To be continued........
When the sun rises i hear angle sound,
When the moon shines i touch the ground,
When you raise your eyes i already found,
You're the one make me feel like a crown........
ตอน ยี่สิบเก้า
"พี่ ผมหิวข้าว พาไปกินข้าวหน่อยดิ"
มัน พูดขึ้นตอนที่เราอยู่ในรถแล้ว
"อยาก กินอะไร เอ วันนี้เดี๋ยวพี่เลี้ยงเอง เล่นละครหล่อได้ใจมาก"
พล มองผ่านกระจกมองหลัง
"จริง นะพี่ ผมอยากกินอาหารญี่ปุ่น"
"ได้ สิ ไปที่ไหนกันดี เซนทรัลเวิลด์ ไหม"
"ดีๆ พี่"
ทั้ง สองคุยกันอย่างออกรส ส่วนผมได้แต่นั่งนิ่งไม่รู้จะพูดอะไรดี
"นั่ง เงียบเชียว ตัวเองหิวข้าวเหรอ"
มัน มากอดที่เบาะเอาหน้ามาจ่อเกือบถึงแก้ม ผมสะดุ้งผงะหน้าออก
"แหม เอ เห็นใจพี่บ้างอย่าหวานใส่กันให้มาก พี่อิจฉาไปหมดแล้วเนี่ย"
"ขอ หน่อยพี่ วันนี้วันพิเศษ ไม่เจอหน้าตั้งหลายวัน ผมคิดถึงแฟนผมจะแย่อยู่แล้ว"
มัน ไม่เคยพูดแบบนี้ต่อหน้าคนอื่นเลย ผมรู้สึกอายหน้าแดง
"ไอ้ บ้า"
ผม ทำเสียงแข็งใส่
"แหม แก ไม่ต้องอายชั้นหรอก ต๊ายน่ารักแบบนี้นี่เอง พี่โยถึงแอบอมยิ้มอยู่คนเดียวตอนที่เราแสดงอยู่บนเวที"
"บ้า เหรอแก"
"นั่นๆ ดูสิเขินหน้าแดงแล้ว"
พล ยังล้อ ผมรู้สึกอายมากกว่าเดิม นี่ผมเป็นอะไรไปทั้งที่แต่ก่อนจะล้อเรื่องแบบนี้ผมไม่รู้สึกอายมากมายขนาด นี้
"จริง เหรอคะ เค้าดีใจนะเนี่ย"
มัน จับหน้าผมมาหอมทันที
"ไอ้ บ้า พอๆ คุยเรื่องอื่นได้ไหม หนวกหู"
ผม ทำตาโตใส่มันฟาดงวงฟาดงาแล้วเอาหลังไปพิงประตูรถเพราะมันจะดึงตัวผมไม่ได้ แม้เข็มขัดนิรภัยจะรั้งแต่ก็ดีกว่าให้เพื่อนกับไอ้ตัวดีพูดจาแทะโลม
"พอ เถอะ เอ เห็นมั้ย แฟนเราน่ะอายหน้าแดงม้วนไปแล้ว เดี๋ยวมันกินข้าวไม่ลง แค่นี้ก็ล้นออกมาท่วมรถอยู่แล้ว"
พล หัวเราะชอบใจ มันเองก็หัวเราะ พลถามเรื่องเล่นบาสมันค่อยยอมเปลี่ยนเรื่องคุย ผมนั่งอยู่อย่างนั้นจนเมื่อยหลังเราเลี้ยวเข้าถนนชิดลมแล้วเลี้ยวอีกทีตรง แยก รถติดจนขยับได้ทีละนิด กว่าจะถึงที่หมายก็เกือบสองทุ่มเราขึ้นไปชั้นห้า ร้านอาหารเป็นแถวทั้งโซน พลเดินนำเข้าร้านอาหารญี่ปุ่น ส่วนไอ้ตัวดีเดินเกาะบ่าผมไม่ยอมปล่อย วันนี้ผมกลับอายมันมากกว่าเดิม หน้าแดงตลอดเวลา มันเหมือนรู้ยิ่งแกล้งเข้าไปอีก บางทีก็กอดเอว เผลอก็เอาเป้ามาถู ผมได้แต่เขินอายหน้าแดงไป ไม่ด่ามันเหมือนเก่า เวลากินก็นั่งกอดเอวผมตลอด ทั้งที่ปากคุยกันกับพลอย่างสนุกสนาน
"วันนี้ ไปนอนกะตัวเองดีกว่า แม่ยังไม่กลับ อิอิ"
มัน พูดขึ้นตอนกินข้าวเสร็จ ผมไม่ว่าอะไรรู้สึกใจเต้นตึกตัก ไม่มีบทพูด
"ให้ พี่ไปส่งที่ไหนจ๊ะ เอ ที่บ้านหรือที่"
พล เว้นช่วงแล้วหันมามองผม ทั้งสองมองหน้ากันแล้วหัวเราะ ผมงอนเดินนำหน้าไปก่อน ไอ้ตัวดีวิ่งตามแล้วกอดบ่าไว้
"อย่า เดินเร็วสิคะ เค้าเพิ่งกินอิ่มๆ เดี๋ยวจุกตายหรอก"
"สม"
ผม พูดออกมาแต่หน้ายังงออยู่
"ไม่ หายงอนเดี๋ยวหอมแก้มนะคะ"
มัน พูดแล้วทำท่าจะโน้มคอลงมาจริง
"บ้า เหรอ คนเยอะแยะ"
ผม อายหนักเข้าไปอีก ผลักมันออกพัลวัน
"ต๊าย เห็นใจชาวบ้านเขาด้วยนะยะ หวานกันกลางห้างเนี่ย"
"คน มันรักกันน่ะพี่"
มัน พูดเสียงดัง ผมอยากจะมุดแทรกปูนหนีไปให้พ้นจากตรงนี้ เพราะเรากินเสร็จเกือบสามทุ่ม เป็นเวลาห้างปิดคนก็ทยอยออกจากห้าง คนหันมามองกันใหญ่
"รัก พี่เค้า ก็ถนอมหน่อยนะเอ อย่าทำอะไรมันรุนแรงจนเป็นไข้ไปอีกล่ะ มันยิ่งบางๆอยู่"
ผม มองพลขวับค้อนตาเขียว พวกนี้มันจะรุมผมไปถึงไหน พอพูดจบก็หัวเราะชอบใจทั้งสองคน
"แก ไม่ต้องไปส่งหรอก รถท่าจะติด เดี๋ยวนั่งรถไฟกลับดีกว่า"
ผม พูดตอนเดินลงมาเกือบถึงชั้นสอง ชั้นที่มีทางเชื่อมกับรถไฟฟ้า
"เอา งั้นเหรอแก เออ พรุ่งนี้น่ะ ไม่ต้องไปทำงานนะ เจ๊เขามีเดท ฉันก็จะโดดไปหาเด็กเหมือนกัน นี่น้องเอ แนะนำเพื่อนให้พี่สักคนสิ"
พล พูดกึ่งหัวเราะ
"จะ ไหวเหรอพี่ กินเด็กน่ะไม่กลัวเขาว่าเอาเหรอว่ากินหญ้าอ่อน"
"นี่ มากไป แล้วเราล่ะ เขาเรียกอะไร"
"โอ๊ย ผมน่ะคนละอย่าง ของผมเขาเรียกวัวเด็กชอบเคี้ยวหญ้าแก่"
ผม รำคาญมันทั้งสองคนเหลือเกิน พูดแล้วหัวเราะอย่างสนุกสนานไม่คิดถึงใจผมเลย ผมเหมือนโดนมันทั้งสองคนนินทาต่อหน้า มันพูดเหมือนผมไม่มีตัวตน ผมบอกลาพลแล้วเดินนำหน้าออกจากห้างไปเลย ไอ้เอวิ่งตามตะโกนบอกลากันโดยไม่สนใจคนอื่น ไม่รู้จักอายบ้างเลย
"จะ รีบไปไหนคะ ตัวเล็ก"
มัน ดึงแขนไว้
"กลับ บ้าน"
ผม พูดห้วนๆ
"เดี๋ยว ดิลงไปเดินดูไฟก่อนดิ นะนะ"
มัน อ้อนแล้วลากมือผมเดินลงบันไดทันที
"สวย เนอะ ตัวเองชอบไหม"
มัน ถามอยู่ข้างๆ เสียงดนตรีดังมาจากที่ต่างๆรอบทิศ ยิ่งใกล้วันปีใหม่ผู้คนยิ่งออกมาจับจ่ายใช้สอย บ้างก็มาดูไฟแสงสีตามสถานที่ต่างๆ ตอนค่ำลมเย็นดี รู้สึกสบายตัว แสงไฟระยับที่สาดส่อง เหมือนหิ่งห้อยตัวใหญ่หลายพันตัวเปล่งแสงพราวทั่วทั้งบริเวณ สวยจัง อยากเห็นบ้านเมืองมีแสงไฟอย่างนี้ไปตลอดจัง
"เหม่อ เชียว ชอบเหรอคะ"
มัน ก้มลงมากระซิบข้างหู ผมสะดุ้ง
"ไป นั่งตรงนั้นดีกว่ามีที่นั่งแล้ว"
มัน ชี้บอกม้านั่งที่อยู่รอบลานน้ำพุ มันลากแขนผมไป ผมก็เดินตามมันอย่างง่ายดาย แม้ผู้คนจะเยอะดูเบียดเสียดกัน แต่ก็รู้สึกดีกว่าเมื่อครู่ เพราะดูเหมือนไม่มีใครสนใจมองใคร มันกุมมือผมแน่น เรานั่งลงตรงม้านั่งรูปครึ่งวงกลมมองไปทางน้ำพุ ต้นคริสต์มาสต้นใหญ่มีไฟสีต่างๆประดับระยับราวเอาดาวทั้งท้องฟ้ามาโปรยราย รอบไว้ มันนั่งเบียดตัวติดกับผมมือนึ่งกุมมือผมไว้ อีกมือก็เอื้อมมากอดเอว
"เค้า รู้สึกดีที่สุดเลย"
มัน กระซิบ ผมไม่มีทีท่าว่าจะสะดิ้งกันมันออก กลับรู้สึกเพลินไปกับบรรยากาศรอบๆตัว อีกอย่างผมรู้สึกดีเหมือนกันนะที่มีมันอยู่่ด้วยในตอนนี้ ผมล้วงกระเป่าที่มันเอาไปสะพายควานหาของ
"หา อะไรคะ"
ผม หยิบเอาพวงกุญแจลูกบาสเล็กๆออกมาให้มัน ผมซื้อไว้วันก่อนที่ออกไปเจอลูกค้ากับพี่ภาที่เซ็นทรัลลาดพร้าว เป็นลูกบาสสีส้มทำจากเซรามิกเคลือบสีสด
"อ่ะ พี่ให้"
ผม ยื่นให้มัน อายแต่ก็คงต้องให้ คิดไว้ว่าอย่างน้อยช่วงนี้มันก็ตั้งใจเรียน อีกอย่างผมเป็นคนสอนมันควรจะมีกำลังใจให้มันบ้าง แม้ค่ามันจะไม่มากมาย แต่ก็เอาเถอะ ดีกว่าไม่มีอะไรให้มัน รอให้มันทวงเองเดี๋ยวจะลำบาก มันยิ้มมองผมตาฉ่ำ
"ขอบ คุณครับ"
มัน พูดแล้วกุมมือผมที่ถือพวงกุญแจ ผมก็ไม่ขัดขืนมองตามันเหมือนกัน
"เค้า รักตัวเองนะ"
ผม ตาโตขึ้นมาทันที แล้วแกะมือออก นี่ผมปล่อยให้มันล่วงเลยเผลอตัวเผลอใจไกลขนาดนี้เชียวหรือ
"แม้ เราจะรู้จักกันไม่นาน แต่เค้ารู้แล้วว่าเค้ารักตัวเอง"
มัน พล่าม
"เอ"
ผม พูดไม่ออก ใจหนึ่งรู้สึกดีใจเนื้อเต้นที่ได้ยิน แต่อีกใจกลับหดหู่เหลือเกิน มันเป็นไปไม่ได้ ไม่มีทาง
"ยิ่ง อยู่ใกล้ยิ่งใจจะขาด เค้าไม่เคยคิดจะรักใครได้เท่านี้มาก่อน แต่พอเจอตัวเอง เพิ่งรู้ว่าการที่ได้รักใครสักคน มันรู้สึกดีอย่างนี้เอง"
"ไป ถ่ายรูปดีกว่า"
ผม ตัดบทไป ไม่อยากให้มันถลำลึกไปมากกว่านี้ ผมคิดไม่ออกจริงๆว่าเรื่องราวในวันข้างหน้ามันจะเป็นไปในรูปแบบไหน ผมไม่ปฏิเสธว่าตอนนี้ผมเองก็เริ่มรู้สึกดีกับมันเหมือนกัน เทียบกันแล้วเวลาที่มันอยู่กับผมแม้จะไม่นานมาก แต่ถ้าพี่ตั้มเองคบกันมาตั้งแต่ปีหนึ่ง เขายังมีเวลาอยู่กับผมไม่มากเท่ามันเลย เจอกันแค่ประเดี๋ยวประด๋าว อีกอย่างเวลาอยู่กับพี่ตั้มผมไม่รู้สึกว่าหัวใจผมพองโตเท่าอยู่กับมันเลย แต่ผมก็ต้องหักห้ามใจกดมันลงไปให้อยู่ส่วนลึกที่สุดของหัวใจ ผมมีหน้าที่ต้องสอนมัน มีจรรยาบรรณของความเป็นครูอยู่ในสายเลือด รีบตัดไฟเสียตั้งแต่มันแค่จะเริ่มก่อ เจ็บตอนนี้ดีกว่าปล่อยให้่มันลามใหญ่โตเกินกว่าจะแก้ไขได้ ผมจะทำยังไงได้ เคยเจ็บกว่านี้ก็เคยมาแล้วแค่เรื่องเท่านี้เจ็บอีกสักทีจะเป็นอะไรไป
เอ มันก็ดีอย่างดูไม่เครียดกับอะไรเลย มันขอให้คนถ่ายรูปให้เราหลายรูป ท่าทางมันดูมีความสุขมาก เรากลับบ้านเกือบสามทุ่มบนรถไฟคนก็ยังแน่น เรายืนตรงขบวนกลางๆตรงรอยต่อของขบวน ผมยืนหลังพิงผนังรถไฟติดริมหน้าต่าง มันยกแขนขึ้นดันผนังรถไว้ทำให้เราหันหน้าเข้าหากัน ยิ่งคนเยอะเท่าไหร่หน้าผมยิ่งจะชนคอมันทุกที ผมรู้สึกใจเต้นตึกตักหายใจไม่สะดวก
"เป็นไร คะ หน้าแดงเชียว"
มัน ก้มลงถาม ผมยิ่งหน้าแดงใจสั่นไปใหญ่บ่ายหน้าหนี
"เถิ บออกไปหน่อยสิ"
ผม พูดเบาเหมือนกระซิบ
"หือ อะไรนะคะ"
มัน เหมือนแกล้งมันเอาหูมาใกล้ปากผม
"เถิบ ไปหน่อย อายคน"
คำ สุดท้ายพูดเบาเหลือเกิน คนที่อยู่ข้างๆเริ่มมอง
"อาย เหรอ เค้าไม่เห็นอาย ดีออกอยู่แบบนี้ เค้าชอบ"
แก ชอบ แต่ฉันไม่ชอบ ผมด่ามันในใจแต่จะให้มันขยับตัวไปก็คนแน่นเกิน ผมต้องทนก้มหน้าจนถึงอโศกคนลงเยอะผมถึงดันมันออกไปได้ แต่มันก็ยังยันแขนไว้กับผนังรถไฟอย่างนั้น มันมองผมตลอดทางยิ้มกริ่ม คนมองก็มอง ผมอายก็อาย แต่ในใจลึกๆผมกลับรู้สึกดีอย่างประหลาด ลมหายใจอุ่นๆของมันรดหน้าอยู่ นี่ผมคิดเลยเถิดกับมันแล้วหรือ