บทที่26 : ตื่น
พินเปิดประตูรถพลางประคองชายร่างสูงนั่งลงบนเบาะ จากนั้นจึงเดินเข้าไปนั่งฝั่งคนขับ เขาแตะคันเร่งเบาๆให้รถคันน้อยแล่นไปเบื้องหน้า ในสมองครุ่นคิดถึงเรื่องราวต่างๆที่ได้รับรู้มา และมีอะไรหลายๆอย่างที่ทำให้พินอดสงสัยไม่ได้
“มะลิ...ความทรงจำของพี่พิมพ์กลับมาทั้งหมดแล้วหรอ?”
“ไม่หรอก...แต่เรื่องที่ค้างคาใจมานาน ตอนนี้มันปะติดปะต่อกันได้หมดแล้ว...”
“ถ้าอย่างนั้นนายช่วยเล่าให้ชั้นฟังหน่อยได้มั้ย? ว่าทำไมพี่ไหมถึงต้องทำแบบนี้กับพี่พิมพ์ด้วย...”
มะลินิ่งไป เขากลัวว่าสิ่งที่เขากำลังจะพูดออกไป จะทำให้คนที่เขารักต้องเสียใจ
“เล่ามาเถอะมะลิ ชั้นไม่เป็นไร...”
ถึงพินจะทำใจแข็ง ทว่าน้ำเสียงระคนเศร้าที่เขาเปล่งออกมา ไม่สามารถปิดบังความรู้สึกกลัวที่อยู่ภายในจิตใจได้เลย
“พินรู้เรื่องที่แม่ของไหมฆ่าตัวตายใช่มั้ย?”
“อืม...ชั้นพอจะรู้ว่าแม่ของพี่ไหมมีอาการซึมเศร้าน่ะ”
“แต่พินไม่รู้ใช่มั้ยว่าคนที่ทำให้แม่ของไหมตัดสินใจทำแบบนั้นลงไปก็คือ...”
“พี่พิมพ์ใช่มั้ย...?”
นกหนุ่มเหลือบมองเสี้ยวหน้าหมดจดของคนที่มองตรงไปข้างหน้า พินพยายามกล้ำกลืนความรู้สึกที่จุกอยู่ในอกและพยายามทำตัวราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“พี่พิมพ์ทำอะไรหรอ?”
มะลิเงียบเสียงลงไปอีกครั้งหนึ่ง
“ชั้นไม่เป็นไรจริงๆ เล่ามาเถอะ ถึงขั้นนี้แล้ว...ชั้นรู้แล้วว่าพี่พิมพ์ไม่ใช่ผู้ชายแสนดีอย่างที่ชั้นทึกทักไปเอง”
“พิมพ์กดดันไหมเรื่องเงินน่ะ...พิมพ์มีท่าทีสนใจข้อเสนอของสินทรที่จะให้ย้ายข้างไป เลยบีบให้ไหมจ่ายค่าตัวเขาให้สูงขึ้น”
“อืม...แล้วยังไงต่อ?”
“แล้วแม่ไหมก็มารู้เข้า คงรู้สึกว่าตัวเองที่ป่วยรักษาไม่หายเป็นตัวถ่วงของลูกสาวก็เลย...”
“เข้าใจแล้ว...”
พินเอ่ยขึ้นเสียงค่อยราวกระซิบ แม้เสียงนั้นจะเบาสักแค่ไหน คนฟังก็ยังจับใจความได้ว่านั่นคือเสียงของความ “เสียใจ”
“แล้ว...มะลิจำวิธีขับรถได้แล้วหรอ?”
ชายหนุ่มตั้งคำถามอีกข้อที่เขานึกสงสัย อย่างน้อยก็น่าจะทำให้ความรู้สึกดีขึ้นเมื่อเปลี่ยนไปถามเรื่องอื่น
“ไม่นะ เราก็ยังขับรถไม่เป็นเหมือนเดิมนั่นแหละ”
“อ้าว! แล้วรถคันนั้นมาได้ยังไงล่ะ? รถที่จอดอยู่ในที่เกิดเหตุเป็นรถของพี่พิมพ์ แล้วปกติมันก็ไม่ได้จอดอยู่ที่บ้านด้วย มันควรจะอยู่ที่คอนโดมากกว่า”
‘รถของพิมพ์?’
‘นี่ยังดีนะช่วงที่พิมพ์ป่วยชิชามีเพื่อนมาอยู่ด้วยบ่อยๆ
จู่ๆนกหนุ่มก็นึกถึงคำพูดของเพื่อนข้างห้องคนนั้นขึ้นมา “เพื่อนของชิชา” ถึงจะดูไม่น่าจะเป็นไปได้แต่ไม่รู้ทำไมเขาถึงไม่อาจตัดข้อสงสัยตรงนี้ทิ้งไปได้
“คงจะเป็นฝีมือพี่ไหมนั่นแหละ...พี่เค้ารู้จักพี่พิมพ์ดีทุกอย่าง ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ขับรถอะไร...”
...เพราะไหมอยู่เคียงข้างเพื่อนคนนี้มานานกว่าใครๆ...
“อืม...”
จนกว่าจะแน่ใจมะลิถึงจะกล้าเอ่ยเรื่องนี้ออกไป เพราะหากเรื่องราวทุกอย่างยังไม่จบลงจริงๆ “อันตราย” อาจจะเกิดขึ้นกับพินตอนไหนก็ได้
คนสองคนที่เพิ่งจะกลับถึงบ้านรีบรุดขึ้นไปยังห้องนอนของพิมพ์ ชายร่างกายซีดเซียวหลับใหลอยู่บนเตียง โดยมีเด็กหนุ่มนั่งเฝ้ามองอยู่เคียงข้าง
“นินจา...ดาวเหนือเป็นยังไงบ้าง?”
พินเอ่ยถามขึ้นด้วยความเป็นห่วงเมื่อเห็นทีท่าไม่สู้ดีของงูหนุ่ม
“เจ้างูหลับมาสองวันสองคืนแล้วยังไม่ยอมตื่น...อาจจะติดอยู่ในห้วงฝันตอนที่เข้าไปปลุกมะลิน่ะ”
“แล้วจะทำยังไงดีล่ะ?”
“เราเองก็ไม่รู้เหมือนกัน...คงต้องมีอะไรบางอย่างที่ดาวเหนือห่วงหาอาวรณ์มากๆจนทำให้อยากตื่นขึ้นมาเองละมั้ง...? ”
“แล้ว...ถ้าไม่ฟื้นล่ะ?”
“ร่างกาย...ถ้าไม่ได้รับน้ำและอาหารก็ต้องตาย ไม่ต่างจากมนุษย์ปกติทั่วไปหรอก...”
“ตาย” คำๆนี้เป็นสิ่งที่พินจะยอมให้มันเกิดขึ้นไม่ได้ พอแล้วกับการสูญเสีย มันเจ็บปวดและทรมานเหลือเกิน
“ดาวเหนือ! ตื่นขึ้นมาเถอะเราขอร้อง”
มะลิลองร้องเรียกปลุกดาวเหนือด้วยใจหวัง ความรู้สึกผิดที่เขาทำอะไรไม่ได้กัดกร่อนอยู่ข้างใน กี่ครั้งกี่หนที่ต้องมีคนมารับเคราะห์แทนเขาเช่นนี้ มันทำให้นกหนุ่มชักจะรังเกียจที่ตนไร้ความสามารถ รังเกียจที่อ่อนแอโง่เขลา ถ้าเลือกได้เขาจะขอเป็นฝ่ายหลับใหลไม่ตื่นเช่นนี้แทนคงจะดีเสียกว่า
‘Rrrrrr’
เสียงโทรศัพท์ของพินดังขึ้น คนที่โทรเข้ามาคือ “คิม” ชายที่ทำสัตว์เลี้ยงแสนรักของตนหายไปอีกแล้ว
“สวัสดีครับพี่คิม...”
[น้องพิน ดาวเหนือของพี่หายไปไหน? นี่ก็ผ่านมาสองวันแล้ว ไอ้ผู้ชายโรคจิตคนนั้นมันเอาไปใช่มั้ย?]
ถ้าเป็นไปได้พินก็อยากจะบอกไปตามตรงว่า “ผู้ชายโรคจิต” คนนั้นก็คือดาวเหนือ แต่จะทำยังไงได้...
[น้องพินรู้จักไอ้หมอนั่นใช่มั้ย? ขอร้องล่ะ! ช่วยติดต่อให้เค้าเอาดาวเหนือมาคืนพี่ทีเถอะ]
“ดาวเหนืออยู่ที่บ้านผมเองครับพี่...แต่ตอนนี้ผมไม่สะดวกที่จะพาไปส่ง ถ้ายังไง...”
[ไม่เป็นไรเดี๋ยวพี่ไปรับเอง วันนี้น้องพินอยู่บ้านใช่มั้ย? ช่วยแชร์โลเคชั่นมาให้พี่หน่อย]
“เอ่อ...แต่ว่า...”
“พิน...ให้เค้ามาเถอะ...”
มะลิเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นพินมีท่าทีลังเล ไม่มีใครรู้ว่าหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น คิมอาจจะทำให้ดาวเหนือตื่นขึ้นมา หรืออาจจะทำได้เพียงมาบอกลาเจ้างูหนุ่มเป็นครั้งสุดท้ายก็เป็นได้
“ได้ครับพี่คิม เดี๋ยวพินจะรีบแชร์โลเคชั่นไปให้นะครับ”
[ขอบใจนะน้อง แล้วพี่จะรีบไป]
ใช้เวลาไม่นานผู้มาเยือนก็มาถึงบ้านของพิน คิมกดออดเรียกคนข้างในครู่หนึ่งก็มีชายสองคนออกมาต้อนรับ
“น้องพินไหนล่ะดาวเหนือของพี่?”
โดยไม่ทักไม่ทาย มาถึงคิมก็ถามหาเจ้างูสุดที่รักของเขาทันที
“เอ่อ...”
“ตามเรามา”
มะลิพูดขึ้นแทนพินที่กำลังอึกอักอ้ำอึ้งอยู่ เขาเดินนำคิมเข้าไปในบ้านตรงไปยังห้องนอนที่ดาวเหนือกำลังหลับใหลไม่ได้สติอยู่
“เข้าไปสิ”
มะลิเปิดประตูห้องพลางพเยิดหน้าให้ชายหนุ่มผมสีแสบตาเดินเข้าไปข้างใน ภาพชายหนุ่มผิวซีดที่กำลังนอนนิ่งไม่ไหวติงทำเอาคนเห็นฉุนขึ้นไม่น้อย
“มึง! มาหลับทำซากอะไรอยู่ที่นี่วะ? เอางูกูคืนมาเลยนะ”
คิมเดินเข้าไปเขย่าตัวคนหลับ ยังไงเขาก็มั่นใจว่าคนๆนี้เป็นเอาสัตว์เลี้ยงของเขาไป เพราะตอนที่เขาเจอคนๆนี้ในห้อง ผู้ชายคนนี้กำลังทำลับๆล่อๆอยู่ตรงกล่องบ้านของดาวเหนือ
“พูดอะไรของแก? ก็ไอ้คนที่กำลังหลับอยู่เนี่ยก็คือดาวเหนือนั่นแหละ”
นินจาเอ่ยขึ้นอย่างรำคาญใจ ส่วนคิมที่ได้ยินแบบนั้นก็โวยวายขึ้นอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยินกับหู
“จะบ้าหรือไง? อย่ามาอำกันเล่นนะไอ้น้องพี่ไม่ขำด้วย เรื่องปัญญาอ่อนแบบนั้นใครเชื่อแม่งก็ควายโคตรๆ เฮ้ยมึง! ตื่นมาคุยกับกูให้รู้เรื่องเดี๋ยวนี้นะเว้ย!”
คิมยังคงไม่ยอมแพ้เขย่าเซ้าซี้ให้คนหลับตื่นขึ้นมา นินจามองทีท่าคนตรงหน้าพลางเดาะลิ้นขึ้นหงุดหงิดใจ เด็กหนุ่มสะกิดให้คนที่กำลังหัวเสียอยู่หันมาสนใจ
“ไม่เชื่อใช่มะ? งั้นดู”
พลันเด็กหนุ่มที่สะกิดเขาอยู่เมื่อครู่กลับกลายร่างเป็นแมวดำปุกปุย สิ่งที่คิมเห็นทำให้เขาได้แต่ตาค้างอ้าปากหวอหน้าเหวอแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“ผะ...ผี? ไม่สิ ปีศาจ สัตว์ประหลาด มอนสเตอร์ โอ๊ย!!! อะไรกันวะเนี่ย?!”
คิมละล่ำละลักพูดไปเรื่อย ส่วนเจ้าแมวน้อยตอนนี้กระโดดขึ้นไปนอนเบียดซุกอยู่บนร่างของดาวเหนือ
“แกจะเรียกพวกเราว่าอะไรก็แล้วแต่...แต่ไอ้เจ้าหมอนี่ก็เป็นแบบเดียวกับเรา...ไม่ต่างกัน...”
“ถึงจะดูน่าเหลือเชื่อแต่พี่คิมก็ต้องเชื่อแล้วล่ะ ผู้ชายคนนี้คือดาวเหนือจริงๆ...แล้วดาวเหนือก็หลับไปสองวันสองคืนแล้ว ปลุกยังไงก็ไม่ตื่น...”
พินเงียบเสียงไปครู่หนึ่งก่อนจะเปิดปากพูดต่อด้วยความเจ็บปวด
“ถ้าดาวเหนือยังหลับไม่ตื่นอยู่แบบนี้...ดาวเหนืออาจจะตายก็ได้...”
คิมอึ้งไป หากชายตรงหน้าคืองูแสนรักขึ้นมาจริงๆ เขาคงจะยอมปล่อยให้มันหลับต่อไปแบบนี้ไม่ได้ ชายหนุ่มเรียกชื่อ “ดาวเหนือ” น้ำเสียงทุ้มอ่อนซ้ำไปซ้ำมา
“ดาวเหนือ” ‘เสียงใคร...? ทำไมคุ้นจัง’
งูหนุ่มผู้เดียวดายในโลกสีขาว กำลังนั่งคุดคู้อย่างเบื่อหน่าย หลังจากที่เขาถูกเจ้านกน้อยรั้งตัวเอาไว้ ตอนนี้นกแสกตัวนั้นกลับบินจากไปแล้วทิ้งเขาเอาไว้เช่นนี้ ในห้วงโลกแห่งฝัน ยิ่งติดอยู่นานตัวตนยิ่งลางเลือน...
“ลืมตาสิดาวเหนือ...” ‘ดาวเหนือ...ชื่อของผมรึเปล่านะ?’
น้ำเสียงอบอุ่นเพรียกหาสะกิดให้ชายหนุ่มที่กำลังหลงทางนึกถึงใครบางคนขึ้นมา...
“ตื่นขึ้นมาเถอะ...ดาวเหนือ” ถึงเขาจะยังนึกไม่ออก ทว่าความรู้สึกอาวรณ์เอ่อล้นขึ้นเต็มใจ ดาวเหนือลุกขึ้นยืนพลางเดินไปตามเสียง เสียงคุ้นเคยที่มักจะเรียกชื่อเขาอย่างมีความสุขเสมอ ความคิดถึงก่อตัวขึ้นแทบทะลักทลาย ขาทั้งสองข้างเริ่มก้าวยาววิ่งไปตามเสียงที่ลอยมา แสงสว่างจ้าเบื้องหน้ากำลังเปิดรอต้อนรับให้ดาวเหนือออกไป
ตาเรียวเปิดขึ้นทีละน้อย พลางกะพริบไล่แสงสว่างจ้าที่ทำเอาตาพร่ามัว ตรงหน้าของเขามีสายตาแห่งความเป็นห่วงทอดส่งมาให้ ดวงตาเล็กๆแสนสดใสรับกับริมฝีปากบางนั่นทำให้เขาจำได้
‘คิมนี่เอง...’
“ดูมันทำ! เอาสีบ้าอะไรมาย้อมหัว แล้วนี่ยังจะทำให้น้องมันอีก เห็นแล้วทุเรสทุรัง”
เสียงชายวัยกลางคนตะโกนลั่นดังขึ้นไปถึงชั้นบน ทำเอาคนที่นั่งเซ็งอยู่ในห้องของตนรีบคว้าหมอนมาอุดหู
“แล้วมันนะยังจะแอบเอางูมาเลี้ยง เห็นแล้วยังแขยงไม่หายอยากจะตีมันให้ตาย ทำอะไรไม่เคยเห็นหัวคนในบ้าน!”
“ใจเย็นๆนะพ่อ”
เสียงคนเป็นพ่อก่นด่าลูกชายคนโตให้คนเป็นแม่ฟังแบบไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย “คิม” ชายหนุ่มที่เติบโตในครอบครัวหัวโบราณ พ่อกับแม่ต้องการจะเลี้ยงดูเขาให้อยู่ในกรอบทว่าตัวตนที่รักอิสระและสีสันเช่นเขาตอนนี้ไม่ต่างจากนกที่ถูกตัดปีก
“แล้วเนี่ยแม่รู้รึยัง? ที่มันจะไปเรียนต่อช่างทำผมบ้าๆ อะไรนั่น จบเอกเคมีมาแทนที่จะรีบหางานหาการดีๆทำ ทำอะไรไม่ได้ดั่งใจซักอย่างไอ้ลูกเวร!”
“พ่อเลิกบ่นพี่คิมเค้าซักทีเหอะน่า เนี่ยสีผมที่พี่เค้าทำให้ผมก็สวยดีออก ผมว่าพี่เค้าออกจะมีพรสวรรค์”
เด็กหนุ่มผมสีแดงฉาน ที่นั่งเล่นเกมคอมพิวเตอร์อยู่พูดแทรกขึ้นมา ทว่ามันกลับกวนอารมณ์ของพ่อเขาให้ขุ่นกว่าเดิม
“หุบปากไปเลยนะไอ้คีย์ เดี๋ยวพ่อจะได้เฉดหัวออกจากบ้านทั้งพี่ทั้งน้อง!”
‘อยากอยู่ตายแหละบ้านหลังเนี้ย...’
คิมที่เอาหมอนปิดหัวอยู่ได้แต่คิดขึ้นในใจ เขาผุดลุกขึ้นนั่งพลางเขวี้ยงหมอนทิ้งระบายอารมณ์ สายตาพลันเหลือบไปมองเจ้างูน้อยที่เลื้อยยุกยิกอยู่ในกล่องพลาสติกใส
“ตื่นแล้วหรอดาวเหนือ? เสียงพ่อคงจะหนวกหูจนปลุกแกขึ้นมาสินะ”
ชายหนุ่มล้วงมือลงไปในกล่องใส งูน้อยตัวจ้อยสีขาวเลื้อยพันท่อนแขนสว่าง คิมยิ้มขึ้นรู้สึกจักจี้เล็กๆ
“ก็มีแต่แกนี่แหละนะที่เป็นเหมือนครอบครัวจริงๆ ของชั้น เออนับไอ้คีย์ด้วยอีกคนละกัน ถึงเดี๋ยวนี้มันจะติดสาวจนไม่ค่อยสนใจพี่มันก็เหอะ ชั้นนี่กลายเป็นหมาหัวเน่าไปเลย...ไม่มีใครรัก...”
คนเหงานั่งคุยกับงูเจื้อยแจ้ว ดวงตาสีทับทิมจ้องมองคนตรงหน้าไม่วางตา น่าแปลกที่งูเช่นดาวเหนือกลับเข้าใจภาษาของมนุษย์
‘ถึงใครจะไม่รักคิม...แต่ผมรักคิมนะ’
“นี่ดาวเหนือแกรู้ป่ะว่าทำไมชั้นถึงตั้งชื่อให้แกว่าดาวเหนือ?”
‘ทำไมหรอคิม?’
“เพราะชื่อนี้จะคอยเป็นเครื่องเตือนใจให้ชั้นไม่ละทิ้งความฝันในสิ่งที่รัก เพราะดาวเหนือเป็นดวงดาว...เป็นแสงแห่งการนำทางไงล่ะ”
...เป็นแสงที่คอยช่วยเหลือเหล่ามนุษย์ผู้หลงทางในยามที่ฟ้ามืดมิด
“คิม...”
ร่างที่นอนอยู่พึมพำชื่อคนตรงหน้าขึ้นพลางยันตัวลุกขึ้นอย่างช้าๆ ความเมื่อล้าแล่นไปทั่วร่างหลังจากนอนนิ่งมาถึงสองวันสองคืน รอยยิ้มจางแต้มขึ้นบนใบหน้าส่งให้ชายผู้ที่ปลุกเขาขึ้นมา
“นายคือดาวเหนือจริงๆหรอ...?”
คิมเอ่ยถามในใจยังค้างคา ดวงตาเรียวจ้องมองสบมาไม่ละไปไหน
“ที่คิมตั้งชื่อให้ผมว่าดาวเหนือก็เพราะเห็นผมเป็นแสงดาวนำทางให้ไม่ใช่หรอ?”
ความสงสัยทั้งหมดพลันสลายไป ถึงไม่อยากเชื่อแต่ก็คงต้องเชื่อแล้วว่าคนๆนี้ “ใช่” งูสุดที่รักของเขาจริงๆ อาจจะน่าอายนิดหน่อยที่ต้องมาฟังเหตุผลสุดเพ้อเจ้อที่ตัวเขาตั้งชื่อนี้ขึ้นมา ทว่ามันมีความหมายกับชายหนุ่มผู้หลงทางเช่นเขาจริงๆ
“อย่าเอาเรื่องชื่อของนายไปเล่าให้ใครที่ไหนฟังอีกนะเว้ย...โคตรอาย...”
คิมก้มหน้างุดลงเล็กน้อย ปากก็พูดขมุบขมิบไปด้วย
“อืม...ไม่พูดแล้ว...”
รอยยิ้มกว้างฉายขึ้นบนใบหน้าสุขุม มือยาววางสัมผัสลงบนไหล่อย่างอ่อนโยน คิมเงยหน้าขึ้นสบตามอง “ดาวเหนือ” ของเขา ถึงจะยังไม่ชินที่เห็นงูของตัวเองกลายเป็นมนุษย์เช่นนี้ แต่เขาก็ไม่รังเกียจหากนับจากนี้ เขาจะต้องใช้ชีวิตร่วมกันกับชายคนนี้
หลังจากที่ดาวเหนือฟื้นขึ้น ทุกคนก็ได้แต่โล่งใจ คงถึงเวลาที่ชายทั้งสองจะต้องกลับบ้านของพวกเขาเสียที ตอนนี้ชายทั้งห้าได้มากระจุกตัวยืนล่ำลากันอยู่หน้าประตูรั้ว
“ขอบคุณมากนะเจ้างูที่ช่วยชีวิตเราเอาไว้...แล้วก็ขอโทษที่ทำให้แกต้องลำบากไปด้วย...”
นกหนุ่มเอ่ยขึ้นอย่างสำนึกผิด ถึงแม้เขาจะได้พบกับดาวเหนือไม่นาน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าดาวเหนือดีต่อเขามากแค่ไหน ถึงแม้ว่าเขาจะทำตัวก้าวร้าวใส่เจ้างูแสนสุภาพอยู่บ่อยๆ ก็ตาม
“ไม่เป็นไรหรอก ผมดีใจนะที่เห็นนกมะลิปลอดภัย”
ดาวเหนือตบบ่ามะลิให้กำลังใจ ส่วนตัวของนกหนุ่มเองตอนนี้คงต้องพอกันทีกับการที่จะต้องให้ใครมาเดือดร้อนด้วยเรื่องของเขา
“ทุกอย่างกำลังจะจบแล้ว เราสัญญาว่าจะไม่ให้แกต้องมาเสี่ยงอันตรายเพราะเราอีก”
“อย่าคิดมากเลยนะ ก็พวกเราเป็นเพื่อนกันนี่นา”
“เพื่อน” เป็นสิ่งที่นกน้อยผู้โดดเดี่ยวเช่นเขาไม่เคยมีมาก่อน เขายอมรับว่าเขาเองออกจะเป็นเพื่อนที่ไม่น่ารักอยู่บ้าง แต่เขาก็ดีใจที่ดาวเหนือไม่เคยถือสา
“เย็นมากแล้วพวกพี่ขอตัวกลับก่อนดีกว่า แล้วเจอกันนะน้อง”
“ครับพี่คิม พินต้องขอโทษอีกครั้งนะครับ”
“เออไม่เป็นไร ไปก่อนนะ”
“ผมไปก่อนนะพิน นกมะลิ แมวนินจา แล้วผมจะมาเยี่ยมนะ”
ดาวเหนือรีบวิ่งตามไปเกาะแขนคิมแจ คนสองคนเดินหายออกไปจากตัวบ้านจนลับสายตา ตอนนี้ก็คงถึงเวลาที่นินจาจะต้องขอตัวบ้าง
“เรากลับบ้างดีกว่า เดี๋ยวเมฆกลับมาไม่เจอเราแล้วจะวุ่นวาย”
“ขอบคุณนะเจ้าแมว...แกเองก็ช่วยเราเอาไว้ตั้งหลายหน...”
“เออ...แกก็ดูแลตัวเองดีๆล่ะเจ้านก แล้วถ้ามีอะไรก็บอกเรา เรายินดีช่วยเสมอ”
นินจาเดินผ่านประตูรั้วไป แต่ก่อนที่จะจากไปจริงๆก็ไม่วายหันมาสบตามองพินอีกคน
“พินก็ด้วยล่ะ...”
“อะ...อื้ม เดี๋ยวชั้นจะรีบไปแจ้งความนะ”
นินจาหมุนตัวเดินจากไปพลางโบกมือลา พินปิดประตูลงกลอนจากนั้นจึงล็อกกุญแจ ทั้งสองเดินกลับเข้าไปในบ้านด้วยท่าทีไม่สบายใจนัก มือผอมๆคว้าชายเสื้อของคนที่เดินนำอยู่ ทำเอามะลิชะงักหันกลับมามอง
“มีอะไรหรอพิน...?”
พินเม้มปากแน่นพลางซบศีรษะลงบนไหล่กว้าง น้ำเสียงอึดอัดติดขัดเปล่งขึ้นถาม
“เรื่องทุกอย่างกำลังจะจบลงแล้วจริงๆใช่มั้ย...?”
ความหวาดกลัวฝังลึกอยู่ข้างใน หากเป็นไปได้เขาหวังว่าจากนี้ไปคงไม่มีเรื่องร้ายใดๆเกิดขึ้นอีก
ทว่า...ราวกับเป็นคำถามที่ไม่มีคำตอบ ร่างสูงคลายมือของคนที่กำลังขยำเสื้อเขาจนยับย่นออก มือขาวเกลี่ยไล้เส้นผมที่เริ่มยาวระลำคอลงมาพลางสบตาชายผู้เป็นที่รักก่อนจะกอดปลอบแน่นจนร่างบางๆจมลงไปในแผ่นอกอุ่น
ในใจคิดอยากจะจบเรื่องราวทั้งหมดนี้เพียงคนเดียว...
++++++++++++++++
ในตอนนี้เป็นการเปิดปมของคิมกับดาวเหนือนะคะ อาจจะกล่าวได้ว่าพินได้ทำหน้าที่ส่งคืนนินจากับดาวเหนือสู่อ้อมอกเจ้าของได้เป็นที่เรียบร้อยโดยแท้จริงแล้วค่ะ ตอนนี้ปมสุดท้ายก็เหลือเพียงเรื่องของพี่พิมพ์นะคะ แล้วพบกันใหม่ตอนหน้าค่ะ