C h a p t e r 1 7
แม้จะพูดว่าสู้ไปด้วยกันแล้ว แต่ความเป็นจริงยากกว่าที่ผมคิดไว้หลายเท่าตัว
เริ่มต้นจากที่ผมติดต่อนิธานไม่ได้หลังจากที่รถสีฟ้าคันนั้นหายลับไปจากสายตา ไม่ใช่ไม่รับสาย แต่ดูเหมือนจะเปลี่ยนเบอร์ไปเลย ผมโทรไปหลายครั้ง กระทั่งยืมโทรศัพท์ไอ้เดี่ยวโทรแล้วพบว่าถูกบล็อกเบอร์ ส่วนคนรับสายกรณีที่โทรติดเป็นพี่นิดซึ่งไม่ให้ผมคุยกับนิธานสักแอะ เข้าใจได้ว่าการเปิดศึกที่แท้จริงระหว่างผมกับว่าที่พ่อตาเริ่มต้นขึ้นแล้ว
ผมนั่งถอนหายใจ แต่งภาพจากโปรแกรม สลับกับมองปฏิทินที่เข้าเดือนใหม่ ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ที่ไม่ได้เจอกัน ไปดักรอที่คอนโดฯ นิธานก็ไม่เคยมาคนเดียว พี่นิดตามไปส่งถึงห้อง และเหมือนจะไม่ปล่อยให้นายแบบในสังกัดอยู่เพียงลำพังเลยนับตั้งแต่วันนั้น สีหน้านิธานดูอิดโรย แต่เงียบขรึม เหมือนนิธานสมัยที่ผมยังไม่รู้จัก ไม่มีความรู้สึกยินดียินร้ายกับอะไรรอบตัว ซึ่งไม่อาจตอบได้ว่าเป็นเรื่องที่ดีหรือไม่ดี
“เป็นไรวะพี่แซค ถอนหายใจหลายรอบแล้ว”
ไอ้เดี่ยวชะโงกหน้ามาถามข้ามพาร์ทิชั่น ผมสบตามันแล้วตอบด้วยการถอนหายใจอีกหนึ่งครั้ง “วุ้ย แค่นี้ทำถอนใจใส่ เครียดอะไร”
“ช่างกูเถอะน่า”
“เดี๋ยวนี้มีอะไรไม่ปรึกษาน้องนุ่ง”
“ปรึกษาก็เหมือนพูดใส่สาก” เรื่องนี้ปลงแล้ว จะเล่าให้ใครฟังได้วะ คิดแล้วก็พรูลมหายใจออกมาผ่านจมูกอีกที “ดูดบุหรี่ดีกว่า”
“ช่วงนี้บ่อยนะพี่ ชั่วโมงละมวน ตายห่าพอดี”
“เออ เรื่องของกู”
“สงสารคนที่เขาอยู่ข้างหลังบ้างเท้อ” ผมจับซองบุหรี่ จู่ๆ ก็นึกถึงที่ตัวเองไม่ชอบใจนักเวลาเห็นนิธานทำแบบเดียวกัน ผมมองบุหรี่ที่เหลืออยู่ในซองแล้วโยนไปให้ไอ้เดี่ยว ถ้าเลิกได้คงดีสินะ
“อะไร”
“มึงเตือนกูด้วย กูจะเลิก”
“ไหวเหรอ ค่อยๆ ลดดีกว่า เดี๋ยวก็หงุดหงิดใส่ผมอีก”
ผมยีหัวตัวเองหนึ่งครั้งแล้วรับซองคืนจากรุ่นน้อง ทุกอย่างต้องค่อยเป็นค่อยไป มันมีเวลาของมันทั้งนั้น แต่เวลานี้ผมต้องอดทนไปถึงเมื่อไหร่กัน
ผมกลับลงไปนั่งที่เก้าอี้ตัวเองแล้วเอนหัวเงยหงาย มองเพดานสำนักงานสีขาวด้วยแววตาเลื่อนลอย
เข้าวันที่ห้าแล้ว นับตั้งแต่ที่ติดต่อนิธานไม่ได้ ผมมองบุญเหลือกินข้าวคลุกตับในกะละมัง ไม่ละเอียดละเมียดละไมเหมือนที่นายแบบหนุ่มเคยคลุกให้คงไม่ถูกปากนักเลยกินได้แค่ครึ่งเดียว สุนัขพันทางเดินไปกินน้ำจากขวดให้น้ำสัตว์ที่แขวนอยู่กับเสา มองกระบองเพชรที่วางเหนือขึ้นไปออกดอกบานด้วยใจที่หดหู่ คิดว่าทำอะไรสักอย่าง ผมต้องทำอะไรสักอย่าง
ผมเดินกลับเข้ามาในบ้าน เปิดโทรทัศน์เพื่อสบตานิธานผ่านจอแก้ว ทั้งที่ตั้งมั่นว่าจะไม่ดูละครที่นิธานถ่ายกับธาราธรณ์ แต่สุดท้ายเพื่อได้เจอหน้าให้หายคิดถึงสักครั้ง แค่เพียงฝ่ายเดียว ก็ทำให้ผมต้องมานั่งแหมะบนโซฟา มีบุญเหลือกระโดดมานอนข้างๆ เอาคางเปื้อนน้ำลายพาดตักอยู่ดี ภาพที่เคลื่อนไหวบนจอให้ความรู้สึกไม่ได้ถึงเศษเสี้ยวของความจริง ผมอยากเจอนิธานตัวเป็นๆ ตอนนี้ อยากกอดให้หายคิดถึง หอมสักฟอดให้ชื่นใจ แต่ที่ทำได้เพียงแค่กดรีโมตเปลี่ยนช่องไปมาเมื่อพักเข้าสู่โฆษณาเท่านั้น
นิธานไม่หาทางติดต่อผมบ้างหรือไงวะ
ประท้วงด้วยความน้อยอกน้อยใจลึกๆ ในที่สุดก็เลิกทนแล้วคว้าเอาหมวกกันน็อกกับกุญแจมอเตอร์ไซค์คู่ใจออกจากบ้าน ทิ้งบุญเหลือแสนรักให้อยู่เฝ้าบ้านตามลำพังอีกครั้งในรอบหลายวันที่ผ่านมา
“เดี๋ยวคืนนี้พี่ไม่อยู่ ยังไงธามก็อยู่กับนุแล้วกัน มีอะไรก็เรียกใช้ได้เลย พรุ่งนี้เช้าพี่จะมารับตั้งแต่ตีห้า ไปสตูดิโอห้าเศียร แล้วไปถ่ายรายการโอฮาโยต่อตอนบ่ายสอง สามทุ่มมีอีเวนต์ของช่องที่งานการกุศลตรงเซ็นทรัลเวิลด์ พรุ่งนี้หลายงาน คืนนี้ก็พักผ่อนให้เต็มที่” เสียงทุ้มต่ำที่บังคับให้ลีบแบนของผู้จัดการส่วนตัวนิธานดังขึ้นขณะที่สองเท้ายังก้าวต่อ ผมหลบอยู่มุมหลังกระถางต้นไม้ สวมเสื้อแขนยาว มีฮู้ดพรางตัว ยามเห็นหน้าจนชินเลยปล่อยให้ผมยืนอยู่ตรงนั้นตั้งแต่ชั่วโมงก่อน นิธานพยักหน้ารับรู้ด้วยสีหน้าเนือยๆ เพิ่งสังเกตว่าหลังจากลงจากฮุนไดสีดำฟิล์มหนาคันนั้นแล้วยังมีชายร่างสูงใหญ่ใส่แว่นตาดำกับเสื้อโปโลสีเดียวกันท่าทางทะมัดทะแมงตามมาด้วย
“อย่าเกเรนะธาม คุณเมธีจะฆ่าพี่แล้ว ตอนเรื่องรับงานกับอู๋เป็นแค่ฉาบฉวยพี่ไม่โกรธ แต่กับแซคอ่ะพี่ยอมไม่ได้จริงๆ คุณเมธีก็ด้วย”
“พี่เลิกพูดถึงเขาสักสิบนาทีเถอะ”
“ก็ใครหาเรื่องมาให้พี่ล่ะ เตือนแล้วก็ไม่ฟัง เรื่องดื้อเงียบน่ะขอให้บอก”
“ผมไม่เห็นว่าการที่ผมจะมีแฟนมันผิดตรงไหน”
“ผิดตรงที่เป็นผู้ชาย แล้วผู้ชายคนนั้นก็เป็นแซคด้วยน่ะสิ” ผมขมวดคิ้วเข้าหากัน ยังไม่ทันตั้งคำถามคนพาดพิงถึงก็อธิบายออกมาก่อน “คุณเมธีสืบคืนเดียวก็รู้แล้วว่าแซคเพลย์บอยขนาดไหน เขารักธามจะตายไป ใครจะอยากให้ลูกชายตัวเองยุ่งกับคนแบบนี้”
“แซคไม่ได้แย่”
“เชื่อผู้ใหญ่น่าธาม เขาอาบน้ำร้อนมาก่อน”
นิธานทำท่าจะเถียงต่อ แต่หางตาเหลือบมาเห็นผมเสียก่อน เราสบตากันชั่วขณะ แม้ไม่ได้มีคำพูดแต่หัวใจก็พองฟูขึ้นมาอย่างประหลาด
“พอๆ ขึ้นห้องไปได้แล้ว นุ พี่ฝากด้วยนะ”
“ผมบอกแล้วว่าไม่ต้องให้บอดี้การ์ดมาคุมผมตลอดเวลาก็ได้”
“ขอโทษทีเถอะ พี่ไม่ใช่คนจ้างอนุชามา ป๋าเราต่างหากเป็นคนจัดการ”
“เวลาส่วนตัวของผมนะ”
“ก็เล่นเอาเวลาส่วนตัวไปเจอเด็กนั่นก็ต้องโดนคุมประพฤติแบบนี้น่ะสิ อดทนหน่อยแล้วกัน เดือนสองเดือนเดี๋ยวตาแซคก็เบื่อ ไปหาเด็กใหม่แล้ว ถึงตอนนั้นคุณเมธีคงวางใจให้อิสระเราเต็มที่”
“ผมไม่เข้าใจ”
“ธาม ป๋าเป็นห่วงเรามากนะ”
“แต่เขาก็แทบจะไม่เคยทำอะไรเลยนอกจากส่งเงินมาให้กับส่งคนมาคุม” นายแบบหนุ่มถอนหายใจ ถึงแม้จะหน้านิ่งแต่ก็พอมองรู้ว่าไม่ได้ชอบใจนัก “ผมผิดเรื่องที่อยากหาเรื่องกวนประสาทเขาบ้าง แต่เรื่องแซคผมจริงจังนะพี่นิด”
“พี่รู้ แต่แซคไม่ได้จริงจังกับเรา ธาม อย่าให้ความกะล่อนความปากหวานของเด็กนั่นมาหลอกสิ เราก็เจอมาเยอะไม่ใช่เหรอพวกปากหวานก้นเปรี้ยว พี่ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมคราวนี้ถึงดูไม่ออก ธามไม่ใช่คนโง่หรือตาบอดเรื่องแบบนี้ไม่ใช่เหรอ เราน่าจะรู้ว่ารักคืออะไร มันคนละเรื่องกับการเข้ามาเกาะแกะเพื่ออาศัยชื่อเสียงของเราให้เป็นบันไดหางานให้เขานะ”
“แซคไม่ใช่คนแบบนั้น”
“พี่รู้จักแซคมาตั้งแต่เป็นเด็กถือฉากนะธาม”
“พี่รู้จักเขานานไม่ได้แปลว่ารู้จักดี ความรักของผมคือการได้อยู่กับคนที่ทำให้สมองเราสงบ ทำให้ใจเราว่างเปล่า มันไม่ต้องหวือหวา ไม่ต้องเพียบพร้อมอะไรทั้งนั้น และผมก็ชอบตัวเองเวลาที่อยู่กับแซคแบบนั้น แต่ช่างเถอะ พูดไปพี่นิดก็ไม่เข้าใจ”
“วันหนึ่งเราจะรู้เองว่าพี่กับคุณเมธีหวังดีจริงๆ”
“เลือกอะไรไม่ได้อยู่แล้วนี่” เขายักไหล่ สีหน้าเบื่อหน่ายเต็มทน เหลือบตามามองผมเป็นระยะเพราะไม่อยากให้ถูกจับได้
“เข้าใจได้ก็ดีแล้ว เราน่ะโหมงานจนไม่ได้นอนมาสี่ห้าวัน พี่กลัวจะน็อก”
“ผมได้พักอีกทีวันไหน”
“อาทิตย์หน้าก็ได้ไปจีนแล้ว”
“ไปทำงาน” นายแบบหนุ่มถอนหายใจ พี่นิดหัวเราะพลางตบบ่าปลอบประโลม “ช่วงนี้อดทนหน่อย เดี๋ยวให้ฟรีสองสัปดาห์เลย ไม่รับงานไหน เที่ยวที่ไหนก็ได้ ยกเว้นเจอแซค โอเคไหม”
นิธานพยักหน้า เขายื้อเวลายืนอยู่ตรงนี้ไม่ได้อีกแล้วเมื่อพี่นิดรุนหลังให้เข้าไปในคอนโดฯ เราสบตากันครั้งสุดท้ายก่อนแผ่นหลังของคนที่ผมมารอจะหายไปในประตูลิฟต์ที่ปิดลง
นี่สินะที่โบราณว่าแค่เห็นหลังคาบ้านก็พอใจ ผมได้สบตากับคนที่ตัวเองรักแค่เสี้ยวนาทีหัวใจก็ชุ่มฉ่ำขึ้นมาทันที
“นี่ ไปเยี่ยมยัง”
วันนี้ผมมีงานถ่ายภาพนอกสตูฯ เป็นสวนอาหารย่านชานเมือง กำลังนั่งมองบรรยากาศซึมซับรายละเอียดก่อนการถ่ายจริงแล้วพี่ดลก็มาทักด้วยวลีสั้นๆ ผมเลิกคิ้วเป็นเชิงถามเลยถูกฟาดด้วยนิตยสารช่างกล้องที่เอามาให้รุ่นพี่ยืมเข้าเต็มๆ ผมเหลือบตามองคนทัก ท่าทีไม่รู้ร้อนรู้หนาวชวนให้พี่ดลทักต่อด้วยน้ำเสียงที่สูงขึ้น “อย่าบอกว่ายังไม่รู้ข่าว”
“ข่าวอะไรครับ ผมออกจากบ้านตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง”
“รีบเหรอมึง”
“ออกไปถ่ายรูปพระอาทิตย์ขึ้นที่ตึก NYL มา เห็นมีงานประกวดของ Champs ว่าจะลองส่งดู”
“เออ โจทย์อะไร”
“Days แต่เดี๋ยวดิ อย่าเปลี่ยนเรื่อง” ผมกระทุ้งข้อศอก คนเดินมาชวนคุยเลยนึกขึ้นได้
“ธามเข้าโรง’บาลตั้งแต่เมื่อคืน”
“เหรอ ผมไม่ได้เปิดเฟซเลยว่ะ ทีวีก็ไม่ได้เปิด” กลับมาแล้วก็เครียด นอนไม่หลับ สุดท้ายก็นั่งแต่งรูปยันตีสี่ มีเมลจากเว็บไซต์ของนิตยสาร Champs ส่งข่าวประกวดภาพถ่ายมาพอดีเลยเก็บกระเป๋าแบก Canon ออกจากบ้าน ตอนนี้หน้าโทรมตาโหลมาก ขอบคุณทีมงานที่ไม่ได้ทักเรื่องนี้
“ข่าวว่าไงอ่ะ”
“เครียดลงกระเพาะ”
“งานเยอะ”
“จะเข้าไปเยี่ยมหรือเปล่า แต่นักข่าวคงเต็มอ่ะ”
“อืม” ผมรับคำในลำคอ กระนั้นก็วางแผนไว้ในใจ “ไว้ถ่ายเสร็จแล้วคงแวบไป”
ส่วนชื่อโรงพยาบาลกับห้องผู้ป่วยถามเมธัสเอาทีหลังน่าจะได้เรื่องขึ้นมาบ้าง หรือบางทีผมอาจจะขอให้เมธัสไปเป็นโล่ช่วยพาเข้าไปเจอนิธานสักสิบนาทีก็ยังดี
ผมมาถึงโรงพยาบาลพร้อมเมธัสตอนสี่โมงเย็น มีนักข่าวรอสังเกตการณ์อยู่ประปราย รู้สึกคุ้นหน้าเป็นบางคน วนไปวนมาสุดท้ายสายงานก็ใกล้เคียงกัน ผมค่อนข้างมั่นใจว่าหลายคนรู้แล้วว่าความสัมพันธ์ของผมกับนิธานเป็นไปในลักษณะไหน แต่ตราบใดที่เม็ดเงินถึง ข่าวของเราก็จะยังถูกกลบไว้ซึ่งกระแสทางธุรกิจอยู่ดี อย่างมากแล้วก็ลงคอลัมน์กอซซิปเล็กๆ ที่ใช้ตัวอักษรย่อแทนชื่อเต็มตัว และนั่นเป็นสาเหตุให้แม้ผมจะเดินตามหลังลูกชายคนเดียวของท่านรัฐมนตรีพี่ๆ นักข่าวก็มองกันไม่วางตา
“คุณหม่อน”
ประตูห้องพักผู้ป่วยพิเศษเปิดออก พี่นิดเป็นคนออกมารับหลังจากเมธัสเบิกทางการ์ดทั้งหลายมาฉลุย ผมไม่ต้องทำอะไรเลย แบ็กดีเป็นแบบนี้นี่เอง ดังนั้นเมื่อพี่นิดเห็นผมก็ทำได้เพียงหน้าหงิกหน้างอเท่านั้น
“เอาของเยี่ยมมาฝาก”
เมธัสมองเลยผู้จัดการส่วนตัวไปแล้วดันหลังผมให้ไปหาที่เตียง นิธานหน้าซีดโทรม แต่ยังมีแรงยิ้ม แขนซ้ายถูกเจาะให้น้ำเกลือ ดูท่าทางไม่ได้เป็นอะไรมาก เพียงแค่เครียดกับพักผ่อนไม่เพียงพอเท่านั้น
“ไม่เจอหน้าผมอาทิตย์กว่าๆ ถึงกับเครียดลงกระเพาะเลยเหรอ”
ผมลากเก้าอี้มานั่งใกล้ๆ รู้ว่าไม่ได้รับอนุญาตให้อยู่กับนิธานสองคนแน่ เมธัสทิ้งตัวลงบนโซฟาแล้วหยิบไอแพดขึ้นมาทำงานรออย่างไม่ได้แสดงอาการเป็นห่วงเพื่อนมากนัก หรืออีกนัยหนึ่งถ้าไม่ติดว่าผมโทรไปขอร้องให้มาเป็นเพื่อน ป่านนี้ก็คงเคลียร์งานอยู่ที่ออฟฟิศเหมือนทุกวัน เอาเข้าจริง ผมว่าเมธัสก็เป็นเพื่อนที่ดีใช้ได้เลย
“งานเยอะ ไม่ค่อยได้นอน”
“ผมรู้ ทำไมโหมรับงานขนาดนี้ ไม่ได้อยู่ดูแลพี่แล้วรู้สึกไม่ดีเลยว่ะ”
“เว่อร์ พรุ่งนี้ก็ออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว”
“ผมลูบหัวได้หรือเปล่า” ไม่รู้สิ เวลานี้ผมก็ไม่เห็นคุณเมธีมาอยู่ด้วย ชีวิตคนคนหนึ่งต้องการเพียงคนที่เราจ่ายเงินมาเคียงข้างวันที่อ่อนแอจริงๆ หรือ ไม่ใช่พี่นิดทำหน้าที่ผู้จัดการส่วนตัวไม่ดี ผมพูดถึงนัยของมนุษย์ทั่วไป เมื่อร่างกายบาดเจ็บ จิตใจก็ย่อมอ่อนล้าไปด้วยเป็นธรรมดา คนที่เราอยากอยู่ด้วยในวัน ในเวลาแบบนี้ มักจะเป็นคนที่ผูกพันกันทางจิตใจมากกว่า
“มากกว่านี้ก็ได้” นิธานตอบเสียงแห้ง ผมยังจับมือเขาไว้ ห้ามตัวเองไม่ให้ยิ้มแต่ก็หลุดออกมาอยู่ดี
“มีคนอยู่นะ”
“มาให้จูบหน่อย ฉันไม่ทำนายป่วยไปด้วยหรอก”
นิธานพูดชัดเจน ผมเหลือบตามองเมธัสที่ทำทีไม่สนใจแต่กลับอมยิ้มนิดๆ ที่มุมปาก ส่วนพี่นิดนั่งไขว่ห้างอยู่อีกมุม กอดอกเบือนหน้าหนี
“นี่เป็นประโยคขอร้องจากนายแบบดังเลยเหรอเนี่ย”
“ฟังไม่ออกหรือไงว่าเป็นคำสั่ง”
ผมศิโรราบแต่โดยดีแล้วโน้มตัวลงมาหาใบหน้าขาว แนบริมฝีปากลงไปบดคลึงทั้งบนและล่าง เผยอปากจูบซ้ำๆ ภายนอก ไม่ล้ำลึก ไม่วู่วาม แต่เต็มไปด้วยความอ่อนหวานของคำว่าคิดถึงที่สอดแทรกไป เมื่อถอนริมฝีปากออกมาความอาลัยนั้นยังอยู่ เรายังคงจับมือกัน เป็นสัมผัสที่ส่งต่อถึงสัมผัสจริง ไม่ใช่เพียงมองอีกฝ่ายผ่านหน้าจอจากเครื่องมืออิเล็กโทรนิกส์อีกต่อไป
“วันนี้ดีขึ้นหรือยังครับ”
“อืม เมื่อวานคลื่นไส้ตั้งแต่บ่าย อ้วกไม่หยุด พี่นิดเลยพามาส่งโรงพยาบาล”
“ขอบคุณนะครับพี่นิด” ผมหันไปบอก เจ้าของชื่อปรายตามองแล้วเมินราวกับไม่อยากสุงสิง ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ผมจะต้องแคร์ “พี่ธามน่าจะพักผ่อนบ้าง”
“คิวยาวจนถึงสิ้นเดือนหน้าถึงจะมีเวลาพัก”
“พี่ปฏิเสธงานไม่ได้เหรอ”
“ช่วงกอบโกยน่ะแซค” นิธานตอบเหมือนวางแผนอนาคตตัวเองไว้แล้ว เขายกมือขึ้นลูบหัวผม แต่เพราะไม่อยากให้ออกแรงมากเลยยอมนอนหมอบลงบนเตียง รอยยิ้มจุดขึ้นที่มุมปาก เป็นองศาที่มองแล้วเพลินตาดี “อีกไม่กี่ปีฉันจะออกจากวงการแล้ว”
“ธาม อย่าพูดเหลวไหล”
“เราคุยกันแล้วนะพี่นิด”
“คิดว่าทำอะไรได้ดั่งใจตัวเองหรือไง เลิกความคิดนี้ไปซะ”
“พี่ไม่ใช่เจ้าชีวิตพี่ธามนะครับ ผมว่าพี่ก็ทำเกินไป” ผมขัดขึ้นมาบ้างเมื่อผู้จัดการส่วนตัวลุกมาดุคนป่วย “ผมรู้ว่าพี่ได้เงินจากพี่ธามมาก แต่ก็ใช่ว่าคนอื่นจะทำให้พี่เหมือนพี่ธามไม่ได้เสียทีเดียว หานายแบบใหม่ก็ได้นี่”
“นายไม่รู้อะไรก็เงียบไปเถอะแซค”
“ผมรู้! รู้ทุกเรื่องที่พี่คิดว่าผมไม่รู้นั่นแหละ!”
“ถ้ารู้แล้วยังจะสร้างความเดือดร้อนให้ธามอีกทำไม คิดว่าที่ธามต้องทำงานหนักแบบนี้เพราะใคร ถ้าไม่ใช่นายมาวอแวเขาจน...”
“จนอะไร” เสียงสุดท้ายเป็นเสียงของเมธัส พี่นิดเงียบในทันที ขณะที่นิธานก็แน่นิ่ง คนพูดวางไอแพดลงบนโซฟา ลุกขึ้นมามองหน้าผมสลับกับผู้จัดการส่วนตัวที่เกือบปล่อยเรื่องรั่วไหลออกมา
แน่ล่ะ...ใครจะสั่งให้นิธานทำงานจนไม่มีเวลาว่างขนาดนี้ได้นอกจากพ่อ
พ่อที่เอางานมายัดใส่ลูกจนไม่มีเวลาทำอย่างอื่น เหมือนที่เขาไม่มีเวลาให้นิธานนั่นไง
“จนกระแสอู๋ธามไม่โตสินะ”
ผมพูดเสียงเนิบ เพราะยังอยากทำให้นิธานสบายใจเลยไม่พูดเรื่องที่เป็นความลับ พี่นิดคลายท่าทีชวนอึดอัดลง แต่ยังไม่วายบ่นผมต่อราวกับอัดอั้นมานาน
“รู้ไหมว่าต้นสังกัดต้องเสียเงินเท่าไหร่ปิดข่าวนี้ เลิกทำตัวเป็นปัญหาเสียที”
“ก็แถลงข่าวว่าผมคบกับพี่ธามเสียซี่ จะได้ไม่ต้องเสียเงินปิดเรื่องอีก พี่ก็รู้ว่าผมต้องหาทางมาหาพี่ธามแน่”
“พอแถลงข่าวนายได้สักพักนายก็เขี่ยธามทิ้งน่ะเหรอ แซค ทุกคนมีประวัติ แล้วฉันจะบอกให้นะว่ามันตัดสินตัวนายวันนี้ด้วย สิ่งที่ทำมา นายอาจจะคิดว่าตัวเองมักง่ายยังไงก็ได้ แต่มันเป็นเครดิตติดตัวนายไปแล้วว่านายมั่วแค่ไหน”
“โห พูดแบบนี้ผมอยากต่อยพี่เลยว่ะ”
“พอได้แล้ว!” นิธานเสียงดัง และดูท่าว่าผมจะทำให้นิธานหงุดหงิดมากกว่าเดิม เราแยกกันคนละมุม แต่ผมไม่ยอมกลับง่ายๆ แน่ ผมเดินกลับมานั่งข้างนิธานโดยมีเมธัสคอยตบบ่าปลอบใจ
“พี่นิด ผมขออยู่กับแซคสักครู่ได้ไหม”
“ไม่ได้ คิดว่าข้างนอกนั่นนักข่าวมารอทำข่าวอะไรกัน แค่นายแบบเข้าโรงพยาบาลมันจะขายได้สักเท่าไหร่ ถ้าเทียบกับข่าวนิธานกับชายนิรนามที่เหมือนกันกับภาพจูบที่หลุดไปตอนนั้นทุกกระเบียดนิ้ว”
“ผมไม่ออกไปไหน พี่เฝ้าหน้าห้องได้เลย”
“พี่ไม่ไป ธาม จะจูบกันเหมือนเมื่อกี้ก็ได้ ตามสบายเลย แต่พี่ละสายตาจากเราโดยที่แซคอยู่ด้วยไม่ได้ มันเป็นหน้าที่ของพี่”
“โอเค งั้นนายพยุงฉันนั่งแล้วขึ้นมานั่งข้างๆ”
บอกตามตรงผมไม่เข้าใจนิธานหรอก แต่ก็ทำตามทุกอย่างที่เจ้าตัวบอก เสียงเอียดอาดเกิดขึ้นเมื่อทรุดตัวลงนั่งบนเตียง มือขวานิธานจะดึงคอเสื้อผมออกกว้าง สัมผัสหยุ่นนุ่มแตะลงบนเหนือไหปลาร้า ก่อนความชื้นภายในอุ้งปากจะแผ่ลงแตะพร้อมปลายลิ้น ผมหลับตาลง รู้สึกเจ็บเมื่อผิวหนังถูกดูดดึง ฟันคมงับลงมาคล้ายลงโทษแต่ไม่เจ็บจนทรมาน ผมโน้มตัวลงจูบบนโคนผม เหนือศีรษะ แล้วโอบเอวคนป่วยไว้หลวมๆ นิ่วหน้าเมื่อเจ็บมากกว่าเดิม แต่แน่ชัดว่าสัญลักษณ์ของนิธานจะตรึงอยู่บนผิวเนื้อไปอีกนาน
“ไม่ว่าใครจะพูดอะไร หรืออดีตจะเป็นยังไง ตอนนี้นายเป็นของฉัน”
คำสั่งเมื่อนายแบบหนุ่มผละตัวออกแล้วสั้นง่าย แต่กลับติดตรึงราวมนตร์สะกด ผมเหลือบตาลง ไม่เห็นรอยบนบ่าของตัวเองแต่มั่นใจว่าต้องเป็นสีช้ำชัดเจน เราสบตากัน ริมฝีปากของนิธานยังแดงและแก้มขึ้นสีกว่าตอนที่ผมเปิดประตูเข้ามาเยี่ยม ในความเย็นชาบ้าบิ่น ยังมีช่วงเวลาที่นิธานของผมซ่อนอาการเขินอายไว้ให้เห็นบ้างประปราย
“ผมอยากปล้ำพี่ว่ะ” คนป่วยกัดริมฝีปากล่างแล้วเบือนหน้าหนี ผมขยับตัวเข้าชิดกระซิบเสียงต่ำ “คราวหน้าผมจะปล้ำจนกว่าพี่จะขอร้องให้ผมหยุดเลย คอยดู”
TBC
ตัดสินใจว่าจะรั้งแล้ว ธามก็โนแคร์โนสนทุกสิ่งอัน เอาแต่ใจกว่านี้ไม่มีแล้วค่ะ
สงครามพ่อตาลูกเขยเพิ่งเริ่มต้น ดูกันว่าสองคนนี้จะผ่านมันไปได้ยังไง เมื่อคืนมาไม่ไหว ป่วยยย อิอิ ไว้เจอกันพุธหน้านะคะ
เยืฟ