ONLY YOU :: EPISODE 8 [75%]ตอนแรกผมว่าผมก็ปกติ ไม่ได้ตื่นเต้น หรือนึกหวาดหวั่น หวาดกลัวอะไรกับการที่วิคเตอร์จะเข้ามาพบพ่อกับแม่ เพราะผมคิดว่าก็แค่เข้ามาพูดคุยทั่วไป ไม่ได้มีอะไรน่าเป็นกังวล แต่พอรถเบนซ์สีดำจอดหน้าบ้านผมที่เป็นตึกพาณิชย์สามชั้นสองตึกติดกัน ผมก็เริ่มใจสั่น เพราะความจริงผมรู้ว่าวิคเตอร์มาในฐานะอะไร เขาไม่ได้มาในฐานะเจ้านายที่จะมาบอกพ่อกับแม่ว่าผมได้งานแล้ว จะขอตัวไปทำงานด้วยอะไรแบบนั้น คือผมว่าพ่อกับแม่ก็ไม่ใช่คนโง่ เขาเลี้ยงผมมา ทำไมเขาจะไม่ระแคะระคายล่ะว่า เจ้านายอะไรทำไมมาขอลูกชายไปทำงานด้วยถึงที่บ้าน
“วิคเตอร์ ไม่ต้องเจอพ่อกับแม่แล้วก็ได้ เดี๋ยวผมพูดกับพวกเขาเองดีกว่า” สีหน้าผมแสดงความประหวั่นพรั่นพรึงที่เริ่มก่อตัวหนาแน่นขึ้นในอก ผมกัดริมฝีปากล่างแน่น มองวิคเตอร์ที่มองกลับมางงๆ ด้วยอาการไม่สบายใจ
“ทำไมล่ะ ก็ตกลงกันแล้วไม่ใช่เหรอ” เขาปลดเข็มขัดออกจากตัว เอื้อมมาปลดให้ผมออกด้วย ผมมองไปทางตัวบ้านอย่างพะว้าพะวง เห็นพ่อกำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์โดยมีลูกค้าอยู่ในร้านสองสามคน
“ผมว่ายังไงเขาก็ต้องรู้ว่าเราเป็นมากกว่าเจ้านายลูกน้อง” วิคเตอร์ยิ้มเอือม ยกมือซ้ายขึ้นมาโยกหัวผมเบาๆ
“เขาจะรู้ก็เพราะนายทำท่าลุกลี้ลุกลนแบบนี้เนี่ยแหละ”
“คุณไม่ต้องเข้าไปก็ได้ แค่เรื่องงานผมบอกเขาเองก็ได้นะจริงๆ” ผมมองไปทางบ้านตัวเอง พ่อลุกขึ้นยืนคิดเงินหน้าเค้าน์เตอร์ ตอนนั้นเองที่พ่อเพ่งมองมาทางรถของวิคเตอร์ที่จอดอยู่
“ได้ไงล่ะ ฉันจะเอาลูกเขาไปอยู่ด้วย ก็ต้องมาขอเขาสิ ไอ้อันเดรบอกฉันว่าที่ไทยค่อนข้างจริงจังกับเรื่องนี้มาก” ผมหันหน้าเอ๋อของตัวเองไปมองเขาที่ยิ้มละมุนกลับมา พอตั้งสติได้ผมก็สั่นหัว
“เอ่อ… อันนั้นน่าจะหมายถึงการแต่งงานรึเปล่า”
“ถ้างั้นก็ขอแต่งไปเลยก็ได้ แต่มัดจำเรื่องแหวนไว้ก่อนนะ” ผมยิ้มเบ้ปาก ยกมือขึ้นมาเกาหัวแกรกๆ หันไปมองพ่อที่ยืนขายของอยู่หน้าบ้านก็เกิดอาการปอดเป็นรูขึ้นมา คือนี่ผมกำลังจะพาผู้ชายเข้าบ้านนะ แล้วผู้ชายก็หน้าตาดีไง
“นั่นพ่อนายใช่รึเปล่า” เขาชี้ไปทางพ่อที่กำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ต่อ ผมหันไปพยักหน้ากับเขาเร็วๆ
“ผมว่าพ่อกับแม่ต้องรู้แน่ๆ คุณไม่ต้องเข้าไปหรอก เดี๋ยวผมเข้าไปเก็บของแล้วบอกพวกเขาว่าไปทำงานให้ทางมหาวิทยาลัย” ผมเริ่มรู้สึกลนลานไปหมด พยักหน้าให้วิคเตอร์รัวๆ เพื่อให้เขาเห็นด้วยกับความคิดนี้ ไอ้ยักษ์ย่นคิ้วมองหน้าผม ยกยิ้มขำที่มุมปาก
“ถ้าฉันเป็นพ่อนาย ฉันจับได้ละว่านายพาแฟนเข้าบ้าน” ผมยิ้มแห้ง หน้าตาไม่สู้ดีนัก นี่ขนาดยังไม่อยู่ต่อหน้าพ่อกับแม่ ใจผมยังเต้นตุบๆ มันเต้นเหมือนจะหลุดออกจากอก เต้นแรงยิ่งกว่าเวลาตื่นเต้นตอนอยู่กับวิคเตอร์ซะอีก
“ถ้านายหยุดคิดมาก ทำตัวสบายๆ เหมือนว่าเราเป็นเจ้านายลูกน้องกันจริงๆ ก็ไม่มีใครจับได้หรอก” ผมเม้มปาก คิ้วขมวดมุ่น กำลังพยายามบอกให้ตัวเองใจเย็น หันไปมองวิคเตอร์ก็เห็นว่าเขากำลังมองอย่างให้กำลังใจ ผมพยักหน้าด้วยสีหน้าที่มั่นใจขึ้นมาเพียงนิด พ่อตัวโตยิ้มหล่อมาให้ หันไปเปิดประตูฝั่งตัวเอง ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วเปิดประตูฝั่งตัวเองบ้าง
วิคเตอร์เดินตามหลังผมมาโดยไม่ได้แสดงท่าทีอาการผิดแปลกแต่อย่างใด เห็นแบบนั้นผมเลยพยายามทำตัวให้นิ่งบ้าง ทั้งที่ใจนี่เต้นเป็นแทงโก้ อาจจะจริงอย่างที่เขาว่าถ้าพ่อกับแม่จะจับได้ ก็น่าจะเป็นเพราะผมนี่แหละ เราเดินเข้าไปใกล้พ่อที่กำลังก้มหน้าอ่านหนังสือพิมพ์ สักพักพ่อคงรู้ตัวว่ามีคนยืนอยู่เลยเงยหน้าขึ้นมามอง สีหน้าพ่อไม่ได้แสดงอาการใดๆ ชัดเจนตามแบบฉบับของพ่อ
“วันนี้กลับซะมืดค่ำ แม่เขาโทรหาตั้งหลายรอบทำไมไม่รับสาย” พ่อถามเสียงเรียบ แล้วสายตาของพ่อก็เลื่อนไปมองฝรั่งตัวใหญ่คนหนึ่งที่ยืนยิ้มหล่อกลับไปให้ ตอนนั้นเองที่พ่อแสดงอาการตื่นตัวด้วยการลุกขึ้นยืนช้าๆ
“แล้วนั่นฝรั่งที่ไหน” ผมยังไม่ทันได้ตอบอะไร พ่อยักษ์หน้าหนวดก็ยกมือไหว้อย่างเก้ๆ กังๆ
“Hello, father-in-law. (สวัสดีครับคุณพ่อตา)” ผมที่กำลังยิ้มแย้มถึงกับยิ้มหายวืดและตาโตฉับพลัน หันไปมองไอ้ยักษ์ที่ยิ้มทะเล้นกลับมาให้
นั่นไง ไอ้ยักษ์ ประโยคพาพินาศลอยมาแล้วหนึ่งประโยค ผมฝืนยิ้ม ถลึงตามองเขานิดๆ อีกฝ่ายทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้กลับมา
“เขาทักทายพ่อใช่มั้ย แต่ไอ้ที่ต่อท้ายคำว่าฟาเตอร์นั่นมันคืออะไร” ถึงพ่อจะไม่เก่งภาษาอังกฤษ แต่พ่อผมก็ดูหนังซาวด์แทร็กบ่อยนะ
“ใช่ๆ เขาทักพ่อ ไอ้ที่ต่อท้ายก็คล้ายๆ คำว่าครับไง” น่าจะเป็นคำโกหกที่ไม่เว่อร์จนดูเกินจริงไปนะ พ่อทำหน้าเข้าใจ พยักหน้าหน่อยๆ
“ซา วั๊ด ดี คั๊บ” ผมหันไปมองพ่อฝรั่งตัวใหญ่ด้วยสีหน้าเอ๋อที่ได้ยินเขาพูดภาษาไทย โอย น่ารักแท้ไอ้ยักษ์ ฮ่าๆๆ พยายามพูดภาษาไทยด้วยสำเหนียงแปลกๆ ผมอดยิ้มไม่ได้เมื่อเห็นเขาผงกหัวขึ้นลงซ้ำๆ จนพ่อต้องรีบยกมือรับไหว้ แล้วยิ้มกลับไปให้อย่างเงอะงะเช่นกัน
“หวัดดีครับๆ เอ่อ ฮะ… ไฮ” พ่อผมผู้ซึ่งไม่ถนัดวิชาภาษาอังกฤษเอ่ยทักด้วยสำเนียงเสียงคนไทย แต่ก็ทำเอาผมยิ้มขำพ่อเช่นกัน พ่อชอบดูหนังต่างประเทศ ก็อาศัยการอ่านคำแปลบนหน้าจอเอา พ่อบอกว่าพากย์ไทยฟังแล้วเสียอารมณ์ ด้วยจุดนี้เลยอาจทำให้พ่อคุ้นเคยบางคำศัพท์อยู่บ้าง
“พ๊ม ฉื่อ วิคเตอร์ คั๊บ!” วิคเตอร์ยิ้มแฉ่ง ยื่นมือมาเพื่อจะจับมือกับพ่อ แต่ด้วยความที่พ่อเองก็คงกำลังงงๆ อยู่เลยยืนไหว้ค้างไว้ วิคเตอร์เห็นแบบนั้นเลยดึงมือกลับไปไหว้ต่อ แต่พ่อดันยื่นมือออกมาในจังหวะที่วิคเตอร์ชักมือกลับไปพนมมือไหว้ไว้แล้ว วิคเตอร์ก็หน้าตื่นรีบยื่นมือออกมา แต่พ่อดันชักมือกลับไป ผมหัวเราะที่เห็นผู้ชายสองคนที่ผมคิดเสมอว่าคล้ายคลึงกันทั้งหน้าตาและนิสัย เล่นชักคะเย่อมือกันไม่หยุด
“อ้าวๆ ใจเย็นพ่อ ยื่นมือออกมา อย่างนั้นแหละ” สองหนุ่มยิ้มเผล่ให้กัน เชคแฮนด์กันเบาๆ กันอยู่พักหนึ่งถึงดึงมือออก ผมยิ้มให้วิคเตอร์ที่ยิ้มตอบกลับมาเหมือนกำลังตื่นเต้นที่ได้แสดงการทักทายในแบบวัฒนธรรมใหม่
“เพื่อนแมทเหรอ” พ่อถามโดยที่ยังมีรอยยิ้มติดอยู่บนใบหน้า
“คนนี้เจ้านายแมทที่นิวยอร์ก พอดีเขามาทำงานที่ไทย แมทเลยมาช่วยงานเขา ที่กลับมาช้าก็เพราะไปทำงานกับเขามานี่แหละ” งานประเภทไหนก็ไม่รู้ ทำกันบนเตียงและในอ่างอาบน้ำ งานไม่หนักนะ แต่เหนื่อยมาก
“อ๋อ แล้วทำไมไม่โทรบอกก่อน แม่เขาก็เป็นห่วง”
“ลืมเอาโทรศัพท์ติดตัวไปด้วย ไม่เก้าก็แบมเก็บไว้ให้แล้วแหละ” พ่อพยักหน้าหงึกหงัก หันไปยิ้มให้กับวิคเตอร์อีกที ดูท่าพ่อเองก็จะแอบประหม่าและตื่นเต้นไม่น้อยที่ได้เจอฝรั่งตัวเป็นๆ แต่หากถามว่าทำไมพ่อดูไม่ตื่นเต้นที่ได้เจอวิคเตอร์ เรย์มอนด์ ก็ต้องบอกว่าพ่อกับแม่ผมไม่ใช่คนติดตามข่าวสารวงการบันเทิงเท่าข่าวการเมืองหรือเศรษฐกิจ อีกอย่างวิคเตอร์เป็นดาราต่างประเทศและอยู่ในสายซีรีส์กับนายแบบซะเยอะ ซึ่งพ่อไม่ติดตามหรอก ถ้าดูหนัง ก็ดูหนังบู๊ๆ ซะส่วนใหญ่ ส่วนแม่ก็ไม่ค่อยติดตามวงการบันเทิงเช่นกัน ดาราไทยแม่ก็พอจะจำได้บ้างว่าใครเป็นใคร แต่ไม่ได้ตามติดชีวิตดารา ฉะนั้นกับดาราต่างประเทศก็อย่าคาดหวังเลยว่าแม่จะรู้จัก
“แล้วเขามาบ้านเราทำไมล่ะ”
“เขาอยากมาเจอพ่อกับแม่ อยากมาขออนุญาตให้แมทไปช่วยงานเขาสองอาทิตย์ แล้วเขาก็มีเรื่องจะคุยกับพ่อกับแม่ด้วย” พ่อเบิกตากว้างมองผมด้วยสายตาตื่น สีหน้าลุกลี้ลุกลน นานๆ ทีจะเห็นพ่อหลุดมาเข้ม มาดขรึมนะ
“คุยอะไร แล้วจะคุยกันรู้เรื่องได้ยังไง”
“ก็เดี๋ยวแมทเป็นล่ามให้ไง” พ่อทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก หันไปมองพ่อฝรั่งตัวโตที่ยิ้มแฉ่งโชว์ฟันขาวด้วยใบหน้าใสซื่อ ที่ไม่รู้ว่าปั้นขึ้นมาหรือใสซื่อจริงๆ
ผมต้องเรียกสติพ่อให้กลับมาอีกครั้ง เมื่อพ่อดูเหมือนจะทำอะไรไม่ถูก พ่อส่งเสียงเออๆ ออๆ ไปเรื่อย ก่อนจะหันไปเรียกแม่ที่น่าจะอยู่ในครัวให้ออกมา ตอนแรกแม่ออกมาทำท่าจะบ่นผม แต่พอเห็นวิคเตอร์แม่ก็อ้าปากหวอ ไม่รู้ว่าใจละลายไปกับรอยยิ้มหล่อๆ ของไอ้ยักษ์หรืออึ้งที่เห็นฝรั่งยืนอยู่ในบ้าน
“Your mother?” วิคเตอร์ถามด้วยรอยยิ้มอ่อน ผมพยักหน้าให้เขา วิคเตอร์พนมมือไหว้อีกรอบ
“Hello, mother-in-law. (สวัสดีครับคุณแม่ยาย)” ผมได้แต่ยิ้มเฝื่อนแม้ใจจะกระตุกวูบๆ แต่ก็ต้องแสดงออกว่านั่นคือคำทักทายทั่วๆ ไป ไม่ได้มีอะไรน่ากังวล แม่ผมยิ้มเก้กัง ยกมือรับไหว้วิคเตอร์
“สะ… สวัสดีค่ะ เอ่อ… เพื่อนแมท เฟรนด์แมท (Friend Matt) เหรอคะ” แม้แม่จะพอรู้ภาษาอังกฤษอยู่บ้าง แต่พอไม่ได้ใช้นานๆ มันก็จะลืมเลือนไปตามกาลเวลา คงเหลือไว้แต่คำศัพท์ง่ายๆ เบสิคๆ ทั่วไป ผมกำลังจะอ้าปากตอบ แต่ไอ้ยักษ์ตัวแสบก็โพล่งขึ้นมาก่อน
“Not quit. I am actually his boyfriend, and he is my boyfriend. (ก็ไม่เชิงครับ จริงๆ แล้วผมเป็นแฟนเขา แล้วเขาเองก็เป็นแฟนผม)” พ่อกับแม่หันไปมองหน้ากันอย่างตื่นตระหนกเมื่อเจอประโยคสนทนาที่เริ่มยาวขึ้น แต่ท่านทั้งสองก็ยิ้มเพราะเห็นว่าไอ้ฝรั่งมันยิ้ม แต่ใครจะรู้บ้างว่ารอยยิ้มนั้นมันเป็นรอยยิ้มของไอ้ยักษ์เจ้าเล่ห์
ไอ้ยักษ์ ไอ้หนวด ไอ้ห่า ถ้าเกิดพ่อกับแม่แปลได้ขึ้นมาจะทำยังไง ผมได้แต่ถลึงตามองมองทั้งที่ปากยังฉีกยิ้มอยู่ด้วย จะทำหน้าดุทีเดียวก็ไม่ได้ ไม่งั้นเดี๋ยวพ่อกับแม่สงสัย
“คือ… จริงๆ แล้วเขาเป็นเจ้านายแมทที่นิวยอร์กอะแม่ แล้วเขามาทำงานที่ไทยประมาณสองอาทิตย์ เขาก็เลยขอให้แมทไปช่วยงาน” แม่ทำหน้าว่า อ๋อ ส่งยิ้มให้วิคเตอร์ที่ยิ้มหล่อตอบกลับมา ผมว่าต้องรีบตัดบทแล้วล่ะ ไม่งั้นเดี๋ยวแม่ต้องไปเรียกใครสักคนแถวนี้ที่เก่งภาษอังกฤษมาแปลให้แน่ๆ
“แล้วก็ วันนี้ที่เขามา เขาจะมาขออนุญาตพ่อกับแม่ให้แมทไปช่วยงานเขา คือ แมทอาจจะไม่ได้กลับบ้านนะ เพราะงานเขาจะเยอะมาก ไม่มีค่าจ้างนะแม่ แต่เขาออกค่าใช้จ่ายให้แมทหมดทุกอย่างเลย…” ผมหันไปหาวิคเตอร์ที่ยืนยิ้มกริ่มอยู่คนเดียว
“…I said that you do not pay the wage for me, but you will be pay for another things, instead.”
“Ah! Yeah. Don’t worry about that—mom, dad. I aim to take care of him as good as I fuck him. (อ้า! ครับ ไม่ต้องเป็นห่วงตรงนั้นเลยครับคุณแม่ คุณพ่อ ผมตั้งใจจะดูแลเขาอย่างดีเหมือนตอนที่ผมตั้งใจอึ๊บเขาเลยครับ)” วิคเตอร์ยิ้มกว้างพร้อมเสียงหัวเราะ ผมเลยแกล้งหัวเราะกลบเกลื่อนไปด้วย ทั้งที่ใจจริงอยากจะหยิกเขาให้เนื้อเขียวคามือเลยทีเดียว พ่อกับแม่ก็ได้แต่ยิ้มตามแบบไม่รู้เรื่องรู้ราวไปด้วย ผมพยักหน้าให้พ่อกับแม่ด้วยสีหน้าว่า ตามนั้นเลยพ่อ แบบนั้นเลยแม่ แม้ใจจะเสียววูบเสียววาบ แต่ก็ต้องทำเฉยเมยราวกับเป็นประโยคธรรมดาอีกเช่นเคย
“เขาบอกว่าไม่ต้องกังวล เขาจะจ่ายให้หมดทุกอย่างเลย” พ่อกับแม่ยิ้มใจดี หันไปโค้งให้วิคเตอร์เล็กน้อย ไอ้ฝรั่งโค้งกลับมา หันมายิ้มยักคิ้วกวนเท้าให้ผม หน็อย… พอรู้ว่าผมตอบโต้อะไรไม่ได้ ฮึกเหิมใหญ่เชียวนะ เดี๋ยวก๊อน!
“แพ้ฝุ่นหรือโดนอะไรกัดมาน่ะแมท ทำไมคอแดงขนาดนั้น” เฮือก! ลืมเลยว่าคอตัวเองมีรอยอยู่ ผมกลืนน้ำลายลงคอ พยายามดึงสติไว้กับตัวไม่ให้หลุดไปไหน
“โดนบุ้งอะ นั่งอยู่ใต้ต้นไม้ที่ตึกคณะแล้วมันตกใส่” ผมแถไปเนียนๆ ผมเป็นโรคภูมิแพ้อยู่แล้ว เวลาโดนฝุ่นมากๆ จะจามไม่หยุดและจะผื่นขึ้น ไม่ก็ตัวแดง แต่สภาพผมดูสะอาดเกินกว่าจะไปโดนฝุ่นที่ไหนมา เลยเอาน้องบุ้งมาเป็นบุ้งรับบาปไปก่อนก็แล้วกัน
“ไปกินยาไป เดี๋ยวก็ผื่นขึ้นเต็มตัวอีก” ผมพยักหน้าไปเรื่อย ก่อนจะรีบเข้าประเด็น อยู่นานกว่านี้อาจเสียวหัวใจจนจะวายตายได้
“แล้วสรุปพ่อกับแม่อนุญาตมั้ย”
“อันนี้งานส่วนตัวหรืองานของมหาลัย” พ่อเอ่ยถาม สายตาที่มองวิคเตอร์เริ่มเปลี่ยนจากมองด้วยอาการตื่น เป็นมองอย่างระแวดระวังมากขึ้น นี่ไง ยิ่งอยู่นานยิ่งเพิ่มความน่าวิตกกังวลให้กับชีวิต
“ก็อาจารย์ที่ปรึกษาเขามาขอให้แมททำด้วยแหละ คือประเทศไทยเชิญเขามาทำงานด้วย ประมาณนั้น” พ่อหันมามองที่ผมสลับกลับไปมองวิคเตอร์ แต่จริงๆ แล้วสายตาพ่อไม่ได้มองหน้าผมเลย ผมว่าพ่อกำลังมองรอยแดงที่คอผมอยู่มากกว่า
“แล้วไปนอนที่ไหน” พ่อถาม สายตาที่มองมานั้น แม้จะดูนิ่งสงบ แต่ผมรู้ว่าพ่อกำลังเริ่มสงสัยอะไรบางอย่างอยู่ในใจแน่ๆ
“นอนที่โรงแรมที่เขาอยู่นั่นแหละ แต่ว่านอนคนล่ะตึกนะ” เมื่อเจอพ่อที่กำลังเริ่มทำท่าจับผิด สิ่งที่ผมต้องทำคือ ต้องตีเนียนให้ตลอดรอดฝั่ง
“แมททำคนเดียวเหรอ” ผมสั่นหัว ตอบเสียงเรื่อยเปื่อยเหมือนพูดจาธรรมดาปกติ
“ไอ้แชมป์ ไอ้เก้า ก็ทำ ลองโทรถามพวกมันดูสิ” ที่ผมพูดไปแบบนั้น เพราะรู้ว่าพ่อไม่โทรหรอก ถึงพ่อจะสงสัยแต่ไม่ใช่นิสัยพ่อที่จะจุ้นจ้านหรือจู้จี้เกินเหตุ
“เอาล่ะๆ เดี๋ยวค่อยคุย แมทเข้าไปเก็บของไป ถ้ามันเป็นงานมหาลัยก็รีบไป อย่าให้เจ้านายเขารอนาน” แม่เป็นคนตัดบทสนทนานี้ แม้แม่จะจุกจิกกว่าพ่อ แต่เรื่องความขี้เกรงใจนั้นคือนิสัยของแม่ เวลาเพื่อนจะมารับผมออกไปไหน แม่จะชอบบอกว่าให้รอเขา ดีกว่าให้เขามารอเราเสมอ
“เอ่อ… ฝากดูแล เจ้านายแมทแปบนึงนะ” พ่อที่กำลังทำหน้าขรึม มองวิคเตอร์ที่ยิ้มไม่รู้เรื่องรู้ราวถึงกับหน้าเสียทรงทันทีที่ผมบอกให้ดูแลไอ้ฝรั่งตัวใหญ่นี่
“เฮ้ย ดูแลอะไรล่ะ พ่อกับแม่พูดด้วยไม่รู้เรื่องหรอก”
“หาน้ำ หาขนมให้เขากินไปพลางๆ ก่อน เดี๋ยวแมทรีบลงมา” ผมหันไปหาวิคเตอร์ พูดกับเขาว่าให้รออยู่ด้านล่างในช่วงที่ผมขึ้นไปเก็บของ เขาพยักหน้ารับกระตือรือร้น ผมพาทุกคนเดินเข้าไปด้านในบ้าน ตัดสินใจพาวิคเตอร์ไปนั่งรอในครัว
“เขากินข้าวมารึยังแมท เดี๋ยวแม่ทำกับข้าวให้”
“ยังเลย งั้นแมทฝากแม่ทำไข่เจียวกุ้งให้เขาหน่อยนะ ใส่นมผสมลงไปด้วย เขาชอบกิน”
“แล้วแมทเอาด้วยรึเปล่า” ผมพยักหน้า แม่หันไปจัดการเตรียมอาหารให้เราสองคน ส่วนพ่อนั่งอยู่หน้าร้าน แต่ผมก็แอบเห็นว่าเขาชะเง้อมองอยู่เรื่อย
“I said don’t say any pervert word as your habit. (ผมบอกว่าอย่าพูดจาลามกเหมือนนิสัยคุณไง)” ผมว่าเสียงต่ำ ทำหน้าเข่นเขี้ยวใส่ไอ้ยักษ์ที่ยักคิ้วกวนพระบาทกลับมาให้พร้อมรอยยิ้มร้ายกาจ ผมแอบเหลือบไปมองแม่ที่กำลังง่วนกับการเขียวไข่ และหันไปมองพ่อที่กำลังขายของให้กับลูกค้าหน้าร้าน ก่อนจะหันกลับมาหยิกหัวนมซ้ายของเขา
“Ouch!” วิคเตอร์หน้าแหย เอามือมาจับมือซ้ายผมไว้แน่น เขาขมวดคิ้วใส่หน้าผม ส่วนผมถลึงตาใส่เขา พอจะดึงมือออก เขาก็ดึงไปจูบ ผมหน้าตื่นตกใจ มองแม่ที่กำลังเทไข่ลงกระทะเสียงดัง รีบชักมือออกอย่างรวดเร็ว
“Giant! (ไอ้ยักษ์!)” ผมเรียกเสียงขู่ เจ้าของฉายายิ้มเผล่ไม่รู้ร้อนรู้หนาวกลับมาให้ ผมแยกเขี้ยวใส่เขา หมุนตัวจะเดินขึ้นข้างบน แต่ไอ้ยักษ์สัปดลก็ยังมิวายเอื้อมมือมาบีบก้นผมท้าทายอำนาจพ่อกับแม่มาก ผมรีบปัดออก วิ่งขึ้นไปบนบ้าน
TBC.
ยักษ์ป่วนบ้านเอเลี่ยน มาถึงก็เริ่มแผลงฤทธิ์เนาะ 5555555 เล่นเอาแมทใจหายใจคว่ำ เชื่อว่าอ่านแล้วคงรู้สึกได้ว่าพ่อแมทต้องสงสัยอะไรอยู่แน่ๆ ฮี่ๆ แม่แมทอาจจะไม่สังเกตอะไรมากนัก แต่พ่อแมทไม่ใช่ค่ะ พ่อไม่ค่อยพูดก็จริง แต่พ่อรู้ พ่อเห็น แล้วพ่อนี่ล่ะ ศัตรูตัวเป้งของวิคเตอร์ 555555 อย่างที่แมทบอกค่ะ แมทคิดมาเสมอว่าผู้ชายสองคนนี้เหมือนกัน วันนี้เขาได้เจอกันแล้ว แต่ยังคงไม่มีโมเม้นต์พ่อตาลูกเขยแน่ชัดหรอกนะคะ คริๆ ยังไม่เริ่มสงครามค่ะ ฮี่ๆ
ขอบคุณคนอ่าน ณ เล้าเป็ดมากๆ เลยนะคะ คนอ่านตอมอาจจะไม่ได้มากอะไร แต่ขอบคุณค่ะที่ยังมีคนรออ่านอยู่เสมอ ขอบคุณมากค่ะที่คอยคอมเม้นให้กำลังใจกัน ตอมกดบวกหนึ่งให้ตลอดเลย 55555 อยู่ด้วยกันไปนานๆ นะคะ ความรักของสองคนนี้ยังต้องเดินทางอีกไกลค่ะ