14
your body
หลังจากเคลียร์ปัญหาได้ครามก็ไม่ปล่อยให้เขาไปพบผู้คน แม้ว่าจะนัดเจอกันกับพี่ปัถย์ในช่วงเย็นของวันนี้ก็ต้องเลื่อนนัดเพราะคนพี่ลากเขามาเที่ยวที่เกาะเสม็ดแบบที่ไม่ทันได้ตั้งตัว แบบที่ถามเมื่อคืนว่าไปทะเลกันไหมและก็ได้มาเที่ยวในวันถัดมา
แถมคนที่เห็นดีเห็นงามก็ไม่พ้นคุณวาดที่ขับไสไล่ส่งทั้งที่บอกให้ออกไปช่วยงาน แต่พอครามบอกขออนุญาตพาเขามาเที่ยวก็ไล่ให้กลับไปเก็บกระเป๋าที่บ้านเสียอย่างนั้น ไม่รู้เช่นกันว่าแม่รับรู้ถึงความสัมพันธ์ของพวกเขาไหม แต่ใจลึกๆ ก็แอบคิดว่าคงจะรู้แล้ว ถึงอย่างไรกลับจากเที่ยวก็คงได้พูดคุยกันเพราะเขาก็ไม่อยากปิดบัง
ถามว่าที่มาได้นี่คือได้เที่ยวยาวไหม ก็ไม่ มาแบบไม่ตั้งตัวก็จัดไปสองวันหนึ่งคืน ค้างคืนเดียวเพราะวันถัดไปเขามีเรียน เนื่องจากออกมาช้าทำให้กว่าจะขับรถจากกรุงเทพฯ มาถึงระยองก็ปาไปเกือบสามโมงเย็นและสถานที่เที่ยวก็ไม่พ้นเกาะยอดฮิต
“กูมาเสม็ด”
(หะ? ขออีกทีซิเพื่อน มึงอยู่ไหนนะ) เสียงปลายสายถามย้ำด้วยน้ำเสียงที่อธิบายไม่ถูก แต่ฟังดูก็รู้ว่าหากเขาพูดไปอีกครั้งต้องถูกมันล้อเข้าแน่ๆ โชดดีที่ตอนนี้พี่ครามเดินออกไปหาพนักงานของทางรีสอร์ทข้างนอกเพื่อสอบถามรหัสไวไฟ ไม่อย่างนั้นคนพี่ได้เข้ามาร่วมสมทบวงอีกคนแน่
“เสม็ด ชัดยังไอ้เหี้ย” พู่กันพูดสวนเข้าไปหมิงก็หัวเราะก๊าก แถมยังมีหน้าไปบอกแฝดตัวเองด้วยว่าเขามาเสวยสุขอยู่กับพี่ครามที่เสม็ด
(เหี้ยไรว้า ไลน์มาเล่าว่าดีกันแล้ว รายละเอียดยิบย่อยกูก็ยังไม่ได้รู้ มารู้อีกที อ้าว เพื่อนกูจะไปเสียตัวแล้ว)
“ความคิดมึงนี่แม่ง” หากอยู่ใกล้ก็อยากจะหาอะไรโยนเข้าปากแฝดคนน้องมันจะได้เงียบปากสักที “กูแค่มาเที่ยว”
(เอออ ก็รู้ว่าเที่ยว แต่เชื่อกูดิ ยังไงก็เสีย— อาหมิง ลื๊อมาช่วยม้าก่อน)
“หม่าม้าตามแล้วอาหมิง รีบๆ ไปช่วย เดี๋ยวม้าเอาทองฟาดหัว” เขาระเบิดหัวเราะใส่ทันทีเมื่ออีกฝ่ายยังพูดไม่ทันจบประโยคแล้วก็ต้องโดนขัดด้วยเสียงแห่งอำนาจของผู้เป็นแม่
(ไอ้ห่า เดี๋ยวกูมาแซวใหม่ ไปละ …เออ ไอ้พู่)
“ไรอีก”
(ไปเสม็ดไม่เสร็จรอบเดียวนะเว้ย จุ๊บๆ)
“ไอ้เหี้ย!” พู่กันสบถเสียงดังหากแต่เป็นคำที่ได้ยินอยู่เพียงคนเดียวเพราะแฝดตัวดีนั้นวางสายก่อนที่เขาจะได้เอ่ยปากพูดเสียอีก ไปเสม็ดไม่เสร็จรอบเดียวห่าเหวอะไร พูดกันแบบแมนๆ เลยว่าไม่ยอมแล้วเว้ย แค่รอบเช้าก่อนจะออกไปหาแม่ก็รอยทั่วตัวไปหมดแล้ว
บ้าฉิบหาย
“ด่าใครอยู่คนเดียว” น้ำเสียงคุ้นเคยดังเข้ามาในโสตประสาทขัดอารมณ์ฉุนเฉียวได้เป็นอย่างดี เขาหันไปมองคนที่เพิ่งเดินเข้ามาพร้อมกับโทรศัพท์ในมือก่อนจะต้องยื่นโทรศัพท์ของตัวเองให้กับอีกฝ่ายเพื่อให้ครามใส่รหัสไวไฟให้
“ด่าเพื่อนอะดิ มันกวนตีน”
“เรื่องอะไร” ครามถามทั้งที่ยังไม่ได้เงยหน้ามามองเขา เพราะเจ้าตัวกำลังตั้งใจใส่รหัสไวไฟให้อยู่ “จะออกไปเล่นน้ำหรือเปล่า”
“จะเย็นแล้วเนี่ย พี่เล่นไรอะ” พู่กันไม่ได้กวนประสาท แต่ถามด้วยความสงสัยจริงๆ เพราะเขามาถึงระยองเกือบสามโมงและกว่าจะทำนู่นนี่นั่นเสร็จตอนนี้ก็เกือบห้าโมงแล้ว “ค่อยเล่นพรุ่งนี้ก็ได้ปะ ขับรถมาเหนื่อย”
“พูดเหมือนขับมาเอง” ชายหนุ่มหัวเราะร่วนก่อนส่งโทรศัพท์คืนแล้วทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาที่อยู่ไม่ห่างจากเตียงเท่าไหร่นัก ห้องพักที่จองไว้เป็นห้องแบบคู่รักจึงมีเตียงคิงไซซ์หนึ่งเตียง ถือว่าไม่ใช่เรื่องยากอะไรเพราะปกติเขากับน้องก็นอนเตียงเดียวกันอยู่แล้ว
“ผมก็หมายถึงพี่แหละปะ”
“บอกจะสอนขับรถก็ไม่เอา”
“เหอะ ไม่เอาอะ วุ่นวาย” เด็กที่นั่งอยู่บนเตียงส่ายหน้าระรัวก่อนไปคว้าเอาหมอนมากอดเอาไว้บนตัก “อีกอย่างผมก็มีพี่ขับให้ละปะ”
“ถ้าวันไหนพี่ไม่อยู่ทำไง” เขาถามอย่างจริงจัง หากขับรถเป็นไว้มันก็ดีกว่าเผื่อเกิดเหตุอะไรจำเป็นที่จะต้องใช้ “ไว้สอน”
“พู่ไม่อยากขับรถอะพี่คราม นั่งอย่างเดียวพอแล้ว”
“เป็นไว้มันดีกว่า” ยังคงดื้อดึงที่จะสอนน้องขับรถใหญ่ ถ้าเป็นเรื่องมอเตอร์ไซค์เขาก็ไม่ห่วงเพราพู่กันน่ะขี่โคตรจะเก่ง “เป็นสองอย่างเลยไง”
“งั้นพี่ให้พู่สอนขี่มอไซค์ปะล่ะ”
“สอนทำไม พี่ขี่เป็นอยู่หรอก” ครามว่าพลางลุกขึ้นจากโซฟาแล้วเดินไปทิ้งตัวลงนั่งบนเตียง ก่อนถือวิสาสะเอนตัวลงบนหมอนที่น้องกำลังกอดอยู่ คล้ายเป็นการนอนหนุนตักไปโดยปริยาย “เหลือแต่หนูเนี่ย”
“ขี่ก็ไม่แข็ง จะพาผมล้มทุกทีทำมาเป็นพูด” ไม่ว่าเปล่าเด็กดื้อยังเอื้อมมือไปบีบจมูกคนโตกว่าด้วยความมันเขี้ยวและหมั่นไส้ที่ขี้อวด ทั้งที่ตัวเองก็ขี่มอเตอร์ไซค์ไม่เก่งแท้ๆ
“ถ้าจะขี่ให้แข็งต้องทำไง”
“ขี่ในตลาดดิ” เจ้าของเสียงยักคิ้วเพราะเขาแน่ใจว่าอย่างไรครามก็ไม่ตกลงแน่นอน ขนาดแค่ขี่จากบ้านเขาไปมอก็บ่นสามสิบแปดตลบ แถมยังเกือบจะพาเขาล้ม คิดว่าอีกฝ่ายก็คงจะเข็ดกับการขี่มอเตอร์ไซค์บ้างแหละ
“พี่ตกลงแล้วหนูต้องเรียนขับรถกับพี่”
“เฮ้ย เอาจริงอะ”
“จริง” อีกฝ่ายตอบน้ำเสียงเข้มทำเอาเขาเริ่มประหม่ากับความจริงจังแบบนี้ “หัดไว้”
“แต่...”
“เดี๋ยวให้นั่งตักตอนสอน”
“บ้าบอละ นั่งตักแล้วจะไปสอนถนัดได้ไง”
“ลองไหมล่ะ”
“ลองดิ” พู่กันตอบอย่างไม่ลังเล แต่หารู้ไม่ว่าคำตอบนั้นครามหยัดกายขึ้นจากตักแล้วขยับไปนั่งอยู่ตรงขอบเตียงวางเท้าลงบนพื้นทันทีแถมยังไม่ลืมคว้าเอาเด็กดื้อให้ขยับเข้ามาใกล้ด้วย “ด...เดี๋ยว ทำอะไรวะพี่”
“ให้ลองนั่งตัก”
“ไม่ได้อยู่บนรถ ยังไม่ต้องเว้ย” แม้จะขัดขืนแต่สุดท้ายก็โดนจับยกสะโพกให้ไปนั่งอยู่บนตักของคนโตกว่าอยู่ดี แขนแกร่งโอบรอบเอวคอดเอาไว้อย่างหลวมๆ เพื่อรอดูว่าพู่กันจะดิ้นหนีไปไหนหรือไม่ “มันเหมือนกันยังไงเนี่ยพี่”
“นั่งดีๆ” เขาไม่ตอบคำถามแต่เอ่ยสั่งเด็กบนตักยุกยิกไปมา
“ก็ดีแล้วเนี่ย นั่งแบบนี้ถ้าอยู่ในรถหัวผมก็ชนแล้วหลังคาปะ” เพราะคำพูดนั้นทำให้ครามขยับถอยหลังไปอีกแล้วดันเขาให้ลงไปนั่งอยู่เตียงเปรียบเสมือนว่านั่งอยู่ที่เบาะรถแล้วมีครามซ้อนหลัง แต่เอาความจริงรถเบาะรถก็ไม่ได้ใหญ่ขนาดที่จะนั่งซ้อนกัน ยังไงก็ต้องอึดอัดอยู่แล้วไหม
“เหยียดขาไปข้างหน้า” ครามเอ่ยสั่งเนื่องจากน้องนั่งหดขาเข้าหาตัว “จะเหยียดเองหรือให้พี่จับ”
“โอ๊ย พี่แม่ง” พู่กันฟึดฟัดแต่ก็ต้องยอมเหยียดขาทั้งสองข้างออกไป ดูท่าก็พอจะคล้ายกับการขับรถอยู่บ้างหรอก “ลองแบบนี้จะรู้เรื่องได้ยังไง ถามจริงๆ”
“ถามคำนี้กี่รอบแล้ว” คนที่นั่งซ้อนอยู่ด้านหลังโน้มเข้ามากระซิบข้างใบหูก่อนจะกระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้น จมูกโด่งจรดลงหลังหูโดยอัตโนมัติ
“ก็...”
“รถพี่เกียร์ออโต้ ถ้าหัดมันไม่ยาก”
“อือ ร...รู้แล้ว ไว้เดี๋ยวค่อยไป— อื้อ อย่าเลียหูได้ไหมเนี่ย” เสียงหวานทักท้วงทันทีเมื่อโดนหยอกล้อตรงใบหู ความชื้นแฉะที่อีกฝ่ายสร้างให้ฉนวนให้เขาขนลุกซู่ “อย่ามาเจ้าเล่ห์แถวนี้นะ”
“อะไร พี่แค่เลีย”
“อย่าเลียดิ พี่ยังไม่ชอบให้ผมหายใจรดคอเลยนะ” บ่นเสียงอุบอิบขณะหันหน้าไปปะทะแต่กลับต้องเจอกับปลายจมูกที่จรดลงบนแก้มใสแถมยังกดลงมาแนบแน่น “หอมอะไรทั้งวัน”
“ก็หนูไม่ให้เลีย”
“พี่ครามพูดให้มันดีๆ หน่อยดิ” เขาขมวดคิ้วยุ่งเมื่ออีกฝ่ายตัดจบประโยคด้วยคำว่าเลีย หากใครมาได้ยินเข้าคงได้คิดไปไกล “เลียอะไรพูดให้มันรู้เรื่อง”
“หู”
“เออ ก็—”
“ขอเลียปากหน่อยดิ”
“โอ๊ย พี่คราม คำพูดอย่าส่อได้ปะ” มือเล็กตีลงบนท่อนแขนแกร่งอย่างมันเขี้ยว ก็ใช่ว่าไม่ชอบ แต่ฟังทีไรแล้วมันก็พาลทำให้หน้าตาเขาแดงแบบควบคุมไม่ได้ทุกที “เป็นหมาเหรอจะมาเลียปากอะ”
“ถ้าเป็นหมาแล้วได้เลียปากหนู”
“…”
“พี่ก็เป็นได้”
“จะทะลึ่งทุกวันเลยหรือไง”
“ครับ...” สิ้นสุดเสียงตอบรับ ครามก็โดนเจ้าคนตัวเล็กเอี้ยวใบหน้าไปประกบปากปิดประทับ ความเจ้าเล่ห์ถูกกลืนหายไปในเสี้ยวขณะแต่ก็แทนที่ด้วยความหื่น เสียงเฉอะเกิดขึ้นทุกวินาทีที่ชายหนุ่มพยายามถอนจูบแต่น้องกลับไม่ยอมให้เป็นอย่างนั้น
เมื่อพู่กันไม่หยุดเสือที่คิดอยากจะแกล้งขย้ำให้ตกใจก็อดไม่ได้ที่จะปล่อยไปอย่างไรเสียก็ต้องจบลงด้วยการที่เสือกินเด็กดื้อให้เต็มคราบ มือใหญ่เริ่มซุกซน ดึงเสื้อเชิ้ตที่ยัดเอาไว้ในกางเกงให้หลุดออกก่อนจะไล้ฝ่ามือเข้าไปสัมผัสความร้อนจากผิวกาย
“ไม่... ไม่ได้จะให้”
“พี่จะหยุดแล้วแต่หนูไม่หยุด” ครามว่าพลางเลื่อนมือลงมาปลดกระดุมกางเกงยีนส์เนื้อดีออกอย่างเคยชิน “ช่วยไม่ได้”
“ก็...”
“ตอนนี้หยุดไม่ทันแล้ว”
“อื้อ... พี่คราม”
“แค่แตะครางแล้วเหรอ” ยอมรับว่าเสียงทุ้มที่กระซิบข้างใบหูทำให้การปฏิเสธของเขากลายเป็นเพียงคำพูดที่ล่องลอยไปกับอากาศ ต่อให้ปากเขาบอกไม่แต่ครามก็คงไม่หยุดให้หากร่างกายเขาตอบสนองกลับอย่างที่เป็นอยู่
“แตะบ้า... อะไรของพี่ล่ะวะ” เจ้าของร่างเล็กกัดปากถามขณะเอนหลังพิงไปกับคนโตกว่า ไอ้คำว่าแตะของเขากับครามคงไม่เท่ากันเพราะเมื่อครู่ที่รู้สึกนั่นคือการบีบคลึง “ฮะ ก่อนมาเพิ่งจะ...”
“หนูรู้หรือเปล่า” ชายหนุ่มไม่ฟังเหตุผลใด นอกจากอารมณ์ของน้องตอนนี้ก็อยู่ในการควบคุมของเขา
“อะไรอีก ไม่มาเล่นตอบคำถามตอนนี้นะ ...อะ จะล้วงไปไหนของพี่เนี่ย อื้ม” พู่กันท้วงถามด้วยน้ำเสียงหอบถี่เมื่อฝ่ามือซุกซนนั้นเริ่มสอดเข้าไปภายใต้กางเกงชั้นใน “พี่คราม”
“เจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ของร่างกายหนูเป็นน้ำ”
“แล้ว... ยังไง” คนตัวเล็กบิดแอ่นและพยายามจะจับมือของครามให้ออกห่างจากจุดอ่อนไหวของตัวเองแต่ก็ไม่เกิดผลใด แถมยิ่งเขาห้ามครามก็ยิ่งเพิ่มน้ำหนักของฝ่ามือตัวเองด้วย
“แต่อีกสามสิบเปอร์เซ็นต์ของหนู”
“…”
“เป็นพี่”
“ไปเอามาจากไหน” พู่กันเอนศีรษะพิงกับไหล่แล้วช้อนสายตามองคนที่มีอิทธิพลต่อร่างกายของเขาในตอนนี้ ที่ถามเพราะอย่างครามคงไม่คิดคำพูดแบบนี้ขึ้นมาเองแน่ๆ
“อ่านเจอมาจากไหนไม่รู้” คนพี่หัวเราะเบาๆ “อ่านเจอแต่พี่ทำจริง”
สิ้นสุดเสียงนั้นครามยกสะโพกน้องขึ้นเพียงนิดแล้วดึงกางเกงที่ปกปิดส่วนอ่อนไหวเอาไว้ให้ลงมาจนถึงเข่า จัดการปลดกระดุมกางเกงของตัวเองออกแล้วดึงน้องให้นั่งทับลงมาบนตัก มันเป็นความเคยชินระหว่างเขากับน้อง ครามรู้ว่าพู่กันชอบอะไรและไม่ชอบอะไร การปลุกอารมณ์ของเราจึงน้อยครั้งที่จะใช้นิ้วก่อนจะเริ่มทำภารกิจ
“อือ พี่อย่าเป็นแบบนี้บ่อยนะ”
“ทำไม”
“พู่ช้ำตายพอดี” เสียงหวานท้วงแผ่วนั่นทำให้ครามหลุดยิ้มก่อนจะใช้มือข้างหนึ่งจับเอวคอดเอาไว้แน่น เขายังไม่ได้สอดใส่เพียงแต่จับให้ส่วนแข็งขืนของตัวเองถูไถไปในส่วนที่สามารถกระทำได้ เป็นการปลุกปั่นอย่างหนึ่งที่ครามชอบทำในเวลาที่เราต่างรู้ว่าต้องการกันและกัน “อะ อา... ยังไม่ทันจะได้ออกไปไหนเลย”
“หืม”
“พี่จะทำพู่หมดแรงอีกแล้ว”
“พูดเก่งจังล่ะครับวันนี้” ครามนั่งตัวตรงก่อนจะช้อนให้น้องนั่งตัวตรงตามเช่นกัน ชายหนุ่มพรมจูบลงบนแผ่นหลังทั้งที่ยังมีเสื้อปกคลุม ส่วนกางเกงน่ะพู่กันดึงลงไปจนสุดข้อขาแล้วสะบัดทิ้งไปแล้ว น้องเป็นพวกที่อารมณ์ขึ้นง่ายหากสัมผัสถูกจุด สำหรับเขาเป็นต้นคอ ส่วนพู่กันเป็นใบหู “พี่จะไม่ทำให้หมดแรงโอเคไหม”
“อือ ถ้าพี่ผิดสัญญาคืนนี้นอนโซฟาไปเลยนะ”
“ไม่ไว้ใจเหรอ” เขาแสร้งถามขณะยกสะโพกน้องขึ้นเพียงเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆ จับตัวพู่กันกดทับลงมาเมื่อได้จุดที่ต้องการ
“ที่สุดอะ อ๊ะ!” เสียงหวานครางท้วงเมื่อครามจับกดลงไปจนสุด พู่กันโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อยตามการจับท่าทางของคนเป็นพี่ สองมือใหญ่จับเอวคอดเพื่อยึดเอาไว้ เป็นท่าทางที่ค่อนข้างสร้างความลำบากให้เด็กดื้อเพราะไร้ที่ยึดเหนี่ยวนอกจากการใช้มือเอี้ยวไปจับแขนของครามเอาไว้
“อ่า แน่นจัง”
“อย่าพูดดิ”
“เขินเหรอ”
“ไม่เขิน อื้อ ...ไม่เขินก็บ้าแล้ว” เขากระท่อนกระแท่นตอบเพราะครามไม่ได้หยุดขยับสะโพกสวนในเวลาที่ถามคำถามกับเขา ท่าทางนี้เราไม่ได้เห็นหน้ากันและกันแต่ก็ต่างรู้ว่าอีกฝ่ายรู้สึกอย่างไรกับน้ำเสียงที่เล็ดลอดเข้ามาภายในโสตประสาทการได้ยิน “พี่มันลึก”
“ชอบหรือไม่ชอบ” ครามพรูลมหายใจออกเมื่อน้องตอดรัดกับความเป็นตัวตนของเขาอย่างแรงและเริ่มถี่ขึ้นเรื่อยๆ จากการที่เขาซอยสะโพกและน้องก็ขยับก้นรับ “พี่ถามหนูอยู่”
“ช... ชอบก็ได้ อื้ม พ... พี่คราม”
“ไม่เอาคำว่าก็ได้ ได้ไหมครับ ขอความชัดเจน” ร่างสูงกลั่นแกล้งแม้จะรู้คำตอบดีอยู่แล้ว อย่างที่บอกว่าเราทั้งสองคนรู้ความชอบของกันและกัน เอาเข้าจริงครามไม่ได้เป็นพวกที่คิดแต่เรื่องทะลึ่งตลอดเวลา แต่ไม่รู้ว่าทำไมพออยู่กับพู่กันแล้วความคิดหื่นๆ ก็วกกลับเข้ามาภายในหัวสมองได้อย่างง่ายดาย
ด้วยความมันเขี้ยวจึงบีบก้นนุ่มนิ่มอย่างเต็มไม้เต็มมือ แน่นอนนี่เป็นสิ่งหนึ่งที่พู่กันไม่ชอบให้เขาทำ แต่ก็พยายามแก้ไขมาหลายหนแล้วก็เป็นเรื่องที่ยังแก้ไม่ได้เช่นกัน อาจจะเป็นเพราะเขาชอบเวลาที่น้องฟึดฟัดตอนที่เขาทำอะไรขัดใจ
“ไม่บีบได้ไหมเล่า”
“อ้อนพี่สิครับ” ครามว่าก่อนจะออกแรงบีบก้นขาวแรงขึ้นจนรอยแดงตามเรียวนิ้ว แถมยังฟาดเบาๆ เมื่อน้องไม่ตอบรับคำขอของเขา อ่า ยิ่งอยู่ด้วยกันก็เขาก็ยิ่งเหมือนพวกโรคจิตเข้าไปทุกที
“อ๊ะ! ไม่ให้ตี”
“ก็หนูไม่อ้อน” ความร้อนภายในร่างกายพุ่งขึ้นสูง เสียงหอบหายใจของเราปะปนกันจนแทบจะแยกไม่ออกว่าของใครเป็นของใคร ความอบอุ่นที่เกิดขึ้นจากภายในตอกย้ำให้ครามรู้ว่าตัวเองหลงรักเรือนร่างของเด็กดื้อทุกสัดส่วน “ไม่อ้อนพี่บีบ”
“แด๊ดครับ ฮะ อย่าบีบนะ ห้ามตีก้นด้วย”
“อ่า จะเอาแบบนี้ใช่ไหม” เขาช้อนตัวน้องขึ้นมานั่งตรงๆ กระซิบข้างใบหูของพู่กันก่อนละเลียดแตะปลายลิ้นลงตรงใบหูอย่างมันเขี้ยว ในคำว่าอ้อนของเขาหวังเพียงให้น้องเอ่ยขอว่าอย่าทำ ไม่จำเป็นต้องเรียกแด๊ดก็ได้ แต่ในเมื่อพู่กันทำให้เขาตื่นตัวมากกว่าเดิมก็คงจะต้องรับผิดชอบกันไป ชายหนุ่มจับให้พู่กันลุกขึ้นยืนก่อนจะดันให้ไปชิดกับผนังห้อง
“อย่ากระแทก อะ อ๊า!” พู่กันครางท้วงเมื่อคนที่ซ้อนอยู่ด้านหลังกระแทกแกนกายสวนเข้ามาภายใน เสียงหยาบโลนของเนื้อที่กระทบกันทำเอาความรู้สึกกระหายพลุ่งพล่านไปหมด กายบางเขยื้อนไปตามแรงกระแทกที่ได้รับ “เบา อา... เบากว่านี้หน่อย”
“หนูชอบทำให้พี่รุนแรง”
“พู่ทำอะไร ก็... ก็พี่สั่งให้อ้อน”
“อ่า งั้นพี่ผิดที่แพ้เวลาหนูอ้อน” ครามโน้มตัวลงแนบชิด กดแกนกายเข้าและออกจนสุดในทุกครั้ง ใครจะหาว่าเขาแพ้ทางเด็กยังไงก็ช่าง ในเมื่อมันเป็นความจริงก็จะไม่ขัดหรือแย้งใดๆ ทั้งนั้น “หนูอย่าไปอ้อนใครเชียว”
“ถ้าอ้อนล่ะ ...อื้อ”
“เมื่อกี้หนูพูดว่าอะไร”
“ถ้า... อ๊ะ พี่คราม ไม่… อ้อนแล้ว ...” พู่กันครางด้วยน้ำเสียงหอบเมื่อคนโตแกล้งสวนสะโพกเข้ามาถี่รัวจนแข้งขาเริ่มอ่อน จะทรงตัวไม่อยู่แล้ว
“พูดให้ชัด”
“พู่ไม่อ้อน ...ฮะ ไม่อ้อนใครนอกจากพี่ ...อื้อ พ...พอแล้ว” เขาเอี้ยวใบหน้ามาหาเพื่อบอกความต้องการอย่างแน่ชัดและการกระทำนั้นส่งผลให้คนพี่ขยับเข้ามางับริมฝีปากเบาๆ ก่อนจะคลายออก “ไม่อ้อนใครแล้ว ช้าหน่อยได้ไหมครับ ...อ่า จะยืนไม่ไหวแล้ว”
“น้องพู่”
“เป็นบ้าอะไรมาเรียกแบบนี้เล่า” เขากัดริมฝีปากแน่น รู้สึกว่าตัวเองชักจะอ่อนไหวง่ายเกินไปแล้วกับสรรพนามที่มักจะเคยได้ยินอยู่แล้ว แต่ไม่รู้ว่าทำไมพอครามเรียกแล้วหัวใจสั่นระรัวทุกที
“ถ้าพี่รู้ว่าหนูไปอ้อนคนอื่นนอกจากพี่”
“…”
“พี่เอาหนูตายแน่ครับ”
*
ต่อด้านล่างนะคะ