จูบแรก ครั้งแรกที่เจอกัน ผมไม่ได้คิดว่าเขาคือคนที่ตามหา เราเคยเรียนโรงเรียนเดียวกัน ตอนนั้นผมอยู่ม.ห้า ขณะที่เขาอยู่ม.สี่ วันแรกของการเปิดภาคเรียน ใครๆ ก็ต่างให้ความสนใจกับน้องใหม่ห้องสี่ทับหนึ่งที่โด่งดังในโซเชียลเน็ตเวิร์ค แถมยังมีภาษีชีวิตดีอย่างการเป็นสมาชิกของครอบครัวดาราดังที่พ่อแม่ประสบความสำเร็จในวงการบันเทิงอย่างสูง
‘ไอ้ลูกดารา’ เป็นหัวข้อใหญ่ของเรื่องซุบซิบในเช้าวันนั้น เริ่มจากกลุ่มผู้หญิงขี้นินทาในห้อง แพร่ไปหากลุ่มชายล้วนที่คุยเรื่องนี้กันเพราะความหมั่นไส้ และสุดท้ายก็ลามมาจนถึงกลุ่มที่คละชายคละหญิงอย่างกลุ่มของผม
‘มึงดูรูปนี้ หล่อเชี่ยยยยย’ โฟกัส เพื่อนผู้หญิงที่ผมสนิทที่สุดในชีวิตชวนหนูนา-เด็กสาวเจ้าของผมเปียยาวอีกคนดูรูปในโทรศัพท์มือถือแล้วกรี๊ดกร๊าดกันตามประสาผู้หญิงวัยว้าวุ่น ขณะที่ไอ้เต๋อกับไอ้มาร์ชแสดงท่าทีไม่เห็นด้วย ส่วนผมนั่งเขี้ยวข้าวงับๆ ด้วยความหิวโหยเพราะนี่คือมื้อแรกของวันสำหรับผม
แล้วจู่ๆ ในโรงอาหารยามพักเที่ยงวันนั้น เสียงจ้อกแจ้กจอแจที่เคยมีก็เงียบหายไปในฉับพลัน
โต๊ะของเราอยู่ห่างจากทางเข้าไปไม่มาก ทำให้ผมรู้ว่าต้นเหตุของความเงียบคืออะไร…อันที่จริงต้องใช้คำว่า…ใคร
เด็กหนุ่มหน้าเบื่อโลกที่เพิ่งก้าวเท้าเข้ามาในโรงอาหารมองตรงไปข้างหน้าราวกับไม่ได้จดจ่อกับสิ่งใด ในขณะที่ทุกสายตาจับจ้องอยู่ที่เขา ร่างสูงเกินวัยในชุดนักเรียนที่เนี้ยบจนแทบจะเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ ผิวของเขาขาวจัด มันไม่ใช่โทนขาวเหลืองหม่นๆ แบบคนเอเชียทั่วไป แต่มันเป็นผิวขาวสว่าง...แบบคนเป็นดารา ผมเกรียนติดหนังหัวที่ผมคิดว่ามันไม่มีทางดูดีได้กับมนุษย์หน้าไหนกลับลงตัวเมื่ออยู่กับเขา คงเพราะมันเข้ากับรอยแหว่งตรงหางคิ้วข้างขวาที่ให้อารมณ์ยียวน ประกอบกับดวงตาเล็กฉายแววไม่ยอมใครที่มองแล้วผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไมผู้หญิงถึงอยากกรี๊ด แต่ผู้ชายอยากกระทืบ
เด็กหนุ่มกวาดตามองหาที่นั่งท่ามกลางเสียงกระซิบที่ดังขึ้นรอบตัว และในจังหวะที่ไม่คาดคิด สายตาของเขาก็ปราดเข้ามาสบตาผม
...ที่ช้อนข้าวกำลังคาอยู่ในปากเพราะความอยากรู้อยากเห็น
เราสบตากันนิ่งๆ ราวสามวินาที ผมเบิกตาโต ทำหน้าเหรอหราอย่างน่าอาย เขากระตุกมุมปากขึ้นนิดๆ แล้วก็เสมองไปทางอื่น
นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมได้สบตากับธีร์ ดำรงค์เดช
‘มึงดูหน้ามันดิ วอนส้นตีนชิบหาย พวกผู้หญิงชอบเข้าไปได้ไงวะ’ ไอ้เต๋อบ่น ผมพยักหน้าเห็นด้วยแต่ในใจไม่ได้รู้สึกแบบนั้นตาม ผมหมายถึง...ผมไม่ได้ ‘ชอบ’ เขานะ ไม่ได้มองว่าเขาหล่อหรือน่ารักอะไรทำนองนั้นด้วย
ผมแค่ไม่มีความรู้สึกว่าอยากกระทืบเขาเหมือนคนอื่น
เขากลายเป็นคนดังของโรงเรียน ในแง่ของรูปร่างหน้าตาและข่าวฉาว คบหญิงไม่ซ้ำหน้า เข้าห้องปกครองวันเว้นวัน ผมไม่ได้ตามข่าวเท่าไหร่เพราะมัววุ่นๆ กับเรื่องเรียนต่อของตัวเอง (จริงๆ มันก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ผมจะต้องตามข่าวเขาใช่ไหมล่ะ) แต่ที่รู้เพราะก๊กผู้หญิงขี้นินทาในห้องมาเล่าให้ฟังทั้งนั้น
เราเจอกันบ้างตามงานโรงเรียน อย่างเช่นกีฬาสี ผมที่เป็นประธานของคณะสีต้องไปช่วยซ้อมแสตนเชียร์ก็จะเจอไอ้ลูกดาราที่มาซ้อมแบบผลุบๆ โผล่ๆ สองวันมาอีกวันหนึ่งหาย ที่ผมรู้นี่ผมไม่ได้จงใจที่จะมองหาหรือจับตาดูเขานะครับ แต่เวลาเขามาเขาจะโดดเด่นอยู่ท่ามกลางเด็กคนอื่นบนแสตนด์ ยิ่งเป็นเด็กห้องสี่ทับหนึ่งที่ลุคเนิร์ดๆ ใส่แว่นและหน้าดำคร่ำเคร่ง ผู้ชายผิวหลอดไฟอย่างธีร์ไม่โดดเด่นก็ให้มันรู้ไป
เราไม่เคยคุยกันสักคำ ไม่เคยทัก หรือถามสารทุกข์สุขดิบ มีสบตาบ้างเวลาผมเผลอเสมองไปทางเขาและจะเห็นเขามองอยู่บ่อยๆ แต่มันเป็นเรื่องปกติที่ทุกคนบนแสตนด์จะต้องมองผู้นำอย่างผมอยู่แล้ว
ภาพจำของผมต่อธีร์ก็เป็นแค่ไอ้หน้าหล่อลูกดาราที่หลีสาวไปทั่ว
แค่นั้น
จนกระทั่งวันจบการศึกษา
ภาพของรอยยิ้มและคราบน้ำตาของคนที่จะจากที่นี่ไปอย่างผมกับเพื่อนม.หกกระจายไปทั่วทุกมุมต่างๆ ของโรงเรียน หลังจากจบพิธีปัจฉิมนิเทศทุกคนต่างแยกย้ายไปทำอะไรเป็นครั้งสุดท้าย บ้างก็ถ่ายรูปกับเพื่อนฝูงเป็นที่ระลึก บ้างก็บอกความในใจกับใครสักคนหลังจากเก็บไว้มานาน บ้างก็มีรุ่นน้องที่สนิทมาแสดงความยินดีด้วยก่อนที่จะไม่ได้เจอกันอีก
ผมนั่งแกร่วกับไอ้เต๋อและไอ้มาร์ชอยู่ที่สนามบาสหน้าโรงเรียน คุยกันเรื่องวันเวลาเก่าๆ ที่เราเคยลงแข่งบาสด้วยกันท่ามกลางแสงสีส้มของยามเย็น ส่วนเพื่อนผู้หญิงอีกสองคนแยกตัวไปถ่ายรูป ของขวัญจำนวนมากที่ได้รับในวันนี้วางกองกันอยู่ข้างกาย เสื้อนักเรียนของเราเต็มไปด้วยสติ๊กเกอร์และข้อความสีต่างๆ จากเพื่อนและรุ่นน้อง
อยู่ๆ ก็มีเสียงฮือฮา ผมหันไปมองตามทิศทางนั้น ก่อนจะเห็นเขาเดินโดดเด่นอยู่ท่ามกลางเพื่อนม.หกมากมาย ในมือมีดอกกุหลาบสีแดงหนึ่งดอก
คงเป็นของสาวม.หกสักคนที่เขาเคยเต๊าะและอยากจะจากกันด้วยความทรงจำดีๆ
ตอนนั้นผมจำได้ว่าผู้หญิงทุกคนที่อยู่ที่นั่นยืนนิ่ง คงจะลุ้นว่าดอกกุหลาบดอกนั้นจะเป็นของตัวเองไหม แต่พอธีร์เดินผ่านก็ถอนหายใจด้วยความเสียดาย เขาเดินตรงมาเรื่อยๆ ราวกับมีเป้าหมายในใจอยู่แล้ว เดินเรื่อยๆ มาที่ปลายสนามซึ่งพวกผมนั่งอยู่
ก่อนที่จะรู้ตัว ดอกกุหลาบดอกนั้นก็ถูกยื่นมาจ่อตรงหน้าผม
...ผม?
‘ให้’ ธีร์สั่นก้านดอกไม้เมื่อผมไม่ยอมรับมาสักทีเพราะกำลังอึ้งอยู่ ไม่ต่างอะไรจากเพื่อนที่นั่งข้างทั้งสองที่ตอนนี้เงียบเป็นเป่าสากอยากเสือก
ผมค่อยๆ ยื่นมือไปจับก้านกุหลาบ ธีร์อมยิ้มออกมาเล็กๆ และทำตาหยี เขาไม่มีวันรู้เลยว่ารอยยิ้มนั้นมีพลังทำลายล้างสูงแค่ไหน
ปกติผมเห็นเขาแค่หน้านิ่งๆ เชิดๆ แต่พอยิ้มแบบนี้แล้วมัน...
...น่ารัก
‘ขะ...ขอบใจนะ’ ผมพูดตะกุกตะกัก
‘ไปเรียนไหนต่ออ่ะ’ เขาถาม ผมแปลกใจเมื่อได้ยินเสียงของเขาแบบจริงจังครั้งแรก มันเป็นโทนเสียงบางๆ ที่มีความงุ้งงิ้งอยู่ในลำคอ ฟังแล้วไม่ค่อยเข้ากับบุคลิกแบดๆ นั้นเลย
‘นิเทศฯ YU’
‘อ้อ...โชคดีนะ’
‘ฮื่อ...’
‘…’
‘…’
‘…ขอถ่ายรูปคู่ด้วยหน่อยได้ไหม’ ธีร์ขอหลังจากที่เรามองหน้ากันอยู่อย่างนั้นโดยไม่พูดอะไรมานาน ผมรับคำและขยับตัวอย่างขัดเขิน ธีร์ส่งกล้องให้กับไอ้เต๋อที่รับไปแล้วมือสั่นอย่างกับเจ้าเข้า
‘ถ่ายแบบนั้นชาตินี้มันจะชัดไหมไอ้สัด’ ไอ้มาร์ชด่า แล้วแย่งกล้องมาจากมือเพื่อนเหี้ยที่ไม่รู้จักควบคุมสติอารมณ์ตัวเองเลย ผมหันมองธีร์ เห็นเขาทำปากจู๋และยกสองนิ้วขึ้น ลอบหัวเราะออกมากับท่าทางแอ๊บแบ๊วที่ไม่ค่อยเข้ากับบุคลิกนั้นแล้วมองกล้องนิ่ง ปากอมยิ้มบางๆ
‘เอานะ...หนึ่ง...สอง...ซั่ม!’
แชะ!
ธีร์พยักหน้าให้ผมเหมือนขอบคุณ ผมพยักหน้าด้วยเช่นกัน แล้วคนตัวสูงก็เดินจากไปพร้อมกับเสียงซุบซิบเหมือนเคย
‘กูว่า...กูกลับตอนนี้แล้วดีกว่า’ ผมชิงพูดก่อนที่เพื่อนตัวดีจะออกตัวแซว หอบสัมภาระทั้งหมดของตัวเองรวมถึงดอกกุหลาบสีแดงสดของเขาแล้วเริ่มโกย ไอ้พวกตัวดีตะโกนว่าฮั่นแน่เสียงดังมาไล่หลัง
ไม่รู้ว่าจุดประสงค์ที่เขาให้ดอกกุหลาบดอกนี้คืออะไรกันแน่
แต่มันเปลี่ยนภาพจำของตัวเขาในหัวผมไปตลอดกาล
เริ่มต้นชีวิตมหา’ลัย เพื่อนทุกคนในกลุ่มแยกย้ายกันตามที่ใจและค่านิยมของสังคมอยากให้ไป ไอ้เต๋อกับไอ้มาร์ชไปเรียนวิศวะฯ มอดัง หนูนาเป็นสาวบัญชีมอเดียวกับผม ส่วนโฟกัสยังตัวติดแน่นอยู่ด้วยกันไม่ไปไหน
แล้วหนึ่งปีก็ผ่านไปกับชีวิตมหา’ลัยที่เหนื่อยแสนเหนื่อย ทั้งเรียน เล่น เต้น รับน้อง ผมใช้เวลาในชีวิตของตัวเองช่วงนั้นอย่างเต็มที่ เจอเพื่อนใหม่ สัมผัสรสชาติของความเป็นวัยรุ่นในสถานที่ที่ไม่มีกรอบของสังคมครอบเราอยู่เหมือนตอนม.ปลาย จะนอนดึกแค่ไหนก็ได้ จะไปเรียนหรือไม่ไปก็ได้ จะแต่งตัวยังไงก็ได้ ใช้ชีวิตอิสระอย่างที่ใจต้องการ
และในระหว่างนั้นเอง ผมได้ข่าวของเขาอีกครั้ง
‘ไอ้ลูกดารา’ ที่อัพเกรดตัวเองกลายเป็น ‘ดารา’ อย่างเต็มตัว
เขารับบทเป็นพระเอกของละครซีรี่ย์วัยรุ่นที่ดังเป็นพลุแตก นั่นยิ่งทำให้ความนิยมของเขาไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในโรงเรียนอีกต่อไป สาวๆ ทั่วประเทศต่างเทใจให้กับความน่ารักในละครของธีร์ ช่วงที่ฉายนั้นกระแสถล่มถลายจนต้องทำออกมาอีกหลายซีซั่น อีกทั้งยังได้รางวัลทีมนักแสดงยอดเยี่ยมและนำชายยอดเยี่ยมจากสถาบันรางวัลดังๆ จนทำให้เขากลายเป็นคนของประชาชนอย่างเต็มตัว
ในความทรงจำของผมเขายังเป็นรุ่นน้องที่ให้ดอกกุหลาบในวันจบการศึกษาอยู่ แต่ความเป็นจริงเขาไปไกลแล้ว โลกคงเหวี่ยงให้เขาห่างจากเส้นชีวิตของผมและคงไม่มีทางได้กลับมาพบกันอีก
มันเหมือนจะเป็นแบบนั้น จนวันแรกพบน้องใหม่ของคณะ
วันนั้นผมตื่นสาย เพื่อนในรุ่นนัดที่ตอนนี้กลายเป็นพี่ปีสองกันหมดนัดเจ็ดโมงแต่ผมดันมาตั้งแปดโมงสิบห้า รู้ตัวก็รีบเด้งจากเตียง แปรงฟันอย่างลวกๆ แล้วแจ้นมาคณะในสภาพหัวยุ่งและชุดนักศึกษายับๆ...ช่างเป็นตัวอย่างที่ดีงามให้แก่รุ่นน้อง
“เชี่ยจุ๊บ มาสาย” โฟกัสบ่นขณะที่ผมแทรกตัวเข้าไปนั่งข้างๆ ที่โต๊ะลงทะเบียน มีรุ่นน้องหน้าใหม่ต่อแถวกันยาวไปถึงถนนหน้าคณะ
“โทษทีมึง นาฬิกาไม่ปลุกอ่ะ” ผมแก้ตัว แล้วเริ่มคว้าอุปกรณ์ตรงหน้ามาเริ่มลงมือทำอย่างขยันขันแข็งเพราะกลัวโดนเฉ่งไปมากกว่านี้ โฟกัสบ่นอีกสองสามประโยคและตะโกนบอกรุ่นน้องให้แบ่งแถวมาที่ผมอีกแถว
“ชื่อไรครับ” ผมถามน้องผู้หญิงผมม้าเต๋อหน้าตาจิ้มลิ้มที่กำลังเซ็นชื่อตัวเองลงบนใบลงทะเบียน
“เก๋ไก๋ค่ะ” เธอตอบ
“นี่พ่อแม่ตั้งให้หรือตั้งเอง”
“ตั้งเองค่ะ” น้องเต่อยอมรับตามตรง
“ฮ่าๆๆๆ พี่ชอบว่ะ ขอเติมคำว่าสไลเดอร์ลงไปด้วยได้ไหม”
“ตอนแรกหนูกะจะบอกแบบนั้นแต่กลัวที่ไม่พอเขียน แต่ถ้าพี่ยืนยันแบบนั้นหนูก็ขัดอะไรไม่ได้อะค่ะ”
ผมขำแล้วส่ายหัว เขียนคำว่าเก๋ไก๋สไลด์เดอร์ลงไปในป้ายกระดาษแล้วยื่นให้น้องเก๋ไก๋ เธอขอบคุณผมเบาๆ แล้วเดินออกจากแถว
“ชื่อไร...เชี่ย!” ผมกะถามคนต่อไปแต่ปากกาเคมีก็กลิ้งตกจากโต๊ะเสียก่อน ผมย่อหน้าลอดลงใต้โต๊ะและเก็บมันขึ้นมา สังเกตเห็นรองเท้าผ้าใบเซอร์ๆ ของคนตรงหน้า
“ชื่อไรครับ” ผมถามต่อโดยไม่มองหน้าเขา
“ธีร์ครับ”
“ธีร์ ดำรงค์เดชเหรอ” เล่นมุกไปหนึ่งทีเพราะเดี๋ยวนี้ใครๆ ก็รู้จักเขา เด็กผู้ชายยุคนี้ก็อยากเป็นเขากันทั้งนั้น
“อ่า...เหมือนจะใช่นะครับ พี่ช่วยดูตรงนี้หน่อยได้ไหมว่าใช่ชื่อผมจริงๆ หรือเปล่า”
ผมหัวเราะออกมาเพราะรุ่นน้องคนนี้เล่นมุกต่อ แต่พอเงยหน้ามองเท่านั้นก็หุบปากแทบไม่ทัน
เด็กหนุ่มร่างสูงยักคิ้วยียวนมาให้ในขณะที่มือชี้ไปที่ชื่อของเขาในกระดาษลงทะเบียน ในจุดที่คำว่า ‘ธีร์ ดำรงค์เดช’ เด่นหราอยู่ มุมปากกระจับยิ้มเท่แบบที่เคยทำให้ผม รอยยิ้มแบบเดิมแต่เสน่ห์ของมันพุ่งขึ้นหลายเท่าตัว
หนึ่งปีผ่านไป โลกเหวี่ยงเขากลับมาแล้วTBC*อยากกรี๊ดอยากพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องไประบายกันที่ #จุ๊บที ในทวิตเตอร์น้า