วาระซ่อนเร้น
By: Dezair
………………..
ตอน คนขี้หึง
งานสำคัญประจำปีงานหนึ่งของคณะรัฐศาสตร์คือ งานสองสิงห์ เป็นการแข่งขันฟุตบอลเพื่อกระชับมิตรระหว่างคณะรัฐศาสตร์จากสองมหาวิทยาลัย
เจียระไนอยู่คณะนี้มาสี่ปี และเป็นสี่ปีที่มีคุณภาพยิ่งเพราะแทบจะไม่เคยร่วมกิจกรรมใดๆเลย แน่นอนว่างานสิงห์ๆอะไรนี่ก็เช่นกัน...แต่...ปีสุดท้ายของชีวิตนิสิตจะเป็นปีแรกที่เจียระไนมองผ่านไม่ได้
“วันเสาร์นี้มึงมาคณะกี่โมงอ่ะ โจ๊ก”
นั่งกินข้าวด้วยกันอยู่ในโรงอาหาร สิตางศุ์ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก็วางช้อนหันไปหยิบเก็กฮวยมาดูดแล้วตั้งคำถามกับคนที่กินข้าวเสร็จไปเมื่อ 5 นาทีก่อน แต่ยังนั่งแช่รอคนกินช้า
“วันเสาร์? มาทำไม มึงจะมาห้องสมุดเหรอ” หนุ่มตาเรียวย้อนถาม
“ไม่ใช่สิ วันเสาร์นี้มีบอลไง”
“บอล? บอลไรวะ”
“ก็ฟุตบอลสองสิงห์ อ่า...จริงด้วย มึงไม่เคยมาเลยสิ อ๊ะ...แต่ว่าแต่ก่อนพี่ตฤณก็อยู่ชมรมฟุตบอลไม่ใช่เหรอ” ตฤณคือพี่รหัสของเจียระไน แต่ก็เป็นเรื่องที่แน่นอนเช่นเคยว่าน้องรหัสเกรดเอพรีเมียมย่อมไม่สนใจจะรู้ว่าพี่ตัวเองอยู่ชมรมไหน
“กูจะไปรู้เหรอ แล้ววันเสาร์นี้มึงจะมาทำไม เขาเตะบอลกัน มึงจะลงไปเตะกับเขารึไง”
“ก็ไอ้กตลงให้คณะ กูก็ต้องมาเชียร์มันสิ” คำพูดประโยคสั้นๆ แต่กระตุกหัวใจคนฟังจนหน้าชักจะหงิก
...เนี่ย เวลาเชียร์ผู้ชายคนอื่นแม่งพูดด้วยหน้าตาซื่อๆใสๆไม่เห็นใจกูบ้างเลยนะ...
“โจ๊กมาด้วยกันนะ ปีสุดท้ายแล้ว”
...อ่า...กูจะอภัยที่มึงเชียร์ไอ้เชี่ยกตก็ตอนมึงชวนกูเนี่ยแหละ...
“มาดูบอลแป๊บเดียว ไม่ต้องดูน้องเชียร์โต้ก็ได้”
...คือจริงๆก็ใจไปกับไอ้โซ่เกินร้อยแหละ แต่แบบ...ตื้อกูอีกนิดสิวะ อ้อนกูอีกหน่อย...
ร่างสูงทำตัวยากเหมือนกำลังตัดสินใจ หันไปหยิบน้ำกระเจี๊ยบมาดูด ทั้งๆที่เหลือแต่น้ำแข็ง
“ถ้ามาด้วยกัน เดี๋ยววันนี้เลี้ยงน้ำกระเจี๊ยบอีกแก้ว แล้ววันนั้นไปหาข้าวกินกันต่อ” สิตางศุ์ชวนด้วยรอยยิ้มหวาน เห็นคนตรงหน้าตั้งหน้าตั้งตาดูดอากาศแทนน้ำแล้วก็ยิ่งเอ็นดู เจียระไนเหมือนจะตรงไปตรงมา แต่บางทีก็ชอบทำตัวให้ง้อเรื่อยเลย
...อย่างกับเด็กๆ...
หนุ่มปกครองไม่พูดอะไร แต่ชี้นิ้วไปที่ร้านขายน้ำ
“ไปซื้อสิ”
ถูกจ้างด้วยน้ำกระเจี๊ยบแก้วเดียวและกินข้าวด้วยกันอีกมื้อ หัวใจที่แข็งแกร่งประดุจกำแพงเมืองจีนก็ไม่ต่างอะไรกับเทียนไขโดนไฟลน
...หลอมเหลว...ไหลเป็นน้ำ...อาเมน...
............................
เสียงเชียร์ดังกระหึ่มจากสองฝั่งของสนามฟุตบอลที่มีนิสิตนักศึกษาเท่าหยิบมือ ตามประสาคณะอินดี้ๆที่มีทรัพยากรไม่ถึงหมื่นคน แต่ที่ดูจะดังกว่าเสียงเชียร์คือเสียงพากย์จากสองซี้ต่างมหาวิทยาลัยที่โลกเหวี่ยงมาเจอกันด้วยเพราะต่างรักและชื่นชมผู้ชายหน้าตาดีเป็นอุปนิสัย
“อร๊ายยยยย พี่ลิลลี่ขา ติซซี่ขอพูดเลยนะคะ ถ้าเปลี่ยนสนามบอลเป็นแคทวอร์ค ผู้ชายเหล่านั้นของพวกเราก็นายแบบดีๆนี่แหละคร่าาาา ดูเบอร์สิบค่ะ เบอร์สิบ เบอร์สิบเสื้อเหลือง เอ้า! เสื้อเหลืองแรงฤทธิ์ แรงฤทธิ์ เสื้อเหลือง วู้วววว” ติซซี่ปีสองจากคณะรัฐศาสตร์ซึ่งทีมตัวเองใส่เสื้อขาวออกอาการอย่างไม่ภักดีในฝั่งของตนอีกต่อไป ในเมื่อเบอร์สิบเสื้อเหลืองหล่อกรุบกริบแถมกำลังได้ลูกบุกไปถึงหน้าประตู
“ติซซี่ เสื้อเหลืองนั่นทีมพี่ค่ะ ทีมหนูเสื้อขาว“
“แหม เรากรรมการก็ต้องเป็นกลางเชียร์ทีมไหนก็ได้สิคะ อร๊าย ยิงแล้วค่ะ! ยิงแล้ว! เบอร์สิบมารับรางวัลจากน้องค่ะ!!”
“เอ้า! งั้นหนูเชียร์เสื้อเหลือง พี่จะเชียร์เสื้อขาวนะคะ เฮียกตเบอร์สี่หล่อเสมอต้นเสมอ...อ๊ะ! ตายห่านค่ะติซซี่! ที่ขาวๆเดินอยู่นั่นใช่พี่โซ่ไออาร์ในตำนานของหนูรึเปล่าคะ” จากกรรมการพากย์ในสนาม กลายเป็นสายตาไถลออกนอกสนามไปแล้วเมื่อเห็นใครบางคนในชุดเสื้อยืดสีขาวกางเกงยีนส์กำลังเดินเลาะริมสนามตรงมายังโต๊ะนักพากย์ริมสนามฟุตบอล
ในสนามเองก็ดูเหมือนจะหยุดเกมไปชั่วอึดใจ โดยเฉพาะทีมเสื้อเหลืองจากต่างถิ่นที่ไม่ค่อยจะได้เจอของดีในตำนานของคณะคู่แข่งตัวเองมากนัก เลยพากันมองความขาวกันตาไม่กะพริบ
แต่...งานนี้ ‘โซ่ ไออาร์’ ของดีปีสี่ไม่ได้โสดเหมือนที่แล้วๆมา เพราะเจ้าตัวพก ‘เจ้าที่’ มาด้วย
“เฮ้ย! มองเชี่ยอะไร?!” และเจ้าที่รายนี้ก็ดุมาก ตะโกนทีเดียวดังลั่นไปทั้งสนาม
ทีมเสื้อเหลืองสะดุ้งกันเป็นทิวแถว รีบพากันหันกลับไปจดจ่อกับเกมในสนามแทบไม่ทัน แต่...ก็ช้าเกินไปเสียแล้ว เพราะฝั่งทีมเสื้อขาวลากบอลไปถึงหน้าประตู แล้วซัดตุงตาข่ายตามตีเสมอก่อนกรรมการเป่าหมดเวลาครึ่งแรกแค่ไม่กี่วินาที
จบครึ่งแรก เสมอกัน 1-1
...............................
“โทษทีที่มาช้า กูมัวแต่แวะซื้อของ อ่ะ...มีขนมมาให้น้องๆที่ขึ้นสแตนด์ด้วย เอาไปแจกทีนะ” คนผิวขาวจัดเอ่ยปากตอนพักครึ่งที่ได้พบหนึ่งในเพื่อนซี้ที่ลงเเข่งในนามคณะ อลงกตคือคนที่ยิงตีเสมอในขณะที่คนทั้งสนามทั้งใจทั้งตาลอยไปอยู่กับสิตางศุ์
“มาช้า แต่มาแล้วชัวร์ว่ะ มึงมาปุ๊บ พวกนั้นเป๋ปั๊บ” เพื่อนคนหนึ่งที่อยู่ฝ่ายสวัสดิการโผล่มารับขนมแถมชมอีกหนึ่งยก เพราะสิตางศุ์โผล่มาแท้ๆ พวกนั้นเลยหลงความขาวจนตาพร่า สติสตังไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
“เป๋อะไร กูก็เห็นเขาเล่นกันดี อ่ะ...นั่นไอ้นิกก็มา เดี๋ยวกูไปทักก่อน” คนผิวขาวจัดมองไปอีกฝั่งสนาม เห็นหนึ่งในหมู่นักเตะเสื้อสีเหลืองมีคนที่ตนรู้จักพอดี เขากำลังจะเดินตัดสนามช่วงพักครึ่งไปทักทาย แต่ถูกคว้าแขนไว้ก่อน
“เฮ้ย! มึงจะไปไหน” คนคว้าไม่ใช่ใครที่ไหน เจียระไนที่ยังตาขวางนั่นเอง
“ไปหาเพื่อนแป๊บนึง มึงรออยู่กับพวกนี้ก่อนนะ” แล้วร่างโปร่งก็วิ่งเหยาะตัดสนามไปอีกฝั่ง เจียระไนยังมัวแต่งงที่คนรักวิ่งไปหาฝั่งตรงข้าม มาได้สติก็ตอนที่กองเชียร์ฝั่งนั้นส่งเสียงกันยกใหญ่ที่ของดีในตำนานไออาร์ฝั่งนี้ ข้ามถิ่นไปหา
“นั่นไอ้นิกเพื่อนมัน เบอร์สิบ” พฤกษาเอ่ยปากตามประสาคนรู้เช่นเห็นชาติความรู้สึกของเจียระไนดี
“รู้จักกันในงานสองสิงห์ตอนปีหนึ่ง ไอ้นิกเคยเตะบอลโดนแขนไอ้โซ่จนช้ำ หลังจากนั้นแม่งก็มาหาที่คณะบ่อยๆ พี่เวฟก็รู้จัก” อลงกตพูดลอยๆ และคำพูดของเขาก็ทำเอาเจียระไนทิ้งทุกอย่างที่ตรงนี้แล้วแทบจะลอยลิ่วไปสถิตอยู่ข้างสิตางศุ์ในวินาทีนั้น!
พฤกษามองตามแผ่นหลังเพื่อนร่วมรุ่นแต่ต่างภาคฯที่เหาะไปยืนข้างสิตางศุ์แล้วส่ายหัว
“โจ๊กแม่งขี้หึงฉิบหาย” เขาบ่น ก่อนจะเหล่มองเพื่อนซี้ชมรมฟุตบอลที่เทน้ำกรอกปากเหมือนไม่สนใจแล้วก็ชักหมั่นไส้ที่รายนี้ขยันสร้างความร้าวฉานให้ครอบครัวครัวคนอื่นนัก
...ตบหัวแม่งสักทีเถอะวะ!...
“โอ้ย! เชี่ยแพท! ตบหัวกูทำไม!!”
“มึงก็ขาเสี้ยม” ไม่ทันได้ด่าอะไรมากกว่านั้น เสียงเป่านกหวีดเพื่อเรียกรวมตัวนักฟุตบอลก็ดังขึ้น สิตางศุ์และเจียระไนวิ่งตัดสนามกลับมาที่ฝั่งตนเอง ได้ยินเสียงแว่วๆที่คนผิวขาวจัดหันไปพูดกับคนข้างกายที่ทำหน้าบูด
“นิกเตะบอลอัดแขน? โอ้โฮ เรื่องตั้งแต่ตอนปีหนึ่ง กูลืมไปแล้วนะเนี่ย”
“ลืมแล้วทำไมยังคบกับมัน”
“อ้าว ก็มันนิสัยดี หลังจากนั้นก็มาหาที่คณะเลยอ่ะ แวะมาแทบทุกวันจนแขนกูหายช้ำเลย” คนหน้าบูดกลายเป็นหงิกกว่าเดิม
“มันเป็นยาแก้ฟกช้ำรึไง! มาทุกวันแล้วมึงหาย!?!”
“เปล่า แต่มันเอายามาทาให้เฉยๆ...” ยิ่งฟังยิ่งไม่เข้าหู จากอารมณ์เต็มร้อย กลายเป็นอารมณ์ชักจะล้นปรี่ เจียระไนเริ่มหายใจฟืดฟาด
“แล้วพี่รหัสมึงยอมได้ไง?!” สิตางศุ์เอียงคออย่างงุนงงกับคำถามที่เหมือนจะเต็มไปด้วยอารมณ์ของคนข้างกายที่เดินข้างกันจนพ้นเขตสนาม
“ทำไมจะไม่ยอมล่ะ พี่เวฟก็ยังบอกว่าไอ้นิกนิสัยดีเลย”
“แล้วกูกับมันใครดีกว่ากัน?!” คราวนี้ดวงตาคู่สวยกะพริบปริบๆที่จู่ๆคำถามประหลาดๆก็ดังมาจากคนตาเรียว
“เอามาเทียบกันทำไม”
“กูถามให้มึงตอบ! ไม่ใช่ให้มึงย้อนถาม!!”
“นิกก็ดี มึงก็ดี”
“เหอะ!!” สั้นๆ ไม่มีความหมาย แต่ได้ใจความ เพราะหลังจากนั้นเจียระไนก็หมุนตัวเดินไปนั่งกับปราการเพื่อนสนิทแล้วเมินใส่สิตางศุ์ทันที!
…ไอ้โจ๊กของอนสักทีเถอะวะ อะไรคือคำว่า ‘นิกก็ดี มึงก็ดี’ คนอย่างกูต้องดีเหนือกว่าคนอื่นโว้ยยยยย!!...
.............................
ปราการเหลือบตามองคนหน้าหงิก ปกติเจียระไนก็ไม่ใช่คนยิ้มแย้มอยู่แล้ว ยิ่งตอนนี้นอกจากจะไม่ยิ้มยังคิ้วขมวดปล่อยพลังอำมหิตตลอดเวลาอีกต่างหาก ส่วนคนที่ทำให้มันเป็นแบบนี้ ก็นู่น...ตัวขาวๆที่กำลังส่งขนมแจกน้องๆที่ขึ้นสแตนด์นั่นล่ะ เด็กๆปีหนึ่งร้องเพลงกันลืมตายไปแล้วมั้ง มีพี่สวัสดิการเฉพาะกิจหน้าตาดี แถมยิ้มสวยมาให้กำลังใจแบบนั้น
“เบอร์สิบนั่นเพื่อนไอ้โซ่เหรอวะ” สาบานว่าไม่ได้อยากแซะแผลในใจเพื่อนสนิท แต่ปราการก็ขอถามเอาไว้ประดับความรู้สักหน่อย
“ถามทำเชี่ยอะไร!!” …อู้ฮู ถามประโยคแรกก็โดนด่าประโยคแรกกันเลยทีเดียว…
คนถามหัวเราะอย่างไม่ถือสา เขาเห็นตั้งแต่ตอนที่เจียระไนตามไปเป็นเจ้าที่ให้สิตางศุ์ถึงฝั่งนู้นแล้ว ยิ่งพอกลับมา ไม่รู้เดินคุยอะไรกัน ‘ไอ้โจ๊ก’ ยิ่งหน้าหงิกขนาดหนักจนหนีมานั่งข้างเขา แทนที่จะตามเป็นเงา ‘แฟนมัน’ เหมือนทุกที
“อ้าว ก็กูอยากรู้ เมื่อกี้เห็นโซ่ไปทัก”
“เออ! เพื่อนมัน! เพื่อนนิสัยดี! เพื่อนโคตรดี! ไม่รู้แม่งจะดีอะไรนักหนา?!!”
“เพื่อนดีมึงก็ด่า อยากให้โซ่คบเพื่อนเชี่ย บอกมันให้มาคบกู” ดวงตาเรียวตวัดจึ้กมามอง
“มึงอยากตายตอนนี้มั้ย?!”
“คบแบบเพื่อนครับ คบเเบบเพื่อน หึงไม่เข้าเรื่องเลยมึงเนี่ย” ปราการพูดแล้วเหลือบตามองไปที่สิตางศุ์ รายนั้นแอบมองมาที่พวกเขาบ่อยๆ ดูก็รู้ว่าคนซื่อๆที่ไม่ค่อยสังเกตสังกาอะไร ก็คงจะพอมองออกว่าเจียระไนกำลังงอนขนาดหนัก
“โจ๊ก ไอ้โซ่แอบมองมึง” เขากระซิบบอกเพื่อนเสียงเบา ท่าทีมันชะงักไปนิดหน่อย หัวคิ้วคลายออกนิดนึง แต่ก็ยังทำนิ่ง
…ดูรู้เลยว่าแม่งกำลังเล่นตัว…
“ท่าทางมันจะอยากง้อ...” เขาหยอดไปอีกหน่อย แต่เพื่อนสนิททำตัวน่าเตะมากด้วยการทำเป็นมองเมินไปทางอื่นแล้วพูดกระแทกกระทั้น
“แล้วไง?! อยากง้อกูแต่ไปยืนแจกของบนสแตนด์ กูจะได้รับผลบุญด้วยมั้ยล่ะ?!!”
จริตยิ่งกว่าติซซี่ ปราการถึงกับส่ายหัว
“ไอ้ห่า ทำตัวยากอีก เดี๋ยวมันก็ไม่ง้อหรอก”
แล้วจากนั้น เขาก็เลิกสนใจเพื่อนซี้แล้วหันไปดูเกมในสนามต่อ
เสียงเชียร์ยังคงดังกระหึ่ม เสียงพากย์ของลิลลี่และติซซี่ยังคงดังต่อเนื่อง แต่สุดท้ายก็ยังไม่มีใครยิงประตูเพิ่มอีก
จบเกม เสมอกันเช่นเดิม 1-1
พิธีกรรมหลังเกมจบคือการจับไม้จับมือตามประสานักกีฬาที่ดี ทั้งนักบอลในสนาม ข้างสนาม กรรมการหรือแม้แต่คนพากย์ก็วิ่งลงไปจับมือด้วย และมันคงจะดีกว่านี้ ถ้าการจับมือจะหยุดอยู่แค่ในสนาม...ไม่ได้ลุกลามมาที่สแตนด์
“เฮ้ยๆ! เบอร์สิบๆ!” ปราการร้อง เสียงโห่ดังกระหึ่มเมื่อหนุ่มเบอร์สิบเสื้อสีเหลืองเดินฉีกตัวจากคนอื่นๆออกมาที่ข้างสนาม ตรงดิ่งมาหาใครบางคนที่ยืนอยู่ใกล้สแตนด์เชียร์ และใครคนนั้นคือ…สิตางศุ์…
เจียระไนหันขวับไปมองแล้วลุกขึ้นยืนทันควัน
เบอร์สิบเสื้อเหลืองถึงตัวสิตางศุ์แล้ว…จากนั้นก็…ถลาเข้าไปกอด!
จากตาเรียวๆตามแบบลูกหลานคนจีนเบิกโตยิ่งกว่าไข่ห่านในวินาทีนั้น ฝั่งคณะต้นสังกัดของสิตางศุ์เงียบกริบเป็นป่าช้า มีแค่ฝั่งตรงข้ามที่โห่ไม่หยุด แต่สุดท้ายก็พากันเงียบหมดเมื่อถูกสะกิดให้หันไปดู ‘เจ้าที่ตัวจริง’ ที่ยืนจ้องเขม็ง
“เกิดไรขึ้น” ไอ้หนุ่มเบอร์สิบปล่อยกอดเพื่อนต่างมหาวิทยาลัยแล้วถามงงๆ มองไปมองมาก็เห็นสายตาของใครบางคนจ้องมาที่เขาเหมือนจะฆ่าให้ตายตรงนี้ และใครคนนั้นก็คือคนที่ตามสิตางศุ์ไปถึงฝั่งของพวกเขาเมื่อตอนพักครึ่ง
“อ้อ…ที่เขาลือไปกันว่ามึงมีแฟนแล้วนี่เรื่องจริงเหรอ” เขาหันไปถามเพื่อนผิวขาวจัดที่แม้จะอยู่คนละมหาวิทยาลัยแต่ก็รู้จักกันเพราะงานนี้เมื่อสามปีก่อน
“ก็...อืม”
“ไอ้นั่นใช่มั้ย ที่จ้องกูน่ะ”
“อ่า...อืม...”
“เสียดาย กูจีบมึงซะตั้งแต่เมื่อตอนปีหนึ่งก็ดีล่ะ”
“หา?!” สิตางศุ์ร้องหันมองอย่างไม่เชื่อหู ทว่าคนพูดกลับหัวเราะเหมือนไม่ใช่เรื่องจริง
“มาๆ มาแนะนำให้กูรู้จักหน่อย” แล้วไอ้หนุ่มเบอร์สิบก็ทำตัวกล้าหาญ คว้าแขนขาวจูงสิตางศุ์ที่กำลังหน้าเสียตรงไปหาเจียระไนที่ยืนทำหน้าถมึงทึง
…โกรธแน่ๆ โจ๊กโกรธแน่ๆ…
“แนะนำสิโซ่ แฟนมึงเนี่ย กูอยากรู้จัก”
“เอ่อ นิก...นี่โจ๊ก โจ๊ก...นี่นิก” ไม่รู้จะแนะนำยังไง สิตางศุ์ก็เลยพูดแต่ชื่อ เจียระไนตวัดสายตาไปมองคนพูด
“กูจำเป็นต้องรู้จักมันมั้ย”
“อ่า...นิกมันเพื่อนกูอ่ะ” ร่างสูงเหลือบตาไปมองหนุ่มนักฟุตบอลเสื้อเหลือง รายนั้นพยักหน้าหงึกหงักสนับสนุนคำพูดของคนผิวขาวจัด
“มึงเป็นเพื่อนไอ้โซ่?” เขาถามเสียงห้วน แน่นอนว่าไม่ยินดีกับการรู้จักครั้งนี้แต่อย่างใด
“ช่าย ต้องให้กูเล่ามั้ยว่ารู้จักกันยังไง โรแมนติกสัดๆเลย”
“กูไม่ได้อยากรู้! แล้วไม่ต้องมาจับแขนแฟนกู!” เจียระไนกระชากแขนอีกข้างของสิตางศุ์ให้มายืนข้างเขา ก่อนจะตวัดสายตามาที่คนผิวขาวจัด
“จะกลับกันได้รึยัง?!”
“อื้อ”
แล้วคนขี้หึงก็ไม่รอให้ใครบอกลาใครอีก เขาดึงแขนสิตางศุ์ให้เดินออกมาจากหน้าสแตนด์ทันที
“โจ๊ก ไม่หงุดหงิดสิ” เสียงคนถูกดึงแขนดังเบาๆให้ได้ยิน
“แล้วให้กูมีความสุขรึไงที่เห็นคนอื่นมากอดแฟนกู?!”
“อ่า...กอดแบบเพื่อนเอง...” สิตางศุ์เจรจาในขณะที่ยังก้าวเท้าเดินตามแรงจูง
“โซ่” เสียงเรียกดังมาจากข้างหลัง คนสองคนที่กำลังเดินต้องหันไปมอง เจ้าของเสียงยังคงเป็นไอ้หนุ่มเบอร์สิบเสื้อสีเหลืองที่ดูแล้วไม่น่าจะกลัวตายเท่าไร รายนั้นส่งยิ้มกว้างเห็นฟันขาว แล้วตามด้วยการโบกมือ
“แล้วไว้เจอกันใหม่นะ เดี๋ยวกูแวะไปหาที่คณะ” แถมด้วยประโยคบอกลาที่บอกให้รู้ว่าจะได้เจอกันอีกเร็วๆนี้
เจียระไนอ้าปากจะด่า แต่ไอ้คนข้างกายดันยกมือโบกกลับ คราวนี้หนุ่มตาเรียวเลยตวัดสายตามาที่คนของตัวเองทันที
“มึงไปโบกมือให้มันทำไม?!” สิตางศุ์ไม่ทันได้ตอบอะไรก็ถูกคนถามดึงออกจากสนามไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งสายตาของหนุ่มต่างมหาวิทยาลัยให้มองตามแล้วถึงกับส่ายหัว ก่อนจะหันไปทางเพื่อนสนิทของสิตางศุ์แทน
“กูถามจริง แฟนคนนี้ของไอ้โซ่ ผ่าน QC พี่เวฟได้ไง” พฤกษายิ้มเจื่อนแล้วตอบแบบเจื่อนๆ
“มึงเคยได้ยินคำว่าของหลุด QC มั้ยล่ะ”
.............................