Chapter 31
กนธีปิดหน้าสมุดบัญชีลง สายตาล้าไม่น้อยเพราะพักผ่อนไม่พอ เขารู้อยู่แล้วว่าการไปๆมาๆระหว่างในกับนอกเมืองมันเสียเวลาโดยใช่เหตุ แต่ที่กลับบ้านใหญ่ทุกครั้งก็เพราะว่าอยากจะช่วยดูแลคุณยายกับเด็กๆ มีเขาอยู่ด้วย ทุกคนจะได้ทำทุกอย่างตามสบาย ไม่ต้องเกร็งมากนัก
อย่างไรก็ตาม ให้เป็นแบบนี้ไปนานต่อเนื่องเขาเองก็คงจะลำบาก เลยตั้งใจจะคุยกับอินทัชว่า ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป เขาจะกลับมาค้างคอนโด และคงเข้าบ้านแค่ช่วงวันหยุด ส่วนหน้าที่ของอินทัชที่ต้องมาคอยดูแลเขานั้น กนธีก็ไม่อยากให้มันต้องกังวล เอาเป็นว่าให้โอ๊ตได้ดูแลครอบครัวตามลำดับความสำคัญก่อนจะดีกว่า จะได้ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง เทียวไปมาระหว่างคอนโดเขากับบ้านใหญ่ให้เหนื่อยเปล่า สำหรับเขา..ได้เจอกันอาทิตย์ละสองวันก็ยังโอเค
วันนี้อินทัชไม่ได้มาร้านด้วย ที่จริงคือไม่ใช่หน้าที่ของเจ้าโอ๊ตที่จะต้องตามติดเขาทุกวันหรอก เด็กมันพอใจอยากจะมา แต่เขาบอกให้ไปทำหน้าที่ของตัวเอง ถ้ามีเวลาว่างก็ให้ไปเรียนดนตรีหรือหัดขับรถให้เป็นเรื่องราว หมอนั่นเองก็ยอมเชื่อฟังโดยไม่โต้เถียง หลายวันมานี้อินทัชเลยดูแลคุณยายอยู่กับบ้านและฝึกเล่นกีต้าร์โปร่งตัวใหม่เอี่ยมที่เขาซื้อให้จนคล่องมือ
มีเสียงเรียกเข้า หน้าจอเป็นชื่ออินทัช กนธีที่ว่าจะแอบงีบเลยกดรับสาย
‘วันนี้กลับดึกไหมครับ ไอ้อ้นเพิ่งมาบอกว่าพี่กุนต์อยากกินซาลาเปาผัก ผมเลยทำไว้ให้ แล้วก็..คะน้าน้ำมันหอยที่สัญญาจะเลี้ยง ผมก็ทำให้แล้ว’
กนธีหัวเราะ ให้ตายดิ้น..เขารู้แล้วว่า การมีภรรยาที่เป็นแม่บ้านแม่เรือนคอยทำอาหารอร่อยๆ คอยรอรับเรากลับบ้านเนี่ย มันสวรรค์สำหรับสามีชัดๆ
“วันนี้ว่าจะเคลียร์บัญชีที่ร้านน่ะ แต่พี่จะพยายามไม่ให้เกินสามทุ่มนะ”
‘ให้ผมเอากับข้าวใส่ปิ่นโตไปให้ที่ร้านไหม’
เขายิ้มด้วยความเอ็นดู “ที่นี่ก็มีข้าวกิน”
‘แต่ไม่มีผมไง’
กนธีเอาหัวโขกโต๊ะตุบๆ ใบหูร้อนฉ่า ในใจสบถซ้ำไปมา ไอ้ขี้โกง ไอ้เด็กเปรต ไอ้เด็กไร้เดียงสา ไม่รู้จักทิ้งระยะห่าง ให้ความหวังกันไม่ยอมหยุด
“ไม่เป็นไร” เขาบังคับเสียงให้ปกติ “พี่ค่อยกลับไปกินกับโอ๊ตก็ได้”
‘โอเคครับ ผมจะรอ’ ปลายสายบอกก่อนจะวางไป ทิ้งให้ใครอีกคนต้องนั่งเหม่อลอย ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ตามลำพัง
คืนนั้น กนธีถึงบ้านตอนสามทุ่มครึ่ง เขาโทรไปบอกอินทัชแล้วว่ากลับช้าเพราะรถค่อนข้างติด หมอนั่นบอกว่ายังรอเขากินข้าวด้วยกันอยู่ เล่นเอารู้สึกผิดขึ้นมาถนัด ดีที่อ้น อุ้มกับคุณยายทานมื้อเย็นกันไปก่อนแล้ว
ตอนที่ขับเข้ามาในเขตบ้าน เขาเห็นอินทัชยืนรออยู่ด้านหน้า ยังไม่ทันลงจากรถ เด็กมันก็เปิดประตูให้เสร็จสรรพพร้อมกับยื่นน้ำสีประหลาดมาให้
“ดื่มสิครับ” เด็กหนุ่มยิ้ม
กนธีเหลือบมอง รู้สึกว่ารอยยิ้มนั่นมันประหลาดชอบกล แต่เขาคิดว่าไอ้โอ๊ตคงไม่วางยาพิษเขาแล้วเอาหมอนกดหน้าให้ตายหรอก
“อึก..” เขาแลบลิ้นเลียปากเพราะมันยังร้อนอยู่ “รสเผ็ดๆ แต่ก็หวานดี ใส่น้ำตาลด้วยสินะ มันคืออะไรน่ะ..”
อินทัชหยิบกระเป๋าเป้ของพี่กุนต์ขึ้นพาดบ่า เห็นเจ้าตัวหยุดดื่มไปสองสามอึกก็ยิ้มมุมปาก ก้มหน้าลงกระซิบข้างหู “ถั่งเช่า”
กนธีเงยหน้ามอง เขาคิดว่าชื่อนี้มันคุ้นหูอยู่นะ
“กระตุ้นความต้องการทางเพศครับ”
“ไอ้โอ๊ต~”
“ผมล้อเล่น” ร่างสูงหัวเราะ รีบยกมือห้ามคนที่เตรียมจะเคาะแก้วลงหัว “กระชายดำต่างหากครับ สมุนไพรไทยธรรมดาๆสารพัดสรรพคุณ บำรุงร่างกายทั่วไป” เขาอมยิ้ม “พี่นี่แกล้งง่ายจัง ผมจะไปมีปัญญาซื้อถั่งเช่าได้ไง”
“มีไม่มีก็ห้ามซื้อ!” กนธียังไม่อยากโด๊ปไวอากร้าที่มาจากรากับหนอน
อินทัชหัวเราะในลำคอ เห็นหูพี่กุนต์ยังแดงอยู่เลยถือโอกาสจับเล่น คนอะไรน่าแกล้งชะมัด “ไม่ซื้อครับ..ผมไม่เสี่ยงหาของแปลกๆมาให้พี่กินหรอกน่า เอาแค่กระชายดำก็พอ..กระชายดำนี่ก็ดีแล้ว” ประโยคหลังเขาพึมพำกับตัวเอง
..เพราะมันก็มีสรรพคุณเพิ่มสมรรถภาพได้เหมือนกัน..
“ฮื่อ..” กนธีเดินหนีไอ้เด็กเปรต รีบดื่มจนหมดแก้วแล้วส่งคืน มันขยันหานั่นนี่มาบำรุงเขาจริงๆ รู้สึกเหมือนเป็นอาแปะใกล้ตายอย่างไรไม่รู้
“กินข้าวเลยไหมพี่ ผมจะไปจัดโต๊ะให้”
“อืม..พี่ขอขึ้นไปอาบน้ำสักห้านาทีได้ไหม ถ้าหิวก็กินก่อนได้นะ”
“ห้านาทีนี่แก้ผ้าทันหรือครับ” ที่ถามไม่ได้เจตนาแซว แต่เขาเคยยืนมองตอนพี่กุนต์ถอดเสื้อผ้าแล้ว ปาเข้าไปนาทีกว่าเห็นจะได้ มะงุมมะงาหราอยู่นั่น
“ทันโว้ย” กนธีอยากเตะไอ้เด็กปากมากชะมัด เขาเดินหายขึ้นไปบนชั้นสองแต่ยังไม่วายกำชับ “ไม่ต้องรอพี่นะ กินไปก่อนเลย”
อินทัชตัดสินใจรอเพราะเขาเป็นคนกินเร็ว ส่วนพี่กุนต์ชอบอมข้าว แบบนี้ควรให้อีกฝ่ายกินก่อนสักครึ่งจานแล้วเขาถึงกินตาม จะได้เสร็จพร้อมกันพอดี
“ลุงต้วมเตี้ยม” เด็กหนุ่มยิ้มขัน จัดแจงเอากับข้าวไปอุ่นไว้รอท่า
ตอนที่ทำเสร็จ พี่กุนต์ก็เดินลงมาพอดี เขาหันมอง สะดุดตาที่สลิปเปอร์ไข่เหลืองอ๋อยก่อนเพื่อนจนต้องหลุดขำ พอเลื่อนขึ้นไปดูก็เห็นกางเกงผ้าซาตินเนื้อเป็นมันเงากับเสื้อยืดสกรีนคำว่า ‘เด็กปากช่อง’
อินทัชคิ้วกระตุก “อะไรน่ะครับ”
กนธีก้มลงดูรองเท้ากุเดทามะ “หือ..ไข่ไง..ก็คู่เก่านั่นแหละ”
“ผมหมายถึง..” เขาหรี่ตามอง “เสื้อที่พี่ใส่..”
“อ๋อ..เสื้อยืดที่ระลึกน่ะ” เขายิ้ม “เนื้อเบาดีนะ ใส่สบาย”
“ซื้อมาจากไหนครับ ไม่เคยเห็นในตู้เสื้อผ้าพี่เลย” เขาคอยหยิบชุดให้จนรู้หมดแล้วว่าพี่กุนต์มีเสื้อมีกางเกงกี่ตัว แต่ไอ้ตัวนี้รับรองว่าไม่เคยผ่านตา
“คุณไผทส่งพัสดุมาให้จากปากช่อง” กนธีนั่งลงบนโต๊ะ ซาลาเปาผักควันฉุยจนเขาท้องร้อง เอากะหล่ำปลีนึ่งพร้อมหมูแบบนี้ต้องหวานแน่ๆ
อินทัชคิดไว้แล้วว่าของที่กระตุ้นความจำคนใส่ มันต้องมาจากคนให้ที่มีจุดประสงค์แอบแฝง สรุปว่ามันไม่ยอมให้พี่กุนต์ลืมแม้กระทั่งตอนนอนเลยสินะ
“ว่าแต่..ไม่ชอบหรือ” กนธีเห็นเด็กเงียบไปก็นึกขึ้นได้ เขารู้ว่าเจ้าโอ๊ตไม่ชอบคุณไผท แต่ไม่คิดว่าจะไม่ชอบยันของที่ฝ่ายนั้นซื้อให้เขา
“เปล่า” ร่างสูงยักไหล่ ตีหน้าเรียบ “ก็เหมาะกับพี่ดี”
คนฟังถอนหายใจโล่งอก “แค่เสื้อเนอะ..แค่เสื้อ”
อินทัชนั่งลงด้านข้าง กินข้าวด้วยโดยไม่ชวนทะเลาะ ถึงอย่างนั้นเขาก็ตั้งใจไว้ว่าคืนนี้..ยังไงก็ต้องดึงเสื้อ ‘เด็กปากช่อง’ ออกจากตัวพี่กุนต์ให้ได้!
“เป็นยังไงบ้างครับ” เขาถามคนที่ดูมีความสุขกับการกินผัก
“อื้ม” กนธียิ้ม “รสชาติเยี่ยม คะน้านี่กรอบกรุบๆ ไม่เหนียว พี่ชอบมาก กะหล่ำซาลาเปาก็เปื่อยดี เคี้ยวไม่กี่ครั้งขาดแล้ว”
“พี่เป็นคุณตาไม่มีฟันหรือไง” เขากลั้นขำ ไม่รู้ว่าเผลอนั่งมองพี่กุนต์กินตั้งแต่เมื่อไร..ชอบอมข้าวแบบที่คิดจริงๆ แก้มตุ่ยเชียว “กระรอก..แฮมสเตอร์”
กนธีงุนงง พอเงยหน้ามอง เห็นเด็กมันจ้องอยู่แล้วทำแก้มพองลมใส่ล้อเลียนพฤติกรรมการกินของเขา ชายหนุ่มก็เกือบสำลัก
“คนเราเนี่ยนะ มันต้องค่อยๆเคี้ยว นอกจากจะทำให้อาหารละเอียด กระเพาะไม่ต้องทำงานหนัก ยังลดปริมาณอาหารลงด้วย จะได้ไม่อ้วนไง”
“ของหวานเป็นบัวลอยมะพร้าวอ่อน กินไหมครับ”
“กินครับ”
อินทัชขำพรืด นั่นไง..คนไม่อยากอ้วน เขาคิดแล้วกลั้นยิ้ม เพราะว่ากินเสร็จก่อนเลยเข้าครัวไปตักขนมมาให้พี่กุนต์ถ้วยหนึ่ง ตอนที่กลับมา เจ้าตัวยังกินไม่เลิก กินไปตาปรือไป คิดว่าถ้าหลับคาจานข้าวได้คงทำไปแล้ว
“พี่ดูเพลียๆนะ” เขาลากเก้าอี้มาใกล้กว่าเดิม ถือวิสาสะของคนกันเอง แตะหน้าผากอีกฝ่ายว่าเป็นไข้หรือเปล่า แต่ท่าทางจะเหมือนคนอดนอนมากกว่า
“นิดหน่อย” กนธีกินข้าวเกลี้ยงจาน ไม่เคยเหลือแม้แต่เม็ดเดียวเพราะรู้ดีว่ากว่าจะได้ข้าวแต่ละเม็ด ชาวนาต้องตรากตรำลำบากตั้งเท่าไร
“ช่วงนี้ก็นอนไวนี่ครับ” อินทัชเกาแก้ม “ผมไม่ได้มีอะไรกับพี่มาหลายคืนแล้ว จะอ้างว่าผมทำให้พี่ไม่ได้นอนก็ไม่ใช่นะ”
คนฟังสำลักน้ำเปล่า “ยังไม่ได้พูดแบบนั้นเลย พี่แค่ต้องขับรถทุกวันเข้าเมืองน่ะ เจอรถติดก็เพลียแล้ว ไหนจะกลับดึก ตื่นเช้าอีก”
“อ้อ” เขาพยักหน้ารับ “ถ้าอย่างนั้นก็รีบกินแล้วรีบขึ้นห้องเถอะพี่”
“โอเค” กนธียิ้มรับ ตักบัวลอยเคี้ยวแบบหนุบหนับอีกร่วมสิบนาที ถึงได้ถูกเด็กไล่ให้ขึ้นไปแปรงฟัน “ฝากด้วยนะ พี่ขึ้นก่อนล่ะ”
อินทัชจัดการเก็บโต๊ะ เอากับข้าวที่เหลือใส่ตู้เย็นแล้วตามพี่กุนต์ขึ้นไป พอเข้าห้องได้ก็ต้องถอนหายใจ กนธีมาก่อนเขาสิบนาทีได้ ตอนนี้ยังยืนแปรงฟันในห้องน้ำอยู่เลย นับว่าเป็นคุณลุงเต่าคลานจริงๆ
“พอแล้วครับ เดี๋ยวฟันสึกหมดหรอก” เขาเปิดน้ำใส่แก้ว ตั้งไว้ข้างอ่าง
กนธีหัวเราะ ทำฟองยาสีฟันฟ่อดฟุ้ง ต้องรีบบ้วนปากก่อนเผลอกลืน
“ผ้าเช็ดหน้าครับ” เด็กหนุ่มยื่นผ้าขนหนูให้ “ผมแห้งหรือยัง” เขาเอื้อมมือจับปอยผมข้างใบหน้าได้รูป “ยังหมาดๆอยู่ ไปรอที่เตียงครับ ผมจะเป่าให้”
“โอเคครับ” คนอายุมากกว่าอมยิ้ม เดินลากรองเท้าไข่ไปนั่งรอบนเตียงอย่างเชื่อฟัง “เออ..พรุ่งนี้ใช่ไหมที่น้องสนจะมาหาพี่ที่ร้าน”
อินทัชชะงักไปครู่กับคำถามแบบกะทันหัน เขามองตัวเองในกระจกอยู่อึดใจแล้วตอบกลับ “ใช่ครับ..ผมบอกให้มาตอนเย็น..พี่สะดวกหรือเปล่า”
“ยังไงก็ได้ พี่ว่างทั้งวันแหละ”
เขาไม่ได้โต้ตอบอีก จัดการล้างหน้าแปรงฟันแล้วหยิบผ้าเช็ดตัวผืนใหม่ พอออกมาจากห้องน้ำ ร่างสูงก็ชะงักฝีเท้าก่อนส่ายหัวระอาเมื่อเห็นพี่กุนต์สลบเหมือดคาหมอนไปแล้วเรียบร้อย ดูเอาเถอะ..ผมยังไม่แห้งดีเลยด้วยซ้ำ
เขานั่งลงด้านข้าง ประคองศีรษะอีกคนไว้บนตัก ค่อยๆเช็ดและเป่าพัดลมให้จนแห้งสนิท จากนั้นก็ใช้หวีไม้สางเส้นผมนุ่มลื่นให้อย่างเบามือ
“เอาล่ะ..เรียบร้อย” อินทัชอุ้มกนธีขึ้นไปนอนแบบเก่า ฝ่ายนั้นขยับตัวเล็กน้อยคล้ายจะละเมอตอนที่เขาห่มผ้าให้
นัยน์ตาสีเข้มทอดมองคนที่หลับสนิท แผ่นอกไหวขึ้นลงสม่ำเสมอ เขาเอื้อมมือไปเกลี่ยปอยผมที่ปรกแก้มออก เผลอตัวไล้ปลายนิ้วลงริมฝีปากอุ่น
“พรุ่งนี้ใช่ไหมที่น้องสนจะมาหาพี่ที่ร้าน”อินทัชถอนหายใจแผ่ว น่าแปลกที่รู้สึกเกร็งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรผิด อาจเป็นเพราะไม่อยากให้พี่กุนต์ผิดหวังในตัวเขา
ตั้งแต่วันพรุ่งนี้ เขาจะต้องระวังท่าทีที่แสดงออกต่อปาลินให้มาก
เด็กหนุ่มปิดไฟหัวเตียง สอดตัวเข้าใต้ผ้าห่มก่อนกระซิบกับคนข้างกาย
“ฝันดีครับ”
....................................................................................
ปาลินยืนลังเลอยู่หน้าร้านอาหารที่อินทัชส่งแผนที่มาให้ เพื่อนบอกให้เขามาตอนเย็น เพราะวันศุกร์แบบนี้ อินทัชจะต้องไปสอนเด็กก่อนแล้วถึงจะเข้าร้าน
บังเอิญเขามีธุระละแวกใกล้เคียง เลยตั้งใจจะแวะมาก่อน คิดว่าอย่างน้อยถ้าจะสมัครงาน ก็ไม่น่าโผล่มาตอนที่ร้านกำลังวุ่นวาย ถ้าจะให้ดี น่าจะเข้าไปสวัสดีคุณกนธีและพูดคุยแนะนำตัวกับเขาอย่างเป็นทางการอีกครั้ง
“คุณปาลินใช่ไหมครับ” พนักงานคนหนึ่งเข้ามาถาม พออีกฝ่ายตอบรับก็พูดต่อ “คุณกนธีเชิญให้ขึ้นไปพบบนชั้นสองครับ ขึ้นบันไดแล้วเลี้ยวซ้ายเลย”
ปาลินงุนงง แต่พอเงยหน้าเห็นกล้องวงจรปิดตรงหน้าร้านแล้วก็เข้าใจได้ เขาตื่นเต้นเล็กน้อย จัดเสื้อผ้าให้เรียบก่อนเดินขึ้นไปเคาะประตูห้องด้านบน
กนธีนั่งอยู่ตรงโต๊ะทำงาน พอเห็นปาลินก็ยิ้มกว้าง ลุกขึ้นมารับหน้า
“เชิญๆ เข้ามาเลย ไม่ต้องเกรงใจ” เขายกมือรับไหว้จากเด็ก บอกให้นั่งที่โซฟาและผละไปรินน้ำเย็นใส่แก้ว “เห็นโอ๊ตบอกว่าจะมาตอนเย็นนี่นา”
“ขอบคุณครับ” เด็กหนุ่มไหว้ขอบคุณ รู้สึกเกร็งเหมือนกันที่อีกฝ่ายให้การต้อนรับแบบเป็นกันเองขนาดนี้ “พอดีผมแวะมาทำธุระ เลยเข้ามาก่อนเวลา”
“ไม่เป็นไร พี่ว่างทั้งวันอยู่แล้ว เพิ่งเล่นเกมจบไปสามด่าน” กนธียิ้มให้ ยืนพิงโต๊ะด้านหลัง “พี่เรียกเราว่าลูกสนได้ใช่ไหม” ชื่อนี้น่ารักชะมัดเลย
ปาลินยิ้มเก้อเขิน “เรียกสนก็ได้ครับ”
“โอเค..น้องสน” เขาพยักหน้า “เราอยากทำอะไร เลือกได้ตามใจชอบ”
“ผมทำได้ทุกงานเลยครับ” ปาลินทำท่าขึงขัง “จะเป็นเด็กเสิร์ฟ เก็บโต๊ะ ทิ้งขยะ คนทำความสะอาด หรือว่าเป็นผู้ช่วยในครัวก็ได้ทั้งหมด”
กนธีรู้สึกเอ็นดูอีกฝ่าย ด้วยความที่เป็นเพื่อนอินทัช ซ้ำเขายังเป็นพวกอ่อนไหวกับเด็กที่ขยันเอาการเอางานแบบนี้เป็นพิเศษเสียด้วย
“เอาแบบนี้แล้วกัน..เรามาช่วยพี่ไหมล่ะ คอยเช็กสต็อค ดูของขาด ทำบัญชี เก็บสถิติ สำรวจความพอใจลูกค้าอะไรทำนองนี้ คือไม่อยากให้เดินเสิร์ฟเท่าไร นี่กำลังปรับเป็นร้านกึ่งบาร์ด้วย มันไม่ค่อยเหมาะกับเด็กอย่างเราหรอก”
ปาลินยิ้มกว้าง เขาทำได้ทุกอย่าง ขอแค่มีคนสอนงาน “ได้ครับผม”
“งั้นมาคุยเรื่องเงินเดือนกันนะ” กนธีเข้ามานั่งที่โซฟา “พอดีทางร้านอยู่ในช่วงปรับปรุง ถ้าอยู่ตัวแล้วก็คงมีค่าตอบแทนเพิ่ม แต่ตอนนี้เงินเดือนเราจะอยู่ที่หมื่นสอง ทิปจากแขกจะได้เป็นรายบุคคล ยกเว้นค่าเปิดขวดกับเซอร์วิสชาร์จ พี่จะเฉลี่ยให้ แบบนี้สนโอเคไหม”
“ได้แน่นอนครับ” ปาลินตอบรับ “ผมกังวลแค่ช่วงเปิดเทอม...”
“ไม่เป็นไร มาทำตอนเย็นก็ได้ งานมันไม่ต้องดูแลตลอดหรอก แค่สรุปรายการในช่วงวันให้ได้ก็พอ สนคอยรายงานให้พี่รู้ ที่เหลือพี่ทำต่อเอง”
“ขอบคุณมากๆครับคุณกนธี” เขากระตือรือร้น “ให้ผมเริ่มงานวันนี้เลยไหมครับ ยังไงต้องขอรบกวนคุณกนธีช่วยสอนผมด้วยนะครับ”
“เรียกพี่กุนต์ก็พอ” เจ้าของชื่อหัวเราะ “วันนี้เอาแค่แนะนำพนักงานคนอื่นกับเล่าการทำงานคร่าวๆแล้วกันนะ ถ้าเวลาเหลือพี่จะสอนงานให้”
ปาลินยิ้มดีใจ เขาโชคดีจริงๆที่ได้เจออีกฝ่าย เจ้านายใจดี เป็นกันเอง เปิดโอกาสให้มากมายขนาดนี้ หาไม่ได้ง่ายนักหรอก
“ว่าแต่เรากินอะไรมาหรือยัง นี่ก็บ่ายสามแล้ว ไปกินข้าวกับพี่นะ” กนธีมัดมือชก “เดี๋ยวโอ๊ตก็มาแล้วแหละ นั่งคุยกับคนแก่ไปก่อน”
“พี่กุนต์ไม่แก่สักหน่อยครับ” เขาชมอย่างเคอะเขิน “ออกจะดูดีแล้วก็เท่ขนาดนี้” เขายุอินทัชให้จีบไปไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง ป่านนี้จะคืบหน้าบ้างหรือยังนะ
“น่า..พี่รู้สังขาร” กนธีหัวเราะ หยิบกระเป๋าเงินกับกุญแจรถแล้วออกจากห้อง “อยากกินเป็ดย่างกวางตุ้งร้านประจักษ์บางรัก โห..พูดแล้วท้องร้อง”
ปาลินเดินตามต้อยๆ พี่กุนต์ส่งมือถือแล้วฝากให้เขาดูแผนที่ว่าจะไปร้านที่ว่าได้ยังไง เด็กหนุ่มเข้าไปนั่งข้างคนขับด้วยท่าทางเก้กัง
“รัดเข็มขัดด้วย มานี่มา..” กนธีชะโงกไปดึงเบลท์ให้ ก้มๆเงยๆช่วยคนที่ยังดูประหม่า “เดี๋ยวโดนหัวปิงปองจับแล้วจะอดเป็ดย่าง”
คนอายุน้อยกว่านั่งตัวเกร็ง ตอนคุณกนธีเข้ามาใกล้ เขาได้กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ กระทั่งปลายเส้นผมที่เคลื่อนผ่านยังมีกลิ่นหอมเย็นที่ทำเอาใจอ่อนยวบ น้ำเสียงที่พูดอยู่ข้างหูก็ฟังนุ่มนวล แล้วยังรอยยิ้มบนใบหน้าหล่อเหลานั่นอีก
คุณกนธีอาจไม่รู้ตัว แต่ผู้ชายคนนี้เสน่ห์แรงจริงๆ ทั้งรูปลักษณ์ บุคลิกและนิสัย เขาอ่อนโยน สุภาพ เทคแคร์เก่ง อินทัชอยู่ใกล้โดยที่ไม่หลงได้อย่างไร
“เอาล่ะ..กินเป็ดย่างกันเถอะ เป็ดย่าง~” กนธีออกรถจากลานจอด
ปาลินกลั้นขำ “พี่กุนต์อยากกินมากเลยนะครับเนี่ย”
“นั่นสิ..พี่น่ะขากิน มีอะไรอร่อยขอให้บอก” เขายิ้ม “ขากลับซื้อฝากโอ๊ตด้วยดีกว่า ว่าแต่หมอนั่นจะชอบกินซาลาเปาหรือเปล่านะ”
“น่าจะไม่นะครับ” เขาคุ้นๆอยู่ “ผมเคยซื้อซาลาเปาวราภรณ์มาฝาก ไม่เห็นกินเลย แต่ถ้าน้องอุ้มจะชอบซาลาเปาไส้หมูแดงมาก น้องอ้นนี่ชอบขนมจีบ”
“โอ้..” กนธีไม่เคยรู้มาก่อน นับว่าเป็นข้อมูลใหม่ เขาจะได้ซื้อของกินได้ถูกใจเด็กๆ “สนดูสนิทกับโอ๊ตนะ รู้จักกันตั้งแต่เมื่อไรนี่ เรียนคณะเดียวกันไหม”
ปาลินส่ายหัว เล่าเรื่องเกี่ยวกับอินทัชให้พี่กุนต์ฟังหลายอย่าง อาศัยที่ว่าเป็นเพื่อนกันมานานตั้งแต่เริ่มทำที่ Vin Santo
กนธีรับฟัง มีหลายมุมที่ไม่เคยรู้มาก่อนและคงต้องถามจากปาลินอีก เพราะการใช้ชีวิตด้วยกัน เขาไม่อยากให้อินทัชต้องปรับตัวอยู่ข้างเดียว
..เขาอยากจะเป็นฝ่ายเข้าหาอินทัชบ้าง..
.
.
.
อินทัชมาถึงร้านตอนห้าโมงเย็น พอรู้ว่าปาลินไปข้างนอกกับพี่กุนต์ เขาก็ได้แต่นิ่งอึ้ง เกิดทำอะไรไม่ถูกขึ้นมาชั่วขณะ ไม่รู้ว่าสองคนนั้นคุยอะไรกันบ้าง
สักพักใหญ่ รถของกนธีก็เข้ามาจอด เขาที่ดักรออยู่รีบเดินไปหา พี่กุนต์ลงจากรถ มีปาลินช่วยหอบหิ้วถุงของกินลงมาพะรุงพะรังทั้งสองมือ
“ไปไหนกันมาครับ” เขาถามทั้งที่คิ้วขมวด
“พี่ชวนน้องสนไปกินเป็ดย่างบางรักมา” กนธียิ้ม อารมณ์ดีเพราะได้กินของอร่อย “ไม่ต้องน้อยใจนะ นี่ของฝาก” เขาชูขาหมูให้ดู “สนบอกว่าโอ๊ตชอบกินขาหมู พี่เลยซื้อของร้านตรอกซุงกับร้านเจริญแสงสีลมมาให้ลองชิม มีซาลาเปาไส้หมูแดงของน้องอุ้มกับขนมจีบให้น้องอ้นด้วย”
“อ่า..ขอบคุณมากครับพี่” อินทัชมองปาลินที่ยืนฉีกยิ้มอยู่ด้านหลัง เขาส่ายหัวระอา แม้จะรู้สึกดีที่ปาลินยังจำเรื่องของเขาได้ แต่ให้พี่กุนต์มารับรู้จากปากคนที่เขาชอบ มันก็ชวนให้รู้สึกผิดปนกระอักกระอ่วนไม่น้อย
“เดี๋ยวพี่พาสนไปแนะนำตัวกับคนอื่นก่อน แล้วยังไงพรุ่งนี้ค่อยมาเรียนงานอีกที” กนธีเดินนำขึ้นชั้นสอง เขาซื้อของกินบางส่วนมาฝากพนักงานในร้านด้วย “โอ๊ตนั่งรอในนี้ก็ได้ ไป..น้องสน ลงไปข้างล่างกับพี่”
ปาลินหันมาชูนิ้วโป้งให้เพื่อนสนิท อินทัชพยักหน้ารับ เขารอลงไปร้องเพลงตอนหกโมง วันไหนที่มาเร็วก็ไปช่วยคนอื่นทำงานบ้างแล้วแต่จังหวะ
คล้อยหลังพี่กุนต์สักพัก มือถือของเจ้าตัวที่วางทิ้งไว้บนโต๊ะก็มีไลน์เข้า ตอนแรกเขาไม่สนใจหรอก แต่เพราะมันดังติดกันเลยหันไปมอง
..คนบางคนมันก็ไม่หายหัวไปจากชีวิตของคนอื่นสักที..
‘อยากคุยกับพี่กุนต์ นี่ก็ใกล้วันเกิดพี่แล้ว เราเจอกันได้ไหม’
‘ถ้าไม่รังเกียจ ผมอยากขอเลี้ยงข้าวพี่สักมื้อ’
‘ผมจำได้นะว่าพี่ชอบกินอะไร’
‘เอาไว้นัดเจอกันที่ร้านโปรดของพวกเราไหมครับ’
อินทัชขมวดคิ้ว ไอ้ร้านโปรดที่ว่ามันคือร้านอะไรล่ะ แต่ที่น่าโมโหกว่านั้น ทำไมไอ้วิทย์มันไม่ไปตามทางของมันสักที ตื๊องี่เง่าอยู่ได้
มีเสียงกระแอมดังขึ้นด้านหลัง เด็กหนุ่มหันขวับ ชะงักไปครู่เมื่อเห็นพี่กุนต์ยืนมอง ฝ่ายนั้นยื่นมือขอโทรศัพท์แต่ไม่ได้มีท่าทีตำหนิที่เขาละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวทั้งที่ตกลงกันเอาไว้แล้ว
“มีอะไรหรือเปล่า” กนธีดูหน้าจอแล้วเข้าใจได้ เขาปลดล็อกเพื่อจะกดลบช่องสนทนาโดยไม่เข้าไปอ่านด้วยซ้ำ “เด็กคนนี้มันงอแงจริงๆ”
“งี่เง่าคืองี่เง่าครับ ไม่ใช่งอแง คำนั้นมันน่ารักไป” อินทัชแก้ให้
คนฟังหัวเราะ เลื่อนไลน์อ่านข้อความที่ค้างอยู่ “เออ..พี่ลืมบอก วันนี้พี่จะออกจากร้านเร็วหน่อยนะ พอดีเพื่อนชวนไปงานเลี้ยงวันเกิดน่ะ โอ๊ตกลับบ้านถูกไหม ถ้ายังไงมันดึกเกิน เราไปนอนคอนโดก็ได้แล้วพรุ่งนี้พี่จะไปส่ง”
“พี่จะไปส่ง?” เขางุนงง “ทำไมไม่ใช้คำว่า ค่อยกลับพร้อมกันล่ะครับ”
“คือ..พี่ว่าจะบอกตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ช่วงนี้พี่จะพักที่คอนโดนะ”
อินทัชมุ่นคิ้วหนักกว่าเก่า “หมายความว่ายังไงครับ”
กนธีเกาแก้ม “พี่เดินทางไปกลับแล้วมันเหนื่อย ช่วงที่ร้านยังไม่อยู่ตัว พี่คงต้องมาดูแลทุกวัน เลยว่าจะไม่กลับบ้านใหญ่น่ะ อย่างมากก็กลับศุกร์ เสาร์อาทิตย์พอ” เขาอธิบาย “โอ๊ตก็อยู่กับคุณยาย อยู่กับน้องๆที่บ้านนั่นแหละ”
“แต่ผมต้องดูแลพี่...”
เขาโบกมือ “ไม่ต้องขนาดนั้นหรอก อาทิตย์หนึ่งเจอกันสามวันก็พอ”
ฟังพี่กุนต์พูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้มตามปกติแล้ว อินทัชก็เริ่มลังเลว่าการแยกกันอยู่คือเรื่องปกติของความสัมพันธ์แบบนี้หรือเปล่า
เสียงไลน์ดังขึ้นอีกครั้ง กนธีก้มมองก่อนบ่นพึมพำ
“เจ้าวิทย์นี่..บล็อกซะเลยดีไหม”
อินทัชยืนนิ่ง คำพูดของไววิทย์ดังขึ้นมาในหัว
“แค่จะมาเตือนในฐานะรุ่นพี่ว่าระวังจะถูกเขี่ยทิ้ง”
“พี่กุนต์รักใครไม่เป็นหรอก ถ้าเขาเจอคนใหม่ เตรียมตัวไว้ได้เลย”เขารู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไร “พี่กุนต์..” เรียกคนที่เอาแต่ก้มหน้าดูโทรศัพท์
“ว่าไง” กนธีไม่ได้ตอบไววิทย์หรอก เขาตอบเพื่อนในกลุ่มต่างหาก
“ถ้าผมทำอะไรให้พี่ไม่พอใจ พี่ก็บอกผมได้นะครับ”
คนอายุมากกว่าเงยหน้ามอง ท่าทีมึนงงกับคำพูดซีเรียสของเด็ก
“พูดอะไรน่ะ ทำไมถึงคิดว่าพี่ไม่พอใจเรา”
“ก็พี่จะย้ายกลับไปนอนคนเดียว” อินทัชพูดเสียงนิ่ง “พี่บอกว่าขับรถไม่ไหว ผมเข้าใจ แต่ไม่รู้ว่ามีเหตุผลอย่างอื่นอีกหรือเปล่าที่พี่ไม่ได้บอก”
“เฮ้ๆ ใจเย็นก่อนไอ้เสือ” กนธีจับบ่ากว้าง “พี่หมายความตามที่พูดจริงๆ ไม่ได้ไม่พอใจอะไร ออกจะพอใจ มีความสุขมากด้วยซ้ำที่ได้อยู่กับโอ๊ต”
อินทัชจะไปรู้ได้อย่างไรกัน พอเขาพาปาลินมาวันแรก พี่กุนต์ก็ขอแยกออกไปนอนคอนโดตามลำพังเลย ไหนจะมีเรื่องไววิทย์เข้ามาตื๊ออีก เขาเองก็ต้องเผลอคิดสะระตะไปบ้างเป็นธรรมดา
..ว่าแต่..ทำไมเขาถึงกังวลไปได้ขนาดนี้นะ..
อินทัชถอนหายใจ “ถ้าพี่บอกว่าไม่มีอะไรก็น่าจะตามนั้นแหละครับ”
กนธียิ้มระอา ลูบหัวเด็กน้อยของเขาเป็นการปลอบ “ที่พี่ให้เราอยู่บ้านใหญ่ เพราะอยากให้ดูแลคุณยายกับน้องๆให้เต็มที่ จะได้ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง พี่เองยังดูแลตัวเองได้ แล้วเราก็ได้เจอกันตั้งสามวันเลยนะ”
ร่างสูงพยักหน้ารับ พี่กุนต์ห่วงเขาก่อนใครเสมอ
“ถ้าเราอยากมาเที่ยวที่ห้องวันไหนก็ตามใจ จะมาค้างก็ได้ พี่ไม่ว่า”
“โอเคครับ” อินทัชรับคำ “แล้วนี่พี่จะออกกี่โมง”
กนธียกนาฬิกาขึ้นดู “เดี๋ยวไปเลยก็ได้ ยังไงฝากเราดูร้านด้วย ฝึกเอาไว้ เผื่อได้เป็นเจ้าของร้านอาหารในอนาคต” เขาว่ายิ้มๆ
ชายหนุ่มตั้งใจเอาไว้ว่าหากคบหากับอินทัชได้ตลอดรอดฝั่ง ถ้าอีกฝ่ายยังเป็นเด็กดี ซื่อสัตย์และน่ารักสม่ำเสมอ เขาจะยกหุ้นร้านในส่วนของตัวเองให้ อินทัชจะได้มีโอกาสตั้งตัว ได้มีทรัพย์สินที่เป็นกอบเป็นกำบ้าง
อินทัชไม่ได้โต้ตอบอะไร เขาเพียงแต่ตอบรับภาระหน้าที่ที่พี่กุนต์ให้ ตอนนี้เรื่องที่เขาสนใจคือการไปงานเลี้ยงของพี่กุนต์มากกว่า ทำไมถึงมาบอกกะทันหัน ทั้งที่เมื่อวานก็มีเวลาคุยกันตั้งมาก
“ผมถามพี่ได้ไหมว่างานเลี้ยงที่ว่าเป็นยังไง” เขาชวนคุย “ปาร์ตี้วันเกิดธรรมดา หรือว่ามีอะไรที่ลึกลับกว่านั้น อย่าง..ปาร์ตี้ชุดนอน ชุดว่ายน้ำ ฟองสบู่ จับคู่ให้กัน หรือ Blind date”
กนธีกลั้นหัวเราะแทบแย่ เจ้าโอ๊ตนี่มันดูหนังมากเกินไปแล้ว “งานเลี้ยงธรรมดาครับ มีเหล้า มีเบียร์ มีบุหรี่ตามประสา แต่พี่จะดื่มให้น้อย โอเคไหม”
“อย่าดื่มเลยครับ ผมขอ พี่ต้องขับรถกลับนะ”
เขาพยักหน้า “โอเค ไม่ดื่มก็ไม่ดื่ม”
“ผมจะรอพี่ที่ห้อง” อินทัชบอก กำชับหนักแน่นอีกครั้ง “ถ้ากลับมาแล้วมีกลิ่นเหล้า รู้นะครับว่าจะโดนอะไร”
“จะเอาไม้บรรทัดเหล็กตีพี่สินะ” กนธีขำ “เสียใจ..ที่ห้องไม่มีไม้บรรทัด”
“ผมไม่ทำอะไรเด็กๆแบบนั้นหรอกครับ” อินทัชว่าเสียงเรียบก่อนก้มลงกระซิบ “ผมจะจับพี่กดกับที่นอน..แล้วมีเซ็กซ์ด้วยจนเช้าวันใหม่เลย”
คนฟังร้อนวูบทั่วหน้า มันพูดมาหน้าตาเฉย ทำเขาหูอื้อตาลายไปหมด
“พี่ไปก่อนล่ะ” กนธีเดินหนี ถ้าอยู่ต่อ หน้าเขาต้องระเบิดออกมาแน่
“เดี๋ยวครับ” อินทัชจับแขนอีกฝ่ายไว้ “ผมไว้ใจพี่นะ หวังว่าจะไปงานเลี้ยงวันเกิดของเพื่อนจริงๆ ไม่ใช่ว่าไปหาไววิทย์”
“ของมันแน่อยู่แล้ว” เขาทำหน้าจริงจัง แต่แล้วก็ต้องหลบสายตาที่มองมา ไม่ได้มีพิรุธอะไรหรอก เล่นจ้องด้วยดวงตาคมปลาบแบบนั้น ใครจะทนได้
“ถ้าพี่โกหก..ผมจะจัดการให้หนักกว่าเรื่องแอบกินเหล้า..ตกลงนะครับ”
“ไม่โกหกครับ” กนธีสัญญา “ปล่อยได้แล้วพี่โอ๊ต”
อินทัชยิ้มบาง ไม่รู้นึกอย่างไรถึงได้ก้มลงจูบปากคนตรงหน้า เขาขยุ้มต้นคอฝ่ายนั้นไว้ บดเบียดริมฝีปากหนักหน่วงก่อนผละออก
“ขับรถดีๆนะครับ แล้วเจอกันที่ห้อง”
กนธีตาเบลอ ได้แต่พยักหน้ารับอย่างเชื่อฟัง
..เขาคงหลงอินทัชจนโงหัวไม่ขึ้นแล้วจริงๆ..
..ว่าแต่..จะลองดีด้วยการดื่มเหล้าสักแก้วสองแก้วดีไหมนะ..
.
.
.
[ต่อด้านล่าง]