วิชารัก101 [LOVE101] ตอนที่ 4คืนนั้นที่แจ๊บโดนยึดโทรศัพท์ แจ๊บก็ได้เรียนรู้ว่า การคุยไลน์กับพี่เก้าอาจทำให้พี่หนึ่งหงุดหงิดมากกว่าที่หนึ่งคาดไว้
แจ๊บเลยไม่ค่อยทำอีก
ทำไมนะ
เป็นเพราะแจ๊บแคร์ความรู้สึกของพี่หนึ่งใช่ไหม
ก็ใช่นะ
แต่มันมากกว่าปกติไหม ก็ไม่หรอก เพราะปกติแจ๊บก็เป็นคนใส่ใจกับความรู้สึกของทุกคนที่อยู่รอบตัวอยู่แล้ว
อยู่ที่มหาวิทยาลัย แจ๊บก็ไม่ค่อยได้คุยโทรศัพท์หรือคุยไลน์กับพี่หนึ่งด้วยเหมือนกัน
ซึ่งจริงๆแล้วเป็นเพราะพี่หนึ่งเป็นผู้ชายไม่ค่อยแชทมา ส่วนมากก็จะโทรมาแค่
“มึงอยู่ไหน” หรือ “เลิกกี่โมง” แค่นี้เอง
พี่หนึ่งเป็นผู้ชายที่ไม่ละเอียดแต่ก็ละเอียด
โอ๋ย งงล่ะสิ
ตั้งแต่พี่หนึ่งจีบ ยกเว้นหมวกกันน็อคแล้ว พี่หนึ่งไม่เคยซื้ออะไรให้แจ๊บเลย แถมไม่เคยพูดจาเพราะๆด้วย
ต่างจากพี่เก้าที่ซื้อขนมหรือ ของกินมาให้ตลอด บอกว่ากลัวแจ๊บกับเพื่อนๆหิว แล้วก็พูดดีๆกับแจ๊บทุกคำ
แต่พี่หนึ่งก็รู้ว่าแจ๊บชอบกินอะไร และไม่ชอบอะไรโดยที่แจ๊บไม่ต้องบอก
ยกตัวอย่างเช่น
ค่ำวันหนึ่ง ที่จอดรถกินโจ๊กข้างทางกัน
เมื่อลงนั่ง ยังไม่ทันได้สั่ง โทรศัพท์ของแจ๊บก็ดังขึ้น
เป็นพี่เก้าที่โทรเข้ามา
“ครับ พี่เก้า...แจ๊บยังไม่ถึงบ้านครับ พี่หนึ่งพาแวะกินข้าว....พี่เก้ามีไร.....อ๋อ.....”
ระหว่างที่แจ๊บติดสาย พี่หนึ่งก็ทำหน้าเซ็งนิดหน่อย แล้วหันไปสั่งโจ๊กกับเด็กเสิรฟ์ที่มายืนรอ
พอแจ๊บหันมาอีกที ก็พบโจ๊กหมูตับ ไข่สุก ไม่ใส่ขิง วางรออยู่แล้ว
แจ๊บเงยหน้าขึ้นฉีกยิ้มให้พี่หนึ่งแทนคำขอบคุณ ไม่อย่างนั้นแจ๊บต้องเสียเวลามานั่งเขี่ยขิงอีก
พี่หนึ่งดูอารมณ์บูดๆ ดูได้จากที่ระบายอารมณ์เบาๆ โดยกระแทกช้อนโจ๊กลงในชามแรงกว่าที่ควรจะเป็น
“โกรธแจ๊บเหรอ” แจ๊บโน้มตัวเข้าไปใกล้ เอียงคอ เพื่อช้อนสายตามองคนที่เอาแต่จ้องชามโจ๊ก แล้วกระแทกช้อนจนไข่ในชามกระจายหมดแล้ว
พี่หนึ่งวางช้อน จ้องตอบ แล้วถอนใจ
“หงุดหงิดนิดหน่อยว่ะ กูไม่ชอบที่ไอ้เก้ามันโทรมาไม่รู้จักเวล่ำเวลา มันน่าจะกะเวลาถูกว่าตอนนี้มึงยังไม่ถึงบ้าน กูคิดว่ามันรู้ว่ามึงยังไม่ถึง แต่แม่งไม่รอไง กูไม่ชอบ โดยเฉพาะตอนที่มึงยังซ้อนท้ายกูอยู่ หรือแม้กระทั่งตอนที่มึงกำลังจะกินข้าวเนี่ย”
“งั้นคราวหน้าถ้ายังไม่ถึงบ้าน แจ๊บยังไม่รับสายหรือแชทก็ได้”
แจ๊บแค่ไม่ชอบที่เห็นใครอารมณ์เสียน่ะ ถ้าทำอะไรให้หายได้แจ๊บก็ทำหมดแหละ
พี่หนึ่งถอนหายใจอีก
“บนรถห้ามรับ เดี๋ยวตก ส่วนถ้ากำลังกินข้าวมึงก็ดูตามความเหมาะสมแล้วกัน ว่าอันไหนด่วน อันไหนยังไม่จำเป็น อย่างวันนี้ที่กูหงุดหงิดเพราะ มึงบอกเองว่ามึงยังไม่ได้กินข้าวกลางวันเพราะมัวแต่เตรียมพรีเซ็นต์งาน นอกนั้นมึงก็คิดเอง เดี๋ยวจะหาว่ากีดกันคู่แข่ง”
“นี่ยังไม่กีดกันอีกเหรอ” แจ๊บล้อ
พี่หนึ่งทำหน้าเหมือนไม่แคร์ แล้วพูดว่า
“ยังไม่ได้กีดกันอะไรเลย อย่าให้กูต้องลงมือ กูไม่ว่าอะไรหรอกถ้ามึงจะคุยกับมันบ้าง เพราะแค่การคุยกันไม่กี่นาที มันไม่สามารถทำให้มึงรักได้หรอก”
จ้า พ่อคนมั่นใจในฝีมือช่วงนี้กรุงเทพฝนตก
ฝนที่กรุงเทพถ้าหากเป็นคน ก็คงเป็นคนที่ตรงเวลามาก เพราะมักตกตอนช่วงเลิกเรียน
บางทีก็แถม ตกตอนเช้า ในเวลาที่หลายคนเดินทางไปทำงานด้วย
ตอนเช้า แจ๊บยังคงมาพร้อมพี่หนึ่งเหมือนเดิม
ถ้าฝนตกไม่หนักมาก
พี่หนึ่งจะเอาเสื้อกันฝนคลุมแจ๊บเสียมิดชิด แล้วค่อยๆขี่มอเตอร์ไซด์กันมา
ถ้าเช้าวันไหนฝนตกหนัก
พี่หนึ่งจะขับรถไปจอดไว้ที่สถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน แล้วพากันนั่งรถใต้ดินมา
ซึ่ง ถ้าพูดให้ถูก เรียกว่า “ยืนกันมา” ถึงจะถูก
สถานีรถไฟฟ้าใต้ดินบางซื่อ อยู่ต้นทางเลย
คนที่ขึ้นสถานีนี้มักได้นั่งทุกคนนั่นแหละ
แต่พี่หนึ่งกับแจ๊บลุกให้เด็กๆนั่งก่อนตลอด
รถไฟฟ้าในวันที่ฝนตก จะมีคนเยอะกว่าปกติ เพราะต่างก็หลบฝนและหลบปัญหาการจราจรด้านบน ลงมามุดดินกัน
พอถึงสักสถานีที่ห้าหรือหก คนก็จะแน่นมาก แทบจะแน่นแบบที่ หลังชนหลัง ขาชนขาเลยล่ะ
วันแรกๆ แจ๊บไม่ชอบสถานการณ์แบบนี้
ไม่ใช่ว่า ไม่ชอบคนเยอะๆหรอก เรื่องนั้นแจ๊บพออดทนไหว
แต่ที่ไม่ชอบใจนักคือ พี่หนึ่งมักจะดันแจ๊บไปที่ยืนชิดผนัง แล้วกันแจ๊บไว้จากคนอื่นๆด้วยอ้อมแขน
หรือบางทีถ้าไม่ได้ยืนติดผนัง พี่หนึ่งก็จะยืนซ้อนหลัง โหนราวไว้ข้างหนึ่ง แล้วอีกข้างหนึ่งเกาะขอบกางเกงของแจ๊บเอาไว้ ทำให้แจ๊บสามารถยืนอยู่ได้โดยไม่ต้องเอื้อมโหนราว หรือบางจังหวะที่แจ๊บทรงตัวไม่ดี พี่หนึ่งก็โอบตัวแจ๊บไว้
ก็มีหลายคนมองนะ หลายคนก็อมยิ้มที่เห็น
แจ๊บไม่ได้อายเลยสักนิด เพราะท่าทางนั้นไม่ได้น่าเกลียดอะไร
แต่ที่แจ๊บไม่ชอบ ก็เพราะว่า หัวใจแจ๊บมันเต้นไม่ค่อยสม่ำเสมอสักเท่าไหร่
และแจ๊บอธิบายความรู้สึกนี้ไม่ได้
มันเป็นสิ่งใหม่
อะไรก็ตามที่เป็นสิ่งใหม่ แปลก ปฏิกิริยาแรกๆของคนเราก็คือกลัวมัน
แจ๊บก็เหมือนกัน แจ๊บก็เกิดกลัวว่าควบคุมความรู้สึกนี้ไม่ได้
นี่มันรักหรือเปล่า?
ไม่ใช่หรอก
ถึงแจ๊บจะยังไม่เคยรักมาก่อน แต่ก็ค่อนข้างแน่ใจว่านี่ยังไม่ใช่ความรักหรอก
แล้วมันอะไรนะ ไอ้ความรู้สึกนี้น่ะ
มันจะเกิดขึ้น เมื่อระยะห่างระหว่างแจ๊บกับที่หนึ่งแคบลง จนแทบได้ยินเสียงหายใจของกัน
หลังจากนอนคิดอยู่คืนหรือสองคืน
แจ๊บก็สามารถตั้งชื่อให้มันได้ว่า
มันเป็นความรู้สึกดีๆ เวลาที่ได้รับการเอาใจใส่และปกป้อง
ถึงแจ๊บจะเป็นผู้ชาย แต่ก็หวั่นไหวไปกับการได้รับสิ่งนี้จากพี่หนึ่ง
แล้วแจ๊บก็กลัวว่า ตัวเองจะเริ่มเคยชินกับการถูกดูแลแบบนี้
เคยตัวเกินไป มันจะไม่ดี
แจ๊บรู้ว่าเรื่องพวกนี้เป็นขั้นตอนหนึ่งในการจีบ
แค่จีบ ยังไม่ได้รักกัน
แล้วถ้าท้ายที่สุด ถ้าพี่หนึ่งกับแจ๊บไม่ได้รักกัน แต่แจ๊บกลับมาอยู่คนเดียว โหนรถไฟฟ้าคนเดียวไม่ได้ล่ะ
แย่เลยนะ
เช้าอีกวัน
ฝนตกอีกแล้ว
พี่หนึ่งกับแจ๊บก็ไปรถไฟฟ้ากันเหมือนเดิม
เมื่อคืนแจ๊บอ่านหนังสือดึกเพราะมีสอบย่อย
และเมื่อเช้าแจ๊บก็ไม่ได้ยินเสียงนาฬิกาปลุกเลย จนเกือบเจ็ดโมง พี่หนึ่งยังไม่เห็นแจ๊บลงมา
เลยเอากุญแจไขเข้าไปดู แล้วก็แงะแจ๊บจากเตียง
ดุให้รีบอาบน้ำ
แล้วก็รีบมาที่สถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน
ทางเดินของรถไฟฟ้าก็ย้าวยาว แจ๊บลืมตาแทบไม่ขึ้น ก้าวขาก็เชื่องช้า แบบตัวสล๊อตเลย
ก็แจ๊บง่วงอ่ะ
แจ๊บนอนไม่พอ
แจ๊บคิดถึงเตียงนุ่มๆมากเลย
พี่หนึ่งคงหงุดหงิด เลยจับมือแจ๊บแล้วกึ่งจูงกึ่งลากให้เดินเร็วขึ้น เหมือนคุณพ่อจูงเด็กประถมไปโรงเรียนไม่มีผิด
เข้ารถไฟฟ้าได้
วันนี้แจ๊บอยากนั่งจังเลย
ได้ที่นั่งด้วย ส่วนพี่หนึ่งยืน
แต่ไปแค่สองสถานีมั้ง พี่หนึ่งก็สะกิดแจ๊บที่สะลึมสะลือให้ลุกขึ้นให้เด็กตัวเล็กๆนั่ง
ส่วนแจ๊บก็กลับเข้าท่าเดิมแบบที่เคยยืนมาตลอดอาทิตย์คือ ยืนพิงพี่หนึ่งไว้ ให้พี่หนึ่งเกาะขอบกางเกงไว้ วันนี้แจ๊บไม่สนใจแล้วว่าจะรู้สึกยังไง เพราะว่า
ขอนอนหน่อยนะ
แค่หลับตาไว้เฉยๆก็ยังดี
คิดแล้วก็วางน้ำหนักของศีรษะไปบนอกแน่นๆของพี่หนึ่ง
ไม่ถึงห้านาทีล่ะมั้ง
แจ๊บกรนเบาๆ บางจังหวะมีสัปหงกด้วยนะ ยืนโงนเงนจนหนึ่งต้องโอบเอวไว้ตลอด
หนึ่งกลั้นหัวเราะจนไหล่สั่น
เด็กอะไรวะ ยืนหลับได้ด้วย
ขนาดคนที่ยืนข้างๆยังขำเลย
ตอนเย็น แจ๊บก็นัดเจอพี่หนึ่งที่สถานีรถใต้ดิน เพราะที่ทำงานพี่หนึ่งอยู่บนตึกนั้น
โดยมีพี่เก้าเดินมาส่ง
แจ๊บบอกไม่ต้องมาส่ง แจ๊บเดินเองได้
พี่เก้าเลยบอกงั้นขอมาเดินเล่น
“ขอทำคะแนนหน่อยไม่ได้เหรอ พี่ไม่ได้อยู่ห้องข้างๆแจ๊บแบบใครบางคนนี่”
แจ๊บขำพี่เก้าที่ทำเสียงงุ้งงิ้งตัดพ้อ ก็เลยยอมให้เดินมาด้วย ทั้งๆที่เจ้าตัวจอดรถไว้ใกล้ๆคณะแท้ๆ
“ถ้าวันไหนฝนตก แจ๊บให้พี่ไปรับได้ไหม มามอเตอร์ไซด์ หรือนั่งรถใต้ดินมามันคงไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่ แล้วจะไม่สบายเอาด้วย”
“บ้านพี่เก้ากับหอแจ๊บอยู่คนละทางกันเลย จะมาทำไมอ่ะ ไม่ต้องหรอก นี่แจ๊บก็ไม่ได้ลำบากอะไร ฮัดเช้ย!”
แย่เลย แจ๊บกำลังจะโม้ว่า แจ๊บแข็งแรงจะตายไป ดันมาจามซะได้ เสียฟอร์มหมด
“เห็นไหมล่ะ เป็นหวัดแล้ว ให้พี่ไปรับไปส่งเถอะช่วงนี้”
“ไม่ต้องหรอกพี่ ถึงไม่ได้อยู่คอนโดเดียวกับพี่หนึ่ง แจ๊บก็ไม่ให้พี่เก้าที่อยู่คนละมุมเมืองต้องลำบากขับรถทั้งไกลทั้งเหนื่อยมารับส่งแจ๊บหรอก มันเกินไป”
“ทำไมล่ะ พี่เต็มใจนะ”
“อย่าเพิ่งออกแรงอะไรมากเกินปกติเลยพี่เก้า ทำแบบที่พี่เก้าทำ เป็นแบบที่พี่เก้าเป็นเถอะ ตอนที่จีบกันนี่ พี่เก้าคงรู้สึกว่า ต้องทำอะไรให้มันพิเศษหน่อย ถึงแม้ต้องตื่นเช้ากว่าเดิมเป็นชั่วโมงๆ ต้องขับรถไกลๆ ก็สู้ไหว แต่ถ้าต่อไป สมมตินะ แค่สมมติ ว่าเป็นแฟนกันแล้ว พี่เก้าเกิดรู้สึกว่ามันเหนื่อย มันไกลขึ้นมา แจ๊บจะรู้สึกไม่ดี
มันเหมือนพี่เก้าใช้ความดีที่เกินกว่าที่ตัวเองมี มาหลอกให้แจ๊บรัก ”
เก้าหยุดเดิน แล้วมองแจ๊บแบบเต็มๆตา
“เรานี่คิดอะไรเกินเด็กปีหนึ่งนะ บางความคิดนี่โตกว่าพี่เสียอีก”
แจ๊บยิ้ม
เมื่อเดินมาถึงสถานี เห็นพี่หนึ่งนั่งเล่นเกมรออยู่แล้ว
ก่อนที่จะเข้าไปใกล้ในระยะที่พี่หนึ่งจะได้ยินพี่เก้าก็ถามขึ้นว่า
“พี่ยังมีสิทธิ์ไหมแจ๊บ ช่วยประเมินความเสี่ยงให้พี่หน่อย เพราะต่อจากนี้พี่คิดว่า พี่จะจริงจังแล้วนะ”
ถามยากจัง เทอมหน้าค่อยมาตอบได้ไหม ยังไม่ได้เรียนเรื่องความเสี่ยงเลยแจ๊บไม่ได้ตอบคำถามนั้น
เพราะแจ๊บก็ไม่แน่ใจ
ก็แจ๊บไม่เคยรักใคร
และไม่เคยมีใครมาจีบจริงจังแบบนี้มาก่อน
คืนนั้น แจ๊บโทรหาพ่อกับแม่ๆ
แจ๊บเล่าคำถามที่พี่เก้าถามให้ทุกคนฟัง
แม่โจลี่ : แล้วมึงรักใครล่ะ
แจ๊บ: แจ๊บยังไม่รู้เลยแม่
พ่อชาติ : พ่อว่า ที่แจ๊บทำอยู่มันไม่ถูกเท่าไหร่นะ รักมันไม่ใช่เหมือนกีฬา แต่ตอนนี้แจ๊บกลับปล่อยให้ทั้ง หนึ่งและเก้ามาลงแข่ง โดยที่ตัวแจ๊บเองก็รับผิดชอบความเสียหายจากการพ่ายแพ้ของอีกคนหนึ่งไม่ได้
แม่ป๊อบ: ยังไงวะอีสุชา เอาเคลียร์ๆดิ
พ่อชาติ : คนที่แจ๊บไม่เลือก ก็เหมือนถูกแจ๊บหลอกให้ลงทุนยังไงล่ะ มันก็แทบไม่ต่างกันกับที่แจ๊บบอกพี่เก้าว่า ไม่อยากให้เขาทำดีเกินกว่าที่ตัวเองเป็น คนที่เขาเข้ามาจีบ เขาก็ใช้หัวใจเป็นเงินทุน
นานวันเข้ามันก็จะยิ่งถลำลึก ถ้าสุดท้ายแจ๊บให้หัวใจตอบกลับไปไม่ได้ เขาก็คงเสียใจมาก แล้วแจ๊บรับผิดชอบความเสียใจของเขาได้ไหมแจ๊บ อึ้งไปนาน
แม่โจลี่ : หมายความว่า มึงจะให้มันเลือกเลยตอนนี้แค่คนเดียว แล้วศึกษากันเป็นคนๆไปใช่ไหมวะ
แจ๊บ : แต่แจ๊บเองก็เลือกไม่ได้ แจ๊บยังไม่รู้ว่าแจ๊บจะรักคนไหน
แม่จ๋า: น้องแจ๊บลูก ถามใจตัวเองดูดีๆ แม่ว่าลึกๆลงไปแจ๊บรู้ว่า แจ๊บอยากจะศึกษาคนไหน ในใจของเราจริงๆมันมีคำตอบนะ แต่ต้องตั้งใจคุยกับหัวใจตัวเองดีๆ
พ่อชาติ : ใช่แล้วแจ๊บ พ่ออยากให้ลูกถามใจตัวเองดู ตัดเรื่องฐานะ หน้าตา ผลประโยชน์ ออกไป
แม่ป๊อบ : แต่ก็ต้องมองอีกทางหนึ่งไว้ด้วยนะ ไม่ได้หมายความว่าคนที่เราศึกษาเนี่ย จะไปด้วยกันได้ ปลายทางมันก็อาจจะไม่สวยงามนะแจ๊บ
แจ๊บวางสาย
แล้วหลับตา
ดึงภาพต่างๆระหว่างช่วงสามเดือนนี้ขึ้นมา
ทบทวนความรู้สึกในขณะนั้นๆ
ในขณะที่ซ้อนมอเตอร์ไซค์ ยืนพิง หรือ กินข้าวเย็นกับพี่หนึ่ง
และในขณะที่ปรึกษาเรื่องเรียน ถามโจทย์การบ้าน และกินข้าวกลางวันกับพี่เก้า
แจ๊บเห็นพี่หนึ่งตอนกำลังอมยิ้ม
เห็นพี่เก้าที่กำลังยิ้มกว้าง
แจ๊บถามใจตัวเอง ว่ายิ้มของคนไหนที่ทำให้ใจเต้นมากกว่ากัน ยิ้มของใครที่เห็นแล้วอยากยิ้มตาม
แล้วในตอนที่ยังหลับตาอยู่ แจ๊บก็ยิ้ม
แจ๊บลืมตา
สูดลมหายใจเข้าลึกๆ
แจ๊บว่าแจ๊บเลือกได้แล้วล่ะ
บอกใครก่อนดี
ตัดสินใจไปเคาะประตูห้องพี่หนึ่ง
ก๊อก ก๊อก
“พี่หนึ่ง แจ๊บมีเรื่องจะบอก...”
--โปรดติดตามตอนต่อไป—
ตอนต่อไปมาวันอาทิตย์ที่27นะคะ ขอโทษจริงๆ จ-ศ งานเย้ออออออออ ไม่สามารถเขียนอะไรได้เลย จริงๆ
ขอความเห็นใจให้ป้าแก่ๆที่มีพลังงานน้อยนิดด้วยน้า
ดีใจมากๆที่เข้ามาอ่านกันนะคะ
@t o n s w i n d