[ต่อ].
.
.
ย้อนกลับไปดูที่โต๊ะหินอ่อนที่มี 4 หนุ่ม 4 มุมนั่งกันอยู่ พวกเขากำลังพูดคุยกันไปเรื่อยเปื่อย รวมถึงเรื่องการสอบไฟนอลในสัปดาห์หน้าด้วย สำหรับวิชาที่พวกเขาเรียน จะบอกว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้ายก็ไม่แน่ใจ เพราะว่าเป็นวิชาที่ไม่มีรายงานมาบั่นทอนเวลาเที่ยวเล่น แต่สอบมิดเทอม 40% กับไฟนอลอีก 60% วัดผลกันไปเลย ผ่านเป็นผ่าน ตกเป็นตก... เรียกได้ว่าเตรียมตัวมาไม่ดีนี่มีเสียวนะคร้าบบบบบ
“วันนี้คาบสุดท้ายแล้วเปล่าวะ” แบงก์เอ่ยถามขึ้น เพื่อนๆ ก็พยักหน้าให้เป็นคำตอบ
“เย้! งั้นต้องฉลองเว้ย!”
“สัด มึงจะฉลองพร่ำเพรื่อไปละ เอาไว้หลังสอบทีเดียวเลย” ว่านพูดหน้าหน่าย
“เออ พูดแล้วก็นึกถึงไอ้โต้งขึ้นมา นี่มันหายไปไหนวะเนี่ย ไม่เห็นมาที่โต๊ะเลย หลายวันละ” เมื่อนึกถึงการไปฉลองกัน ก็นึกขึ้นได้ว่าไม่ได้เจอโต้งมาตั้งแต่ที่ไปเมากันคราวที่ผ่านมา
“กูก็เห็นล่าสุดตอนที่ไปเมากันสัปดาห์ที่แล้วอะแหละ” แบงก์เอ่ย
“กูเพิ่งเจอเมื่อเช้านี่เอง เห็นเดินอยู่กับดรีมไปทางห้องสมุด” โบ๊ทกล่าวเสียงเรียบ
“นั่นไง กูว่าแล้ว ไอ้โต้งกับดรีมแม่งแฟนกันชัวร์ ตัวติดกันตลอด” เต็มพูดพร้อมตบหน้าตักตัวเอง ก่อนจะต่อท้ายด้วยเสียงล้อเลียนว่า “...เหมือนมึงกับไอ้เปี๊ยกไง ตัวติดกันตล๊อดดดดด ฮ่าๆๆๆๆๆ โอ๊ย! เชี่ย ตบหัวกูอีกแล้วนะ ไอ้เชี่ยโบ๊ท”
“หึ! ปากดีก็ต้องโดนเป็นธรรมดา”
“แหม ทีกับกูละ ตีเอาๆ... กูอยากรู้จริงๆ เลยวะ ว่าเวลาไอ้เปี๊ยกมันปากดีเนี่ย มันจะ –โดน- อะไรว๊า” เต็มเจอช่องก็ไม่ปล่อยโอกาส แทงมุขเข้าไปเต็มๆ
“กูว่าไอ้เปี๊ยกมันคงโดนตบปากอะ แต่ตบด้วยอะไรอันนี้กูไม่กล้าเดา ฮ่าๆๆๆๆ” แบงก์กล่าวกลั้วเสียงหัวเราะ
“ตบด้วยอะไรไม่รู้แหละ รู้แค่ว่าต้องเป็น –ของแข็ง- เท่านั้น กร๊ากกกกก... โอ๊ย!!”
“เป็นไง แข็งพอไหม มือกูเนี่ย เชี่ยว่าน!”
“ฮ่าๆๆๆๆๆๆ... อุ้ย...” แบงก์หัวเราะว่านที่โดนตบหัวไปเน้นๆ ก่อนเสียงฟัวเราะจะต้องสะดุดเมื่อเจอสายตาของโบ๊ทกับมือที่ตั้งฉากพร้อมแล่นลงกบาลได้ทุกวินาที
“เฮ้ออออ พวกมึงนี่นะ ทำไมต้องวกเข้าเรื่องกูกับไอ้เปี๊ยกทุกทีเลยวะ แซวพวกกูมาเป็นปี ไม่เบื่อกันบ้างรึไงห๊ะ”
“เอ้า แล้วถ้าไม่แซวพวกมึง แล้วกูจะไปแซวหมาที่ไหน จะกูไปจับคู่ไอ้ว่านกับไอ้แบงก์มันก็เปลืองปากเปล่าๆ”
“อ้าว ไอ้เต็ม พูดงี้หมายความว่าไงวะ กูกับไอ้ว่านมันแย่ตรงไหน... พวกกูออกจะรักกันขนาดนี้ เนอะ ว่านศักดิ์” แบงก์ไม่พูดเปล่า ทำเสียงอี๋อ๋อปิดท้ายแล้วเข้าไปกอดคอโอบไหล่ว่านที่นั่งทำหน้ารังเกียจอยู่ข้างๆ ก่อนจะถูกว่านปัดมือออกอย่างไร้เยื่อใย
“ฮ่าๆๆๆๆ ไอ้ว่านไม่เอามึงวะ แบงก์ ฮ่าๆๆๆๆๆ”
“มึงอย่ามาอิจฉานะ ไอ้เต็ม กูกับว่านออกจะรักกันขนาดนี้” แบงก์ยังไม่เลิก ยังจะกอดคอโอบไหล่ว่านแล้วพยายามยัดเยียดแก้มตัวเองไปแปะกับแก้มของเพื่อนสนิทที่ทำหน้ารังเกียจอย่างชัดเจน
“ฮึ่ยยยย เชี่ยแบงก์ มึงหยุดเลยนะ กูขนลุก”
“แหมๆ มาขนลงขนลุกอะไร เมื่อคืนยังบอกรักเขาอยู่เลย”
“ไอ้แบงก์ มึงจะปล่อยกูดีๆ หรือมึงจะต้องให้กูถีบมึงตกสระเป็ด” ว่านหยุดดิ้น นั่งนิ่งแล้วกล่าวเสียงเรียบเย็นยะเยือก
“อุ้ยยยย...ปล่อยก็ได้... ไอ้ว่าน มึงแม่ง ไม่รับมุขกูเล๊ย”
“ฮ่าๆๆๆๆ” และแล้วก็กลายเป็นโบ๊ทกับเต็มที่หัวเราะก๊ากกับท่าทางเกรียนๆ ของเพื่อนทั้งสองคน แต่โบ๊ทเองก็หัวเราะได้ยังไม่ทันอิ่มก็เจอคำถามที่ทำเอาลูกคอสะอึก
.
“เออ ว่าแต่มึงเหอะ ไอ้โบ๊ท... ถามจริงๆ ว่าที่มึงกับไอ้เปี๊ยกคบกันเนี่ย
ใครบอกรักก่อนวะ”
.
โบ๊ทหยุดหัวเราะ ทำหน้าครุ่นคิด คิ้วเข้มเริ่มขมวดเข้าหากัน พยายามนึกหาคำตอบให้คำถาม... ใครบอกรักก่อน... อืมมมม
โบ๊ทนึกย้อนกลับไปเมื่อหลายวันก่อน วันที่เขาขอกีต้าร์คบด้วยนาฬิกา... ไล่เหตุการณ์ตั้งแต่เช้ายันเย็น นึกย้อนไปทีละวัน ทีละวัน แต่พอนึกทวนดีแล้วก็นึกขึ้นได้ว่าพวกเขายังไม่มีใครบอกรักกันเลยสักคำ... บนเตียงเมื่อคืนนี้ ก็ไม่มีใครพูดคำว่ารักออกมาแม้แต่น้อย... เขาเองก็ไม่ได้พูด เรียกได้ว่าแทบจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำ... ต้าร์เองก็ไม่เคยพูด ว่าแล้วก็นึกสงสัยขึ้นมา ว่าต้าร์มันลืมเหมือนเขาหรือเปล่า...
“เฮ้ย เชี่ยโบ๊ท มึงเหม่อไรเนี่ย”
“อ้อ เอ้อ เปล่าๆ”
“มาเปล่าไรอีกมึง ตกลงใครบอกรักก่อนวะ มึงหรือไอ้ต้าร์”
“...” โบ๊ทไม่รู้ว่าจะตอบว่าอะไรดี เลยได้แต่นั่งกลืนน้ำลายไปอึกใหญ่
“มึงไม่ต้องเขินพวกกูหรอกน่า เชี่ยโบ๊ท มาถึงขั้นนี้แล้ว นั่งจับมือซบไหล่กันต่อหน้าพวกกูยังกล้า แค่บอกมาแค่นี้จะอายอะไร” เต็มพยายามกล่อมเพื่อนให้ปริปาก
“เอ่อ... เขินพวกมึงอะ มันก็ใช่... แต่...”
“...” เต็ม แบงก์ ว่าน รอฟังอย่างตั้งใจ
“คือ... ไม่มีวะ”
“ห๊ะ? ไม่มีอะไรของมึง”
“...ไม่มีใครบอกก่อนทั้งนั้นแหละ” คำตอบของโบ๊ททำเอาเพื่อนๆ งงกันใหญ่
“ไม่มี?”
“อือ”
“มึงไม่เคยบอกรักไอ้เปี๊ยก แล้วไอ้เปี๊ยกก็ไม่เคยบอกรักมึง?”
“อือ”
“เฮ้ยยยยย นี่มึงเป็นแฟนกันแบบไหนวะเนี่ย”
“เอ่อ...”
“นี่ เชี่ยโบ๊ท กูถามจริงๆ อีทีนะ... ไอ้เปี๊ยกมันรู้ตัวไหมเนี่ยว่าเป็นแฟนมึง”
“ฮึ่ย รู้ดิ” ว่าแล้วก็เผลอนึกไปถึงเหตุการณ์บนเตียงเมื่อคืนที่ผ่านมา ทำเอาโบ๊ทหน้าขึ้นสีลามไปถึงหู
“ฮ่าๆๆๆๆๆ ไอ้เต็ม มึงพอเหอะ ไอ้โบ๊ทมันเขินหน้าแดงหูแดงหมดแล้วเนี่ย” โบ๊ทนึกขอบใจว่านอยู่ในใจที่ช่วยเข้ามาตัดจบประเด็นนี้
“ไอ้ว่าน มึงอย่ามาทำเป็นคนดี จริงๆ มึงก็อยากรู้เหมือนกันแหละ สาดดดดด”
“เออ กูอะ อาจไม่ได้เป็นคนดี แต่มึงอะกากสัดๆ... เหมือนแมนยูของมึงเมื่อคืนนี้แหละ”
“อ้าว เชี่ย เล่นอะไรไม่เล่น มาเล่นผีของกู เดี๋ยวเหอะ คราวหน้าจะซัดให้ปีกกามึงหักเลย”
และแล้วบทสนทนาก็เปลี่ยหัวข้อไปเป็นการคุยทับกันเรื่องทีมฟุตบอลทีมโปรดของตัวเอง... ไอ้โบ๊ทรอดไป ฟุ่ววววว
.
.
ทั้งสี่หนุ่มนั่งคุยกันเสียงดังเจี๊ยวจ๊าวอีกสักพัก ก็เห็นรุ่นน้องหน้ากวนวิ่งหน้าระรื่นกลับมาที่โต๊ะ... ทีวิ่งกลับมาเพียงคนเดียว ทำให้โบ๊ทแปลกใจอยู่ไม่น้อยว่ากีต้าร์หายไปไหน มองหายังไงก็ไม่เห็นวี่แววว่าจะเดินตามมา เห็นแต่โจที่กำลังเดินถือของตามมาอยู่ไกลๆ
“มองหาใครเหรอ พี่โบ๊ท” ทีถามเสียงล้อเลียน ไม่ใช่ไม่รู้ แต่อยากแซวไปงั้น
“ไอ้เปี๊ยกละ” รายนี้ก็ไม่ต้องอ้อมค้อมอะไร ถามตรงๆ ไปเลยนี่แหละ
“กำลังตามมา แต่คงนานหน่อยนะพี่... วันนี้ไอ้เปี๊ยกมันเดินช้า” ทีกล่าวเน้นเสียงประโยคสุดท้ายพร้อมส่งสายตาแซวรุ่นพี่ร่างสูง เป็นการสื่อความที่มีเพียงโบ๊ทที่เข้าใจว่าทีหมายถึงอะไร
ทียิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนจะหย่อนก้นลงนั่งรวมวงกับว่านและแบงก์ที่กำลังรุมสับผีแดงทีมโปรดของเต็มอย่างเมามันส์ เพียงครู่เดียวโจก็เดินตามมาพร้อมถุงของที่วางลงกลางโต๊ะพร้อมสายตาอาฆาตที่ส่งตรงไปที่เพื่อนสนิทคู่หูรัก-ยมของตัวเองที่ดันชิ่งมาตัวเปล่า ปล่อยให้เขาเดินหิ้วของมาเพียงคนเดียว...
โบ๊ทหยิบโทรศัพท์ออกมาพิมพ์ข้อความแล้วส่งหาหมายเลขคุ้นเคยเพื่อบอกว่าไม่ต้องกลับมาที่โต๊ะ เดี๋ยวจะเดินไปหา... เมื่อกดส่งเสร็จ ก็คว้ากระเป๋าแล้วลุกขึ้นก่อนจะเอ่ยขึ้นลอยๆ ว่า
“พวกมึง เดี๋ยวกูไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ เจอที่ห้องเลย” ว่าแล้วก็สาวเท้าออกจากโต๊ะไปตามทางที่ทีเพิ่งเดินมา แต่ก็ไม่วายจะโดนเพื่อนๆ ตะโกนแซวว่าจะไปทำอะไรในห้องน้ำ ไม่รอไอ้เปี๊ยกก่อนเหรอ อะไรทำนองนี้... โฮ่ฮิ๊ววววววว
.
.
ร่างสูงเดินมุ่งหน้าไปทางร้านสะดวกซื้อข้างมหาวิทยาลัย เดินไปไม่ถึงครึ่งทางก็เจอร่างเล็กกำลังเดินสวนมา... หน้าหงิกเชียว
“เป็นไร หืมมม เดินหน้าหงิกเลยนะเรา” โบ๊ทเอ่ยเสียงอบอุ่นทันทีที่เขาเดินเข้าไปขวางหน้าร่างเล็ก
“...แม่ง...” กีต้าร์สบถแล้วพ่นลมออกจากจมูกอย่างขัดใจ
“เพื่อนแกล้งอีกละสิ... ฮ่ะๆๆ... ไม่เอาน่า เพื่อนเขารักหรอกถึงแกล้งอะ” โบ๊ทพูดพลางยีหัวร่างเล็กเบาๆ
“ไอ้ลิงภูเขา!”
“เอ้า ไรเนี่ย เปี๊ยกแล้วยังจะพาลอีก”
“ไม่ต้องเลย เพราะคุณโบ๊ทแหละ”
“อ้าววววว ไรเนี่ย”
“...ไอ้ที ไอ้โจ มันตีตูดอะ! แม่งงงงง เจ็บอะ!!” พูดไปก็หน้าแดงไป... น่ารัก
“ฮ่ะๆๆๆๆ โอ๋ๆๆๆๆ เดี๋ยวโบ๊ทแก้แค้นให้เอง เตะให้ตัวขาดทั้งสองคนเลยดีไหม”
“ต้องดีดหน้าผากมันให้แดงไปสามวันเลย!!”
“ดีดหูด้วยไหม”
“ดีดให้หูหลุดเลย!”
“บิดนมด้วยไหม”
“บิดให้นมขาดเลย!”
“ฮ่าๆๆๆๆ โอเคๆ ไปๆ งั้นเราไปเติมพลังกันก่อนจะได้มีแรงไปแก้แค้นเนอะ”
“...” คำพูดของโบ๊ททำเอาต้าร์ชะงัก... เกรงว่าไอ้ “เติมพลัง” ที่ว่ามันหมายถึง “ชาร์จแบท” หรือเปล่า
“ไม่ใช่ชาร์จแบทหรอกน่า ไม่ต้องทำหน้าเหวอขนาดนั้น... ไป กินขนมโตเกียวกันดีกว่า”
“เลี้ยงปะละ”
“สิบอันเลย”
“สิบห้า”
“สิบสองละกัน”
“สิบห้า”
“สิบสาม เพิ่มให้ตัวนึง”
“สิบห้า”
“ฮ่าๆๆๆๆ โอเคๆ สิบห้าก็สิบห้า ฮ่าๆๆๆๆ”
ว่าแล้วก็กอดคอกันเดินไปร้านขนมโตเกียวเจ้าประจำ... เดินช้าๆ ไม่รีบร้อน
.
.
คาบเรียนภาคบ่ายจบลง เนื้อหาส่วนใหญ่เป็นการทบทวนบทเรียนที่ผ่านมา รวมถึงแนวข้อสอบที่พวกเขาจะต้องเจอในสัปดาห์หน้า... วันนี้ชายหนุ่มทั้งเจ็ดคนตั้งใจเรียนเป็นพิเศษ ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติที่นักเรียนมักจะตั้งใจกันสุดๆ ก็ตอนคาบสุดท้ายนี่แหละ... กลัวไม่รู้แนวข้อสอบ... ยกเว้นก็แต่โบ๊ทเนี่ยแหละ ที่มักจะเหม่ออยู่เป็นระยะๆ... กีต้าร์ที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็แอบเหล่อยู่เรื่อยๆ แต่ก็ไม่ได้ถามอะไร
เมื่อออกมาจากห้องเรียน ชายหนุ่มทั้งเจ็ดก็ออกมานั่งคุยกันเรื่องนัดติวกันต่อ ซึ่งไม่ต้องเดาให้เมื่อยสมองเลยว่าหวยจะไปออกที่ใคร... ก็ใช่นะสิ จะมีที่ไหนสะดวกสบายเป็นส่วนตัวเท่าคอนโดฯ ของโบ๊ทและต้าร์อีกหรือ.... ว่าแล้วก็ลงมติกันเป็นเอกฉันท์ 5 ต่อ 2... เอ่อ ไอ้สองเสียงที่คัดค้านไม่เห็นด้วยเนี่ย ไม่ต้องบอกก็คงจะรู้ใช่ไหมว่าใคร ฮ่าๆๆๆๆ... พอปิดประชุม ก็พากันสะบัดก้นแยกย้ายกันกลับบ้าน โดยนัดไปเจอกันที่คอนโดฯ ของโบ๊ทและต้าร์ในวันเสาร์-อาทิตย์ที่จะถึงนี้
.
.
โบ๊ทเดินหน้าเซ็งนำกีต้าร์กลับไปที่รถ ที่หน้าเซ็งเนี่ยไม่ใช่อะไรหรอก เขาแค่เซ็งที่เพื่อนๆ ทำผิดแผน เพราะจริงๆ แล้วเขาคิดเอาไว้ตั้งแต่ในห้องเรียนแล้วว่าจะอ่านหนังสือกับต้าร์เพียงสองต่อสอง ประมาณว่าอยากใช้เวลาเงียบๆ ร่วมกัน แอบมองกัน ติวให้กัน ตามประสาคนเป็นแฟนกัน อะไรแบบนั้น แต่เพื่อนๆ ดันจะมาเป็นก้างขวางคอซะงั้น ก็เลยเซ็งๆ... เอ่อ... ว่าแต่ ทำอย่างกับว่าไม่เคยอยู่กันสองต่อสองเลยเนอะโบ๊ทเนอะ
รถ BMW สีดำคันคุ้นตาเลื่อนล้อออกจากลานจอดรถของมหาวิทยาลัยมุ่งหน้ากลับคอนโดฯ ย่านลาดพร้าว ร่างสูงและร่างเล็กคุยกันเรื่อยเปื่อย จนกระทั่งเจอคำถามที่ว่า “เย็นนี้กินอะไรดี” นั่นแหละ เลยกลายเป็นว่ามานั่งเถียงกันเรื่องร้านที่จะฝากท้องสำหรับมื้อเย็น คนหนึ่งอยากกินอาหารญี่ปุ่น แต่อีกคนอยากกินอาหารเกาหลี กว่าจะตกลงกันได้ก็ทำเอาเหนื่อยกันทั้งคู่ เพลงที่เปิดไว้ก็ไม่มีใครได้ฟังอีกตามเคย... เฮ้ออออ สงสารดีเจ... แต่ยังไงก็ต้องขอบคุณโลกใบนี้ที่มีร้านอาหารที่มีทั้งอาหารญี่ปุ่นและอาหารเกาหลีรวมไว้ในร้านเดียว ไม่งั้นนะ คู่นี้เขาคงเถียงกันไม่จบอะ...
ทั้งอาหารญี่ปุ่นและอาหารเกาหลีหลากเมนูถูกกวาดลงท้องของชายหนุ่มทั้งสอง สั่งกันราวกับว่านี่คืออาหารมื้อสุดท้ายของชีวิตนี้ พนักงานถึงกับงงตอนที่รับออร์เดอร์ยาวเฟื้อย และยิ่งงงขึ้นไปอีกเมื่อเห็นว่าท้ายที่สุดอาหารทุกจานหมดเกลี้ยงไม่เหลือเลยสักจานเดียว... เอาเหอะ สั่งเยอะกินเยอะ แต่ก็จ่ายเงินครบนะเออ
.
.
21:47 น.
รถเก๋งคันดำเลี้ยวเข้าที่จอดรถของคอนโดฯ ก่อนจะถอยเข้าช่องจอดหมายเลข 707 อย่างชำนาญ... ร่างสูงดับเครื่องยนต์ ได้สักพักแล้ว แต่เขาเอาแต่นั่งนิ่ง คิ้วขมวด ไม่ยอมดึงกุญแจออก ประตูก็ยังล็อค ทำเอาร่างเล็กนั่งงง...
“เปิดล็อคดิ” ร่างเล็กเอ่ยสั่งเสียงสูง
“...” ร่างสูงไม่ตอบ ไม่เปิดล็อค แต่หันมาจ้องตาร่างเล็กแทน
“อะ... อะไร”
“...”
“ฮึ่ยๆๆๆ อย่าทำอะไรนะเว้ย... นี่มันที่จอดรถนะเว้ย”
“...อืมมมม”
“อย่านะ... พี่ยามมาเห็นนะ”
“อะไรของเอ็งเนี่ย ห๊ะ? เพ้ออะไร... แล้วก็ไม่ต้องมาเบี่ยงตัวหลบขนาดนั้นหรอกน่า คิดเหรอว่าเบี่ยงแค่นี้ ถ้าจะทำอะไรจริงๆ แล้วจะหลบพ้นนะ หืม?” ร่างสูงพูดพลางค่อยๆ เอนตัวเข้าใกล้ร่างเล็ก
“ก็... ก็แค่เผื่อไว้เฉยๆ หรอก”
“ฮ่าๆๆๆๆๆ ไอ้เพี้ยน”
“ไม่มีอะไรก็เปิดล็อคดิ ร้อนแล้วเนี่ย”
“เดี๋ยวก่อน”
“หือ?”
“...”
“...”
.
“ต้าร์... รักโบ๊ทไหม”.
เจอคำถามนี้เข้าไปแบบไม่คาดคิด แถมอยู่ในสถานการณ์ที่หาทางหนีทีไล่ไม่ค่อยจะมีซะด้วย เลยทำอะไรไม่ถูก ใจเต้นแรงจนได้ยินเสียง... ตึก ตึก... จากอกตัวเองอย่างชัดเจน รู้ตัวอีกทีก็หายใจไม่ออก... ตื่นเต้นจนลืมหายใจ... จะให้ตอบยังไง เขินก็เขิน ขืนพูดไปตรงๆ คงต้องหลบหน้าไปสักหลายๆ วันกันเลยทีเดียว... ว่าแล้วก็...
“ไม่”
“รักโบ๊ทไหม”
“ไม่”
“ชอบโบ๊ทไหม”
“ไม่”
“รู้สึกดีกับโบ๊ทบ้างไหม”
“ไม่”
“ปากแข็งจริง เดี๋ยวจับจูบเลยนี่”
“ไม่”
“มากอดทีนึง”
“ไม่”
“ต้าร์ ไม่เล่นนะ ถามจริงๆ”
“ไม่”
“ต้าร์...”
“ไม่”
“เออๆๆๆๆๆๆ ไม่ก็ไม่... ลงไปเลยไป” ร่างสูงพ่นลมออกจมูกเพราะโดนไอ้เปี๊ยกเกรียนใส่แบบไม่ดูบรรยากาศ ว่าแล้วก็หันหนี เบี่ยงหน้าไปทอดสายตาออกนอกหน้าต่าง
ทันทีที่ดึงกุญแจออก ประตูก็ปลดล็อคอัตโนมัติ ไอ้เจ้าเปี๊ยกก็เปิดประตูเพื่อที่จะออกไปจากความอึดอัดในรถตอนนี้ แต่เห็นสีหน้าผิดหวังของร่างสูงแล้วก็ทำเอาใจแปลบขึ้นมาจี๊ดๆ... ปากแข็งไปหรือเปล่า... ความเขินอายมันสำคัญไปกว่าความรู้สึกของโบ๊ทอย่างนั้นเหรอ... ว่าแล้วก็รวบรวมความกล้าทำในสิ่งที่โบ๊ทเองก็ไม่เคยคาดฝันมาก่อน...
.
“ล้อเล่น... *จุ๊บ*...”.
ร่างเล็กโน้มหน้าเข้าไปกระซิบใกล้ๆ หูของร่างสูงก่อนจะจูบเข้าที่แก้มใส... ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าคำพูดเพียง 3 คำกับจูบเพียง 1 จูบ จะสูบพลังและความกล้าของต้าร์ไปได้ขนาดนี้... ว่าแล้วความเขินอายก็พุ่งเข้าเล่นงานร่างเล็กแบบสายฟ้าแลบ... หน้าร้อนผ่าว ใจเต้นจนแทบทะลุออกมานอกอก... อยากหนี... เร็วเท่าความคิด ร่างเล็กรีบดีดตัวออกจากรถแล้วรีบวิ่งหนีเข้าคอนโดฯ ไป ปล่อยให้ร่างสูงนั่งตาโตสติหลุดอยู่ในรถอย่างนั้นเพียงลำพัง... กว่าจะรู้สึกตัว ร่างเล็กก็ไม่อยู่ให้จัดการแล้ว... ร่างสูงลูบแก้มตัวเองอย่างไม่อยากเชื่อว่าสัมผัสที่แก้มเมื่อครู่นี้จะไม่ใช่แค่ฝันไป... นี่มันยั่วกันชัดๆ
.
หากคำปฏิเสธมันจะหวานขนาดนี้ เขาก็พร้อมจะโดนร่างเล็กปฏิเสธตลอดไปเลยละ....
ร่างเล็กวิ่ง วิ่ง วิ่ง วิ่ง วิ่ง ก้าวเข้าลิฟท์ กดชั้น 7 แล้วกดปิดประตูลิฟท์ สายตาสอดส่องประตูทางเข้าคอนโดฯ ด้วยใจระทึกว่าร่างสูงวิ่งตามมาหรือเปล่า เมื่อไม่เห็นแม้แต่เงาก็ทำเอาโล่งใจพร้อมๆ กับประตูลิฟท์ที่ปิดสนิท... ระยะเวลาแค่ 7 ชั้น กลายเป็นระเวลาที่ยาวนานเหลือเกินในความรู้สึก...
ทันทีที่ลิฟท์เปิดออก ร่างเล็กยิ้มอย่างโล่งใจ เขาก้าวขาอย่างไม่รีบร้อนนักตรงไปที่ห้อง 706 ของตัวเอง แต่แล้วโชคชะตาก็เล่นตลกมุขแป็กเมื่อเขารู้ตัวว่า... กระเป๋ายังอยู่ในรถ... ภาพของกระเป๋าเป้ใบเก่งที่นอนแน่นิ่งอยู่เบาะหลังรถฉายซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในหัว ก่อนภาพจะค่อยๆ ซูมเข้าไปในช่องเก็บของหน้ากระเป๋าที่เขาใช้เก็บกุญแจห้อง...
กีต้าร์เดินวนไปวนมาอยู่หน้าห้อง ยีหัวตัวเองแรงๆ อยู่หลายที สบถกร่นด่าตัวเองก็หลายรอบ... ทำไงดี... แต่ก่อนที่เขาจะคิดอะไรออกก็...
~ปิ๊ง~
เสียงลิฟท์ดังขึ้นก่อนจะเปิดออก เผยให้เห็นร่างสูงที่ยืนหัวเราะเสียงทุ้มอยู่ในลำคอราวกับเสียงของยมทูตที่มารับวิญญาณผู้ชะตาขาด... ร่างสูงค่อยๆ ก้าวขาออกจากลิฟท์แล้วเดินตรงมาที่ร่างเล็กที่ยืตัวแข็งทื่ออยู่หน้าห้อง... มือของร่างสูงหิ้วหูกระเป๋าเป้ใบคุ้นตา แกว่งเบาๆ ซ้าย ขวา ซ้าย ขวา ราวกับว่าจะเย้ยว่าร่างเล็กหมดทางสู้ หมดทางหนี... ลูกแมวในกำมือ
“เมื่อยไหม” ร่างสูงเอ่ยถามขึ้นพลางยื่นกระเป๋าเป้ให้คืนเจ้าของ
“...” ร่างเล็กกลืนน้ำลายแล้วส่ายหน้าพลางรับกระเป๋าของตัวเองมา ก่อนจะควานหากุญแจห้องของตัวเอง แต่ยังไม่ทันได้หยิบออกมาไขประตู แขนเรียวก็โดนฉุดเข้าห้อง 707 ไปซะก่อน
.
“โบ๊ทมีเรื่องจะล้อเล่นกับต้าร์เยอะเลยละ... หึหึหึ”
.
เฮือก!!!
ประตูห้อง 707 ปิดลงก่อนจะตามมาด้วยเสียงโหยหวนที่คุ้นๆ ว่าน่าจะเป็นเสียงของกีต้าร์... มันโหยหวนมากจนเจ้าของห้อง 704 ที่อยู่เยื้องๆ กับ 707 ต้องเปิดประตูออกมาดูว่าใครเป็นอะไร เมื่อมองไปที่ประตูห้องต้นเสียงก็เห็นข้อความแปะไว้ว่า...
“โปรดติดตามตอนต่อไป”.
.
.
-------------------------------------------------------
[Bonus หลังไมค์]
ณ ร้านอาหาร
เมื่อ 5 นาทีก่อน โบ๊ทยังเห็นกีต้าร์นั่งใช้ตะเกียบคีบปลาดิบชิ้นแล้วชิ้นเล่าเข้าปากอย่างมีความสุขอยู่ดีๆ แต่ตอนนี้กลับเห็นว่าต้าร์หยิบตะเกียบอันใหม่ออกมาใช้อีกหลายอัน เปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก โบ๊ทง่วนอยู่กับโทรศัพท์ตัวเอง เงยหน้าขึ้นมาทีไรก็เห็นไอ้เปี๊ยกใช้ตะเกียบใหม่ทุกที แถมยังใช้ตะเกียบจิ้มอะไรเล่นอยู่ก็ไม่รู้ ท่าทางเพลินน่าดู... เลยนึกสงสัย...
“เปี๊ยก ทำไรอะ”
“ลูกแมงสาบ”
“ห๊ะ?”
“นี่ไง มันออกมาจากรูตรงนี้อะ เต็มเลย เลยจิ้มเล่นไปหลายตัวแล้ว” ร่างเล็กกล่าวหน้าตาย
“เฮ้ยยยย!!! หยุดเลยนะ ไอ้เปี๊ยก! เดี๋ยวจะเรียกพนักงานมาเคลียร์”
“ฮ่ะๆๆ”
“เฮ้ยยยย ไอ้เปี๊ยก บอกให้หยุด!”
“ฮ่าๆๆๆๆๆ” ร่างเล็กหัวเราะร่า ตั้งหน้าตั้งตาจิ้มต่อไป
“เฮ้ย!! พี่คร้าบบบบบ มาจัดการแมลงสาบที มาเก็บไอ้เปี๊ยกนี่ไปด้วยคร้าบบบบบ... ฮึ่ยยยย หยะแหยง!!”
“ฮ่ะๆๆๆๆๆ”
“ไอ้เปี๊ยกกกกกกกก!!!!”-----------------------------------------------------
FlapJack Corner;
รอนานไหม... แอ่ก! (มาช้าแล้วยังจะมีหน้ามาถามอีกนะ!)
แต่... มาช้ายังดีกว่าไม่มานะเออ
ปล. ขอบคุณคุณ -คราส- นะครับ สำหรับแก้คำผิดครับ