● เล่ห์รักฤดูร้อน ●
ยกที่ 49 – To tell the truth
...เจ็บ...
...คาว...และเค็มแปร่ง...
กลิ่นธาตุเหล็กคลุ้งเต็มปาก...และรสชาติก็ห่วยโคตร...หากคนทำไม่ใช่คิมหันต์คงโดนเขาต่อยหน้าแหกไปแล้ว
“ฟัง...ผม..”
คิมหันต์กระซิบเสียงแหบพร่า สองมือประคองใบหน้าเขา นิ้วมือเกร็งจนสั่นระริกแทรกอยู่ตามไรผม ริมฝีปากซึ่งแยกจากกันเพียงเล็กน้อยของพวกเขาเชื่อมกันด้วยเส้นสายสีแดงจากของเหลวบนปากแผล ก่อนมันจะไหลหยดลงมาตามปลายคาง ไม่แน่ใจนักว่าเลือดใคร เพราะดูเหมือนว่าคิมหันต์เองก็ปากแตกตอนกระแทกเข้ามาเหมือนกัน
“..ฟัง...ขอร้อง....ฟังก่อน...ไม่งั้นผมจะกัดลิ้นพี่ขาดแม่งเลย!”
แม้ปากส่งเสียงข่มขู่ แต่นัยน์ตากลับคล้ายจะร้องไห้ออกมาอยู่รอมร่อ เขาเองนั่งเงียบรอฟังอะไรก็ตามที่กำลังจะได้ยิน บอกตัวเองให้ใจเย็นไม่ทำลายข้าวของไปเสียก่อน แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายยังนึกหาคำพูดไม่ออกจนได้แต่ก้มหน้านิ่ง เม้มปากแน่นทั้งที่ยังมีเลือดซึม สภาพแย่จนต้องเอานิ้วหัวแม่มือเช็ดเลือดออกให้
“ว่าไง”
คิมหันต์ขมวดคิ้ว สะบัดหน้าหนีนิ้วมือเขาเบา ๆ พูดเสียงดังใส่จนเกือบกลายเป็นตะโกน
“ผมกับแบมไม่ได้เป็นอะไรกัน!”
“..แค่นั้นหรือ”
เด็กหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึก อธิบายต่อรัวเร็วเป็นชุด “เจ๊ร้านขายก๋วยเตี๋ยวเข้าใจผิด แบมเป็นลูกของเพื่อนป๊า เขาสนิทกันเลยฝากให้บ้านผมช่วยดูแลช่วงที่พ่อแม่เขาไม่อยู่ เดี๋ยวก็จะกลับ ไม่ได้คบกัน ไม่ได้รักกัน ไม่เคยคิดจะรักด้วย ทั้งหมดที่เจ๊นั่นพูดเขาได้ยินมาจากป๊าที่เออออไปเองไม่ใช่ผม...”
เขายักไหล่ ริมฝีปากเหยียดเป็นเส้นตรง ใจชื้นขึ้นยกใหญ่แต่ยังทำเครียดขึ้ง หลังจากพายุอารมณ์โกรธเกรี้ยวผ่านไปก็ได้มีอารมณ์มานั่งพิจารณาอาการไอ้ตัวแสบตรงหน้า ท่าทางที่ยื่นลำตัวท่อนบนเข้ามาผ่านหน้าต่างรถซึ่งเปิดค้างไว้ดูไม่น่าสบายเลย มือประกบสองข้างแก้มเขาไว้มั่น นัยน์ตาวาววับเหมือนมีหยดน้ำเคลือบอยู่ดูน่าสงสารและชวนให้ใจหวิว ๆ อย่างไรบอกไม่ถูก
เขาคิดว่าคำอธิบายเหล่านั้นยังไม่ชัดเจนนัก แต่คิมหันต์คงไม่ได้หักหลังเขา..ใช่ไหม?
“..เฮีย..” อีกฝ่ายเปล่งเสียงเบาหวิวออกมาจากริมฝีปากแดงช้ำ จนครู่ใหญ่เมื่อเห็นว่าเขาไม่ยอมตอบอะไรสักอย่าง มือจึงคลายลงพร้อมกับสีหน้าผิดหวัง ก่อนสายตาจะหลุบลงต่ำ
“แล้วไง มีอะไรอีก”
เด็กหนุ่มถอยหลังช้า ๆ เพื่อมุดออกไปยืนนอกตัวรถ ท่าทางซึมลงอย่างเห็นได้ชัด เงยขึ้นสบตาเขาที่นั่งอยู่ข้างใน ผ่อนลมหายใจยาวแล้วกระซิบเสียงแห้งเหือด
“..มีอีกเรื่องเดียว..”
สามภพพยักหน้าเป็นเชิงบอกว่าเขารอฟังอยู่
“..เชื่อผมไหม?”
“เชื่อว่า?”
“โง่!” แทนที่จะได้รับคำตอบ คราวนี้กลับโดนสบถใส่เข้าเต็มหน้าเสียนี่
“คิม”
“โง่ ๆ ๆ!” หลังจากนั้นคิมหันต์ก็โวยออกมาชุดใหญ่ “งั่ง ปัญญาอ่อน เพี้ยน หูเบา ไอ้บ้าเอ๊ย! ผมมีแค่พี่คนเดียว แล้วมีหน้ามาถามว่าเชื่ออะไร คนอื่นพูดดันเชื่อไปหมด แต่ทำไมไม่ฟังผมที่ยืนอยู่ต่อหน้า พี่ชอบผมหรือชอบเจ๊ขายก๋วยเตี๋ยวนั่นวะ!?”
สามภพเบิกตากว้าง มองเห็นบางอย่างเอ่อคลอในดวงตาเด็กหนุ่มก่อนเจ้าตัวจะยกมือขึ้นขยี้ตา “ร้องไห้ด้วยเรอะ?”
“ไม่ได้ร้องว้อย!”
เขาดันเบา ๆ ให้คิมหันต์ขยับตัวออกจากจุดเดิมเพื่อจะเปิดประตูรถ อีกฝ่ายหน้าเสียไปวูบหนึ่ง ท่าทางคงเข้าใจว่าถูกเขาผลักให้ออกไปห่าง ๆ จนกระทั่งประตูเปิดออก มือเขาเอื้อมไปคว้าแขนเจ้าตัวเอาไว้ กระตุกเข้าหาจนล้มเข้าใส่เขาที่นั่งอยู่บนเบาะ กอดรัดทั้งร่างไว้แนบอก กดจมูกลงไปบนผมยุ่งเหยิงของคนในอ้อมแขน ครู่หนึ่งอกเสื้อเขาตรงที่คิมหันต์ซบอยู่ก็อุ่นวาบจากหยดน้ำเป็นดวงซึ่งขยายตัวขึ้นในความเงียบงัน
“..พี่ขอโทษ..”
เด็กหนุ่มรัวกำปั้นลงบนอกเขาตุบตับ สบถเสียงสั่นเครือไปด้วย “เชี่ยเอ๊ย..แล้วแบมแม่งก็มีแฟนเป็นผู้หญิงด้วย..”
“หืม?”
“หูหนวกรึไง!?”
ไอ้เด็กบ้านี่ ตัวเองซุกอยู่บนตักเขาร้องไห้เป็นเผาเต่า ยังจะมีหน้ามาทำปากเสียใส่อีก สามภพขมวดคิ้ว แต่อึดใจหนึ่งก็ส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้มน้อย ๆ นึกได้ว่าก็เพราะอย่างนี้เองที่ทำให้น่ารัก เขาไม่น่าปล่อยให้อารมณ์หึงหวงครอบงำจนแสดงท่าทางไม่ดีใส่เลย แต่วินาทีที่ได้ยินคำพูดของแม่ค้าร้านก๋วยเตี๋ยว จนกระทั่งตอนเด็กสาวชื่อแบมปรากฏตัวขึ้นมามันชวนให้นิ่งได้ที่ไหนกัน
“แล้วทำไมไม่เล่าให้พี่ฟัง" เขาตัดพ้อ "โทรคุยกันก็ออกบ่อย”
“..กะจะจัดการให้เรียบร้อยก่อน”
“จัดการอะไร”
“ก็...” เด็กหนุ่มอ้ำอึ้ง ก้มหน้างุด เอานิ้วเขี่ยกระดุมเสื้อเชิ้ตเขาไปมาแก้เก้อ “..หลายเรื่อง”
“คิมหันต์” เขาปั้นเสียงแข็ง เอามือช้อนแก้มอีกฝ่ายเบา ๆ ให้เงยหน้าขึ้นมา เห็นปากเจ่อ ๆ แล้วก็ให้นึกสงสาร รวบแขนอีกข้างกอดร่างบนตักไว้แน่นขึ้นอีก “มีอะไรที่พี่ยังไม่รู้”
“พี่กลับวันไหนอะ”
เปลี่ยนเรื่องกันหน้าตาเฉย
“ยังไม่ตอบพี่เลยไอ้เด็กบ้า”
คิมหันต์ขยี้ตา ก่อนจะยื่นนิ้วมาเขี่ยคางเขาเบา ๆ อย่างล้อเลียน ลากมาแตะตรงแผลบนริมฝีปากซึ่งตัวเองกัดจนเลือดออกเมื่อครู่ พึมพำทั้งที่ศีรษะซบกับไหล่เขา “ไม่เห็นเป็นไรเลย..ผมรักษาสัญญากับพี่ก็พอแล้วไม่ใช่หรือ”
“...”
“ยังไม่ครบหนึ่งปี ผมไม่ยุ่งกับใคร ไม่เกาะแกะคนอื่นนอกจากพี่..”
เขาอ้าปากจะเถียง แต่แขนสองข้างของเด็กหนุ่มที่เอื้อมมากอดตอบเขาไว้แน่นก็ทำเอาพูดไม่ออก
“...ให้พี่จีบแค่คนเดียว”
..น่ารัก คำนั้นลอยเต็มหัวเขาเลยทีเดียว แต่อะไรที่ยังรู้สึกค้างคาก็อยู่ของมันอย่างนั้น ถึงจะโดนพาเปลี่ยนประเด็นอย่างไรก็ข้องใจอยู่ไม่หาย
“แล้วหลังจากหนึ่งปีล่ะ?”
คิมหันต์นิ่งไปครู่หนึ่ง จะว่าไปก็ใกล้แล้ว เขาก้มหน้ามองเท้าตัวเองที่ยื่นออกไปนอกรถ แต่ไม่นานก็เงยขึ้นยิ้มเผล่ราวกับจะกลบเกลื่อน ตอบกำกวมทั้งสีหน้ายียวน
“จะไปรู้ได้ไง”
“ไอ้นี่”
“น่า ๆ”
เด็กหนุ่มหัวเราะแกน ๆ ชะเง้อขึ้นประทับริมฝีปากเบาแผ่วเบาตรงมุมปากเขาโดยเลี่ยงจุดที่เป็นแผล และราวกับนั่นเป็นการเปิดสวิทช์บางอย่างในตัวโดยไม่เจตนา
เขารั้งเอวร่างบนตักเข้ามาแนบชิด มืออีกข้างประคองอยู่ท้ายทอยเด็กหนุ่ม บดจูบอย่างเรียกร้อง ลืมนึกถึงแผลปากแตกของตัวเองไปสนิท ขยับท่าทางให้เจ้าตัวหันมานั่งคร่อมต้นขาเขาไว้โดยไม่ยอมละออกจากริมฝีปากอีกฝ่าย ถึงตรงนี้กลับคิดว่ารสเลือดก็ไม่เลวนัก นอกจากเรื่องกลิ่นคาวและเค็มแปร่ง ก็คล้ายจะมีรสหวานบางเบาเคลือบบนกลีบปาก
คิมหันต์เงอะงะอยู่ครู่หนึ่ง แต่พอได้ท่านั่งที่สบายก็คล้องแขนตัวเองรอบต้นคอเขา อีกมือดึงคันปรับเบาะให้พนักพิงเอนไปด้านหลังจนสุด ทำเอาหงายหลังลงไปกะทันหันโดยมีไอ้ตัวแสบก้มตามลงมาติด ๆ ข้อศอกเท้าอยู่ข้างศีรษะเขาขณะที่แทรกนิ้วมือเข้ามาตามเส้นผม ลมหายใจร้อนผ่าวเป่ารดบนใบหน้า ริมฝีปากเผยอออก แรงดึงดูดอันมองไม่เห็นดึงรั้งให้กลีบเนื้อชื้นแฉะแนบชิดด้วยความโหยหา ส่งปลายลิ้นฉกเข้าหากันร้อนรน พูดแทนความคิดถึงในหลายวันที่ไม่ได้เห็นหน้าหรือสัมผัสเนื้อตัวอุ่น ๆ พวกเขามัวแต่ยุ่งกับความพยายามจะกลืนกินอีกฝ่าย ไม่มีใครทันนึกถึงประตูรถซึ่งเปิดค้างอยู่
จนกระทั่งเสียงคุ้นหูดังขึ้นจากข้างนอก “ครีม!?”
“!?” คิมหันต์ลุกพรวด เบิกตากว้าง ดวงหน้าแดงจัดคงอยู่ได้เพียงไม่นานก็เปลี่ยนเป็นซีดเผือดเมื่อได้เห็นว่าผู้มาใหม่คือใคร ทำได้แค่ส่งเสียงอ่อนระโหยหลุดออกจากริมฝีปากสั่นระริก
“เจ้ใหญ่..” วัสสานะเดินตรงเข้ามาใกล้ สีหน้าซีดเผือดไม่แพ้น้องชายคนเล็ก หลังจากมาตามคิมหันต์ที่ร้านก๋วยเตี๋ยวเพราะเห็นว่าหายไปนาน ได้ความจากเจ้าของร้านว่าวิ่งตามชายหนุ่มอีกคนมาทางนี้ เดินผ่านซอยก็เห็นรถคุ้นตาซึ่งเธอจำได้ว่าเป็นของสามภพจอดอยู่ ประตูเปิดอ้าค้าง และเมื่อเข้ามาใกล้กลับพบภาพไม่คาดฝัน
“...นี่พวกนาย!”
หญิงสาวยกมือขึ้นกุมอกเสื้อ ใจเต้นระรัวด้วยความรู้สึกหลากหลาย ตกใจ สับสน โกรธ ไม่อยากเชื่อ ไหนคิมหันต์สัญญากันไว้ว่าจะไม่ทำให้ที่บ้านผิดหวัง หากเธอไม่เดินตามมาถึงนี่จะได้เห็นหรือเปล่าว่าเขากำลังจูบกับผู้ชายที่เคยอ้างว่าเป็นแค่รุ่นพี่ที่สนิทกัน
“..เจ้...ผม—”
“กลับบ้าน!”
“....”
เธอหลับตา กลั้นใจเอ่ยเรียกเสียงแข็งกับเด็กหนุ่มที่ยังนิ่งงันด้วยชื่อเต็ม “คิมหันต์!” พร้อมกับจับมือน้องชายแล้วดึงให้ลุกขึ้นยืน รู้สึกได้ว่ามือเขาสั่นชัดเจนอยู่ในมือของเธอ
วัสสานะออกแรงดึงเบา ๆ อีกครั้ง ร่างเด็กหนุ่มตามมาเล็กน้อยเพียงแค่ก้าวเดียว แต่กลับหยุดอยู่ลงเท่านั้น เหลียวกลับไปมองก็พบว่าแขนอีกข้างของเขาถูกรั้งไว้ในมือผู้ชายอีกคน
“สามภพ” เธอเอ่ยเสียงเรียบ พยายามข่มกลั้นอารมณ์ปั่นป่วนทั้งหมดไว้ข้างใน “ปล่อยเขา แล้วพี่จะทำเป็นลืมเรื่องที่เห็นไปเสีย”
“ไม่ต้องลืมก็ได้”
ชายหนุ่มขัด เดิมตามลงมายืนบนพื้นโดยไม่ปล่อยมือจากคนกลาง
“ไม่สิ..พี่ต้องไม่ลืม..ผมอยากให้พี่จำ”
“สามภพ?”
“ว่าผมรักเขา” “...”
วัสสานะอ้าปากจะเถียง แต่กลับไม่มีคำพูดใดเล็ดลอดออกมา ความพยายามของเธอสิ้นสุดลงในที่สุดเมื่อได้รับสายตาจริงจังจากผู้ชายที่อ้างว่ารักน้องชายของเธอ ขณะที่คิมหันต์ได้แต่ก้มหน้านิ่ง ตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ไม่คิดว่าเรื่องจะบานปลายถึงเพียงนี้
“ทำไมกันนะ!?” หญิงสาวโอดครวญ ยกมือขึ้นกุมหน้าผาก เหตุการณ์ช่างกะทันหันเกินไปจนตั้งตัวไม่ติด “พี่น่าจะรู้อยู่แล้วตั้งแต่เห็นตอนมาที่บ้านบ่อย ๆ”
“..ผมขอโทษ” คิมหันต์กระซิบเสียงอ่อน “...ผม...ไม่...”
เธอถอนหายใจอ่อนแรง หลับตาครู่หนึ่งอย่างพยายามสงบสติอารมณ์พร้อมกับนวดขมับตัวเองเบา ๆ ไปด้วย อีกมือยกขึ้นปรามคิมหันต์ว่ายังไม่ต้องพูดอะไรอย่างอื่น “พวกนาย...ทำแบบนี้กันมานานเท่าไรแล้ว”
“เกือบปีแล้วครับ” เป็นสามภพที่ตอบกลับมาชัดถ้อยชัดคำ
“ตั้งแต่เขายังไม่จบมอปลายน่ะหรือ!?”
ชายหนุ่มพยักหน้า ตามด้วยเสียงถอนหายใจหนักหน่วงของคนฟัง ไร้บทสนทนาใดระหว่างพวกเขาสามคนไปอีกครู่ใหญ่ มีเพียงเสียงรถจักรยานยนต์ที่วิ่งผ่านหน้าปากซอยบางครั้งเท่านั้นที่แทรกขึ้นมา จนกระทั่งวัสสานะทำใจกล้าถามขึ้นอีกครั้งด้วยสีหน้าเป็นกังวล
“...ไม่เคย...ทำอะไรเกินเลยใช่ไหม..” เธอกัดลิ้นตัวเอง ยิ่งพูดยิ่งเสียงเบาลงเรื่อย ๆ “..หมายถึง...ที่มัน...ที่เคยบอกให้พกถุง—”
“ไม่เคย” คิมหันต์พูดแทรก หน้าแดงเป็นลูกตำลึงสุก “สาบาน...ไม่เคย”
หญิงสาวพ่นลมยาวใจยาวเหยียดแทบดึงปอดหลุดออกมาด้วย ทั้งโล่งทั้งกังวล ดีเท่าไรแล้วที่เป็นเธอเดินมาตามไม่ใช่ป๊าหรือม้า เล่นเอาอยากคร่ำครวญออกมาสักยกใหญ่ทั้งที่รู้ว่านี่ไม่ใช่เวลา
“เอาละ” สุดท้ายเธอก็ตัดบทน้ำเสียงเฉียบขาด มีอะไรไว้ค่อยไปคุยกันหลังจากนี้ “กลับบ้าน”
ทว่าสามภพรั้งแขนน้องชายของเธอเอาไว้มั่น
“เดี๋ยวก่อน!”
“กลับบ้าน” เธอย้ำ ขณะที่คิมหันต์พยายามแกะมือชายหนุ่มออกกล้า ๆ กลัว ๆ ช่วยเกลี้ยกล่อมด้วยอีกแรงก่อนเรื่องจะใหญ่โตไปกว่านี้
“..พี่กลับไปก่อนเถอะ”
“คิม” เขาจ้องมองเด็กหนุ่มทำหน้าสลด นึกไม่ออกเลยว่ากลับไปแล้วจะเป็นอย่างไรบ้าง ในเมื่อที่ผ่านมาก็แสดงให้เห็นว่าเกรงใจคนที่บ้านมาตลอด
“ผมไม่เป็นไรอะ..ฮ่า ๆ ๆ” คิมหันต์หัวเราะเจื่อนปิดท้าย จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตามองพื้น เดินตามผู้เป็นพี่สาวจนห่างออกไป ทิ้งเขายืนอยู่ที่เดิมกับความคิดวิตกกังวลว่าเรื่องนี้จะรู้ถึงหูพ่อแม่ของคิมหันต์หรือเปล่า..ถ้ารู้เข้าจริงจะเกิดอะไรขึ้น จะได้เจอกันอีกเมื่อไร แล้วตัวเขาเองที่อุตส่าห์มาถึงที่นี่ทั้งที จะยอมกลับไปง่าย ๆ แค่เพราะถูกพี่สาวจับได้อย่างนั้นหรือ
“ผมไปด้วยได้ไหม!?” สามภพตะโกนแทรก วิ่งกวดจนทันแล้วอ้อมไปยืนขวางตรงหน้าสองพี่น้อง
“ในฐานะ..รุ่นพี่...มาเที่ยวบ้าน” เสียงเขาเกือบจะเป็นอ้อนวอน อย่างที่แทบไม่เคยใช้กับใครมาก่อน “ไม่เกินเลยไปกว่านั้น พี่เองก็ไม่ได้คิดจะบอกเรื่องนี้ให้คนอื่นรู้หรอกใช่ไหม ถึงได้บอกว่าจะแกล้งทำเป็นลืม ๆ ไปซะ”
วัสสานะยกมือขึ้นโอบไหล่คิมหันต์แล้วดันเขาไปยืนด้านหลังโดยไม่รู้ตัว จริงอย่างเขาว่านั่นเองว่าเธอไม่คิดบอกคนอื่นที่บ้าน แต่นั้นไม่ใช่ข้ออ้างที่ดีพอ เธอยืนจ้องชายหนุ่มตรงหน้าเขม็งอยู่ครู่หนึ่ง เขาไม่หลบสายตาสักนิด ดื้อดึงจนเป็นเธอเองที่ออกอาการฮึดฮัดขัดใจ
แต่สิ่งที่ทำเอาจะประสาทคือตอนที่อยู่ ๆ สามภพก็คุกเข่าลงตรงหน้านั่นเอง "ผมขอร้อง"
ไม่อยากเชื่อเลยว่าจะมาทำบ้าอะไรกันกลางแดดเช่นนี้
"จะไม่สร้างปัญหา"
"...."
หญิงสาวกระฟัดกระเฟียด ทำใจแข็งไหวอีกแค่พักเดียว สุดท้ายก็พ่นลมหายใจแรง ๆ อย่างเหลืออดเหลือทน สั่งให้ตามกลับบ้านมาด้วยกันทั้งหมดแล้วค่อยคุยทีหลัง
พวกเขากลับพร้อมกันด้วยรถของสามภพ แม้ระยะทางจะใกล้เพียงนิดเดียว แต่ไหน ๆ ไปแล้วหญิงสาวก็แนะนำว่าเขาควรเอารถไปจอดให้เรียบร้อยที่บ้าน
ครู่เดียวก็มาถึง ในอาณาเขตรั้วสีขาวยังมีลานกว้างพอให้จอดรถได้อีกคัน พวกเขาลงมายืนด้วยสภาพกระอักกระอ่วน พอกับระหว่างอยู่บนรถซึ่งแทบไม่มีใครส่งเสียง
วัสสานะหันมาพยักพเยิดแล้วเดินนำเข้าไปในบ้าน คิมหันต์เดินตามอย่างว่าง่าย ส่วนเขาเดินรั้งท้าย วางมือไว้บนไหล่เด็กหนุ่มตรงหน้า บีบเบา ๆ เป็นเชิงปลอบ ให้สัญญาด้วยสายตาว่าจะไม่ทำให้อีกฝ่ายต้องเดือดร้อน
“ป๊า..ม้า..” พี่ใหญ่ส่งเสียงนำไปก่อน ระหว่างนั้นก็หันมามองอีกสองหนุ่มซึ่งเดินตามมาอย่างสงบเสงี่ยม พร้อมกับกระซิบแต่อ่านปากได้ชัดเจนเป็นคำ ๆ
“อย่า-แสดง-อาการ-ที่-ส่อ-ว่า-เป็น-เกย์-เด็ดขาด” สามภพพยักหน้า เดินห่างจากคิมหันต์ไปอีกก้าว
“กลับมาแล้ว หิวยัง พอดีว่า—”
“ผมเจอเพื่อนสมัยประถมเลยคุยนาน” คิมหันต์กระซิบตามโพยที่ตกลงไว้กับบงกชก่อนหน้านี้
“เอ้อ ครีมเจอเพื่อนเมื่อตอนประถมน่ะค่ะ เลยโอ้เอ้ไปหน่อย”
“แล้วก็เจอรุ่นพี่ที่คณะมาเที่ยว เลยชวนมาบ้านด้วย” เขาเสริมเรื่องไปอีกนิดหน่อยให้เข้ากับสถานการณ์ เรียกให้วัสสานะหันมาทำตาขวางใส่ กระซิบกระซาบว่า “ช่างปั้นเรื่องนักนะ!” แต่ก็ใจอ่อนยอมตกเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดโดยปริยาย
สุชัยและเดือนเพ็ญซึ่งนั่งรออยู่ที่โต๊ะอาหารอยู่แล้ว เมื่อเห็นว่าคำพูดลูกสาวคนโตตรงกับที่ได้ยินจากบงกชก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้ติดใจสงสัย ยกมือรับไหว้ชายหนุ่มที่เดินรั้งท้ายพร้อมกับแนะนำตัว บอกว่าตั้งใจจะมาเที่ยวราชบุรีแต่บังเอิญเจอคิมหันต์กับพี่สาว ทั้งสองคนจึงชวนมาเที่ยวบ้าน
“ชื่ออะไรนะ ภพหรือ?”
“ครับ”
“แล้วนี่เที่ยวไหนมารึยัง”
“ยังครับ พอดีเพิ่งมาถึง”
สุชัยพยักหน้า เชื้อเชิญให้นั่งร่วมโต๊ะอาหารด้วยกัน พร้อมกับกวักมือเรียกคิมหันต์และบงกชให้มานั่งใกล้ ๆ ตัวเองที่อีกฝั่ง พอสามภพปฏิเสธอย่างสุภาพว่าเขากินก๋วยเตี๋ยวมาแล้ว เจ้าบ้านก็เรียกให้ลูกสาวคนโตไปยกผลไม้มาให้แทน ระหว่างนั้นก็ชวนคุยไปเรื่อยตั้งแต่ราคาทอง ดาราสมัยก่อน (และทำหน้าประหลาดใจเล็กน้อยที่เขารู้จัก) น้ำซุปก๋วยเตี๋ยวเค็มเกินไป มะม่วงแก้วที่บ้านไม่มีใครกิน แผลปากแตกของเขาซึ่งเขาอ้างว่าเมื่อเช้าเดินไปกระแทกขอบชั้นวางหนังสือ (โชคดีที่ของคิมหันต์แผลอยู่ด้านในปากจึงไม่เป็นที่สังเกต) คนค้างชำระค่าห้องแถวที่ปล่อยเช่า ไปจนถึงเรื่องที่มหาวิทยาลัย สุดท้ายถือโอกาสถามเรื่องลูกชายตัวเองไปด้วย
“ขยันดีครับ หัวไว” เขาตอบตามความเป็นจริง
คนฟังทำสีหน้าคล้ายพึงพอใจ แต่ไม่ได้มีรอยยิ้มปรากฏ บุคลิกดูไว้เชิงและไม่ค่อยส่งเสริมด้านกำลังใจให้แก่ผู้เป็นลูกชายนัก “แล้วนี่ไอ้ตี๋ไปมีแฟนหรือไปจีบสาวที่ไหนบ้างหรือเปล่า”
คิมหันต์ที่ก้มหน้าก้มตาสูดเส้นเล็กน้ำอย่างไม่รู้ไม่ชี้มาตลอดถึงกับลอบมองทั้งสองคนด้วยความกังวล มีสายตาวัสสานะและบงกชคอยสังเกตการณ์ด้วยใจตุ๊มต่อมอยู่อีกทอด แต่สามภพก็เพียงแต่โคลงศีรษะพร้อมกับรอยยิ้มน้อย ๆ “ไม่เคยได้ยินนะครับ”
“ดี” ครั้งนี้เหมือนสุชัยมีสีหน้าพออกพอใจกว่าเก่า ผลักชามก๋วยเตี๋ยวที่จัดการเรียบร้อยแล้วไปด้านข้าง ก่อนจะหยิบชิ้นแอปเปิลเข้าปาก “อย่างนี้ก็ค่อยสบายใจ แบมก็เหมือนกันสินะ”
เด็กสาวผู้ถูกกล่าวถึงหน้าเสียไปนิดหน่อย ก้มลงหลบตาด้วยท่าทางอันชวนให้เข้าใจผิดว่าเขินอาย หากแต่ความจริงกำลังเหนื่อยหน่ายมากกว่า “ค่ะ” เธอเอ่ยเบา ๆ พูดเสริมเป็นนัยว่าอย่าเพิ่งมาจับคู่อะไรกันตอนนี้เลย “คุณแม่เองก็บอกว่าไม่ต้องรีบ ตอนนี้ตั้งใจเรียนก่อนดีกว่า”
“นั่นสิ” คิมหันต์พยักหน้า ทำทีว่าเห็นด้วย “ผมก็ว่าไม่ต้องรีบ”
สุชัยเลิกคิ้ว เห็นเด็กหนุ่มสาวสองคนดูจะเออออไปด้วยกันดีก็พยักหน้าไปตามน้ำ พึมพำลอย ๆ “ก็ดูกันสักห้าหกปีนั่นแหละ เรียนจบพอดี” ซึ่งนั่นไม่ช่วยให้คนฟังรู้สึกดีเท่าไรเลย
“แล้วนี่ตอนบ่ายจะไปเที่ยวไหนล่ะ?”
สามภพชะงักไป ด้วยยังไม่ทันได้คิดคำตอบสำหรับคำถามนี้ไว้ล่วงหน้า สถานที่ท่องเที่ยวก็ใช่ว่าจะรู้จักมากมาย ความจริงไม่ได้ตั้งใจมาเที่ยวด้วยซ้ำ รีบเอ่ยอะไรที่นึกออกแถวราชบุรีแก้ขัดไปก่อน
“ก็เคยได้ยิน..แถวสวนผึ้ง หรือไม่ก็ตลาดน้ำดำเนินสะดวกน่ะครับ”
“ตลาดน้ำตอนบ่ายอย่าไปเลย ร้อน” อีกฝ่ายท้วง “ส่วนที่สวนผึ้ง ก็ลองดู ๆ มีพวกฟาร์ม รีสอร์ท น้ำตก บ่อน้ำร้อน ตั้งใจจะมากี่วันล่ะ”
“กำลังคิดอยู่ครับ ช่วงนี้ผมก็มีเวลาหยุดยาวเลยยังไม่ได้วางแพลนชัดเจนนัก”
สุชัยขมวดคิ้วอย่างไม่จริงจังนัก กอดอกแล้วเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ “นี่มาแบบไม่ได้เตรียมการอะไรมาเลยรึ”
เขาพยักหน้า
“ไม่งั้นคืนนี้จะพักที่นี่ก่อนก็ได้ ค่อยคิดว่าอยากไปไหน ถ้าตั้งใจพักผ่อนพวกรีสอร์ทจะได้จอง ๆ ไว้ก่อนด้วย ไม่ต้องไปเที่ยวหาให้ลำบาก ว่าแต่แบมกลับบ้านเมื่อไรนะลูก”
สามภพลอบสังเกตผู้ใหญ่ตรงหน้าที่ช่างเปลี่ยนเรื่องได้กะทันหัน ท่าทางคงเป็นพวกชอบบงการคนอื่นพอสมควร จะทำอะไรต้องมีแผนการอยู่ในหัว เหมือนจะคุยง่ายแต่น้ำเสียงกลับเข้มงวดเกือบตลอดเวลา ดูอารมณ์ดีเฉพาะตอนที่อะไรเป็นไปอย่างใจ
“แบมกลับพรุ่งนี้เช้าค่ะคุณลุง” เด็กสาวตอบคำถาม “รบกวนนานก็เกรงใจ คืนนี้คุณพ่อกับคุณแม่ก็กลับแล้ว”
“เกรงใจอะไร คนกันเองทั้งนั้น” เดือนเพ็ญผู้เป็นมารดาของคิมหันต์เอ่ยเสียงอ่อนโยน ดูพูดน้อยแต่ท่าทางอะลุ้มอล่วยมากกว่า
“ไม่เป็นไรจริง ๆ ค่ะ” เธอเอ่ยซ้ำ ตบท้ายอย่างให้ความหวังและเอาตัวรอด “เอาไว้ค่อยมารบกวนใหม่”
พวกเขาคุยเรื่องสัพเพเหระกันอีกครู่ใหญ่ ขณะที่วัสสานะและคิมหันต์ปิดปากเงียบกว่าที่สามภพเคยเห็นสองพี่น้องตอนอยู่บ้านที่กรุงเทพฯ ราวกับเป็นคนละคน คิมหันต์ไม่หลุดคำสบถหยาบคายอะไรออกมาแม้แต่พยางค์เดียว ทั้งคู่ลอบสบตาเขาเป็นระยะอย่างหวาดระแวง แม้แต่บงกชก็ยังเหลือบมาบางครั้งเหมือนตีค่าว่าอยู่ในฐานะผู้ร่วมกระทำความผิด กระนั้นชายหนุ่มก็ยังพยายามทำตัวเป็นธรรมชาติอย่างถึงที่สุด ไม่แสดงอาการรักใคร่ผิดปกติ แทบไม่แตะเนื้อต้องตัวคิมหันต์สักนิด และดูเหมือนบทสนทนาทุกอย่างก็ดูจะเป็นไปโดยราบรื่นดี
มีต่ออีกรีพลายค่ะ
v
v
v