C h a p t e r t w e l v e ♥
เป็นคนข้างๆ
เคยมีเรื่องเล่าในวัยเด็กกันหรือเปล่า
อาจจะเป็นตอนหกล้มครั้งแรก ตอนโดนคุณครูดุต่อหน้าเพื่อนหรือตอนวิ่งไล่แกล้งคนอื่นไปทั่ว
ลองหลับตาลงนึกทบทวนถึงความทรงจำที่ผ่านมา ทั้งเรื่องที่สุดแสนวิเศษ เรื่องที่น่าอาย หรือแม้กระทั่งเรื่องที่ไม่อยากจำ
แต่ทุกสิ่งทุกอย่างเราล้วนผ่านมันมาแล้ว
และเป็นความจริงที่เกิดขึ้นกับเราทุกอย่าง
สมองของเรามีกลไกการทำงานซับซ้อนจนยากเกินจะเข้าใจมันทั้งหมด
ร้อยพันเรื่องราวที่ถูกจัดเก็บไว้เป็นอย่างดีเพื่อรอเวลาให้เจ้าของได้หวนคิดถึง
แต่บางเรื่อง...ก็อยากจะลืมมันไปจากความรู้สึกสักที
แม้ว่ามันจะฝังใจมาตลอดก็ตาม
เรื่องเล่าในวัยเด็กของผมมันไม่สนุกเอาเสียเลย
ทั้งที่มีเพื่อนเล่นด้วย มีข้าวให้กินอิ่มทุกมื้อ ใช้ชีวิตสุขสบาย ไม่เคยต้องลำบาก
แต่ทำไมความทรงจำถึงได้หมองหม่นแบบนั้น..
เคยมีความฝันหรือเปล่า
แน่นอนตราบใดที่ยังมีลมหายใจ เราก็ต่างมีฝันเป็นของตัวเองทั้งนั้น
มันหมุนผลัดเปลี่ยนไปเรื่อยตามกาลเวลาและช่วงความคิด บางฝันอาจเป็นจริงหรืออาจถูกลบเลือนให้จางหายไป
แต่บางฝันก็ยังอยู่กับเรา..แม้ว่ามันจะไม่เป็นจริง
‘พี่อยากเป็นนักดนตรี’
‘นั่นเป็นความฝันของพี่เอกเหรอ’
‘มันไม่ใช่ความฝัน แต่มันเป็นอนาคตของพี่’
‘…’
‘สักวันที่หนึ่งก็ต้องเลือกเส้นทางด้วยตัวเองเหมือนกันนะ’
‘แล้วพี่วันล่ะ’
‘พี่เหรอ...อืมม ก็อยากเข้าวงการนะ แต่คงยากแน่ๆ’
‘ถ้ามั่นใจในตัวเองก็ทำได้อยู่แล้วเชื่อพี่’
‘พี่เอกก็...พูดเหมือนเป็นเรื่องง่าย’
‘...’
‘แต่วันจะสู้ ทุกคนต้องได้เห็นวันในทีวี’
‘จะรอดูนะ’
ความฝันในวัยเด็กช่างบริสุทธิ์...แต่ก็มั่นคงเกินที่จะทำลายลงได้ง่ายๆ
รอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความสุขนั้นยังไม่จางหายไปจากความทรงจำ
ผมในวัยแปดขวบที่ไม่ประสีประสาในโลกของความเป็นจริงและไม่เคยมีความฝันเป็นของตัวเอง ก็ได้แต่ส่งกำลังใจให้พี่ทั้งสองคน
ถึงจะเป็นแค่เศษเสี้ยวเล็กๆก็ตาม
‘นี่ ป๊าส่งโปสการ์ดมาด้วยแหละ’
‘ดูดิ ป๊ายิ้มแฉ่งเลย’
ผมได้ชื่อนี้มาจากเขา
ชื่อที่ดูเพียบพร้อม ไม่ว่าใครได้ยินก็แปลกใจ
พี่กับม๊าเคยพูดให้ฟังบ่อยๆว่าป๊าทั้งใจดี มีรอยยิ้มให้พวกเขาทุกวัน และคอยเติมสีสันให้บ้านเสมอ
นั่นคือช่วงเวลาก่อนที่ผมจะอายุได้ไม่ทันสามขวบดี
ผมได้แต่รับฟังและพยักหน้าเงียบๆ เพราะจินตนาการถึงตอนที่เราอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันไม่ออก
อย่างที่เคยบอกไป..ว่าสมองของมนุษย์จัดเก็บเรื่องราวในอดีตได้ซับซ้อน
นั่นคือเหตุผลว่าผมจำหน้า จำเสียง และสัมผัสได้แทบทุกอย่าง
ยกเว้นความรู้สึกผูกพัน...ที่ไม่เคยได้รับจากคนที่ขึ้นชื่อว่าพ่อเลย
มันไม่ใช่ปัญหาใหญ่หลวง คนเรามีหน้าที่การงานที่ต้องทำ เขาไม่ได้จากครอบครัวไปด้วยเหตุผลที่เลวร้าย ซึ่งทุกคนก็เคารพในการตัดสินใจ
มนุษย์บางส่วนรักการขวนขวายหาสิ่งที่ดีกว่าที่เป็นอยู่ เมื่อได้รับข้อเสนอที่ตรงใจ ก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องปฏิเสธ
ใช่ นั่นแหละป๊าผม
สิบกว่าปีที่ม๊ากลายเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวด้วยความเต็มใจ แม้จะมีลูกในวัยไล่เลี่ยกันก็ไม่เคยปริปากบ่น และไม่เคยให้ใครสักคนต้องลำบาก นั่นทำให้ผมนับถือผู้หญิงคนนี้เหลือเกิน
อะไรที่ว่าดีท่านก็สรรหามาให้
อะไรที่อยากได้ก็วางกองให้ตรงหน้าราวกับเสกได้
ชีวิตที่ดีจนใครหลายคนอิจฉา
แต่ทุกการลงทุน ย่อมต้องการผลตอบแทน
ความคาดหวังที่สูงลิบลิ่วดั่งหินที่ถ่วงขาเอาไว้ เริ่มทำให้อะไรหลายอย่างในบ้านหลังนี้เปลี่ยนไป
‘ม๊าหวังกับที่หนึ่งมากเลยนะ’
‘ครับ’
‘อยากให้มีอนาคตที่ดี หน้าที่การงานที่ดี ที่ม๊าพูดเพราะม๊าเป็นห่วงนะรู้เปล่า ม๊าก็ไม่ได้อยู่กับลูกทั้งชีวิต ไม่อยากให้โตไปลำบาก’
‘หนึ่งจะพยายาม’
‘ดีมากลูก เป็นที่หนึ่งก็ให้เป็นที่หนึ่งสมชื่อ’
‘…’
‘แล้วที่หนึ่งจะกลายเป็นคนที่เก่งที่สุดของม๊า’
ราวกับคำพูดที่เป็นแรงผลักดันให้เป็นผมในวันนี้
เด็กน้อยที่ไม่มีความฝัน มีเพียงผู้เป็นแม่และพี่ มีหรือจะไม่ทำตามคำขอนั้น
ยิ่งม๊าที่ผมรักและเคารพมาเสมอ ท่านไม่เคยขออะไรนอกจากเรื่องนี้
เป็นที่หนึ่งในตอนนั้นไม่อยากทำให้ใครผิดหวัง
ผมทำมาตลอด และมันก็ประสบความสำเร็จ ทุกคนในบ้านล้วนภูมิใจ ความรู้สึกตอนนั้นมันเป็นความสุขที่ล้นปรี่
นั่นคือความฝันของผมครั้งแรก
ฝันที่จะให้ทุกคนในครอบครัวมอบความรักกับผมตลอดไป
แต่นั่นแหละ ทุกคนไม่ได้มีฝันที่เหมือนกัน
‘ม๊าไม่อนุญาต’
‘ทำไมอ่ะม๊า มันก็ไม่ได้…’
‘ลูกคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายๆงั้นเหรอ’
‘ผมยังไม่ได้ลองเลยม๊าจะไปรู้ได้ยังไง อนาคตผมนะม๊า’
‘แต่ม๊าเป็นคนส่งเสียเอก จะเถียงม๊าที่อาบน้ำร้อนมาก่อนทำไม เป็นอย่างที่ม๊าอยากให้เป็นมันยากนักเหรอ ดนตรีเอาไว้เป็นงานอดิเรกก็ได้ม๊าไม่ได้ห้าม แต่อย่าคิดจะเอามันมาเป็นอาชีพ’
‘…’
‘เอกยังเด็ก จะคิดอะไรตื้นๆก็ไม่แปลก หวังว่าเราจะไม่ได้คุยเรื่องนี้กันอีก’
‘ม๊า..’
‘วันก็เหมือนกัน อย่าทำม๊าผิดหวังไปอีกคน’
ทั้งที่ชีวิตเป็นของเรา
แต่ทำไมความฝันถึงไม่ได้เป็นของเรานะ
วันนั้นผมได้ยินเสียงฝนตกหนัก
..ไปพร้อมกับเสียงสะอื้นของพี่ที่ผมรักทั้งสองคน
เรื่องราวชีวิตในครอบครัวยังดำเนินไปเรื่อยๆ
และความฝันในวัยเด็กของพี่ก็เด่นชัดขึ้นทุกวัน
มันไมได้เป็นอย่างที่ม๊าหวังไว้ ทั้งสองก็ยังคงยืนกรานในคำพูดของตัวเอง มันกลายเป็นการทะเลาะที่เพิ่มระยะห่างต่อกันมากขึ้นมาตลอด
ผมไม่รู้ควรจะทำตัวยังไง เพราะพวกเขาสำคัญกับผมทุกคน
อยากให้ม๊ามีความสุข อยากให้พี่ได้ทำตามที่หวัง หากพี่เขาเป็นไม่ได้ผมก็จะเป็นให้ ผมจึงพยายามมากขึ้น อย่างน้อยก็รู้ว่ามีผมอยู่ตรงนี้ที่จะทำตามคำขอ
และยอมแบกรับหินนั้นไว้เพียงคนเดียว
ทุกอย่างบนโลกใบนี้ไม่ได้เป็นอย่างที่ใจคิด ในตอนนั้นถึงแม้ผมจะกวาดรางวัลมาเป็นสิบเป็นร้อยก็ไม่มีใครสนใจ มันกลายเป็นความชินชาต่อการเป็นที่หนึ่งไปแล้ว
ความสัมพันธ์ในบ้านระหองระแหงมากขึ้น
จนสุดท้ายพี่ที่ผมรักทั้งสองก็ตัดสินใจเลือกอนาคตของตัวเอง..
และทิ้งผมไว้กับความรู้สึกที่จะไม่มีวันเหมือนเดิมอีกแล้ว
‘ไม่ว่าที่หนึ่งจะเป็นยังไง พวกพี่ก็รัก’
‘ไว้อีกสิบปีเรากลับมาเล่นชิงช้าด้วยกันนะ’
สายตาผมจับจ้องไปที่ชิงช้าเก่าๆกลางสวนสาธารณะหมู่บ้านที่เต็มไปด้วยความทรงจำ
มันคงจะเป็นไปไม่ได้หรอก..
“ที่หนึ่ง”
“…”
“ไหวหรือเปล่า”
บ้านที่อยู่ทุกวันตั้งแต่เกิด คุ้นชินแทบทุกมุม แต่ตอนนี้ในหัวของผมไม่มีคำสั่งให้ก้าวเข้าไปในนั้นเลย
ป๊าจะเป็นยังไง จะใจดีอย่างที่ทุกคนบอกไหม แล้วถ้ารู้เรื่องทั้งหมดจะเกิดอะไรขึ้น
ถ้าผมรู้จักเขาดีก็คงไม่ต้องมากังวลแบบนี้
“เฟิร์ส...”
“ไม่เป็นไร มันจะไม่เป็นอะไร” มือหนาโอบไหล่ผมเข้าไปใกล้
“มันจะเลวร้ายกว่าเดิมหรือเปล่า เขาจะน่ากลัวมั้ย”
“ชู่ว ใจเย็นๆ”
“เราไม่อยากให้แม่เราเสียใจไปมากกว่านี้”
“…”
“แค่ไม่เจอพี่มาสามปีแม่ก็ทุกข์มากพอแล้ว”
มันไม่ใช่การบอกความลับอะไร
แต่เป็นการระบายความอัดอั้นที่เก็บมานานกับคนตรงหน้า
ที่ผมรู้สึกสบายใจด้วยที่สุดในตอนนี้...
“มันจะผ่านไปด้วยดี เชื่อเรา”
“…”
“เข้มแข็ง ที่หนึ่ง”
เขาเอื้อมมือมาประคองใบหน้าแล้วปัดปอยผมให้ช้าๆ
“เฟิร์สอยู่ตรงนี้”
ในที่สุดก็ก้าวเท้าเข้ามาในบ้าน
กลางห้องนั่งเล่นมีคนทั้งสองนั่งอยู่ราวกับรอคอยให้ผมกลับมา
ผมลงกลอนประตูบ้านอย่างประหม่า ลอบกลืนน้ำลายทันทีเมื่อมีสายตาตวัดหันมอง
เราสบตากันอย่างเงียบเชียบจนได้ยินเสียงลมหายใจ
นั่น...
ป๊าจริงๆเหรอ
ใบหน้าเคร่งขรึม แววตาเรียบนิ่งไม่แสดงความรู้สึกอะไร ท่านกำลังกอดอกสำรวจผม กวาดสายตามองตั้งแต่หัวจรดเท้า
“เป็นที่หนึ่ง..ใช่มั้ย”
หากเสียงที่เอ่ยออกมา ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด
“ครับ”
“เลี้ยงลูกยังไงให้กลับบ้านมืดค่ำแบบนี้”
“เขาขอฉันแล้ว” ม๊าถอนหายใจ ก่อนที่จะกวักมือให้ผมมาใกล้ๆ “มานั่งนี่สิลูก”
ความรู้สึกประหม่าและไม่คุ้นชินยังคงอยู่ ผมไม่กล้าสบตากับผู้เป็นพ่อตรงๆ คำกล่าวขานเรื่องราวที่ผ่านมาจากพี่และม๊าของคนตรงหน้าดูเหมือนจะไม่เป็นจริงเลยสักนิด
“อายุเท่าไหร่แล้ว”
“สิบเจ็ดครับ”
“อืม..”
บรรยากาศอบอวลไปด้วยความรู้สึกประหลาด ซึ่งผมไม่ชอบเลย
“ม๊าเล่าให้ฟังว่าเรียนเก่งมาก จริงหรือเปล่า”
ผมนั่งนิ่ง ก่อนจะพยักหน้าอย่างเกรงๆ
“อืม สมชื่อดี”
ทำไมถึงได้รู้สึกห่างไกลขนาดนี้..
“คุณ..”
“…”
“ใช่ป๊าจริงๆเหรอครับ”
“ทำไมพูดแบบนี้ล่ะที่หนึ่ง” ม๊าเอ็ดขึ้นมาทันที ต่างจากคนตรงหน้าที่เลิกคิ้วอย่างสงสัย
ก่อนที่จะอ้าแขนทั้งสองข้างออก
“ลองกอดกันดู”
“…”
“ตอนแกสองขวบ ป๊าก็เคยกอดมาแล้วเหมือนกัน”
ผมนั่งนิ่ง
นั่นมันผ่านมาสิบกว่าปีแล้ว จะไปเหมือนกับตอนนี้ได้ยังไง
ชั่งใจสักพัก ก่อนจะส่ายหัว
“ไม่เป็นไร เข้าใจว่ายังไม่ชิน แต่ก็อีกไม่นานหรอก”
ท่านเดินมาลูบหัว แต่ผมก็ไม่ได้ปัดมือออกแต่อย่างใด ก่อนที่อีกฝ่ายจะหายเข้าไปในห้องนอน
ผมทำตัวไม่ถูกเลยสักนิด
แต่สิ่งที่ยืนยันในใจของผมตอนนี้...คือผมไม่ได้โหยหาสัมผัสจากคนเป็นพ่อเลย
และมีสิ่งที่คาใจผมมากกว่านั้น
หันไปถามคนข้างๆก็เหมือนจะพอรู้ว่าผมจะพูดอะไร
“ม๊าบอกว่าทั้งคู่ไปเข้าค่ายน่ะ..”
“เขาจะไม่สงสัยเอาเหรอครับ”
“ถ้ายังอ้างเรื่องนี้ได้อยู่ ก็คงพอยืดเวลาไปได้เรื่อยๆ”
“…”
“ม๊าไม่พร้อมที่จะบอกเขาตอนนี้”
ผมมองใบหน้าโรยราของผู้ให้กำเนิดด้วยความรู้สึกปนเปกันไปหมด
ภาวนาว่าเมื่อถึงตอนนั้น...มันจะไม่เลวร้ายก็พอ
ใจของคนเราจะทนต่อความกังวลได้หรือเปล่า
ผ่านมาสามวันแล้วหลังจากที่ป๊ากลับมาอยู่ที่บ้าน
ผมไม่รู้ว่าเขาจะตะขิดตะขวงใจในคำโกหกนั้นมากน้อยแค่ไหน
ถ้าป๊าเป็นคนช่างสังเกต เขาอาจรู้ได้ในทันทีว่าในบ้านมีเพียงผมกับม๊าสองคนที่ยังอยู่ เพราะข้าวของเครื่องใช้ที่อยู่ในนั้น ไม่มีอะไรเป็นของพี่ทั้งสองเลย
ราวกับคลื่นใต้น้ำที่รอเวลา...
ผมมาบ้านสีด้วยใจที่เหม่อลอยทุกวันจนจับสังเกตได้ ถึงจะมีสายตาเป็นห่วงจากเพื่อนในกลุ่มแต่พวกนั้นก็รู้ดีว่าหากผมไม่เป็นคนพูดขึ้นมาเองก็จะไม่ถามให้ลำบากใจ
ไม่พร้อมที่จะปรึกษาหรือระบาย ความรู้สึกที่เป็นอยู่ตอนนี้ผมยังจัดการไม่ถูกเลยด้วยซ้ำ
จะมีก็แค่คนเดียวที่คอยถามไถ่เสมอ เป็นความห่วงที่ผมไม่อึดอัดเพราะอีกฝ่ายก็ไม่ได้ก้าวก่ายเข้ามาในเรื่องส่วนตัว เพียงแต่จะคอยอยู่ข้างๆเหมือนอย่างที่เคยบอก
“พอแล้วที่หนึ่ง ไปกินข้าวเถอะ”
เขาก็ยังคอยเตือนเรื่องทานข้าวให้ตรงเวลาทุกครั้ง ผมผละออกจากงานตรงหน้า ลุกขึ้นเดินตามคนตัวสูงไป
“ไม่กินอยู่บ้านสีเหรอ”
“เดี๋ยวพาไปกินที่อื่น”
เฟิร์สยิ้มให้เหมือนอย่างทุกวัน และพามาหยุดที่ร้านหนึ่งที่ไม่ค่อยมีคนพลุกพล่าน
การตกแต่งรอบๆทำให้รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมา คล้ายกับยกสวนขนาดย่อมมาตั้งไว้ ธรรมชาติกับเสียงดนตรีที่คลอไปเข้ากันดีอย่างบอกไม่ถูก
“ชอบหรือเปล่า” อีกฝ่ายโน้มลงกระซิบหลังจากที่เดินตามเข้ามา
“อื้อ..ชอบ”
“ดีแล้ว”
เขาจัดการสั่งอาหารให้เสร็จสรรพ ทรุดตัวลงนั่งข้างผมแทนที่จะเป็นฝั่งตรงข้าม
“มาเบียดเราเดี๋ยวก็อึดอัดหรอก”
“ไม่ได้ไล่ใช่มั้ย” คนตัวสูงถามอย่างไม่จริงจัง
“เปล่า ก็ตัวยักษ์ขนาดนี้กลัวนั่งไม่สบาย”
ยิ่งนั่งข้างกันแบบนี้ยิ่งเห็นความแตกต่างของตัวผมและเขาอย่างชัดเจน
“ที่หนึ่งก็ตัวเล็กๆเอง”
เฟิร์สเอนหลังสบายๆก่อนจะดึงแขนผมให้เอนลงมาด้วยกัน
“ตัวเล็ก...แต่แบกอะไรไว้เยอะเลย”
“…”
“เราอะตัวใหญ่กว่าเป็นเท่า”
“…”
“อะไรที่มันหนักหนา...แบ่งให้เราบ้างก็ได้”
ปลายนิ้วเลื่อนมาคลึงที่มุมปากซ้าย
“อยากให้ยิ้มเหมือนเดิม..”
ผมยอมจำนนแต่โดยดี
เอนซบไหล่กว้างของอีกฝ่ายอย่างหมดเรี่ยวแรง ทิ้งทุกอย่างที่เป็นเกราะกำบังตัวเองไว้ ทิ้งแม้กระทั่งทิฐิทั้งหมดที่มี
เพราะผมต้องการแค่กำลังใจจากเขาเท่านั้น..
โชคดีเหลือเกินที่ผมมีเฟิร์สเข้ามาในชีวิต
ทว่าลางสังหรณ์ในใจกลับทำให้ผมรู้สึกหวาดกลัว
มันปะทุรุนแรงกว่าครั้งไหนๆ
พอได้ยินเสียงแว่วมาจากภายในตัวบ้าน มือที่ถือกุญแจก็ยิ่งสั่นเข้าไปอีก
ต่อให้จะภาวนาแค่ไหนว่าอย่าเป็นอย่างที่คิด
ก็ดูเหมือนว่าคำขอนั้นจะไม่มีวันเป็นจริง
“นี่คุณปิดบังผมมาตลอดสามปีเลยเหรอ”
“ฉันไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนี้”
“ลูกหายไปทั้งสองคน ยังจะกล้าพูดแบบนี้ได้ คุณมันบ้าไปแล้ว!”
“ขอโทษ ฮึก ฉันขอโทษ”
“ให้ตายเถอะ!”
เสียงกร้าวตะคอกใส่ด้วยอารมณ์โกรธอย่างรุนแรง ผมเบิกตากว้างอย่างตกใจเมื่อเห็นม๊าทรุดลงกับพื้นพร้อมกับเสียงร่ำไห้ปานขาดใจ
“ม๊า..ม๊า” ตรงเข้าไปจับไหล่คนบนพื้นทันที น้ำตาที่ไหลนองหน้าทำให้ผมรู้สึกเจ็บจนอยากจะแบกรับแทน
“แกมาก็ดีที่หนึ่ง อย่าบอกว่าทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เหมือนม๊าแกนะ”
“…”
“กล้าปล่อยให้เขาไปได้ยังไง ป่านนี้จะดีจะร้าย เป็นหรือตายก็ไม่รู้ มีอะไรทำไมไม่คุยกันดีๆ นั่นลูกนะคุณ ลูกแท้ๆ!!”
“คุณจะรู้อะไร”
นาทีนั้นผมลุกขึ้นยืนไปประจันหน้ากับคนที่มีศักดิ์เป็นถึงพ่ออย่างไม่เกรงกลัว
และสบตาเขาด้วยความรู้สึกทั้งหมดที่มี
ถึงจะขี้ขลาดมาตลอด...แต่ครั้งนี้ผมคงต้องกำจัดมันทิ้งไป
“คนที่หายไปเป็นสิบปีอย่างคุณ มีสิทธิ์ที่จะพูดอย่างนี้ด้วยเหรอ”
“ที่หนึ่ง!”
“ที่หนึ่ง พอลูกพอ ฮึก”
“คุณไม่เคยแม้จะเหลียวแล พอกลับมาคุณก็เอาแต่โทษม๊า ทั้งที่ในตอนนั้นคุณก็ไม่ได้อยู่กับพวกผม”
“…”
“เพราะคุณก็รักแต่งานของคุณ ไม่เคย...นึกถึงลูก”
”พอแล้วที่หนึ่ง ม๊าขอ”
“คุณไม่เคยเป็นพ่อที่ดีในสายตาผมเลย”
ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ หันหลังให้กับเขาแล้วพยุงม๊าขึ้นไป
พอกันที..
ผมเหนื่อยแล้ว
ตั้งแต่จำความได้ ก็ไม่เคยเรียกร้องอะไรจากใคร
แม้อยากจะได้รับความสนใจมากแค่ไหน แต่เมื่อมันถูกแบ่งไปใช้กับพี่ๆที่ผมรัก ผมก็เรียกร้องอะไรไม่ได้
แปลกดี คนที่ทำตามคำขอทุกอย่างกลับถูกทิ้งไว้ข้างหลัง เพื่อไปวิ่งตามคนที่มีความฝันเป็นของตัวเอง
การหายไปของพี่ ผมไม่รู้หรอกว่าตอนนี้พวกเขาไปอยู่ไหน ทำอะไร แต่ผมเชื่อมั่นในทั้งสองคนว่าเขาอยู่ได้ด้วยตัวเอง
หากจะขอเรียกร้องหรือเห็นแก่ตัวสักครั้งเพื่อให้ม๊าสนใจบ้าง แต่สุดท้ายท่านก็ยังคงพะวงและคิดถึงพี่มาตลอดตั้งแต่วันนั้น โดยใส่ใจผมที่อยู่ข้างๆน้อยลงทุกวัน
และมันกลายเป็นความชินชาไปแล้ว
ชินชา...ที่ไม่ได้รับความสนใจ
มันทิ้งระยะเวลายาวนานจนผมไม่อยากได้อะไรจากท่านอีก
ไม่เป็นไรหรอก
ผมยอมรับมันมาได้นานจนมันไม่รู้สึกแล้วล่ะ..
สะดุ้งตื่นมากลางดึก
ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย มันเป็นอย่างนี้ทุกครั้งเมื่อมีอาการเครียด
ก้าวเท้าลงมาจากเตียง หวังไปดื่มน้ำอุ่นที่ห้องครัวให้สมองผ่อนคลายกว่านี้
แต่ก็ได้ยินเสียงแว่วจากห้องตรงข้ามเสียก่อน
“แล้วจะเอายังไง”
“…”
“ผมไม่ยอมให้ลูกหายตัวไปดื้อๆแบบนี้หรอกนะ โอเค ผมก็มีส่วนผิดที่ไม่ได้อยู่ด้วย แต่จะให้หลับหูหลับตาทำเป็นไม่รับรู้ผมทำไม่ได้”
“ฉันไม่รู้จะไปตามหาพวกเขาที่ไหน เคยลองสืบแล้วแต่ก็ไม่มีวี่แวว”
“ผมจะลองดูอีกครั้ง”
“ฉันจะช่วยเต็มที่...มันนานมากพอแล้ว”
“เลิกคาดหวังกับลูกได้แล้วนะฟ้า ไม่ใช่แค่สองคนนั้น ที่หนึ่งก็เหมือนกัน”
“ฉัน...”
“ดูจากวันนี้ก็รู้ว่าลูกรักคุณมาก จนผมละอายใจที่ไม่เคยดูแลเขาเลย”
ผมหลุบตาลงต่ำ
จริงๆพอมาคิดดูอีกทีก็พูดแรงเกินไปเหมือนกัน
“อย่าทำให้เขาผิดหวังในตัวคุณ ดูแลเขาให้ดีๆเพราะคุณคือที่พึ่งสุดท้ายของที่หนึ่ง”
“ขอบคุณ”
ภาพสุดท้ายที่ผมเห็นคือผู้ชายคนนั้นรวบตัวม๊าเข้าไปกอด
จึงตัดสินใจหมุนตัวกลับเข้าไปในห้องนอนเช่นเคย
พร้อมกับความคิดมากมายที่ทำให้ผมนอนไม่หลับจนเกือบเช้า..
♥