ระบบอุปถัมภ์
By: Dezair
…………………..
บทส่งท้าย
‘ลงแรงไป ต้องได้ของตอบแทน มอบความช่วยเหลือให้ ก็ต้องได้ความช่วยเหลือตอบแทน’
เส้นสายและระบบอุปถัมภ์ถูกใช้งานผ่านค่านิยมของบุญคุณต้องทดแทน อาจกล่าวว่าเป็นคุณธรรมของการตอบแทน แต่ในอีกแง่หนึ่งก็กลายเป็นการกีดกันคนที่อยู่นอกวงบุญคุณเหล่านี้ เมื่อมีคนได้ประโยชน์จากมัน ก็ย่อมมีคนเสียประโยชน์เช่นกัน
เรื่องคดีของไพศาลแม้จะไปไม่ถึงศาลฎีกาเพราะจบสิ้นที่ไพศาลตาย แต่ตลอดกระบวนการที่คุณกอบกุลและจิณณะเลือกใช้ ล้วนต้องถูกทดไว้ในใจ แล้วชดใช้บุญคุณต่อเส้นสาย พรรคพวกและระบบอุปถัมภ์ของตน
เรื่องหนึ่งที่ต้องแลกกับการโน้มน้าวกลุ่มทุนให้หันไปใช้บริการคุณเทียมแทนไพศาล ก็คือธุรกิจของคุณกอบกุลต้องเป็นแหล่งเงินทุนให้พรรคการเมือง แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องเปิดเผย การเลือกข้างทางการเมืองย่อมอาจส่งผลร้ายเมื่อสนามการเมืองพลาดพลั้ง ธุรกิจที่เป็นแหล่งทุนอาจถูกเพ่งเล็งและขัดแข้งขัดขา อาจถูกกีดกันทางการค้าในรูปแบบของนโยบายที่เอื้อคู่แข่ง แต่เมื่อมองไกลไปกว่านั้นก็พบว่าพรรคการเมืองที่เป็นเส้นสายของท่านเสรี มือซ้ายและมือขวาของท่านเสรี ก็ยังครองพื้นที่ในการออกนโยบายเศรษฐกิจ การเป็นแหล่งเงินทุนให้ในวันนี้ ย่อมหมายถึงผลประโยชน์ที่จะกลับมาในรูปของนโยบายที่เอื้อต่อธุรกิจของตระกูลวงศ์กีรติ
ยิ่งไปกว่านั้น แม้จะเป็นแหล่งทุนให้กับพรรคการเมืองที่มีความสัมพันธ์กับท่านเสรี แต่ฝั่งปรปักษ์ทางการเมืองของท่านเสรีที่กลับเข้าสู่สนามผลประโยชน์อีกครั้งอย่างคุณเทียม คุณกอบกุลก็ยึดโยงผ่านทางความสัมพันธ์ของจิณณะและพิทักษ์ อนาคตเป็นเรื่องไม่แน่ไม่นอน หากฝั่งใดอำนาจจืดจาง บารมีร่อยหรอ ก็ยังพอมีอีกฝั่งให้พึ่งพิง บั้นปลายของคุณกอบกุลและตระกูลวงศ์กีรติจะไม่มีวันจบลงเยี่ยงไพศาล นั่นคือความตั้งใจมั่นของหญิงชราผู้ถูกขนานนามว่างูพิษ
ฝั่งคุณเทียมที่ดูจะได้ประโยชน์มากกว่าใครเมื่อไพศาลถูกกำจัด พื้นที่ทั้งจังหวัดล้วนตกอยู่ใต้อิทธิพลของเขาแต่เพียงผู้เดียว ไม่ว่าใครจะเข้ามาทำการใดในพื้นที่ ก็ล้วนต้องแวะเวียนไปพบปะหารือที่บ้านพักของเขา แน่นอนว่ามันหมายถึงผลตอบแทนมหาศาลที่แลกกับการอำนวยความสะดวก แต่หาใช่ผลตอบแทนทุกอย่างจะเป็นความพึงใจ คนเรามีได้ ย่อมมีเสีย แม้จะไม่ต้องการให้มีบ่อนการพนันในพื้นที่ แต่คุณเทียมก็ไม่อาจเพิกเฉยต่อข้อเสนอของกลุ่มทุนที่เดิมทีใช้อิทธิพลของไพศาล ผลประโยชน์บางครั้งไม่ได้ตอบสนองต่อความละโมบ แต่เพื่อให้แน่ใจว่าผลประโยชน์ก้อนนี้จะไม่ตกถึงพวกพ้องของไพศาลที่ยังหลงเหลือ การดึงกลุ่มทุนเอาไว้ที่ตนเอง แม้จะต้องแลกด้วยการใช้อิทธิพลเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ธุรกิจที่ตนไม่พึงปรารถนา แต่ก็ไม่อาจเลือกปล่อยออกจากมือเพื่อให้ไพศาลที่เป็นผีไปแล้ว จะกลับขึ้นมาหลอกหลอนได้อีก
ส่วนขบวนการค้ามนุษย์ เมื่อสิ้นไพศาลก็ไม่ได้หมายความว่าจะล่มจม บนโลกนี้มีคนอย่างนี้อีกเป็นล้าน มีพื้นที่และเส้นทางอีกมากให้ดำเนิน เมื่อไพศาลตาย ก็หาคนใหม่ เมื่อไม่ได้พื้นที่หนึ่ง ก็ย้ายไปหาที่ทางอื่น ผลประโยชน์ยังสูง ผู้คนที่อดทนต่อความหอมหวานของมันไม่ไหวก็มีแต่จะกระโดดเข้าหาเท่านั้น
แต่ถึงอย่างนั้น ก็นับว่าชีวิตของจิณณะและพิทักษ์กลับมามีความสุขดี ไม่ต้องกังวลต่อภยันตรายใดๆแล้ว
จิณณะย้ายมาอยู่กับพิทักษ์เป็นการถาวร ออกจะลำบากในการเดินทางเล็กน้อยที่ต้องตื่นแต่เช้าเข้าไปทำงานในกรุงเทพฯ ตกเย็นก็ต้องรีบออกเพราะมิเช่นนั้นรถจะติด แต่พื้นฐานไม่ใช่คนใจร้อนรีบเร่ง เขาคิดว่าพอถึงจุดหนึ่งก็จะปรับตัวหรือมองหาวิธีอื่นๆที่จะทำให้ชีวิตสุขสบายขึ้นเอง
ส่วนพิทักษ์เมื่อมีอีกคนย้ายมาอยู่เพิ่ม จากที่เคยออกจากบ้านแต่เช้า กลับถึงบ้านค่ำมืดก็ออกสายขึ้นเล็กน้อยเพื่อร่วมโต๊ะกับจิณณะก่อน และกลับถึงบ้านไวขึ้นเพื่อทานข้าวเย็นกับคนรัก หรือวันไหนที่จะเข้ากรุงเทพฯไปทานข้าวกับบิดาและมารดาเลี้ยงก็จะพาคนรักไปด้วย แล้วค่อยเลยไปส่งจิณณะที่ออฟฟิศ จากนั้นก็รอรับกลับพร้อมกันในตอนเย็นเสียเลย
ต่างคนต่างลำบากขึ้นเล็กน้อย หย่อนเรื่องของตนลงอีกหน่อย ก็พบว่าการปันพื้นที่ให้ใครอีกคนก้าวเข้ามานั้น อาจสร้างความยุ่งเหยิงอยู่บ้าง แต่โดยรวมก็นับว่ามีความสุขดี
จิณณะเอนหลังพิงกำแพงด้านหลัง พลางเงยหน้ามองท้องฟ้ายามค่ำคืน จากระเบียงชั้นสองของบ้านซึ่งตั้งอยู่ในเขตชานเมืองนั้น ไม่มีตึกสูงเกะกะลูกหูลูกตา ไม่มีเสียงรถราจอแจ ส่วนเรื่องมลพิษ...อาจจะมีอยู่บ้าง แต่มองไม่เห็น สัมผัสไม่ได้ คนง่ายๆอย่างจิณณะ วงศ์กีรติก็จะนับเอาว่าไม่มีก็แล้วกัน
ปล่อยสักเรื่อง ปลงสักอย่าง ชีวิตจะได้ง่ายขึ้นบ้าง
“นั่งทำอะไรเงียบๆ” เสียงทุ้มดังมาจากประตูระเบียง พอเหลือบตาไปมองถึงเห็นเจ้าของบ้านยืนเด่นเป็นสง่า ที่ระเบียงบ้านมีไฟสว่าง แม้จะสลัวกว่าภายในห้องนอน แต่ก็ไม่ทำให้ร่างสูงใหญ่ของพิทักษ์กลายเป็นเงาตะคุ่มชวนหัวใจวายนัก
“ลมเย็นดี พี่ทิศมานั่งด้วยกันสิ” พูดแล้วก็ตบปุๆลงกับที่นั่งว่างข้างตัว พิทักษ์ไม่ปฏิเสธ ก้าวเท้าเข้าไปหาอย่างเงียบๆ
เดิมทีก็เป็นคนเงียบ ยิ่งเมื่อจิณณะไม่พูดอะไร ก็กลายเป็นต่างคนต่างเงียบ จนกระทั่งพิทักษ์ได้ยินเสียงถอนหายใจเบาจากคนข้างกาย เขาเหลือบมอง แต่ไม่พูดอะไร จนจิณณะเป็นฝ่ายพูดเอง
“เมื่อตอนบ่ายคุณย่ามาที่ออฟฟิศ” คนฟังเลิกคิ้วเล็กน้อย มิน่าวันนี้จิณณะกลับถึงบ้านเร็วกว่าปกติ คงรีบเผ่นกลับมา
“...พาคนมาฝาก...เป็นหลานของคนที่เคยช่วยผมเรื่องคดี”
คดีที่ว่าจะมีคดีใดถ้าไม่ใช่คดีของไพศาล
พิทักษ์ยังคงรับฟังอย่างเงียบๆ ปล่อยให้คนข้างกายพูดต่อ
“ผมก็เข้าใจนะ ไม่ว่าจะใช้ทางตรงหรือทางลัดก็มีค่าใช้จ่ายทั้งนั้น ถ้าผมปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอน ผมก็ต้องจ่ายด้วยเวลา แต่ถ้าผมใช้ทางลัด...ผมต้องจ่ายด้วยอย่างอื่น...” และการจ่ายด้วยอย่างอื่นในครั้งนี้ มาในรูปแบบของเด็กฝาก
จิณณะหัวเราะ ทว่าไม่มีอารมณ์ขันในเสียงเลยสักนิด “...แต่ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ผมก็จะเลือกใช้ทางลัดเหมือนเดิม เพราะผมกลัวไอ้ไพศาลหลุดคดี”
กระบวนการยุติธรรม ทว่าไม่อาจสร้างความชอบธรรมในใจจิณณะได้เลย ความเที่ยงตรงอาจมี ความเที่ยงธรรมก็อาจมี แต่เมื่อคู่กรณีคือไพศาล ซึ่งมีเส้นสายและกลวิธีเอาตัวรอดอีกมาก จิณณะไม่กล้าเสี่ยงด้วยวิธีขาวสะอาด ในเมื่อประเมินแล้วว่าไพศาลย่อมใช้วิธีสกปรก จิณณะก็พร้อมจะใช้ทางลัดจัดการเช่นกัน
มนุษย์สร้างความยุติธรรมเพื่อตัดสินสิ่งที่ไม่ยุติธรรม แต่น่าขันที่มนุษย์ก็ยังตีค่าความยุติธรรมว่าจะไม่มีทางยุติธรรมเพราะมนุษย์ด้วยกันเอง
“ทั้งๆที่อุตส่าห์เลือกเรียนปกครอง เลือกสอบปลัด ถึงจะมีคนบอกว่าระบบราชการน่ะใช้เส้นสายหนักกว่าธุรกิจเสียอีก แต่ผมโตมาแบบที่เห็นคนวิ่งเต้นหาคุณย่า เห็นชื่อคุณย่าในข่าวตลอดเวลา ผมเป็นอะไรก็ได้ที่ไม่ต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งที่คุณย่าสร้าง สิ่งที่คุณย่าเป็น ผมไม่อยากเป็นอย่างนั้น...แต่...พี่รู้ไหม ผมเจออะไร ตอนผมย้ายไปเป็นปลัดวันแรกๆ ป้าร้านขายข้าวตักหมูให้ผมสี่ชิ้น ตักให้ไอ้ชิตสองชิ้น มารู้ตอนหลังว่าที่แกตักให้ผมมากกว่า เพราะแกอยากให้ผมสนใจลูกสาวแก แกอยากได้ลูกเขยเป็นปลัดที่นามสกุลวงศ์กีรติ ตอนผมรู้ ผมหัวเราะนะพี่ แต่พอกลับมาบ้านผมหัวเราะไม่ออก ระบบที่ผมพยายามหนี แม้แต่ไปอยู่ต่างจังหวัดยังหนีไม่พ้น นามสกุลที่คุณย่าสร้าง แม้แต่กับคนต่างจังหวัด ผมก็ยังหนีไม่พ้น หลังจากนั้นเลยวานพี่สุกให้ช่วยหาข้าวหาน้ำให้แทน...”
ส่วนหนึ่งที่ทำให้จิณณะสนิทสนมกับทองสุกก็เพราะฝ่ายนั้นช่วยจัดหาอาหารมาให้แบบที่เขาไม่ต้องไปรับรู้การพยายามเสนอตัวของคนที่อยากมาผูกสัมพันธ์ สร้างความอุปถัมภ์กับตำแหน่งหน้าที่และนามสกุล
ไม่ว่าสุดท้ายแล้วทองสุกจะอาศัยระบบนี้เช่นกันหรือไม่ แต่จิณณะก็รู้ตัวว่าเขาหนีไม่พ้น หนำซ้ำยังเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างและคงอยู่
“โคตรตลกร้ายเลย ทั้งๆที่ผมพยายามหนี แต่สุดท้ายผมก็ต้องกลับไปหามัน ผมรู้ว่ามันไม่ยุติธรรมกับคนอื่น แต่...คดีไพศาลมันเกี่ยวกับผม เกี่ยวกับพี่ ถ้าต้องเลือกระหว่างความยุติธรรมกับคนอื่น แต่สุดท้ายไพศาลวิ่งเต้นจนหลุดคดีแล้วมันกลับมาทำร้ายคนของผม ผมยอมไม่แฟร์กับคนอื่น เพื่อให้คนของผมรอด”
ในเมื่อมีทางเลือกอื่นที่คาดหวังผลลัพธ์ได้มากกว่า เหตุใดเขาจะต้องปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการที่ไม่รู้ว่าจะเกิดผลกระทบต่อคนของเขามากน้อยแค่ไหน คนประเภทไพศาลย่อมใช้วิธีสกปรกเพื่อให้ตนเองรอด จิณณะจึงต้องจัดการด้วยกระบวนการอยุติธรรมเพื่อกีดขวางทางรอดใดๆของไพศาล
นั่นไม่ต่างจากข้ออ้างเพื่อให้วิธีการของเขาชอบธรรม
ท้ายที่สุดแล้ว...จิณณะก็เป็นมนุษย์ที่เห็นแก่ตัวเหลือเกิน
ความเห็นแก่ตัวของเขาทำให้ไพศาลติดคุกและจบชีวิตอยู่หลังลูกกรง ทำให้ชีวิตของเขาและพิทักษ์เวียนกลับมาบรรจบกันอย่างสงบสุข แต่ผลลัพธ์ของมันก็คือการที่เขาต้องผูกพันอยู่กับสิ่งที่ถูกตราหน้าว่าอยุติธรรมที่สุดสิ่งหนึ่งบนโลกใบนี้...ระบบอุปถัมภ์และเส้นสาย และดูท่าแล้วคงไม่น่าจะหลุดพ้นในห้าปีสิบปีนี้
เขาหันมองคนข้างกาย วินาทีแรกนั้นหวั่นใจหากพิทักษ์มองมาด้วยสายตาผิดหวัง ทว่าอีกฝ่ายกลับยิ้มจางให้เขาอย่างอบอุ่น สายตาที่มองมานั้นไม่ได้ตำหนิติเตียน ทว่ามันเต็มไปด้วยความเข้าอกเข้าใจ
“รู้ไหมว่าพี่ต้องใช้อะไรบ้างในการสร้างสนามกอล์ฟ ถ้าพี่ไม่ใช่หลานของลุงเทียม ต่อให้มีที่ดินผืนใหญ่ ทำเลดี แต่ก็สร้างไม่ได้ หรือต่อให้สร้างได้ ก็ไม่แน่ใจว่าจะมีลูกค้ารึเปล่า ทำธุรกิจต้องรู้จักคน ต้องมีคอนเนคชั่น ถ้าไม่รู้จักใครเลย กระโดดเข้ามาพร้อมกับเงินถุงนึง ภายในสามวันก็หมดเกลี้ยง”
“พี่เองก็บอกไม่ได้ว่าสิ่งที่พี่ใช้มันผิด ถูก ดีหรือเลว มันคงจะเลวถ้าพี่เป็นคนที่มีที่ดินผืนใหญ่ อยากจะลงทุนสร้างสนามกอล์ฟ แต่พบว่าตัวเองไม่รู้จักใครเลย ทำอะไรก็ติดขัดเพราะไม่มีคนหนุน เปิดสนามกอล์ฟได้แล้วก็ไม่มีลูกค้าเพราะไม่มีคนรู้จัก เทียบกับพี่ที่เป็นหลานลุงเทียม คิดจะลงทุนสนามกอล์ฟ ลุงก็ช่วยหาคนที่มีความรู้มาให้คำปรึกษา แค่ลุงเทียมเอ่ยปากก็ไม่มีอะไรติดขัดเพราะคนรอบข้างคิดว่าต่อให้จะมีปัญหาแต่ลุงเทียมก็ช่วยรับผิดชอบได้ พอเปิดสนามกอล์ฟแล้ว เพื่อนของลุงเทียมเป็นลูกค้ากลุ่มแรกๆของสนาม พอเขาว่าดี ก็บอกต่อปากต่อปาก แต่ปากที่บอกต่อมีแต่คนใหญ่คนโต แค่ไม่เกินหนึ่งเดือนสนามกอล์ฟก็มีคิวจองยาวไปครึ่งปี”
นี่คือความไม่ยุติธรรมบนโลกใบนี้ คนรู้จักเป็นทรัพยากรที่มีค่า ฐานะของคนรู้จักก็ยิ่งเป็นสิ่งมีค่า ยิ่งตำแหน่งหน้าที่ฐานะสูง ก็ยิ่งมีอิทธิพลในระบบเศรษฐกิจ สังคมและการเมืองมาก
“จิณคิดว่ากอล์ฟการกุศลของท่านนพพรจะมาถึงมือพี่ไหม ถ้าท่านนพพรไม่รู้จักลุงเทียม” พิทักษ์เอ่ยต่อ ก่อนจะส่ายหน้า คำตอบของคำถามนั้นแน่นอนอยู่แล้ว
“ในประเทศมีสนามกอล์ฟตั้งกี่ร้อยกี่พันแห่ง ต่อให้สนามของพี่จะดีแค่ไหน แต่คำว่าดีมันไม่ใช่แค่ประสิทธิภาพ แต่มันรวมถึงผลลัพธ์อื่นๆด้วย วันนี้ท่านนพพรเลือกใช้สนามพี่ ส่วนหนึ่งก็เพราะที่นี่เหลือแค่ลุงเทียม อีกส่วนคือกรุงเทพฯมีแผนจะขยายเมือง ถ้าสร้างระบบขนส่งมาถึงที่นี่ พวกรถรับจ้าง พวกที่ถูกเวนคืนที่ดินกับชุมชนรอบที่ก่อสร้างจะต้องมีปัญหา และมันจะมีปัญหามากขึ้นถ้าลุงเทียมส่ายหน้า แต่ถ้าลุงเทียมพยักหน้า ปัญหาต่อต้านจากท้องถิ่นก็เงียบไปด้วย”
จิณณะนิ่งฟัง สายตายังจับจ้องคนเล่า พิทักษ์มีท่าทีสงบเหมือนเล่านิทานก่อนนอน ทั้งๆที่เนื้อหาของมันล้วนเต็มไปด้วยผลประโยชน์ของการเมืองและธุรกิจ
...ถ้าไม่เกรงใจกัน จะเทคโน้ต จดเลคเชอร์อาจารย์พิทักษ์แล้วนะเนี่ย...
“ในเมื่อเราเป็นส่วนหนึ่งของมัน เราหนีไม่พ้น ก็ขอให้เรามีกฎเกณฑ์ ขีดเส้นว่าเท่าไรที่เรารับได้ เท่าไรที่เราควบคุมมันได้ แล้วอย่าถลำไปมากกว่าเส้นที่เราขีด ลิมิตของเรากับคนอื่นอาจจะไม่เท่ากัน พี่ก็บอกไม่ได้ว่าเท่าไรมันถึงจะ...ไม่แย่ไปกว่านี้ แต่พี่คิดว่าจิณรู้ว่าสำหรับจิณแล้ว เส้นของจิณอยู่ที่ตรงไหน อยู่กับสิ่งแบบนี้ อย่าขาดสติเด็ดขาด” คนฟังตาแป๋ว ทำเอาพิทักษ์ชักเขินต้องกระแอมไอ เรียกสติคนตั้งใจฟังให้ตื่นจากภวังค์ และวินาทีแรกของการได้สติ ก็กลายเป็นเสียงตบมือแปะๆที่มาพร้อมกับสายตาเป็นประกายแห่งความชื่นชม
“พี่จบได้หล่อมาก นี่ขนาดพูดเรื่องที่เขาด่ากันทั้งเมืองนะเนี่ย”
ฝั่งหนึ่งชื่นชมออกนอกหน้า ย่อมทำให้อีกฝั่งมันเขี้ยวผสมเอ็นดู ชนิดที่อยากคว้าตัวคนมาฟัดสักที
แล้วอยู่กันสองต่อสอง ในพื้นที่ส่วนตัว แม้จะท้าฟ้าท้าดินอยู่บ้างตรงที่ไม่ใช่ห้องหับมิดชิด แต่ดึกดื่นป่านนี้ แถมยังเป็นระเบียงที่ชั้นสองที่ปลอดสายตาคน หากใจอยากคว้ามาฟัดก็ไม่เห็นจะต้องเก็บงำความรู้สึกเลยสักนิด
เสียงตบมือหยุดโดยพลันเมื่อแขนของพิทักษ์โอบร่างเข้าไปกอดซ้อนหลัง แผ่นหลังของจิณณะแนบสนิทกับแผ่นอกของพิทักษ์ ลมหายใจร้อนปะทะใบหูเป็นจังหวะ ชวนให้ใจนิ่งสงบ
นี่ไม่ใช่กอดด้วยเสน่หาแห่งความใคร่ แต่เป็นการกอดเพื่อบอกให้รู้ว่าข้างกายจิณณะยังคงมีพิทักษ์ และข้างกายพิทักษ์ยังคงมีจิณณะ
โลกภายนอกนั้นเต็มไปด้วยผลประโยชน์ การแย่งชิง การไขว่คว้าทรัพยากรที่จำกัด ในแต่ละวันล้วนพบเจอเรื่องที่ยากลำบาก ถูกบีบคั้นด้วยเหตุและผลทั้งของตนเองและของผู้อื่น อาจจะต้องเผชิญกับมันเพียงลำพัง รับรู้และแก้ปัญหาด้วยสติปัญญาและความคาดคะเนแต่เพียงผู้เดียว
แต่...เมื่อกลับเข้ามาอยู่ที่นี่ จิณณะพบว่าต่อให้เขาจะพบเจออะไรมา ต่อให้สิ่งที่ประสบจะสร้างความอึดอัดคับใจมากเพียงใด เขาสามารถบอกเล่าได้ มีคนพร้อมจะนั่งอยู่ข้างๆ รับฟังโดยไม่ตัดสินหรือพิพากษา แต่ให้คำปรึกษาและเป็นกำลังใจเพื่อออกไปผจญกับโลกภายนอกในวันต่อๆไป
พิทักษ์เป็นทั้งคนที่ปกป้อง เป็นที่ปรึกษา และเป็นเป้าหมายของชีวิต
เป็นทั้ง ‘พิทักษ์’ และเป็นทั้ง ‘ทิศทาง’
“พี่ทิศ...จะโกรธผมไหม ถ้าผมบอกว่าวันนี้ผมดีใจ...ที่วันนั้นผมเลือกที่จะไปขอให้พี่มาช่วย...”
ความทรงจำเมื่อไม่นานมานี้ ทว่ามันเป็นเหตุการณ์ที่เปลี่ยนชีวิตของคนสองคนไปอย่างสิ้นเชิง
จิณณะบุกไปพบจิดาภาพร้อมด้วยบิดามารดา เพื่อขอความช่วยเหลือให้พิทักษ์มาคบหากัน เหตุผลบังหน้าคือตบตาคุณกอบกุลที่คิดจะจับเขาแต่งงาน แต่เหตุผลเบื้องลึกคือการใช้อิทธิพลหลานของคุณเทียมกลับเข้ามาในพื้นที่เกิดเหตุอุกฉกรรจ์และจิณณะคือพยานในที่เกิดเหตุนั้น
จากญาติห่างๆที่เคยพบเคยเจอกันสมัยเด็กๆ ก่อนจะร้างลาไปเมื่อเติบโต จนความทรงจำก็ยังลบเลือนการมีตัวตนของอีกฝ่ายไปแล้ว สู่การกลับเข้ามาในชีวิตของกันและกันอีกครั้ง และเกือบทำให้พิทักษ์ไปเหยียบปรโลกมาแล้ว
ความสัมพันธ์ที่แสนห่างไกล สู่ความรู้สึกผูกพันแน่นแฟ้น ต่อให้นับจากนี้จะมีเรื่องใดเกิดขึ้น แต่ช่วงชีวิตหนึ่งที่เคียงบ่าเคียงไหล่ ต่อสู้เพื่ออีกฝ่ายก็ล้วนถูกจดจำเอาไว้ด้วยใจ
“ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ผมก็จะยังเลือกให้พี่ช่วยผมอยู่ดี ต่อให้ตอนนั้นพี่จะหยิ่ง พี่จะทำหน้าดุ ผมก็จะตื้อพี่ให้ได้ แล้ว...พี่ก็ต้องเจ็บตัว ถูกยิง...” เป็นความเห็นแก่ตัวที่แม้แต่จิณณะเองก็ยังรู้สึกรังเกียจตนเอง แต่พอคิดว่าหากย้อนเวลากลับไปแล้วเลือกที่จะไปขอความช่วยเหลือจากคนอื่น แล้วพบว่าวันนี้...ไม่มีพิทักษ์อยู่ข้างกายอย่างนี้ เขาก็คง...เป็นจิณณะที่ไม่ใช่จิณณะคนนี้อีกแล้ว
อ้อมกอดกระชับแน่นขึ้นราวกับจะดึงคนพูดให้กลับมารับรู้ความจริง ความจริงที่ว่าพิทักษ์ยังอยู่ตรงนี้ และการย้อนเวลากลับไปไม่อาจเกิดขึ้นได้
ไม่ว่าอย่างไร จิณณะก็ขอให้พิทักษ์มาช่วยแล้ว และไม่ว่าวันนั้นพิทักษ์จะทั้งหยิ่ง ทั้งดุเพียงใด และจิณณะจะใช้ลูกล่อลูกชนจนไม่น่าช่วยเหลือมากแค่ไหน แต่สุดท้ายพิทักษ์ก็เลือกที่จะช่วยอยู่ดี
“พูดแต่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้” เสียงทุ้มดังข้างหู ประโยคราบเรียบ ฟังแล้วเหมือนถูกดุอยู่หน่อยๆ จนต้องเอี้ยวหน้าไปมอง
“พี่ไม่เคยโกรธจิณ แล้วเวลาก็ย้อนกลับไปไม่ได้ ไม่ว่าวันนั้นจิณจะเลือกให้พี่ช่วยเพราะอะไร แต่ถ้าวันนี้จิณบอกว่าดีใจที่ให้พี่ช่วย พี่ก็ดีใจเหมือนกันที่ทุกอย่างมันเป็นแบบนี้...”
การให้คำนิยามคำว่า ‘แบบนี้’ ของพิทักษ์ คือการที่มือของเขาแตะปลายคางของจิณณะ ก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปหาแล้วแนบจูบแผ่วเบาลงกับริมฝีปากของคนในอ้อมแขน
ความรู้สึกที่ท่วมท้นเต็มอกไม่จำเป็นต้องกลั่นออกมาเป็นคำพูด การกระทำที่มีต่อกันล้วนชัดเจน พวกเขาจะเคียงข้างกัน เป็นกำลังใจ เป็นสติ เป็นจุดมุ่งหมายของชีวิตให้คำนึง ต่อให้ต้องเผชิญกับกระแสของผลประโยชน์ อำนาจ และบารมี มากเพียงใดก็ตาม
พิทักษ์จะปกป้องจิณณะด้วยชีวิต เหมือนที่จิณณะจะสู้เพื่อพิทักษ์ชนิดไม่มีล่าถอย
โลกยังคงยุ่งเหยิงและบิดเบี้ยว กอบโกยผลประโยชน์ ไขว่คว้าอำนาจและบารมี เอื้ออำนวยพวกพ้อง ต่างคน ต่างเหตุผล ต่างกรรม ต่างวาระ ชีวิตมนุษย์หาใช่เวียนว่ายแค่เพียงวัฎสงสาร แต่ยังต้องดิ้นรนและไขว่คว้า การแย่งชิงและกีดกันนำไปสู่ระบบแห่งความอยุติธรรม ทว่าสิ่งหนึ่งที่ยุติธรรมที่สุดบนโลกแห่งความอยุติธรรมใบนี้ก็คือเมื่อเลือกทางใดแล้ว ย่อมต้องยอมรับผลที่จะตามมา
วิถีคนดี วิถีคนชั่ว กระบวนการที่เป็นธรรม กระบวนการที่ไร้ความยุติธรรม เส้นสาย ความเสมอภาค
และ...ไม่มีอะไรนอกเหนือจากระบบอุปถัมภ์
‘วันนี้คุณช่วยเรา วันหน้าเราก็จะช่วยคุณ
วันนี้คุณมีน้ำใจกับเรา วันหน้าเราก็จะมีน้ำใจกับคุณ
แต่ถ้าวันนี้คุณไม่มีน้ำใจกับเรา วันหน้า...เราขอคิดก่อนว่าจะมีน้ำใจกับคุณหรือไม่
และถ้าวันนี้คุณไม่ช่วยเรา วันหน้า...คุณยังกล้าหวังให้เราช่วยคุณอีกหรือ’
กอบกุล วงศ์กีรติ[/i]
FIN
สวัสดีค่ะ
ความตั้งใจแรกของเรื่องนี้คือการจบด้วยชื่อเรื่องและนางเอกของเรื่องค่ะ ฮ่าฮ่า
ตอนที่คิดจะหยิบเรื่องนี้กลับมาเขียน(หลังจากดองไว้นาน) ก็คิดอยู่ว่างานที่ออกมาจะกลายเป็นให้ความชอบธรรมกับระบบอุปถัมภ์รึเปล่านะ (อย่างที่เราก็รู้กันดีว่ามันค่อนข้างจะเป็นศัพท์ที่ถูกวิพากษ์เยอะมากๆ) แต่ก็ตัดสินใจว่าอยากเขียนแล้วชวนคนอ่านตั้งคำถามว่าจริงๆแล้วระบบอุปถัมภ์มันมีขอบเขตกว้างแคบแค่ไหน และตัวเราเองพ้นจากการเป็นส่วนหนึ่ง(ที่ทำให้มันคงอยู่)จริงๆหรือ
จิณเอง บางช่วงก็เต็มใจใช้ แต่มีบางช่วงถึงไม่เต็มใจแต่ก็ตัดสินใจจะใช้ อย่างตอนที่คิดจะจัดการไพศาล ในสถานการณ์ที่เราคาดว่าอีกฝ่ายจะเล่นสกปรกแน่ๆ เราจะใช้ตัวเลือกอื่นนอกจากกระบวนการตามกฎหมายหรือไม่ ไพศาลเองอาจจะไม่อยากใช้เส้นสาย แต่เพราะเห็นว่าจิณเองก็มีเส้นสาย อาจจะไว้ใจได้ว่าจิณจะไม่ใช้ แต่ญาติของจิณอย่างคุณกอบกุลก็น่าจะใช้แน่ๆ หากตัวเองไม่ใช้ ก็จะกลายเป็นเสียเปรียบ ความไม่เชื่อใจและต้องการเอาตัวรอดผลักดันให้จิณ(หรือไพศาล) ใช้ตัวเลือกอื่นนอกจากกฎหมาย
รากฐานของระบบอุปถัมภ์ในเรื่องนี้ บัวเขียนถึง 2 อย่าง คือ
1.พวกพ้อง ญาติพี่น้อง เส้นสาย(บางคนแยกคอนเนคชั่นออกจากระบบอุปถัมภ์ แต่ในเรื่องนี้ บัวเชื่อมมันเข้าด้วยกัน การที่รู้จักใคร หรือใครแนะนำใครให้กับใคร มันสร้างความได้เปรียบส่วนหนึ่ง ความได้เปรียบนี้นำไปสู่ความรู้สึกของการใกล้ชิดและบุญคุณ อย่างพี่ทิศเองก็คงไม่ช่วยวรชิต ถ้าไม่ใช่เพราะว่าวรชิตเป็นเพื่อนของจิณ ส่วนวรชิตจะรู้สึกถึงบุญคุณของพี่ทิศหรือจิณมั้ย อันนี้ทิ้งไว้ เผื่อเขียนตอนพิเศษ ฮ่าฮ่า)
2.บุญคุณและการต่างตอบแทน
ตัวละครทุกตัวในเรื่องมีเหตุผลข้อใดข้อหนึ่งหรือทั้งสองข้อกำกับอยู่ในแทบจะทุกๆการกระทำเลยค่ะ
จิณเลือกให้พี่ทิศช่วยเพราะคิดว่ายังไงแม่ตนเองก็เป็นพี่สาวของแม่เลี้ยงของพี่ทิศ และพี่ทิศก็ถูกเลี้ยงมาอย่างดี ยังไงก็ต้องตอบแทนบุญคุณ พี่ทิศเองก็ช่วยเพราะเห็นแก่บุญคุณที่จิดาภามีต่อตนเองเหมือนกัน
คุณกอบกุลช่วยจิณ เพราะเห็นแก่ว่าเป็นหลาน ลองว่าจิณปากแบบนี้แล้วเป็นคนอื่น นอกจากคุณกอบจะไม่ช่วยแล้ว ยังเอาตายด้วยค่ะ ฮ่าฮ่า
พวกท่านๆทั้งหลายก็เช่นกัน ช่วยคุณเทียมปรามไพศาลก็เพราะหวังสร้างบุญคุณต่อกัน ยอมโอนอ่อนตามการชักจูงของคุณกอบกุลก็เพราะหวังเส้นสายในอนาคต
เห็นมะ...นี่คือนิยายชวนคิด ชวนตั้งคำถาม ฮ่าฮ่า
อีกอย่างหนึ่งที่ไม่ได้เฉลยในเรื่องนี้คือเรื่องชื่อ
หลายๆคนที่อ่านงานของบัวมา คงพอจะจับทางได้ว่าบัวมักตั้งชื่อพระเอกนายเอกแบบที่มีความหมายเกี่ยวข้องกับเรื่อง ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
พี่ทิศชื่อพิทักษ์ก็เพราะแกเป็นพระเอกผู้เสียสละ พลีชีพเพื่อนายเอก ชื่อพิทักษ์ถูกต้องแล้ว
ส่วนจิณณะ...เปิดตำราตั้งชื่อเด็กแล้วพบว่าแปลว่า ประพฤติแล้ว ก็เลยเอามาใช้เลยค่ะ เพราะจิณทำทุกอย่างแล้ว(โดยที่บางทีก็คิดก่อนทำ บางทีก็คิดหลังทำ ฮ่าฮ่า)
แต่คุณกอบกุล ไม่ได้มาจากกอบโกยนะคะ ตอนเห็นคอมเม้นท์นี้ บัวขำก๊าก
มีเรื่องหนึ่งที่อยากจะบอกทุกคนมากๆ คือคำว่าขอบคุณค่ะ ช่วงที่ผ่านมาบัวกลับมาเรียนโท ซึ่งเรียนด้วย ทำงานด้วย และเขียนนิยายด้วย มีหลายครั้งที่คิดจะหยุดสักอย่างเพราะปรับตัวไม่ได้ เหนื่อยและจิตตก แต่จะหยุดเรียนก็ไม่ได้(จ่ายค่าเทอมไปแล้ว) จะหยุดทำงานก็ไม่ได้(ต้องหาค่าเทอมของเทอมต่อไป) จะหยุดเขียนนิยายก็ไม่ได้(เพราะสัญญากับคนอ่านไว้แล้วว่าจะเอาลงภายในปีที่แล้ว) สุดท้ายก็เลยทำทั้งสามอย่างพร้อมกัน
บัวเป็นคนพลังงานต่ำมากค่ะ (ขี้เกียจนั่นเอง ฮ่าฮ่า) ไม่คิดเหมือนกันว่าจะทำทั้งสามอย่างพร้อมกันมาจนถึงวันนี้ได้เลย ส่วนหนึ่งก็เพราะกำลังใจจากคนอ่าน คนคอมเม้นท์ เวลาที่เหนื่อยมากๆ จิตตกมากๆ กลับมาอ่านคอมเม้นท์แล้วก็รู้สึกว่างานเขียนของบัวสร้างความสุขให้คนอื่นได้ พอคิดแบบนั้นมันช่วยฮีลตัวเองได้เยอะเลยค่ะ ขอบคุณมากนะคะ ขอบคุณพื้นที่บอร์ดที่ทำให้บัวมีที่ทางสำหรับสื่อสารกับคนอ่านด้วยค่ะ
เจอกันใหม่กับตอนพิเศษสัปดาห์หน้า (นี่คือตัวอย่างพวกจบไม่จริง ฮ่าฮ่า)
หลังจากนี้จะขอพักสักหน่อย (ส่วนใครรอเล่มเรื่องนี้ ถ้ามีรายละเอียดเพิ่มเติม บัวจะมาแจ้งอีกทีนะคะ)
เจอกันสัปดาห์หน้าสำหรับตอนพิเศษเรื่องนี้ และเดือนหน้า ถ้ายังไม่มีเรื่องใหม่มาลง ก็เจอกันตอนพิเศษอีกสักตอนของเรื่องไหนสักเรื่องละกันเนอะ อิอิ