#ตอนที่สอง
“เอ่อ.. ” เดือนสิบจับจ้องใบหน้าคมคายของรุ่นพี่ร่วมคณะอยู่ครู่สั้นๆ ก่อนจะกระแอมออกมาเบาๆแก้เก้อพลางยกนิ้วขึ้นเกาหัวกบาลด้วยท่าทีเหลอหลาจนเรือนผมสีน้ำตาลเข้มที่เซตมาอย่างลวกๆ เริ่มยุ่งเหยิงนิดๆ
ยอมรับว่าสตั๊นไปเหมือนกันกับประโยคในเชิงรุกจีบซึ่งๆหน้าที่ได้ยิน หนักสุดคือคนที่พูดมันออกมาดันเป็นรุ่นพี่ในคณะที่เขาเพิ่งมีโอกาสได้รู้จักอย่างเป็นทางการเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้า ซึ่งเดือนสิบไม่ได้นึกมาก่อนว่าจะเจอประโยคทำนองนี้จากพี่มัน
พี่ยุทธในความรู้สึกเขาคือรุ่นพี่ที่วางท่านิ่งเฉยไม่สนโลก หรือจะเรียกว่าขวางโลกเลยก็ได้ พี่มันทำราวกับว่าไม่แคร์อะไรหรือใครทั้งนั้น ใบหน้าหล่อเหลาติดจะเย็นชาแทบตลอดเวลา รวมถึงดวงตาคมกริบที่ดูจะแข็งกร้าวอยู่ทุกขณะยามเมื่อกราดมองสิ่งรอบกาย ทว่าตอนนี้ตาคู่นั้นกลับทอดมองมาที่เขาอย่างอ่อนโยนจนเดือนสิบรับรู้ได้ถึงกระแสความอบอุ่นที่แผ่ออกมา
เขายิ้มแห้งให้อีกฝ่ายก่อนจะเสหลบตาคมเป็นประกายแปลกๆมามองบรรยากาศรอบๆแทน ยอมรับว่าถึงแม้ท่าทางจริงจังของพี่ยุทธจะไม่ได้ทำให้อึดอัด แต่มันก็ทำให้เขารู้สึกกระอักกระอ่วนใจไม่น้อยอยู่เหมือนกัน
เสียงหัวเราะในลำคอของอีกฝ่ายดังขึ้นเบาๆทำลายความประดักประเดิดที่เกิดขึ้นชั่วขณะ ก่อนที่ร่างสูงของรุ่นพี่ร่วมคณะจะเดินแยกออกไปยืนสูบบุหรี่อยู่ไม่ไกล เดือนสิบเผลอมองตามแผ่นหลังกว้างของอีกฝ่ายที่ยืนหันหลังให้เขาอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะละสายตาแล้วเดินมาทรุดตัวลงบนม้านั่งที่อยู่เยื้องไปไม่ไกล
คิดอย่างไรเดือนสิบก็คิดไม่ออกว่าพี่มันจะมานึกชอบอะไรเขาตอนไหน หรือแค่อยากจะแหย่กันเล่น? แต่ท่าทางของพี่มันก็ใช่ว่าจะเป็นคนขี้เล่นนี่หว่า
“อ้าวสิบ..? มานั่งทำไรตรงนี้วะ”
ความคิดฟุ้งซ่านของเขาถูกหยุดด้วยเสียงห้าวๆของไอ้จอมที่เดินเซๆมาทิ้งตัวนั่งลงข้างๆกัน มันล้วงซองบุหรี่ออกมาก่อนจะชะงักอย่างนึกขึ้นได้แล้วยัดเก็บลงไปเหมือนเดิม
“โทษที ลืมไปว่าสิบไม่ชอบ” มันยิ้มแหย เดือนสิบเลยสั่นหัวเบาๆ
“ไม่เป็นไร… ดูดได้ เรากำลังจะกลับเข้าไปข้างในอยู่พอดี”
อันที่จริงเขาอยากจะกลับเข้าไปตั้งแต่ได้ยินประโยคที่ทำให้รู้สึกกระอักกระอ่วนใจแปลกๆจากรุ่นพี่ร่วมคณะแล้ว แต่กลัวจะถูกอีกฝ่ายมองไปในทางไม่ดี เพราะไอ้ตอนออกมาก็เดินตามเขามาต้อยๆครั้นจะชิ่งกลับเข้าไปเลยโดยไม่ได้บอกกล่าวมันก็ดูจะยังไงๆอยู่
“นี่เราไม่ได้มาไล่ที่ใช่ไหมเนี่ย ทำไมเรามาปุ๊บก็จะไปปั๊บเลยอ่ะ” ไอ้จอมเลิ่กลั่ก
“เปล่าๆ เรากำลังจะกลับเข้าไปพอดีจริงๆ”
มันพยักหน้าหงึกหงักท่าทางโล่งอกโล่งใจ ก่อนที่สายตาจะละจากใบหน้าของเดือนสิบไปอยู่ที่ใครอีกคนซึ่งกำลังเดินตรงเข้ามา
“อ้าวพี่ยุทธ.. อยู่นี่ด้วยหรอพี่”
“เออ” ร่างสูงครางรับสั้นๆ ทว่าตาคมกลับจับจ้องอยู่ที่เสี้ยวหน้าด้านข้างของรุ่นน้องอีกคน
เดือนสิบเผลอกัดปากเมื่อได้ยินเสียงทุ้มใกล้เข้ามา
“เมื่อกี้มีสาวมาถามหาพี่ด้วยอ่ะ แต่พี่ป้องบอกว่าพี่ไปเข้าห้องน้ำ หน้าอย่างสวย หุ่นงี้อย่างเซี๊ยะเลย” ไอ้จอมว่าตาเป็นประกายพลางทำไม้ทำมือประกอบ แต่คนที่ถูกสาวเจ้าถามหากลับปั้นหน้าเฉยครางรับเบาๆเท่านั้น ตาคมที่เคยทอประกายอ่อนโยนเมื่อก่อนหน้านี้กลับว่างเปล่าราวกับไม่รู้สึกรู้สา…
ความเงียบระหว่างพวกเขาเกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อไอ้จอมเดินผละออกไปสูบบุหรี่… เดือนสิบรู้ว่าพี่ยุทธกำลังมองมาที่เขาถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้มองไปที่พี่มันก็ตาม ความกระอักกระอ่วนใจเกินขึ้นอีกครั้งเมื่อฝ่ายนั้นทรุดตัวลงนั่งข้างๆ
แม้จะห่างกันถึงหนึ่งช่วงแขนแต่เดือนสิบก็รับรู้ได้ถึงกระแสความอบอุ่นที่แผ่ออกมา
แต่เขาเลือกที่จะมองข้าม..
“ผมกลับเข้าไปข้างในก่อนนะพี่” เขาหยัดตัวยืนขึ้นจนเต็มความสูง ทว่าออกเดินได้แค่สองก้าวก็ต้องหยุดชะงักเพราะถูกเสียงทุ้มฉุดเอาไว้เสียก่อน
“สิบ…”
เดือนสิบเผลอเม้มปาก ก่อนจะตอบรับเสียงเบาทั้งที่ยังหันหลังให้อีกฝ่าย
“ครับ”
“ที่พูดเมื่อกี้.. พี่ไม่ได้ล้อเล่นนะ”
.
.
.
“ไปไหนมาวะ” เสียงอ้อแอ้ของไอ้ปืนถามขึ้นทันทีที่เดือนสิบหย่อนก้นลงนั่งข้างๆมัน บรรยากาศในวงเหล้ายังคงครึกครื้นแม้จะมีเพื่อนบางคนฟุบลงไปกับโต๊ะแล้วก็ตาม หนึ่งในนั้นเป็นไอ้ตู่ที่ถูกนั่งประกบข้างด้วยพี่หินที่ดูเหมือนสติจะยังครบถ้วนที่สุด มันครางอ้อแอ้ฟังไม่ได้สรรพทั้งที่มือยังจับแก้วเหล้าแน่นไม่ยอมปล่อย
ดูๆไปแล้วก็ตลกดี
“สูดอากาศข้างนอก.. เมาแล้วดิมึง ตาปรือเชียว”
“นิดหน่อยวะ พี่ป้องแม่งใช้อำนาจมืดบังคับกูแดกไปสามช็อตเน้นๆ ตาลายเลยเนี่ย” มันว่าพลางสะบัดหัวไล่ความมึน
ส่วนไอ้คนที่ใช้อำนาจมืดทำให้มันเป็นอย่างนี้กำลังส่งเสียงอ้อแอ้ คะยั้นคะยอให้ไอ้อิฐที่นั่งปรือตาอยู่ข้างๆกันยกแก้วที่มีเหล้าเพียวๆอยู่เกือบครึ่งขึ้นดื่มท่ามกลางเสียงเชียร์ของเพื่อนรอบวงที่ยังมีสติ ท่าทางโงนเงนนั่งไม่ติดทำให้เดือนสิบรู้ว่าฝ่ายนั้นก็เมามากไม่ต่างกัน
“โอ้ยไม่ไหวแล้วพี่ อีกซ็อตนี่อ้วกผมพุ่งแน่ๆ” ไอ้อิฐโวยวาย พลางเลื่อนแก้วเหล้าที่ถูกส่งมาวางไว้ตรงหน้าออกห่างราวกับมันเป็นตัวเชื้อโรค ทั้งที่เมื่อตอนกลางวันยังดี้ด้าเรียกหามันอยู่แท้ๆ
“อ่อนจังว้า ไหนเพื่อนมึงบอกว่ามึงคอทองแดงไง แค่นี้ทำมายึกยักนะไอ้สัด แดกเข้าไปเลยมึงเสียของ”
“โอ้โห.. กล้าพูดนะพี่ป้อง แล้วใครมันบังคับให้ผมยกเอาๆแบบนอนสต็อปละวะ แบบนี้ต่อให้แข็งเป็นเพชรยังต้องยอมแพ้เลย ไม่น็อคไปตั้งแต่กลมที่แล้วก็ถือว่าเก่งชิบหายแล้ว” ไอ้อิฐบ่นยาว จนรุ่นพี่ร่างเล็กยกธงขาวยอมแพ้แต่ก็ไม่วายทำปากขมุบขมิบบ่นมันด้วยประโยคที่เดือนสิบจับใจความไม่ได้ และหลังจากนั้นวันช็อตเจ้าปัญหาก็วนไปที่คนอื่นเรื่อยๆ
ตอนนี้เป็นเวลาห้าทุ่มกว่าๆ บรรยากาศในร้านเป็นไปด้วยความสนุกสนานเพราะนักร้องหยิบยกเพลงร็อคจังหวะโดนๆมาให้ลูกค้าขาแดนซ์ได้ออกสเต็ป โต๊ะที่เคยว่างโล่งเต็มไปด้วยลูกค้าทั้งหน้าใหม่และขาประจำเข้ามาจับจองจนเกือบเต็ม
ในจังหวะที่เดือนสิบกำลังกวาดมองบรรยากาศรอบๆ สายตาเขาก็ไปปะทะเข้ากับผู้ชายร่างสูงท่าทางคุ้นเคย บนหัวของมันยังคงมีผ้าพันแผลที่เขาฝากไว้เมื่อสองวันก่อน ไอ้นุ…
มันเดินเคียงคู่เข้ามากับหนุ่มน้อยหน้าแฉล้มรูปร่างบอบบางคนเดิมด้วยท่าทางยิ้มแย้มราวกับมีความสุขนักหนา ร่างกายเขาเกร็งขึ้นเองโดยอัตโนมัติเมื่อสายตาประสานกับมันที่เงยหน้าขึ้นมาพอดี รอยยิ้มที่เคยมีหายวับใบหน้าหล่อเหลาปลี่ยนเป็นบึ้งตึงจนเดือนสิบรู้สึกหน่วงในอก
ทั้งที่คิดว่าตัวเองเข้มแข็ง ทั้งที่คิดว่าการตัดคนเหี้ยๆอย่างมันออกไปจากใจไม่ใช่เรื่องยาก แต่พอได้มาเห็นว่ามันมีความสุขกับคนอื่นแค่ไหนเขาก็ยิ่งรู้สึกเจ็บเท่านั้น.. ความรู้สึกร้อนผ่าวที่หัวตาย้ำชัด บ่งบอกว่าเขายังคงคิดถึง และยังลืมมันไม่ได้อย่างที่คิด…
หมับ!
สัมผัสอบอุ่นที่สอดเข้ามาโอบกระชับฝ่ามือทำให้เดือนสิบถอนสายตาจากภาพเบื้องหน้ากลับมามอง เจ้าของฝ่ามือไม่ได้กำลังจับจ้องเขา ร่างสูงของรุ่นพี่ร่วมคณะยกแก้วเหล้าที่ใครสักคนยื่นมาให้ขึ้นจิบ ในขณะที่มือหนายังคงบีบกระชับมือเขาเอาไว้คล้ายจะปลอบประโลม เสี้ยวหน้าคมคายนิ่งสนิทจนเดือนสิบเดาไม่ออกว่าอีกฝ่ายกำลังรู้สึกยังไง…
อยากจะชักมือกลับ แต่ในใจลึกๆก็อดยอมรับไม่ได้ว่ามือคู่นี้ทำให้เขาคลายความปวดหน่วงในอกลง น้ำตาที่คิดว่าจะไหลกลับระเหิดหายไปเมื่อถูกปัดเป่าด้วยความอุ่นซ่านที่แผ่เข้ามา
“นั่นมันไอ้นุป่าววะ” เสียงของใครสักคนในกลุ่มทำให้เดือนสิบละความสนใจจากเสี้ยวหน้าคมคาย ทุกคนที่ยังมีสติต่างพากันหันขวับไปยังทิศทางที่ไอ้นุและเด็กใหม่ของมันนั่งอยู่… สามโต๊ะถัดไปนี่เอง
“หัวแตกขนาดนั้นแม่งก็ยังอุตส่าห์ลากสังขารมาแดกได้เนอะ ใจรักชิบหาย”
“ขัดเด็กมันไม่ได้อ่ะดิ ได้ข่าวว่าเป็นขาเที่ยวมาแน่ไหนแต่ไร”
“มึงโอเคไหมวะ” ไอ้ปืนก้มลงมาถามท่ามกลางเสียงเซ็งแซ่ของเพื่อนร่วมโต๊ะ ท่าทางมึนๆของมันหายวับเพราะความเป็นห่วงเพื่อนสนิทเข้าแทรก ฝ่ามือหนาวางลงที่ไหล่ของเดือนสิบ บีบเบาๆอย่างให้กำลังใจ
“โอเคดิวะ สบายมาก” ถึงจะว่าอย่างนั้น แต่สายตาก็ยังไม่วายเหลือบมองไปยังทิศทางที่มันนั่งอยู่
ความสนใจของเดือนสิบตกอยู่ที่ไอ้นุกับเด็กใหม่มันได้ไม่นานเมื่อเพื่อนในกลุ่มต่างก็ผลัดกันชวนเขาคุยนั่นนี่ไม่หยุด ต่างคนต่างสรรค์หาเรื่องตลกนั่นนี่มาเล่าจนเขาหลุดขำไปกับมุกของพวกมันอยู่บ่อยครั้ง
เดือนสิบเพิ่งจะรู้เดี๋ยวนี้เองว่ามีเพื่อนหลายคนที่คอยเป็นห่วงเขา เพื่อนที่เขาเคยมองว่าเป็นคนอื่น แต่ในยามนี้พวกมันต่างแสดงออกว่าเป็นห่วง ถึงจะไม่ได้พูดออกมาตรงๆแต่ท่าทางที่แสดงออกอย่างโอเวอร์แอคติ้งของแต่ละคนก็ทำให้เดือนสิบรู้ว่าพวกมันกำลังทำเพื่อเขา
บางทีการที่เขาไม่มีเพื่อนหรือไม่สนิทกับคนอื่นเท่าที่ควร อาจเป็นเพราะมัวแต่ยึดติดอยู่กับไอ้นุ เอาแต่คิดว่ามันเป็นให้ได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเพื่อนหรือแฟนจนทำให้เผลอละเลยคนรอบข้าง ไม่ใช่เพราะคนอื่นไม่เข้าหา แต่เป็นเพราะตัวเขาเองต่างหากที่ขีดเส้นแบ่งความสำพันธ์ของพวกมันไว้แค่นั้น เป็นตัวเขาเองที่ปฏิเสธและผลัดดันพวกมันให้ออกห่าง…
.
.
.
เสาร์อาทิตย์หรือที่เรียกว่าเป็นวันหยุดของใครหลายๆคนใช้ไม่ได้กับเดือนสิบ อู่ซ่อมรถเฮียโหน่งพี่ชายของเฮียเหนิงพี่รหัสเขา เป็นที่ทำงานของเดือนสิบมาตั้งแต่เทอมที่แล้ว
ทางบ้านเขาไม่ได้มีฐานะดีนักแต่ก็ไม่ได้ย่ำแย่ถึงกับขัดสน พ่อแม่เขาทำไร่ทำนาซึ่งเป็นอาชีพเกษตรกรที่สืบทอดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ เดือนสิบมีน้องชายหนึ่งคนซึ่งตอนนี้กำลังเรียนอยู่ชั้น ปวช 3 ค่าใช้จ่ายไม่ใช่น้อยๆเหมือนกัน…
หลังจากเข้ามาอยู่กรุงเทพเพราะสอบชิงทุนได้เดือนสิบก็เริ่มหางานทำ เพราะถึงแม้จะมีทุนการศึกษาแต่มันก็ช่วยเฉพาะค่าเทอมไม่ได้รวมค่ากินอยู่จิปาถะอื่นๆ ถึงพ่อกับแม่จะย้ำอยู่เสมอว่าพวกท่านส่งไหวขอแค่ให้เขาตั้งใจเรียน แต่พอนึกภาพที่พวกท่านทั้งสองต้องตากแดดหน้าดำหาเงินงกๆไม่ได้หยุดหย่อน เพื่อหาเงินส่งทั้งเขาทั้งน้องเรียนแล้ว ความรู้สึกจุกแน่นมันก็ตีตื้นขึ้นมาจนทนอยู่เฉยไม่ได้…
ร้านของเฮียโหน่งเป็นอู่ซ่อมรถขนาดกลาง ทำเลที่ตั้งอยู่เยื้องไปไม่ไกลจากมหา’ลัยมากนัก จึงทำให้ลูกค้าที่มาใช้บริการส่วนมากเป็นนักศึกษาในมหา’ลัยเดียวกันกับเดือนสิบ เวลาทำงานถูกคิดเป็นชั่วโมงเนื่องจากเขาไม่สามารถมาได้เต็มวันเพราะติดเรียน จะมีแค่เสาร์อาทิตย์เท่านั้นที่ได้ค่าแรงเท่ากับพี่คนอื่นๆ
“สิบมาแยกน็อตตรงนี้ให้เฮียหน่อย” เสียงเรียกของเฮียโหน่งทำให้เดือนสิบละมือจากกล่องเครื่องมือที่เพิ่งเก็บเข้าที่เดินเข้าไปหา “ทำตรงนี้เสร็จก็กลับได้เลยนะ เดี๋ยวคันนี้เอาไว้ให้ไอ้ช้างมันเข้ามาเช็คดูอีกทีพรุ่งนี้” เดือนสิบตอบรับก่อนจะลงมือแยกน็อตตามที่ได้รับมอบหมาย
เฮียโหน่งเจ้าของร้านเป็นผู้ชายร่างสูง โดยพื้นฐานแล้วโครงหน้าอ่อนโยนเหมือนพี่รหัสเขา แต่เพราะไรหนวดเขียวครึ้มที่เจ้าตัวไม่ใส่ใจดูแลบวกกับผิวสีเข้มจากการเล่นกีฬากลางแจ้งจึงขับให้บุคลิกดูน่าเกรงขาม ทั้งที่จริงๆแล้วเป็นคนใจดี
เดือนสิบเข้ามาทำงานที่นี่ได้เพราะเฮียเหนิงเป็นคนฝากให้ ด้วยความที่เป็นคนเรียนรู้เร็วแถมยังมีฝีมืออยู่แล้ว เพราะเคยทำงานในอู่ซ่อมรถมาก่อนสมัยเรียนอยู่โรงเรียนช่างแถวบ้าน ใช้เวลาไม่นานเขาก็ได้รับความไว้วางใจจนได้จับงานใหญ่ๆอย่างพวก
เครื่องยนต์ราคาแพง หรือแม้แต่รถยี่ห้อดังนำเข้าจากต่างประเทศ
.
.
เดือนสิบออกจากอู่มาตอนเกือบๆสี่โมง เพราะช่วงนี้ใกล้สอบไฟนอลเฮียโหน่งเลยอนุญาตให้เขาเลิกเร็วกว่าปกติทั้งที่ยังได้ค่าแรงเท่าเดิม
“ผัดไทยกุ้งสดพิเศษหนึ่งครับลุง”
“อ้าว อาสิบนี่เอง ได้ๆนั่งรอเลย”
เดือนสิบเอ่ยทักทายลุงป้าง เจ้าของร้านที่คุ้นหน้ากันเพราะเขามาฝากท้องที่นี่บ่อยๆ ก่อนจะเดินมานั่งรอที่โต๊ะ เนื่องจากตอนนี้ลูกค้าไม่เยอะ รออยู่ไม่นานผัดไทกุ้งสดน่าตาน่าทานก็มาวางอยู่ตรงหน้า แต่ลงมือกินได้ไม่กี่คำ เสียงทุ้มคุ้นหูของใครบางคนก็ดังขึ้น ก่อนที่ร่างสูงของรุ่นพี่ในคณะจะนั่งลงตรงข้ามกับเขา
“นั่งด้วยนะ โต๊ะเต็ม”
เหตุการณ์คุ้นเคยร ทำให้เดือนสิบได้แต่กระพริบตามองคนตรงหน้าปริบๆ อยากจะปฏิเสธ แต่ที่แสดงออกได้คือการพยักหน้ารับและยกมือไหว้พี่มันตามมารยาทเท่านั้น
เหตุการณ์เมื่อคืนก่อนทำให้เขาอดจะรู้สึกประดักประเดิดไม่ได้เวลาเผชิญหน้า
“เพิ่งเลิกงานหรอ?” อีกฝ่ายเปิดประเด็น
“ครับ” เดือนสิบตอบรับ แม้จะรู้สึกแปลกใจว่าพี่ยุทธรู้เรื่องที่เขาทำงานได้ยังไงก็ตาม
อีกฝ่ายพยักหน้ารับก่อนจะเงียบลง
“พี่ล่ะครับ มาทำอะไรแถวนี้”
บรรยากาศแปลกๆทำให้เดือนสิบเลือกที่จะชวนอีกฝ่ายคุย เพราะคิดว่าอย่างน้อยๆมันก็ทำให้ความอึดอัดลดน้อยลงกว่าการที่เราทั้งสองนั่งเงียบ
“จริงๆก็อยู่แถวนี้มาตลอดนั่นแหละ” คิ้วเรียวขมวดน้อยๆกับคำตอบของอีกฝ่าย
“หรอครับ.. ทำไมผมไม่เคยเห็นเลยล่ะ”
“ไม่เห็น… หรือไม่เคยมองกันแน่” ยุทธนาเว้นช่วง นัยน์ตาคมกล้าอ่อนแสงยามทอดมองดวงหน้าของรุ่นน้องร่วมคณะ “ขนาดพี่ยังเห็นเรามานั่งกินข้าวที่ร้านนี้ประจำเลย เต้าหู้ปลาท่องโก๋ตอนเช้าๆของแปะโอหน้าปากซอยนั่นก็ด้วย”
“….”
คำตอบของคนตรงหน้าทำให้เดือนสิบอึ้งไปไม่น้อย อยากหลบสายตาที่มองมาแต่ก็ทำไม่ได้อย่างที่คิด ราวกับว่าถูกความอ่อนโยนที่ส่งผ่านมาอย่างไม่ปิดบังดึงรั้งเอาไว้
แล้วตอนนั้นลุงป้างก็เอาผัดไทกุ้งสดที่หน้าตาเหมือนของเขามาเสิร์ฟ ร่างสูงถึงได้ถอนสายตาไป
“ช่วงนี้ใกล้สอบแล้วนี่ เริ่มอ่านหนังสือบ้างหรือยัง”
หัวข้อสนทนาที่เปลี่ยนไปจากก่อนหน้านี้ลิบลับ ทำให้เดือนสิบรู้สึกหายใจหายคอคล่องขึ้น ความเกร็งเริ่มหายไปเมื่อเห็นอีกฝ่ายลงมือกินผัดไทตรงหน้าด้วยท่าทางสบายๆ
“เริ่มอ่านบ้างแล้วครับ” เขาตอบพลางเริ่มลงมือจัดการกับผัดไทของตัวเองบ้าง
“แล้วทำงานไปด้วยแบบนี้ เอาเวลาที่ไหนมาอ่านหนังสือสอบ” เสียงทุ้มเอ่ยเรียบเรื่อย ในขณะที่ตาคมก็ลอบสังเกตท่าทีของรุ่นน้องอยู่เป็นระยะ
“ก็อ่านหลังเลิกงาน ไม่ก็เวลาที่อู่ไม่มีลูกค้าน่ะครับ เจ้าของอู่ใจดีอนุญาตให้ผมกลับเร็วได้ถ้าเป็นช่วงสอบ” ร่างสูงพยักหน้ารับ
“แล้วมีวิชาไหนที่อ่อน หรือไม่เข้าใจไหม” เดือนสิบโคลงหัวทำท่าคิด เผลอยู่กลีบปากนิดๆอย่างไม่ตั้งใจเพราะติดเป็นนิสัย ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าท่าทางของตัวเองเรียกความเอ็นดูจากคนที่ลอบมองอยู่ตลอดได้มากโข
“Thermodynamic ละมั้งครับ ผมไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่”
“ใจหลักของวิศวะเครื่องกลเลยนะนั่น… แล้วมีคนช่วยติวให้หรือยังล่ะ”
“ยังครับ” เดือนสิบตอบเสียงเบา เขาไม่เคยร่วมกลุ่มติวกับเพื่อนๆหรือรุ่นพี่คนอื่นๆ อาศัยอ่านทำความเข้าใจแล้วฝึกทำแบบทดสอบเองมากกว่า
“ช่วยติวให้ไหม”
บทสนทนาลื่นไหลชะงักลงเมื่อเดือนสิบเงยหน้าขึ้นมาสบตากับอีกฝ่ายตรงๆหลังจบประโยค คิ้วเข้มยกขึ้นน้อยๆมองมาที่เขาอย่างรอคำตอบ ไม่ได้ดูเร่งรัดหรือบังคับ แต่เป็นการเฝ้ารออย่างใจเย็น
เดือนสิบเผลอเม้มปากอีกครั้ง แต่ครู่เดียวคำตอบก็หลุดออกมา และมันทำให้คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเผยยิ้มบางจนเขาเผลอมองค้างไปชั่วขณะ
“รบกวนด้วยนะครับ”
*****
ขอบคุณทุกคนที่อุตส่าห์รอน้องสิบนะคะ
พูดถึงนิสัย
เดือนสิบเป็นคนพูดน้อย พูดไม่เก่ง ถามคำตอบคำ จนบางทีก็ทำให้คนรอบข้างคิดว่าเขาไม่อยากคุยด้วยอะไรแบบนี้อ่ะค่ะ
อีกอย่างคือตอนนั้นน้องมันมองเห็นแค่ไอ้นุจนไม่ได้สนใจคนอื่นๆด้วย เลยกลายเป็นว่าตัวเขานั่นแหละที่ปิดกั้นตัวเอง
เราไม่รู้ว่าทุกคนจะเข้าใจอารมณ์น้องอย่างที่เราเขียนไหม บางทีเราอ่านเองยังรู้สึกงงๆเหมือนมันวกไปวนมา
ผิดพลาดยังไงก็ขอโทษด้วยนะคะ เราจะพยายามให้ดีขึ้น
อย่าเพิ่งหนีเค้าไปไหนน้า