[ปิดจองแล้วค่ะ]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่88(จบ) p17 13/1/55
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

โพลล์

ท่านผู้อ่านชอบตัวละครใดมากที่สุด ในเรื่อง"คนข้างห้องผมเป็นสายลับ" (อนุญาตให้เลือกได้แ

หนูฟ่ง : แน่นอนอะ กระรอกน้อยช่างน่ารัก และน่าเหยียบ ในเวลาเดียวกันo_O
รูฟัส : สุดๆ อะ พระเอกอะไรไม่รู้ว มันน่ารัก น่าหยิกแก้มจริงๆ นะเนี่ย (ทั้งกะล่อน ตอแหล หื่น รวมอยู่ในคนคนเดียว!!)
เว่ยเฟิงปิง : เอะอะสะบัดบ๊อบตลอดค่ะ (ไม่มีก็ไว้ซะนะคะ เฟิงขา)
จางซื่อเยี่ยน : ถึงจืดถึงจาง.. ถึงจะซื่อจะบื้อ... แต่ก็รักนะ รักหน่อยเหอะน้า~
อิทธิเดช : หนุ่มหน้าสวย บทไม่มาก (เพราะคนเขียนไม่อวย<<อ้าว) แอบโรคจิตนิดๆ แต่ก็น่าถนอม
วรุต : หนุ่มน้อยหน้ามน โรคจิตไม่แพ้กัน (จับคู่กับอิทธิเดชเลยได้คู่จิตป่วนแห่งปีไป) เอาน่า น้องวรุตก็มีส่วนน่ารักน่าเอ็นดูนะ!!
เว่ยจินหยิน : อวย!! อันนี้คนเขียนอวยค่ะ ฮ่าๆ ไม่รู้จะจิ้มใคร จิ้มให้คุณชายจิ้งจอกสุดที่Loveของดั้นสิฮ้า (โดนคนอ่านถีบ)
เถียนซาน : ผู้ชายแสนอบอุ่น... (คนนี้ไม่ได้อวย แต่เป็นคนอวยคนด้านบนอีกทีนึง..... เอวัง)

ผู้เขียน หัวข้อ: [ปิดจองแล้วค่ะ]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่88(จบ) p17 13/1/55  (อ่าน 248427 ครั้ง)

ออฟไลน์ iforgive

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-80
รูฟัสจินตนาการล้ำเลิศจริง ๆ อ่านตอนแรกตกใจนึกว่าฟ่งโดนแซนด์วิชเขาไปซะแล้ว

ออฟไลน์ silverspoon

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +275/-12
รูฟัสน่ารัก ชอบพระเอกขี้หึง

ออฟไลน์ หมวยลำเค็ญ

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 863
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +137/-1
ฮึ้ยยย  น่ากัดจริงๆฟ่งเนี่ย ใครอยู่ใกล้เป็นต้องรักต้องหลงทุกทีเลย
น้องวินบทไม่หื่นก็น่ารักอ่ะ  :o8: :o8:

ออฟไลน์ TanyaPuech

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4341
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +531/-23
 :jul3:

รูฟัสขี้หึงมากกกกก

ออฟไลน์ litlittledragon

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1938
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +304/-1
อันแรกนี้น่าจะพิมพ์สลับ
“เพื่อนของคุณที่ชื่อราฟาแอลเพิ่งผมให้ดูแลคุณได้อย่างเต็มที่ ไม่ต้องเกรงใจอีกคนหนึ่งด้วยล่ะ เขาคงอยากจะให้ผมอยู่ที่นี่ล่ะมั้ง ก็ผมเป็นตัวประกันชั้นเยี่ยมนี่นา”

ส่วนอันนี้น่าจะพิมพ์ผิด
 “เขาเข้ามาให้ห้องคุณทำไมน่ะ?”
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-07-2011 09:30:06 โดย litlittledragon »

ออฟไลน์ takara

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +379/-13
ตอนแรกคิดว่าจริงจริงซะอีก ที่จริง รูฟัสคิดเอาเอง เฮ้อ โล่งอก

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
(โควตาไม่เคยได้..ให้ตายสิ!!)

เอ... อันแรกดูไม่ออกว่าสลับตรงไหนน่ะค่ะ

ส่วนอันที่สอง แก้ให้เรียบร้อยแล้วนะคะ ขอบคุณค่ะ^^
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-07-2011 05:30:03 โดย juon »

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog

บทที่46  ในห้วงความคิด

   ราฟาแอลกลับเข้ามาในช่วงหัวค่ำ ดูเหมือนว่าเขาจะออกไปข้างนอกตั้งแต่บ่าย หนุ่มผมบลอนด์แวะเข้ามาที่ห้องของฟ่ง และตามตัวทั้งสามคนไปที่ห้องของรูฟัส
   “วันนี้ฉันแวะไปหาคุณเมี่ยงมา” เขาเอ่ยขึ้นเป็นภาษารัสเซียหลังจากจัดแจงเปิดฝาถาดพิซซ่าที่หิ้วติดมือมาด้วยออกแล้ว ทำให้เข้าใจได้ทันทีว่าต้องการจะพูดกับใคร รูฟัสที่นั่งอยู่บนโซฟาข้างๆ มองหน้าเพื่อนร่วมงาน ที่อยู่บนโซฟาอีกตัวระหว่างคนทั้งสองคือ วรุตและฟ่งตามลำดับ โดยมีรัสเลอร์นั่งอยู่อีกฝั่งหนึ่ง หนุ่มผมสีบลอนด์พูดต่อ
   “หล่อนบอกว่า ใกล้เวลาที่จะต้องเปิดทดสอบระบบของห้องประชุมเต็มที่แล้ว ทางนั้นก็เลยเรียกคนกลับไปเมื่อไม่กี่วันนี้เอง ท่าทางคงจะคิดได้แล้วว่าระวังเรื่องตรงหน้าเอาไว้คงดีกว่า เลยไม่อยากจะเสียเวลาให้ความสนใจกับเรื่องสถาปนิกล่ะมั้ง”
   รูฟัสพยักหน้า นึกโล่งใจที่เรื่องกลายเป็นแบบนี้ อย่างไรก็ดีประโยคต่อมาทำให้ศีรษะของเขาหนักอึ้งอีกครั้ง
   “อีกสองวันต่อจากนี้ ทางนั้นจะเริ่มทดสอบระบบต่างๆ ของห้องประชุม เผื่อถ้ามีปัญหาจะได้แก้ได้ทัน เพื่อนของคุณเมี่ยงที่ทวีศักดิ์เคยชวนไปร่วมหุ้นบอกมาแบบนั้น แปลว่าเรามีเวลาอีกสองวันในการศึกษาแผนที่และเตรียมตัว”
   “สองวัน?” รูฟัสยกมือลูบคางอย่างใช้ความคิด สองวันถือว่าน้อยมากจริงๆ นี่พวกเขาเพิ่งกลับมาถึงเท่านั้นเองนี่นา “อืม อย่างน้อยก็ยังมีคนเขียนแปลนอยู่กับเรานะ” รูฟัสหมายถึงฟ่ง ราฟาแอลพยักหน้า แต่ก็ยังคงมีทีท่าเป็นกังวล
   “เรื่องนั้นมันก็ดี ถึงทวีศักดิ์จะไม่รู้หรือไม่ได้สนใจเรื่องการกลับมาของฟ่ง แต่เรื่องการมาของเรากำลังเป็นที่จับตา และคนที่รู้ถึงการมาของเราก็คือสองคนที่นั่งอยู่ระหว่างนายกับฉัน”
   “คุณจะให้ผมจับตาดูพวกเขา?” รูฟัสถาม แม้จะนึกแย้งว่าฟ่งไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แต่พอคิดถึงเรื่องที่เขาโทรหาพี่สาวแล้วก็อดวิตกไม่ได้ จริงอยู่ ฟ่งคงไม่คิดหักหลังเขา แต่อาจจะทำอะไรที่เป็นปัญหาโดยไม่ตั้งใจก็ได้
   “อืม ฉันอยากให้นายจับตาดูพวกเขาระหว่างที่เราศึกษาแผนที่ ห้ามไม่ให้ออกไปไหนและโทรศัพท์หาใคร ดูโทรศัพท์ในห้องพักไว้ด้วย ฉันไม่ไว้ใจเด็กที่ชื่อวรุต”
   “ผมรู้” รูฟัสตอบ และมองหน้าราฟาแอล “แต่เขาเกาะติดอยู่กับฟ่ง แล้วเราจะดูแปลนยังไง”
   “ฉันกำลังคิดอยู่” ราฟาแอลตอบ และพูดต่อ “เขาเคยเห็นห้องนั่นมาแล้วนี่ เราให้เขาช่วยอธิบายสภาพจริงเพิ่มก็ได้ แค่ให้แน่ใจว่าเจ้าเด็กนี่จะไม่ปากโป้งเอาเรื่องของเราไปเปิดเผยเท่านั้นก็พอ”
   “ผมคิดว่าคุณคงมีวิธีจัดการที่ดี” หนุ่มตาสองสีว่า เขารู้ดีว่าราฟาแอลมีวิธีจัดการกับคนที่ชอบเอาความลับไปปูดอย่างไร ในกรณีของวรุต ให้หมอนี่จัดการจะดีกว่า
   หนุ่มผมบล็อนด์พยักหน้า และพูดต่อ “ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่น่าจะเป็นปัญหา จะทำยังไงกับสองคนนี่ หลังจากที่เราเข้าไปในห้องแล้ว?”
   เขาหยุดเมื่อเห็นว่า ฟ่งกับวรุตนั่งจ้องหน้าเขากับพิซซ่าสลับกันตาเขม็ง เหมือนกับจำถามว่าทำไมต้องเป็นพิซซ่า ทำไมต้องทานในห้อง ชายหนุ่มหรี่ตาลง มองหน้าเพื่อนร่วมงาน แล้วหันไปมองอีกสามคนที่เหลือแว้บหนึ่ง
   “ไว้ค่อยคุยแล้วกัน” ราฟาแอลโบกมือ และหยิบพิซซ่าขึ้นมาทาน
---------------------------------------------------------
   ฟ่งไม่ชอบวีธีการมองคนแบบนี้ของราฟาแอลเสียเลย ดวงตาสีเขียวมรกตนั่นเพ่งจ้องมา เหมือนกับเห็นว่าคนที่ถูกจ้องเป็นเหยื่อหรืออะไรซักอย่าง เขาคิดว่าทั้งสองคนคงกำลังพูดคุยกันถึงเรื่องงาน และคงจะเป็นความลับจึงไม่อยากให้พวกเขารับรู้ ดังนั้นจึงใช้ภาษาที่ไม่ใช่ภาษาอังกฤษ อย่างไรก็ตามฟ่งคิดว่า ถ้ามีอะไรที่เขาจำเป็นต้องรู้ในการพูดคุยเมื่อครู่นี้ รูฟัสคงจะบอกเขาเอง
-------------------------------------------
   วรุตรู้สึกตื่นเต้น แม้เขาจะคุ้นชินกับวงสนทนาหลากหลายภาษาในตอนเรียนที่ต่างประเทศ  แต่ภาษาราฟาแอลใช้เป็นภาษาที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน อย่างน้อยถึงจะได้ยินก็ไม่บ่อยนัก และเรื่องที่ทั้งสองคนคุยข้ามหัวเขาอยู่ตอนนี้คงไม่ได้คุยกันเรื่องปกติธรรมดาแน่ๆ  เป็นครั้งแรกที่เขานั่งอยู่ในวงสนทนาของสายลับ หรืออะไรแนวๆ นั้น
   เด็กหนุ่มอยากรู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับเขาอีก วันนี้เขาโดนริบมือถือ ซึ่งเขาก็เต็มใจจะให้ทำแบบนั้น เพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายคงไม่ไว้ใจนักหากเขาจะพกโทรศัพท์ไว้กับตัว และเขาก็ไม่อยากเสี่ยง ดวงตาสีเขียวของราฟาแอลที่มองมาหลายครั้งในระหว่างการสนทนากันครั้งแรกทำให้วรุตตัดสินใจว่าจะไม่ขัดขืนชายคนนี้
   แววตาของราฟาแอลเหมือนพร้อมจะฆ่าคนได้ทุกเวลา
-------------------------------------
   รัสเลอร์ขมวดคิ้ว เวลาในการรออาหารอาจจะไม่นานเลย ถ้าเจ้าสองคนนี่ไม่ได้ใช้ภาษารัสเซียในการสื่อสาร เขาพอจะเข้าใจได้ว่าราฟาแอลไม่อยากให้วรุตและฟ่งรับรู้เนื้อหาของการสนทนา แต่บทสนทนาชนิดข้ามหัวและแปลไม่ออก แถมอาจจะเกี่ยวข้องกับตัวเขาด้วยแบบนี้ ก็อดทำให้รู้สึกหงุดหงิดไม่ได้ เขาควรจะหาเวลาไปศึกษาภาษารัสเซียสักคอร์สหนึ่ง จะได้ไม่รู้สึกว่าตัวเองถูกตัดออกจากวงสนทนา
-----------------------------------------------
   มื้ออาหารดำเนินไปอย่างเงียบสนิท จนดูจะผิดวิสัย แม้ว่าจะเป็นการทานอาหารร่วมกันของเหล่าสุภาพบุรุษก็เถอะ ดังนั้นรัสเลอร์จึงเอ่ยทำลายความเงียบขึ้น
   “พวกนายว่าคืนนี้ฟ่งควรจะนอนห้องไหน?”
หนุ่มสวมแว่นขมวดคิ้วและยกช้อนค้างทันที ทำไมประเด็นการสนทนาประโยคแรกถึงต้องเป็นตัวเขา แถมยังเป็นเรื่องที่ว่าจะนอนห้องไหน
   รูฟัสอ้าปากค้าง แต่ก็ยังเร็วพอที่จะเป็นผู้เอ่ยตอบคนแรก “นายถามเรื่องนี้ทำไม?”
   “อืม..ก็ดูเหมือนใครๆ ก็อยากจะอยู่ใกล้ฟ่งนี่” รัสเลอร์ให้เหตุผล และตักกับข้าวใส่จานตัวเอง คราวนี้ฟ่งพยายามจะอ้าปากแย้ง แต่ก็โดนวรุตชิงพูดตัดหน้าไปเสียก่อน
   “ให้ฟ่งนอนห้องตัวเองนั่นแหละ เดี๋ยวผมเฝ้าให้”
   “นายจะไปนอนห้องนั้นไม่ได้!!” รูฟัสพูดสวนทันที วรุตทำหน้าแปลก
   “ทำไมจะไม่ได้ล่ะครับ ฟ่งยังไม่เห็นพูดอะไรเลย”
   “ผมกำลังจะพูด!!” ฟ่งว่า และดีใจที่ได้มีโอกาสพูดในที่สุด
   “ผมให้เจ้าเด็กคนนี้เข้าไปนอนห้องคุณไม่ได้หรอกนะ” รูฟัสพูดแทรกขึ้นอีก เหมือนกลัวว่าฟ่งจะอนุญาตให้วรุตเข้าไปในห้อง หนุ่มสวมแว่นขมวดคิ้ว และคิดว่าเขายังไม่ได้พูดอะไรสักคำ
   “งั้นให้ฟ่งมานอนห้องเราไหม?” รัสเลอร์เสนอ และต้องกลืนคำพูดที่เหลือกลับลงไป เมื่อเจอสายตาของราฟาแอลที่มองมา
   “เออ ลืมไป ห้องเรามีสามคนแล้วคงนอนไม่ได้” หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มตอบออกมาในที่สุด พลางทำปากขมุบขมิบเหมือนกำลังสาปแช่งราฟาแอลอยู่
   “ถ้าคุณไม่อยากให้ผมไปนอนห้องฟ่ง ให้ฟ่งมานอนห้องผมก็ได้” วรุตเสนอขึ้นอีก รูฟัสขมวดคิ้ว
   “ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ห้องไหน ปัญหาอยู่ที่ว่าฉันไม่ต้องการให้ใครนอนกับฟ่ง!”
   “ก็นั่นมันปัญหาของคุณ ไม่ใช่ปัญหาของฟ่งเสียหน่อย” วรุตตอบ ฟ่งภาวนาว่าให้ทุกคนหันมาถามเขาเสียที หนุ่มสวมแว่นยังคงรอจังหวะในการพูดแทรก แต่ก็ยังอ้าปากไม่ทันรัสเลอร์อยู่ดี
   “งั้นฉันเสียสละไปนอนเอง พวกนายสองคนจะได้ไม่ต้องทะเลาะกัน”
   “ไม่ต้อง!!” รูฟัสพูดขึ้นทันที รัสเลอร์ทำหน้าหงิม
   “ทำไมล่ะ ฉันไม่ทำอะไรฟ่งหรอกน่า สาบานได้”
   “ฉันยังจำได้ว่าคราวที่แล้วก่อนถูกต่อยนายพูดว่าอะไร” รูฟัสตอกกลับ ทำให้หนุ่มผมสีน้ำตาลแก่จำต้องหุบปากไปอีก
   “ลองถามคุณราฟาแอลดูสิว่าสมควรจะทำยังไง” วรุตเสนอขึ้น ราฟาแอลเหลือบนัยน์ตาสีเขียวขึ้นมามองราวกับจะถามว่าเกี่ยวอะไรกับเขาด้วย ในขณะที่ฟ่งนึกสงสัยว่าคนพวกนี้เห็นเขานั่งร่วมโต๊ะอยู่หรือเปล่า
   “ทำไมพวกนายไม่ถามเจ้าตัวดูล่ะ?” ราฟาแอลแนะขึ้น หลังจากจัดการกับพาสต้าในจานจนพอใจแล้ว เป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่ฟ่งนึกขอบคุณผู้ชายคนนี้ ทั้งรูฟัส วรุต และรัสเลอร์หันกลับไปมอง ราวกับว่าเขาเพิ่งมาปรากฏตัวอยู่ตรงนั้นไม่ปาน
   “พวกคุณไม่ถามผมสักคำ”
   ฟ่งค่อนแคะ ทั้งสามหัวเราะแหะๆ
   “ผมกลัวว่าคุณจะ..”
   “ขอผมพูด!!”
   รูฟัสรีบหุบปากลงไปทันที เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่เริ่มฉายแววไม่พอใจ
   “ผมก็ต้องนอนห้องของผมสิ พวกคุณจะคุยเรื่องนี้กันทำไม!” ฟ่งรู้สึกดีใจที่ในที่สุดเขาก็มีโอกาสได้พูดประโยคที่เขาคิดจะพูดเมื่อหลายนาทีก่อนออกมาให้ทุกคนรับรู้ได้ในที่สุด
   “ตกลงครับ คุณนอนห้องคุณ งั้นผมจะนอนที่ห้องคุณด้วย” วรุตว่า และรีบพูดต่อ “เผื่อว่าใครบุกเข้ามาจะได้เจอผมก่อน”
   “เจอนายแล้วนายจะทำไง” รัสเลอร์ถามตัดหน้ารูฟัสที่กำลังจะอ้าปากพูด
   “ก็คงเรียกให้คนช่วยมั้ง ไม่ก็ร้องว่าไฟไหม้”
   ฟ่งคิดว่าฟังดูตลก แต่เขาไม่แน่ใจว่าวรุตอยากจะให้ขำหรือเปล่า รัสเลอร์ทำหน้าเหมือนได้ยินเรื่องเล่าจากบรรพกาล “ถ้าอย่างนั้นคนที่ได้นอนควรจะเป็นฉัน เพราะฉันมีเครื่องช็อตไฟฟ้ารูปแบบใหม่ ที่แค่ใช้สวมบนนิ้วมือเหมือนแหวน พอต่อยออกไปแล้วก็สามารถช็อตเป้าหมายให้สลบได้”
   จังหวะนี้ราฟาแอลเกิดอาการสำลักน้ำกะทันหัน เขาเหลือบตามามองหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มอย่างเสียไม่ได้
   “แล้วคนใส่ไม่โดนไฟช็อตหรือไง?”
   “นายก็ใส่ชุดกันไฟฟ้าสิ” รัสเลอร์ตอบ ราฟาแอลหลับตา ปล่อยให้รูฟัสจัดการต่อ
   “ฉันเห็นว่า พวกนายทั้งสองคน ควรจะมานอนรวมกันที่ล็อบบีด้านล่างนี้ไปเลย หรือไม่ก็ถังขยะด้านหน้าอาคาร”
   “ทำไมถึงพูดจาร้ายกาจแบบนี้” รัสเลอร์กับวรุตร้องขึ้นมาแทบจะพร้อมกัน ฟ่งพยายามโบกมือให้ทั้งสามคนหยุด แต่ก็นึกสงสัยว่าจะมีใครเห็นหัวเขาบ้างไหม
   “เอาล่ะ พอได้แล้วครับ ใครอยากจะมานอนที่ห้องผมก็ตามใจ แต่ต้องนอนที่โซฟานะ ผมจะนอนในห้อง แล้วก็ ห้ามทะเลาะกัน ห้ามส่งเสียงดังด้วย”
   “เดี๋ยวสิครับ แล้วผมล่ะ?” รูฟัสถาม ฟ่งหันไปมองเขาอยากแปลกใจ
   “คุณอยากมานอนด้วยเหรอ? ผมคิดว่าน่าจะยังมีผ้าห่มกับหมอนเหลือพอนะ หรือคุณจะขนมาจากห้องก็ได้”
   “โธ่..” รูฟัสคราง นึกไม่ออกว่าฟ่งหมายความตามที่ว่าจริงๆ หรือว่างอนเขา หรือว่าอยากจะแกล้งเขากันแน่ ราฟาแอลกวาดตามองเพื่อนร่วมโต๊ะทั้งสี่อย่างระอา ก่อนจะสั่งให้รูฟัสกับรัสเลอร์ช่วยกันหยิบถาดพิซซ่าเปล่าและกล่องใส่เครื่องเคียงอื่นๆ ไปทิ้ง
---------------------------------------
   ฟ่งยกมือขึ้นเกาศีรษะ ขณะมองดูรูฟัสและราฟาแอลหอบเอาเอกสารแบบแปลน พร้อมกับรัสเลอร์ซึ่งหิ้วคอมพิวเตอรส่วนตัวของเขาเข้ามาในห้อง ส่วนวรุตกำลังนั่งดูทีวี เขาได้รับคำอธิบายจากรูฟัสว่าตนและราฟาแอลจำต้องศึกษาแปลนที่ว่านี้อย่างเร่งด่วน ดังนั้นจึงต้องใช้เวลาทุกนาทีให้คุ้มค่า ส่วนรัสเลอร์เสนอตัวมาเพื่อช่วย แต่ฟ่งเห็นว่าอาจจะช่วยสร้างปัญหาเสียมากกว่า เขาเป็นห่วงเรื่องที่วรุตขอเข้ามาด้วย แต่ราฟาแอลยืนยันว่าจำเป็นต้องถามข้อมูลบางอย่างจากเด็กคนนี้ ดังนั้นตอนนี้ทั้งหมดจึงมากระจุกตัวกันอยู่ในห้องของเขา
   “ผมว่าแบบนี้นั่งที่พื้นเลยดีกว่าไหมครับ” ฟ่งเอ่ยถามสองหนุ่มที่ในมือยังคงถือแผ่นกระดาษอยู่ และนึกขึ้นได้ว่าสามคนนี้อาจจะไม่ถนัด เพราะชาวต่างชาติมักจะนั่งเก้าอี้กันเสียมากกว่า
   “ก็ดี” ทั้งรูฟัสและราฟาแอลตอบขึ้นพร้อมกัน และนั่งลงไปทันที เหมือนว่าเคยนั่งกันอยู่บ่อยๆ ทุกเมื่อเชื่อวัน ฟ่งสงสัยว่าคนพวกนี้เล่นรอบกองไฟกันบ่อยๆ หรือเปล่า ท่าทางจะมีแต่รัสเลอร์เท่านั้นที่ดูจะกระอั่กกระอ่วนกับการนั่งบนพื้น
   “ผมขอเก้าอี้แล้วกัน” เขาว่า และลากเก้าอี้เขียนแบบมานั่ง ก่อนจะมองด้วยสายตาเสียดาย เมื่อฟ่งนั่งลงระหว่างคนทั้งสอง
   “เอาล่ะ พวกคุณไม่เข้าใจตรงไหน” หนุ่มสวมแว่นเอ่ยถาม หลังจากนั่งลงเรียบร้อยแล้ว รูฟัสและราฟาแอลมองหน้ากัน และหยิบแบบแปลนขึ้นมา
   “ทางเดินระเบียงตรงนี้น่ะ ที่คุณอธิบายว่าเชื่อมกับจุดนี้ จุดที่เชื่อมมันเป็นประตูที่มีกลไกรักษาความปลอดภัยแบบไหนน่ะ”
   รูฟัสเอ่ยถามขึ้น ฟ่งหยิบแปลนขึ้นมา นึกอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะอธิบายตอบไป
   “ใช้ระบบแบบC ครับ เออ ผมลืมเขียนบอกเอาไว้ว่าประตูสีอะไรใช้ระบบไหน แป๊บหนึ่งนะ” หนุ่มสวมแว่นว่า แล้วเดินไปหยิบปากกามาเขียนอะไรขยุกขยิกลงไปบนแผ่นกระดาษ ก่อนจะยื่นคืนให้
   “แบบนี้น่าจะเข้าใจง่ายขึ้นนะ” เขาว่า รูฟัสและราฟาแอลรับไปแล้วเพ่งกันอยู่พักหนึ่ง ถึงพยักหน้ายอมรับ
   “ไอ้ห้องสองห้องนี้น่ะ มันอยู่แบบนี้รึ? แล้วมันจะเชื่อมกันได้ยังไง” หนุ่มผมบล็อนด์ถามขึ้น หลังจากพลิกดูแปลนไปครู่หนึ่ง ฟ่งชะโงกหน้าไปดู แล้วก็ต้องเลิกคิ้วด้วยความสงสะน
   “ผมเขียนอธิบายตรงนี้ไว้อีกแผ่นนึงแล้วครับ อ่านแล้วงงเหรอ?”
   “แผ่นไหนล่ะ?” ราฟาแอลถามต่อ คราวนี้คิ้วของฟ่งขมวดเข้าหากันทันที
   “เดี่ยวก่อนนะครับ นี่พวกคุณอ่านเอกสารที่ผมเขียนแนบไปสักรอบหนึ่งหรือยังเนี่ย”
   ทั้งสองสั่นศีรษะพร้อมกัน “ยังไม่มีเวลาอ่านเลยน่ะ”
 หนุ่มสวมแว่นนึกอยากจะเอากองกระดาษทุบหัวสองคนนี่
   “งั้นก็ไปอ่านก่อนสิครับ ถ้าสงสัยแล้วค่อยมาถามผม นี่ผมกับคุณรัสเลอร์อุตส่าห์แกะกันตั้งนานนะเนี่ย” ฟ่งโอดครวญ  ราฟาแอลพยักหน้า ในขณะที่รูฟัสยิ้มแห้งๆ โดยไม่สังเกตว่ารัสเลอร์แอบหัวเราะอยู่
   “อ่านที่นี่ก็ได้ครับ อ่านให้จบ ถ้ายังไม่เข้าใจแล้วค่อยถามผมก็แล้วกัน ผมจะไปคุยกับวินสักหน่อย” พูดจบก็ลุกออกไป รูฟัสทำท่าจะลุกตามไปด้วย แต่โดนสายตามหาประลัยของราฟาแอลหยุดไว้ หนุ่มตาสองสีจึงต้องหันกลับมาสนใจแบบแปลนต่อ
   ฟ่งเดินไปที่โซฟา เขาเห็นวรุตกำลังให้ความสนใจกับรายการโทรทัศน์อยู่ จึงยืนรีรออยู่พักหนึ่ง จนเจ้าตัวหันมาเห็น
   “มีอะไรเหรอ?” เด็กหนุ่มถาม ฟ่งยิ้มแหยๆ “ถ้านายดูทีวีอยู่ก็ไม่เป็นไรหรอก”
   วรุตสั่นศีรษะทันที “ผมไม่ได้อยากดูเท่าไหร่ น่าเบื่อ คุณมีเรื่องจะถามผมหรือ?”
   “ทำนองนั้นแหละ นั่งด้วยสิ” ฟ่งว่า วรุตขยับที่ให้ พลางคิดว่านี่ห้องของฟ่งแท้ๆ ทำไมต้องมาขอที่นั่งกับคนอื่น
   “อยากรู้เรื่องห้องที่คุณเขียนแบบล่ะสิ”
   เด็กหนุ่มพูดอย่างรู้ทันเมื่ออีกฝ่ายนั่งลงข้างๆ ฟ่งมองหน้าเขาอย่างแปลกใจ
   “ทำไมรู้ล่ะ”
   “ก็ผมมีเรื่องให้คุณถามไม่กี่เรื่อง  ถ้าไม่เรื่องการมาของผม ก็คงเรื่องห้องนั่นแหละ เมื่อกี้ผมเห็นพวกคุณคุยกันด้วย กระดาษที่หอบกันมาคือแบบแปลนหรอ?”
   “อืม” ฟ่งพยักหน้า และรีบพูดต่อ “นายเคยเห็นห้องจริงๆ แล้วใช่ไหม คือผมอยากรู้ว่ามันเป็นยังไง หมายถึงใช้งานได้จริงๆ หรือเปล่าน่ะ?”
   วรุตยิ้มออกมา ขยับตัวหันหน้าเข้ามาหาฟ่ง “มันสุดยอดเลยล่ะ ใช้คำว่ามหัศจรรย์ก็น่าจะได้นะ กว่าผมจะอ้อนขอให้พ่ออนุญาตให้คนพาสำรวจได้ น้ำลายแทบแห้ง ถ้าไม่มีคนนำทางนะ รับรองผมหลงแน่ๆ ”
   “แล้วพวกกลไกที่ใช้สลับห้องล่ะ ได้ลองใช้แล้วรึเปล่า?” ฟ่งถามอย่างสนใจ เด็กหนุ่มพยักหน้า
   “ผมลองบางห้องน่ะ แต่ห้องสำคัญจริงๆ เขาไม่ให้เข้าไป ไม่รู้หวงอะไรนักหนา ผมเห็นว่ามีพวกที่แต่งตัวเหมือนหมอด้วยล่ะ เห็นอารัตน์บอกว่าเป็นนักวิจัย พ่อผมจะทำอะไรอีกนะ เฮ้อ”
   เด็กหนุ่มถอนหายใจเฮือก ฟ่งยิ้มแห้งๆ ไม่รู้จะพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ยังไง เลยถามเรื่องห้องต่อ “แล้วห้องพวกนั้นใช้งานได้ดีไหม หมายถึงมันหมุนหากันได้สะดวกรึเปล่า หรือว่ายังมีส่วนไหนติดขัด”
   “โห..” คนถูกถามทำตาโต “มันคงไม่ติดขัดอะไรหรอก หรือต่อให้มันติดขัดนะ ผมว่าไม่มีใครเข้าใจระบบการทำงานของมันหรอก ถ้าไม่รู้มาก่อนล่วงหน้า ถึงจะใฃ้งานได้ไม่เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ก็คงไม่น่ามีใครลอดเข้าไปได้แล้วล่ะ คุณคิดห้องพวกนี้เข้าไปได้ยังไง”
   ฟ่งหัวเราะเขินๆ เลือกจะไม่พูดว่าเพราะทางนั้นสั่งมานั่นแหละ วรุตมองหน้าเขาและพูดต่อ “ผมอยากให้คุณได้เห็นจัง ไม่สิ คุณควรจะได้เห็นเลยล่ะ ก็มันผลงานของคุณนี่นา”
   “ผมคงไม่มีโอกาสได้เห็นมันหรอก” ฟ่งพูดอย่างปลงตก เด็กหนุ่มมองหน้าเขาอีกครั้ง
   “แต่จริงๆ คุณก็อยากเห็นใช่ไหมล่ะ ตอนเรียนที่เยอรมัน ผมมีเพื่อนอยู่คนหนึ่งนะ  เรียนทางสถาปกนิกเหมือนคุณนี่แหละ เขาพูดเลยว่างานแต่ละชิ้นของเขาน่ะเป็นเหมือนลูก รักและถนอมกันสุดๆ ชนิดที่ไม่อยากให้ใครแก้ใครเปลี่ยนเลยล่ะ ผมยังนึกสงสัยว่าแล้วเขาจะเขียนแบบให้คนอื่นได้ไหมนี่ หวงซะขนาดนั้น”
   “ผมไม่ถึงขั้นนั้นหรอก” ฟ่งว่า และย้ำกับตัวเองว่าเขาคงไม่เป็นตัวของตัวขนาดนั้น
   “แต่ยังไงคุณก็ต้องอยากเห็นผลงานสำเร็จแล้ว ถูกไหมล่ะ?” วรุตถามต่อ หนุ่มสวมแว่นพยักหน้า และถอนหายใจ
   “ช่างมันเถอะ ที่ผมถามนายเรื่องนี้น่ะ เพราะคิดว่าเดี๋ยวอีกสักพัก สองคนที่นั่งอ่านแผนที่กันอยู่คงมาคุยกับนายเรื่องนี้ ผมเลยมาถามดูว่านายรู้ขนาดไหนกันแน่ คือผมไม่อยากให้นายโดนขู่ฟรีๆ น่ะ”
   วรุตยิ้มให้ฟ่งอีกครั้ง “ผมเป็นไรหรอก ที่จริงผมอยากช่วยพวกเขานะ อะไรที่พอช่วยได้ผมก็อยากจะช่วยล่ะ เพราะถ้างานเขาสำเร็จ ก็หมายความว่าคุณจะปลอดภัย”
   “แล้วพ่อนายล่ะ?” ฟ่งถามด้วยความแปลกใจ
   “พ่อผม?” วรุตกล่าวและเบิ่งตากว้างอย่างแปลกใจไม่แพ้กัน ก่อนจะหัวเราะออกมานิดหน่อย
   “พ่อผมเขาเอาตัวรอดเก่งอยู่แล้ว จนตอนนี้ผมยังไม่เข้าใจเลยว่าเขาจะมีผมมาทำไม ในเมื่อเขาดูจะรักงานมากกว่าอะไรทั้งหมดในโลกนี้”
   “เพราะงี้นายถึงเกลียดพ่อตัวเองงั้นเหรอ?” ฟ่งถามอีก วรุตสั่นศีรษะ

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
   “เปล่า ก็ผมบอกแล้วไง ว่าผมไม่ได้ต่อต้านเขา ถ้าจะพูดให้ใกล้เคียงก็คง... เพราะผมพยายามเข้าใจเขาไม่ได้ล่ะมั้ง” เด็กหนุ่มตอบ และถอนหายใจอีกครั้ง
   “อย่าพูดถึงเรื่องนี้เลยนะ ว่าแต่คืนนี้ผมนอนที่นี่ได้ใช่ไหม?” วรุตถามขึ้นบ้าง ฟ่งเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ “นายเอาจริง?”
   วรุตพยักหน้า “เอาจริงสิครับ” เขาตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง ฟ่งชั่งใจอยู่พักหนึ่ง
   “นายต้องนอนที่โซฟานะ”
   “โซฟาน่ะผมไม่มีปัญหาหรอกครับ กลัวแต่ว่าโซฟาห้องคุณจะไม่พอน่ะสิ”
   “ทำไมล่ะ?”
   “ก็..” วรุตหลิ่วตาไปทางรูฟัสที่กำลังนั่งอ่านแปลนอยู่กับราฟาแอล โดยมีรัสเลอร์ให้คำแนะนำเป็นระยะ และพูดต่อ
   “ท่าทางแฟนคุณขี้หึงออกอย่างนั้น เขาจะยอมให้ผมนอนกับคุณแค่สองคนเหรอ? เอ๊ะ หรือว่าคุณจะให้เขาเข้าไปนอนเตียงเดียวกับคุณ ผมไม่น่าถามเลยนะเนี่ย”
   “จะบ้าเหรอ!!” ฟ่งร้องออกมาทันที วรุตทำหน้าแปลกใจ “อ้าว ผมคิดว่าปกติคุณนอนด้วยกันเสียอีก เป็นแฟนกันไม่ใช่เหรอครับ?”
   ฟ่งทำหน้าอึ้งๆ เอ่อ... จะแฟนหรือไม่เขาไม่อยากจะระบุหรอกนะ แต่ถ้านอนเตียงเดียวกับรูฟัสโดยที่มีคนอื่นอยู่แบบนี้ เขาคงทำไม่ลง เกิดถูกรูฟัสทำอะไรขึ้นมาแล้วส่งเสียงน่าเกลียดออกไป ตอนเช้าคงไม่รู้จะเอาหน้าไปซุกไว้ไหน
   “หรือว่า... คุณสองคนยังไม่ถึงขั้นมีอะไรกัน ตายล่ะ!”
   ฟ่งเงยหน้าขึ้นมองวรุต และรู้สึกว่าแก้มร้อนฉ่า วรุตรีบพูดขึ้นต่อ
   “ผมขอโทษจริงๆ  ครับ คือ ผมไม่ได้ตั้งใจจะพูด อย่าถือสาผมเลยนะ”
   “ผมไม่โกรธหรอก เฮ้อ.... ” ฟ่งถอนหายใจ เขาควรจะปล่อยให้วรุตเข้าใจผิดเรื่องนี้ไปดีหรือเปล่านะ แต่ถ้าจะให้ยอมรับว่ามีอะไรกันแล้วกับคนอื่นก็น่าอายเกินไป
   “จริงๆ มันก็ชวนให้เข้าใจผิดอยู่นะครับ เพราะเขาดูหึงคุณขนาดนั้น  อืม แต่ก็คงไม่แปลกหรอก เป็นผมผมก็หึง ก็มีใครไม่รู้มาขอนอนกับแฟนนี่ เกิดลุกขึ้นมาปล้ำตัดหน้าล่ะก็ ผมคงเอามีดไล่แทงแน่ๆ ”
   ฟ่งหัวเราะขืนๆ เด็กหนุ่มพูดต่อ
   “ผมไม่คิดเลยนะว่าคุณจะเป็นเกย์ด้วย ความจริงผมเองก็ชอบผู้ชายเหมือนกันนะ แต่อย่าเข้าใจผิดนะครับ คือผมมีคนที่ชอบอยู่แล้ว”
   “เหมือนนายจะเคยพูดถึงแล้วนะ” ฟ่งว่า รู้สึกเฝื่อนๆ เมื่อวรุตสรุปว่าเขาเป็นเกย์เหมือนกัน นี่เขาควรเถียงออกไปหรือเปล่านะ แต่สถานภาพของเขากับรูฟัสก็ไม่ชวนให้มีคำอธิบายเป็นอย่างอื่น หนุ่มสวมแว่นได้ยินเสียงตัวเองถอนหายใจอีกรอบ
   “ผมพูดมากไปรึเปล่า?” วรุตถามขึ้นทันที ฟ่งรีบสั่นศีรษะ “เปล่าๆ เล่าเรื่องแฟนของนายต่อเถอะ”
    “เรื่องแฟนผมรึ?” วรุตทวน และหัวเราะออกมา “จะเรียกว่าแฟนก็ไม่ถูกนะ... เรียกว่าอะไรดีล่ะ อืม...ผมไปบังคับข่มขืนเขาน่ะ”
   “ห๊ะ!!” ฟ่งร้อง พลางเบิ่งตากว้างอย่างตกใจ วรุตเกาศีรษะ ไม่แน่ใจว่าเขาทำพลาดหรือเปล่าที่เล่าเรื่องนี้ แต่เมื่อพูดออกไปแล้วก็ควรจะขยายความต่อให้จบ
   “จริงๆ แล้วผมผมไม่ได้เป็นคนดีเด่อะไรหรอก ออกจะเลวร้ายด้วยซ้ำ” เขาว่า “ผู้ชายคนนั้นเขาเป็นลูกน้องพ่อผมน่ะ แล้วก็..เคยมีอะไรกับพ่อผมแล้ว เอ่อ...พ่อผมคงเป็นพวกไบเซ็กชวลล่ะมั้ง ไม่ก็เพิ่งค้นพบตัวเองหลังจากมีลูกแล้ว”
   ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า แต่ฟ่งรู้สึกว่าวรุตดูจะมีน้ำเสียงไม่พอใจพอพูดมาถึงจุดนี้  เด็กหนุ่มเล่าต่อ
   “ผมเจอเขาตอนกลับมาเมื่อหลายเดือนก่อน แว้บแรกที่ได้เห็น ผมตกหลุมรักเขาเลยล่ะ หลังจากนั้นผมก็มารู้ว่าเขาเคยมีอะไรกับพ่อผมแล้ว ผมเลยไม่พอใจเท่าไหร่ อีกอย่างเขาก็ดูจะปักใจกับพ่อผมมากด้วย ทั้งๆ ที่แค่มีอะไรกันครั้งเดียวเท่านั้นเอง”
   ฟ่งอยากจะแย้งว่า แค่ครั้งเดียวก็อาจจะทำให้ฝังใจไปตลอดชีวิตก็ได้ เหมือนที่รูฟัสทำกับเขาไงล่ะ แต่ก็นะ หลังจากนั้นแล้วเขาก็แทบจะไม่อยากจำอีกเลย
   “ผมไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงให้เขาหันมามองผมบ้าง สุดท้ายผมก็เลยใช้ความเป็นลูกชายพ่อขืนใจเขา แล้วถ่ายรูปแบล็กเมล์ อืม ถ้าคุณจะว่าผมเลว ผมก็ไม่เถียงหรอกนะ สมองผมคิดเรื่องพวกนี้ไม่ค่อยเก่งด้วยสิ เรื่องจีบคนน่ะ”
   ฟ่งไม่รู้ควรจะมอบคำว่า”เลว”ให้กับเด็กคนนี้หรือเปล่า เพราะดูจากวิธีการคิดตั้งแต่พยายามจะมาช่วยเขาโดยไม่ดูตาม้าตาเรือแล้ว ก็พอจะสรุปได้ว่า วรุตเป็นคนที่มีความคิดสุดกู่แล้วมีความมุ่งมั่นแบบแปลกๆ ล่ะมั้ง
   “จะว่าไป คุณอาจจะเคยเจอเขาก็ได้นะ เหมือนว่าเขาจะแวะมาที่นี่บ่อยๆ ด้วยล่ะ มารับงานคุณนั่นแหละ ผู้ชายที่หน้าสวยๆ ไง”
   ฟ่งนึกแวบขึ้นมาทันทีพอได้ยินคำอธิบายดังกล่าว เขาจำได้ว่าหนึ่งในคนที่มาติดต่อธุระกับเขาในวันแรกมีผู้ชายหน้าสวยรวมอยู่ด้วย แล้วก็ดูเหมือนจะอยู่ในตอนที่เขาถูกลากไปห้องใต้ดินด้วย
   “อืม จำได้ล่ะ” หนุ่มสวมแว่นว่า วรุตหันมามองด้วยสายตาเป็นกังวล “เหรอ แล้วเขาเคยทำอะไรแย่ๆ กับคุณหรือเปล่า แบบว่าซ้อมคุณ หรือเอาปืนขู่คุณอะไรแบบนั้น”
   “เอ่อ..” ฟ่งพูดค้าง และหัวเราะออกมาแทน ไอ้การเอาปืนจ่อสีข้างกับการผลักขึ้นรถนี่ถือเป็นการข่มขู่เหมือนกันสินะ แต่สองเรื่องนี้ช่างดูเล็กน้อยเหลือเกินเมื่อเทียบกับเรื่องที่เขาเผชิญตอนอยู่ฮ่องกง
   เด็กหนุ่มถอนหายใจอีก “ผมน่ะ ไม่อยากให้เขาทำเรื่องแย่ๆ อย่างฆ่าคนหรือลักพาตัวอะไรแบบนี้เลย สำหรับผมแล้ว เขาควรจะอยู่ในที่ดีๆ ทำในสิ่งดีๆ มากกว่า ผมพยายามทุกอย่าง ทั้งแบล็กเมล์ ไล่ตาม ก่อกวนการทำงาน แต่สุดท้ายผมก็รู้ว่าหยุดเขาไม่ได้ คงเพราะมันเป็นสิ่งที่เขาทำเพื่อพ่อผมล่ะมั้ง”
   น้ำเสียงของเด็กหนุ่มดูเศร้าลงถนัด ฟ่งคิดว่าวรุตคงมีความเก็บกดโดยที่เจ้าตัวไม่รู้สึก ฟังจากสิ่งที่เด็กคนนี้พูดออกมา บางทีเด็กหนุ่มแปลกหน้าผู้มาเยือนอย่างไม่น่าไว้ใจคนนี้อาจจะมีส่วนน่าสงสารมากกว่าที่คิดก็ได้
   “อ๊ะ!! ผมคงพูดมากไปแล้ว” วรุตว่า พลางหัวเราะกลบเกลื่อน “วางใจเถอะครับ ผมไม่ข่มขืนหรือแบล็กเมล์คุณหรอก พอจบเรื่องนี้แล้วผมสัญญาว่าจะไม่มายุ่งกับคุณอีก”
   ฟ่งยิ้มแห้งๆ  เด็กหนุ่มเบิ่งตาเหมือนเพิ่งนึกอะไรได้
   “จริงสิ ผมถามเรื่องของคุณบ้างดีกว่า”
--------------------------------------
   อิทธิเดชโยนโทรศัพท์มือถือลงบนเตียง เขาเพิ่งคุยกับเลขาฯคนหนึ่งของทวีศักดิ์เสร็จ  ดูเหมือนว่าทางนั้นจะพักเรื่องการติดตามตัวสถาปนิก และอย่างอื่นที่ไม่จำเป็นเอาไว้ก่อน เพราะงานใหญ่กำลังจะเริ่ม ขุมกำลังเกือบทั้งหมดจึงถูกดึงกลับไปยังศูนย์บัญชาการหลัก แต่เขากลับเป็นหนึ่งในในไม่กี่คนที่ถูกยกเว้นให้ไม่ต้องกลับไป นั่นเพราะเขาต้องทำหน้าที่อารักขาบุตรชายของทวีศักดิ์ที่มีชื่อว่า วรุต
   หนุ่มหน้าสวยถอนหายใจยาว และนั่งปุลงบนเตียง เด็กร้ายกาจคนนั้นไม่กลับมาที่นี่สามวันแล้ว สำหรับเขามันควรจะเป็นเรื่องน่าดีใจ เพราะตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา วรุตตามรังควานเขามาโดยตลอด  และที่สำคัญยังเป็นการคุกคามทางเพศอีกด้วย
อิทธิเดชเพิ่งรู้สึกว่าตัวเองเป็นอิสระขึ้นมาบ้าง หลังจากทวีศักดิ์เอ่ยปากอนุญาตให้เขาเป็นผู้ดูแลวรุต ทำให้เขาสามารถปฏิเสธความต้องการของเด็กคนนั้นได้เต็มปากเต็มคำมากขึ้น
อย่างไรก็ตามเรื่องกลับตาลปัตร เมื่อจู่ๆ หลังนั้นไม่นาน เด็กหนุ่มเจ้าปัญหาคนนี้เริ่มหลบหน้าเขา และใช้เวลาในช่วงกลางวันถึงดึกไปกับการออกไปข้างนอกนอก ทั้งหมดนี้เริ่มขึ้นหลังจากที่เขาพยายามจะปฏิเสธการบังคับขืนใจให้มีเพศสัมพันธ์นั่นแหละ
   ตอนแรกอิทธิเดชคิดว่าวรุตคงทำเพื่อประชดเขา แต่พอเวลาผ่านไป เขาก็เริ่มรู้สึกว่าเด็กคนนี้กำลังทำอะไรบางอย่างที่ไม่อยากให้เขารู้ ซึ่งในตอนนั้นอิทธิเดชไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก  เพราะเขาไม่อยากให้ความสำคัญกับเด็กคนนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว แต่ในตอนนี้ ดูเหมือนสถานการณ์ทั้งหมดจะบีบบังคับให้เขาต้องสนใจเด็กที่ชื่อวรุตคนนั้นบ้างแล้ว
   เด็กร้ายกาจนั่นหายไปไหนกันนะ?!
   ในวันสุดท้ายก่อนที่จะหายตัวไป วรุตกลับมาที่ห้องและทิ้งรูปถ่ายที่เคยใช้ขู่แบล็กเมล์เขาเอาไว้ พร้อมกับบอกว่าจะย้ายไปอยู่ที่อื่นสักพักหนึ่ง
หลังจากถูกเด็กคนนี้ตามจองล้างจองผลาญมาหลายเดือน อิทธิเดชทราบดีว่าวรุตไม่ใช่เด็กที่ชอบพูดล้อเล่น เขาทำทุกอย่างได้อย่างที่พูด แม้หลายเรื่องจะดูไม่น่าเชื่อเลยก็ตาม วรุตไปดักพบเขาได้ทุกที่ ขัดขวางเขาได้ทุกงาน สอดมือเข้าไปยุ่งในทุกเรื่อง ดูเหมือนเด็กคนนี้จะมุ่งมั่นทำให้เขาตกงานจริงๆ และครั้งนี้ก็เช่นกัน วรุตหายตัวไป คำพูดว่าย้ายที่อยู่ก็คงไม่ได้พูดเล่น
เด็กคนนั้นจะย้ายไปที่ไหนกัน?
อิทธิเดชพยายามจะไม่นึกเข้าข้างตัวเอง แต่โดยปกติแล้ววรุตมักจะพยายามอยู่ในที่ที่ใกล้กับเขาที่สุด และไม่เคยหายหน้าไปโดยไม่ติดต่อเกินหนึ่งวัน แต่คราวนี้ เด็กคนนั้นหายเงียบไปกว่าสามวันแล้ว และไม่ได้ติดต่อกับใครที่เขารู้จักเลย หนุ่มหน้าสวยเริ่มรู้สึกกังวล เพราะการคุ้มครองวรุตเป็นหน้าที่ที่ทวีศักดิ์มอบให้เขา แต่ตอนนี้แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่รู้เลยว่าเด็กคนนั้นหายไปไหนกันแน่ เขาควรจะเริ่มหาตัววรุตได้แล้ว แม้ว่าใจจริงจะไม่อยากทำเลยก็ตาม
   เด็กคนนั้นจะไปที่ไหนได้บ้างนะ?!
   แวบแรกอิทธิเดชนึกถึงเพื่อนๆ ของวรุต แต่แล้วก็ต้องส่ายหน้ากับตัวเอง เพราะวรุตไปเรียนอยู่ต่างประเทศนานหลายปี จึงแทบไม่มีเพื่อนในประเทศเลย และหลังจากกลับมาแล้ว ก็มาขลุกอยู่กับเขาเกือบตลอด ดังนั้นเรื่องที่เด็กหนุ่มจะไปค้างบ้านเพื่อนจึงต้องตัดทิ้งไป
   หรือว่าจะไปอยู่กับใครสักคนในกลุ่มที่ทำงานอยู่ที่บริษัท แต่ถ้าแบบนั้นจริง ก็ต้องมีคนแจ้งให้เขารู้สิ แปลว่าวรุตหลบออกไปอยู่ในที่ที่สายตาของทวีศักดิ์สอดส่องไม่ถึงงั้นรึ?
   การที่เด็กคนนั้นออกไปข้างนอกบ่อยๆ เพื่อไปหาใครหรือเปล่านะ?
   อิทธิเดชเริ่มคิดทบทวนถึงพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของวรุต สิ่งที่เด็กคนนั้นพูดถึงบ่อยๆ หลังจากเริ่มหลบหน้าเขา...... ใช่แล้ว วรุตถามถึงเรื่องสถาปนิกที่เขียนแปลนห้องคนนั้นบ่อยมาก ดูเหมือนเด็กหนุ่มจะให้ความสนใจคนคนนี้ตั้งแต่ที่ไปเอาแปลนชิ้นสุดท้ายกับเขาที่คอนโดนั่นแหละ
 ตอนแรกอิทธิเดชไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนี้ เพราะวรุตดูเหมือนจะสนใจไปทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องของเขา แต่พอมานึกย้อนดูแล้ว ระยะหลังๆ นี่  เด็กหนุ่มดูจะให้ความสนใจว่ามีใครเจอตัวสถาปนิกคนนั้นบ้างหรือยัง หรือว่าวรุตจะออกไปตามหาคนที่ว่านี้ นั่นก็ดูจะสมเหตุสมผลอยู่ที่พยายามจะหลบหน้าเขา และไม่ติดต่อกับคนที่ทำงานอยู่ที่บริษัท แต่วรุตจะไปพบผู้ชายคนนั้นเพื่ออะไรกันล่ะ?
   หนุ่มหน้าสวยเม้มริมฝีปากได้รูปอย่างใช้ความคิด บางทีนี่อาจจะเป็นความเอาแต่ใจส่วนตัวของเด็กคนนั้นที่เขาไม่สามารถเข้าใจได้ก็ได้
ที่ผ่านมาเขาพูดได้ไม่เต็มปากนักถ้าจะบอกว่าวรุตเป็นเด็กที่เอาแต่ใจ เพราะเมื่อเขาอยู่ต่อหน้าคนอื่น วรุตเป็นเด็กที่ว่าง่าย และยอมทำเรื่องหลายๆ อย่างโดยที่ไม่มีข้อแม้ ได้ยินมาว่าเขาเรียนในสาขาที่ทวีศักดิ์อยากให้เรียนโดยไม่อิดออด และเรียนได้ดีเสียด้วย ดูเหมือนว่าเด็กคนนี้จะทำในสิ่งที่คนอื่นต้องการให้เขาทำได้ แต่ในบางแง่มุม วรุตกลับมีความคิดแปลกๆ ในรูปแบบของตัวเอง และก็สามารถทำมันให้สำเร็จได้โดยไม่สนใจเสียงรอบข้างเสียด้วย  อย่างเช่นเรื่องที่ข่มขืนและแบล็กเมล์เขาไงล่ะ
   จนถึงตอนนี้อิทธิเดชยังไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเด็กหนุ่มที่ดูเรียบร้อยและว่าง่ายในสังคมปกติจะแสดงด้านมืดที่เลวร้ายต่อเขาขนาดนี้ เพียงเพราะเขาเคยมีอะไรกับผู้เป็นพ่อของเด็กคนนั้นเท่านั้นเอง
อิทธิเดชสรุปว่าวรุตเป็นเด็กที่มีความมุ่งมั่นแบบแปลกๆ  และก็เป็นพวกที่จะพยายามทุกอย่างเพื่อทำตามความมุ่งมั่นนั้นเสียด้วย
   คราวนี้ท่าทางว่าวรุตจะมีความมุ่งมั่นที่อยากจะเจอสถาปนิกคนนั้น และคงจะตั้งใจจะทำให้สำเร็จอย่างทุกครั้ง
   ดังนั้นเรื่องที่ว่าย้ายที่อยู่ ก็อาจจะย้ายไปอยู่ใกล้ๆ กับสถานที่ที่คิดว่าจะน่าเจอตัวสถาปนิกคนนั้นก่อนก็ได้ ประจวบเหมาะกับเรื่องที่ทวีศักดิ์สั่งถอนกำลังเมื่อสี่วันก่อน ก็แปลว่าวรุตมีโอกาสที่จะอยู่ที่คอนโดเขาเคยไปนั่นแน่ๆ
   อิทธิเดชพยักหน้ากับตัวเอง
   แม้จะไม่ค่อยเต็มใจนัก แต่พรุ่งนี้เขาคงต้องไปสำรวจคอนโดที่ว่านั่นเสียหน่อย
------------------------------------------
   วรุตถอนหายใจยาว เพ่งสายตาฝ่าความมืดเบื้องหน้าไปยังที่ที่ไม่มีอยู่จริง ราฟาแอลและเพื่อนร่วมงานที่ชื่อรัสเลอร์กลับไปยังห้องในตอนเที่ยงคืน ทิ้งให้เพื่อนอีกคนหนึ่งซึ่งเขายังไม่มีโอกาสได้ถามชื่ออยู่โยงเฝ้าที่นี่ ซึ่งก็ไม่ผิดความคาดหมายมากนัก เพราะนี่เป็นห้องแฟนเจ้าตัวนี่นา
ฟ่งทำตามสิ่งที่เขาได้พูดเอาไว้ในช่วงอาหารมื้อเย็น คือล็อกประตูนอนในห้องนอน แล้วปล่อยให้คนที่เหลือนอนตรงโซฟา น่าแปลกที่ผู้ชายชาวต่างชาติผมสีดำที่เป็นแฟน ไม่ได้แสดงท่าทีอิดออดอย่างที่ควรจะเป็น วรุตพอจะเดาเอาได้ว่าเพราะผู้ชายคนนี้ต้องการจับตาดูเขา  ดังนั้นเขาจึงเลือกนอนที่โซฟา และปล่อยให้หมอนั่นไปนอนที่พื้นด้านหน้าห้อง
   เด็กหนุ่มไม่สนใจว่าเขาจะถูกจับตามองอย่างไร หรือคนที่เฝ้าอยู่จะหลับแล้วหรือไม่ เขายังคงถอนหายใจต่อ สมองดูจะมีเรื่องบางอย่างให้ครุ่นคิด
   เรื่องของอิทธิเดช….
   ถึงจะแน่ใจว่าอิทธิเดชไม่เคยคิดอะไรกับเขามากกว่ารำคาญและเกรงใจผู้เป็นพ่อ รวมถึงเคียดแค้นในเรื่องที่เขาทำลงไป แต่ถึงอย่างนั้นวรุตก็ไม่สามารถเปลี่ยนความรู้สึกที่มีต่อชายคนนี้ได้
   รัก...ปรารถนา...อยากเป็นเจ้าของ
   ชายหนุ่มเผลอหัวเราะออกมานิดหน่อย หัวใจของเขาคงสามารถรัก ร่างกายของเขาคงสามารถปรารถนาในเรือนร่างอ้อนแอ้นขาวนวลนั้นได้  แต่เขาคงไม่มีโอกาสได้เป็นเจ้าของหัวใจดวงนั้น หัวใจที่อิทธิเดชมอบให้พ่อของเขาไปจนหมดสิ้น
   ทำไมเขาถึงต้องหลงรักผู้ชายคนนั้นด้วยนะ!!
   คงเป็นเพราะเขาหลงใหลในใบหน้างดงามและเรือนร่างบอบบาง กับสายตาเศร้าๆ ที่ไม่ว่ากี่ครั้งก็ชวนให้อยากปลอบโยน แต่สิ่งที่เขาทำกลับเป็นการทำร้ายทั้งร่ายกายและจิตใจของอีกฝ่าย เพียงเพราะในสายตาคู่นั้นไม่เคยมีเขาอยู่เลย
   เด็กหนุ่มถอนหายใจอีกครั้ง เขาเพียงอยากให้ดวงตาเศร้าๆ คู่นั้นมีเงาของเขาอยู่บ้าง  จึงตัดสินใจทำอะไรบ้าๆ ลงไป ขอเพียงให้มีเงาสะท้อนของเขาอยู่เท่านั้น ต่อให้มันคือเงาสะท้อนของความเกลียดชังก็ตาม แต่จนถึงตอนนี้ วรุตรับรู้แล้วว่ามันเป็นแค่ความพยายามที่ไร้ประโยชน์
ไม่ว่าจะพยายามขนาดไหน อิทธิเดชก็ไม่มีวันหันมามองเขา ไม่ว่าจะมองด้วยสายตาของความรัก หรือสายตาของความแค้นก็ตาม สำหรับคนคนนั้นแล้ว เขาคงเป็นแค่เด็กเอาแต่ใจและน่ารำคาญ ไม่มีค่าพอให้ใส่ใจด้วยซ้ำ หากไม่มีสายเลือดเดียวกันกับทวีศักดิ์ ต่อให้เขาใช้วิธีละมุนละม่อมกว่านี้ ทำตัวดีกว่านี้ ทางนั้นก็คงไม่หันมามองเขาอยู่ดี และเขาก็คงไม่มีโอกาสจะได้แตะแม้ปลายเส้นผม ก็หัวใจของอิทธิเดชเป็นของพ่อเขานี่นา
   ถึงเวลาที่เขาควรจะตัดใจแล้วสินะ?
   วรุตปฏิเสธความคิดนี้ในทันที เขาไม่มีวันล้มเลิกความตั้งใจที่มีต่ออิทธิเดชอย่างเด็ดขาด เพียงแต่ตอนนี้เขายังคิดไม่ออกว่าจะดำเนินการต่อเกี่ยวกับเรื่องนั้นไปในรูปแบบไหน  และเรื่องราวของฟ่งก็ดูจะสำคัญกว่า เพราะมันเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวพันถึงชีวิตของคนคนหนึ่ง เขาคงต้องพักเรื่องของอิทธิเดชไว้ก่อน
   ถึงอย่างนั้น ก็ยังไม่สามารถหยุดความคิดฟุ้งซ่านที่มีต่ออิทธิเดชได้ในทุกครั้งที่หลับตาลง เขาคิดถึงผู้ชายคนนั้น คิดถึงอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน อยากจะอยู่ใกล้ๆ อยากจะพูดคุย  แม้ว่าการพูดคุยนั้นจะไม่ใช่การพูดคุยอย่างสนุกสนานเลยก็ตาม
   ก็แค่รัก...จนไม่อยากจะตัดใจเท่านั้นเอง
------------------------------------------
   รูฟัสยังไม่หลับ แต่ก็ไม่ได้นอนลืมตา เขาได้ยินเสียงวรุตถอนหายใจในความมืด เจ้าเด็กน่าสงสัยคนนั้นมีเรื่องอะไรให้ต้องคิดมากกันนะ อาจจะเป็นเรื่องที่หลงมาติดกับที่นี่ หรือเรื่องส่วนตัวอย่างอื่นก็ได้
หนุ่มตาสองสีไม่อยากให้ความสำคัญนัก เด็กนั่นเป็นแค่หมากตัวหนึ่งที่อาจจะบังเอิญหลงเข้ามา ทำให้เขาต้องจับตาอย่างใกล้ชิด ที่ควรจะให้ความสำคัญน่าจะเป็นฟ่งมากกว่า
   รูฟัสนึกอยากจะถอนหายใจบ้าง แต่ก็ต้องกลั้นเอาไว้ เพราะกลัวเด็กที่นอนอยู่บนโซฟาจะรู้สึกตัวว่าเขายังไม่หลับ รูฟัสไม่รู้ว่าฟ่งทำอีท่าไหนถึงสามารถมานั่งเขียนแบบแปลนนรกนั่นในห้องของตัวเองได้  ทั้งๆ ที่ปกติน่าจะถูกพาไปกักตัวไว้ที่ไหนแล้วฆ่าทิ้งในตอนหลัง
บางทีฟ่งอาจจะมีความสามารถอื่นที่ซ่อนเอาไว้มากกว่าที่เขารู้ก็ได้ แต่ถึงอย่างนั้นรูฟัสก็ยังเป็นห่วงอยู่ดี ไม่ว่าฟ่งจะใช้วีธีแบบไหนในการเอาตัวรอดออกมาจากเหตุการณ์ในคราวนั้น แต่เขาแทบจะแน่ใจว่าหนุ่มสวมแว่นคนนี้คงไม่มีโอกาสได้ใช้แผนนั้นอีกเป็นรอบที่สอง หากตกเข้าไปอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายนั่นอีกครั้ง
เพราะอย่างนี้ รูฟัสจำเป็นต้องแน่ใจว่าฟ่งจะอยู่ในที่ปลอดภัยในตอนที่เขาลอบเข้าไปในห้องลับ ปัญหาที่ราฟาแอลถามมานั้น คือการโยนภาระให้เขาเป็นคนตัดสินใจในเรื่องนี้ เนื่องจากฟ่งมีความสำคัญกับเขามาก หากฟ่งเป็นแค่คนข้างห้องปกติ หรือเป็นแค่สถาปนิกที่เขาได้ตัวมาโดยบังเอิญ เรื่องราวคงไม่น่าปวดหัวขนาดนี้ แต่ตอนนี้ฟ่งเป็นคนที่เขารัก และตั้งใจจะใช้ชีวิตอยู่ด้วย เป็นคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขา หลังจากอยู่อย่างไร้ทิศทางมากกว่าสิบหกปี
   เขาไม่อยากจะสูญเสียคนสำคัญไปอีกแล้ว ไม่ว่าจะในรูปแบบใดก็ตาม
   รูฟัสกลืนน้ำลาย เขาจะต้องหาที่ปลอดภัยที่สุดให้ฟ่ง ก่อนที่ตัวเขาเองจะต้องเข้าไปในห้องลับนั่น
   อีกสองวัน
-------------------------------------
** สถานะปัจจุบันของเรื่องนี้ อิช้านเขียนจบแล้วค่า... หลังจากเริ่มเขียนตอนแรกเมื่อวันที่2มิย.50 มาเสร็จเอา15 กค.54 ฮ่าๆๆ (เสียสติ) หลังจากนี้จะค่อยๆ เอามาทยอยลงนะคะ (ทั้งหมดมี88ตอนจบค่ะ /คนอ่านวิ่งหนีทันใด) รวมเล่มจะเปิดทุก45วันนะคะ^^

ขอบคุณที่ติดตามอ่านค่ะ

ออฟไลน์ หมวยลำเค็ญ

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 863
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +137/-1
เห็นว่า 88 ตอนจบ ก็แทบตาเหลือก แต่ขยันโพสแบบนี้ คนอ่านไม่ต้องรอกันนานใช่มั้ยคะ
ตั้งตัว เป็นแฟนคลับ น้องวรุตเด็กประหลาด ขยันจีบหน่อยเดี๋ยวพี่เดชก็คงใจอ่อน  มั้ง  555

ขอบคุณนะคะ ยิ่งอ่านยิ่งติด  :L2: :L2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






genieposh

  • บุคคลทั่วไป
 เอ่อ รอซื้อที่เดียวยกเซ็ททั้ง 9 เล่มเลยเนี่ย พอได้ไหมครับ

ออฟไลน์ litlittledragon

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1938
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +304/-1
จะเจอกันหรือเปล่าน้า... กังวลแทนฟ่งจริงๆ

ออฟไลน์ takara

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +379/-13
น้องวินสู้สู้ เอาใจช่วย

ออฟไลน์ TanyaPuech

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4341
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +531/-23
 :a5:

88ตอนจบ

โอ้ว แม่เจ้า  เพิ่งได้ครึ่งเรื่อง

แต่ติดตามๆครับ

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
บทที่47  การเริ่มเดินหมากของตระกูลเว่ย

   แสงแดดตอนเที่ยงในฮ่องกงนั้นเป็นอะไรที่หายากมาก เมื่อทั้งเมืองตกอยู่ในฤดูฝน  เถียนซานเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่มีเมฆปกคลุมอยู่เป็นบางส่วน ปล่อยให้ดวงอาทิตย์ส่องแสงลงมากระทบพื้นถนนด้านล่างบ้าง หลังจากมืดครึ้มติดกันมาหลายวัน ก่อนจะเลื่อนสายตาลงมายังตัวตึกบุกระจกสีดำขนาดสิบหกชั้น ซึ่งเป็นสำนักงานใหญ่ของตระกูลเว่ยและที่พักของเว่ยจินหยิน อดีตเจ้านายของเขา
   เป็นเวลากว่าสามวันแล้วที่เว่ยจินหยินลงทุนไปหาเขาด้วยตัวเองถึงตึกของหน่วยดำ และใช้ลูกไม้เดิมๆ อย่างที่เคยทำสมัยเด็กๆ จนทำให้เขาต้องมานอนค้างอยู่ที่สำนักงานนี้อย่างเร่งด่วนในเย็นวันเดียวกัน เพื่อปรึกษาและวางแผนเกี่ยวกับการเดินทางไปร่วมประชุมเกี่ยวกับโครงการที่มีชื่อว่า “Tescas ripoca” (เทสกา ริโพกา)
   บุรุษวัยสี่แปดย่างสี่สิบเก้า ผู้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าหน่วยดำมากว่ายี่สิบปี เลื่อนสายตาจากตัวตึก ลงมาจนอยู่ในระดับปกติ ก่อนจะระบายลมหายใจออกมา ข้อมูลที่เขาสืบได้มา กับข้อมูลที่เว่ยจินหยินส่งคนไปสืบมาก่อนนั้น พอเอามารวมกันแล้ว ก็ทำให้เขารู้สึกวิตกขึ้นมา
   เถียนซานคิดว่างานนี้อันตรายเกินไปสำหรับอดีตเจ้านายของเขา เขาพอจะคาดเดาความในในของเจ้านายใหญ่ของตัวเองได้ และเว่ยจินหยินเองก็คงเดาได้เช่นกัน แต่ที่ยังยอมเดินตามแผน ก็คงเพราะเรื่องตำแหน่งผู้สืบทอดนี่แหละ
   เถียนซานไม่ได้คุยเรื่องนี้โดยตรงกับเว่ยจินหยิน ดูเหมือนว่าเจ้าตัวเองก็รู้ว่ามันเป็นเรื่องเสี่ยงตาย ไม่อย่างนั้นคงไม่เร่งรัดให้เขามาร่วมงานอย่างเร่งด่วนเช่นนี้ แม้ว่าการกระทำบางอย่างของเว่ยจินหยินจะดูเหมือนล้อเล่น แต่เถียนซานใช้ชีวิตร่วมกับผู้ชายคนนี้มานานจนรู้ว่าทุกอย่างที่เจ้านายวันสามสิบหกคนนี้พูดและทำ ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นอย่างเด็ดขาด เว่ยจินหยินนั้นมีความมุ่งมั่นที่จะก้าวขึ้นเป็นหัวหน้าตระกูลในรุ่นต่อไปมาตั้งแต่เว่ยฟู่ฉินผู้เป็นพี่ชายประกาศสละสิทธิ์การรับตำแหน่ง และก่อนหน้านี้ก็ทำหน้าที่รับใช้ความต้องการของผู้เป็นพ่อด้วยดีมาโดยตลอด
   ทั้งหมดนี่ก็เพียงเพราะความฝังใจบางอย่างในวันเด็กที่เว่ยจินหยินมีต่อผู้เป็นบิดาเท่านั้นเอง
   ดังนั้นพอยิ่งเว่ยชิงเอ่ยปากเรื่องผู้สืบทอดด้วยแล้ว ต่อให้ต้องเสี่ยงชีวิตขนาดไหน เว่ยจินหยินก็คงไม่ปล่อยให้เรื่องนี้หลุดมือไป ต่อให้เป็นการเดินหมากตาร้ายก็ตาม เพราะนี่คือสิ่งที่เจ้าตัวไม่อาจจะปฏิเสธได้
   และไม่มีทางจะยอมได้อย่างเด็ดขาด
   ผู้เป็นหัวหน้าหน่วยดำก้าวออกมาจากตัวตึกอันเป็นสำนักงานใหญ่ของตระกูลที่เขาทำงานรับใช้อยู่ และโบกมือเรียกแท็กซี่ เนื่องจากวันนี้เว่ยจินหยินมีนัดรับประทานอาหารเที่ยงกับแขกสำคัญคนหนึ่ง ดังนั้นเถียนซานจึงขอปลีกตัวออกมา เขาอยากใช้เวลาเงียบๆ เพื่อคิดและสรุปเรื่องราวที่ค้างคาอยู่ในใจ
   รถแท็กซี่แล่นมาจอดหน้าตรอกเล็กๆ ที่ค่อนข้างจะจอแจ เถียนซานหยิบเงินพอดีจำนวนค่าโดยสาร ยื่นให้กับคนขับ ก่อนจะก้าวลงจากรถ และเดินเข้าร้านบะหมี่ร้านหนึ่งที่อยู่ใจกลางตรอก
   นี่เป็นร้านบะหมี่ที่เขาและน้องสาวมักจะแวะมาทานกันบ่อยๆ ในช่วงที่ยังอาศัยอยู่ด้วยกัน และบางครั้งเขาก็พาเว่ยจินหยินซึ่งตอนนั้นอายุไม่กี่ขวบมาทานด้วย
เถียนซานเอ่ยทักทายเจ้าของร้านซึ่งมีวัยล่วงเลยกว่าเจ็ดสิบปีเข้าไปแล้ว แต่ยังดูมีสุขภาพดีและแข็งแรงพอจะลวกบะหมี่อย่างที่เคยทำมาตลอดก่อนหน้านี้หลายสิบปี
เขาสั่งอาหาร และเดินเข้าไปหาที่นั่งในร้าน ทันใดนั้นเอง สายตาก็สะดุดเข้ากับชายหนุ่มคนหนึ่งที่นั่งก้มอยู่ที่โต๊ะตรงมุมอับที่สุด หลังจากลังเลใจอยู่ครู่หนึ่ง เถียนซานก็ตัดสินใจเดินเข้าไป
   “ไง อาซื่อ ขอนั่งด้วยสิ”
   ผู้ถูกทักเงยหน้าขึ้นมามองอย่างแปลกใจ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม เมื่อเห็นหน้าผู้เอ่ยทัก
   “สวัสดีครับพี่เถียน”
   เถียนซานพยักหน้าและนั่งลง เขารู้สึกแปลกแปลกๆ อยู่สักหน่อยกับทรงผมใหม่ของจางซื่อเยี่ยน คงเป็นเพราะเด็กคนนี้ไว้ผมยาวมาโดยตลอดล่ะมั้ง
   “ไม่ได้อยู่ทานข้าวเที่ยงกับคุณชายรองหรือครับ?” ผู้อ่อนวัยกว่าเอ่ยถาม เพราะปกติเจ้านายและลูกน้องคู่นี้มักจะทานอาหารด้วยกันอยู่บ่อยๆ
   เถียนซานสั่นศีรษะ เขาเงยหน้าขึ้นมองอดีตลูกน้อง และนึกดีใจที่บังเอิญได้มาเจอกันที่นี่
   “ฉันกำลังมีเรื่องอยากคุยกับเธออยู่พอดี เธอรู้เรื่องที่คุณท่านให้คุณชายรองกับคุณชายเจ็ด ไปงานประชุมที่เมืองไทยแล้วใช่ไหม?”
   “อ้อ เรื่องนั้น ทราบแล้วล่ะครับ” จางซื่อเยี่ยนตอบ และมีสีหน้าเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด เขาเงยขึ้นมองอดีตหัวหน้า
   “ผมว่างานนี้มันอันตรายเกินไป” จางซื่อเยี่ยนพูดขึ้นต่อ ดูเหมือนความคิดของเขาจะตรงกับความคิดของเถียนซาน ผู้มีวัยสูงกว่าพยักหน้า “ฉันก็เห็นว่าอย่างนั้น แต่คุณชายมุ่งมั่นกับเรื่องนี้มาก ฉันเลยอยากให้การไปครั้งนี้ราบรื่นที่สุด”
   “ครับ คุณชายเจ็ดเองก็ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากเหมือนกัน งั้น...”
   เถียนซานทำท่าจะอ้าปากพูด แต่ก็ต้องชะงักเมื่อบะหมี่ถูกยกเข้ามา เขารับชามบะหมี่จากเด็กเสิร์ฟ แล้ววางมันลงบนโต๊ะ ก่อนจะพูดต่อ
   “ฉันคิดว่า มันคงจะดีกว่าถ้าหากทั้งสองคนหันร่วมมือกัน”
   จางซื่อเยี่ยนเงยหน้าขึ้นมองอดีตหัวหน้าของเขา ก่อนจะพยักหน้า “ผมก็หวังให้เป็นแบบนั้นเหมือนกันล่ะครับ แต่กลัวว่าคุณชายจะไม่เห็นด้วยน่ะสิ”
   เถียนซานยิ้มออกมา มันเป็นรอยยิ้มที่ทำเอาคงมองรู้สึกมีกำลังใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
   “ฉันรู้ว่าคุณชายเจ็ดไม่ค่อยชอบพอคุณชายรองเท่าไหร่นัก แต่ฉันอยากให้เธอคุยกับคุณชายเจ็ดเรื่องนี้ ฉันคิดว่าคุณชายเจ็ดน่าจะยอมตกลง เดี๋ยวฉันจะคุยกับทางคุณชายรองให้อีกที”
   “อะ.. เอางั้นหรือครับ?” จางซื่อเยี่ยนพูดอย่างไม่ค่อยจะแน่ใจนัก เถียนซานอาจจะพูดเรื่องนี้กับเว่ยจินหยินได้ แต่สำหรับตัวเขานั้นมีความมั่นใจเลยสักเสี้ยวหนึ่งว่าเว่ยเฟิงปิงจะยอมฟังเขา
   “อือ ไม่ลองไม่รู้หรอก ฉันว่าคุณชายเจ็ดคงยอม คุณชายเป็นคนฉลาด เรื่องใหญ่ขนาดนี้คงไม่ถือทิฐิส่วนตัวจนไม่ฟังอะไรหรอก” เถียนซานพูดให้กำลังใจ จางซื่อเยี่ยนพยักหน้าอย่างคนจำยอมรับสภาพ
   “ผมจะลองพูดดูแล้วกันครับ แต่ไม่รับประกันหรอกนะครับว่าคุณชายจะฟังหรือเปล่า”
   เถียนซานพยักหน้า “ยังไงก็ฝากด้วยแล้วกัน ถ้ายังไงเดี๋ยวฉันจะติดต่อกลับไป” หนุ่มวัยสี่สิบเศษกล่าว และเริ่มรับประทานบะหมี่ในชาม
---------------------------------
   เว่ยจินหยินยกมือขึ้นขยับแว่นตากรอบทองของเขา ในตอนที่ผู้เป็นอดีตลูกน้องคนสนิทเดินเข้ามาในตัวตึก
   “ไปข้างนอกมารึ?” ผู้เป็นเจ้านายเอ่ยถาม เถียนซานพยักหน้า นึกแปลกใจนิดหน่อยที่พบเว่ยจินหยินตรงทางเดินชั้นล่าง
พอเห็นเขาเดินมาใกล้ อดีตเจ้านายก็โบกมือให้ผู้ติดตามสองคนด้านหลังหลบออกไปก่อน
   “มีอะไรหรือครับ?” เถียนซานเอ่ยถามเมื่อเห็นพฤติกรรมดังกล่าว หรือว่าเว่ยจินหยินมีเรื่องจะคุยกับเขาเป็นการส่วนตัวนะ? ผู้ถูกถามสั่นศีรษะ
   “ไม่มีอะไรหรอก ฉันให้พวกเขาไปพัก ไมเคิลกับโจดูแลฉันมาตลอดบ่ายแล้ว ต่อจากนี้ให้นานดูแลแทนก็แล้วกัน”
   “อ้อ” ผู้เป็นลูกน้องครางเสียงยาว มองดูเจ้านายที่ถอดแว่นตากรอบทองออกมาเช็ด เว่ยจินหยินยังคงแต่งตัวเรียบร้อยเหมือนเดิม ผมก็หวีเรียบจนเรียบแปล้
มองอดีตเจ้านายได้สักพัก เถียนซานถอนหายใจยาว
   “เบื่อรึ?” ผู้เป็นเจ้านายหันมาถามทันที ขณะสวมแว่นกลับ เถียนซานรีบสั่นศีรษะ
   “เปล่าครับ เอ่อ ผมมีเรื่องอยากจะคุยกับคุณนิดหน่อย” เขากล่าว เว่ยจินหยินขมวดคิ้วมองดูอดีตลูกน้อง “ฉันรบกวนนายมากไปรึ?”
   ดูเหมือนผู้เป็นเจ้านายจะยังข้องใจกับเสียงถอนหายใจเมื่อครู่ไม่หาย ถึงได้มีสีหน้าเป็นกังวลขนาดนี้ เถียนซานพยายามจะไม่ถอนหายใจออกมาอีกรอบ
   “ไม่ใช่ครับ ผมแค่คิดว่าคุณน่าจะปล่อยให้เด็กๆ พวกนั้นทำงานของตัวเองไป เพราะตอนนี้พวกเขามีหน้าที่ดูแลคุณโดยตรง”
   “ปกติฉันก็ให้พวกเขาทำงานกันทั้งวันนั่นแหละ” ผู้เป็นเจ้านายตอบ และยิ้มออกมา “ไม่ใช่ว่าโจกับไมเคิลโทรไปบ่นเรื่องความจู้จี้ของฉันให้นายฟังบ่อยๆ หรือ?”
   เถียนซานได้แต่ยิ้มให้กับคำถามนั้น ก่อนจะพูดต่อ “ถึงอย่างนั้นก็เถอะครับ ยังไงตอนนี้ผมก็ไม่ได้มีหน้าที่ดูแลคุณเหมือนเดิมแล้ว คุณควรจะ...”
   ถึงตอนนี้เว่ยจินหยินถอนหายใจออกมาบ้าง
   “ฉันไม่ได้อยากให้นายทำมันเป็นหน้าที่เสียหน่อย ก็เหมือนเมื่อก่อนนั่นแหละ อยู่เป็นเพื่อนฉัน คอยให้คำปรึกษาฉันก็พอ”
   “ครับ” เถียนซานพยักหน้าอย่างยอมแพ้กับความรั้นของอดีตเจ้านาย เว่ยจินหยินมองดูลูกน้องเก่าแก่ของเขาผ่านเลนส์แว่น เขาทราบดีอยู่นานแล้วว่าเถียนซานไม่ได้มีเวลาว่างมาตามดูแลเขาเหมือนเมื่อก่อน แต่ถ้ามีโอกาส เขาก็อยากให้ลูกน้องคนนี้มาอยู่ใกล้ๆ เพราะนี่เป็นคนที่เขาไว้วางใจมากที่สุด และรู้ใจเขามากที่สุด
   “อ้อ.. ผมซื้อเค๊กจากร้านที่คุณชายชอบมาฝากด้วยนะครับ” เถียนซานพูดอย่างนึกขึ้นได้ และยกถุงใส่กล่องเค๊กในมือขึ้นมา เว่ยจินหยินหัวเราะชอบใจ
   “ฉันจะให้คนสั่งเสี่ยวผิงเตรียมชาขึ้นไปให้ที่ห้อง เราจะได้คุยกันระหว่างทานเค๊ก”
------------------------------------------------   
   แม่บ้านวัยราวๆ ยี่สิบต้นๆ ที่เว่ยจินหยินเรียกว่าเสี่ยวผิง ยกกาน้ำชาพร้อมถ้วยชาดินเผาเคลือบและลงลายอย่างจีนสองถ้วยเข้ามาวางตรงโต๊ะทำงานไม้มะค่าฝังมุกในห้องทำงานของเว่ยจินหยิน พร้อมกับจานใส่เค๊ก  ก่อนจะกลับออกไปอย่างเงียบๆ เถียนซานรินน้ำชาลงในแก้ว ขณะที่ผู้เป็นเจ้านายนั่งลงบนเก้าอี้หลังโต๊ะทำงาน
   “ขอบใจนะ” เว่ยจินหยินเอ่ยเมื่ออีกฝ่ายส่งแก้วชาที่มีชาอยู่ปริ่มแก้วให้ และจิบมันเข้าไปคำหนึ่ง
   “มีธุระอะไรจะคุยกับฉันล่ะ?” ผู้เป็นเจ้านายเอ่ยขึ้นหลังจากที่เถียนซานนั่งลงเรียบร้อยแล้ว หนุ่มสูงวัยมองดูชาในแก้วอยู่ครู่ใหญ่ และเงยหน้าขึ้นมองเจ้านาย และเห็นว่ากำลังทานเค๊กอยู่
   “ถูกปากรึเปล่าครับ ผมเห็นว่าเป็นรสใหม่ ไม่รู้ว่าคุณชายเคยทานแล้วหรือยัง?”
   เว่ยจินหยินยิ้มและพยักหน้า “นอกจากนายแล้ว ไม่มีใครซื้อของแบบนี้มาฝากฉันหรอก จะใช้โจกับไมเคิลออกไปก็วุ่นวาย ฉันรอนายซื้อมาฝากดีกว่า”
   เถียนซานหัวเราะ และเงียบไปอีกพัก เว่ยจินหยินที่ทานเค๊กไปได้ครึ่งหนึ่งแล้ว เลยเงยหน้าขึ้นมามองเขาอย่างแปลกใจ
   “นายมีเรื่องอะไรรึเปล่า?” ผู้เป็นอดีตเจ้านายเอ่ยถาม เถียนซานยิ้มตอบ เขารู้ดีว่าผู้เป็นเจ้านายไม่ชอบให้คนอื่นพูดอ้อมค้อม และตัวเขาเองก็ไม่ได้เป็นคนประเภทนั้น แต่การพูดเรื่องของเว่ยเฟิงปิงกับเว่ยจินหยินเป็นเรื่องที่น่าลำบากใจไม่น้อย เพราะเว่ยจินหยินเองก็ไม่ได้พอใจน้องชายคนนี้ของตัวเองเท่าไหร่นัก เช่นเดียวกับน้องชายคนอื่นๆ ก่อนหน้านี้
   “ผมอยากคุยกับคุณเรื่องคุณชายเจ็ด” เถียนซานพูดออกมาในที่สุด เว่ยจินหยินหรี่ตามองเขาผ่านกรอบแว่น แล้วถามกลับ “อ้อ... ออกไปเจอเฟิงปิงมาหรือ?”
   ผู้เป็นลูกน้องสั่นศีรษะ “ผมรู้ว่าคุณคงไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่ แต่เรื่องคราวนี้อันตรายมาก ผมอยากให้คุณกับคุณชายเจ็ดร่วมมือกัน”
   “อ้อ..” เว่ยจินหยินส่งเสียงยาวในลำคออีกครั้ง เถียนซานเดาไม่ออกเลยว่าเจ้านายของเขาคิดอย่างไรกับเรื่องที่เขาพูดออกไป แต่ที่แน่ๆ เว่ยจินหยินคงไม่ชอบใจเท่าไหร่นัก
   อดีตเจ้านายวัยสามสิบหกยกถ้วยชาขึ้นมาดื่ม และเหลือบมองลูกน้องผ่านแว่น
   “เป็นห่วงฉันหรือ?” เว่ยจินหยินเอ่ยถามหลังจากวางแก้วชาแล้ว คนถูกถามพยักหน้า
   “ครับ” เถียนซานยอมรับออกไปตรงๆ อีกฝ่ายถอนหายใจและยิ้มออกมา
   “ฉันรู้ว่างานนี้อันตรายขนาดไหน ฉันน่ะไม่ได้ใจแคบเป็นเด็กๆ หรอกนะ เรื่องที่จะคุยกับเฟิงปิงน่ะ ฉันเองก็คิดอยู่เหมือนกัน”
   “อ้อ” เถียนซานครางในลำคอ น้ำเสียงเจือความยินดีขึ้นมาทันที ผู้เป็นเจ้านายถอนหายใจอีกครั้งและตักเค๊กเข้าปาก
   “แต่ฉันกลัวว่าเฟิงปิงอาจจะไม่ยอมเจรจาด้วย เด็กคนนั้นยิ่งเอาแน่เอานอนไม่ได้อยู่”
   “ผมลองคุยกับซื่อเยี่ยนให้แล้วล่ะครับ บางทีเขาอาจจะช่วยพูดให้ได้”
   “ซื่อเยี่ยนรึ? นี่นัดพบกันหรือไง” เว่ยจินหยินถามยิ้มๆ
   “เปล่าครับ บังเอิญเจอในร้านบะหมี่น่ะ” เถียนซานตอบ เว่ยจินหยินมีสีหน้าครุ่นคิด
   “อย่างนั้นรึ แล้วถามความเคลื่อนไหวของเฟิงปิงมาหรือเปล่า?”
   “นิดหน่อยครับ เห็นว่าคุณชายเจ็ดก็ให้คนตามสืบข้อมูลอยู่เหมือนกัน ผมเลยอยากให้ลองคุยกันดูก่อน”
   “นั่นสินะ” เว่ยจินหยินว่าและหัวเราะ  เขาตัดเค๊กออกมาคำหนึ่ง ใช้ส้อมจิ้มและยื่นให้ผู้เป็นลูกน้อง
   “ทานไหม?”
   เถียนซานปฏิเสธไม่ออก ลองถ้าอีกฝ่ายยื่นมาให้แบบนี้ล่ะก็ เขางคงทำได้แค่อ้าปากและกลืนเข้าไป
   “นี่ อาซาน” เว่ยจินหยินเริ่มบทสนทนาใหม่อีกครั้ง เขามองหน้าผู้เป็นลูกน้องที่กำลังเคี้ยวเค๊กที่ตัวเองเพิ่งป้อนเข้าไปแล้วรู้สึกขำ เลยหัวเราะออกมาเบาๆ เลยรอให้อีกฝ่ายกลืนค๊กลงไปและดื่มชาเรียบร้อยก่อน แล้วจึงพูดต่อ
   “ความจริงตอนแรกฉันคิดจะอาศัยงานนี้กำจัดเฟิงปิงเสียเลย แต่พอมาคิดดูอีกที สู้ดึงให้ทางนั้นมาร่วมมือกันดีกว่า งานนี้ดูท่าจะตึงมือเกินไปสำหรับฉัน และทางเฟิงปิงเองก็คงจะด้วย ที่สำคัญเด็กนั่นคงยังไม่รู้นัยของตาหมากที่คุณพ่อเดินในครั้งนี้”
   เถียนซานพยักหน้า เขาเงยขึ้นมองอดีตเจ้านาย “คุณชายไม่เปลี่ยนใจแล้วนะครับ เรื่องนี้น่ะ”
   เว่ยจินหยินเลิกคิ้วมองอดีตลูกน้องอย่างแปลกใจ ก่อนจะยิ้มออกมา “ไม่หรอก ฉันไม่ถอยแน่ๆ ฉันไม่มีทางถอยให้กับเรื่องแค่นี้หรอก”
   “ครับ... ”
   ความเงียบเข้าปกคลุมภายในห้องทำงานของเว่ยจินหยินพักใหญ่ ท้ายที่สุดผู้เป็นอดีตเจ้านายก็เอ่ยปากออกมาก่อน
   “อาซาน ทำงานให้กับฉันอีกสักครั้งเถอะ ฉันเชื่อว่าถ้างานนี้เป็นไปตามแผนอย่างราบรื่นล่ะก็ คุณพ่อคงยอมลงให้ฉันแน่ๆ ”
   เถียนซานมองหน้าอดีตเจ้านายของเขา ก่อนจะวางมือลงบนมือของเว่ยจินหยินที่วางอยู่บนโต๊ะ แล้วพยักหน้า เว่ยจินหยินยิ้มออกมา
   “อาซาน นายยังเก็บของที่เคยใช้สมัยที่เกิดเรื่อง”ลู่สุ่ยเฟิง”ที่เกาลูนเอาไว้หรือเปล่า?”
   เถียนซานเลิกคิ้ว ก่อนจะพยักหน้าอีกครั้ง “ทำไมหรือครับ?”
   “นายยังเบิกออกมาใช้ได้ใช่ไหม ฉันคิดว่าเราคงต้องการใช้มันในงานครั้งนี้ พวกโจกับไมเคิลมีประสบการณ์เกี่ยวกับมันอยู่แล้วนี่”
   “ถึงกับจะใช้ของนั่น คุณวางแผนอะไรเอาไว้อีกล่ะครับ” เถียนซานถาม เว่ยจินหยินตอบยิ้มๆ “เดี๋ยวฉันจะคุยให้นายฟังหลังจากนี้แหละ ส่วนเรื่องของเฟิงปิงน่ะ...”
   เว้นระยะไปพักหนึ่ง เว่ยจินหยินจึงพูดต่อ “นายจัดการไปแล้วกัน ฉันน่ะไม่อยากเสียปากพูดเรื่องนี้กับเด็กนั่นตรงๆ หรอก”
   “ครับ ไว้ผมจะจัดการให้นะครับ” ผู้เป็นอดีตลูกน้องรับคำ เว่ยจินหยินใช้ส้อมจิ้มเค๊กชิ้นสุดท้ายเข้าปาก เคี้ยวมันจนหมด ดื่มน้ำชาตามลงไป แล้วพูดต่อ
   “ฉันเพิ่งได้ข้อมูลยืนยัน เกี่ยวกับตัวแทนของริเวิลที่จะส่งไปรวมประชุมในคราวนี้มา นายลองดูหน่อยสิ ฉันอยากรู้ว่าใครเป็นอย่างไรบ้าง” เว่ยจินหยินว่า และหยิบซองสีน้ำตาลซองหนึ่งส่งให้อดีตลูกน้อง เถียนซานรับมาและดึงเอกสารข้างในออก หลังจากกวาดตามองแวบแรก เขาก็เงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นเจ้านายทันที
--------------------------------------

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
   “ริเวิลส่งไฮท์ไปสองคนเลยหรือครับ!?” จางซื่อเยี่ยนพูดด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ ทันทีที่เขาเยี่ยมหน้าเข้ามาในห้องทำงาน เว่ยเฟิงปิงก็โยนเอกสารเกี่ยวกับงานประชุมที่เมืองไทยฉบับล่าสุดให้เขาอ่านทันที
   ผู้เป็นเจ้านายพยักหน้า และพูดต่อ “สงสัยจะเป็นโควตาพิเศษล่ะมั้ง คุณพ่อถึงได้ส่งทั้งฉันทั้งพี่จินหยินไปขัดขวาง”
   จางซื่อเยี่ยนพยักหน้า แต่เขาไม่รู้สึกเห็นด้วยเท่าไหร่นัก เพราะงานนี้มันดูอันตรายเกินไป
   “รู้สึกว่าจะเป็นไฮท์ลำดับที่สิบเอ็ดกับสิบสองด้วยนะ สูงไม่ใช่เล่นเลยล่ะ แต่เรายังไม่ได้ข้อมูลเกี่ยวกับรายละเอียดของสองคนนี่ นายพอจะรู้บ้างรึเปล่า?”
   “ลำดับสิบเอ็ดกับสิบสองเลยหรือครับ?” จางซื่อเยี่ยนโพล่งออกมา ริเวิลมีผู้บริหารสองระดับ ไฮท์ถือเป็นผู้บริหารระดับรองที่มีอำนาจลดต่ำจากโอนเนอร์สามคนลงมาเท่านั้น ก่อนหน้านี้เคยมีทั้งหมดสิบสามคน โดยเรียงตำแหน่งจากน้อยไปหามาก แต่เมื่อหกปีก่อนเกิดเรื่องกับไฮท์ลำดับสิบสาม และด้วยสาเหตุบางอย่าง ตำแหน่งที่สิบสามเลยยังว่างอยู่จนถึงทุกวันนี้ หมายความว่าลำดับสิบสองคือลำดับสูงสุดในตอนนี้นั่นเอง
   เว่ยเฟิงปิงนั่งรอฟังคำตอบของผู้เป็นลูกน้องอย่างอดทนอดกลั้น พอเห็นจางซื่อเยี่ยนยังคงนิ่งเงียบอยู่ เลยถามอีกขึ้น
   “นี่ รู้จักหรือไม่รู้จักกันล่ะ”
   จางซื่อเยี่ยนเงยหน้าขึ้นมองเจ้านายของเขา ก่อนจะตอบคำถาม “พอจะได้ยินชื่อมาบ้างน่ะครับ เห็นว่าลำดับสิบเอ็ดชื่อเอียน ส่วนลำดับสิบสองชื่อฟารุค”
   “เป็นพวกต่างชาติเรอะ?” เว่ยเฟิงปิงถามอีก จางซื่อเยี่ยนพยักหน้า “คิดว่าอย่างนั้นนะครับ เพราะผู้บริหารริเวิลส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติเกือบหมด ที่เป็นคนฮ่องกงหรือคนจีน เท่าที่รู้เห็นจะมีแต่คุณลี่เหลียนเท่านั้นแหละครับ”
   “อ้อ... น้องชายพ่อฉันสินะ” เว่ยเฟิงปิงว่า ลี่เหลียนคนนี้แหละคือต้นเหตุทั้งหมดทั้งมวลที่ทำให้พ่อของเขาทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างเพื่อจัดการกับกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า”ริเวิล”
   เนื่องจากเว่ยเฟิงปิงเกิดและโตอยู่ที่ต่างประเทศมาโดยตลอด เลยไม่ค่อยรู้รายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องราวของพ่อกับอาของเขามากนัก ที่สำคัญ มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อห้าสิบปีก่อน นานขนาดนั้นต่อให้เขาพยายามหาข้อมูลแค่ไหน ก็ได้มาไม่ครบอยู่ดี และก็ไม่เห็นว่าเป็นเรื่องจำเป็นอะไรด้วย เรื่องที่เขากำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบันต่างหากที่สำคัญกว่า
   “รู้สึกว่าไฮท์สองคนนี่จะมีผู้ติดตามฝีมือดีอยู่ด้วยล่ะครับ” จางซื่อเยี่ยนเอ่ยต่อ เว่ยเฟิงปิงหันมามองเขาอย่างสนใจทันที “เป็นคนยังไงล่ะ?”
   “อันนี้ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ” จางซื่อเยี่ยนยอมรับออกมา “ผมไม่ได้ทำงานปะทะกับริเวิลโดยตรงมาหลายปีแล้ว ถ้าจะมีใครรู้ก็คงเป็นพี่เถียนซานน่ะครับ เพราะเขาทำงานชนกับคนพวกนี้โดยตรง”
   “เหอะ” เว่ยเฟิงปิงแค่นเสียงออกมา ไม่ได้ทำงานปะทะกับริเวิลตรงๆ งั้นรึ? เจ้าหมอนี่กำลังจะโทษว่าเพราะต้องมาทำงานรับใช้เขาหรือไงนะ แต่ช่างเถอะ ถึงจะเปลี่ยนเป็นคนอื่นก็คงไม่ต่างกันนักหรอก คงไม่มีใครรอบรู้ทุกเรื่องขนาดคนที่ชื่อเถียนซานอีกแล้วล่ะ
   เถียนซานเป็นคนเก่าคนแก่ที่ทำงานให้กับตระกูลเว่ยมาตั้งแต่รุ่นพ่อ ตอนที่เว่ยเฟิงปิงกลับมา เจ้าหมอนี่ก็เป็นหัวหน้าหน่วยดำแล้ว ได้ข่าวว่าได้ขึ้นเป็นตั้งแต่อายุยี่สิบปลายๆ เผลอๆ จะรับตำแหน่งนี้มานานกว่าอายุของเขาเสียอีก ดังนั้น ประสบการณ์การปะทะกับพวกริเวิลคงไม่ต้องพูดถึง เพราะริเวิลเพิ่งก่อตั้งมาได้ราวๆ สามสิบกว่าปีเท่านั้นเอง ถึงจะมากกว่าอายุของเขากับจางซื่อเยี่ยน แต่สำหรับเถียนซานแล้วล่ะก็ คงจะเหมือนเด็กๆ นั่นแหละ แต่เรื่องที่น่าหงุดหงิดคือ คนที่มีตำแหน่งสูงแล้วรู้เรื่องต่างๆ มากมายขนาดนี้ ดันกลายเป็นคนสนิทของเจ้าพี่บ้านั่นเสียได้ ไม่แปลกใจเลยที่หลังจากประชุมเสร็จ เว่ยจินหยินจะเรียกตัวเถียนซานเข้ามาทันที
   ไหนเว่ยชิงบอกว่าเจ้าหมอนี่เป็นคนสาธารณะไงล่ะ สุดท้ายแล้วก็ยังเป็นคนของเว่ยจินหยินอยู่ดีสินะ
   เว่ยเฟิงปิงหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบ โดยไม่สนใจว่าจางซื่อเยี่ยนนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ถึงจะน่าหงุดหงิดขนาดไหน แต่ต่อให้เว่ยจินหยินไม่เรียกใช้เถียนซาน ก็ใช่ว่าเขาจะเรียกใช้ได้สักหน่อย คนที่มีตำแหน่งสูงกว่าเจ้าหมอนั่นก็มีแค่พ่อ กับพี่ชายคนโต และเว่ยจินหยินเท่านั้นเอง
   เว่ยเฟิงปิงสูดควันเข้าไปสองสามเฮือก แล้วจึงขยี้บุหรี่ลงกับที่เขี่ยบุหรี่สีเงินบนโต๊ะ
   จางซื่อเยี่ยนรู้สึกเหมือนมีใครเอาลูกเหล็กมายัดปาก เขามองดูเว่ยเฟิงปิงหยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบ พ่นควันบุหรี่สีขาวออกมาจนกลิ่นคลุ้งไปทั้งห้อง จวบจนกระทั่งเจ้านายของเขาดับบุหรี่แล้ว เขายังอ้าปากไม่ออกเลยแม้แต่ครึ่งเซนฯ
   จางซื่อเยี่ยนอยากจะพูดเรื่องที่เขาได้คุยกับเถียนซานในร้านบะหมี่ แต่จนแล้วจนรอดเขาก็ยังไม่กล้าจะง้างขากรรไกรพูดออกไป เพราะดูสภาพแล้ว พูดตอนนี้เว่ยเฟิงปิงคงไม่ฟังแน่ๆ
   เว่ยเฟิงปิงปรายตามองลูกน้องที่นั่งอยู่แล้วระบายลมหายใจออกมาอย่างหนักหน่ว “งานนี้ฉันน่าจะร่วมมือกับพี่จินหยิน”
   จางซื่อเยี่ยนเบิ่งนัยตาสีอีกาของเขาอย่างแปลกใจทันที พอเว่ยเฟิงปิงเห็นดังนั้นก็ถลึงตาใส่อย่างดุร้าย
   “ทำไม ฉันพูดอะไรผิดหรือไง?”
   พอได้ยินเสียงพูดที่ดูเกรี้ยวกราดขนาดนั้น จางซื่อเยี่ยนเลยต้องรีบละล่ำละลักพูดออกมา “เปล่าครับ คือว่าผมกำลังจะพูดกับคุณเรื่องนี้พอดี”
   “เรื่องที่จะร่วมมือกับพี่จินหยินน่ะรึ?” เว่ยเฟิงปิงเอ่ยถามอย่างแปลกใจ พลางเลิกคิ้วขึ้นสูง จางซื่อเยี่ยนพยักหน้า และรีบพูดต่อ ราวกับกลัวว่าถ้าช้ากว่านี้เขาอาจจะไม่ได้พูดไปตลอดกาล
   “ผมคิดว่าคุณน่าจะร่วมมือกับคุณชายรองในเรื่องนี้ เพราะมันอันตรายเกินไป สองหัวดีกว่าหัวเดียวนะครับ”
   “อืม...ฉันก็คิดอยู่ ว่าแต่นายได้ความคิดนี้มาจากไหน ไปเจอจินหยินมารึ?” เว่ยเฟิงปิงถามขึ้นอีก พลางจ้องดวงตาสีฟ้าใสมาอย่างคาดคั้น จางซื่อเยี่ยนสั่นศีรษะ “ผมเจอพี่เถียนที่ร้านบะหมี่ สรุปว่าคุณจะคุยเรื่องนี้กับคุณชายรองสินะครับ”
   “คิดว่านะ นายนัดผมกับเถียนซานหรือไง?”
   “เปล่าครับ เจอกันโดยบังเอิญเฉยๆ “
   “อ้อ ไม่ใช่ว่าทางนั้นสะกดรอยตามนายไปหรอกนะ” เว่ยเฟิงปิงตั้งข้อสังเกต จางซื่อเยี่ยนสั่นศีรษะทันที “พี่เถียนไม่ทำอะไรที่ไม่จำเป็นแบบนั้นหรอกครับ”
   “อืม” เว่ยเฟิงปิงส่งเสียงครางในลำคอ “แล้ว.... นายได้ถามความเคลื่อนไหวของทางโน้นมารึเปล่า”
   ผู้เป็นลูกน้องสั่นศีรษะอีกรอบ เว่ยเฟิงปิงถอนหายใจ “แต่เถียนซานคงถามนายบานเบอะเลยล่ะสิ เอาเถอะๆ ฉันเองอยากจะคุยเรื่องนี้กับพี่จินหยินอยู่ แต่ไม่รู้ว่าเจ้าพี่บ้านั่นจะคุยด้วยหรือเปล่า ฉันเองก็ไม่อยากจะเริ่มพูดก่อนด้วยสิ พี่จินหยินน่าคุยด้วยเสียที่ไหนล่ะ”
   จางซื่อเยี่ยนพยักหน้าเห็นด้วยกับเจ้านายของเขา
   “ถ้าอย่างนั้น ผมคุยกับพี่เถียนซานให้นะครับ”
---------------------------------------
   “เฟิงปิงเห็นด้วยหรือนี่ ไม่น่าเชื่อ” เว่ยจินหยินพูดขึ้นมา หลังจากที่เถียนซานเล่าเรื่องที่จางซื่อเยี่ยนโทรศัพท์มาให้ฟังเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้เขาอยู่ในห้องนอนส่วนตัวของอดีตเจ้านาย ซึ่งเป็นที่พักชั่วคราวของเขาด้วย เพราะห้องในตึกของเว่ยจินหยินไม่ว่าง และผู้เป็นเจ้านายก็เห็นว่าห้องนอนของตัวเองไม่ได้คับแคบอะไร ดังนั้นจึงสั่งเตียงอีกตัวหนึ่งเข้ามาวางเสริม
เถียนซานอดคิดไม่ได้ว่า เว่ยจินหยินกลัวเขาจะหนีกลับไปที่หน่วยดำหรือเปล่า เลยต้องจับตาดูทุกฝีก้าวขนาดนี้
   “งั้นนัดเฟิงปิงมาคุยที่นี่นะ เพราะคราวที่แล้วฉันไปหาเด็กนั่นที่ตึกแล้ว ไม่อยากจะไปอีกเป็นครั้งที่สองหรอก”
   “ครับ แล้วผมจะบอกซื่อเยี่ยนให้” ผู้เป็นอดีตลูกน้องรับปาก เว่ยจินหยินทรุดตัวลงนั่งบนเตียง เขาอยู่ในชุดนอนเสื้อคลุมแพรสีเขียวขอบดำ ชายหนุ่มขยับแว่นตาให้เข้าที่ และถอนหายใจ
   “ฉันคงต้องกำชับเฟิงปิงไม่ให้ทำอะไรป้ำๆ เป๋อๆ ”
   “เรื่องนั้นคงไม่น่าเป็นห่วงหรอกครับ คุณชายเจ็ดเองก็ระวังตัวพอสมควรอยู่แล้ว” เถียนซานกล่าว เว่ยจินหยินเลิกคิ้วอย่างไม่เชื่อถือนัก “งั้นเหรอ อืม... ถึงยังไงก็ต้องตกลงกันให้ชัดเจนล่ะ ฉันไม่อยากถูกขวางมือขวางเท้าแบบไม่เข้าเรื่องหรอก”
   เถียนซานยิ้มให้เจ้านายของเขา “ไว้คุยกันเดี๋ยวก็รู้เองล่ะครับ คุณกับคุณชายเจ็ดไม่เคยทำงานร่วมกันมาก่อนนี่”
   “อืม” เว่ยจินหยินพยักหน้ายอมรับ และเงียบไปพักใหญ่ เหมือนกำลังครุ่นคิดถึงอะไรบางอย่างอยู่
   “นี่อาซาน เรื่องของสคัลกับนีดเดิ้ลน่ะ นายว่าเฟิงปิงจะรู้แล้วหรือยัง?” เว่ยจินหยินกำลังพูดถึงเรื่องลูกน้องอีกสองคนของไฮท์ที่จะไปประชุมที่ประเทศไทย เถียนซานนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะสั่นศีรษะ
   “ยังไม่น่าจะรู้นะครับ คนของคุณชายเจ็ดส่วนใหญ่ไม่เคยทำงานที่หน่วยดำ ถึงจะมีซื่อเยี่ยนอยู่ด้วย แต่คงไม่รู้จักหรอกครับ เพราะยังไม่เจอกันมาก่อน”
   “อืม... งั้นฉันคงต้องคุยเรื่องนี้กับเฟิงปิงด้วย ยังไงถ้าเฟิงปิงถอนตัวออกไปเองก็ดี ถึงไปก็คงช่วยอะไรฉันไม่ได้มากหรอก กลัวแต่จะไปขวางมือขวางเท้า เผลอๆ จะเป็นแผนแยบยลของคุณพ่อด้วยนี่สิ”
   เถียนซานมองอดีตเจ้านาย ก่อนจะสั่นศีรษะ “ผมว่าคุณชายเจ็ดไม่ถอนตัวหรอกครับ คุณชายเจ็ดเองก็มีจุดมุ่งหมายที่ตำแหน่งผู้สืบทอดเหมือนกัน”
   “อืม... ก็รู้อยู่หรอก” เว่ยจินหยินว่า และถอนหายใจออกมาอีกครั้ง เถียนซานจึงลุกขึ้น และเดินมานั่งลงข้างๆ ก่อนจะยกมือขึ้นลูบเรือนผมสีดำที่เพิ่งถูกเป่าจนแห้งหลังจากอาบน้ำเสร็จได้ไม่นาน
   “ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ผมจะดูแลคุณเอง”
เว่ยจินหยินเงยหน้าขึ้นมาและยิ้มออกมาหน่อยหนึ่ง “ขอบใจนะ ฉันรู้ว่านายจะต้องอยู่ข้างฉันจนวินาทีสุดท้าย” เขาว่าและช้อนตาขึ้นมองผู้เป็นลูกน้อง ก่อนจะยกขาขึ้นบนเตียง
   “จะนอนแล้วหรือครับ งั้นผมปิดไฟให้นะ” เถียนซานว่าเดินไปปิดสวิตไฟ ขณะที่เว่ยจินหยินล้มตัวลงนอน
   “นี่ อาซาน” ผู้เป็นอดีตเจ้านายเรียกชื่อเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจะเดินไปที่เตียงนอนของตน เถียนซานหันหลังกลับมา และเดินไปหาเจ้านายของเขา
   “มีอะไรหรือครับ?”
   เว่ยจินหยินนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง และพูดออกมา “ไม่มีอะไรหรอก ไปนอนเถอะ”
   เถียนซานยิ้มให้อดีตเจ้านายของเขา และระบายลมหายใจยาว ก่อนจะนั่งลงข้างเตียง
   “ผมจะนั่งเป็นเพื่อนจนกว่าคุณจะหลับแล้วกันครับ”
   เว่ยจินหยินมองหน้าลูกน้องผ่านความมืด และเอ่ยถามเสียงค่อย “ไม่รบกวนหรือ?”
   เถียนซานยิ้มอีกครั้ง “ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมเต็มใจ” เขาว่าและยกมือลูบศีรษะของอีกฝ่ายเบาๆ สำหรับเขาแล้ว เว่ยจินหยินไม่ได้โตขึ้นเท่าไหร่เลย ดูยังไงก็แทบจะไม่ต่างจากสามสิบปีที่แล้ว คงจะมีแต่ร่างกายเท่านั้นที่เปลี่ยนไป
   เว่ยจินหยินดึงมือของเถียนซานเข้ามากอด เหมือนอย่างที่เคยทำเวลานอนไม่หลับเมื่อสมัยเด็กๆ มีแค่คนคนนี้เท่านั้นที่อยู่ด้วยแล้วทำให้เขาหลับตานอนอย่างสนิทใจได้ คนที่เขาไว้ใจมากที่สุด
ความจริงเว่ยจินหยินไม่ได้ห่วงความปลอดภัยของตัวเองเท่าไหร่นัก เพราะรู้แน่อยู่แล้วว่าเถียนซานต้องปกป้องเขาอย่างเต็มกำลัง เรื่องนั้นแหละที่น่ากังวล
   เขายังไม่อยากจะสูญเสียอดีตลูกน้องคนสำคัญคนนี้ไปในระยะเวลาอันใกล้นี้
-------------------------------
   เถียนซานระบายลมหายใจยาว ทรวงอกที่กระเพื่อมเป็นจังหวะสม่ำเสมอ และเสียงกรนเล็กๆ บ่งบอกว่าผู้เป็นเจ้านายหลับไปแล้ว เขาค่อยๆ ดึงมือออก และเลื่อนผ้าห่มมาคลุมตัวของเว่ยจินหยินเอาไว้ เถียนซานหวังว่าผู้เป็นเจ้านายจะหลับสนิทเช่นนี้ทุกคืน แม้จะไม่มีเขาอยู่ด้วยก็ตาม
   สองปีแล้วที่เขาแยกจากเว่ยจินหยินไปอย่างถาวร ก่อนหน้านี้เขาเคยทำงานและอาศัยอยู่ในตึกนี้ อยู่ร่วมกับเว่ยจินหยินมาเป็นเวลาเกือบสามสิบปี
   สามสิบปีที่ผ่านมา เขากับเว่ยจินหยินผ่านอะไรมาด้วยกันหลายอย่าง แม้ว่าเว่ยจินหยินจะถูกประณามจากสังคมว่าเป็นคนชั่วช้าเลวร้ยขนาดไหน สำหรับเขาแล้ว เว่ยจินหยินเป็นแค่เด็กผู้ชายตัวเล็กๆ ที่ชอบซักชอบถามเท่านั้นเอง
   หนุ่มวัยสี่สิบใกล้ห้าสิบ ยกมือลูบศีรษะของผู้เป็นเจ้านายเบาๆ อีกครั้ง พลางนึกถึงคำพูดของน้องสาว ที่ว่าเขาตามใจเว่ยจินหยินจนเคยตัว บางทีอาจจะเป็นอย่างนั้นก็ได้
   เถียนซานรู้จักกับเว่ยจินหยินมาสามสิบปีแล้ว ตอนนั้นผู้เป็นบิดาฝากเขาให้เข้ากับงานกับเว่ยชิง ซึ่งมีศักดิ์เป็นอาห่างๆ เว่ยชิงจึงมอบหมายให้เขาดูแลเว่ยจินหยิน บุตรชายคนที่สอง ซึ่งสูญเสียมารดาไปตั้งแต่เกิด เว่ยจินหยินในตอนนั้นซึ่งมีอายุได้สี่ขวบ จึงอยู่ในความดูแลของเขาตลอดมา ทั้งที่บ้านและที่โรงเรียน จวบจนกระทั่งเว่ยจินหยินเข้ามหาวิทยาลัย เขาคงยังทำหน้าที่เป็นผู้รับส่งและผู้ปกครอง และทำงานเป็นบอร์ดีการ์ดให้หลังจากที่เว่ยจินหยินเรียนจบกลับมาจากอังกฤษ และเริ่มทำงานให้กับผู้เป็นบิดาอีกสี่ปี จึงได้ย้ายออกและไปทำงานให้กับหน่วยดำอย่างเต็มตัว ถึงอย่างนั้นเว่ยจินหยินก็ยังพอใจที่จะเรียกใช้เขาอยู่ตลอดมา และตัวเขาเองหากมีเวลาก็จะแวะเข้ามาเยี่ยมเจ้านายคนนี้ทุกครั้ง
   เวลาที่อยู่ร่วมกันนั้นนานจนเว่ยจินหยินได้กลายเป็นส่วนสำคัญที่สุดในชีวิตของเขาไปแล้ว
   บุรุษร่างสูงเดินไปยังเตียงนอนของตน และล้มตัวลงนอน อีกไม่กี่วันเขาจะต้องเดินทางไปประเทศไทยกับอดีตเจ้านายคนนี้ เพื่อทำภารกิจที่เสี่ยงอันตรายมากที่สุดครั้งหนึ่ง เถียนซานไม่ต้องการให้เกิดอะไรร้ายแรงขึ้นกับเว่ยจินหยิน เขารู้ดีกว่าในเมื่อเว่ยจินหยินกล้ากระโดดเข้าร่วมหมากกระดานร้ายตานี้ เจ้าตัวเองก็คงเตรียมแผนรับมือไว้พร้อมแล้วเหมือนกัน
   นี่ไม่ใช่หมากกระดานร้ายตาแรกที่เว่ยจินหยินเริ่มเล่น ตลอดเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา เว่ยจินหยินผ่านความเลวร้ายมาหลายต่อหลายอย่าง แต่นี่อาจจะเป็นหมากกระดานที่ร้ายที่สุดที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อจัดการกับชายที่ได้ชื่อว่าอำมหิตที่สุดในฮ่องกงคนนี้ก็เป็นได้
   ท่ามกลางเกมหมากชีวิตจริงอันโหดร้าย ที่ต่างฝ่ายต่างเข้าห้ำหั่นกันด้วยเหตุผลที่ยากจะเข้าใจได้ ในฐานะหมากตัวหนึ่ง เถียนซานตั้งใจจะทำหน้าที่ในครั้งนี้ให้ดีที่สุด เพื่ออดีตเจ้านายอันเป็นที่รักของเขา
   หวังว่าเว่ยจินหยินจะผ่านกระดานหมากตานี้ไปได้ด้วยดีอย่างที่หวังไว้ก็แล้วกัน
---------------------------------------
   จางซื่อเยี่ยนรู้สึกดีใจที่เจ้านายของเขาตกลงที่จะหารือเรื่องความร่วมมือกับผู้เป็นพี่ชาย  เพราะเขาทราบดีว่างานในครั้งนี้เกินกำลังของเว่ยเฟิงปิงไปมาก ไม่รู้ว่าผู้เป็นเจ้านายใหญ่คิดอะไรถึงได้ส่งเจ้านายของเขาไปด้วยแบบนี้ ถึงอย่างไรจางซื่อเยี่ยนก็ต้องทำให้แน่ใจว่าเว่ยเฟิงปิงจะไม่ประสบกับเรื่องอันตรายไปมากกว่าที่ควรจะเป็น
   ถึงเว่ยจินหยินจะเป็นคนจอมวางแผนที่แสนเจ้าเล่ห์และอำมหิตจนน่ารังเกียจ แต่ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้นที่จางซื่อเยี่ยนอยากให้เจ้านายของเขาลงให้กับพี่ชายต่างมารดาของตนเอง
   เว่ยจินหยินจะไม่กำจัดคนที่ยังเป็นประโยชน์ และในทางตรงกันข้าม หากเป็นคนที่ขวางมือขวางเท้าแล้วล่ะก็ ผู้ชายที่มีดวงตาเหมือนสุนัขจิ้งจอกคนนั้นจะกำจัดทิ้งได้โดยไม่ลังเลเลยสักนิด แม้แต่พี่น้องร่วมสายเลือดก็ตาม
   จางซื่อเยี่ยนภาวนาว่าเจ้านายของเขาจะทำตัวเป็นประโยชน์ในครั้งนี้ เว่ยเฟิงปิงยังไม่เคยเห็นความอำมหิตของเว่ยจินหยิน และเขาไม่อยากให้เจ้านายได้พบกับตัวเอง
   ชายหนุ่มมองดูแผ่นหลังของเจ้านายที่นอนหันหลังให้เขาอยู่ พลางคิดว่าพรุ่งนี้จะบอกกำหนดการนัดหารือ
   เขาไม่อยากให้เว่ยเฟิงปิงอารมณ์เสียก่อนนอน
----------------------------------------
   เว่ยจินหยินลืมตาตื่นขึ้นมาในความมืด สิ่งแรกที่เขานึกถึงคือมือของเถียนซาน และค่อยรู้สึกตัวว่าคนคนนั้นคงไปนอนในที่ของตัวแล้ว
เว่ยจินหยินยกมือขึ้นก่ายหน้าผาก ยื่นมืออีกข้างหนึ่งออกไปในความมืด กางนิ้วออก และมองมันอย่างซึมเซา
   นานมาแล้วเขาเคยตื่นมากลางดึกแบบนี้ และมองหาผู้ชายที่ชื่อเถียนซาน เป็นช่วงเวลาตอนที่เขาอายุเพียงสี่ขวบ และเถียนซานเพิ่งย้ายมาอยู่ด้วยใหม่ๆ
   หนุ่มวัยสามสิบหกหลับตาลง ภาพอดีตอันเลือนรางค่อยๆ ฉายอย่างกระตุกเป็นช่วงๆ  ตอนนั้นเขาคงกำลังเสียใจเรื่องที่พ่อไม่มาหา เลยร้องไห้จนหลับไป โดยกอดมือของเถียนซานไว้แน่น มือที่ตอนนั้นยังเล็กยิ่งกว่าฝ่ามือของเขาในตอนนี้เสียอีก
มือเล็กๆ ที่หนังฉีกถลอกออกจนเห็นเนื้อสีแดง ตอนที่ช่วยเขาขึ้นมาจากช่องลิฟท์ มือเล็กๆ ที่คอยลูบหัวและปลอบโยนเขา มืออบอุ่นที่คอยปกป้องเขามาตลอดสามสิบกว่าปี ตอนนี้มันทั้งหนา ใหญ่ และหยาบกร้าน
แต่ถึงอย่างนั้น เว่ยจินหยินไม่เคยรังเกียจมือที่สากราวกับกระดาษทรายคู่นี้เลย ทุกครั้งที่ได้สัมผัสกับความหยาบกร้านนั้น เขารู้สึกเหมือนได้ยินถ้อยคำหลายอย่าง เส้นเอ็นที่ปูดโปนบนมือสองข้างนั้น อธิบายได้ดีกว่าคำพูดว่าผู้ชายคนนี้ทำเพื่อเขามากมายขนาดไหน
   มือของคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขา
   เพราะคนคนนี้เห็นความสำคัญของเขามากที่สุด
   เว่ยจินหยินถอนหายใจเบาๆ ในความมืด เขาคิดไว้หลายอย่างหลังจากได้รู้ว่าผู้เป็นพ่อจะส่งเขาไปร่วมประชุมที่เมืองไทยเพื่อกำจัดตัวแทนของริเวิลที่ส่งไป พอได้รู้ข้อมูลเกี่ยวกับตัวแทนของฝ่ายนั้นแล้ว สมองของเขาก็ยิ่งต้องทำงานหนักเพิ่มขึ้น
   ฟารุค? เอียน?
   สำหรับเว่ยจินหยินที่เป็นด่านหน้าฟาดฟันกับริเวิลมากว่าสิบปี ชื่อสองชื่อนี้ไม่ใช่ชื่อที่แปลกหูเลย
   ฟารุคนั้นดำรงตำแหน่งไฮท์ลำดับสิบสองมาเกือบสิบปีแล้ว ขนาดที่ว่าไฮท์ลำดับสิบสามคนเก่าซึ่งเคยเป็นอดีตรูมเมทของเขา ถูกตำรวจจากอังกฤษจับกุมตัวไปตั้งแต่เมื่อหกปีก่อนแล้ว โอนเนอร์ทั้งสามคนยังไม่ยอมเลื่อนตำแหน่งให้กับฟารุคเลย
   เว่ยจินหยินคิดว่าบางทีทางริเวิลเองอาจจะใช้เหยื่อล่อเดียวกันกับที่พ่อของเขาใช้ก็ได้ เพราะทางนั้นเองก็คงรู้ว่า ผู้เป็นพ่อของเขาคงไม่อยู่นิ่งเฉยแน่ๆ หากมีการส่งผู้บริหารระดับสูงเข้าไปร่วมงานประชุมที่อันตรายขนาดนั้น
   คุณชายรองแห่งตระกูลเว่ยรู้รายละเอียดของงานประชุมนั้นบ้างนิดหน่อย เพราะครั้งแรกเว่ยชิงดูจะไม่เห็นด้วยกับงานนี้นัก เลยส่งเว่ยเฟิงปิงไปบอกยกเลิก ได้ยินมาว่าเป็นงานเปิดตัวยาชนิดใหม่ หลังจากได้รับคำสั่งให้กลับเข้าร่วมประชุม เว่ยจินหยินจึงให้คนไปสืบเรื่องนี้มาเพิ่มเติม และพบว่าตัวยาที่ว่านั้น ยังไม่เคยมีมาก่อนในโลก เป็นการทดลองนาโนเทคโนโลยีตัวใหม่ โดยการแพร่ยาผ่านอากาศ
   พูดง่ายๆ ก็คือยาเสพติดที่เสพผ่านอากาศนั่นแหละ
   รายได้หลักใหญ่ๆ ทางหนึ่งของริเวิลคือการค้ายาเสพติด ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ริเวิลจะส่งคนเข้าร่วม แต่ถึงอย่างนั้นทำไมถึงเพิ่งมาส่งหลังจากที่พ่อของเขาถอนตัวออกมาแล้วล่ะ หรือว่างานนี้จะเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ
   เว่ยจินหยินคิดทบทวนเรื่องนี้อยู่หลายตลบ สุดท้ายก็ได้ข้อสรุปว่า ต่อให้เป็นเรื่องบังเอิญหรือไม่ก็ตาม เขาจะต้องวางแผนรับมือคนพวกนี้ให้รัดกุมที่สุด ยิ่งพอได้รู้รายละเอียดเกี่ยวกับผู้ติดตามสองคนจากปากของเถียนซานแล้ว เว่ยจินหยินยิ่งต้องวางแผนอย่างระมัดระวังเป็นพิเศษ
   สคัลกับนีดเดิ้ล มือสังหารที่แม้แต่เถียนซานก็ยังไม่เคยประมือด้วย สองคนนี่จะมีฝีมือขนาดไหนกันนะ ยังมีเวลาอีกสองสัปดาห์ให้เขาหาข้อมูลเกี่ยวกับสองคนนี้ และยังมีเรื่องของห้องประชุมที่ได้ยินมาว่ามีระบบรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวดเป็นพิเศษ การจะจัดการกับไฮท์สองคนพร้อมกับลูกน้องได้คงต้องอาศัยช่วงเวลาที่เข้าไปประชุมเท่านั้น แต่ว่า จะผ่านกลไกรักษาความปลอดภัยพวกนั้นยังไงล่ะ?
   เว่ยจินหยินยกมือขึ้นลูบหน้าอย่างใช้ความคิด งานนี้เขาจำเป็นต้องวางเดิมพันหมดหน้าตัก แผนทุกอย่างจะต้องสมบูรณ์แบบ เพื่อรักษาทั้งชีวิตของเขาและชีวิตคนสำคัญที่สุดของเขา
   หากทุกอย่างเป็นไปตามแผน หลังจากจบงานนี้ บางทีคนคนนั้นอาจจะหันกลับมามองเขาเสียที
   เว่ยจินหยินพลิกตัว เหม่อมองฝ่าความมืดไปยังเตียงของผู้เป็นลูกน้อง
   ถึงจะเป็นกระดานหมากตาร้ายขนาดไหน แต่หากเขายังมีผู้ชายคนนี้อยู่เคียงข้าง ตัวหมากที่ยอดเยี่ยมที่สุด หมากที่เดินให้เขามาอย่างยาวนาน ถึงเวลาแล้วที่เขาจะเดินหมากตัวนี้อีกครั้ง
   หวังว่าครั้งนี้เขาจะจัดการกับหมากกระดานนี้ได้ โดยไม่สูญเสียหมากตัวสำคัญนี้ไป
------------------------------------
   เว่ยเฟิงปิงยังไม่หลับ อย่างน้อยเขาก็รู้สึกอย่างนั้น วงแขนของจางซื่อเยี่ยนที่โอบมาจากด้านหลังทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาบ้าง แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด
   ในเวลาอันใกล้นี้ เขาต้องเจรจากับเว่ยจินหยิน เพื่อรักษาชีวิตให้รอดกลับมา
   ช่างน่าหงุดหงิดใจนัก เมื่อคิดว่าต้องร่วมมือกับคนน่ารังเกียจแบบนั้น ทางเว่ยจินหยินเองก็อาจจะคิดไม่ต่างกันนักหรอก เพราะดูยังไงเจ้าพี่บ้านั่นก็ไม่เคยชอบขี้หน้าใครมาก่อนอยู่แล้ว แต่จะวางแผนจัดการกับเขาอย่างไรนี่สิ เว่ยเฟิงปิงเดาความคิดของพี่ชายไม่ค่อยจะออกในเรื่องนี้ บางทีเว่ยจินหยินอาจจะไม่ได้ตั้งใจจะจัดการอะไรกับเขาเลยก็ได้ ถ้าเจ้าตัวไม่คิดว่าเขากลายเป็นก้างขวางคอชิ้นใหญ่ในการขึ้นครองตำแหน่งหัวหน้าแก๊ง  บางทีเว่ยจินหยินอาจจะมองข้ามหัวเขาไปเหมือนกับเศษขยะชิ้นหนึ่ง แต่จะหวังให้เป็นแบบนั้นได้คงยากเต็มที เพราะเขาแสดงความต้องการออกมาโทนโท่ขนาดนี้ มีหรือผู้ชายที่เหมือนสุนัขจิ้งจอกนั่นจะดูไม่ออก
   เว่ยเฟิงปิงได้ยินคำร่ำลือมาว่าเมื่อหลายปี ก่อนที่เขาจะกลับมา เว่ยจินหยินลงมือบงการฆ่าน้องชายสามคนของตัวเองเพื่อตัดตัวแก่งแย่งในการครองตำแหน่งหัวหน้าตระกูล เลยถูกเรียกลับหลังว่าเป็นผู้ชายที่อำมหิตที่สุดในเกาะฮ่องกง แต่เว่ยเฟิงปิงกลับนึกแย้งว่า คนที่ควรจะถูกเรียกแบบนั้น น่าจะเป็นพ่อของเขามากกว่า ทำไมเว่ยชิงถึงไม่ยอมยกตำแหน่งให้เว่ยจินหยินไปเลยนะ ปล่อยให้ลูกฆ่ากันเองอยู่ได้ แต่ก็ช่างเถอะ ไม่ยกก็ดี เขาจะได้มีโอกาสแก้แค้นได้บ้าง
   แม้จะเดาใจผู้เป็นพี่ชายได้ไม่หมด แต่สิ่งหนึ่งที่เว่ยเฟิงปิงแน่ใจคือ เว่ยจินหยินรำคาญเขา ที่ยอมตกปากว่าจะคุยกันเรื่องความร่วมมือก็คงเพราะไม่อยากให้เขาเป็นตัวถ่วงมากกว่าที่จะหวังความช่วยเหลือ  ฝั่งเขาเองนี่สิที่ต้องการความช่วยเหลือ
   เว่ยเฟิงปิงอยากจะระบายลมหายใจออกมาแรงๆ สักทีกับปัญหาเรื่องนี้ แต่ก็เกรงว่าผู้ร่วมเตียงจะเกิดอาการวิตกจริต จึงได้แต่ทอดถอนใจอยู่ภายใน แม้จะรู้สึกหงุดหงิดที่ด้อยกว่า แต่คุณชายเจ็ดแห่งตระกูลเว่ยจำต้องยอมรับความจริงว่า ศักยภาพทั้งหมดที่เขามีอยู่ ไม่ว่ากำลังคน หรือการวางแผน ไม่มีที่ใดเหนือเว่ยจินหยินเลยสักนิด และยิ่งไม่อาจอยู่เหนือไฮท์ของริเวิลสองคนนั่น และก็ยังไม่แน่ใจว่าแผนการประชุมทางทวีศักดิ์วางไว้จะมีลักษณะเช่นไร ดังนั้นเขาจึงต้องร่วมมือกับเว่ยจินหยิน เพื่อเอาชีวิตรอดกลับมาให้ได้
   ขอแค่รอดกลับมา จะทำอะไรต่อก็ทำได้ทั้งนั้น
   มีแต่คนตายเท่านั้นที่ไม่อาจจะสร้างสรรค์อะไรต่อไปได้อีก
   เว่ยเฟิงปิงไม่อยากเป็นคนตาย
   เพราะฉะนั้น ต่อให้ต้องเสียศักดิ์ศรีหรือโดนดูถูกอีกกี่ครั้ง เขาก็ยินยอมพร้อมใจ เพราะมันเป็นวิถีชีวิตของเขา วิธีที่ทำให้เขามีชีวิตสืบต่อไปได้
   กำหนดเดินทางใกล้เข้ามาแล้ว เขาคงต้องเร่งวันคุยกับเว่ยจินหยิน เพื่อประเมินกำลังของทางนั้น ว่าเขาต้องเตรียมกำลังไปเสริมอีกสักเท่าไร และอย่างน้อยก็ต้องให้พี่ชายจอมอำมหิตของเขาเข้าใจว่า งานนี้เขาจะไม่ทำตัวขวางมือขวางเท้าเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นเว่ยจินหยินอาจจะลงมือกำจัดเขาเลยก็ได้ ผู้ชายที่มีดวงตาเหมือนสุนัขจิ้งจอก แล้วยังได้ชื่อว่าอำมหิตคนนั้น คงจะจัดการเรื่องแบบนี้ได้ทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลาคิดมากหรอก อีกหนึ่งสิ่งเว่ยเฟิงปิงไม่อยากจะยอมรับแต่เขาต้องพึ่งพิง คือสติปัญญาและประสบการณ์ของเว่ยจินหยิน พี่ชายที่เขาแสนจะเกลียดขี้หน้า
   ถึงจะไม่อยากยอมรับแค่ไหน แต่ถึงเวลานี้เขาคงต้องยอมรับกับตัวเองจริงๆ แล้วว่า เว่ยจินหยินเดินเกมได้ไกลกว่าเขาหลายก้าวนัก หากมีคนเรียกเขาลับหลังว่าเจ้าเล่ห์เหมือนงูแล้วล่ะก็ เว่ยจินหยินก็คงเจ้าเล่ห์เหมือนสุนัขจิ้งจอกนั่นแหละ ทั้งเจ้าเล่ห์ทั้งอำมหิต
   เว่ยเฟิงปิงไม่โง่ถึงขนาดประเมินกำลังของพี่ชายคนนี้ไม่ออก เขาไม่อยากตั้งตนเป็นศัตรูกับหลายฝ่าย โดยเฉพาะในสถานการณ์วิกฤติแบบนี้
   ครั้งนี้เขาจะยอมลงให้เว่ยจินหยินสักหนหนึ่ง
-------------------------------------

ออฟไลน์ iforgive

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-80
ตาย ๆ ๆ อิทธิเดชจะมาจับตาดูวินที่คอนโดฟ่งเหรอเนี่ยะ

ออฟไลน์ SuSaya

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2797
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +220/-9
ในที่สุดก็ตามอ่านจนทันตอนล่าสุด
ชะล่าใจว่ามีไม่กี่หน้า...แต่กว่าจะจบหน้าแรกก็ปาเข้าไปหลายวัน

ไปอ่านเรื่องของจินหยินมาแล้วจากเรื่องสั้นอีกเรื่องค่ะ ก็เลยไม่มองคุณชายจิ้งจอกว่าร้ายกาจจนถึงขั้นอำมหิตเท่าไหร่
หลายๆ  เหตุการณ์เป็นความบังเอิญจนน่ากลัว ก็ได้แต่หวังว่าจะบังเอิญไปในทางที่ดี เอื้อประโยชน์ให้รูฟัสกับคุณชายเว่ยทั้งสองรอดออกมาจากห้องที่ฟ่งออกแบบนะคะ
จะรอตอนหน้าค่ะ...ได้ข่าวว่าแต่งจบแล้ว (แปลว่าอัพได้เรื่อย ๆ วันละหลาย ๆ ตอนใช่มะ?) :-[

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
^
^
อัพได้ประมาณ2วันต่อตอนค่ะ เพราะอัพถี่กว่านี้ คาดว่าคนอ่านคงยกธงขาวกันก่อนแน่ ฮ่าๆ

ปล. ตอนนี้ไม่สามารถเอามาลงพร้อมกันทีเดียวได้ เพราะฉบับที่ลงในเล้าเป็นฉบับแก้ไขล่าสุด (ดราฟเกือบสุดท้ายก่อนลงเล่มค่ะ) ดังนั้น เลยต้องรอการแ้ก้ไขเนื้อหาก่อนค่ะ (ไม่อย่างนั้นจะอ่านแล้วงงนะคะ เพราะแก้ไขจากฉบับเก่าเยอะพอสมควรค่ะ)

ออฟไลน์ litlittledragon

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1938
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +304/-1
ขอบคุณครับ ขอเดาว่าใครสักคนรู้ว่ารูฟัสและฟ่งมาเกี่ยวพันด้วย แล้วทั้งสองก็ร่วมมือกันลับๆ
เผื่อว่าเฟิงปิงจะเสียดายที่ไม่รู้ว่าฟ่งเป็นอัจฉริยะ อุตส่าห์จับมาอยู่ด้วยกันตั้งนาน

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ SuSaya

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2797
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +220/-9
งั้นก็รอพรุ่งนี้สินะคะ...สองวันต่อหนึ่งตอนก็โอเคค่ะ(เพราะตอนหนึ่งยาวมาก ๆ เลย)
เป็นกำลังใจให้นะคะ +1

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
ู^
^
ค่ะ ตามนี้เลยค่ะ

ส่งรายละเอียดเข้าทางเมลนะคะ^^

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
วันนี้ฉันไปเอาบรู๊ฟ ที่ฝากน้องไปช่วยตรวจคำผิดของเล่ม5มาล่ะค่ะ (รอบนี้ส่งไปอาทิตย์เดียว ฆาตกรรมน้องมาก) ที่สำคัญ ผิดบาน (เพราะตอนแก้+จัดหน้ารีบสุดๆ ฮ่าๆ) ดังนั้น ที่ลงนี่ยิ่งกว่าที่ใช้จัดหน้าอีกนะคะ วอนคนอ่านทำใจค่ะ เอิ๊กๆ :o8:

-------------------------------------------------

บทที่48  คนที่น่าหวั่นใจ

   ฟ่งขยับตัวช้าๆ และค่อยๆ ยกมือบิดขี้เกียจ ก่อนจะยันตัวขึ้นมานั่งสัปปะหงกอยู่อีกครู่ใหญ่ ถึงจะลงจากเตียงมาได้ เขาหยิบแว่นที่วางอยู่ตรงหัวเตียงมาสวม และเดินไปบิดลูกบิดประตูห้องน้ำซึ่งเชื่อมเข้ากับห้องนอน
   หลังจากล้างหน้าและทำธุระส่วนตัวเสร็จแล้ว ร่างบางก็เปิดประตูออกมาด้านนอก ก่อนจะกะพริบตาปริบๆ เมื่อเห็นอีกสองคนนอนอยู่ด้านนอก
   คนหนึ่งที่นอนขวางทางเดินอยู่คงเป็นรูฟัส ส่วนอีกคนที่นอนอยู่บนโซฟาคงเป็น........
   ฟ่งคิดว่าเขาควรไปล้างหน้าอีกรอบให้รู้สึกตัวมากกว่านี้ก่อน แล้วค่อยคิดทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นตรงหน้า ชายหนุ่มเดินโซเซไปเปิดประตูห้องน้ำอีกครั้ง ก่อนจะเปิดก๊อกน้ำ พลางคิดว่าเขาควรจะต้องเอาน้ำแข็งมาล้างหน้าล่ะมั้ง ถึงจะตื่นขึ้นมาได้
   ชายหนุ่มยืนมึนอยู่หน้ากระจก พลางคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย
   เมื่อวานเขาเพิ่งจะได้กลับมาที่ประเทศบ้านเกิด เดินวนเวียนอยู่ที่สนามบินกับสายลับอยู่พักใหญ่ เพื่อรอตรวจว่ามีใครแอบซุ่มดักรออยู่หรือเปล่า แล้วก็กลับมาที่ห้องนี้ จากนั้นก็ได้เจอเรื่องราวแปลกๆ
   เรื่องแปลกๆ ของคนข้างห้อง!!
   ฟ่งแทบหัวเราะออกมา ก่อนหน้านี้เพื่อนข้างห้องของเขาคนหนึ่งเป็นสายลับ ตอนนี้คนข้างห้องของเขาอีกคนก็ดันกลายเป็นคนสำคัญที่คาดไม่ถึงเสียอีก จนในที่สุดก็ดูเหมือนว่าจะกลายเป็นตัวประกันให้กับพวกสายลับไปเสียแล้ว
   ท่าทางห้องที่เขาเช่าอยู่อาจจะมีอาถรรพ์อะไรจริงๆ นะเนี่ย
   ชายหนุ่มหยิบแปรงฟันขึ้นมา บีบยาสีฟันลงไป และเดินออกมาแปรงฟันนอกห้องน้ำ พลางกวาดตามองดูผู้ชายสองคนที่นอนระเกะระกะอยู่ในห้อง และนึกดีใจว่าโชคดีที่เรียกแม่บ้านมาทำความสะอาดแล้ว ไม่งั้นสองคนนี้คงได้นอนสำลักฝุ่นแน่ๆ
   ฟ่งมองไปยังวรุต เมื่อวานเด็กคนนี้บอกเขาแล้วถึงเหตุผลของการมาที่นี่ ถึงจะดูไม่ค่อยน่าเชื่อถือนักก็เถอะ แต่เจ้าตัวก็ดูมีความมุ่งมั่นอยางไม่ธรรมดาทีเดียว
   หนุ่มสวมแว่นมองไปยังโซฟาอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเลื่อนสายตามายังร่างสูงใหญ่ที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่ตรงใกล้ๆ ประตูห้อง เขาเพิ่งเคยเห็นรูฟัสในสภาพแบบนี้เป็นครั้งแรก ดูไปแล้วก็น่าสงสารอยู่เหมือนกัน ผู้ชายคนนี้คงมาเพื่อเฝ้าเขากับวรุตไม่ให้ทำอะไรแปลกๆ ล่ะมั้ง พอนึกว่าก่อนหน้านี้รูฟัสอาจจะต้องทำแบบนี้มานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว ฟ่งก็นึกอยากให้เจ้าตัวเลิกอาชีพนี้อย่างจริงๆ จังๆ เสียที เขาไม่อยากเห็นรูฟัสฝืนทรมานร่างกายแบบนี้อีก
   เขามองสองคนที่นอนอยู่คนละที่สลับกันไปมาสักพัก ก็ถอนหายใจออกมา
   ทุกคนก็ดูเหมือนจะมีเป้าหมายชัดเจนกันดี
   แล้วเขาล่ะ?
   ฟ่งชักนึกสงสัยเรื่องของตัวเอง แล้วตัวเขาสมควรจะทำอะไรต่อไปจากนี้ดีล่ะ?
   เมื่อวานรูฟัสเพิ่งบอกให้เขาโทรไปโกหกกับพี่สาวอีกรอบ แล้วกำชับว่าต่อจากนี้ห้ามติดต่อกับใครอีก ห้ามให้ใครรู้ว่าเขากลับมาแล้ว เพราะกลัวว่าข่าวจะรั่วถึงหูฝ่ายตรงข้าม ใช่ว่าทางนั้นไปวุ่นอยู่กับการเตรียมงานแล้วจะล้มเลิกความตั้งใจจะเก็บเขาเสียหน่อย
   แต่แบบนี้ก็หมายความว่าเขาจะต้องตัดขาดตัวเองกับโลกภายนอกโดยสิ้นเชิงงั้นสิ!!??
   ถึงรูฟัสจะบอกว่าทวีศักดิ์อาจจะยกเลิกความตั้งใจจะปิดปากเขาแล้ว ก็ใช่ว่าจะยอมปล่อยให้เขาใช้ชีวิตอย่างอิสระได้เหมือนตอนปกติเสียหน่อย สงสัยเพราะเขาเองก็เป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่บังเอิญรู้เบื้องหลังที่แท้จริงของพวกรูฟัสด้วยล่ะมั้ง เลยต้องถูกจับตามองแบบนี้
   ฟ่งมองไปทางเด็กหนุ่มที่ชื่อวรุต และอยากจะพูดว่า นายกับฉันตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันแล้ว
   หลังจากนั้น ฟ่งก็ลุกขึ้นเพื่อไปบ้วนปาก เขาเคาะแปรงฟันลงกับอ่าง ใช้ผ้าขนหนูที่แม่บ้านเพิ่งเอามาเปลี่ยนเมื่อวานเช็ดหน้า แล้วเดินออกไปนั่งหน้าประตูห้องน้ำอีกรอบ
   สองคนที่นอนอยู่นี่ ไม่มีทีท่าว่าจะลุกเลย
   ฟ่งขมวดคิ้วหน่อยๆ บางทีรูฟัสอาจจะตื่นแล้วแต่ยังไม่ลุกก็ได้ เพราะปกติรูฟัสไม่เคยตื่นสายอยู่แล้ว ผู้ชายคนนี้ดูจะรู้สึกตัวไวเสมอๆ อย่างน้อยก็ตื่นก่อนเขาในทุกครั้งนั่นล่ะ เท่าที่จำได้ มีอยู่หนเดียวเท่านั้นที่เขาเห็นรูฟัสหลับไปจริงๆ ตอนที่บังเอิญเจอกันหน้าลิฟต์แล้วรูฟัสชวนเขาไปที่ห้องล่ะมั้ง
   ฟ่งนึกสงสัยขึ้นมา ถ้าตอนนั้นรูฟัสรู้ว่าเขาเขียนแปลนพวกนี้ ผู้ชายคนนี้จะกล้านอนหลับไปบนตักเขารึเปล่านะ
   ชายหนุ่มสั่นศีรษะเบาๆ และบอกว่าเรื่องแบบนั้นคิดไปก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นมาหรอก หลังจากนั้นเขาก็เบนความสนใจไปยังวรุตซึ่งท่าทางจะยังหลับไม่รู้เรื่อง ไม่รู้ว่าเด็กคนนี้ไปกินดีหมีหัวใจเสือมาจากไหน ถึงได้กล้าทำเรื่องบ้าบิ่นขนาดนี้
   ฟ่งยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งเรื่องที่วรุตพูด แต่การที่เด็กหนุ่มกล้าเอาตัวเองมาอยู่ในดงคนแบบราฟาแอลและรูฟัสก็สมควรจะเรียกว่าบ้าบิ่นได้แล้ว
   ว่าแต่เด็กคนนี้เป็นลูกของคุณทวีศักดิ์คนนั้นจริงรึ?
   ถ้าไม่มีรูฟัสมาช่วยยืนยัน ให้ตายเขาก็ไม่ยอมเชื่อแน่ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคนเป็นพ่อจะปล่อยให้ลูกตัวเองออกมาทำอะไรเสี่ยงๆ แบบนี้ หรือว่าทวีศักดิ์ไม่ได้ให้ความสำคัญกับลูกเท่าที่ควรเหมือนที่วรุตพูดถึงจริงๆ
   พอคิดได้แบบนั้นเขาก็รู้สึกสงสารเด็กหนุ่มที่ชื่อวรุตขึ้นมาถนัด
   แม่ก็เสียไปตั้งแต่เด็ก แถมพ่อก็ยังไม่ค่อยสนใจอีก ถึงฟ่งจะเป็นกำพร้าพ่อแต่เด็ก แต่ก็ยังมีแม่กับพี่สาวคอยให้ความอบอุ่นจนไม่รู้สึกว่าชีวิตขาดอะไร
   วรุตล่ะ?
   ฟ่งชักเริ่มมองเห็นสาเหตุที่ทำให้วรุตกลายเป็นเด็กที่มีนิสัยแปลกๆ ขึ้นมาบ้างแล้ว การที่วรุตโตมาได้ขนาดนี้โดยยังดูเป็นผู้เป็นคนอยู่ เมื่อเทียบกับว่าถูกเลี้ยงมาโดยลักษณะแบบนั้น ถือว่าเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อจริงๆ โดยเฉพาะแววตาที่แสดงถึงความตั้งใจแบบไม่ธรรมดานั้น
   บางทีนี่อาจจะทำให้เรื่องราวพลิกแพลงไปอย่างคาดไม่ถึงก็ได้
   ฟ่งอยากจะเชื่อเหตุผลที่ยากจะเชื่อของวรุต เหตุผลคือเขาอยากจะเชื่อ เพราะสายตาของเด็กหนุ่มไม่ใช่สายตาของคนโกหก และมีแววของความเจ็บปวดฉายออกมาลึกๆ ทุกครั้งที่มีใครแสดงท่าทีว่าไม่เชื่อถือในสิ่งที่ตนเองพูด
ฟ่งคิดว่ามันคงเป็นเรื่องน่าเจ็บปวดใจไม่น้อย กับการที่ต้องพยายามทำให้ใครสักคนเชื่อในความคิดที่ดูไม่น่าเชื่อถือของตัวเอง ไม่อยากจะเชื่อว่าคนอื่นจะมีความคิดดีเลิศประเสริฐศรีไปกว่าที่ตัวเองคิดได้ สรุปคือคนเราไม่ค่อยจะเชื่อในความคิดที่ดีเกินไปของคนอื่นนั่นแหละ  เหมือนครั้งหนึ่งเขาเคยรับวาดรูปเหมือนราคาถูก แต่ลูกค้ากลับน้อยกว่าอีกร้านซึ่งไม่ได้มีฝีมือมากไปกว่าเขาเลย แต่คิดราคาแพงกว่า ท่าทางคนเราจะตัดสินคนอื่นจากสิ่งที่ตัวเองเชื่อเท่านั้นล่ะมั้ง
   แล้วตัวเขาล่ะ ตัดสินวรุตจากอะไร?
   ฟ่งเคยมีประสบการณ์มาแล้ว ครั้งหนึ่งเขาเคยตัดสินว่ารูฟัสเป็นคนไม่ดี แค่เพียงเพราะรู้ว่ารูฟัสเป็นสายลับ โจรกรรมและฆ่าคน แต่สิ่งที่รูฟัสปฏิบัติต่อเขาไม่เคยมีสิ่งใดที่เรียกว่าเลวร้าย  นอกจากเรื่องที่โกหกนี่แหละ ถึงแม้จะพอยอมรับได้ว่าจำเป็น แต่ยังไงก็เป็นเรื่องที่ไม่น่าให้อภัยอยู่ดี
   แม้อย่างนั้นเขาก็ยอมให้อภัย เพราะรูฟัสดีต่อเขา...
   และเป็นคนพิเศษ...
   ฟ่งไม่อยากจะยอมรับตรงนี้มากนัก จึงหันความคิดกลับไปสู่ประเด็นเดิมอย่างรวดเร็ว
   วรุตเองก็ดีต่อเขา อย่างน้อยก็ยังมีคำพูดว่าอยากจะช่วยเขา มากกว่าอยากจะฆ่าเขา  ซึ่งก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีแล้วไม่ใช่หรือ?
   ดังนั้นฟ่งจึงไม่คิดว่าสิ่งที่วรุตพูดเป็นเรื่องโกหก จนกว่าเขาจะพิสูจน์คำพูดนั้นเองว่าเป็นจริงหรือไม่ เหมือนที่รูฟัสเคยพิสูจน์มาแล้ว
   ถึงตอนนี้ฟ่งถอนหายใจยาว มองดูทั้งสองคนอีกรอบ และย้อนมามองตัวเอง
   ตอนนี้เขาสมควรทำอะไรต่อไป?
   เรื่องแปลนก็ไม่น่าจะมีปัญหาแล้ว ถึงจะมีปัญหา มันก็คงเป็นปัญหาที่เขาไม่อาจจะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือได้อีก เพราะกว่าที่ทั้งรูฟัสและราฟาแอลจะรู้ถึงปัญหา ก็คงจะต้องเข้าไปเผชิญกับกลไกภายในห้องนั้นแล้วเท่านั้นแหละ
ฟ่งนึกสงสัยว่ายาเสพติดผ่านอากาศที่รูฟัสเคยพูดให้เขาฟังว่า ทวีศักดิ์สร้างขึ้นมาเพื่อหวังจะแพร่กระจายในหมู่มาเฟียนั้น รูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไรกันแน่ แล้วจะมีความรุนแรงขนาดไหน ทวีศักดิ์ถึงต้องสร้างห้องลับที่มีระบบป้องกันแน่นหนาเพื่อเก็บมันเอาไว้ แน่นอนว่ารวมถึงใช้เป็นห้องประชุมเพื่อกระจายยาเสพติดตัวนี้ด้วย
   แค่นึกว่า เพียงสูดหายใจเข้าไปก็เสพติดได้ ฟ่งก็นึกขนลุกแล้ว หากมียาเสพติดแบบนี้อยู่จริงๆ ล่ะก็ มันคงเป็นอันตรายต่อสังคมมากแน่ๆ แล้วเขาเองก็คงมีส่วนผิดเต็มประตูในฐานะคนที่ออกแบบห้องเพื่อใช้แพร่กระจายยาเสพติดตัวนี้
   ถ้าอย่างนั้นเขาควรมีส่วนร่วมรับผิดชอบในเรื่องนี้ให้มากกว่านี้สิ!
   แต่ปัญหาคือเขาควรจะทำอะไรเพื่อรับผิดชอบกับสิ่งที่ทำลงไป?
   ถึงเขากับรัสเลอร์จะช่วยกันแยกแยะแบบแปลนเพื่อให้รูฟัสกับราฟาแอลสามารถใช้เป็นแนวทางในการเข้าไปในห้องนั้นจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่ฟ่งยังรู้สึกว่าแค่นี้ยังไม่สมกับสิ่งที่เขาได้ทำพลาดลงไปอยู่ดี
   อีกไม่กี่วัน หรือควรจะนับเป็นชั่วโมงเลยดีกว่า รูฟัสกับราฟาแอล รวมถึงรัสเลอร์ ก็คงต้องเข้าไปในห้องนั้นแล้ว พอถึงเวลานั้นเขาจะทำอะไรได้อีกล่ะ
   ฟ่งพยายามนึกทบทวนเรื่องนี้กับตัวเองหลายต่อหลายครั้งในช่วงเวลาสองสามวันที่ผ่านมา และคำตอบที่ได้คือ
   ไม่มี...!
   ฟ่งขมวดคิ้ว เขาไม่ชอบคำตอบนี้เลยจริงๆ ไม่มี! ก็หมายถึงว่าหลังจากที่พวกรูฟัสไปแล้ว เขาก็ไม่มีอะไรจะทำอีกนอกจากนั่งๆ นอนๆ รอไปวันๆ แบบนั้นก็หมายความว่าเขาต้องใช้ชีวิตแบบหายใจทิ้งน่ะสิ แล้วชีวิตแบบนั้นมันจะไปมีประโยชน์อะไร จะแค่วันสองวันหรือนานเป็นปีๆ มันก็ให้ความรู้สึกแย่เหมือนกันนั่นแหละ
   ดูจากรูปการตอนนี้แล้ว ถึงเขาอยากจะทำอะไรอีก รูฟัสคงไม่ยอมให้เขาทำแน่
   ท่าทางก่อนเข้าไปในห้องลับ ผู้ชายคนนั้นคงจะพยายามทุกวิถีทางให้เขาอยู่เงียบๆ และเฉยที่สุด ฟ่งคิดว่ารูฟัสอาจจะนึกขนาดที่ว่าถ้าจับเขาผูกได้คงผูกไปแล้วล่ะมั้ง แต่ถ้ารูฟัสกล้าทำแบบนั้นกับเขานะ รับรองชาตินี้อย่าหวังว่าเขาจะญาติดีด้วยอีกเลย
   ฟ่งเหลือบมองรูฟัสอีกหน และคิดว่าถ้าไม่มีใครยอมให้เขาทำอะไรล่ะก็ เขาคงต้องตะเกียกตะกายหาอะไรมาทำเสียเอง
   ฟ่งนึกขำ บางทีเขาก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นแค่ผู้ชายปกติธรรมดาๆ คนหนึ่ง อยากจะใช้ชีวิตปกติธรรมดา อยู่อย่างสงบ เช้าตื่นสาย บ่ายกินข้าว ค่ำทำงาน นอนตอนดึก ว่างๆ ก็ออกไปหาอะไรเจริญหูเจริญตาดูบ้าง แต่ในบางช่วงเวลา เขาก็นึกอยากจะออกไปวิ่งรอบโลก อยากจะขึ้นไปตะโกนบนภูเขา อยากที่จะทำอะไรบ้าๆ บอๆ ในแบบที่คนอื่นเขาไม่ทำกัน
แต่จนใจที่พอลุกขึ้นยืนทีไร ความขี้เกียจก็ดูจะมาเกาะหลังเขาอยู่ทุกที ถึงอย่างนั้นพอมีเรื่องอะไรเข้ามากระตุ้นให้ถูกจุด ต่อมบ้าๆ ของเขาก็ทำงานโดยอัตโนมัติของมันทันที เหมือนอย่างตอนที่เขาถูกติดต่อให้ทำงานกับทวีศักดิ์ครั้งแรก หรือตอนที่ถูกพาไปยังห้องใต้ดิน พอมาย้อนคิดดูแล้วฟ่งก็นึกไม่ออกจริงๆ ว่าเขากล้าทำเรื่องแบบนั้นลงไปได้อย่างไร แถมยังรอดกลับมาได้อีกแน่ะ เขานี่คงมีฝีมืออยู่พอตัวล่ะ
   ฟ่งมองไปทางวรุต  ซึ่งดูเหมือนจะหลับไม่ค่อยจะสบายนักบนโซฟา
   บางทีคราวนี้ อาจจะมีอะไรให้เขาทำมากกว่าที่คิดก็ได้
---------------------------------------
   รูฟัสตื่นนานแล้ว หรือถ้าจะพูดให้ถูกคือเขาตื่นอยู่โดยตลอด ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาอดตาหลับขับตานอนแต่อย่างใด เรียกได้ว่าเป็นการหลับแบบที่รู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลาเสียมากกว่า
   เขาจะอาศัยจังหวะหลับลึกเป็นช่วงสั้นๆ ครั้งละสิบถึงสิบห้านาทีสลับกันไป  มันเป็นการฝึกที่หฤโหดพอสมควร แต่ถ้าทำได้แล้วก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอีก
   เรื่องที่ยากคือเรื่องที่ยังไม่ได้ลงมือทำ
   ตลอดชีวิตที่ผ่านมา ตั้งแต่ผ่านประสบการณ์เลวร้ายในวัยเด็ก รูฟัสไม่เคยคิดว่าชีวิตจะมีเรื่องยากเย็นอีก เรื่องอะไรที่ว่ายากเขาทำมาแทบจะหมดแล้ว
แต่ว่า.... ตอนนี้มีเรื่องยากหนึ่งที่เขายังไม่ได้ทำ และยังนึกไม่ออกว่าจะลงมือทำตอนไหน อย่างไร
เรื่องยากที่ว่านั้นก็คือ ทำให้แน่ใจว่าฟ่งจะอยู่นิ่งๆ ไม่ทำอะไรเสี่ยงๆ อีก
   รูฟัสเกือบจะแน่ใจว่าฟ่งต้องไม่ยอมอยู่เฉยแน่ๆ กับเรื่องแบบนี้ จากที่เขาได้สัมผัสและรับรู้ข้อมูลในหลายๆ ด้านของผู้ชายคนนี้ในช่วงที่ผ่านๆ มา ทำให้รูฟัสรู้ว่าฟ่งเป็นคนที่มีความคิดพิสดารอย่างที่คาดไม่ถึง แถมยังไม่ค่อยจะชอบอยู่เฉยๆ อีกต่างหาก เรียกว่าหาเรื่องใส่ตัวก็พอจะได้ แต่คิดอีกที ก็เหมือนความซวยวิ่งมาหา แล้วฟ่งก็รีบวิ่งเข้าไปรับมันเอาไว้มากกว่า
   รูฟัสแทบจะยกมือขึ้นก่ายหน้าผาก ฟ่งเป็นคนไม่ค่อยพูดมาแต่ไหนแต่ไร แถมยังเดาไม่ออกอีกว่าดวงตาสีน้ำตาลภายใต้กรอบแว่นนั้นคิดอะไรอยู่กันแน่ ฟ่งเป็นคนที่มีอารมณ์ค่อนข้างจะอ่อนไหว แต่ก็ไม่ถึงขนาดแปรปรวนจนน่ารำคาญ ถึงอย่างนั้นก็กล้าทำอะไรที่บ้าบิ่นได้จนน่าเหลือเชื่อเหมือนกัน อย่างที่หนีเขาไปอยู่กับรุ่นน้องตอนที่ยังอยู่ฮังการีไงล่ะ
   รูฟัสนึกไม่ออกเลยว่าฟ่งเดินทางด้วยตัวคนเดียวไปถึงที่นั่นได้อย่างไร โดยมีแค่ตั๋วรถเมล์ใบเดียวเท่านั้นเอง ภาษาก็สื่อสารไม่ได้ เรื่องนี้เป็นปริศนาพอๆ กับการที่ฟ่งเอาตัวรอดมาได้ หลังจากเขียนแปลนนรกที่ทำให้เขาปวดหัวแทบตายนั่นล่ะ
   รูฟัสไม่เคยเชื่อในปฏิหาริย์ ถึงอย่างนั้นก็เถอะ นอกจากคำว่าปฏิหาริย์แล้วคงไม่มีคำไหนพอจะอธิบายปรากฏการที่เกิดขึ้นกับผู้ชายสวมแว่นคนนั้นได้
   แต่ปฏิหาริย์ไม่ได้มีทุกวัน ไม่ว่าจะยังไง เขาก็ต้องแน่ใจว่าฟ่งจะปลอดภัย และยอมอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไรเสี่ยงๆ หลังจากที่เขาเข้าไปในห้องลับนั้นแล้ว
   รูฟัสหรี่ตาขึ้นเล็กน้อย เขาเห็นฟ่งเดินออกมาจากห้องน้ำ ด้วยสภาพเหมือนยังไม่ตื่นดี ทั้งๆ หลังจากนั้นก็หยุดยืนมองพวกเขาอยู่ เหมือนยังงงๆ ว่าทำไมคนพวกนี้ถึงมาอยู่ในห้องได้ แต่ไม่มีท่าทางตกใจหรือระวังตัวเลยสักนิด เผลอๆ บางทีฟ่งอาจจะคิดว่าตัวเองนอนผิดห้องเลยก็ได้ หรือไม่ก็อาจจะยังฝันอยู่ด้วยล่ะมั้ง
   แล้วแบบนี้จะให้เขาวางใจปล่อยไว้ได้ยังไงกันล่ะ
   รูฟัสแทบจะถอนหายใจออกมา เขามองดูร่างบางๆ เดินหายเข้าไปในห้องน้ำ และออกมาพร้อมกับแปรงฟันในปาก ฟ่งนั่งดูพวกเขาและแปรงฟันไปด้วย ดวงตาสีน้ำตาลใต้แว่นนั่นกลอกไปมา กำลังคิดอะไรอยู่กันแน่นะ
   รูฟัสไม่อยากเดาความคิดของฟ่งนัก เพราะไม่กล้าจะเดา ความคิดของคนที่สร้างห้องแปลกๆ แบบนั้นออกมาได้ แลกกับเงินสองแสนบาท โดยไม่ได้พ่วงค่าประกันชีวิตไปด้วยคงไม่ได้มีความคิดแบบที่คนธรรมดาเขาคิดกันหรอก
   รูฟัสคิดว่าเขาคงไม่มีทางเดาความคิดของฟ่งได้อย่างเด็ดขาด แค่ได้ฟังเรื่องเขียนแปลนนี้เขาก็แทบประสาทกินแล้ว
โดนข่มขู่ขนาดนั้นแล้วยังมีแก่ใจจะคิดราคายุติธรรมอีก เขาไม่เข้าใจคนอย่างฟ่งเลยจริงๆ!!
   สิ่งที่รูฟัสคิดว่ายากและน่ากลัวที่สุดในตอนนี้คือการจำกัดความคิดและการกระทำของฟ่งนี่เอง
   เขาคงต้องหาทางฝากฝังคนคนนี้ไว้กับใครสักคนที่ไว้ใจได้ และต้องแน่ใจได้ด้วยว่าจะทำให้ฟ่งสามารถอยู่นิ่งๆ ได้จนจบงาน
   แต่...ใครกันล่ะ?!
--------------------------------------------

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-07-2011 17:27:37 โดย juon »

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
   วรุตคิดว่างานนักสืบหรืองานผู้คุ้มกัน เป็นงานที่ต้องอาศัยความพยายามและอดทนเป็นอย่างมาก หลังจากที่เขาอดตาหลับขับตานอนมาสองวัน เพื่อดักรอคนข้างห้องคนนี้ และต้องพยายามทำตัวให้รู้สึกตัวง่ายอยู่เสมอในคืนที่ผ่านมา เผื่อว่าจะมีอะไรผิดปกติเกิดขึ้น แต่สุดท้ายเขาก็ดันเผลอหลับสนิทจนได้ยินเสียงเปิดน้ำจากห้องน้ำนั่นแหละ 
วรุตนึกสงสัยว่าชายชาวต่างชาติที่นอนหน้าประตู เพื่อคอยจับตามองเขา จะตื่นตลอดคืนหรือว่าแอบหลับเป็นพักๆ แบบเขากันแน่นะ อย่างไรก็ตามการได้ตื่นมาเห็นฟ่งเดินออกมานั่งแปรงฟันหน้าห้องน้ำทำให้เขานึกขำขึ้นมาทันที
   ผู้ชายแบบนี้เหรอเนี่ย ที่เขียนแบบแปลนอันน่ามหัศจรรย์นั่นออกมาได้
   ถ้าไม่ได้เจอกับตัวเอง จ้างให้วรุตก็ไม่เชื่อเด็ดขาด
   กับผู้ชายที่ท่าทางแสนจะธรรมดาไม่มีอะไรสะดุดตาคนนี้ คนที่ดูยังไงก็ไม่น่าจะกล้ามีปัญหากับใคร คนที่เปิดประตูให้กับคนที่ไม่เคยรู้จัก เพียงแค่เพราะทำประตูหนีบมือเท่านั้นเอง ทั้งๆ ที่อีกฝ่ายพยายามจะเข้าห้องของเขาโดยไม่ได้รับอนุญาตด้วยซ้ำ คนที่ดูจะไม่ระแวดระวังอะไรเลยแบบนี้
   วรุตนึกสงสัยว่าฟ่งรอดชีวิต จากเงื้อมมือพ่อของเขามาได้อย่างไรจนถึงตอนนี้  ถึงเขาจะไม่อยากคิดว่าพ่อหรืออารัตน์เป็นคนเหี้ยมโหดก็เถอะ แต่ก็ไม่น่าจะปล่อยฟ่งให้มานั่งทำงานอยู่ที่ห้องของตัวเอง ทั้งๆ ที่งานที่ทำเป็นงานที่เป็นความลับขนาดนั้น ถ้าเป็นเขาคงจะต้องกักตัวเอาไว้ในที่ที่ควบคุมได้ หรือที่ที่สามารถจัดการได้ง่ายๆ นั่นแหละ
แต่บางทีพ่อของเขาอาจจะลองทำแล้วแต่ไม่สำเร็จก็เป็นได้?
   เด็กหนุ่มนึกถึงตอนที่เขาคุยกับอารัตน์ ซึ่งเป็นเพื่อน และลูกน้องคนสนิทของพ่อเขา เกี่ยวกับเรื่องที่สถาปนิกลึกลับที่พามาสร้างปัญหา หรือว่าจริงๆ แล้วฟ่งมีซ่อนไว้มากกว่ารูปร่างบอบบางภายนอกที่เห็น
บางทีเรื่องนี้อาจจะเกี่ยวกับชาวต่างชาติที่มาด้วยกันก็ได้?!
   วรุตรีบปัดความคิดนี้ทิ้งไปทันที ถึงฟ่งจะรู้จักกับสายลับ หรืออาจจะเป็นอะไรแนวๆ นั้น เขาคงไม่โง่พอจะเอาเรื่องนี้ไปใช้ข่มขู่ และทางพ่อของเขาก็คงไม่โง่พอที่จะปล่อยตัวฟ่งออกมาเพราะเรื่องนี้ ท่าทางผู้ชายคนนี้จะมีอะไรมากกว่าที่เขาคิดจริงๆ
   เด็กหนุ่มพลิกตัวเล็กน้อย ในตอนที่ฟ่งหายกลับเข้าไปในห้องน้ำอีกครั้ง เขาอยากจะหรี่ตามองในมุมที่ชัดมากขึ้น ไม่นานนักฟ่งก็ออกมา คงแปรงฟันเสร็จเรียบร้อยแล้ว หนุ่มสวมแว่นคนนั้นนั่งปุลงหน้าห้องน้ำอีกครั้ง และกวาดสายตามองไปมองมาไปมาราวกับจะประเมินคนที่นอนผิดที่ผิดทางทั้งสองคนในห้อง
   ฟ่งกำลังคิดอะไรอยู่นะ?
   วรุตเดาความคิดของหนุ่มคนนี้ไม่ออก เขาอาจจะเดาความคิดของราฟาแอลหรือผู้ชายอีกคนที่ยังนอนอยู่ออกบ้าง แต่สำหรับฟ่งแล้ว เขาเดาไม่ออกจริงๆ
   การเดาความคิดของคนที่ไม่รู้เป้าหมายชัดเจน เป็นเรื่องที่เดายากที่สุด
   เนื่องจากฟ่งไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจน...... อย่างน้อยก็ไม่ได้แสดงออกมาอย่างชัดเจน เหมือนอย่างที่ราฟาแอลและพวกแสดงออกมา แม้แต่ตัวของวรุตเองก็มีเป้าหมายที่ชัดเจน พ่อเขาเองก็เช่นกัน แต่ฟ่งล่ะ?
   ผู้ชายที่กำลังถูกตามล่า เพราะทำงานที่เป็นความลับ ผู้ชายที่รู้จักกับสายลับ แถมดูท่าจะมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกันด้วย ผู้ชายที่เปิดประตูให้เขาซึ่งไม่รู้จักกันมาก่อนเข้ามาในห้อง แค่เพราะทำประตูหนีบมือ... ผู้ชายแบบนี้จะวางแผนทำอะไรได้นะ แต่ผู้ชายเดียวกันนี้ก็หนีรอดมาจากเงื้อมมือของพ่อเขา แล้วก็ทำให้คนที่นั่นปวดหัวมาแล้ว
คนแบบนี้....
   วรุตหวนกลับมานึกถึงตอนที่ฟ่งพบกับเขาครั้งแรกอีกรอบ ตอนแรกฟ่งเองมีท่าทีว่าไม่เชื่อถือเขาอย่างเห็นได้ชัด ถึงกระทั่งพยายามจะคว้ามีดออกมาขู่ พอมาคิดแล้วก็ขำดีเหมือนกัน เปิดประตูให้เข้ามาเอง แล้วก็เพิ่งมานึกได้ว่าอันตรายหรอกรึ....
   แต่ว่าหลังจากนั้น ฟ่งก็ทำท่าเหมือนจะเชื่อเขาขึ้นมา อย่างน้อยก็พูดคำว่าขอบใจออกมาล่ะ แล้วก็ดูจะไว้ใจเขามากขึ้นด้วย วรุตรู้สึกตกใจกับท่าทีที่เปลี่ยนไปนี้ ถึงเขาจะเป็นคนพูดเองและยอมรับว่าเป็นความจริงก็เถอะ แต่ถ้าเขาเป็นฟ่ง เขาคงไม่ยอมเชื่อเรื่องพวกนี้เด็ดขาด
   แต่หนุ่มสวมแว่นคนนั้นทำท่าว่าจะเชือนี่สิ... เขาควรจะดีใจหรือเสียใจดีล่ะ
   บางทีอาจจะเพราะฟ่งอยากรั้งเขาไว้ ในฐานะของตัวประกันที่เป็นผลดีกับคนของตัวเอง แต่พอมาคิดอีกที ท่าทีที่ฟ่งมีให้เขาดูจะไม่ได้เป็นเพราะเพื่อนที่เหลืออีกสองสามคนนั่นเป็นคนชักชวน อย่างน้อยฟ่งก็ไม่ได้แสดงท่าทีว่ายอมตกอยู่ภายใต้อำนาจการควบคุมของราฟาแอล เรื่องนี้ทำให้วรุตรู้สึกหนักใจขึ้นมา
   หากฟ่งคิดเรื่องทั้งหมดเอง ก็แปลว่าระบบความคิดของคนคนนี้คงจะผิดปกติน่าดู... สมกับเป็นคนที่ออกแบบห้องพิสดารนั่นออกมาเสียจริงๆ ให้ตายสิ   
   ดูท่าวิธีคิดและการกระทำของคนคนนี้ จะอยู่เหนือความคาดหมายและสามัญสำนึกของคนธรรมดาอย่างเขาและพวกราฟาแอลด้วยก็ได้
   มันเหมือนกับสมการเคมีที่มีอนุภาคที่ไม่อาจจะคาดเดาความคลาดเคลื่อนได้เข้ามาเป็นตัวผสม การคำนวณผลลัพธ์ของมันจึงไม่สามารถสรุปออกมาได้นั่นแหละ
   วรุตนึกกลัวว่าฟ่งนี่แหละ จะเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้เรื่องนี้เดินไปในจุดที่ไม่อาจคาดเดาได้
-------------------------------------------
   ราฟาแอลนอนอยู่ในห้องของรูฟัส และนอนอยู่บนเตียงของรูฟัส โดยใช้สายตาธรรมดาๆ เกลี้ยกล่อมรัสเลอร์ให้ยอมออกไปนอนที่โซฟา ซึ่งความจริงรัสเลอร์น่าจะรู้ตัวก่อนถูกมองด้วยซ้ำว่าควรจะวางตัวแบบไหนเวลาอยู่กับเขา แต่นี่ไม่ใช่เรื่องที่ทำให้หนุ่มผมบลอนด์เป็นกังวล
   เขากำลังกังวลเรื่องของผู้ชายสวมแว่นที่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเพื่อนร่วมงานคนสำคัญของเขา เพราะรูฟัสดูจะเป็นกังวลเรื่องฟ่งเอามากๆ ราฟาแอลคิดว่าเขาคงต้องเสียเวลาบางส่วนเพื่อจัดการกับเรื่องงี่เง่านี้ให้เสร็จๆ เพราะขืนปล่อยไว้ให้ค้างคา เจ้ารูฟัสคงไม่มีกะใจจะทำงานแน่ๆ
   คิดไปคิดมาก็น่าหงุดหงิดใจอยู่หรอก ถึงแม้ว่าฟ่งจะชักนำปลาตัวใหญ่ที่คาดไม่ถึงอย่างวรุตมาให้ แต่เพราะความสัมพันธ์ที่รูฟัสไม่ยอมตัดให้ขาดนั่นแหละทำให้การวางแผนของเขาพลอยต้องคลาดเคลื่อนตามไปด้วย เพราะหลังจากที่เขารู้วิธีที่เข้าไปในห้องได้แล้ว ฟ่งก็หมดประโยชน์ ในยามปกติคือสมควรถูกกำจัดเพื่อไม่ให้แผนการรั่วไหล แต่แผนนี้ต้องม้วนเก็บเข้าลิ้นชักไป เพราะขืนทำจริง งานของเขาคงพังไม่เป็นท่า มิหนำซ้ำอาจจะต้องดวลเดือดกับเพื่อนร่วมงานเก่าแก่อย่างรูฟัสด้วย
   ราฟาแอลไม่อยากมีปัญหากับรูฟัส
   ตลอดหลายปีที่ทำงานร่วมกันมา เขาและรูฟัสเคยต่อสู้กันหนเดียวเท่านั้น คือตอนที่เขาต้องไปรับรูฟัสมาอยู่ด้วยตามคำสั่งเสียของอเล็กเซ ผู้เป็นอดีตอาจารย์ของเขา และเป็นคนที่เลี้ยงดูรูฟัสมา การต่อสู้ครั้งนั้นทำให้ราฟาแอลตระหนักดีว่า หากมีการเผชิญหน้ากันอีกรอบ ไม่เขาก็รูฟัสนี่แหละ ที่จะต้องตายด้วยน้ำมือของอีกฝ่าย ไม่ใช่เพราะอารมณ์ หรือเพราะความรู้สึกส่วนตัว แต่เป็นเพราะสัญชาติญาณการเอาตัวรอดที่ถูกปลูกฝังและลับจนคมพอที่จะกลายเป็นเหตุผลในการห้ำหั่นกันอย่างถึงชีวิตต่างหาก
   สัญชาติญาณการเอาตัวรอดมีผลเหนือจิตสำนึกและความผูกพัน และคนบางประเภทก็ถูกฝึกมาให้ใช้สัญชาติญาณมากกว่าจิตสำนึกและความคิด
   เขาและรูฟัสบังเอิญเป็นพวกประเภทนั้น
   ดังนั้นราฟาแอลจึงพยายามหลีกเลี่ยงอย่างที่สุดที่จะมีปัญหาขั้นแตกหักกับรูฟัส ซึ่งมันเคยเป็นเรื่องยากเย็นเลยจนกระทั่งตอนนี้
   เขาไปพบเมี่ยงมาเมื่อวาน หญิงสาวถามถึงข่าวคราวของรูฟัส แน่นอนว่าเขาตอบไปไม่ครบทุกอย่าง อย่างน้อยก็ไม่ได้บอกเรื่องที่ฟ่งเป็นคนเขียนแปลน เขาไม่อยากให้มีใครรู้รายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้มากนัก รวมทั้งผู้หญิงคนนี้ด้วย ไม่ใช่ว่าหล่อนไม่น่าไว้ใจ แต่ความลับที่มีคนรู้น้อยที่สุด ก็ย่อมเป็นความลับได้นานที่สุด
   ราฟาแอลคุยเรื่องวรุตกับเมี่ยง นี่คือจุดประสงค์สำคัญที่เขาไปหาหล่อน นอกจากจะถามความคืบหน้าต่างๆ แล้ว เขายังต้องการความช่วยเหลือในเรื่องนี้ด้วย ต้องมีใครสักคนจับตาดูวรุตหลังจากที่พวกเขาทำงานแล้ว ตัวเลือกแรกที่ดูจะดีที่สุดคือเมี่ยง
   ราฟาแอลเชื่อว่าผู้หญิงคนนี้จะไม่ทรยศเขา แน่นอนว่าเมี่ยงไม่ใช่แค่ผู้ร่วมงานธรรมดา การที่เขาเลือกหล่อนเข้ามาทำงานนี้ก็เพราะผลประโยชน์ทางธุรกิจอันสืบเนื่องมาจากความลับบางอย่างของบริษัทคู่แข่งที่เขาเสนอให้ และอีกอย่าง หล่อนเองก็มีความลับบางอย่างที่อยู่ในมือเขาเช่นกัน ด้วยเหตุผลทั้งหมดทั้งมวลนี้ ก็เพียงพอที่จะทำให้ฝ่ายนั้นไม่คิดจะขายความลับของเขาอยู่แล้ว
   ท่าทีแรกที่หญิงสาวแสดงออกมาหลังจากได้ฟังเรื่องคราวๆ แล้ว คือสีหน้าตกใจอย่างเห็นได้ชัด ตามด้วยแววตาของความวิตก ราฟาแอลรู้ดีว่าเมี่ยงไม่ได้อยากจะกระโดดลงมาเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกับเรื่องนี้ให้มากจนเกินไปนัก หล่อนแค่ให้ความร่วมมือเท่าที่จะทำได้ แต่การจะเอาลูกชายของเป้าหมายมาฝากไว้ที่นี่ดูจะเป็นเรื่องผิดความคาดหมายไปไกล
เมี่ยงถามถึงที่มาของวรุต ซึ่งเขาไม่ตอบ หลังจากสอบถามเล็กๆ น้อยๆ ที่บางอย่างพอให้คำตอบได้ หล่อนก็นิ่งนึกไปพักใหญ่ ก่อนจะตัดสินใจรับปาก เพราะอย่างน้อยหล่อนก็สามารถหาข้อแก้ตัวได้ว่าวรุตมาเมาค้างอยู่ในผับของหล่อนหรืออะไรแนวๆ นั้น เนื่องจากวรุตเองก็เป็นสมาชิกของที่นี่เหมือนกัน  ราฟาแอลรู้สึกโล่งใจกับเรื่องนี้ ในขณะที่เขากำลังจะกลับ  สมองของเขาก็นึกได้อีกเรื่องหนึ่ง เรื่องที่เขาคิดนี้ ถ้าบอกรูฟัสไปแล้ว เจ้าหมอนั่นก็ไม่ควรหาว่าเขาเป็นคนใจไม้ใส้ระกำอีกเป็นอันขาด เพราะนี่เป็นสิ่งที่ปกติราฟาแอลไม่เคยทำมาก่อน
   เขาพูดกับเมี่ยงเพิ่มเติม เรื่องจะขอฝากฟ่งเอาไว้ด้วย โดยพยายามจะอธิบายว่ารูฟัสเป็นห่วงว่าฟ่งจะมีอันตราย เพราะมีส่วนเกี่ยวพันธ์กับเขา เว่ยเฟิงปิงอาจจะย้อนกลับมาอีกหรืออย่างไรก็ได้ โดยย้ำซ้ำเข้าไปอีกว่า เว่ยเฟิงปิงถูกส่งมาร่วมงานประชุมในครั้งนี้ด้วย แล้วอาจจะฉวยโอกาสนี้จัดการอะไรกับฟ่งก็ได้
   เมี่ยงดูมีท่าทีวิตกกังวลกับเรื่องของฟ่งอย่างเห็นได้ชัด หล่อนพูดว่าผู้ชายคนนั้นไม่น่าจะมายุ่งกับเรื่องพวกนี้เลย หล่อนเองก็เคยเตือนรูฟัสไว้ก่อนหน้านี้แล้ว แต่ท่าทางมาพูดตอนนี้คงจะสายจนเกินไป
   ราฟาแอลพยักหน้าอย่างเห็นด้วยทันที แล้วใส่ความคิดเห็นบนระบายของตนลงไปนิดหน่อย ก่อนจะถามย้ำอีกครั้งว่าเมี่ยงยินดีที่จะรับฝากฟ่งไว้อีกคนหนึ่งไหม
   หญิงสาวนิ่งคิดไปพักหนึ่ง ก่อนจะพูดออกมาด้วยสีหน้าลำบากใจว่า หากรับฝากทั้งฟ่งทั้งวรุตเอาไว้ ถ้ามีปัญหาอะไรขึ้นมา หล่อนคงจะรับมือได้ลำบาก อีกอย่างการจะให้จับตาดูคนสองคนที่อยู่แยกกัน ก็หมายถึงต้องแบ่งกำลังคนออกเป็นสองกลุ่ม จะยิ่งทำให้การระแวดระวังบกพร่องลงไปอีก ดังนั้น เพื่อความไม่ประมาท เมี่ยงเสนอว่าราฟาแอลควรจะเลือกฝากใครสักคนไว้กับหล่อน แล้วพาอีกคนไปฝากไว้กับคนอื่น ซึ่งน่าจะเป็นผลดีกับการดูแลมากกว่า
พอได้ฟังเหตุผลทั้งหมดทั้งมวลนี้แล้ว ราฟาแอลจึงได้แต่พยักหน้า เมี่ยงเป็นผู้หญิงที่ฉลาด และไม่ใช่มือใหม่ในวงการนี้ เรื่องที่พูดมาจึงไม่ใช่การกังวลเกินเหตุแต่อย่างใดเลย ปัญหาคือ เขายังนึกไม่ออกว่ามีใครที่น่าไว้ใจพอที่จะฝากคนใดคนหนึ่งเอาไว้อีก
   ที่สำคัญ คนที่มีส่วนสำคัญที่สุดในการตัดสินใจเรื่องนี้ ไม่ใช่เขาเสียด้วย
   รูฟัสต่างหาก เพราะฟ่งสำคัญกับรูฟัส ถึงพลอยต้องทำให้เขาเดือดร้อนเป็นธุระจัดการ เพื่อป้องกันอาการผละงานที่เจ้าหมอนั่นอาจจะทำอีก
   ใครใช้ให้เจ้าหมอนั่นทำงานกับเขามานานขนาดนี้กันล่ะ
   ราฟาแอลรู้สึกหงุดหงิด หงุดหงิดขึ้นมาจริงๆ
   เขาหวังว่ารูฟัสจะคิดหรือตัดสินใจให้ดีก่อนที่จะเข้าไปในห้องลับนั่น
-------------------------------------------
   รูฟัสแสดงอาการว่าตื่นนอนแล้วจริงๆ ในตอนที่เสียงเคาะประตูดังขึ้น เขาลุกไปเปิดประตูราวกับว่ารอเสียงนั้นอยู่ตลอด ผู้ที่มาเคาะคือราฟาแอล ซึ่งแต่งตัวด้วยเสื้อยืดแขนสั้นสีขาว และกางเกงขายาวแบบที่ใช้ใส่ในฟิตเนส ด้านหลังเป็นรัสเลอร์ ผู้ซึ่งมีสีหน้าเหมือนเพิ่งถูกปลุกให้ตื่นใหม่ๆ
   “ฉันอยากไปออกกำลังกาย” ราฟาแอลเอ่ยขึ้นโดยไม่ยอมเดินเข้ามาในห้อง แต่ผลักรัสเลอร์เข้ามาแทน หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มยกมือขึ้นเกาศีรษะ ด้วยสีหน้าที่แสดงอาการง่วงงุนอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยอมเดินเข้ามาแต่โดยดี ฟ่งที่ยังนั่งอยู่ตรงห้องน้ำจึงยืนขึ้น และรู้สึกแปลกใจนิดหน่อยที่เห็นภาพแบบนั้น เขาเพิ่งรู้ว่ารัสเลอร์จะขี้เซาเหมือนกัน
   รูฟัสยกมือขึ้นดูนาฬิกา แล้วพยักหน้า จากนั้นก็หันมายิ้มให้ฟ่ง และเดินออกไปกับราฟาแอลโดยไม่ได้พูดอะไรอีก ทำให้ผู้เป็นเจ้าของห้องต้องกะพริบตาปริบๆ หลังจากที่ประตูปิดลง สักพักเขาถึงได้หันกลับมามองหน้าผู้มาใหม่ที่ยังดูงงๆ อยู่
   “เอ้อ...ขอโทษที่มารบกวนนะ” รัสเลอร์กล่าวขึ้นเป็นประโยคแรก หลังจากขยี้ตาอยู่พักใหญ่ ฟ่งคิดว่าควรหนุ่มคนนี้ควรจะไปล้างหน้าล้างตาให้หายง่วงเสียก่อนจะพูดอะไร จึงบอกออกไป
   หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มพยักหน้า แล้วเดินหายเข้าไปในห้องน้ำพักหนึ่ง ก่อนจะออกมาด้วยสีหน้าแจ่มใสขึ้น เขายกมือทักทายฟ่งราวกับว่าเพิ่งเจอหน้ากันครั้งแรกก็ไม่ปาน แล้วจึงหันไปมองวรุตซึ่งลุกขึ้นมานั่งบนโซฟาอย่างไม่ได้ใส่ใจนักแว้บหนึ่ง จากนั้นจึงมาคุยกับฟ่งต่อ
   “เมื่อคืนนอนหลับรึเปล่าครับ” เขาถาม ฟ่งพยักหน้า และมองดูหน้ารัสเลอร์เหมือนจะถามกลับไปว่า นายนั่นแหละนอนหลับหรือเปล่า ชายหนุ่มหัวเราะ แล้วชวนฟ่งให้ไปนั่งที่โซฟา ฟ่งทำตามอย่างไม่ค่อยไว้ใจนัก วรุตลุกขึ้นนั่ง และมีท่าทีว่าตื่นนอนเต็มที่แล้ว ฟ่งกวาดตามองสมาชิกภายในห้องของเขาอีกครั้ง
   “ถ้าตื่นกันหมดแล้ว ผมว่าเราน่าจะอาบน้ำแล้วลงไปกินข้าวกันนะ”
   รัสเลอร์ส่ายหน้าทันที “กินข้าวต้องรอรูฟัสกับราฟาแอลกลับมาก่อนน่ะ”
   “?” ฟ่งทำท่าอ้าปากเหมือนจะถาม แต่ก็นึกขึ้นมาได้ว่าที่รัสเลอร์ถูกเสือกไสเข้ามาในห้องนี้ คงเพราะต้องมาจับตาดูพวกเขาสองคนนั่นเอง หนุ่มสวมแว่นจึงพยักหน้า แล้วพูดต่อ “งั้นผมอาบน้ำก่อนแล้วกันนะ”
   “นอนต่อก็ได้นี่ครับ เดี๋ยวผมนอนเป็นเพื่อน” รัสเลอร์เสนอความเห็น และหันมายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ฟ่งมองหน้าเขาและคิดว่าโชคดีนะที่รูฟัสไม่ได้ยิน แต่ถ้ารูฟัสอยู่ เจ้าหมอนี่คงไม่กล้าพูดแบบนี้ออกมาหรอก ท่าทางรัสเลอร์จะยังไม่เข็ดที่ถูกต่อยวันนั้นแน่ๆ
วรุตที่นั่งฟังอยู่ เอ่ยปากสอดขึ้นทันที “อาบน้ำก่อนก็ดีนะฟ่ง เดี๋ยวผมจะได้อาบบ้าง”
   รัสเลอร์หันไปขมวดคิ้วใส่วรุตทันที ฟ่งหัวเราะแห้งๆ
   “งั้นผมอาบก่อนแล้วกัน” เขาว่าและผลุนผลันเข้าไปในห้องน้ำ วรุตหัวเราะคิกคัก
   “เธอคิดจะอะไรของเธอหา! อยากมีเรื่องกับฉันหรือไง?” รัสเลอร์หันไปพูดกับวรุตอย่างเอาเรื่อง เด็กหนุ่มหยุดหัวเราะ และยิ้มอย่างมีเลสนัยน์
   “ทำไมคุณไม่คิดว่าผมช่วยบ้างล่ะ ไม่อยากเห็นฟ่งตอนอาบน้ำหรือไง?”
   รัสเลอร์อึ้งไปพักหนึ่ง ถึงจะพยายามปั้นหน้าว่าไม่พอใจแค่ไหน แต่คิดว่าคงไม่สามารถปิดบังแววตาที่ส่ออาการตื่นต้นของตัวเองได้แน่ๆ เลยรีบพูดจากลบเกลื่อนออกไป
   “เขาอาบอยู่ในห้องน้ำนี่ ไม่ใช่ว่าฉันเข้าไปดูได้สักหน่อย”
   เด็กหนุ่มยักไหล่ “แต่เขาไม่ได้เอาเสื้อผ้าเข้าไป คุณไม่เห็นเหรอ?”
   คราวนี้รัสเลอร์มีสีหน้าตกใจขึ้นมาจริงๆ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นหวาดระแวงในวินาทีต่อมา “นี่ๆ อย่าบอกนะว่านายก็คิดแบบนั้นกับฟ่งเหมือนกัน”
   วรุตมองเขา หัวเราะเบาๆ แล้วสั่นศีรษะ
   “ไม่หรอก ผมมีคนที่ชอบอยู่แล้วน่ะ” เขาตอบ และยกรีโมทขึ้นเปิดโทรทัศน์ ก่อนจะหรี่เสียงลงนิดหน่อย รัสเลอร์ขมวดคิ้ว เขาไม่รู้ว่าวรุตจงใจจะลดเสียงโทรทัศน์ให้เบากว่าเสียงฝักบัวอาบน้ำหรือเปล่า หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มชักไม่แน่ใจแล้วว่าจะเชื่อคำพูดเด็กคนนี้ได้ขนาดไหน
------------------------------------------------
   ฟ่งยกมือขึ้นลูบน้ำออกจากใบหน้า ปกติเขาชอบที่จะอาบน้ำทันทีหลังจากตื่นนอน เพราะรู้สึกว่าทำให้ตัวเองหายง่วงเร็วดี ที่สำคัญถ้าได้อาบกับน้ำเย็นๆ จะดีมาก เขาจะได้ตื่นเต็มตาพร้อมไปเผชิญกับวันอันยาวนานที่จะผ่านเข้ามา
   ฟ่งยกริมฝีปากขึ้นมานิดหน่อย เขารู้สึกขำ ตอนนี้พวกรูฟัสคงไปออกกำลังกายและคุยธุระกัน ทิ้งเขาให้อยู่กับผู้ชายอีกสองคนซึ่งก็ดูจะน่าปวดหัวแทบทั้งคู่ ท่าทางวันอันยาวนานจะยังคงอยู่ในชีวิตเขาอีกหลายวันแน่ๆ
   ชายหนุ่มหยิบผ้าเช็ดตัวจากราวพาดในห้องมาเช็ดตัว และพบว่าน้ำจากผมยังคงหยดลงมาเปียกในส่วนที่เช็ดไปแล้ว จึงยกผ้าขึ้นเช็ดผมอย่างที่ไม่ค่อยได้ทำนัก พลางคิดว่าคงได้เวลาไปตัดผมแล้ว เขาเงยขึ้นไปมองตรงราวพาดผ้าเช็ดตัว ถึงได้พบว่าตัวเองลืมเอาเสื้อเข้ามาด้วย เอาน่า.. นุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียวเดินโทงๆ ต่อหน้าผู้ชายด้วยกันคงไม่น่าเกลียดอะไรหรอก
   ฟ่งคว้าผ้าเช็ดตัวขึ้นมาพันท่อนล่าง โยนเสื้อลงในตะกร้า แล้วเปิดประตูห้องน้ำออกมา
----------------------------------------------
   วรุตได้ยินเสียงเปิดประตูห้องน้ำ เขาขี้เกียจหันไปมอง ปล่อยให้เจ้าฝรั่งนั่นมองไปคนเดียวก็แล้วกัน สำหรับเขาแล้ว ใครจะแก้ผ้า ถอดเสื้อ เปลือยหรืออะไรก็คงไม่น่ารักเซ็กซี่เท่ากับอิทธิเดชอีกแล้วล่ะ
   แต่รายการที่ออกอากาศอยู่ในโทรทัศน์ก็น่าเบื่อสุดๆ วรุตถึงกับหาวออกมา สุดท้ายเขาก็หันไปมองรัสเลอร์อย่างไม่ได้ตั้งใจ และพบว่าเจ้าตัวนั่งตาตื่นอยู่ เขาเลยต้องหันไปมองตรงห้องน้ำบ้าง.....
   ฟ่งยืนนิ่งอยู่หน้าห้องน้ำ ท่าทางจะสนใจโฆษณาครีมอาบน้ำที่เพิ่งปรากฏขึ้นบนจอโทรทัศน์ เขานุ่งผ้าเช็ดตัวปิดท่อนล่าง เหมือนที่หนุ่มๆ ทุกคนทำกันหลังอาบน้ำ ไม่มีอะไรแปลกไปกว่าคนอื่น ถึงจะไม่เช็ดผมให้แห้งก็เถอะ
แต่ที่ทำให้วรุตอดกลืนน้ำลายอย่างลืมตัวไม่ได้ก็คือ ผิวขาวเนียนและร่างกายผอมบางที่มีรอยจ้ำสีคล้ำอยู่ทั่วไปหมด แม้หลายรอยจะจางไปบ้างแล้ว แต่มันก็ยังดูเยอะอยู่ดี
วรุตแน่ใจว่าถึงเขาจะคลั่งไคล้อิทธิเดชขนาดไหน ก็ไม่เคยทำรอยไว้มากขนาดนี้ เด็กหนุ่มนึกไปถึงชายชาวต่างชาติผมสีดำที่เพิ่งออกไปเมื่อครู่ทันที
สองคนนี่......
พอโฆษณาจบฟ่งก็ยกมือขึ้นขยับแว่น ก่อนจะเดินเข้าห้องนอนไปโดยไม่ได้สนใจจะดูท่าทางของคนที่นั่งอยู่ในห้องอีกสองคน
ทั้งวรุตและรัสเลอร์นั่งอึ้ง ไม่มีใครกล้าพูดอะไร เพราะนอกจากรอยจ้ำที่ด้านหน้าแล้ว ตอนที่ฟ่งหันหลังเข้าไปในห้อง พวกเขายังเห็นรอยจ้ำอีกจำนวนมากอยู่เต็มหลัง ถึงจะไม่เยอะเท่าด้านหน้า แต่มันก็ดูเยอะอยู่ดีนั่นแหละ
   วรุตถึงกับมีความคิดขึ้นมาอย่างจริงๆ จังๆ แล้วว่าตอนที่ถูกทำรอยพวกนี้ ฟ่งจะมีสีหน้าแบบไหนกันนะ
   เขานึกไปถึงตอนที่ฟ่งถูกรูฟัสหอมแก้ม ตอนนั้นฟ่งหน้าแดงเป็นลูกตำลึง แถมหันกลับมามองค้อนเขาอีก รวุตคิดว่าตัวเองเข้าใจความรู้สึกของเจ้าฝรั่งที่แอบหลงรักแฟนเพื่อนที่นั่งอยู่ข้างๆ เขาขึ้นมาบ้างแล้ว
ถ้าได้อยู่ใกล้ชิดกับคนแบบฟ่ง ได้เห็นสีหน้าและอิริยาบถต่างๆ แถมรู้ว่ามีความสัมพันธ์กับผู้ชายในลักษณะนี้ คงจะทนยากอยู่เหมือนกันหรอก
เขาเองก็ไม่น่าจะหันไปเห็นรอยพวกนั้นเลย
   วรุตเพิ่งรู้สึกว่าตัวเองอาจจะคิดผิด ตอนแรกเขาแค่อยากจะแกล้งปั่นหัวผู้ชายที่นั่งอยู่ข้างๆ เล่น แต่ไปๆ มาๆ ดันกลายเป็นว่าเขาพลอยรู้สึกเหมือนถูกปั่นหัวไปด้วย
   เพราะรอยจ้ำพวกนั้นบนตัวฟ่งแท้ๆ
   แวบหนึ่ง เขานึกอยากเห็นใบหน้าของฟ่งในตอนที่กำลังมีอารมณ์แบบนั้นขึ้นมา มันจะน่ารัก น่ารัญจวนใจขนาดไหนเชียวนะ ถึงทำให้คู่นอนของเขาฝากรอยรักเอาไว้บนตัวมากมายขนาดนี้ ทั้งหน้า..ทั้งหลัง...
   “นี่ วิน จะอาบน้ำรึเปล่า เดี๋ยวผมจะได้หยิบผ้าเช็ดตัวผืนใหม่ออกมาให้” ฟ่งเอ่ยถามขณะเปิดประตูออกมานอกห้อง เขาสวมเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว เป็นชุดเสื้อยืดสีน้ำตาลเข้ม กับกางเกงขาสั้น วรุตเงยมองอย่างงงๆ ก่อนจะพูดออกมา
   “ผมใช้ผืนตะกี้ก็ได้”
   ฟ่งมองเขาอย่างงงๆ กลับบ้าง “อันนั้นผมใช้แล้วนะ”
   “เอ่อ....” วรุตส่งเสียงครางในลำคออย่างไร้ความหมาย และรู้สึกว่าตัวเองชักควบคุมสติไม่ได้เข้าไปทุกที
   “ไม่เป็นไร คุณจะได้ไม่ต้องซักหลายผืนไง เดี๋ยวยังไงผมก็ต้องกลับไปเอาผ้าเช็ดตัวที่ห้องอยู่แล้ว”   
   ฟ่งยังคงยืนมองวรุตอย่างอึ้งๆ อยู่สักพัก ก่อนจะเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวมาให้
   “แล้ว..... นายไม่ไปเอาเสื้อก่อนหรอ?” ฟ่งถามอีก เมื่อเห็นวรุตถือผ้าเช็ดตัวแล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำทันที เด็กหนุ่มหันมามองเขา จากนั้นก็สั่นศีรษะ
   “ไม่เป็นไร เดี๋ยวใส่ชุดเดิมแล้วค่อยไปเปลี่ยนก็ได้”
   ฟ่งขมวดคิ้วด้วยความสงสัย แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ วรุตจึงเดินจ้ำอ้าวเข้าไปในห้องน้ำราวกับปวดท้องหนัก แล้วปิดประตูเสียงดังปึง หนุ่มสวมแว่นจึงหันมามองคนที่เหลือซึ่งยังนั่งอยู่แทน
   “คุณจะอาบน้ำด้วยหรือเปล่า?” เขาเอ่ยถามรัสเลอร์ หนุ่มผมสีน้ำตาลยิ้มแล้วสั่นศีรษะ  ฟ่งยืนมองเขาอยู่อีกพักหนึ่ง และพูดต่อ
   “งั้นผมชงข้าวโอ๊ตให้กินรองท้องกันก่อนแล้วกันนะ”
-----------------------------------------

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
   วรุตพยายามอย่างที่สุดที่จะไม่กระแทกประตูห้องน้ำให้ปิดดังปัง แต่สุดท้ายก็รู้สึกว่าตัวเองปิดแรงเกินไปดูดี ความรู้สึกที่พลุ่งพล่านขึ้นมา เกือบทำให้เขาควบคุมตัวเองไม่อยู่ จึงต้องรีบหลบออกมา ขืนให้นั่งอยู่ต่อไป ก็ไม่รู้ว่าแสดงอาการอะไรออกไปบ้าง
   เด็กหนุ่มถอดกางเกงออก ปล่อยให้เจ้าหนูที่ตื่นตัวเกือบจะเต็มที่ออกมาเป็นอิสระ  เขานั่งลงตรงขอบอ่าง หันหน้าเข้าไปด้านใน หยิบผ้าเช็ดตัวที่เพิ่งได้ขึ้นมาใกล้จมูก กลิ่นครีมอาบน้ำอ่อนๆ ชอนไชเข้าไปในจมูก แม้จะรู้ว่ามันไม่ดีเลยที่คิดเรื่องแบบนี้กับคนคนนั้น แต่เขาไม่สามารถอดกลั้นไว้ได้อีกแล้วจริงๆ
   เขาจำต้องระบายมันออกด้วยตัวเอง ก่อนที่จะต้องใช้คนอื่นในการระบาย
--------------------------------------
   รัสเลอร์มองดูต้นขาขาวๆ ของฟ่งที่กำลังยืนชงข้าวโอ๊ตอยู่ เขายอมรับว่าแวบแรกที่เห็นร่างกายของฟ่ง หัวใจเขาแทบจะหยุดเต้น เจ้าบ้ารูฟัสทำรอยเอาไว้มากมายขนาดนั้นเชียวรึนี่?  แถมฟ่งเองยังดูจะไม่รู้ตัวหรือว่าลืมไปแล้วว่ามีรอยพวกนั้นอยู่  เดินออกมาทั้งแบบนั้น ไม่รู้เลยหรือไงว่าคนที่ดูอยู่จะมีอารมณ์แบบไหน 
   รัสเลอร์แทบอยากจะวิ่งเข้าไปกอดฟ่งเอาไว้ จัดการทำรอยเพิ่มเสียไปเสียเลย แต่จนใจที่ว่าเขายังสติดีพอที่จะรู้ว่าขืนทำลงไปจริง ไม่ถูกฟ่งซ้อมตาย ก็คงถูกรูฟัสฆ่าตายแน่ๆ ดังนั้นเขาจึงจำต้องเก็บข่มอาการอยากเอาไว้ แล้วหันไปมองอย่างอื่นแทน
   ดังนั้นเขาจึงหันไปมองเจ้าเด็กกวนประสาทนั้นโดยไม่ได้ตั้งใจ แล้วก็แทบจะร้องออกมา เพราะเห็นว่า เจ้าเด็กนั่นกำลังมองฟ่งด้วยสายตาแบบเดียวกับเขา
   จ้องเอาๆ ขนาดนั้นจะบอกว่าคิดเรื่องอื่นไปไม่ได้หรอก
   รัสเลอร์แน่ใจว่าตอนแรกที่วรุตพูดเรื่องฟ่งอาบน้ำยังไม่มีสายตาแบบนี้แสดงออกมา นี่หมายความว่าพอเจ้าหมอนี่เห็นฟ่งแก้ผ้าแล้วเลยพลอยมีอารมณ์เกิดขึ้นตามด้วยงั้นหรือนี่
   เขานึกและหันไปมองฟ่งอีกครั้งอย่างเป็นห่วง ท่าทางผู้ชายคนนี้จะเป็นพวกมีแรงดึงดูดเพศเดียวกันสูงโดยที่เจ้าตัวไม่รู้สึกตัวเลยก็เป็นได้
   แบบนี้คงยิ่งต้องระวังให้หนักๆ
   รัสเลอร์พยายามไม่คิดต่อว่าวรุตเอ่ยปากขอผ้าเช็ดตัวฟ่งแล้ว หายเงียบเข้าไปทำอะไรในห้องน้ำ แต่ก็อดนึกอิจฉาไม่ได้ บางทีเขาน่าจะลองใช้ฟ่งเป็นเป้าดูบ้าง อาจจะให้ความรู้สึกดีกว่าหนังโป๊แบบเดิมๆ ก็ได้นะ
   หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มเบนสายตามองต่ำลงไปยังต้นขาขาวๆ ของคนที่ยืนชงข้าวโอ๊ตอยู่ ให้ตายสิ ทำไมฟ่งถึงต้องตกอยู่ในเงื้อมมือของเจ้ารูฟัสด้วยนะ ลำพังถ้าไม่มีรูฟัสมาเป็นก้างล่ะก็ เขาคงจะสามารถจีบฟ่งได้ในสักวันหนึ่งนั่นแหละ อัฉริยะขนาดนี้เสียอย่าง
   รัสเลอร์ถอนหายใจออกมา เขาทำได้ทุกอย่างก็จริง แต่คงเปลี่ยนสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วไม่ได้หรอก แถมตอนนี้ท่าทางจะมีคนเห็นความน่ารักของฟ่งเพิ่มเป็นคู่แข่งมาอีกคนเสียแล้ว   
-------------------------------------------------
   ฟ่งหยิบช้อนขึ้นมาคนข้าวโอ๊ตที่อยู่ในแก้ว พลางนึกถึงเรื่องของรูฟัส จะว่าไปแล้วเขาไม่รู้เลยว่าปกติแล้วรูฟัสมีกิจวัตรประจำวันบ้าง ทุกทีเวลาตื่นขึ้นมา หนุ่มตาสองสีคนนั้นก็จะอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยรออยู่แล้ว บางครั้งก็เตรียมอาหารเอาไว้ให้ด้วย และเขาเองก็ไม่ค่อยจะได้สนใจกับกิจวัตรของผู้ชายคนนั้นเท่าไหร่นัก เพราะมีเรื่องให้ต้องกังวลใจหลายเรื่อง
แต่วันนี้พอเห็นว่าราฟาแอลมาชวนรูฟัสไปฟิตเนส ทำให้ฟ่งนึกขึ้นได้ว่าผู้ชายคนนี้ต้องออกกำลังกายเป็นประจำแน่ๆ ไม่งั้นคงไม่สามารถรักษารูปร่างให้ดีแบบนั้นได้หรอก แถมยังแรงดีอีกด้วย ท่าทางวันหลังเขาคงต้องตามไปบ้าง จะได้ออกกำลังกายเอาเหงื่อออก เผื่อจะหายจากโรคขี้เกียจขี้เกียจ  แต่คราวนี้ราฟาแอลคงจะมีธุระส่วนตัวอยากคุยกับรูฟัสสองคน เพราะงั้นเรื่องตามไปออกกำลังกาย เขาจะเก็บไว้คุยกับรูฟัสหลังจากเสร็จงานนี้ก็แล้วกัน ได้รูฟัสมาเป็นเทรนเนอร์ส่วนตัวคงสะดวกดีพิลึก
ฟ่งหมุนตัวกลับมาพร้อมกับแก้วข้าวโอ๊ตในมือ และต้องผงะ เมื่อพบว่ารัสเลอร์มายืนอยู่ด้านหลัง จนหน้าแทบจะทนกัน
   “มะ..มีอะไรเหรอ?!” หนุ่มสวมแว่นพูดด้วยน้ำเสียงตกใจนิดๆ เขาไม่ชอบเลยเวลาเจอใครที่ไม่ค่อยคุ้นมายืนใกล้ๆ แบบนี้
   “ผม....เอ่อ” รัสเลอร์มีทีท่าอ้ำๆ อึ้งๆ ความจริงตอนแรกเขาอยากจะเตือนฟ่งเรื่องวรุต แต่คิดอีกทีนอกจากฟ่งอาจจะไม่เชื่อแล้วอาจจะหาว่าเขาบ้ากามที่แอบดูตอนแก้ผ้าด้วยก็ได้ จนใจที่นึกรูปการนี้ออกมาได้ตอนที่เดินเข้ามาแล้วนี่สิ
   ฟ่งเงยหน้าขึ้นมองรัสเลอร์อย่างไม่ค่อยไว้ใจนัก รัสเลอร์กลืนน้ำลายเฮือก นัยน์ตาสีน้ำตาลที่มองมาช่างเหมือนกระรอกป่าตัวเล็กๆ เสียนี่กระไร น่ารักน่ากอด แต่ถ้าทำให้ตกใจนิดเดียวก็คงจะวิ่งหนีไปเลย ไม่ก็หันกลับมากัด
รัสเลอร์มองดูริมฝีปากสีชมพูนั้นแล้วคิดว่าถ้าเขายอมแลกความเจ็บปวดจากกำปั้นของฟ่งเพื่อลิ้มรสริมฝีปากนี้อีกรอบมันจะคุ้มกันไหม
   “ถ้าคุณคิดจะทำอะไรบ้าๆ อีกผมจะเอาข้าวโอ๊ตราดคุณแน่” ฟ่งส่งเสียงขู่เมื่อรัสเลอร์มีทีท่าว่าจะก้มหน้าเข้ามาใกล้เขามากว่าระยะที่คนปกติธรรมดาพูดกัน คนถูกขู่มองดูแก้วข้าวโอ๊ตที่มีควันลอยกรุ่นในมือของอีกฝ่าย แล้วยิ้มแห้งๆ จากนั้นก็ถอยออกไป พร้อมกันยกมือขึ้นทั้งสองข้างอย่างยินยอมรับสภาพแต่โดยดี
   “ผมไม่อยากกินข้าวโอ๊ตบนเสื้อตัวเอง ขอกินข้าวโอ๊ตจากแก้วก็แล้วกันนะครับ”
----------------------------------
   ความจริงมันค่อนข้างจะสายมากแล้ว เมื่อเทียบกับเวลาปกติที่ราฟาแอลและรูฟัสตื่นขึ้นมาเพื่อออกกำลังกาย สองหนุ่มเดินผ่านนาฬิกาในสโมสรฟิตเนสซึ่งอยู่ถัดลงมาอีกสี่ชั้น มันบอกเวลาแปดโมงกว่าๆ
   ถึงอย่างนั้น พอเดินเข้าไปในยิม ก็ยังเห็นว่าสมาชิกอื่น มาใช้บริการเครื่องออกกำลังกายอยู่ก่อนแล้ว การปรากฏตัวของหนุ่มต่างชาติรูปร่างดีหน้าตาชวนมองสองคน จึงตกเป็นเป้าสายตาไปโดยปริยาย รูฟัสนึกโชคดีที่เขาใส่คอนแทคเลนลงมา เขาสวมกางเกงวอร์มสีดำแถบขาว และเสื้อยืดสีขาวมีลายสกรีนสีดำ
   ราฟาแอลเดินตรงไปยังลู่วิ่งอัตโนมัติที่ยังว่างอยู่ รูฟัสจึงเดินขึ้นไปบนลู่วิ่งที่อยู่ติดกันบ้าง แล้วทั้งสองคนก็เริ่มออกวิ่ง
   “คิดถึงคลาวเดียชะมัดเลย” ราฟาแอลบ่นเป็นภาษาฮังกาเรียน หลังจากออกวิ่งไปได้พักหนึ่ง รูฟัสหัวเราะออกจมูก
   “คุณเพิ่งมาถึงวันเดียวเองนะ ผมคิดว่าคุณจะบ่นคิดถึงสาวอื่นซะอีก”
   ราฟาแอลส่งเสียงขึ้นจมูก “บ้านสาวคนอื่นไม่มีห้องฟิตเนสเยี่ยมๆ แบบที่บ้านคลาวเดียหรอก แถมคลาวเดียก็ทำอาหารได้อร่อยที่สุด”
   รูฟัสหัวเราะออกมาอีก และพยักหน้ายอมรับคำพูดของราฟาแอล
   ห้องใต้ดินที่บ้านของคลาวเดียนั้น นอกจากจะมีห้องซ้อมยิงปืนแล้ว ยังมีห้องฟิตเนสเล็กๆ อยู่ด้วย ทั้งหมดทั้งมวลก็เป็นราฟาแอลให้สร้างเอาไว้ทั้งนั้นแหละ ดังนั้น ถ้าไม่ออกไปวิ่งด้านนอก ปกติพวกเขาก็จะไปออกกำลังกายกันที่นั่นแหละ 
   ทั้งสองเร่งความเร็วขึ้น เสียงรองเท้าผ้าใบกระทบสายพานยางดังเป็นจังหวะต่อเนื่อง
   “ฉันมีเรื่องสำคัญที่จะต้องคุยกับนาย” ราฟาแอลพูดต่อ รูฟัสพยักหน้า ขณะที่โปรแกรมที่ตั้งไว้เร่งความเร็วสายพานขึ้นอีก
   “เรื่องของฟ่งใช่ไหมล่ะ?” หนุ่มตาสองสีพูดต่ออย่างรู้ทัน ราฟาแอลพยักหน้าบ้าง
 ทั้งๆ ที่วิ่งด้วยความเร็วมาเป็นเวลาสิบกว่านาทีแล้ว ทั้งคู่ยังไม่มีอาการหอบหายใจจนพูดติดขัดเลย
“เมื่อวานฉันคุยกับคุณเมี่ยงเรื่องนี้มา” ชายหนุ่มพูดเสียงค่อยลง ถึงภาษาฮังการเรียนจะไม่ค่อยเป็นที่แพร่หลาย แต่กันไว้ดีกว่า เพราะไม่รู้ว่าใครที่อยู่ในห้องนี้จะฟังออกบ้าง
รูฟัสเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ เพราะไม่คิดว่าราฟาแอลจะพูดเรื่องฟ่งกับเมี่ยงด้วย แต่คิดอีกที หมอนี่คงต้องพูดนั่นแหละ เพราะรู้อยู่เต็มอกอยู่แล้วว่าฟ่งสำคัญสำหรับเขา ถ้าดูแลฟ่งไม่ดี เขาก็ไม่มีกะใจจะทำงานเหมือนกัน
“หล่อนว่าไง? คุณคุยพร้อมเรื่องของเด็กที่ชื่อวรุตด้วยใช่ไหม?” รูฟัสถามทั้งๆ ที่พอจะเดาคำตอบได้อยู่แล้ว ราฟาแอลเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะพูดตอบ
“อืม.... เธอบอกว่าฝากได้คนใดคนหนึ่ง เพราะถ้าต้องแยกกำลังกันไปจับตาดูสองทางจะยิ่งลำบาก”
“อ้อ” รูฟัสลากเสียงยาวเท่าที่ลมหายใจจะอำนวยให้ทำ จากนั้นทั้งคู่เร่งความเร็วขึ้นอีก  จนดูเหมือนว่าจดจ่ออยู่กับการวิ่งจนลืมเรื่องที่คุยกันเมื่อครู่ไปแล้ว
หลังจากสามสิบนาทีผ่านไป  ราฟาแอลและรูฟัสก็ย้ายจากลู่วิ่งอัตโนมัติมาที่เครื่องยกน้ำหนัก หนุ่มตาสองสีไขเลื่อนกระดาษซิตอัพขึ้นจนอยู่ในระดับสูงสุด ขณะที่เพื่อนของเขาสอดเหล็กคั่นน้ำหนักไปที่สี่สิบห้ากิโล และดึงคานเหล็กที่คล้องมันลงมาเป็นจังหวะ
ยังคงไม่มีบทสนทนาใดๆ เพิ่มเติม นอกจากเสียงแผ่นกระทบกันและเสียงลั่นของเหล็กที่ฐานของกระดานซิตอัพ  ใครที่เล่นเฟิตเนสอยู่อาจจะเข้าใจว่าสองคนนี้เป็นนายแบบหรือนักกีฬาอะไรสักอย่าง แต่อย่างแรกดูจะเข้าท่ามากกว่า
ราฟาแอลเลื่อนไปยกในส่วนบัตเตอร์ฟลายเวท ขณะที่รูฟัสกระโดดขึ้นไปที่บาร์ยกตัวและเริ่มดันตัวยกขาขนานกับพื้นโลก  การออกกำลังกายยังกินเวลาต่อไปอีกจนครบหนึ่งชั่วโมง ทั้งคู่จึงเดินออกมาด้านนอกเพื่อซื้อน้ำ แล้วจึงเดินกลับออกไปในส่วนที่เป็นสระว่ายน้ำ ซึ่งสร้างอยู่กลางแจ้ง
สายลมยามเช้าพัดโกรกเข้ามาค่อนข้างจะแรง อาจจะเพราะว่าตั้งอยู่ในที่สูงก็ได้ ลมเลยแรงกว่าบนพื้นราบ
ราฟาแอลทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้นอนพลาสติกที่มีร่มวางอยู่ข้างๆ โดยมีรูฟัสนั่งลงตรงเก้าอี้ตัวถัดออกไป ทั้งสองคนยกขวดน้ำขึ้นมาบีบเพื่อเช็ครอยรั่วด้วยความเคยชิน และเปิดออกดื่ม หลังจากดื่มน้ำจนพร่องไปเกือบขวด รูฟัสก็ถอนหายใจยาวออกมา ราฟาแอลเบือนหน้าจากสระว่ายน้ำมามองทันที
“นายใช้เวลาคิดมากกว่าที่ฉันประเมินเอาไว้นะเนี่ย” หนุ่มผมสีบลอนด์ว่า ผู้ถูกเอ่ยถึงระบายลมหายใจออกมาอีกรอบ
“มันพูดลำบากนะ” รูฟัสเริ่มพูดออกมา และหยุดไปพักหนึ่ง  ราฟาแอลนิ่งฟังอย่างอดทน
“ผมขอบคุณจริงๆ ที่คุณนึกถึงฟ่งด้วย” รูฟัสเอ่ยประโยคต่อ มันอาจจะยังไม่เข้าประเด็นเท่าไหร่นัก แต่อย่างไรเขาก็รู้สึกขอบคุณราฟาแอลในข้อนี้จากใจจริง เพราะโดยปกติ คู่หูของเขาไม่ใช่คนที่จะนึกทำอะไรเพื่อคนอื่นอย่างง่ายๆ เด็ดขาด โดยเฉพาะกับผู้ชายด้วยกัน ราฟาแอลเป็นคนไม่มีความเสมอภาคเรื่องเพศมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เจ้าหมอนี่มักจะทำตัวเหมือนตัวเองเป็นผู้ชายคนเดียวในโลกที่มีหน้าที่ต้องดูแลสาวสวยทุกคนก็ปาน
หนุ่มผมสีบลอนด์ มองหน้าเพื่อนร่วมงานที่ทำงานร่วมกันมานานเป็นสิบปีอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะถอนใจบ้าง
“เพราะฉันไม่มีตัวเลือกแล้วต่างหากล่ะ” ขาว่า รูฟัสหัวเราะขืนๆ
“’งั้นฝากเจ้าเด็กนั่นไว้กับคุณเมี่ยงแล้วกัน ส่วนฟ่ง เดี๋ยวผมลองหาทางจะจัดการเอง”
“จัดการเอง? นายจะจัดการยังไงน่ะ? ” ราฟาแอลถามและเลิกคิ้วสีบลอนด์ของเขาขึ้นอย่างสนใจ รูฟัสทำหน้าปั้นยาก
“ผมไม่ฆ่าเขาแล้วกันน่า บางทีอาจจะมีสักที่ที่พอจะซ่อนตัวเขาไว้ได้”
“ฉันอยากฟังที่ชัดกว่านี้ นายคงไม่ได้หมายถึงว่าจะพาเขาไปฝากไว้กับญาติของตัวเขาเองหรืออะไรทำนองนั้นหรอกนะ”
รูฟัสหลับตาลงอย่างอดทนอดกลั้น “ผมจะคิดว่าคุณพูดเล่นก็แล้วกัน เอาล่ะ.. ผมว่าน่าจะยังพอมีตัวเลือกอยู่” ชายหนุ่มกล่าวและทิ้งช่วงไปพักหนึ่ง อย่างคนที่กำลังใช้ความคิด
 “ผมอาจจะฝากเขาไว้กับตำรวจ”
“ตำรวจ?” ราฟาแอลถามเสียงห้วน รูฟัสพยักหน้า และพูดต่อ “ผมรู้ว่าคุณไม่ค่อยไว้ใจตำรวจ แต่ผมคิดว่านี่น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดแล้ว ตำรวจอาจจะกันตัวเขาเอาไว้ในฐานะพยานก็ได้ ที่สำคัญเรื่องนี้มี”เบื้องบน”เข้ามาเกี่ยวข้องโดยตรง พวกตำรวจที่นี่คงไม่กล้าทำอะไรตุกติกหรอก”
“..............” ราฟาแอลมองหน้าเพื่อนร่วมงาน ทั้งคู่เงียบกันไปอีกสักพัก ก่อนที่หนุ่มผมสีบลอนด์จะพูดออกมาอีก
“เออ.. ตามใจแกก็แล้วกัน แต่ไงๆ ฉันก็ไม่ไว้ใจตำรวจอยู่ดี”
รูฟัสยิ้มออกมา “ไม่ยักรู้ว่าคุณเป็นห่วงฟ่งขนาดนี้นะเนี่ย”
“ฉันกลัวความลับจะรั่วต่างหากล่ะ เจ้าเด็กนั่นรู้เรื่องฉันกับแกน้อยเสียที่ไหน แต่เอาเถอะ เสี่ยงก็เสี่ยง ไงๆ งานนี้ก็มีเบื้องบนค้ำคออยู่แล้ว ค้ำคอเราได้ ก็คงค้ำคอคนอื่นได้เหมือนกันนั่นแหละ”
คนฟังหัวเราะออกมา ก่อนจะเงียบไปอีกพัก จากนั้นราฟาแอลก็พูดขึ้นต่อ
“เอางี้ดีกว่า ฉันว่าเราสองคนไปคุยกับคุณเมี่ยงอีกรอบ บางทีหล่อนอาจจะมีคำแนะนำอะไรดีๆ เพิ่มขึ้นก็ได้ อย่างน้อยก็อาจจะมีคำแนะนำเกี่ยวกับตำรวจ”
รูฟัสมองหน้าเพื่อนร่วมงานอย่างอ่อนอกอ่อนใจ แต่ก็พยักหน้า “ได้ ผมจะไปกับคุณก็แล้วกัน”
หนุ่มผมบล็อนด์พยักหน้า ทั้งคู่นั่งตากลมกันอยู่อีกพัก ก่อนจะลุกเดินออกไปจากสระว่ายน้ำ
-----------------------------------------
   วรุตแทบจะเอาหัวโขกฝาห้อง ในตอนที่ราฟาแอลเปิดประตูเข้ามาบอกว่าให้โทรสั่งอาหารขึ้นมาทาน แทนที่จะยกขบวนกันลงไปด้านล่าง แถมเจ้าตัวยังบอกอีกว่าจะออกไปข้างนอกทั้งวัน พร้อมกับผู้ชายผมสีดำที่อยู่เฝ้าเขาเมื่อคืนด้วย
เด็กหนุ่มหวังอยากตัวเองให้ถูกขู่ฆ่าหรืออะไรซักอย่าง แทนที่จะต้องมานั่งจับเจ่าอยู่กับรัสเลอร์ซึ่งดูจะไร้พิษสงไปสนิทเมื่อเทียบกับสองคนที่เพิ่งออกไป และที่ทำให้เขาอึดอัดใจเป็นที่สุดคือเจ้าของห้องที่กำลังนั่งดูโทรทัศน์อย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวอยู่บนโซฟาข้างๆ เขานี่แหละ
   วรุตพยายามเพ่งวิเคราะห์รายการเกมโชว์ในโทรทัศน์อย่างเอาเป็นเอาตาย เพื่อให้สมองหยุดคิดฟุ้งซ่านในเรื่องบ้าๆ เสียบ้าง แต่ก็ต้องสติแตกกระเจิงเมื่อหันไปเห็นเรียวขาขาวๆ ยังคงอยู่ในระยะสายตา ทำไมฟ่งถึงใส่กางเกงขาสั้นด้วยนะ ถึงจะไม่แปลกอะไรก็เถอะ เพราะฟ่งไม่ได้เปิดแอร์ เปิดหน้าต่างกับพัดลมแบบนี้คงไม่มีใครบ้าใส่กางเกงขายาวนั่งเล่นอยู่ในห้องตัวเองอีก
คนที่มีปัญหาจริงๆ ดูท่าทางจะเป็นเขานี่แหละ
ตอนที่กลับไปกับรัสเลอร์เพื่อเอาเสื้อผ้าที่ห้องมาเปลี่ยน วรุตเกือบจะออกปากไปแล้วว่าขออยู่คนเดียวสักพัก แต่ทางนั้นคงจะไม่ยอมหรอก แล้วก็คงจะขัดกับความตั้งใจเดิมที่ทำให้เขามาอยู่ที่นี่ ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงต้องกลับมาห้องของฟ่งอีกครั้ง เผชิญหน้ากับเจ้าของห้องที่ถึงจะใส่เสื้อผ้าแล้ว แต่ก็ยังทำให้นึกถึงรอยจ้ำพวกนั้นได้อยู่ดี สุดท้ายวรุตเลยต้องพยายามหันมองอย่างอื่นแทน
   เพราะเรือนร่างเปลือยเปล่าแค่ครึ่งท่อนที่เต็มไปด้วยรอยจูบของคนที่นั่งอยู่บนโซฟานี่แหละที่ทำให้สติเขาแตกกระเจิง รอยจ้ำนั่นทำให้เขาหยุดจินตนาการของตัวเองไม่ได้ ไม่รู้ว่าตอนที่มันมันเกิดขึ้นฟ่งมีสีหน้ายังไงกันนะ และจะทำตัวร้อนแรงขนาดไหน คู่นอนถึงได้ประทับรอยรักเอาไว้มากขนาดนี้
   ยิ่งคิดยิ่งฟุ้งซ่าน ทั้งพอมานึกว่ามีทั้งหน้าทั้งหลังแล้ว วรุตก็แทบสติแตก สุดท้ายเขาเลยย้ายตัวเองมานั่งที่พื้นด้านล่าง จะได้ไม่ต้องเหลือบไปมองต้นคอกับขาขาวๆ ของฟ่งอีก แต่ตาของเขาคงมีเวรมีกรรม นั่งไปได้สักพัก เขาก็หันไปเห็นขาอ่อนของฟ่งอีก เพราะเจ้าตัวนั่งชันเข่าเอาคางเกยอยู่นี่แหละ เขาถึงได้เห็นว่า ตรงขาอ่อนด้านหลังก็มีรอยอยู่เต็มไปหมดเหมือนกัน วรุตร่ำๆ อยากจะจับฟ่งแก้ผ้า อยากจะดูให้หมดทั้งตัวจริงๆ ว่าผู้ชายคนนี้มีรอยมากมายขนาดไหน
   เขาอดคิดไม่ได้ว่า ยามที่ฟ่งเปลือยกาย นอนบิดไปมาอยู่บนเตียงด้วยอารมณ์วาบหวามจะเซ็กซี่ขนาดไหน
   เรียวขาและท่อนแขนบอบบางนั้นจะสั่นสะท้านขนาดไหนในตอนที่ถูกลูบไล้และสอดใส่เข้าไป
   ริมฝีปากสีชมพูที่ดูบูดบึ้งนั้น เมื่อถูกเล้าโลมจนได้ที่แล้วจะอิ่มเอิบขนาดไหนนะ
   ดวงตาสีน้ำตาลที่จ้องมองอย่างเอียงอายคงจะน่ารักจนอดใจไว้ไม่อยู่
   ถ้าหากว่าถูกจ้องมองด้วยสายตาแบบนั้น มันคงวาบหวามเสียจนไม่อาจจะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ล่ะมั้ง ถ้าได้ทำอะไรกัน....
   ให้ตายสิ นี่เขากำลังคิดบ้าอะไรอยู่เนี่ย!!
   เด็กหนุ่มยกมือขึ้นเคาะกะโหลกตัวเองดับป้าบ รายการเกมโชว์ไม่มีผลอะไรกับจิตใจที่ฟุ้งซ่านของเขาเลย ไม่ว่าจะมองไปตรงไหน หัวสมองก็ยังจินตนาการถึงเรื่องบ้าๆ นั่นอยู่ดี  วรุตคิดว่าเขาต้องเผชิญหน้ากับความเป็นจริง ฟ่งคือฟ่ง ไมใช่อิทธิเดชสักหน่อย จึงเงยหน้าขึ้น และพบว่าฟ่งกำลังมองลงมาด้วยสายตาสงสัย
   “เป็นอะไร? ปวดหัวเหรอ” หนุ่มสวมแว่นถาม  เด็กหนุ่มนั่งนิ่งอึ้ง ไม่รู้ว่าควรจะพูดหรือแสดงปฏิกิริยาออกไปอย่างไรดี  ฟ่งมองหน้าเขาสักพัก แล้วลุกขึ้น
   “ผมมียาแก้ปวดอยู่ ถ้าปวดมากผมว่ากินยาแล้วนอนดีกว่านะ” ผู้เป็นเจ้าของห้องกล่าว ก่อนจะเดินไปเปิดตู้เย็นและหยิบยาแก้ปวดออกมาหนึ่งแผงพร้อมกับขวดน้ำ เทน้ำลงในแก้วและยื่นให้วรุต เด็กหนุ่มรับยาและแก้วน้ำมา สักพักหนึ่งจึงสั่นศีรษะ
   “ผมไม่ได้ปวดหัว” เขาว่า แต่ก็แกะยาออกมา
   “ไม่ได้ปวดก็ไม่ต้องกินสิ” ฟ่งว่า และมองวรุตอย่างไม่แน่ใจว่าเด็กคนนี้ปวดหัวจนเบลอหรืออะไรกันแน่ วรุตมองดูซองยาในมือที่มีรอยแกะไปแล้วเหมือนคนที่ไม่รู้ว่าจะแก้ปัญหายังไงต่อ
   “แต่ผมแกะไปแล้วก็ต้องกินนั่นแหละ” เขาพูด แล้วทำท่าจะกินยาลงไปจริงๆ ฟ่งเลยต้องฉวยทั้งยาทั้งแก้วน้ำกลับมา จนน้ำหกเลอะพื้นพรมไปหน่อยหนึ่ง
   “เดี๋ยวผมเช็ดให้นะ” วรุตโพล่งขึ้นและทำท่าจะลุกออกไป ฟ่งเลยดึงตัวเขาเอาไว้
   “ผมว่านายไปนอนพักดีกว่า บางทีนายอาจจะเครียดเกินไป น้ำหกแค่นี้เดี๋ยวก็แห้ง ไม่เป็นไรหรอก”
   วรุตหันหน้าไปมองฟ่ง เขามองเห็นริมฝีปากตกๆ ที่พยายามจะกระตุกขึ้นมาเพื่อยิ้มปลอบใจเขา แล้วก็รู้สึกให้หัวใจเต้นแรงอีกครั้ง
   สงสัยเขาจะเก็บกดจากอิทธิเดชมานานเกินไปแน่ๆ พอเจอแบบนี้แล้วก็เลย......
--------------------------------------------
   รัสเลอร์มองตาค้าง เขาอยากจะอ้าปากบอกให้ฟ่งถอยออกมา เพราะเห็นว่าวรุตกำลังมองฟ่งด้วยสายตาแสดงความหื่นกระหายอย่างที่เขาเคยมองเป๊ะ ไม่ใช่ว่าไม่อยากให้วรุตถูกฟ่งต่อย แต่เขาไม่อยากให้ฟ่งถูกจูบหรือทำอะไรโดยผู้ชายคนอื่นต่างหาก แต่ดูว่าจะคิดช้าไปสักหน่อย
   วรุตดึงไหล่ฟ่งเข้ามา มองเห็นดวงตาสีน้ำตาลที่มองมาอย่างตกใจแล้วยิ่งทำให้รู้สึกว้าวุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก เขาไม่สมควรจะทำเรื่องแบบนี้ ทั้งกับคนคนนี้ และยังอยู่ต่อหน้าคนอื่น
   เขา...
   “ไม่ได้!!” วรุตโพล่งออกมา ก่อนจะลุกพรวดพราดขึ้น และวิ่งออกไปจากห้องโดยที่ไม่มีใครทันตั้งตัว กว่ารัสเลอร์กับฟ่งจะได้สติ ทันรับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ก็ได้ยินเสียงปิดประตูดังปังแล้ว
------------------------------------
   วรุตอยู่ในลิฟท์ เขายกฝ่ามือขึ้นลูบหน้า และนึกด่าตัวเองที่เกือบจะทำอะไรบ้าๆ ลงไปกับคนที่ตั้งใจว่าจะปกป้องเสียแล้ว เด็กหนุ่มแน่ใจว่าหากอยู่ใกล้ๆ ฟ่งต่อไปอีก เขาคงต้องทำอะไรไม่ดีลงไปสักอย่างแน่ๆ
ดังนั้นทางที่ดีที่สุดคือเขาต้องรีบออกมาให้พ้นจากคนคนนั้น ถ้าไม่ได้เห็น ไม่ได้พูดคุยด้วย ได้ออกไปมองอะไรอย่างอื่นสักพัก อารมณ์ที่พลุ่งพล่านของเขาน่าจะพอสงบลงได้ ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงวิ่งเตลิดออกมา
พอได้อยู่ในลิฟต์คนเดียว สมองก็ดูจะสงบลงได้สักหน่อย ออกไปเดินเล่นสักพัก ก็คงหายเองนั่นแหละ
-------------------------------------
   ฟ่งกับรัสเลอร์มองหน้ากันขณะยืนอยู่หน้าลิฟท์ ฟ่งเอื้อมมือไปกดลิฟท์อีกตัวหนึ่ง ทั้งคู่มองดูตัวเลขด้านบนของลิฟท์อย่างใจจดใจจ่อ
   ถ้าวรุตหนีไปได้ล่ะก็จบกันแน่ๆ
   โดยส่วนตัวฟ่งไม่เชื่อว่าวรุตตั้งใจจะหนี แต่โดยรูปการที่วิ่งออกไปแบบไม่บอกไม่กล่าวแบบนั้น ก็คงนึกเป็นอย่างอื่นไม่ได้
   รัสเลอร์คิดว่าตัวเองรู้ว่าการที่วรุตวิ่งออกไปเพราะเหตุผลใดกันแน่ แต่ถ้าจะปล่อยให้เด็กคนนั้นออกไปเดินเพ่นพ่านด้านล่างคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ ถ้ารู้ถึงหูของราฟาแอลเขาคงถูกฆ่าจริงๆ
   กว่าลิฟท์จะมาถึง ในความรู้สึกของทั้งคู่ก็เหมือนกับว่ารอมายาวนานชั่วชีวิต พอลิฟต์เปิดออก ทั้งฟ่งและรัสเลอร์ก็พุ่งเข้าไปในลิฟท์ และกดปุ่มตัวGทันที
   ประตูลิฟท์ค่อยๆ ปิดลงช้าๆ
-----------------------------------------------
   ประตูลิฟท์ค่อยๆ เปิดออก
   วรุตเก้าเท้าออกมาจากลิฟท์ แสงสว่างของดวงอาทิตย์ที่ส่องเข้ามาตรงประตูกระจกขนาดใหญ่ทำให้ตาของเขาพร่าไปเล็กน้อย เด็กหนุ่มเดินออกมาจากลิฟต์ ตรงไปยังล็อบบี เพื่อที่จะนั่งพักสงบจิตสงบใจชั่วคราว
   ขณะที่กำลังมองตรงไปยังโซฟาที่ล็อบบี เสียงทักที่ดังขึ้นก็ทำให้เขาตัวแข็งทื่อ
-----------------------------------------------
   ฟ่งและรัสเลอร์แทบจะพุ่งตัวออกมาจากลิฟท์ตอนที่มันเปิดออก หนุ่มสวมแว่นรู้สึกดีใจที่เห็นว่าวรุตยังคงยืนอยู่แถวๆ ทางเดินหน้าลิฟต์ เขาจึงเดินเข้าไปทัก แต่แล้วก็ต้องยืนตัวแข็งทื่อไปอีกคน
------------------------------------------------
   รัสเลอร์เดินตามฟ่งออกไป และก็ต้องนึกแปลกใจ ที่เห็นทั้งคู่ยืนนิ่ง  พอมองออกไปในทิศทางเดียวกับที่ทั้งสองคนมองแล้ว เขาก็พอจะเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น
---------------------------------------------
**ท้ายตอนนิดหนึ่งค่ะ... เรื่องนี้กลายเป็นรายการตลกร้ายไปแล้วสินะคะ (ฮ่าๆ เขียนไปฉันชักจะรู้สึกว่าเรื่องนี้ตลกเข้าไปทุกทีแล้วล่ะค่ะXD)

ขอบคุณที่ติดตามอ่านกันนะคะ

ออฟไลน์ takara

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +379/-13
สงสัยเจอ อิทธิเดชแน่

ออฟไลน์ TanyaPuech

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4341
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +531/-23

ออฟไลน์ iforgive

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-80
เวรกรรม  กรรมเวร  รูฟัสรู้เข้าต้องโกรธจนหน้าเขียวแน่

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog

บทที่49 Fallen rose.

   อิทธิเดชออกจากที่พักตั้งแต่ช่วงเช้า เขารู้ว่าถ้าวรุตพักอยู่ที่นั่นจริงคงยังจะไม่น่าออกไปไหนในช่วงเวลานี้
ชายหนุ่มขับรถเข้ามาจอดข้างทางเข้าคอนโด ซึ่งเป็นที่จอดรถชั่วคราวสำหรับผู้มาติดต่อ  เขายกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู มันบอกเวลาสิบโมงเศษๆ หนุ่มหน้าสวยเดินไปที่เคาน์เตอร์ และสอบถามพนักงานต้อนรับสาวที่นั่งอยู่ถึงชายหนุ่มที่มีชื่อวรุต วินทร์วีรยะ
พนักงานต้อนรับปฏิเสธว่าไม่มีคนชื่อนี้พักอยู่ อิทธิเดชพยักหน้ายอมรับ และคิดว่าถ้าวรุตคิดจะบิดบังเรื่องนี้ ก็คงจะไม่ใช้ชื่อจริงในการเข้าพักหรอก เขาจึงอธิบายรูปร่างหน้าตาของเด็กคนนั้นให้ฟัง เจ้าหล่อนฟังแล้วก็สั่นศีรษะอีกครั้ง
   อิทธิเดชยืนรีรออยู่พักหนึ่ง ถูกปฏิเสธขนาดนี้ วรุตอาจจะอยู่ที่นี่ หรือไม่อยู่ก็ได้ ครั้นจะไปตามหารถก็ป่วยการ เพราะทวีศักดิ์ยึดรถคืนไปแล้ว วรุตคงจะนั่งแท็กซี่
   อิทธิเดชรู้สึกว่าตัวเองตกที่นั่งลำบากขึ้นมาจริงๆ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับวรุตล่ะก็ คงไม่พ้นเขาที่ต้องรับผิดชอบไปเต็มๆ บ้าเอ๊ย ทำไมเจ้าเด็กร้ายกาจนั่นถึงได้มาแสดงพฤติกรรมแบบนี้เอาเวลานี้ด้วยนะ ก่อนหน้านี้เขาไล่เท่าไหร่ก็ไม่ยอมไป คราวนี้กลับหายหน้าไปเสียเฉยๆ
   หนุ่มหน้าสวยถึงกับรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอย่างที่ไม่ค่อยจะรู้สึกบ่อยนัก เขาเดินไปที่ล็อบบี เพื่อใช้เวลาอยู่กับตัวเองสักพัก ก่อนจะตัดสินใจว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป
   ขณะที่กำลังประเมินว่าวรุตจะไปไหนได้อีก หูของเขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่ดูจะคุ้นเคยเสียเหลือเกิน ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา ถึงเขาจะเกลียดชังวรุตขนาดไหน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า เขาเคยชินกับเด็กคนนั้นไปเสียแล้ว แม้กระทั่งเสียงฝีเท้า
   “วรุต!?” อิทธิเดชโพล่งชื่อนั้นออกมา บอกไม่ถูกว่ารู้สึกดีใจหรืออะไรกันแน่ ก่อนจะผุดลุกขึ้น และก้าวเท้าปราดๆ เข้าไปหาเด็กหนุ่มรูปร่างคุ้นตาที่ยืนอยู่ตรงทางเดินใกล้ๆ ล็อบบี ดูเหมือนวรุตจะมีสีหน้าตกใจอยู่ไม่น้อยที่ได้พบเขาที่นี่
   อิทธิเดชคิดว่า คราวนี้แหละ ปัญหาของเขาจะได้จบลงเสียที แต่ยังไม่ทันที่จะเดินไปถึงตัวของวรุต ใครอีกคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นมา
   อิทธิเดชชะงักตัวทันที ถึงจะเคยเห็นเพียงครั้งสองครั้ง แต่เขาจำผู้ชายคนนี้ได้ ผู้ชายสวมแว่นที่อาละวาดจนทวีศักดิ์ต้องลงมาเจรจาเอง
   อภิวัฒน์!?
   ผู้ชายที่สมควรจะต้องถูกลบชื่อทิ้งออกไปจากสาระบบเมื่อหลายอาทิตย์ที่ผ่านมาแล้ว ผู้ชายที่หายตัวไปอย่างลึบลับ ผู้ชายที่ทำให้เขาถูกลดตำแหน่ง ผู้ชายที่สมควรตายคนนี้ ทำไมถึงยังมาอยู่ที่นี่ได้?
   ดูเหมือนว่าทางนั้นก็คงจะจำเขาได้เช่นกัน พอเห็นแล้วก็ยืนอึ้งเป็นรูปปั้นไปอีกคน อิทธิเดชมองหน้าวรุต และฟ่งสลับกันไปมา หัวสมองของเขาทำงานอย่างหนัก เหมือนจะเห็นสองคนนี่วิ่งตามกันมา วรุตรู้จักผู้ชายคนนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ หรือว่าออกมาตามหาผู้ชายคนนี้จริงๆ งั้น... เพื่ออะไรกันล่ะ?
   เขานึกหาเหตุผลในช่วงเวลาสั้นๆ  ไม่ออก เพื่อตามหาผู้ชายคนหนึ่งถึงกับต้องย้ายที่อยู่ หลบหน้าหลบตา แถมยังเป็นคนที่พ่อของเขาอยากกำจัด วรุตคิดอะไรอยู่กันแน่!?
   “กลับกันเถอะ” อิทธิเดชพูดออกไป พยายามจะทำน้ำเสียงให้ละมุนละม่อมมากที่สุด ถึงเขาจะสงสัยหลายๆ อย่าง แต่เรื่องสำคัญตอนนี้คือพาวรุตกลับไปกับเขาให้ได้ก่อน หลังจากนั้นค่อยถามทีหลังก็ยังไม่สาย
   วรุตยืนตัวแข็งทื่อ รู้สึกถึงเม็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นมาตามใบหน้า ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าอิทธิเดชจะมาตามหาเขา ไม่สิ เขานี่แหละที่พลาด ทำอะไรไม่ยั้งคิดจนเกิดเรื่องเข้าจนได้ การที่อิทธิเดชมาตามหาเขาคงไม่ผิดปกตินักหรอก เพราะยังไงคนคนนี้ก็มุ่งมั่นจะทำตามคำสั่งเพื่อเอาใจพ่อของเขาจนสุดความสามารถอยู่แล้ว
   ในที่สุด วรุตก็สั่นศีรษะ พร้อมกับแค่นยิ้มออกมา
   “ไม่นึกว่าคุณจะคิดถึงผมจนต้องตะเกียกตะกายออกมาหาขนาดนี้เลยนะเนี่ย ติดใจลีลาผมมากหรือไง?”
   อิทธิเดชถลึงตามองเด็กหนุ่มตรงหน้า พยายามใช้น้ำอดน้ำทนมากที่สุด เขาเกลียดจริงๆ เวลาที่ถูกทักทายด้วยคำหยาบโลนแบบนี้ และวรุตก็มักจะทำกับเขาแบบนี้เป็นประจำ หนุ่มหน้าสวยข่มจิตข่มใจพูดตอบออกไป
   “กลับกันเถอะ ทุกคนเป็นห่วงอยู่นะ” เขาพูด และเดินเข้าไปหา แต่กลับถูกวรุตหัวเราะใส่
   “คนอื่น? อืม ไม่ต้องเอาคนอื่นมาอ้างหรอก ผมรู้ว่าด้านหลังคุณขาดผมไม่ได้อีกแล้ว แต่เสียใจด้วยนะ ผมคงยังกลับไปสนองความต้องการของคุณไม่ได้”
   “วรุต!” อิทธิเดชกระชากเสียง ไม่อยากเชื่อเลยว่าตัวเองต้องมาทนฟังคำพูดหยาบคายพวกนี่อีก วรุตยักไหล่อย่างไม่แยแส
   “ว่าไงล่ะ กลัวจะถูกพ่อผมดุเรื่องดูแลผมไม่ดีหรือไง คุณกลับไปก่อนเถอะ ผมบอกแล้วไง ไว้ผมอยากเมื่อไหร่ ผมจะกลับไปหาคุณเอง ตอนนี้ผมยังไม่อยากหรอก คุณก็อย่ามาบังคับฝืนใจผมเลยดีกว่า”
   อิทธิเดชกัดฟันกรอดๆ พยายามใช้ความอดทนอย่างที่สุดพูดออกไป “วรุต กลับไปกับฉันซะ แล้วฉันจะไม่บอกคนอื่นเรื่องที่เธอมาหาสถาปนิกที่ควรจะถูกเก็บไปได้ตั้งนานแล้ว”
   วรุตเบิ่งตากว้าง สันหลังสะท้านวาบ เขาหันหน้ากลับไปทันที และเห็นฟ่งยืนนิ่งอยู่ หนุ่มสวมหันมองเขาอึ้งๆ เช่นกัน
   แย่ล่ะสิ....
   ฟ่งคงวิ่งตามเขาลงมา วรุตสาปแช่งความไร้สติของตัวเอง แต่โวยวายอะไรไปตอนนี้คงไม่ได้อะไรขึ้นมา เขาควรต้องหันมาเผชิญหน้ากับปัญหาที่กำลังเกิดอยู่
   “ทำไม? คุณคิดจะให้พ่อยกพวกมาฆ่าเขาถึงที่นี่หรือไง บอกไว้ก่อนเลยนะว่าผมไม่กลับไปกับคุณหรอก อยากจะบอกก็บอกไปสิ แต่ให้คุณรู้ไว้ก่อนเลยนะว่าผมอยู่กับเขาตลอดเวลา ถ้าจะฆ่าเขาล่ะก็ พวกคุณคงต้องผ่านผมไปก่อน”
   อิทธิเดชเบิ่งตามองวรุตอย่างไม่อยากเชื่อ ทั้งคู่ยืนจ้องกันอยู่แบบนั้นพักใหญ่ แล้ววรุตก็พูดขึ้นมาอีก
   “อย่าพยายามเอาใจพ่อผมให้มากนักเลยน่า คุณก็รู้อยู่แก่ใจว่าเขาไม่สนใจคุณอีกแล้ว คุณจะเป็นจะตายยังไงเขาก็ไม่ห่วงคุณหรอก คุณมันก็แค่ของเล่นแบบใช้แล้วทิ้งแค่นั้นแหละ”
   !!!!!
   เสียงตบหน้าฉาดใหญ่ดังพอที่จะทำให้คนในล็อบบีได้ยินทั้งหมด โชคดีที่ตอนนี้ไม่มีคนอื่นเดินผ่านไปมา ไม่งั้นคงจะมีไทยมุงเพิ่มขึ้นมาอีกเป็นขโยง
อิทธิเดชหอบหายใจ เขาโกรธจนหน้าแดงก่ำ ชายหนุ่มรู้สึกเจ็บแปลไปทั่วปลายนิ้ว ที่เพิ่งสะบัดฟาดลงไปบนใบหน้าของคนที่เป็นลูกของผู้ชายที่เขาให้ความรักมากที่สุด
วรุตเบิ่งตาค้าง ยกมือขึ้นลูบใบหน้าอย่างไม่อยากเชื่อ ตั้งแต่เกิดมาเขาเพิ่งเคยถูกตบเป็นครั้งแรก ความเจ็บปวดเริ่มแล่นจากแก้มที่ถูกฝ่ามือ ลามไปเรื่อยๆ พร้อมกับรสฝาดเฝื่อนของเลือดที่ฟุ้งอยู่ในปาก เขาหันหน้ากลับมามองคนตรงหน้า พยายามจะสะกดอารมณ์ที่กำลังพลุ่งพล่านออกมาจนยากจะระงับ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังรู้สึกว่าตัวเองมีน้ำตาไหลออกมาอยู่ดี
   “วรุต..” อิทธิเดชพูดเสียงอ่อนลง เขาเพิ่งรู้สึกตัวว่าไม่ควรจะลงไม้ลงมือขนาดนี้ วรุตเป็นลูกของทวีศักดิ์ ด้วยฐานะแค่นี้เขาก็ไม่สมควรจะทำแล้ว แต่ทำพูดที่เด็กคนนั้นพูดออกมาทำให้เขาโกรธจนลืมตัวจริงๆ ทำไมถึงต้องตอกย้ำเขาเรื่องนั้น ทำไมถึงต้องทำร้ายจิตใจของเขาขนาดนี้ด้วย ทำไมถึงได้ย้ำเรื่องของเขากับทวีศักดิ์นัก
   เรื่องที่เขาปฏิเสธไม่อยากจะรับรู้ เด็กคนนี้ก็พยายามจะยัดเยียดให้เขารับรู้ไปเสียทุกครั้ง
   เขาเกินจะทนรับพฤติกรรมแบบนี้ได้จริงๆ

   วรุตแค่นยิ้ม เขามองผู้ชายหน้าสวยตรงหน้า ซึ่งดูจะมีท่าทีสำนึกผิดกับการกระทำของตัวเองเมื่อครู่ ก่อนจะแค่นหัวเราะตามมา
   ที่ผู้ชายคนนี้สำนึกผิดก็เพราะเขาเป็นลูกของคนที่ชื่อทวีศักดิ์ต่างหาก ถ้าจะมาทำท่าแบบนี้หลังจากตบเขาไปแล้วล่ะก็ ควรจะตบเขาให้ฟันร่วงเลยยังจะคุ้มค่ากว่า อย่างน้อยเขาจะได้เจ็บจนไม่มีเวลามาคิดอะไรที่น่าเจ็บใจแบบนี้
   “กลับไปซะ ถ้าคุณไม่อยากให้พ่อผมผิดหวังในตัวคุณไปมากกว่านี้ล่ะก็ ไสหัวกลับไป แล้วไม่ต้องมายุ่งกับเรื่องผมอีก แต่ถ้าคุณยังดื้อด้านมายุ่งกับผมหรือไปรายงานพ่อเรื่องที่ได้เจอผมที่นี่ล่ะก็... อย่าหาว่าผมไม่เตือนก็แล้วกัน ระหว่างลูกในไส้กับของข้างทางแบบคุณ คุณคงรู้นะว่าเขาจะเลือกใคร”
   อิทธิเดชขบฟันด้วยความอดกลั้น จนเห็นสันกรามนูนออกมา เขาโกรธจนตัวสั่น วรุตมองใบหน้าสะสวยนั้น อยู่พักหนึ่ง ก่อนจะหันไปหาฟ่ง
   “กลับกันเถอะ” เขาพูด และยกมือขึ้นโอบไหล่หนุ่มสวมแว่น ฟ่งขยับหนีทันที แต่ก่อนที่จะได้พูดอะไร เขาก็เพิ่งสังเกตเห็นว่า ดวงตาของวรุตมีหยาดน้ำตาคล่อเอ่อ
   “นาย....” ฟ่งพูดค้าง เพราะเห็นว่าวรุตหันมายิ้มให้เขา “กลับห้องกันเถอะ นะ..”
   
   อิทธิเดชยืนตัวแข็งทื่อ เขาเห็นวรุตโอบไหล่สถาปนิกคนนั้น กระซิบกระซาบอะไรกันเหมือนคนรัก ชายหนุ่มก้าวเท้าตามไปอย่างไม่รู้ตัว แล้วเอื้อมมือไปจับบ่ากว้างนั้นเอาไว้
   “วรุต?!”
   คนถูกเรียกเบือนหน้ากลับมาครึ่งหนึ่ง ก่อนจะยกมือขึ้นแกะมือของเขาออก “ไปซะ ผมไม่ต้องการคุณอีกแล้ว”
   พูดจนก็เดินกลับขึ้นลิฟต์ไป ทิ้งให้อิทธิเดชยืนนิ่งอยู่แบบนั้น
   ชายหนุ่มหน้าสวยกะพริบตาหวานเยิ้มของตนหลายต่อหลายครั้ง เขานึกอะไรไม่ออก กระทั่งไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่
   ไม่อยากเชื่อเลยว่าเขาจะได้เห็นน้ำตาบนใบหน้าของเด็กร้ายกาจคนนั้น
   น้ำตานั่น..............
--------------------------------
   ฟ่งต้องให้วรุตเกาะไหล่เอาไว้ตลอดช่วงเวลาที่อยู่ในลิฟต์ เด็กหนุ่มเม้มปากแน่น น้ำตาไหลทะลักออกมาจบอาบใบหน้า สะอื้นจนตัวโยนเหมือนเด็กๆ ฟ่งยื่นมือไปลูบหลังโดยไม่รู้ว่าจะพูดอะไรตอบดี
   เขาเพิ่งเคยได้ยินวรุตพูดอะไรหยาบคายขนาดนั้นออกมตอนที่ยืนคุยกับอิทธิเดชนี่แหละ ขนาดเขาเองที่เป็นคนนอกยังรู้สึกเลยว่ามันฟังดูหยาบคายสิ้นดี ไม่ควรจะเป็นคำพูดที่พูดกับคนที่รักด้วยซ้ำ แต่วรุตกลับพูดมันออกมาราวกับตั้งใจเสียดแทงจิตใจของอีกฝ่ายให้ได้เจ็บ ทั้งๆ ที่ตัวเองก็เจ็บไม่แพ้กัน ไม่อย่างนั้นคงไม่มายืนร้องไห้อยู่แบบนี้หรอก
   ฟ่งบอกไม่ถูกเลยว่าเขาควรจะสงสารเด็กคนนี้ดีหรือเปล่า
   
   วรุตทิ้งตัวลงบนโซฟาทันทีที่เดินเข้ามาในห้องเรียบร้อยแล้ว เขายกมือขึ้นปิดหน้า ก่อนจะสะอื้นออกมาอีก ขณะที่ฟ่งปิดประตูลง หนุ่มสวมแว่นหันมามองคนที่นอนร้องไห้อยู่ ก่อนจะเดินเลี่ยงไปอีกทาง
   ผู้ชายเวลาร้องไห้ คงไม่อยากให้ใครปลอบหรอก
-----------------------------------------------------
   วรุตรู้สึกเฝื่อนไปทั้งปาก รสชาติของเลือดและน้ำตาดูปะปนกันไปหมด ทำไมอิทธิเดชถึงไม่ตบเขาให้แรงกว่านี้ ตบให้เขารู้สึกเจ็บมากกว่าหัวใจที่กำลังปวดแปลบอยู่   
   หัวใจของเขาปวดแปลบจนแทบจะแตกออกมาเป็นเสี่ยงๆ เพราะผู้ชายคนนั้น
   วรุตรู้ว่าการที่อิทธิเดชออกตามหาเขา เพราะรับหน้าที่ดูแลเขามาแล้ว เพราะหน้าที่นี้เป็นหน้าที่ที่ผู้ชายซึ่งเจ้าตัวรักมากที่สุดมอบหมายให้มา ไม่ได้มาเพราะตัวเขาเลยสักนิด
   ในสายตาของผู้ชายคนนั้นแล้ว หากเขาไม่ใช่ลูกชาย ไม่ใช่คนที่มีสายเลือดร่วมกับผู้ชายที่ชื่อทวีศักดิ์ ก็คงไม่มีค่าอะไรพอจะให้นึกถึงด้วยซ้ำ คุณค่าของเขามีแค่นั้นเองในสายตาของอิทธิเดช
แต่ถึงจะรู้อยู่เต็มอกว่าคนคนนั้นมาเพราะเหตุผลอะไร ส่วนลึกในจิตใจของเขาก็ร่ำร้องออกมาอย่างดีใจไม่ได้ อย่างน้อยผู้ชายคนนั้นก็มาหาเขาด้วยตัวเอง หลังจากที่เขาเป็นฝ่ายไล่ตามมาโดยตลอด เขาอยากจะกอด อยากจะกลืนผู้ชายคนนั้นเข้าไปทั้งตัว อยากจะเก็บให้เป็นของเขาแต่เพียงผู้เดียว
ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว มันก็แค่ความดีใจแบบโง่ๆ เท่านั้นเอง
   เขาเป็นแค่ลูกของทวีศักดิ์ และไม่มีความหมายอะไรไปมากกว่านี้ ช่างห่างเหิน คำพูดที่เขาจงใจตอกย้ำยิ่งทำให้รู้ว่าอิทธิเดชไม่เคยตัดใจจากพ่อของเขาได้ ไม่ว่าจะใช้เวลาสักเท่าไหร่ ใช้วิธีอะไร ก็ไม่อาจจะเปลี่ยนความรู้สึกนั้นได้ ที่ยกมือขึ้นตบหน้าเขาไม่ใช่เพราะโกรธเรื่องของตัวเอง แต่โกรธเรื่องที่เขาดูถูกพ่อตัวเองต่างหากล่ะ อิทธิเดชไม่เคยโกรธเรื่องอะไรเลยนอกจากเรื่องของทวีศักดิ์ เรื่องของพ่อของเขา
   และที่ตกใจหลังจากทำลงไปก็เพียงเพราะเขามีสายเลือดเดียวกับทวีศักดิ์  ทั้งหมดก็แค่นั้นเอง
   แค่นั้นเอง.......
--------------------------------------------------------   
   ฟ่งมองดูเด็กหนุ่มที่นอนร้องไห้อยู่บนเตียงแล้วรู้สึกสะท้อนใจ  เขารู้สึกเหมือนเห็นตัวเองในตอนก่อนหน้านี้  ฟ่งเคยร้องไห้ ร้องไห้ทั้งกับความรักที่เขาเป็นฝ่ายทิ้งไปเอง และความรักที่ถูกหักหลัง
แต่เขาไม่แน่ใจว่าเข้าใจอารมณ์ของวรุตในตอนนี้หรือเปล่า ถึงอย่างนั้นก็พอจะเดาได้ว่าคงเจ็บปวดไม่ต่างกัน ที่ไม่เข้าใจคือทำไมวรุตต้องใช้คำพูดรุนแรงขนาดนั้นกับคนที่เขารักด้วย
ขณะที่กำลังคิดว่าจะเข้าไปนั่งในห้องนอนดีไหม เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น

“แย่แน่ๆ ” รัสเลอร์พูดขึ้น หลังจากที่เข้ามาในห้องแล้ว เขาเห็นว่ามีบุคคลที่สามอยู่ที่นั่น จึงรีบหลบเข้าไปในมุมอับสายตา แต่ก็ยังใกล้พอจะได้ยินและได้เห็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด
ฟ่งมองหน้ารัสเลอร์ แล้วพยักหน้า “เราเข้าไปคุยกันในห้องนอนไหม?”
ถ้าเป็นเวลาอื่นรัสเลอร์คงรีบตกปากรับคำทันที ได้คุยกับฟ่งสองต่อสองในห้องนอน โอกาสแบบนี้หายง่ายๆ เสียที่ไหน ปัญหาคือเขาไม่ไว้ใจว่าหากคลาดสายตาไปแล้ว เจ้าเด็กที่นอนสะอื้นอยู่บนเตียงจะหนีออกไปอีกรึเปล่า
“ผู้ชายหน้าสวยคนนั้นกลับไปแล้วล่ะ ผมคิดว่าควรจะโทรบอกพวกราฟี่ให้จัดการเก็บเขาเสียเลย คุณเห็นว่าไง?”
ฟ่งอ้าปากค้าง ยังไม่ทันได้พูดอะไร เสียงแหบพร่าของวรุตก็ดังขึ้นมา “อย่าทำอะไรบ้าๆ แบบนั้นนะ!”
รัสเลอร์หันไปมองเด็กหนุ่ม ที่ยันตัวลุกขึ้นมานั่งแล้ว แต่น้ำตายังคงเปียกใบหน้า แล้วก็ยักไหล่อย่างไม่แยแส
“ฉันไม่บอกให้เขาฆ่าเธอด้วยก็บุญแล้ว”
วรุตขมวดคิ้ว ทำท่าจะอ้าปาก ฟ่งเลยพูดแทรกขึ้น “ผมว่าใจเย็นๆ กันก่อนดีกว่านะ คุณคนนั้นคงเห็นแค่ผมกับวินเท่านั้นแหละ ไม่น่าจะรู้ว่ามีพวกคุณอยู่ด้วยหรอก อย่างมากเขาก็แค่บอกเรื่องผม”
“เขาไม่บอกหรอก” วรุตพูดสวน “เขาไม่ไปรายงานเรื่องแบบนั้นให้พ่อผมรู้หรอก เขารู้ว่าผมเอาจริง ถ้าเขากล้าพูดเรื่องนี้กับพ่อผมล่ะก็.. เขาคงรู้เหมือนกันล่ะว่าผมจะทำอะไรต่อไป ระหว่างเขากับผม พ่อไม่ต้องเสียเวลาเลือกหรอก เพราะงั้น... เขาไม่มีทางพูดออกไปเด็ดขาด”
“เธอมั่นใจของเธอไปคนเดียวน่ะสิ” รัสเลอร์ย้อน วรุตขมวดคิ้วอีก ฟ่งจึงรีบพูดขัด “เอาเถอะๆ ใจเย็นๆ กันก่อนนะ ถึงเขาจะไปบอก ถ้าผมจับวินเป็นตัวประกัน คนพวกนั้นคงไม่กล้าทำอะไรผมหรอก”
   รัสเลอร์อ้าปากค้าง ขณะที่วรุตเลิกคิ้วอย่างไม่อยากจะเชื่อ สักพักเด็กหนุ่มก็หัวเราะออกมาทั้งน้ำตา “ฟ่ง นี่คุณติดนิสัยโจรมาจากคนพวกนี้แล้วเหรอ? เดี๋ยวก็ถูกตำรวจจับหรอก”
   “แล้วจะให้ผมทำยังไงกันล่ะ” ฟ่งเถียง และทำหน้าหงุดหงิดขึ้นมาทันที “ผมก็ต้องเอาตัวรอดของผมบ้างสิ”
   รัสเลอร์แค่นยิ้มออกมา “ฟ่ง.. ผมมองไม่ออกเลยว่าคุณจะจับตัวประกันแบบไหน?”
   ฟ่งทำหน้ายู่ “อยากให้ผมสาทิตไหมล่ะ” พูดจบก็ทำท่าจะเดินไปหยิบมีดที่เสียบอยู่ออกมา ทั้งรัสเลอร์และวรุตรีบร้องห้ามเป็นพัลวัน
   “ไม่ต้องล่ะ กลับมานั่งเถอะ เอาว่าผมเชื่อก็แล้วกัน” สองคนพูดขึ้นแทบจะพร้อมกัน ฟ่งมองหน้าทั้งสองคนอย่างเคืองนิดๆ แต่ก็ยอมเดินกลับมามือเปล่า
   “แล้วจะเอาไง” ฟ่งถามขึ้นมาอีก หลังจากเขากับรัสเลอร์นั่งลงบนโซฟาใกล้กับตัวที่วรุตนั่งอยู่ก่อนแล้ว เด็กหนุ่มรับผ้าเช็ดหน้าที่ฟ่งยื่นให้ไปเช็ดหน้าเช็ดตา รัสเลอร์พูดขึ้นมา
   “ยังไงก็เถอะครับ ผมว่าคุณเก็บวิธีจี้ตัวประกันเอาไว้ก่อนดีกว่า ผมว่าคุณทำคงดูไม่จืดแน่ๆ ”
   “นั่นสิ ผมว่าไม่เหมาะกับคุณหรอก” วรุตรีบสนับสนุน ฟ่งขมวดคิ้วมุ่น มองหน้าคนทั้งคู่ แล้วนึกสงสัยว่าคนพวกนี้เกิดเป็นพวกรักความถูกต้องขึ้นมา หรือเห็นว่าเขาดูป้อแป้จนไม่น่าจะทำเรื่องแบบนั้นได้กันแน่นะ
   “งั้น... จะให้ผมทำไงล่ะ นั่งรอความตายหรือไง?” ฟ่งพูดต่อ และหันไปมองวรุตอย่างจริงๆ จังๆ เด็กหนุ่มนิ่งคิดไปพักหนึ่ง
   “เอางี้แล้วกันนะ ในเมื่อเขายังไม่รู้เรื่องของพวกคุณราฟาแอล งั้นถ้าเขาพาใครมา ผมจะลงไปรับหน้าแทนแล้วกัน บอกว่าผมกับฟ่งคบกันอยู่ คงไม่มีใครกล้ายุ่งหรอก”

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
   ทั้งฟ่งและรัสเลอร์อ้าปากค้าง แล้วรัสเลอร์ก็ชิงพูดออกมาก่อน
   “พูดอะไรของเธอ เรื่องแบบนี้ใครจะไปยอม”
   วรุตรีบยกมือบอกให้ทางนั้นใจเย็นๆ “เดี๋ยวนะครับ อย่าเพิ่งรีบหึง คือ... เขาอาจจะเข้าใจว่าผมมาติดพันฟ่ง อีกอย่าง ถ้าอธิบายเรื่องแบบนี้ คงไม่มีใครสงสัยอะไรอีก แล้วก็คงไม่อยากจะยุ่งด้วย เชื่อผมเถอะนะ ถึงพ่อเขาจะไม่ค่อยสนใจใยดีผม แต่คงไม่เสี่ยงให้ลูกตัวเองโดนลูกหลงเพราะจะเก็บคนอื่นหรอก”
   “อืม....” รัสเลอร์วครางในลำคออย่างครุ่นคิด “เรื่องนี้คงต้องรอราฟี่กลับมาแล้วคุยกันอีกที”
   ฟ่งหัวเราะออกมา “แบบนั้นก็ดีนะ ให้คุณราฟาแอลตัดสินก็ได้” เขาพูด และหันไปมองวรุต ก่อนจะยิ้ม
   “โล่งอกไปที ตอนแรกผมคิดว่านายจะหนีแล้วนัดเขาให้มารับเสียอีก ถ้าเกิดเป็นงั้นจริงๆ นะ พวกผมแย่แน่ๆ ”
   วรุตมองหน้าฟ่งอย่างแปลกใจ ก่อนจะหัวเราะขึ้นมาบ้าง "เขาไม่มาพาผมหนีหรอก เขาเกลียดผมจะตาย ถ้าไม่ใช่เพราะพ่อสั่ง เขาไม่มาหรอก”
   “แต่ว่านายก็พูดจาร้ายกาจกับเขามากเลยนี่ เป็นผมก็คงทนไม่ไหวเหมือนกันแหละ”
   ได้ยินเสียงวรุตหัวเราะอีก
   “ผมน่ะ เกลียดเขามากพอๆ กับที่รักเขาเลยล่ะ”
----------------------------------
   อิทธิเดชขับรถกลับมายังที่พักของตัวโดยที่มีเรื่องของวรุตเต็มหัวไปหมด เขาเกือบจะเข้าห้องผิด ตอนที่เดินกลับขึ้นมาด้วยซ้ำ
ชายหนุ่มทิ้งตัวลงบนเตียงนอน เหม่อมองเพดานบุฝ้ากรุลายนูนด้านบน มือของเขายังคงรู้สึกเจ็บแปลบๆ
ทำไมเขาถึงตบหน้าเด็กคนนั้นนะ?
ความจริงแล้วเขาสมควรจะตบหน้าวรุตหลายต่อหลายครั้ง พฤติกรรมที่เด็กคนนั้นแสดงออกกับเขาเลวร้ายจนแค่ตบก็คงยังไม่สาสม แต่เขาไม่เคยทำลงไปจริงๆ เลย
ถึงอย่างนั้น ทำไมวันนี้ถึงได้.....
อิทธิเดชไม่เข้าใจตัวเองจริงๆ เขาเคยอดทนกับวรุตได้นับต่อนับ ทำไมครั้งนี้ถึงได้ลงมือไปแบบนั้น
เพราะเด็กคนนั้นพูดจาดูถูกเขา? หรือเพราะว่าพูดเรื่องเขากับทวีศักดิ์? หรือเพราะว่าเด็กคนนั้นกำลังจะทิ้งเขาไปกันแน่?
อิทธิเดชนึกถึงภาพใบหน้าครึ่งหนึ่งของวรุตในตอนที่หันมาซึ่งมีน้ำตาไหลอาบ เขาไม่เคยเห็นน้ำตาของเด็กคนนั้นมาก่อน คนอย่างนั้น คนอย่างนั้นจะร้องไห้ไปเพื่ออะไรกัน
   ชายหนุ่มวัยยี่สิบเศษผู้มีใบหน้าสวยราวกับผู้หญิงยกมือขึ้นแตะใบหน้าอย่างลืมตัว หยดน้ำอุ่นๆ ไหลร่วงลงมาจากดวงตา นี่เขาเองกำลังร้องไห้อยู่หรือ? นัยน์ตาหวานฉ่ำกะพริบอยู่หนสองหน จนหยดน้ำตาเปรอะเปื้อนขนตางอนยาว
   น้ำตา....... นี่เขาร้องไห้ออกมาทำไมกันนะ?
   อิทธิเดชปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาอย่างนั้นเพราะไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป
ครั้งสุดท้ายที่น้ำตาเขาไหลออกมาอย่างไม่ทราบสาเหตุแบบนี้คือวันที่แม่ยิงตัวตาย หลังจากเสียงปืนดังขึ้นสักพัก เขาก็เดินอย่างช้าๆ ไปที่ห้องนอนของแม่ ซึ่งเต็มไปด้วยดอกกุหลาบ แม่อยู่ที่นั่น อยู่บนเตียงนอนที่ครั้งหนึ่งคงเคยมีพ่อของเขาร่วมอยู่ เตียงนอนที่ปูด้วยผ้าปูไหมสีกุหลาบ มีเศษมันสมองและคราบเลือดกระจายเปรอะกลีบกุหลาบที่ร่วงกระจายอยู่ทั่วไปหมด 
อิทธิเดชทราบดีกว่าใครๆ ว่าเหตุการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้นในสักวันหนึ่ง  เขาเดินเข้าไป ยกมือปิดดวงตาเบิกโพลงของแม่ และเดินไปหยิบโทรศัพท์เพื่อแจ้งตำรวจ ตอนนั้นเองที่น้ำตาของเขาไหลออกมา
   ถึงแม้ว่าแม่จะไม่เคยแสดงความรักกับเขา ไม่เคยพูดถึงตัวเขาตรงๆ เลยสักครั้ง แม่เพียงแค่เห็นเงาของพ่อในตัวเขาเท่านั้น แต่ว่านี่คือคนที่ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันเขา คนที่เห็นหน้าทุกครั้งที่ตื่นขึ้นมา คนที่เห็นหน้าทุกครั้งเมื่อกลับเข้าบ้าน ความผูกพันที่ไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นเพราะเรื่องดีๆ มันก็แค่การได้เจอกันทุกวัน แม้จะไม่เคยพูดหรือสัมผัสกันเลยก็ตาม
   อิทธิเดชเพิ่งมาเข้าใจในตอนนี้เอง ว่านั่นคือความสูญเสียที่เขารู้สึกเป็นครั้งแรก ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากสูญเสีย แต่อิทธิเดชไม่เคยคิดว่าตนเองมีอะไรให้สูญเสีย เขาไม่เคยเห็นพ่อ เขาไม่เคยได้ความรักจากแม่ ไม่เคยในสิ่งที่ต้องการ เพราะเขาลืมว่าตัวเองควรจะมีความต้องการอย่างไรมานานแล้ว
แม่เลี้ยงเขาแค่ให้มีชีวิตอยู่เพื่อเป็นตัวแทนของพ่อเท่านั้น แต่เขาก็มีชีวิตอยู่รอดมาได้เพราะแม่ด้วยเช่นกัน
อิทธิเดชไม่เคยเอ่ยปากขอ เพราะเขาไม่รู้ว่าจะขอมาเพื่ออะไร ชีวิตที่อยู่โดยไร้ความต้องการ การลืมตาตื่นขึ้นมาเพื่อได้เห็นหน้าผู้หญิงคนนั้นและดอกกุหลาบสีแดงในบ้านหลังใหญ่ นั่นคือคือชีวิตทั้งหมดของเขา จนกระทั่งถึงวันนั้น แม่ก็จากเขาไป
   มันเหมือนการพังทลายของชีวิตอย่างเงียบๆ หลังงานศพ เขากลับมาที่บ้าน ทานข้าวบนโต๊ะอาหารตัวใหญ่ที่ว่างเปล่า ทานมันลงไปเพียงเพราะสัญชาติญาณ ทานลงไปเพราะร่างกายต้องการเท่านั้น อิทธิเดชไม่มีเพื่อนสนิทที่โรงเรียน เพราะเขาไม่เข้าใจเด็กผู้หญิงและเด็กผู้ชายพวกนั้น  เขาไม่ชอบลักษณะการกระทำของเด็กผู้หญิง และเขาก็ไม่คิดว่าตัวเองเหมือนเด็กผู้ชาย ดังนั้นเขาจึงไม่มีเพื่อนสนิทเลยสักคน และไม่เคยไม่ใส่ใจจะมี
   หลังแม่จากไป ทุกวันที่อิทธิเดชกลับมาที่บ้าน เขาจะได้เห็นคนแปลกหน้าเข้ามาเคลื่อนย้ายของใช้ภายในบ้านออกไปทีละชิ้นสองชิ้น
แม่ของเขาเป็นหนี้มหาศาล ดังนั้นการนำทรัพย์สินไปขายทอดตลาดภายหลังการตายจึงเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ อีกอย่างตัวเขาเองก็ไม่มีปัญญาพอที่จะใช้หนี้สินทั้งหมดนี้
   ข้าวของทุกอย่างถูกขนออกไปวันแล้ววันเล่า แม้แต่เตียงนอนที่แม่ยิงตัวตายบนนั้นก็ถูกขนออกไปด้วย ในที่สุดวันหนึ่งเขาก็กลับมาและพบว่าบ้านว่างเปล่า เหลือเพียงแค่โต๊ะอาหาร และตอนนั้นเองที่เขาได้พบกับทวีศักดิ์
   ชายวัยกลางคนที่บอกว่าเป็นเพื่อนเก่าของแม่ ยื่นมือเข้ามาอุปถัมภ์เขา ให้ที่อยู่ และทำให้เขาได้เรียนต่อ  อิทธิเดชไม่มีเหตุผลในการปฏิเสธข้อเสนอนี้ เขาไม่มีแม้แต่ข้อสงสัย เพราะเด็กหนุ่มไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว ทั้งแต่เมื่อก่อน หรือจนกระทั่งตอนนั้น
   และแล้วในวันเกิดครบรอบสิบเจ็ดปี ทวีศักดิ์ก็ขอมีอะไรกับเขา มันเป็นครั้งแรกของเขา  อิทธิเดชไม่ได้รู้สึกรังเกียจชายกลางคนคนนี้ ทวีศักดิ์ใจดีกับเขา ให้ความรักกับเขา ให้ความสุขและสัมผัสอันอบอุ่นกับเขาเป็นครั้งแรกในชีวิต อิทธิเดชไม่มีวันลืมความทรงจำกับการร่วมรักในคืนนั้น มันหอมหวานและอ่อนโยนจนเขาไม่คิดว่าชีวิตจะมีสิ่งดีๆ แบบนี้อยู่ในโลก มันทำให้เด็กหนุ่มเกิดสิ่งที่เรียกว่าความหวังขึ้นเป็นครั้งแรก
เขาประทับใจในเหตุการณ์นั้นจนถึงกับมีความหวังขึ้นมาว่าทวีศักดิ์จะอยู่ใกล้กับเขา มอบความอุบอุ่นให้เขาแบบนี้ตลอดไป
แต่พอโตขึ้น อิทธิเดชก็รับรู้ว่า สิ่งที่เขาเคยคิดฝันนั้นเป็นแค่ความหวังลมๆ แล้งๆ ทวีศักดิ์ไม่ได้ให้ความสำคัญกับเขาไปมากกว่าเด็กผู้ชายคนอื่นๆ ที่นอนด้วย ชายหนุ่มได้รับรู้ว่าสิ่งที่เรียกความหวังไม่มีจำเป็นในชีวิตของเขาแต่อย่างใด
ถึงอย่างนั้นเขาก็อยากจะตอบแทนบุญคุณของชายคนนี้ อยากจะทำอะไรที่เป็นประโยชน์เพื่อตอบแทนความอบอุ่นและความช่วยเหลือที่มอบให้ อยากจะทำให้ตัวเองมีคุณค่าขึ้นมาบ้างในสายตาของทวีศักดิ์ ไม่ใช่คุณค่าในแง่เครื่องระบายอารมณ์ทางเพศ แต่เป็นคุณค่าที่มีประโยชน์กว่านั้น
ดังนั้นอิทธิเดชจึงเอ่ยปากขอเข้าทำงานกับทวีศักดิ์ และได้รับคำตอบรับที่ดี  หลังจากนั้น ทวีศักดิ์ไม่ได้มายุ่งกับร่างกายของเขาอีก แต่ยังคงรักษาความสัมพันธ์เอาไว้ในระดับดี แค่นั้นก็น่าจะเพียงพอแล้วสำหรับชีวิตของเขา ถ้าไม่มีวรุตเข้ามา.....
   อิทธิเดชพบวรุตครั้งแรกอย่างบังเอิญตอนที่เขาเข้าไปพบรัตน์เพื่อรายงานเกี่ยวกับงานที่ทำอยู่ ระหว่างเดินออกมาเขาพบทวีศักดิ์เดินคุยอยู่กับเด็กหนุ่มคนหนึ่ง เป็นเด็กหนุ่มที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน และไม่ใช่เด็กหนุ่มในแบบที่ทวีศักดิ์นิยม แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่อิทธิเดชจะต้องให้ความใส่ใจ เขายกมือไหว้ทวีศักดิ์ และเอ่ยทักทายกันนิดหน่อย ก่อนจะกลับออกไป เพิ่งมารู้หลังจากนั้นอีกสามวันว่า เด็กหนุ่มที่เขาเห็นคือลูกชายคนเดียวของทวีศักดิ์ที่เพิ่งกลับมาจากเยอรมัน  ผู้มีชื่อจริงๆ ว่า วรุต และชื่อเรียกเล่นๆ ว่า วิน
   วันนั้นทวีศักดิ์เรียกทุกคนเข้าประชุมย่อยๆ และแนะนำตัวลูกชายของเขา ความทรงจำที่มีต่อวรุตในห้องประชุมนั้นแทบไม่มีอะไรให้จดจำ เด็กผู้ชายแต่งตัวทันสมัย ที่ยิ้มอยู่เกือบตลอดเวลา ดูไปก็เป็นแค่เด็กผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง นอกเสียแต่ว่า คืนนั้นวรุตตามเขามาถึงห้อง และลงมือขืนใจอย่างไร้เหตุผล
   อิทธิเดชไม่รู้ว่าเขาไปทำอะไรให้เด็กคนนี้เกลียดนักหนา ดวงตาที่วรุตจ้องมองเขาในตอนนั้นราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ มันเป็นค่ำคืนแห่งความเจ็บปวดที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับค่ำคืนอันอบอุ่นที่ทวีศักดิ์มีให้
   วันรุ่งขึ้น วรุตมาหาที่ห้องอีกครั้งพร้อมกับรูปถ่ายที่ทำให้อิทธิเดชรู้สึกว่าเด็กคนนี้ไม่ได้เกลียดเขาอย่างเดียว แค่คงเคียดแค้นเขาด้วย อิทธิเดชไม่ได้สนใจว่าวรุตอยากจะทำลายชื่อเสียงเขาในรูปแบบไหน ที่เขารู้สึกเจ็บปวดคือทำไมลูกชายของคนที่เขารักถึงได้จงเกลียดจงชังเขาอย่างไร้เหตุผลเช่นนี้ วรุตไม่เคยบอกเหตุผล เขาใช้คำพูดและการกระทำต่างมีด ทิ่มแทงเข้ามาราวกับตั้งใจจะฆ่าให้ตายอย่างช้าๆ และทรมาน
   ดวงตาที่จ้องมองมาอย่างคั่งแค้นและคำพูดเย็นเยียบที่บอกว่าจะทำให้เกลียดจนขาดไม่ได้ยังคงติดค้างอยู่ในสมอง สัมผัสที่รุนแรง คำพูดทิ่มแทง นี่คือสิ่งที่เขาได้รับจากวรุตในตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา  สิ่งที่ค่อยๆ กลายมาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต เหมือนในตอนที่แม่ยังอยู่  เป็นแค่อะไรอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นซ้ำๆ จนเคยชิน มันไม่ใช่สิ่งที่ดี แต่มันเป็นสิ่งที่มีอยู่
   และเขาเพิ่งสูญเสียสิ่งที่มีอยู่นั้นไปเมื่อครู่นี้เอง
   น้ำตาไหลร่วงลงจนเปียกคอเสื้อ อิทธิเดชยังคงนั่งอยู่อย่างนั้น จ้องมองฝาผนังสีขาวโพลน  เขากำลังเสียใจ ไม่ว่าสิ่งที่สูญเสียไปจะเป็นโซ่ตรวจเหล็กแหลมที่ล่ามเขาเอาไว้อย่างเจ็บปวด หรือจะเป็นปลอกคอหนามที่ใส่เอาไว้เพื่อทรมาน  ถึงอย่างไรมันก็คือสิ่งที่เขามี 
   สิ่งที่ทำให้รู้สึกว่ายังมีคนอื่นนอกจากตัวเอง....
----------------------------------
   ฟ่งเงยหน้าขึ้นสบตากับรูฟัส หลังจากที่รัสเลอร์เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ราฟาแอลฟัง ดวงตาสีน้ำตาลภายใต้กรอบแว่นมองมาราวกับจะถามว่าควรจะทำอย่างไรต่อไปดี  รูฟัสเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจออกมาแทบจะพร้อมกับราฟาแอล
   “..........................” สองหนุ่มที่เพิ่งกลับมาจากการทำธุระหันหน้าเข้าหากัน หลังจากเงียบไปอีกพักหนึ่ง เสียงถอนหายใจก็ดังขึ้นอีกครั้ง
   “พวกนายควรจะพูดอะไรมากกว่าที่จะมาถอนหายใจใส่กันแบบนี้” รัสเลอร์พูดแทรกขึ้น และได้รับคำตอบเป็นเสียงถอนหายใจ
   “นายคิดว่าพวกฉันควรจะทำอะไรล่ะ?” หนุ่มผมบลอนด์เอ่ยปากออกมาเป็นครั้งแรกหลังจากที่ฟังเรื่องทั้งหมดจบ เขาตั้งคำถามใส่รัสเลอร์ หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มยักไหล่
   “ถ้าฉันคิดเองได้ ฉันคงไม่เสียเวลามานั่งเล่าหรอก”
   รูฟัสกับราฟาแอลถอนหายใจอีกครั้ง คราวนี้รัสเลอร์ขมวดคิ้วอย่างไม่ค่อยพอใจนัก
   “พวกนายพูดกันไม่เป็นหรือไง ฉันไม่เข้าใจภาษาปลาวาฬที่พวกนายกำลังพ่นออกมาหรอกนะ!!”
   ฟ่งคิดว่าถ้าเป็นเวลาปกติเขาควรจะหัวเราะกับคำพูดแบบนี้ แต่บรรยากาศในตอนนี้ทำให้เขาได้แต่ย่นคิ้ว
   “เรื่องมันแย่มากเลยหรือ?” หนุ่มสวมแว่นเอ่ยขึ้นอย่างค่อนข้างจะเกรงอกเกรงใจ  เขาหันหน้าไปมองรูฟัส หนุ่มตาสองสีพยักหน้าและถอนหายใจยาว
   “พวกปลาวาฬ” รัสเลอร์ว่า คราวนี้ราฟาแอลเลยเป็นฝ่ายพูดบ้าง
   “ว่างๆ ฉันจะพานายไปถ่วงทะเล เผื่อนายจะฟังภาษาปลาวาฬออก” เขาว่า และไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้โต้ตอบ
   “นายควรจะดีใจที่ฉันไม่ได้ซัดอะไรใส่นายไปมากกว่าการถอนหายใจ” ราฟาแอลพูดด้วยน้ำเสียงที่พยายามจะข่มอารมณ์เอาไว้ รัสเลอร์ทำหน้าสยอง เขาหันหน้าไปหารูฟัส  ซึ่งก็ได้แต่ถอนหายใจอีกเหมือนกัน
   “นายเลินเล่อ” หนุ่มตาสองสีพูดตอกย้ำ และก็ไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายได้แก้ตัวเช่นกัน
   “ทำไมไม่รู้จักนั่งเฝ้าตรงประตูหรืออยู่แถวๆ นั้น นายนั่งบื้อแล้วปล่อยให้เด็กนั่นวิ่งหนีลงไปด้านล่าง ฉันถามหน่อย สมองนายทำกับเมล็ดถั่วหรือไง?”
   รัสเลอร์ทำหน้าเบี้ยว พอทำท่าจะอ้าปากพูด ก็ถูกราฟาแอลชิงพูดขึ้นอีก
   “ถั่วยังกินอร่อยกว่า” ผู้มีนัยน์ตาสีเขียวมรกตว่า และถอนหายใจยาวอีกครั้ง
   “เอาไง?” เขาหันหน้าไปถามคู่หู รูฟัสยักไหล่ “ไม่พาตัวมากักเอาไว้ ก็ฆ่าปิดปาก สำหรับผมนะ กรณีนี้ผมคงเลือกเหมือนที่คุณทำประจำนั่นแหละ กำจัดทิ้งเลยง่ายกว่า” หนุ่มตาสองสีว่า ราฟาแอลพยักหน้าอย่างเห็นด้วยทันที ขณะที่ฟ่งทำหน้าสยดสยอง แต่ยังไม่ทันที่ใครจะได้ได้พูดอะไรต่อ เสียงของวรุตก็ดังขัดขึ้น
   “พวกคุณไม่ต้องกังวลเรื่องพี่เดชขนาดนั้น เขาไม่เอาเรื่องนี้ไปบอกใครหรอก” เด็กหนุ่มเอ่ย พลางนึกหวั่นใจว่าคนพวกนี้คิดอะไรไม่ออกนอกจากฆ่าแล้วหรือไงนะ ดูแล้วไม่เห็นจะต่างกับคนของพ่อเขาเลยจริงๆ
   “อ้อ....” ราฟาแอลลากเสียงยาวเป็นเชิงประชด เขาหันหน้าไปจ้องเด็กหนุ่มที่เพิ่งยันตัวลุกขึ้นจากโซฟา ด้วยสายตาราวกับจะเฉือนเนื้อเถือกระดูก “จะให้พวกฉันไว้ใจคำพูดสั่วๆ นั่นได้ยังไงน่ะ”
   เด็กหนุ่มขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำว่า”สั่วๆ”  เขาจ้องหน้าราฟาแอลกลับ
   “พี่เดชเขาไม่เห็นพวกคุณ คุณจะเดือดร้อนไปทำไม อย่างน้อยถ้าเขาจะบอกใครก็คงบอกแค่ว่าผมมาพักอยู่ที่นี่  แต่เขาคงไม่บอกใครหรอก เพราะเขาคงไม่อยากให้พ่อผมรู้ว่าผมไม่ได้อยู่กับเขา”
   “ยังไง?” รูฟัสถามด้วยความสงสัย วรุตขยับตัวนั่งให้หลังตรงขึ้น และพูดต่อ
   “พ่อสั่งให้พี่เดชดูแลความปลอดภัยของผม ง่ายๆ ก็คือคอยคุ้มกันผมนั่นแหละ เขาไม่อยากให้พ่อรู้หรอกว่าทำพลาด เพราะเขาชอบพ่อผม”
   “อ้อ.......” ราฟาแอลลากเสียงยาวอีกครั้ง จนฟ่งอดคิดไม่ได้ว่าเขากำลังประชดแค่วรุต หรือว่าประชดคนอื่นด้วย จะว่าไปแล้วในห้องนี้คงมีแต่เจ้าหมอนี่เท่านั้นแหละ ที่ไม่ได้วิปริตผิดเพศ
   หนุ่มนัยน์ตาสีเขียวถอนหายใจซ้ำ ถึงเขาจะมีเพื่อนร่วมงานและคนรู้จักเป็นพวกไบเซ็กซ์ชวลหลายคนก็เถอะ และไม่เคยจะเข้าใจเลยสักนิดว่าทำไมเจ้าพวกนี้ถึงเห็นผู้ชายด้วยกันดีกว่าผู้หญิงหน้าอกนิ่มๆ แต่นี่ไม่ใช่เวลาจะมารู้สึกหงุดหงิดรำคาญกับเรื่องแบบนี้
   “ลูกน้องพ่อนายที่ว่าอยู่ที่ไหน?” เขาหันมาคาดคั้นกับวรุตอีกรอบ เด็กหนุ่มขมวดคิ้วทันที เขาไม่ไว้ใจแววตาสีมรกตที่มองมาราวกับเสือร้ายที่กำลังไล่ล่าเหยื่อให้จนมุม เสียแต่ที่วรุตไม่คิดอยากจะเป็นเหยื่อเสือตัวนี้ และยิ่งไม่อยากให้อิทธิเดชเป็นด้วย
   “คุณไม่จำเป็นต้องรู้ที่อยู่เขาหรอก ถ้ากังวลนักล่ะก็ พาผมไปอยู่ในที่ที่คุณคิดว่าไว้ใจได้มากกว่านี้สิ แต่ต้องพาฟ่งไปกับผมด้วยนะ เพราะผมคิดว่าพี่เดชน่าจะเข้าใจว่าผมกับเขามั่วกันอยู่”
   ประโยคทิ้งท้ายของเด็กหนุ่มทำให้หนุ่มชาวรัสเซียผู้มีนัยน์ตาสองสีหันควับมาทันที เขาทำท่าจะอ้าปาก แต่ก็ต้องหุบลงในตอนสุดท้ายเมื่อเห็นว่าราฟาแอลกำลังพยักหน้า
   “ความคิดดี..ความคิดดี” หนุ่มผมบล็อนด์พูดซ้ำๆ และชายหางตาไปทางเพื่อนร่วมงาน  รูฟัสกลืนน้ำลายเฮือก
   “งั้นก็ให้ฟ่งไปอยู่กับเด็กนี่ สร้างเรื่องทำนองว่าติดพันกันจนต้องหารังรักใหม่ ก็ไม่เลวทีเดียวนายว่าไหม ฉันเห็นว่าเป็นทางเลือกที่ดีเลยล่ะ สำหรับสถานการณ์แบบนี้น่ะ นายเองก็คงไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม เวลาเราก็เหลือน้อยแล้ว”
   หนุ่มชาวฮังกาเรียนเอ่ยอย่างรวบรัดตัดความ รูฟัสมองดูนัยน์ตาสีเขียวมรกตที่จ้องมองมาราวกับคำสั่งอาญาสิทธิ์แล้วถอนหายใจ
   “ผมอยากจะพูดว่ามีปัญหาอยู่หรอก แต่....คงไม่มีวิธีอื่น.....ให้ตายสิ ทำไมต้องเป็นเรื่องทำนองนี้ด้วยนะ” ชายหนุ่มบ่นพึมพำอย่างไม่สบอารมณ์นัก เขาไม่อยากให้ฟ่งไปมีสัมพันธ์อะไรกับใครอื่น แม้ว่าจะเป็นแค่เรื่องแหกตาก็เถอะ แถมให้ไปอยู่ด้วยกันแบบนี้ จะไว้ใจได้ขนาดไหนก็ไม่รู้  ฟ่งเองก็ไม่ค่อยจะระวังตัวอยู่ด้วยสิ
   รูฟัสเผลอยกมือขึ้นเกาศีรษะ และพบว่าผู้ที่นั่งอยู่ข้างๆ ซึ่งเขากำลังนึกถึง ก็ยกมือขึ้นเกาศีรษะเช่นกัน ชายหนุ่มยิ้มอย่างดีใจ “คุณไม่อยากไปอยู่กับเด็กนั่นเหมือนกันใช่ไหมครับ?”
   ฟ่งหันมามองผู้ถามด้วยสีหน้างุนงงสงสัย “ผม? ทำไมผมต้องไม่อยากอยู่กับวินด้วยล่ะ?”
   รูฟัสแทบจะแหกปากร้องออกมา นี่ฟ่งถึงกับเรียกชื่อเจ้าเด็กนั่นอย่างสนิทสนมเลยรึ? เขาจับไหล่ฟ่งเอาไว้ และเขย่าเบาๆ เหมือนกับจะถามว่าพูดออกไปแบบนั้นได้อย่างไร
   “รูฟัส คุณเป็นอะไรน่ะ! เขาเป็นตัวประกันอย่างดีเลยไม่ใช่เหรอ มีผมไปด้วยจะได้ช่วยกันดูไง” ฟ่งถามเสียงหลง รูฟัสมองหน้าคนตรงหน้า แล้วเริ่มรู้สึกอยากร้องไห้ขึ้นมาบ้าง
   “คุณไม่ต้องลงทุนทำอะไรขนาดนั้นหรอกครับ” หนุ่มตาสองสีว่า เขานึกสงสัยว่าฟ่งไม่รู้เลยหรือว่าตัวเองอยู่ในสถานะแบบไหน และมีความสามารถอะไรที่จะไปจัดการกับตัวประกันที่ว่าได้ จะถูกจับไปเป็นตัวประกันอีกรอบล่ะสิไม่ว่า
   ฟ่งมองดูรูฟัสที่ทำคอตก และขมวดคิ้วอย่างไม่ค่อยพอใจนัก นี่รูฟัสคงกำลังคิดว่าเขาทำตัวเกะกะหรือไร้ประโยชน์อยู่แน่ๆ แต่นั่นไม่ใช่คำตัดสินของศาลเสียหน่อย ฟ่งตัดสินใจว่ายังไงเขาก็จะทำตามแผนที่วางไว้
   “ไม่รู้ล่ะ ผมจะอยู่กับวิน Where do you want us go?”
   ประโยคหลังเขาหันไปถามราฟาแอล ผู้ซึ่งดูว่าจะมีอำนาจรับผิดชอบสูงสุดในที่นี้ หนุ่มผมสีบลอนด์ยักไหล่ เขาพยักหน้าและยิ้มหน่อยๆ
   “ฉันจะพาพวกนายไปเอง” เขาว่า และหลบสายตาที่จ้องมาอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อของรูฟัส
-------------------------------------

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด