**เรามารู้จักเด็กดอยของเรากันบ้างเนอะะะะ**
Chapter 9 : ความจริงของคีรี
ย้อนเวลากลับไปเมื่อครั้งคีรีอยู่ปีหนึ่งเทอมสอง ในวันที่สองของกิจกรรมงานวัดประจำปีของคณะบริหารธุรกิจซึ่งจัดให้มีขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ ชื่อธีมของงานถูกตั้งให้เข้ากับเดือนแห่งความรักว่า รักละมุน กรุ่นงานวัด ลานกว้างหน้าคณะซึ่งเป็นสถานที่จัดงานเต็มไปด้วยซุ้มมากมาย ผู้คนเนืองแน่น เสียงเพลงและเสียงพูดคุยดังอื้ออึงไปทั่ว
งานวัดนี้จัดขึ้นสองวันติดกัน ภายในงานมีกิจกรรมมากมายหลายอย่าง มีทั้งร้านขายของและซุ้มเล่นเกม มีการแสดงช่วงสั้นๆ ของน้องปีหนึ่งบนเวที มีการเปิดฟลอร์รำวง ก่อกองทรายไปจนถึงดูหนังกลางแปลง
กลุ่มตัวแทนของนักศึกษาชั้นปีที่หนึ่งจะสลับกันขึ้นไปแสดงบนเวทีในตอนเย็นก่อนงานรำวงจะเริ่มขึ้น แล้วแต่ว่าใครจะสะดวกวันไหน
คณะบริหารธุรกิจได้ชื่อว่าเป็นคณะที่มีหนุ่มสาวหน้าตาดีมากๆ คณะหนึ่ง และกลุ่มของคีรีก็เป็นกลุ่มที่ดึงมีนความหน้าตาดีของคณะให้สูงขึ้นไปอีก แน่นอนว่าคีรี เด็กหนุ่มปีหนึ่งซึ่งเคยได้รับการโหวตให้เป็นเดือนคณะต้องถูกจับไปแสดงบนเวทีแน่ๆ รวมไปถึงเจนี่ เพื่อนหญิงอีกคนในกลุ่มของเขาด้วย
ส่วนอีกสามคนที่เหลือในกลุ่มไม่มีความสามารถพิเศษอะไรจะไปแสดงบนเวทีจึงโดนจับแยกย้ายกันไปประจำตามซุ้มขายอาหารเพื่อดึงดูดลูกค้าแทน
คีรีและเจนี่มีเวลาสำหรับการแสดงสิบห้านาที พวกเขาจะสลับกันร้องเพลงคนละเพลง แต่เพราะยังมีเวลาเหลือ เด็กหนุ่มจึงจะตีกลองชุดโชว์ด้วยอีกอย่าง
ในตอนบ่ายแก่ๆ ก่อนการแสดงจะเริ่มขึ้น ทั้งสองนั่งอยู่ด้านหลังเวทีกับกลุ่มนักแสดงคนอื่นๆ และนักดนตรีของคณะ
“คีรี เดี๋ยวแสดงเสร็จจะไปไหน ตัดสินใจได้ยัง”
“ก็คงไปช่วยพวกยุ้ย ฟลุคกับปิ๊กน่ะแหละ” เจ้าของชื่อหยุดคิด “อือ... แต่ไปช่วยปิ๊กดีกว่า อยากกินปลาหมึก”
ขณะเดียวกันก็มีรุ่นพี่สาวๆ ในคณะอีกสามคนเดินมาร่วมวงด้วย “ขอนั่งด้วยนะคะ” เมื่ออีกฝ่ายพยักหน้าหงึกๆ พวกเขาก็นั่งลงแล้วยิ้มกว้าง “ข้างนอกมีคนมารอดูแสดงเยอะมาก สงสัยมารอดูน้องคีรีกับน้องเจนี่แน่ๆ”
“โห ไม่หรอก มีแสดงตั้งหลายคนค่ะ” เจนี่รีบปฏิเสธ เธอหรี่ตามองรุ่นพี่ปร๊าดเดียวก็รู้ว่าทั้งสามคนนี่คงไม่ได้มาชวนคุยด้วยอย่างเป็นมิตรแหงๆ แต่คงจะเล็งอีตาเหน่อข้างๆ เธอไว้นี่ละ เธอเดาได้เลยว่าเดี๋ยวต้องมีการถามเรื่องความสัมพันธ์ของเธอกับคีรีแน่นอน
“แต่น่าเสียดายเนอะ น้องๆ น่าจะร้องเพลงคู่กันสักเพลง”
คีรีขมวดคิ้ว “ทำไมเหรอ”
“เอ้า แฟนกันร้องเพลงคู่กัน ก็ดูสวีตดีไงคะ”
โอ้โห อยากจะตบเข่าฉาด! ทำไมแทงหวยใต้ดินไม่เคยถูกแบบนี้! เจนี่เบือนหน้าไปเบ้ปากกลอกตาเล็กน้อย ก่อนจะหันมายิ้มให้รุ่นพี่ “เพื่อนกันค่ะ”
“อ้าว เหรอ เห็นใครๆ เขาก็ว่า...”
“ค่ะ สนิทกันเฉยๆ”
“งั้นน้องคีรีก็โสดน่ะสิ” รุ่นพี่หันไปยิ้มหวานให้ ซึ่งเด็กหนุ่มก็ยิ้มรับ “เดี๋ยวแสดงเสร็จแล้วน้องๆ จะไปไหนกันต่อคะ”
เจนี่เบือนหน้าไปเบ้ปากอีกรอบ ถามสองคนแต่มองคนเดียว ไม่ค่อยจะชัดเจนเล้ย เธอหันขวับกลับไปส่งสายตาดุๆ ใส่แล้วขยับเข้าไปกอดแขนเขาไว้ “นั่นสิ เดี๋ยวไปไหนกันดีอะคีรี”
เด็กหนุ่มหันขวับไปมอง แอบขนลุกเล็กน้อยเพราะอีกฝ่ายไม่เคยทำเสียงเล็กเสียงน้อยใส่พร้อมด้วยท่าทางแบบนี้ “เอ่อ...”
“เดี๋ยวคีรีกับเจนี่ก็คงไปเดินเล่นในงานแหละค่ะ คีรีสัญญาว่าจะเลี้ยงหม่าล่า ปลาหมึก ขนมครก น้ำปั่น เฟรนช์ฟรายส์ ทาโกะ...” เด็กสาวพูดชื่อร้านไปนับนิ้วไป ไม่เกินสิบนิ้วก็ไม่หยุด
คีรีทำหน้างง เขาสัญญาเมื่อไหร่วะ ไล่ชื่อมาแทบจะครบทุกร้านแล้วมั้งเนี่ย
เมื่อไล่ชื่อร้านจบเด็กสาวก็บอกกับรุ่นพี่ “เดี๋ยวจะแสดงแล้ว ขอเจนี่ทบทวนเนื้อเพลงกับคีรีก่อนนะคะ” เป็นการตัดบท
รุ่นพี่จำใจต้องลุกขึ้นเดินออกไปอย่างไม่เต็มใจนัก แต่ก็ยังหันมาส่งยิ้มขยิบตาให้เด็กหนุ่มอีกรอบ
“แหม ไม่ค่อยเลย” เจนี่ส่ายหน้า จากนั้นก็หันไปต่อว่าเพื่อน “น้อยๆ หน่อยได้มะ นายน่ะ อย่าขี้อ่อยให้มาก หัดจริงจังกับใครซะบ้าง ทำอะไรนึกถึงใจคนที่จะมาเป็นแฟนนายในอนาคตหน่อยนะ”
เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว “มันเกี่ยวอะไรกับแฟนเราในอนาคตวะ”
“ก็นายลองคิดดู ถ้าวันนึงนายเดินควงกับแฟนนายมาที่คณะนี่ แล้วต้องพบเจอคนที่นายเคยสอยมาเป็นสิบๆ ตลอดทาง แฟนนายจะคิดยังไงวะ”
“เราไม่ได้สอยคนในคณะมาเป็นสิบๆ สักหน่อยนะ” คีรีหัวเราะ “แต่มันก็เป็นเรื่องในอนาคตมะ ซีเรียสเว่อร์ ถ้าใครจะมาเป็นแฟนเรา เขาก็ต้องรับได้สิวะ”
“เจนี่เตือนไว้ตรงนี้เลยนะ ถ้าเจอคนที่ใช่เมื่อไหร่ วันที่นายหลงรักเขาจนหมดใจ นายจะต้องเป็นทุกข์ เพราะอดีตของนายจะตามมาเป็นอุปสรรคหลอกหลอนนายแน่!”
“คร้าบ”
“นิสัยไม่ดี”
“ครับๆ”
เด็กสาวนึกอยากลุกขึ้นจะเตะก้านคอเพื่อนหนุ่มสักที เธอเตือนมันเป็นสิบๆ หนจนปากจะฉีกถึงหูแล้วก็ไม่คิดจะฟัง ยังทำตัวขี้อ่อย ไปไหนมาไหนกับใครๆ ไม่ซ้ำหน้าเหมือนเดิม นิสัยแบบนี้ไม่น่าจะแก้หายได้ง่ายๆ “ไว้สักวันเหอะ นายจะต้องเสียใจ!”
คีรียกมือขึ้นวางบนศีรษะเธอ “เออน่า เดี๋ยวจะแสดงแล้ว ทำหน้าบูดเป็นตูดแบบนี้เดี๋ยวไม่สวยนะเว้ย แก่เร็วด้วย”
เจนี่มองค้อน ทีงี้พูดชัดขึ้นมาได้เพราะประโยคพวกนี้ใช้ต่อว่าเธอกับยุ้ยบ่อยๆ แต่ที่จริงคีรีเพื่อนเธอก็เป็นแบบนี้แหละ พูดเหน่อบ้างไม่เหน่อบ้าง เวลาพูดช้าๆ จะค่อนข้างชัด ถ้าพูดเร็วๆ จะเหน่อหลายคำ แต่ตอนนี้ก็พูดชัดเป็นผู้เป็นคนมากขึ้นแล้ว อีกฝ่ายถึงได้ยอมมาออกงานบนเวทีได้
หลังจากเจนี่ร้องเพลงของเธอเสร็จ พอพิธีกรประกาศเรียกชื่อเด็กหนุ่ม เสียงกรีดร้องจากทางด้านหน้าเวทีก็ดังสนั่นจนพื้นสะเทือน
คีรีกึ่งเดินกึ่งวิ่งโปรยยิ้มขึ้นมาบนเวที ส่งตาหวานให้ทุกคนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เขาใส่เสื้อยืดสวมทับด้วยเชิ้ต ใส่หมวกแก๊ปสีดำกับกางเกงยีน แต่งตัวง่ายๆ แต่ออร่ากระจายมากมาย เด็กหนุ่มพูดทักทายสั้นๆ “สวัสดีครับ นคินทร์ บริหารปีหนึ่งครับ”
“น้องนคินทร์จะร้องเพลงอะไรให้พวกเราฟังกันน้า” รุ่นพี่พิธีกรเอ่ยถามตามสคริปต์
“คนที่ถูกรักครับ”
“แค่อยากเป็นคนที่ถูกร้าาก~” รุ่นพี่พิธีกรร้องท่อนสั้นๆ “ปกติไม่มีใครรักเลยเหรอ พี่ว่าไม่น้าาา”
เด็กหนุ่มยิ้มพลางส่ายหน้า “ไม่มีเลยครับ อยากเป็นคนที่ถูกรักจังเลย”
เจนี่ยืนมองเพื่อนชายจากข้างเวทีพลางเบ้ปากจนมุมปากแทบจะลากพื้น ก็ดูไอ้คุณเพื่อนเลือกร้องเพลงเข้าสิ จงใจอ่อยชัดๆ เธอละอ่อนใจกับไอ้หมอนี่จริงๆ
เสียงกรีดร้องดังขึ้นอย่างถล่มทลายไปจนกระทั่งเสียงดนตรีเริ่มขึ้น ค่อยๆ เบาลงเมื่อคีรียกมือขึ้นจับไมค์ และเหลือเพียงแค่เสียงครวญครางเบาๆ เมื่อได้เห็นรอยยิ้มกรุ้มกริ่มบนใบหน้าหล่อเหลา และได้ยินน้ำเสียงทุ้มนุ่มของเขาขับกล่อม
“แค่อยากเป็นคนที่ถูกรัก แค่อยากเป็นคนที่ถูกใครสักคนเข้าใจ ช่วยเติมชีวิตที่ว่างเปล่า ช่วยเอาความรักมาให้ มีใครบ้างไหมสักคน”**
(**คนที่ถูกรัก ศิลปิน : บอดี้แสลม)
เจนี่หันไปมองสาวๆ ที่อัดแน่นกันเข้ามาด้านหน้าเวที แต่ละคนดวงตาเป็นรูปหัวใจกันหมดแล้ว ไอ้คีรีเพื่อนเธอน่ะเสียงดี หน้าตาก็ดี ใครไม่หลงก็คงแปลก
ถ้างั้นเธอกับยุ้ยก็คงแปลกจริงๆ นั่นละ
แล้วเสียงกรี๊ดก็ดังขึ้นกระหึ่มอีกครั้งจนเจนี่ต้องยกมือขึ้นปิดหู เมื่อเพลงจบลงเพื่อนสนิทของเธอก็ถอดเสื้อเชิ้ตออกจนเหลือแค่เสื้อกล้าม แล้วเดินอาดๆ ไปยังกลองชุด แค่จับไม้ตีกลองนั่งลง สาวๆ ก็แทบจะเป็นลมกันหมดแล้ว
เธอเอียงคอดูเพื่อนหนุ่ม ถึงจะเคยเห็นมาหลายครั้งแล้ว แต่ก็ต้องยอมรับว่าเวลาที่อีกฝ่ายตีกลองนี่เท่มากจริงๆ นะ
“เดี๋ยวแสดงเสร็จมีสาวมารอเยอะแน่ๆ” เจนี่ถอนหายใจอย่างอ่อนใจ “ช่างหัวมันละกัน เวลานี้ควรห่วงตัวเองมากกว่า”
หลังแสดงเสร็จ ทั้งสองคนก็เดินดูดชานมไข่มุกไปหาของกินในงานต่อ มีเสียงทักและแซวดังมาแว่วๆ ให้คันหูเล่นๆ อยู่ตลอดทางว่าพวกเขาเป็นแฟนกัน จนเจนี่เหนื่อยที่จะหันไปแก้ข่าวให้ตัวเองแล้ว
“คีรี ไปเดินห่างๆ หน่อยไป ไม่งั้นเจนี่ได้โสดจนเรียนจบแน่! งานวันนี้มีผู้ชายมาเยอะด้วย” เจนี่หันไปบอกกับเพื่อนหนุ่ม “ช่วยแก้ข่าวบ้างดิวะ”
คีรีหันขวับไปทางคนที่ยืนอยู่ข้างกันพร้อมตอบกลับไปทันที “อย่าให้เราต้องพูดเลยว่ะ เดี๋ยวโดนว่าเป็นแรงงานพม่าหลงมา แม่งไม่เท่เลย”
นี่เหรอวะ เหตุผลที่ไม่เคยช่วยเธอแก้ข่าวลือน่ะ! ไอ้เพื่อนเวรเอ๊ย!
เด็กสาวกุมขมับ “ทำไมเวลาร้องเพลงไม่เสียงเพี้ยนแบบนี้บ้างวะ”
“ร้องเพลงกับพูดไม่เหมือนกันนี่หว่า” เด็กหนุ่มทำหน้ายุ่ง “เรายังพูดเหน่ออยู่มากเลยเหรอวะ”
“ไม่หรอกๆ ก็ดีขึ้นมากแล้วแหละ” เจนี่ยกมือขึ้นตบไหล่อีกฝ่ายเบาๆ
สุดท้ายภาพของทั้งสองคนก็ดูเหมือนกำลังจู๋จี๋กันอยู่ดี
คีรีเดินไปที่ซุ้มซึ่งยุ้ยกำลังยืนยิ้มพรีเซนต์การขายหม่าล่าอยู่ มีเด็กหนุ่มนักศึกษาจากคณะอื่นๆ ต่อแถวกันยาวเป็นหางว่าว เจนี่เห็นเข้าก็ตาโต รีบเดินเข้าไปสร้างภาพสาวใสๆ ใส่
“ยุ้ยเหนื่อยมั้ยคะ เจนี่มาช่วยแล้วนะ” ก่อนจะกระซิบถาม “เป็นไงมั่งอะยุ้ย”
ยุ้ยขยับเข้ามากระซิบอย่างรู้ใจ “ผู้เยอะมาก พรีเมียมมากกก เหนื่อยหน้าเมือกก็ยังคุ้ม!”
“อร๊าย~” สองสาวหวีดใส่กันเบาๆ จากนั้นเจนี่ก็หันไปทางคีรี เป็นเชิงบอกว่าเธอจะสละเรือแล้วนะ พร้อมกับโบกมือไล่ด้วยเสร็จสรรพ “คีรี จะไปกินปลาหมึกก็ไปเหอะ แต่อย่ากินไม่เลือกล่ะ”
เด็กหนุ่มหัวเราะ “เออๆ”
ยุ้ยรีบพูดขึ้น “ระวังด้วยนะเว้ย อย่าฟ้าเหลืองนะ”
“รู้แล้วน่า” เขาส่ายหน้าไปมา จากนั้นก็เดินออกจากซุ้มไป
ยุ้ยหันไปสบสายตากับเพื่อนสาวที่ยืนข้างกัน “รู้สึกเหมือนโยนขนมปังลงบ่อปลาสวายเลยว่ะ ปล่อยมันไปแบบนี้ พวกเราจะบาปมั้ยอะ”
“ช่างหัวมันเถอะ เจนี่เบื่อจะด่าแล้ว นั่นๆ ดูดิ เดินไปได้ยังไม่ถึงสองเมตรเลยมั้งนั่น มีคนเข้ามาล้อมให้เลือกแล้ว” เจนี้เบ้ปากอีกรัวๆ “นี่เมื่อกี้ที่หลังเวทีก็มีรุ่นพี่เข้ามาจีบมันด้วยนะ”
สองสาวทอดถอนใจ “สงสารแฟนมันในอนาคตยังไงก็ไม่รู้เนอะ”
“ไม่ต้องสงสารหรอก คนดีๆ คงไม่มีใครหน้ามืดเอามันเป็นแฟนแน่ๆ”
“เออ ก็จริง” เด็กสาวทั้งสองคนหัวเราะคิก จากนั้นก็หันไปยิ้มหวานทักทายลูกค้าหนุ่มๆ ที่มายืนต่อแถวรอซื้อหม่าล่ากันอยู่
นคินทร์ ภูมิพัฒน์ธนากุล (คีรี) เด็กหนุ่มวัย 20 ปี ตัวสูงเกินมาตรฐานชายไทยไปพอสมควร มีผิวขาวอมชมพูซึ่งได้รับมาจากพันธุกรรมทางฝั่งคุณยาย โครงหน้ารูปไข่ นัยน์ตาเรียวสีน้ำตาล จมูกโด่งสวยและผมสีน้ำตาลคาราเมล ทุกส่วนเมื่อรวมกันแล้วส่งเสริมกันได้เป็นอย่างดี บิดามารดาของเขาไม่ได้จดทะเบียนสมรสกันและเลิกรากันไปก่อนที่เขาจะลืมตาดูโลก แต่หลังจากเกิดมาได้ไม่นาน มารดาก็เสียชีวิตไป ฝ่ายบิดาต้องการรับตัวเขาไปดูแล ทว่าก็แต่งงานมีครอบครัวใหม่ คุณตาคุณยายจึงขอเป็นผู้รับเลี้ยงดูเขาเอง ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงไม่ได้มีเชื้อสายชาวเขาอย่างที่ทันตแพทย์หนุ่มเข้าใจ ส่วนคุณตาของเขาก็เป็นเจ้าของโรงแรมในเชียงรายที่พวกทันตแพทย์ไปประชุมกันนั่นล่ะ
คีรีเป็นหลานชายสายตรงคนเดียวของมหาเศรษฐีเมืองเหนือ และยังเป็นคนโปรด โปรดมาก และโปรดที่สุดของคุณตาด้วย ก็เพราะใบหน้าของคีรีมีเค้าโครงของคุณยายซึ่งเคยเป็นถึงนางงามเชียงรายมาแล้ว และคุณยายก็รักคีรีมาก หลังจากทั้งสองรับคีรีไว้เป็นบุตรบุญธรรม เด็กหนุ่มได้ใช้ช่วงเวลาที่มีความสุขอยู่กับคุณตาคุณยายซึ่งเป็นครอบครัวเดียวของเขาจนถึงอายุสิบห้าปี ก่อนคุณยายจะจากไปอย่างไม่มีวันกลับ
คุณตาของคีรีไม่ได้เป็นเพียงแค่เจ้าของโรงแรมห้าดาวในเมืองเชียงราย แต่ยังผู้บริหารใหญ่ของโรงแรมกึ่งรีสอร์ตระดับห้าดาวในเชียงใหม่ด้วย นอกจากนั้นก็ยังเป็นผู้ก่อตั้งและผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาอาชีพให้ชาวเขาในเชียงราย สำหรับฝึกสอนการทอผ้าและตัดเย็บให้แก่ชาวเขาในท้องที่ ทั้งยังเป็นตัวกลางรับซื้อผ้าทอต่างๆ มาขาย ส่วนเด็กหนุ่มทุกครั้งที่มีเวลาว่างก็จะถูกคุณตาเรียกไปช่วยงาน เพื่อให้เขาคุ้นเคยกับตำแหน่งหน้าที่ซึ่งจะต้องสานต่อในอนาคต เป็นผลให้เขารู้จักและคุ้นเคยกันดีกับชาวเขาในโครงการหลายคน
เด็กหนุ่มเกิดที่เชียงราย เติบโตขึ้นมาในครอบครัวคุณตาคุณยายที่ใช้ภาษาอังกฤษและภาษาเหนือภายในครอบครัวเป็นหลัก คุณตาคุณยายตั้งใจเช่นนั้นเพื่อให้เขาได้เรียนรู้ถึงภาษาของบรรพบุรุษ แต่ก็ได้เล่าเรียนภาษากลางบ้างจากในโรงเรียน และเวลาพวกเขาอยู่นอกบ้านก็จะใช้ภาษากลางคุยกันตามปกติ ต่อมาคุณยายล้มป่วยลง เนื่องจากทางบ้านคุณยายซึ่งมีเชื้อสายอังกฤษต้องการให้เธอไปรับการรักษาจากแพทย์ที่นั่น เด็กหนุ่มจึงต้องย้ายตามคุณตาคุณยายไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษหลังเรียนจบชั้นประถมต้น ทว่าหลังคุณยายจากไป เด็กหนุ่มกับคุณตาของเขาก็ย้ายกลับมาที่เมืองไทย เขาเข้าเรียนซ้ำปีสุดท้ายที่โรงเรียนนานาชาติในเชียงใหม่ แล้วก็เลือกเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยในเชียงใหม่เพราะเป็นสถานที่ที่คุณตาคุณยายพบรักกันและเรียนจบปริญญาตรีมา และก็ไปมาหาสู่กับคุณตาได้สะดวกด้วย ทว่าการใช้ชีวิตในต่างประเทศเสียส่วนใหญ่กับการใช้ภาษาเหนือและภาษาอังกฤษในครอบครัว ทั้งหมดนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้คีรีพูดภาษากลางได้เพี้ยนกว่าคนอื่นๆ เพี้ยนขนาดเด็กแว้นยังชิดซ้าย ซึ่งเขาก็รู้สึกหงุดหงิดกับตัวเองและเสียเซลฟ์ไม่ใช่น้อย
ปัจจุบันเด็กหนุ่มอยู่ปีสอง คณะบริหารธุรกิจ นับจากเมื่อตอนเปิดเทอมปีหนึ่งมาจนถึงปัจจุบันคีรีพูดภาษากลางได้ชัดเจนเกือบดีแล้ว เนื่องจากได้รับความช่วยเหลือปนเคี่ยวเข็นจากเพื่อนๆ ในกลุ่มมาตลอดหนึ่งปีเต็ม เขาเป็นคนหัวดี เมื่อตอนจบปีหนึ่งมีคะแนนสูงเป็นอันดับต้นๆ ของภาค ส่วนความสามารถพิเศษของเด็กหนุ่มก็คือการเล่นดนตรี ซึ่งที่จริงคุณตาคุณยายก็สนับสนุนและสอนให้เล่นมาตั้งแต่ตอนที่เขายังเป็นเด็ก
กลุ่มเพื่อนในมหาวิทยาลัยรวมตัวเขาด้วยมีกันทั้งหมดห้าคน เป็นผู้ชายสามคน ผู้หญิงสองคน เพื่อนชายสองหน่อของคีรีมาจากกรุงเทพฯ ชื่อปิ๊กกับฟลุค เพื่อนหญิงคนหนึ่งมาจากสงขลา ชื่อว่ายุ้ย และเพื่อนหญิงอีกคนมาจากโคราช ชื่อเจนี่ พวกเขามาสนิทกันได้แบบงงๆ อาจจะเพราะความแตกต่างที่ลงตัว ทำให้พวกเขาสนิทสนมกันได้อย่างรวดเร็วราวกับคบหากันมานานหลายปี
ปิ๊กกับฟลุคมาจากโรงเรียนในกลุ่มจตุรมิตร ปิ๊กมาจากโรงเรียนกางเกงขาสั้นสีน้ำเงิน ส่วนฟลุคมาจากโรงเรียนกางเกงขาสั้นสีดำ ทั้งสองเคยเป็นนักกีฬา และเคยทะเลาะเพราะเหม็นหน้ากันในงานแข่งขันฟุตบอลประเพณีจตุรมิตรมาก่อน แต่ดันกลายมาเป็นเพื่อนสนิทกันได้ อันเนื่องมาจากตอนที่รับน้องรถไฟ พวกเขาจำหน้ากันได้ ก็เลยนั่งด้วยกัน คุยกัน กว่าจะรู้ตัวว่าเคยเกือบยกพวกตีกันก็สนิทกันไปแล้ว
ยุ้ยเป็นสาวผิวเข้มตัวสูงหุ่นนางแบบ ใบหน้าสวยคม ผมสีดำยาวถึงกลางหลัง เธอมาจากโรงเรียนเอกชนชื่อดังในสงขลา ส่วนเจนี่เป็นสาวหมวยแบ๊วๆ น่ารัก ตัวสูงพอๆ กับยุ้ย ผิวขาวจั๊วะ ผมสีน้ำตาลอ่อนดัดเป็นลอนคลายๆ แบบสาวเกาหลี เธอมาจากโรงเรียนเอกชนในโคราช ทั้งสองพบกันในวันสัมภาษณ์ มาสนิทกันได้เพราะเข้าอกเข้าใจกันตามประสาคนมาไกลและเป็นลีดคณะเหมือนกัน
ปิ๊กกับฟลุค เจนี่กับยุ้ยสนิทกันเองก่อนที่จะมาสนิทกับคีรี เพราะช่วงก่อนเปิดเทอมไปจนถึงเปิดเทอมใหม่ๆ คีรีไม่ค่อยมองหน้า ไม่ค่อยพูดคุยกับใคร เขามักจะนั่งอยู่คนเดียวเสมอ จึงทำให้นักศึกษาคนอื่นๆ ทั้งในคณะและต่างคณะรู้สึกว่าเขาเป็นคนหยิ่ง เข้าถึงยาก ภาพลักษณ์ของคีรีในสายตาของทุกคนตอนนั้นคือเด็กหนุ่มเชื้อฝรั่งมาดคุณชายที่เติบโตในต่างประเทศ ขับรถ BMW สุดหรูโหลดเตี้ยแต่งรอบคัน ดูสำอาง ใช้ของราคาแพงระยับตั้งแต่ศีรษะจดเท้า ถ้าจำเป็นต้องพูดอะไร ก็จะพูดแบบไทยคำอังกฤษห้าคำ แล้วก็ดูเป็นเพลย์บอยขี้หลีเสียด้วย เพราะมีคนเห็นไปไหนมาไหนกับหญิงสาวแทบไม่ซ้ำหน้า ทั้งสี่จึงไม่เคยคาดคิดว่านิสัยพวกเขาจะเข้ากันได้ และไม่ว่าในคณะจะมีกิจกรรมรับน้องหรือสานสัมพันธ์อะไร คีรีก็ปฏิเสธที่จะเข้าร่วมแทบจะทุกครั้ง แถมยังไม่แคร์เสียด้วยว่าตัวเขาจะมีปัญหากับรุ่นพี่หรือใครๆ
จนกระทั่งโชคชะตานำพาพวกเขาให้มาพบกันที่ร้านหมูกระทะในเพิงหมาแหงนแถวมหาวิทยาลัยซึ่งมีโต๊ะว่างเพียงโต๊ะเดียว และตกเป็นของคีรีซึ่งจองโต๊ะไว้ก่อน
เด็กหนุ่มสบตากับเพื่อนในคณะทั้งสี่คนซึ่งกำลังยืนหิวหน้าจ๋อย ยิ้มให้แล้วพูดสั้นๆ
“นังดวยกันดิ”
ปิ๊กมากับฟลุค ส่วนยุ้ยมากับเจนี่ ต่างคนต่างหันมองหน้ากัน ตกใจอยู่เหมือนกันที่อีกฝ่ายจำพวกเขาได้เพราะไม่เคยพูดคุยกันมาก่อน ตกใจจนไม่ทันได้สนใจคำพูดเหน่อๆ ออกเสียงวรรณยุกต์ผิดของเพื่อนร่วมคณะ ในใจนึกอยู่แต่ว่าถ้าหากปฏิเสธคีรี พวกเขาก็ต้องรออีกเป็นชั่วโมง ตอนนั้นเป็นเวลาหัวค่ำ แล้วพวกเขาก็หิวมากด้วย ยังไงซะพวกเขาก็เรียนคณะเดียวกัน ถึงไม่เคยคุยกันก็นั่งด้วยกันได้นี่หว่า
อีกอย่าง คีรีไม่จำเป็นต้องสนใจพวกเขา แต่ก็อุตส่าห์มีน้ำใจชวนให้นั่งด้วยกัน
ในที่สุดสองหนุ่มกับอีกสองสาวก็ตกลงมานั่งเบียดกันที่โต๊ะเดียวกันกับเด็กหนุ่มเจ้าของโต๊ะ นับว่าครั้งนั้นคือความประทับใจแบบแปลกๆ ของเพื่อนใหม่ทั้งสี่คน นอกจากพวกเขาจะนึกไม่ถึงว่าคนหน้าตาดีอย่างคีรีจะมานั่งกินหมูกระทะคนเดียวแล้ว ยังสุดจะแปลกใจที่คนที่ท่าทางคุณชายทุกกระเดียดนิ้วซะขนาดนั้น จะมานั่งร้านบ้านๆ ธรรมดาๆ แบบคนอื่นก็ได้ ไม่เห็นเลวร้ายเหมือนที่ได้ยินมาเลย
ช่วงแรกๆ ที่นั่งด้วยกันก็รู้สึกอึดอัดนิดหน่อย เพราะเจ้าของโต๊ะไม่พูดอะไรเลย ใช้เตาเดียวกัน แต่ปิ้งของใครของมัน ไม่มีใครคุยกันเลยซะอย่างงั้น ทว่านั่นก็ทำให้ได้ยินเสียงนกเสียงกาจากกลุ่มคนที่นั่งอยู่โต๊ะใกล้ๆ กันพูดถึงคีรีดังมาแว่วๆ
“แต่งตัวเว่อร์ฉิบหาย แค่มาแดกหมูกระทะต้องใส่เสื้อเบอร์เบอรี่ เข็มขัดรองเท้าแอร์เมส ของเก๊ปะวะ”
“แต่มึง คุณชายมาแดกร้านกระจอกๆ ก็ได้ด้วยว่ะ”
“แดกของบ้านๆ ไม่ระคายท้องเหรอวะ หรือว่าจะไม่รวยจริง” พูดแล้วก็หันไปหัวเราะกันเสียงดัง
ฟลุคกับปิ๊กหันขวับ ตอนแรกพวกเขาว่าจะรีบๆ กินรีบๆ ไป แต่พอได้ยินแบบนั้นมันก็อดหงุดหงิดไม่ได้ “ไอ้รุ่นพี่โต๊ะนั้นแม่งกวนตีน...” หากพูดยังไม่ทันขาดคำ สองสาวในโต๊ะก็ลุกขึ้นพรวด
“ผู้ชายอะไรวะ ขี้นินทาฉิบหาย!” เจนี่เปิดศึกก่อนเป็นคนแรก
“ไม่มีอย่างเขาก็อย่าอิจฉา! ถ้าหน้าแย่มากก็หุบปากไว้บ้างจะดูดีขึ้นนะพี่!” ยุ้ยพูดพลางถลกแขนเสื้อขึ้นด้วยมาดนักเลงสุดๆ
คีรีถึงกับผงะ เลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ ตัวเขาน่ะ ชินกับการถูกหมั่นไส้อยู่แล้ว ก็เพราะเขาหล่อและรวยมากจริงๆ นี่หว่า มีคนอิจฉามันก็เป็นเรื่องธรรมดา อีกอย่างเขาแค่โทรศัพท์กริ๊งเดียวก็มีคนมาจัดการให้เรียบร้อยแล้ว จึงไม่เคยมีใครออกตัวแทนเขา
แต่ที่แปลกใหม่คราวนี้ก็คือการที่มีคนอื่นแสดงออกว่าโกรธแทนเขา โกรธแบบจริงจังซะด้วย
(มีต่อค่ะ)