด หงุดหงิดที่เมื่อคืนไม่ได้ทำสิท่า...”
“ไอ้เหี้ยเอิร์ธ หุบปากไปเลยไป ไม่งั้นมึงเจอตีนกูแน่”
“โว้ย เสียงดังแต่เช้าเลยเพื่อนเพื่อนกู”
“ไม่ให้เสียงดังได้ไงไอ้ตูน ก็ดูไอ้เอิร์ธดิแม่งกวนตีนกูแต่เช้า”
“มึงก็รู้ว่ามันเลี้ยงหมาในปากไว้เป็นฟาร์ม”
“ตัวเดียวก็พอเหอะไอ้ตูน กูยังไม่ได้เพาะพันธุ์เว่ยไอ้ห่า”
“อ้าวเหรอ กูก็นึกว่ามีเป็นฟาร์ม เพราะเห็นมึงปากโคตรหมาเลยว่ะ ฮ่าๆ”
“เออ รุมกูกันเข้าไปเดี๋ยวรอไอ้ทินมันมาก่อนเหอะแล้วจะรู้ว่า...”
“...กูเข้าข้างไอ้ทาน” มาแบบได้จังหวะพอดี
“สาด แม่งเห็นเมียดีกว่าเพื่อน”
“แน่นอน ฮ่าๆ...ว่าแต่ทานเป็นไรครับ หน้าบูดเชียว...หืม” หอมแก้มเข้าให้ฟอดนึงด้วยความคิดถึง เมื่อคืนก็ไม่ได้นอนกอด
“อะแฮ่มๆ ให้มันน้อยๆหน่อยเพื่อน แค่นี้พวกกูก็เบาหวานจะขึ้นตายห่าแล้ว”
“เรื่องของกู กูหอมแก้มเมียตัวเองผิดตรงไหน”
“เออจ๊ะๆ ไม่ผิด กูล่ะเซ็งพวกมึงจริงๆ...ไปหาไรแดกกับกูดีกว่าปะไอ้ตูน ปล่อยสองผัวเมียเขาสวีทกันต่อไป เออ...แต่กูเตือนไว้อย่างนะไอ้ทิน ถ้าไม่ไหวก็ห้องน้ำดีกว่า เพราะถึงตอนนี้จะยังไม่มีคนมาแต่ตรงนี้มันก็โจ่งแจ้งเกินไป ฮ่าๆ” แซวจนสะใจแล้วก็เดินไปหาอะไรใส่ท้องเป็นข้าวเช้าโดยมีตูนที่ได้แต่ส่ายหัวอย่างนึกระอาในความปากหมาแบบนอนลิมิตของเพื่อนเดินตามออกไป
“...ทิน...ตั้งแต่วันนี้กูจะไม่ไปนอนบ้านมึงแล้วนะ” ทานตะวันเปิดประเด็น
“ทำไมอะทาน...โกรธอะไรกูอีกรึเปล่า...” กลัวโดนโกรธเหมือนครั้งที่แล้ว...แค่สามวันก็แทบจะขาดใจตาย
“เปล่า ไม่ได้โกรธ แต่ถูกพี่ทิวลิปสั่งห้าม”
“’งั้นเหรอ...” จนได้สินะ สมกับเป็นพี่ทิว ไม่ต้องออกโรงเองแต่ฝากไอ้ทานมาบอกเป็นนัยๆสินะ
“อืม...พี่ทิวนะบางทีก็พูดเหมือนรู้อะไร...แต่บางทีก็ทำเหมือนไม่รู้...จนกูไม่รู้ว่าตกลงพี่ทิวรู้หรือไม่รู้กันแน่...แต่กูก็ได้แต่ภาวนาให้พี่ไม่รู้เพราะกูกลัว...” กูกลัวพี่ทิวจะรับไม่ได้
“...พี่มึงเป็นคนฉลาดนะทานตะวัน...กูคิดว่าเขาต้องพอรู้เรื่องของเรา....แล้วการที่เขาทำแบบนี้ก็คงต้องการอยากจะบอกกูว่า...ถึงเวลาแล้วที่กูจะต้องไปคุยกับเขาให้เป็นเรื่องเป็นราวซะที...”
“มึงคิดงั้นเหรอ...ทินกร...แล้วถ้าเป็นแบบนั้น...มึงคิดว่ามึงกล้าพอที่จะพูดกับพี่กูแล้วเหรอ...” ขนาดกูเองยังไม่กล้าเลย...
“ไม่กล้าก็คงต้องกล้าแล้วล่ะทาน...ทำไงได้...ก็กูดันไปทั้งรักทั้งหลงน้องชายเขาจนถอนตัวไม่ขึ้นแล้วนี่...”
.
.
“...พี่กลับมาแล้ว...” เดินเข้าบ้านมาปุ๊ปก็เจอน้องชายสุดที่รักนั่งเล่นอยู่ในห้องรับแขกกับทินกร...อืม...มาเร็วกว่าที่คิดแฮะ
“สวัสดีครับพี่ทิว...”
“อืม สวัสดี...ตามสบายนะ”
“...ครับ”
“ทานตะวันมานั่งกับพี่” เห็นมันนั่งชิดกันแล้วเกิดอาการหมันไส้ขึ้นมาตงิดๆ ถึงจะรู้ว่ามากกว่านี้มันก็ทำกันมาแล้วก็เหอะ
“อะไรพี่ทิว เกิดขาดความอบอุ่นขึ้นมารึไงเล่า นั่งตรงนั้นกับตรงนี้มันต่างกันตรงไหน”
“ทาน...พี่บอกให้มาก็มาสิ อย่าดื้อ”
“เอ๊ะพี่ทิวนี่ยังไง” ปากก็บ่นไปแต่ก็ต้องยอมเดินไปหาพี่ชาย ไม่รู้เป็นอะไรแต่ขัดไม่เคยได้ซักที
“...แล้วนี่วันนี้จะอยู่ถึงกี่โมงล่ะ” เมื่อได้น้องชายมานั่งข้างตัวสมใจแล้วก็เริ่มหันไปสนใจกับทินกรต่อ
“ก็ยังไม่แน่ใจอะครับ”
“คงไม่ได้คิดจะค้างหรอกนะ...”
“คือผม...มีเรื่องอยากจะคุยกับพี่ทิว...” มองหน้าทานตะวันครั้งนึงก่อนจะเริ่มพูด
“...อืม...ว่ามาสิ...” รอฟังอยู่
“คือ...ผมก็คิดว่าพี่ทิวเองก็คงจะพอรู้เรื่องผมกับทานตะวันมาได้ซักพักแล้ว...ขอโทษที่ต้องทำให้รอนานนะครับ...วันนี้ผมพร้อมที่จะพูดกับพี่แล้ว...ผมรักทานตะวัน...”
“ที่นายบอกมันก็ถูก ที่พี่รอให้นายมาพูดเรื่องนี้กับพี่ แต่นายไม่กลัวพี่จะบอกว่าให้เลิกยุ่งกับทานเหรอ เพราะถ้าพูดกันจริงๆอีกเรื่องแบบนี้มันก็ใช่ว่าจะเป็นที่ยอมรับกันมากนัก”
“ผมรู้ว่าพี่ทิวจะไม่ทำอย่างนั้น...”
“อืม...ฉลาดนี่ แล้วนายแน่ใจแล้วเหรอว่าเป็นทาน...ไม่ได้คิดจะมาล้อเล่นกับน้องพี่ใช่มั้ยทินกร”
“ครับ...ผมมั่นใจว่าผมรักทานจริงๆ ถึงตอนนี้ผมจะยังบอกไม่ได้ว่าอนาคตจะเป็นยังไง...แต่ผมก็อยากจะขอให้พี่ทิวเชื่อว่ารู้ว่าที่ผมพูดทั้งหมดเป็นความจริง...และเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์สิ่งที่ผมพูด”
“...พูดได้ดีนี่...แล้วทานล่ะ...ทานมีอะไรจะพูดกับพี่มั้ย” หันไปถามน้องชายตัวเองที่นั่งก้มหน้านิ่ง
“คือ...พี่ทิว...ทานขอโทษ...ขอโทษที่ตัวเองเป็นแบบนี้...พี่ทิวอย่าเกลียดทานนะ...” ทานตะวันน้ำตาคลอเบ้าเงยหน้าขึ้นมาพูดกับพี่ชาย
“...อย่าร้องไห้นะตัวแสบ...พี่ยังไม่ได้ว่าอะไรซักคำ...แค่ถามเฉยๆเอง” ทิวลิปคว้าร่างของน้องชายเข้ามากอดไว้ ถึงเขาจะดูเหมือนไม่ค่อยสนใจน้องชายเท่าไหร่นักเพราะด้วยอายุที่ห่างกันหลายปี แต่จริงๆแล้วเขาก็คอยดูแลทานตะวันอยู่ห่างๆตลอดเวลาจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ทิวลิปจะรู้ทุกเรื่องของน้องชายถึงแม้ว่าเจ้าตัวจะไม่ค่อยบอกก็ตาม
“...พี่ทิว...ฮึก...” พอเจอแบบนี้เข้าไปทานตะวันก็ถึงกับกลั้นสะอื้นไว้ไม่ไหวปล่อยโฮออกมาซะยกใหญ่
“โตป่านนี้แล้วยังขี้แงเหมือนเด็กๆอีกนะ...จริงๆถึงทานไม่บอกอะไรพี่เลยพี่ก็รู้เรื่องของทานทุกเรื่องแหละ...ไม่ว่าจะเป็นเรื่องไหนตั้งแต่เล็กยันโต...แน่นอนว่าไม่เว้น....แม้แต่คืนวันนั้น...ที่ไม่ถามไม่พูดแล้วรอมาจนถึงวันนี้ก็เพราะพี่เชื่อและเคารพในการตัดสินใจของทาน อยากให้ทานเป็นคนพาทินมาบอกกับพี่เอง...แต่รอแล้วรออีกทานก็ไม่มีวี่แววพี่ก็เลยต้องกระตุ้นกันหน่อยแค่นั้น”
“ก็...ทานกลัวนี่...กลัวพี่ทิวจะรับไม่ได้...แล้วก็เกลียดทาน”
“คิดไปได้นะเรา...น้องตัวเองทั้งคนใครมันจะไปเกลียดลง...แล้วพี่ก็คิดว่าพ่อกับแม่ก็คงจะคิดแบบนั้นด้วย เพราะฉะนั้นไม่ต้องกลัวนะ มันไม่มีวันที่เรื่องแบบนั้นมันจะเกิดขึ้น...ไม่ว่าทานจะเป็นยังไงพี่ก็อยู่ข้างทานนะ”
“พี่ทิว...ฮึก” ทานตะวันซุกหน้าลงกับอกของพี่ชายแล้วกอดเอาไว้แน่น
“เงียบซะๆ ปกติออกจะซ่าไหงวันนี้มาร้องไห้งอแงแบบนี้ล่ะ” กอดตอบแล้วเอามือลูบน้องหัวเบาๆ รู้สึกเหมือนภาพตอนทานตะวันเด็กๆซ้อนทับขึ้นมา นี่น้องของเขาโตขนาดที่จะรักใครได้แล้วเหรอเนี่ย
“ขอบคุณ...ฮึก...ขอบคุณที่เข้าใจทานนะพี่ทิว”
“อืม...แต่เรื่องนี้มันก็คนละเรื่องกับเรื่องที่เราตกลงกันไว้นะ...ทินกร” หลังจากปลอบกันไปได้ซักพักก็หันไปมองหน้าคนที่ถูกตัดออกจากบทสนทนาชั่วคราว “ถึงพี่จะยอมรับเรื่องที่คบกัน แต่เรื่องที่จะลากทานมันไปค้างที่บ้านแทบจะทุกวันแบบนั้นอีกคงจะไม่อนุญาตนะ...” น้องกูช้ำหมดพอดี
“...ครับ...” ทินกรตอบรับอย่างว่าง่าย...ทั้งๆที่เคยคิดว่าคนคนนี้ไม่ค่อยสนใจน้องตัวเอง...แต่พอได้มาเห็นได้รับรู้แบบนี้แล้ว ถึงได้รู้ว่าพี่ชายคนนี้รักน้องมากขนาดไหน
“แต่...ก็ใช่ว่าพี่จะใจร้ายนัก...ช่วงนี้จะยอมให้เอาทานไปค้างได้อาทิตย์ละวันก็แล้วกัน...เรียนจบเมื่อไหร่ ถ้าทั้งสองคนยังคงยืนยันเหมือนกับที่บอกพี่วันนี้ ค่อยว่ากันอีกที...ทานคิดว่าไงล่ะ”
“ทะ...ทานยังไงก็ได้แล้วแต่พี่ทิว” ทานตะวันที่ยังอยู่ในโหมดเด็กน้อยขี้อ้อนตอบออกไปแบบนั้นเพราะรู้สึกผิดที่เคยคิดว่าพี่ชายไม่ค่อยสนใจตัวเองทั้งๆที่ความจริงแล้วไม่ใช่เลย
“งั้นก็โอเคแล้วนะ...”
“ขอบคุณครับ...ขอบคุณที่ไว้ใจผม” ทินกรว่า
“อืม...แต่ถ้าวันไหนนายทำให้ทานเสียใจ ก็อย่าหาว่าพี่ใจร้ายก็แล้วกันเพราะพี่ไม่เอานายไว้แน่ทินกร”
“ครับ...ผมสัญญา...ว่าจะไม่มีวันนั้น” เพราะถึงผมจะเป็นดวงอาทิตย์แต่ผมก็เป็นของทานตะวันดอกนี้ได้แค่ดอกเดียว เหมือนกับที่ทานตะวันเคยบอกผมว่ามองดวงอาทิตย์อย่างผมได้แค่คนเดียวครับพี่
.
.
แถมสั้นๆ ตอน : ที่มา
“ทานตะวันกับทิวลิป ถามจริงๆใครเป็นคนตั้งชื่อให้เนี่ย”
“พ่อกับแม่กูเองแหละ ทำไมไอ้ทิน”
“เปล่า ก็แค่สงสัย ว่าแต่มันคงต้องมีที่มาใช่มั้ย”
“แน่นอน...พ่อกับแม่อะนะเป็นคนที่ชอบดอกไม้มากๆ หลังจากแต่งงานกันแล้วก็เลยไปฮันนีมูนดูดอกไม้กันทั่วโลก แต่ตอนที่แม่รู้ว่าท้องพี่ทิวอะบังเอิญอยู่ที่เนเธอร์แลนด์ซึ่งพ่อกับแม่ตั้งใจไปดูทุ่งดอกทิวลิป แม่กูเลยตั้งชื่อให้พี่กูว่าทิวลิป...”
“ อืม...แล้วมึงล่ะ ทำไมถึงชื่อทานตะวัน”
“...กูเกิดหลังพี่ทิวห้าปี ซึ่งตอนนั้นตอนพี่ทิวอายุได้ห้าขวบ อยู่ดีๆแม่กูก็นึกอยากไปดูทุ่งดอกทานตะวันขึ้นมาซึ่งโชคดีที่ช่วงนั้นก็เป็นช่วงที่มันกำลังบานพอดี พ่อกูก็เลยต้องพาไปแบบงงๆเพราะไม่คิดว่าแม่อยากจะไปอีกหลังจากที่ตระเวนเที่ยวกันมาจนทั่วแล้ว...แต่พอหลังจากกลับมาได้ไม่นานแม่ก็รู้ว่าท้องกูได้เดือนกว่าแล้ว...”
“แม่มึงก็เลยตั้งชื่อมึงว่าทานตะวัน”
“ประมาณนั้นแหละ...”
“อืม...แต่มึงลองคิดดูเล่นๆนะ อันนี้กูสมมติเฉยๆ ถ้าสมมติว่าแม่มึงไม่ได้อยากไปดูทุ่งดอกทานตะวันแต่เกิดอยากไปดูทุ่งดอก ‘กระเจียว’ ขึ้นมาล่ะ...”
“เอ่อ...กูว่า...แม่กูคิดถูกแล้วว่ะที่อยากไปทุ่งดอกทานตะวัน”
.
.
Fin.
เอ๊ะ เริ่มสับสนตัวเอง ทำไปทำมามันจะกลายเป็นเรื่องสั้นแต่ตอนพิเศษยาว!? แต่เอาเป็นว่าเนื้อหาเรื่องหลักจบก็แล้วกันเน๊อะส่วนตอนพวกนี้เป็นตอนพิเศษขยายความกันไป (ข้อแก้ตัวชัดๆ
) ถ้าตราบใดยังมีคนอ่านเราก็ยังจะหน้าด้านเขียนต่อ
จนกว่าจะไม่มีใครต้องการ โฮะๆ