ตอนพิเศษ ดวงใจจ้าวมังกร
(เจราล – ดาร์เรน)
...ดาร์เรนรับจดหมายจากทหารเทพนายหนึ่งที่ส่งมอบมาให้เขา มังกรหนุ่มเปิดอ่านผ่านตาคร่าว ๆ แล้ว โยนมันทิ้งไว้ข้าง ๆ อย่างไม่ใส่ใจ
“ไปบอกเขาว่าข้าไม่กลับ ถ้าเขาไม่มารับข้ากลับด้วยตัวเอง”
ดาร์เรนบอกเรียบ ๆ ด้วยสีหน้าไม่ยินดียินร้ายอันใด ทำเอาคนฟังกลืนน้ำลายลงคอด้วยความลำบากใจ
“แต่ท่านดาร์เรนขอรับ ท่านเจราลเป็นถึงแม่ทัพของกองทัพเทพของเรา การจะออกไปไหนมาไหนอย่างอิสระในต่างดินแดน เห็นทีว่าจะไม่เหมาะสมนะขอรับ..”
อีกฝ่ายแก้ตัวให้อย่างลำบากใจ ดาร์เรนยิ้มเยาะ แล้วยักไหล่นิด ๆ
“อย่ามาแก้ตัวให้เจ้านายของเจ้าเลยเวนอล เจ้าก็รู้อยู่แก่ใจ ว่าคนอย่างเขา หากต้องการไปไหนมาไหน เขาเคยสนใจเรื่องกฎด้วยหรือ”
คนฟังชะงัก แล้วปาดเหงื่ออย่างจนคำพูด
“เอ่อ...ท่านไม่คิดจะกลับไปพร้อมข้าแน่หรือขอรับ”
“แน่สิ...เพราะตอนนี้ข้ากำลังเพลิดเพลินกับเด็กน้อยน่ารักของ...ข้าอยู่ จนไม่อยากกลับไปเห็นหน้าบึ้ง ๆ ของเจ้านายเจ้าน่ะสิ”
ดาร์เรนจงใจละคำว่า ‘น้องชาย’ เพื่อให้คนฟังเกิดความสับสน เขาแน่ใจว่าเจราลต้องหาวิธีบางอย่าง ที่จะได้เห็นสีหน้าและคำพูดของเขาผ่านเวนอลแน่ ก็ไอ้เจ้าเครื่องประดับทับทิมสีแดงสด ที่มันขัดกับรสนิยมของนายกองผู้จริงจังที่ติดอยู่บนเครื่องแบบของอีกฝ่ายนั่น ดูปุ๊บก็รู้ปั๊บว่าเจ้าตัวไม่เต็มใจประดับมันด้วยตนเองชัด ๆ
เวนอลรับคำแผ่วเบา ไม่ต้องเดาให้ยาก ป่านนี้เจราลคงโมโหอาละวาดอยู่ในตำหนักแล้ว โชคดีจริง ๆ ที่เวลานี้เขามาอยู่แถวนี้แทน มิเช่นนั้นอาจจะโดนลากไปเป็นเพื่อนซ้อมรบ เพื่อระบายอารมณ์ขุ่นเคืองของอีกฝ่ายก็เป็นได้…เห็นทีคงต้องแกล้งกลับดินแดนเทพให้ช้าออกไปหน่อยเสียดีกว่า
ดาร์เรนมองตามไล่หลังนายกองแห่งกองทัพเทพไปอย่างนึกขำ ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าคนรักอยากจะให้เขาเป็นฝ่ายง้องอน ห่วงใย เอาอกเอาใจตนบ้าง ...ก็นะ เขาก็อยากทำอยู่หรอก แต่ไม่รู้ทำไม พอเห็นใบหน้าคมเข้มนั่นต้องโมโหเพราะเขา ดาร์เรนก็อดที่จะคิดว่ามันช่างน่ารักมาก ๆ ขึ้นมาไม่ได้
… ง้อหรือ? ตั้งแต่เกิดมา ดาร์เรนไม่เคยง้อใคร ก็มีแต่เจราลคนเดียวนี่ล่ะ ที่เขายอมลงให้ และถ้าไม่ใช่เพราะรักล่ะก็ เขาไม่มีวันยอมทำเรื่องเช่นนั้นเป็นแน่...
มังกรหนุ่มยิ้มกับตัวเอง หวนนึกถึงอดีตที่พวกเขาพบกันครั้งแรก...ในตอนนั้น ดาร์เรนรู้สึกขึ้นมาเลยว่า เขาจะต้องครอบครองชายผู้นี้ และทำให้ชายผู้นี้เป็นของเขาคนเดียวให้ได้ เขาเดาว่าเจราลเองก็คงคิดไม่แตกต่างกันนัก... ครั้งแรกของพวกเขาเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแทบไม่ต้องเสียเวลาเอื้อนเอ่ยบอกรักแม้แต่น้อย...
...เมื่อวันที่ดราโกรับตำแหน่งราชามังกร เจราลเป็นตัวแทนเผ่าเทพ นำของขวัญมามอบให้กับราชามังกรคนใหม่ พวกเขาสบตากันแวบเดียว แล้วพองานเลิก เขาก็แสร้งทำเป็นไปเดินเตร็ดเตร่ชมสวมอยู่ด้านล่าง เพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายจะต้องผ่านเส้นทางนั้น และพอเจราลเห็นเขา ดาร์เรนก็แสร้งทำเป็นสบตาอีกฝ่ายพร้อมรอยยิ้ม และเดินหลบไปยังส่วนลับตาของสวนในปราสาท ซึ่งเห็นดังนั้นเจราลก็บอกให้ลูกน้องกลับไปก่อน และเดินตามมังกรหนุ่มไปทันที
“เจ้าชาย...ได้โปรดหยุดรอข้าก่อน”
ดาร์เรนลอบยิ้มแล้วจึงหันไปทำเป็นตกใจเมื่อได้เห็นจอมทัพเทพ
“ท่านเจราล...มีอะไรหรือขอรับ หรือว่าหลงทาง?”
มังกรหนุ่มบอกพลางแย้มยิ้มหวานอย่างจงใจยั่ว เจราลกลืนน้ำลายลงคอ แล้วก้าวเท้าเข้าหา ก่อนจะประกบจูบร่างโปร่งบางยั่วยวนตรงหน้าด้วยจุมพิตอันดูดดื่มร้อนแรง โดยผู้ถูกจูบแม้จะตกใจตอนแรก แต่ก็ร่วมมือตามมาเป็นอย่างดี
“หึ ๆ ข้าเพิ่งรู้นะว่า พวกเผ่าเทพ เป็นพวกใจร้อนเช่นนี้ ...”
“...เป็นของข้าได้ไหม...เจ้าชาย”
คำขอที่เหมือนจะเหมือนคำสั่งเสียมากกว่า เมื่อผู้ขอลงมือรุกราน อย่างรวดเร็วด้วยไฟปรารถนาที่รุกโชนจนเจ้าตัวเองยังตกใจ ที่ไม่สามารถควบคุมตัวตนได้ถึงเพียงนี้
“ท่านเจราล...อะ...เดี๋ยว ...บ้าจริง ...นี่ท่านจะทำทั้งอย่างนี้...หรือไง”
ดาร์เรนใช้มือเกี่ยวโน้มคอของอีกฝ่ายเป็นที่พึ่ง เพราะขาข้างหนึ่งถูกยกด้วยมือใหญ่แข็งแรง หลังจากที่ถูกปลดเปลื้องเสื้อผ้าที่สวมใส่จนร่างกายเปลือยเปล่า
“อ๊า...ท่านเจราล...ข้าเจ็บนะ...ท่านรุนแรงกับข้า...เกินไปแล้ว”
ดาร์เรนกรีดร้องพลางหอบเสียงกระเส่า เพราะอีกฝ่ายไม่คิดเล้าโลมให้เขารู้สึกดีเสียก่อน กลับรีบเร่งจาบจ้วงล่วงเกินเขาอย่างเร่าร้อนและรุนแรง
“อา...เจ้าชาย ...ท่านวิเศษจริง ๆ ...ท่านตอดรัดข้าเสียแน่นไปหมด....อา...”
จอมทัพเทพบอกพลางเร่งขยับเอวเข้าอีก เพราะสถานที่อันไม่ค่อยเหมาะสม ทั้งคู่จึงไม่อาจใช้เวลาเป็นส่วนตัวกันได้เนิ่นนาน เจราลรีบเอามือปิดปากมังกรหนุ่มที่หลุดครางเสียงหวานดังลั่นด้วยความลืมตัว และเมื่อได้ยินเสียงผู้คนเดินผ่านมาใกล้ ๆ จนกระทั่งห่างออกไป เจราลจึงปล่อยมือที่ปิดปากของดาร์เรนให้เป็นอิสระ ก่อนจะอุ้มร่างโปร่งขึ้นเอว แล้วดันแผ่นหลังของร่างนั้นไปติดกับผนังของปราสาท พลางขยับกายถี่รัวรุนแรง จนดาร์เรนต้องหวีดเสียงร้อง จากนั้นสักพักทั้งคู่จึงต่างปลดปล่อยออกมาในเวลาไล่เลี่ยกัน
และเมื่อช่วงเวลาแห่งความสุขผ่านพ้นไป ดาร์เรนก็แสร้งทำเป็นตีสีหน้าเย็นชา พอสวมเสื้อผ้าเสร็จ เขาก็เตรียมที่จะเดินจากไป ทว่ากลับถูกเจราลฉุดข้อมือเอาไว้เสียก่อน
“เจ้าชาย ... โกรธข้าหรือ...ข้านึกว่าเราต่างพึงพอใจทั้งคู่เสียอีกนะ”
ดาร์เรนสบตากับอีกฝ่าย แล้วแสร้งทำเป็นแค่นยิ้มน้อย ๆ
“หึ...ใช่ ข้ามัน ‘ง่าย’ แบบนี้เสมอ อย่างที่ท่านเข้าใจนั่นล่ะ ...ไม่ต้องคิดมาก ท่านก็แค่คน ๆ หนึ่งที่ผ่านมาในชีวิตข้า และข้าก็ไม่คิดจะผูกมัดอะไรท่านด้วย...ผู้ชายแบบท่านน่ะ หาได้ทั่วไปในอาณาจักรมังกรนี้ล่ะนะ”
เจราลหน้าร้อนวาบ เขาดึงร่างบางมาใกล้ แล้วผลักร่างนั้นไปกับผนังปราสาท พร้อมกับตะคอกเสียงห้วน
“ข้าไม่ยอมให้เจ้าไปมีคนอื่นอีกเด็ดขาด!”
“ท่านมีสิทธิ์อะไร?”
ดาร์เรนเงยหน้ายอกย้อน แล้วก็ต้องชะงักเมื่อใบหน้านั้นโน้มลงมาบดเบียดริมฝีปากกับเขาอย่างรุนแรง ก่อนจะถอนออกแล้วเอ่ยเสียงเข้ม
“สิทธิ์ที่เจ้าเป็นของข้ายังไงล่ะ ...นับจากนี้ไป เจ้าคือคนของข้า เป็นสมบัติของข้า!”
“แล้วถ้าข้าไม่ยอมล่ะ?”
ดาร์เรนโต้กลับไป ทั้งที่ในใจนึกขำ ไม่คิดเลยว่าจอมทัพเทพผู้เกรียงไกร จะเป็นคนอารมณ์ร้อน แถมขี้หึง ขี้หวงขนาดนี้
“ข้าจะทำให้เจ้ายอมเอง!”
เจราลกระซิบด้วยสีหน้าและแววตาดุดัน ก่อนจะโอบร่างโปร่งเข้ามาแนบชิด และสร้างประตูมิติขึ้นตรงหน้า
“ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าไปพบเจอกับใครอีก! เจ้าเป็นของข้าคนเดียวเท่านั้น!”
ดาร์เรนมองประตูมิติอย่างค่อนข้างตกใจ ใครจะไปคิดว่าเขาแค่ปั่นหัวนิด ๆ คนตรงหน้าก็คลุ้มคลั่งเสียขนาดนี้ ...นี่ถ้าเขาเกิดหักหลัง และทิ้งเจราลจริง ๆ คงไม่แคล้วโดนอีกฝ่ายฆ่าทิ้งหรอกหรือ…
มังกรหนุ่มหลุดขำเบา ๆ แล้วแสร้งทำเป็นตีหน้าเฉย เมื่ออีกฝ่ายหันมามองอย่างสงสัย เจราลขมวดคิ้วนิด ๆ แล้วพาร่างของเจ้าชายองค์โตแห่งอาณาจักรมังกร หายเข้าไปด้วยกัน โดยไม่ทันสังเกตเวทที่ดาร์เรนเสกให้เป็นผีเสื้อบินออกไปจากมือ และมันก็บินไปเรื่อย ๆ จนมาเกาะอยู่ที่บ่าของชายผิวเข้มผู้หนึ่ง นัยน์ตาสีทองส่องประกายสงสัย เพราะจำกลิ่นอายเวทมนตร์ได้ดีว่าผู้ใดเป็นเจ้าของ และพอเขาสัมผัสผีเสื้อตนนั้น มันก็สลายไป และมีเสียงของดาร์เรนดังขึ้นแผ่วเบา
“ฟีลา ข้าจะไม่อยู่สักพัก ถ้าจำเป็นต้องการพบตัว ก็ให้ไปตามหาข้าที่ตำหนักเทพของท่านเจราลนะ”
องค์รักษ์หรือพี่เลี้ยงประจำตัวดาร์เรน ถอนหายใจ เรื่องคราวนี้ก็คงไม่พ้นเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ ที่อีกฝ่ายคุ้นเคยเหมือนเดิม แต่เท่าที่เขาสังเกต ดูท่าดาร์เรนจะให้ความสนใจจอมทัพเทพผู้นั้นตลอดพิธีมอบตำแหน่งราชาของดราโก ...แถมยังดูจริงจังจนเขาประหลาดใจ แม้สีหน้าภายนอกจะยังคงเรียบเฉยอ่านยากเหมือนเคยก็ตาม
...แต่ก็นะ ไม่ว่าจะจริงจัง หรือล้อเล่น... สำหรับเขาแล้ว ก็ค่อนข้างน่าสงสารจอมทัพเทพผู้นั้นอยู่ดี ที่ดันมาตกบ่วงเสน่ห์ของนายเหนือหัวตัวแสบของเขาได้ ...
ดาร์เรนไม่รู้ว่าเขาใช้ชีวิตอยู่ภายในห้องนอนของเจราลมากี่วันกี่คืนแล้ว แม้ไม่ได้ถูกล่ามก็ตาม แต่ก็ออกไปจากห้องนั้นไม่ได้ ทุกสิ่งที่เขาต้องการจะถูกหามากองตรงหน้า ยกเว้นเพียงสิ่งเดียว ...อิสระ
น่าแปลก...ดาร์เรนไม่ได้นึกโกรธอะไรเจราลแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม เขาชื่นชอบชีวิตที่เป็นอยู่ตอนนี้ที่สุด ไม่ต้องทำอะไร คิดอะไรให้ปวดหัว พอค่ำคืนก็มีเจราลคอยปรนเปรอมอบความสุขให้ตลอด แต่ก็นั่นล่ะ ท่าทีที่เขาแสดงออกไปกลับเป็นอีกอย่าง จนบางทีเจราลก็ทนไม่ไหวในความเย็นชาที่เขาแสร้งทำ ...บางครั้งเขาแกล้งนอนนิ่งเป็นตุ๊กตา ขณะที่อีกฝ่ายร่วมรักด้วย และมันก็ส่งผลให้จอมทัพเทพ หงุดหงิด งุ่นง่าน ลงมืออาละวาด ทำลายข้าวของในห้อง ...ยกเว้นเขา...ที่แม้อีกฝ่ายจะโมโหเพียงใด แต่ก็ยังคงทะนุถนอม และไม่เคยตบตีทำร้ายเขาสักครั้ง นั่นยิ่งทำให้เขาชื่นชอบในตัวของเจราลยิ่งขึ้นไปอีก
“ดาร์เรน ...เจ้ารักข้าบ้างไหม?”
เจราลมักจะถามประโยคนี้ทุกครั้งหลังพวกเขาร่วมรักกันเสร็จ แล้วเขาก็จะนิ่งเฉยแทนคำตอบเสมอ
“ข้ารักเจ้ามากนะดาร์เรน ...ยิ่งกอดก็ยิ่งรัก ...”
ดาร์เรนลอบยิ้ม เขามั่นใจในเสน่ห์ตัวเองเป็นอย่างดีในเรื่องนี้ หลายคนไม่ว่าชายหรือหญิงที่เขาเคยทอดทิ้งมา ทุกคนมักจะลุ่มหลงในตัวเขา ไม่ว่าเขาจะสั่งให้ทำอะไร ก็ไม่เคยมีใครขัด ...กับคนอย่างเจราลก็เช่นกัน คนที่เป็นผู้นำคนอื่นมาตลอดอย่างอีกฝ่าย หากเขาเข้าหาและยินยอมมอบกายมอบใจให้ง่ายเกินไป ก็คงจะหมดรักเขาได้ง่าย ๆ เช่นกัน
“ดาร์เรน...ข้าจะปล่อยเจ้ากลับบ้านของเจ้าดีไหม?”
ประโยคถัดมา ทำเอาคนกำลังคิดอะไรเพลิน ๆ สะดุ้งโหยง และหันขวับกลับมามองคนพูดด้วยความตกใจ
“...ดีใจสินะ...เจ้าเองอยากจะจากที่นี่ไปตลอดเวลาอยู่แล้วนี่...”
เจราลบอกด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ และตีความสีหน้าตกใจของอีกฝ่ายเป็นอย่างอื่น
“ท่าน...จะส่งข้ากลับบ้าน จริงหรือ?”
ดาร์เรนถามเสียงแผ่วด้วยความสับสน ทั้ง ๆ ที่เมื่อครู่อีกฝ่ายยังพร่ำบอกว่ารักเขาอยู่เลยแท้ ๆ
“ข้ารักเจ้า...แต่หากบังคับให้เจ้าอยู่กับข้าแบบนี้ ...ข้าคงได้แค่เพียงความเกลียดชังกลับคืนมา ...ข้าอยากเห็นรอยยิ้มหวาน ๆ ของเจ้าที่มีให้ข้าอีกสักครั้ง เหมือนครั้งแรกที่เราเจอกัน...ยิ้มให้ข้าอีกครั้งได้ไหม ...แล้วข้าจะปล่อยให้เจ้ากลับบ้านของเจ้า”
ดาร์เรนเงียบกริบ เขาก้มหน้านิ่ง แล้วค่อย ๆ เงยหน้าขึ้น ยิ้มหวานอย่างที่ไม่เคยยิ้มให้ใครมาก่อน จนเจราลตกตะลึง แล้วจึงมีใบหน้าเศร้าสร้อยตามมา
“...เจ้าคงอยากกลับบ้านมากสินะ ...ไม่ต้องห่วง ข้ารักษาสัญญาเสมอ ...พรุ่งนี้ ข้าจะส่งเจ้ากลับบ้านเอง”
คำพูดของจอมทัพเทพ ทำให้อะไรบางอย่างในตัวของมังกรหนุ่มขาดผึง เขาคิดว่าพอเขายิ้ม...ยิ้มอย่างที่ไม่ว่าใครเห็นก็ต้องตกหลุมรัก จะทำให้อีกฝ่ายเปลี่ยนใจแล้วรีบรั้งเขาไว้ แต่ดันได้ผลตรงกันข้ามเสียนี่
“ไม่...จำ...เป็น”
ดาร์เรนเค้นเสียงออกมาทีละคำ
“อะไรนะ?”
เจราลถามเพราะได้ยินไม่ค่อยชัดนัก ดาร์เรนกัดฟันกรอด แล้วเงยหน้าขึ้นมองคนตรงหน้าด้วยความโกรธเต็มที่
“ข้าบอกว่าไม่จำเป็นยังไงเล่า! งี่เง่าชะมัด คิดว่าข้าอยากอยู่กับเจ้านักหรือไง! คิดว่าข้าชอบเจ้าขนาดต้องทำทุกอย่างเพื่อให้เจ้าตกหลุมรักข้ารึ! คนอย่างข้าน่ะ แค่กระดิกนิ้ว ก็มีคนอยากเข้าหาทั้งนั้น ไม่เห็นต้องง้อเทพงี่เง่าอย่างเจ้าสักนิด! โธ่โว้ย!”
จอมทัพเทพนิ่งอึ้ง เมื่อเห็นตัวตนที่แท้จริงของชายตรงหน้า ส่วนดาร์เรนนั้นโกรธจนลืมทุกสิ่งไปหมด มังกรหนุ่มหยิบเสื้อผ้ามาสวมใส่ลวก ๆ และทั้ง ๆ ที่อยู่ในเขตแดนที่เจราลสร้างขึ้นแท้ ๆ แต่อีกฝ่ายกลับสามารถสร้างประตูมิติกลับสู่แดนมังกรได้อย่างง่ายดาย แสดงให้เห็นว่า หากเจ้าตัวคิดจะหนีกลับ ก็ย่อมทำได้ตั้งแต่วันแรกที่ถูกพามาแล้ว
“ไปตายซะ คนเฮงซวย!”
เสียงของดาร์เรนดังขึ้นทิ้งท้าย ก่อนที่ประตูมิติจะหายไป ทำเอาเจราลต้องนั่งอึ้งชั่วครู่ ก่อนจะรวบรวมสติคิดทบทวนในสิ่งที่ผ่านมา จากนั้นเขาก็ระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น เสียจนทหารยามที่เฝ้าอยู่หน้าห้องตกใจ
“ดาร์เรน...เจ้านี่มัน...ฮ่า ๆ ...ทำไงดีล่ะเนี่ย... ข้ายิ่งรักยิ่งหลงเจ้ายิ่งขึ้นไปอีกแล้วนะ!”
เจราลพึมพำ ใบหน้าระบายไปด้วยรอยยิ้ม นั่งนิ่งคิดบางอย่างพักใหญ่ แล้วจึงตัดสินใจสร้างประตูมิติขึ้น โดยมีจุดหมายคือสถานที่เดียวกันกับที่ร่างโปร่งล่วงหน้าไปเมื่อครู่
ทันทีที่ดาร์เรนกลับมาปราสาทของตนเอง มังกรหนุ่มก็เดินดุ่ม ๆ เข้าห้องพัก โดยไม่สนใจสีหน้าตกตะลึง และแปลกใจของข้ารับใช้ เมื่อเห็นเจ้าของปราสาทที่หายตัวไปเสียนานกลับมาอีกครั้ง และก็ยิ่งเป็นที่ตกตะลึงซ้ำสอง เมื่อเสียงดังโครมครามคล้ายคนอาละวาดดังขึ้นมาจากในห้องนอนของอีกฝ่าย ทำเอาคนรับใช้พากันลังเล และหนึ่งในนั้นก็รีบวิ่งไปตามฟีลาอย่างรวดเร็ว
“ท่านดาร์เรน ข้าขออนุญาตเข้าไปนะขอรับ....”
ทันทีที่เปิดประตู แจกันใบหนึ่งก็ลอยผ่านหน้าเขาไปกระทบกับฝาผนังใกล้ ๆ เฉียดหน้าฟีลาไปเพียงไม่กี่นิ้ว โชคดีที่มันทำมาจากทองเหลือง จึงไม่แตกกระจายจนอาจจะสร้างแผลให้กับคนที่อยู่แถวนั้น
“โมโหอะไรหรือขอรับท่านดาร์เรน เล่าให้ข้าฟังได้ไหม”
ฟีลาที่เข้ามาในห้องคนเดียวเอ่ยถาม ส่วนข้ารับใช้คนอื่นเผ่นแนบออกห่างจากห้องไปกันหมดแล้ว เมื่อเห็นฤทธิ์อาละวาดของเจ้าของปราสาทผู้นี้
“ไม่ได้โมโห! ข้าปกติดีทุกอย่าง!”
ดาร์เรนบอกหอบ ๆ ยังคงไม่หายหงุดหงิด จนอีกคนต้องลอบถอนหายใจ แต่เพราะเติบโตมาด้วยกันเหมือนพี่เหมือนน้อง เขาจึงรู้นิสัยของดาร์เรนดี ฟีลาเลือกหามุมสงบและปลอดภัย ยืนมองดาร์เรนอาละวาด และเพียงไม่นานอีกฝ่ายก็รามือ แล้วหันมาทางพี่เลี้ยงคนสนิท
“ฟีลา! เจ้าคิดว่าข้าเป็นยังไง คิดว่าข้าไร้เสน่ห์ขนาดนั้นเลยรึ!”
ดาร์เรนหันมาถามชายหนุ่มผิวคล้ำตรงหน้า ฟีลายิ้มน้อย ๆ แล้วตอบออกไปตามตรง
“ท่านเป็นคนมีเสน่ห์ แถมยังเจ้าเล่ห์มากด้วย ...”
ดาร์เรนค้อนขวับให้อย่างลืมตัว เวลาอยู่กับฟีลา เขาไม่ต้องปั้นหน้าเป็นเจ้าชายผู้แสนดี เหมือนดังเช่นอยู่ต่อหน้าคนอื่น
“แล้วทำไม ทั้งที่อีกฝ่ายบอกว่ารักข้า แต่กลับผลักไสให้ข้าไปห่างเขา เพราะกลัวข้าเกลียดเขาล่ะ ...ถ้ารักก็ต้องอยากให้อยู่เคียงข้างกัน เป็นของกันและกันตลอดไปไม่ใช่รึ!”
ดาร์เรนบอกอย่างเอาแต่ใจ ทำให้คนฟังต้องสั่นศีรษะอย่างเอือมระอา ...เขารู้ อีกฝ่ายไม่เคยมีความรักจริง ๆ มาก่อน เพราะรูปร่างและเสน่ห์เกินห้ามใจยามได้อยู่ใกล้ชิด คนที่เข้าหาดาร์เรนเพราะสิ่งนั้นล้วนมีมากมาย จึงทำให้มังกรหนุ่มคุ้นเคยกับชีวิตเช่นนี้ จนพอเจอคนที่ถูกใจตนจริง ๆ และอีกฝ่ายมอบรักแท้ให้ ดาร์เรนจึงไม่เข้าใจและโมโหจนอาละวาดอย่างที่เห็น
...เผลอ ๆ ที่อารมณ์เสียขนาดนี้ อาจเป็นเพราะมังกรหนุ่มตกหลุมรักอีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัวแล้วก็เป็นได้...
และขณะที่ทั้งคู่กำลังพูดคุยกันอยู่ กลางห้องก็ปรากฏรอยแยกของประตูมิติ ก่อนที่จะมีชายหนุ่มผมทอง ใบหน้าหล่อเหลาเดินออกมาจากรอยแยกนั่น แต่แล้วเจ้าตัวก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นเสื้อผ้าที่หลุดลุ่ยเพราะการอาละวาดของดาร์เรน และพี่เลี้ยงคนสนิทที่อยู่ในห้องนอนสองต่อสองยามวิกาล เขาก็ขมวดคิ้วยุ่งอย่างไม่สบอารมณ์นัก
“อะไร...ผละจากข้ามาได้ครู่เดียว หาคนใหม่ได้อีกแล้วหรือ!”
เพราะความหึงจนลืมตัว ทำให้เจราลเอ่ยค่อนขอดอีกฝ่าย แต่นั่นทำให้ดาร์เรนชะงัก ซ่อนยิ้มแล้วจึงเดินเข้าไปคลอเคลียกับฟีลาอย่างจงใจ
“ใช่! ข้าบอกท่านแล้วไง ว่าท่านก็แค่คน ๆ หนึ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของข้าเท่านั้น”
เจราลกัดฟันกรอด ทำท่าจะพูดอะไรบางอย่าง แต่แล้วเขาก็เงียบไป แล้วมีสีหน้าหมองลง
“ข้าหลงคิดว่าเจ้าเองก็มีใจกับข้าบ้างแท้ ๆ ...ข้าคงคิดผิดไปสินะ”
สีหน้าแบบนั้นทำให้คนมองหัวใจกระตุกวูบ แต่ก็แสร้งตีสีหน้าเรียบเฉยไม่สนใจ ส่วนฟีลานั้นมองทั้งคู่สลับไปมา แล้วลอบถอนหายใจแผ่วเบากับตนเอง
“ขอโทษที่รบกวนยามดึก เชิญพวกเจ้าตามสบาย...จากนี้ไปข้าจะไม่มาให้เจ้าเห็นหน้าอีกแล้ว”
เจราลเอ่ยลา แล้วเดินหายไปในทางแยกมิติ จนดาร์เรนนิ่งอึ้ง พอประตูมิติปิดลง เขาก็หันขวับมาทางพี่เลี้ยงคนสนิทอย่างหงุดหงิด
“หมอนั่นทำแบบนี้กับข้าได้ยังไง! เจ้าเห็นไหม เขากล้าทิ้งข้าน่ะ!”
“ท่านทำตัวเองต่างหากท่านดาร์เรน ...ทั้งที่ดีใจที่เขามาง้อ แต่ทำไมต้องแกล้งให้เขาเข้าใจผิดแบบนี้ด้วย”
ฟีลาบอกตามตรง โดยไม่เกรงว่าอีกฝ่ายเป็นเจ้านาย และเพราะเขาเป็นคนแบบนี้ ดาร์เรนถึงมอบความสนิทและไว้เนื้อเชื่อใจกับชายหนุ่มได้อย่างหมดใจ
“ข้า...ไม่ได้ดีใจ”
มังกรหนุ่มบอกเสียงแผ่วแล้วหลบตาทำเอาคนที่ยืนตรงหน้ายิ้มน้อย ๆ
“ท่านอาจโกหกใครต่อใคร โดยที่เขาจับผิดท่านไม่ได้ ท่านดาร์เรน ...แต่ไม่ใช่ข้า ท่านก็รู้ดี”
ดาร์เรนเงียบกริบ เขาก้มหน้านิ่ง แล้วจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“เจราลเกลียดข้าแล้วสินะ... ข้าจะทำเช่นไรถึงจะทำให้เขาหายเกลียดข้าล่ะ”
ฟีลามองนายเหนือหัวของเขาอย่างสงสาร เขาค่อนข้างมั่นใจว่าเจราลยังรักอีกฝ่ายอยู่ แต่คงเพราะน้อยใจเลยทำให้พูดแบบนั้นออกมา อีกอย่างดาร์เรนเองนั่นล่ะที่บีบให้อีกฝ่ายต้องทำเช่นนี้
“ท่านต้องง้อเขา เพราะนี่เป็นความผิดของท่าน”
ดาร์เรนสะดุ้ง มองคนตรงหน้าอย่างไม่อยากเชื่อสายตา
“ง้อ? เจ้าจะให้คนอย่างข้านี่นะง้อคนอื่น ฝันไปเถอะ!”
ฟีลาอมยิ้ม นึกอยู่แล้วว่าอีกฝ่ายจะต้องดื้อรั้นไม่ยอมฟังง่าย ๆ เขายักไหล่นิด ๆ แล้วจึงเปรยขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ
“ถ้าเช่นนั้นท่านก็ต้องเสียเขาไป ...ข้าได้ข่าวมาว่า ท่านเจราลก็เนื้อหอมไม่ใช่ย่อย ขนาดจอมเทพเองยังร่ำ ๆ ว่าจะให้เขาเป็นราชบุตรเขยของตนเชียวนะ ...เล่าลือกันว่าธิดาองค์เล็กของจอมเทพก็งดงามไม่เป็นสองรองใคร ข้าว่านางคงช่วยบรรเทาแผลใจของท่านเจราลได้ไม่ยากนักหรอก”
ดาร์เรนเงียบกริบ ...เขาไม่เคยเห็นธิดาของจอมเทพก็จริง แต่ก็ได้ยินคำล่ำลือไม่แตกต่างจากที่ฟีลาได้ยินมานัก เมื่อก่อนแม้จะได้ยินเสียงซุบซิบนินทาเรื่องนี้จากนางกำนัลของเจราล เขาก็ไม่ได้ใส่ใจ เพราะรู้ดีว่าเจราลลุ่มหลงในตัวเขาเพียงใด แต่มาตอนนี้เขาเองก็ชักไม่แน่ใจแล้วว่า อีกฝ่ายจะเปลี่ยนใจจากเขาไปหาผู้หญิงคนนั้นหรือไม่
“ฮ้าวว ...ข้าง่วงแล้ว ส่วนข้าวของในห้องนี้ ข้าจะให้นางกำนัลมาเก็บตอนเช้านะขอรับ ข้าขอตัวล่ะ”
ฟีลาแกล้งบอก ปล่อยให้ผู้เป็นนายจมอยู่ในห้วงคิด และเขาก็ต้องอมยิ้ม เมื่อลอบมองจากรอยแง้มประตูห้อง เห็นดาร์เรนสร้างรอยแยกมิติขึ้น ก่อนจะเดินหายเข้าไปในรอยแยกนั้น