Chapter 29
สัมผัสหนักๆที่ทาบทับอยู่บนร่างทำให้กนธีขมวดคิ้วมุ่น อยากลืมตาขึ้นมองแต่ก็ฝืนความง่วงไม่ไหว ยังคงกึ่งหลับกึ่งตื่นตอนที่รู้สึกว่ามีใครสักคนเข้ามาวุ่นวาย
มืออุ่นสอดเข้ามาใต้เสื้อ ลูบแผ่วเบาแล้วเคล้นคลึงแผ่นอก กนธีหายใจติดขัด เปลือกตายังหนักอึ้งกระทั่งกระดุมถูกปลดออกทีละเม็ด
ร่างสูงใหญ่คลอเคลียอยู่เหนือตัว ใบหน้าได้รูปก้มต่ำ ปลายผมนุ่มระอยู่แถวต้นคอ รู้สึกถึงเรียวปากร้อนผ่าวที่แตะจูบข้างแก้มและลากเรื่อยลงมาถึงผิวเนื้อเบื้องล่าง ไอเย็นเฉียบจากแอร์ทำให้ต้องขดตัวเข้าหากัน
กนธีหนาวจนแทบสั่น คงเพราะไม่มีเสื้อปกปิด พอความร้อนจากร่างเปลือยด้านบนถ่ายทอดมา เขาก็เผลอซุกหน้าเข้าหาแล้วโอบกอดไว้แนบแน่น มันอุ่นสบายจนหลุดยิ้มอย่างห้ามไม่อยู่
“พี่กุนต์..” เสียงนั้นเรียก
“อื้อ..” กนธีลืมตาไม่ขึ้น ได้แต่ครางรับ
“ผมอดทนมาทั้งคืนแล้ว” เขารอคำอนุญาตทั้งที่ปวดร้าวจนแทบระเบิด “เช้านี้..ขอกอดพี่ได้ไหม สัญญาว่าจะค่อยๆทำครับ”
คนอายุมากกว่าส่งเสียงตอบรับ “อือ..ได้สิ”
ใครอีกหนึ่งยิ้มสมใจ จมูกโด่งซุกไซ้ตรงซอกคอ ขบเม้มติ่งหูขาวแล้วจูบย้ำสองข้างแก้ม ฝ่ามือกร้านสอดเข้าใต้เอว ยกรั้งสะโพกตึงแน่นขึ้นก่อนจะดึงกางเกงนอนของอีกคนลง จับท่อนขาเพรียวแยกออกขณะสอดตัวลงกึ่งกลาง
เสียงหอบหายใจของคนสองคนดังแว่วไปในความเงียบ อากาศเย็นจัด ตัดกับความร้อนระอุที่ค่อยๆดุนดันเข้ามาภายใน มันแช่นิ่งสักพักถึงขยับเนิบ
กนธีครางแผ่ว โอบกอดแผ่นหลังกว้าง รู้สึกดีจนเผลอลูบไล้ไปทั่วตัวของอีกฝ่าย เขายังคงหลับตา เคลิบเคลิ้มไปกับความสุขที่ถูกป้อน
ชายหนุ่มเลื่อนมือลงกอบกุมบั้นเอวหนา เผลอขยุ้มแรงขึ้นเมื่อจังหวะเร่งเร้า เขากดสะโพกแกร่ง ดื่มด่ำกับความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวที่สอดรับกัน
เสียงทุ้มต่ำครางอยู่ข้างหู เขาร้อนวูบ เงยหน้ารับจูบลึกซึ้ง ความอุ่นชื้นเกี่ยวกระหวัด โลมเลียไปทั่วโพรงปาก เสียงจูบดังประสานไปกับการขยับกาย
ฟันคมกัดบ่าแข็งแรง หายใจถี่และเผลอครางไม่หยุด กล้ามเนื้อหน้าท้องเสียดสีกับผิวอ่อน บางอย่างเคลื่อนไหว สอดใส่เข้ามาจนจุกแน่น ลำตัวช่วงล่างประสานเข้าหาเป็นจังหวะ ได้ยินเสียงเนื้อต่อเนื้อกระทบกันดังก้องห้อง
กนธีนิ่วหน้า ถูกกอบกุมเอาไว้แล้วปรนเปรอให้อย่างเอาใจ ถูกล่วงล้ำต่อเนื่อง ทั้งยังมีจูบอ่อนหวานคอยป้อยอ ทำเอาหัวใจเต้นแรงทั้งที่ไม่ได้มองหน้า และเพราะอย่างนั้น เขาถึงสัมผัสตัวตนของฝ่ายตรงข้ามได้ชัดเจน
กลิ่นอายของการร่วมรักอบอวลอยู่รอบตัว ผิวเนื้อชื้นเหงื่อเสียดสี คนสองคนกอดรัด เกี่ยวพันเหมือนงู ปลายเท้าขาวยกไขว้ เรียวขาเกาะก่ายช่วงเอว
จังหวะรักถูกเร่งถี่ สะโพกสอบขยับรัว ร่างข้างใต้บิดเร่าก่อนจะกระตุกไหว ไออุ่นร้อนท่วมท้นออกมาเป็นระลอก ยิ่งกระตุ้นให้ภายในบีบรัดแน่น
เสียงพร่าต่ำครางชิดใบหู แขนแข็งแรงสอดเข้ากอดรัด หอมแก้มและกดจูบปากนุ่ม กระแทกตัวเน้นย้ำบางจุดที่คุ้นเคยจนอีกฝ่ายหลุดร้อง มือไขว่คว้ากันและกัน บีบกระชับ ประสานปลายนิ้วเมื่ออารมณ์ไต่ระดับขึ้นสูง
ร่างสูงสะท้านเฮือก ปลดปล่อยออกมารุนแรง ความต้องการพลุ่งพล่านออกมาเป็นหยาดหยด มันมากมายจนเขาชุ่มฉ่ำอยู่ภายในปราการกั้น
เขายังคงขยับแผ่วเบาอยู่สองสามครั้ง กระทั่งอ่อนตัวลงถึงได้ล่าถอย ดวงตาคมกล้าจับจ้องคนที่หอบหายใจ ทันทีที่ถอดถอนออกมา คนตรงหน้าก็ผล็อยหลับไปอีกครั้ง ไม่ทันระวังเลยว่านอนเปิดเปลือยต่อหน้ากันอยู่
เด็กหนุ่มมองร่องรอยบวมแดงที่มาจากการเสียดสีหนักหน่วงแล้วรู้สึกเก้อเขินแทน เขาปรับลมหายใจให้เป็นปกติแล้วค่อยๆประคองเรียวขาเปลือยลงวางราบ ผละไปเข้าห้องน้ำและเอาผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่นมาเช็ดตัวให้
กนธีนอนนิ่ง มีเพียงแผ่นอกที่ไหวเพื่อม ถึงอย่างนั้น มุมปากก็ยิ้มน้อยๆไปกับสัมผัสอ่อนโยนที่มาจากการเอาใจใส่
.
.
.
แดดช่วงสายส่องเข้ามาในห้องกว้าง กนธีรู้สึกตัวตื่น เขาป่ายมือไปข้างที่นอนโดยอัตโนมัติแต่พบเพียงฟูกเย็นชืด ดูเหมือนคนร่วมเตียงจะลุกออกไปนานแล้ว
ชายหนุ่มยกมือขึ้นลูบหน้าแรงๆ ใบหูเป็นสีเข้มเมื่อนึกขึ้นได้ว่าฝันอะไรเอาไว้ตอนใกล้รุ่ง เขาเปิดผ้าห่มออก ก้มดูกางเกงนอนของตนเองว่าเปียกชื้นหรือเปล่า อายุปูนนี้แล้ว ยังจะฝันว่าได้ปลดปล่อยจนชุ่มฉ่ำอีก
กนธีพรูลมหายใจ เนื้อตัวเขาแห้งสนิทดี น่าขำชะมัด ฝันนั้นเหมือนจริงเกินไป ทั้งเขาเองยังเบาสบายตัวเหมือนเสร็จสมไปแล้วหนึ่งรอบด้วยซ้ำ
มีเสียงเคาะประตู เขาหันไปมอง เห็นอินทัชโผล่หน้าเข้ามา ทั้งหูและหน้าเลยยิ่งเป็นสีเข้ม ในเมื่อผู้ร่วมความฝันนั้นไม่ใช่ใครอื่นไกลเลย
“เป็นอะไรครับ หน้าแดงเชียว” เด็กหนุ่มเข้ามาหา ออกปากทักยิ้มๆ
“เปล่า” เขากระแอมแก้เก้อ ลุกจากเตียงแล้ววางขาลงพื้น ทันทีที่ทิ้งน้ำหนัก เข่าก็อ่อนยวบ ตัวแทบทรุดถ้าเจ้าโอ๊ตไม่เข้ามาพยุงแขนไว้ก่อน
“หน้ามืดหรือครับ” อินทัชตกใจ “พี่ตรวจความดันครั้งสุดท้ายเมื่อไร”
“ไม่ใช่ๆ” กนธีมึนตาม พอตั้งสติได้ก็รู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องหน้ามืดหรอก
ดูเหมือนว่าขาเขาจะอ่อนเปลี้ยกะทันหัน ไม่ใช่เส้นยึดหรือกล้ามเนื้อมีปัญหา มันแค่มีอาการสั่นกึก ปวดเมื่อย แล้วยังเจ็บระบมตรงท่อนล่าง
อินทัชเริ่มรู้ตัวว่าลักษณะแบบนี้ สาเหตุน่าจะมาจากเขามากกว่า
“โอ๊ต” กนธีจ้องหน้า
“เอ่อ..” เขาเกาหัวแกรก หูเริ่มแดงตามไปด้วยอีกคน “อย่าเพิ่งโกรธนะครับ เรื่องนี้ผมอธิบายได้..” ไม่ได้ตั้งใจทำหนักหน่วงจริงๆ นี่ก็ยั้งไว้บ้างแล้ว
“ตอบมา..” หรี่ตามองคล้ายจับผิด “เมื่อคืนทำพี่ตกบันไดหรือเปล่า”
อินทัชนิ่งอึ้ง จากนั้นก็หลุดหัวเราะเสียงดัง พี่กุนต์ขมวดคิ้วมุ่น ตั้งท่ากล่าวหาเขาเต็มที่ ดูท่าว่าความทรงจำเจ้าตัวจะบันทึกถึงตอนขึ้นบันไดเท่านั้น
“วันนี้ผมจะซื้อใบแปะก๊วยสกัดแบบแคปซูลให้กิน” เขาพูดยิ้มๆ ประคองให้พี่กุนต์นั่งแล้วกระซิบข้างหู “จะได้จำได้..ว่าเมื่อเช้ามืดเรามีอะไรกัน”
กนธีเงียบไปครึ่งนาที สมองเขายังประมวลผลไม่ทัน พอรู้ว่าอะไรเป็นอะไร แก้มก็กลายเป็นสีจัด รวมไปถึงปลายจมูกและติ่งหูด้วย
“พูดนิดเดียวต้องหน้าแดงขนาดนี้เลยหรือครับ” เด็กหนุ่มแหย่
“อ้อ..” คนอายุมากกว่าตีหน้ากลบเกลื่อน “งั้นแล้วไป..” เขาหันหลังกลับไปนอนคลุมโปงต่อ น่าอายชะมัด..แก้มร้อนเหมือนอังด้วยไฟเลย
ได้ยินเสียงคนด้านหลังหัวเราะในลำคอ ฟูกนอนข้างตัวยวบลง กนธียังมุดหัวอยู่ในผ้าห่ม ใจเต้นแรงกับไออุ่นจากร่างใหญ่โตที่ทาบทับลงมา
“ตื่นแล้วก็ลุกครับ อย่างอแง ไปกินข้าวเช้าได้แล้ว”
..งอแง? ใครงอแงวะ..
“เดี๋ยวลุก ขอนอนต่ออีกหน่อย”
“มุกนี้ไม่ผ่านพี่” อินทัชยิ้ม ดึงผ้านวมออกห่าง พี่กุนต์ยังยื้อยุดเลยโผล่ออกมาแค่ลูกตา “ยายรอกินข้าวกับพี่กุนต์ แกถามว่า หนูกุนต์ของยายไปไหน”
กนธียอมออกมาจากโปงในที่สุด เขาไล่เลือดออกจากหน้าเสร็จแล้ว
อินทัชนั่งยิ้ม มองคนที่ผมเผ้ายุ่งเหยิงเพราะเสียดสีไปมาบนหมอน เมื่อเช้ามืดเขาลงแรงไปตั้งมาก ยังจำใบหน้าที่หลับตาพริ้ม ทั้งตัวไหวคลอนเพราะแรงส่งจากเขาได้อยู่ พี่กุนต์ตอนหลับไม่รู้เรื่อง..เร้าอารมณ์อย่างบอกไม่ถูกจริงๆ
“ยิ้มอะไร” กนธีมองเขม่น ทรงตัวลุกขึ้นยืน
เขาดึงผ้าปูให้เรียบ แก่จะตายแล้ว อย่าทำเป็นคุณชายในละคร ตื่นแล้วผ้าไม่พับ ที่นอนไร้ระเบียบรอแม่บ้านเก็บ แบบนั้นมันเด็กน้อย ไม่ใช่คนมีอายุ
อ้อมแขนแข็งแรงกอดรัดที่ช่วงเอว ปากอุ่นร้อนแตะจูบตรงซอกคอ
“ชอบเวลาได้กอดพี่แบบนี้จัง”
เขาตาพร่าเพราะคำกระซิบหวานหู ดูมันเถอะ..เจ้าโอ๊ตนี่ร้ายกว่าเด็กคนอื่นที่ผ่านมาจริงๆ มันชมเขาอย่างจริงใจ มีอะไรกับเขาด้วยความรู้สึกซื่อตรง แต่มันกลับไม่สามารถมองเขาในแง่อื่นได้ โหดร้ายกับจิตใจชะมัด
..แต่อย่างว่าแหละ..คนที่โลภมากก่อน คือเขาเองไม่ใช่หรือ..
คนที่เล่นนอกกติกา คาดหวังเกินปัจจุบันก็คือเขาคนนี้คนเดียว
กนธีได้แต่ยิ้มบาง “ไม่ต้องมาป้อแต่เช้า” เขาคลี่ผ้านวมออกแล้วดึงมุมเข้ามาพับ ในตอนนั้น..ฝ่ามือใหญ่ก็เข้ามาจับแขน ช่วยพับผ้าให้อีกแรง
อินทัชคลอเคลีย เขารู้สึกอยากกอด อยากอ้อนคนตรงหน้า ไม่รู้ทำไมถึงได้ชอบซุกหาไออุ่นจากพี่กุนต์ ชอบที่จะสูดดมกลิ่นหอมอ่อนๆอันเป็นเอกลักษณ์ จะบอกว่าเขาโหยหาความรักในแบบผู้ใหญ่เพราะขาดพ่อ ก็ยังไม่แน่ใจนัก
อยู่กับกนธี เขารู้สึกอบอุ่น ปลอดภัย เชื่อมั่นและไว้วางใจ เหมือนได้อยู่กับพี่ชายที่แสนดีที่เข้าอกเข้าใจเขาตลอดเวลา คนๆนี้ห่วงใย ปกป้องเขาตลอด ทั้งยังชอบปรากฏตัวขึ้นมาในเวลาที่เขาต้องการใครสักคน เป็นแบบนี้บ่อยครั้งจนเขาเกิดความรู้สึกเชื่อมโยงและเริ่มเคยชินไปแล้ว
เขานึกไม่ออก ว่าในวันที่ต้องแยกจากกัน เขาจะเป็นอย่างไร คนที่มาหลังจากเขา จะทำดีต่อพี่กุนต์หรือเปล่า..จะทำให้พี่กุนต์ของเขาเสียใจไหม
คิดแค่นี้ อินทัชก็ห่วงและหวงจนต้องกอดอีกฝ่ายแน่นขึ้นอีก
“เป็นอะไรน่ะเรา” กนธีตบหลังมือที่คล้องเกี่ยวตรงช่วงเอว
“เปล่าครับ” อินทัชยิ้ม “พี่ไปอาบน้ำเถอะ จะได้ไปกินข้าวพร้อมกัน”
ชายหนุ่มพึมพำรับ เขาหยิบเสื้อคลุมเข้าห้องน้ำไป ปล่อยให้เด็กช่วยจัดเสื้อผ้าชุดใหม่ให้บนเตียง ตอนนี้คนที่รู้ใจเขาที่สุดก็คือเจ้าโอ๊ตนี่แหละ
อินทัชเดินไปทางวอล์คอิน โคลเซ็ท ในนั้นมีชุดของพี่กุนต์แขวนเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ ฝั่งหนึ่งจะเป็นเสื้อเชิ้ตทำงานกับกางเกงสแล็คแบรนด์ PIERRE CARDIN เสื้อสูทและเนคไทสำหรับออกงานของ Armani
อีกด้านของราวแขวนคือเสื้อโปโลสีพื้นเรียบง่าย เสื้อยืดเนื้อดีแบรนด์ Paul Smith, John Henry, Lacoste และ Camel มีพวกสเวตเตอร์ เสื้อโค้ทและเสื้อกันหนาวสำหรับไปต่างประเทศ กางเกงยีนส์ Lee กับ Wrangler และกางเกงขายาวทั่วไป ในลิ้นชักใช้เก็บถุงเท้า เสื้อกล้าม กับกางเกงชั้นใน Calvin Klein
แอคเซสเซอร์รีจำพวกเข็มขัดหนัง นาฬิกาข้อมือ เข็มกลัดเนคไทจะวางอยู่ในตู้กระจกกลางห้อง รองเท้าหนังคัทชูอยู่ในกล่องวางไว้ด้านล่าง ริมกระจกเป็นมุมแต่งตัว มีขวดน้ำหอมและโคโลญจน์ที่ใช้ประจำ
อินทัชรู้อยู่แล้วว่าพี่กุนต์เป็นคนแต่งตัวดี ต่อให้อยู่บ้านเฉยๆก็ตาม และถึงแม้ว่าจะใส่เสื้อกล้ามห่านคู่กับกางเกงเจเจ ลากรองเท้าแตะช้างดาว เขาก็ว่าพี่กุนต์ยังคงดูดีอยู่นั่นเอง เพราะเครื่องประดับที่ดีที่สุดก็คือ..รอยยิ้ม
มีเสียงมือถือดังจากในห้องนอน อินทัชหยิบเชิ้ตโปโลกับกางเกงขายาวตัวหนึ่งไปวางให้ที่เตียง เขาหยิบโทรศัพท์ตรงโต๊ะขึ้นมาดู คิ้วเข้มขมวดมุ่น
..น้องวิทย์..
“ไอ้เวรนั่น” เขาหรี่ตามอง ไม่เข้าใจว่าทำไมพี่กุนต์ยังบันทึกเบอร์ไว้
โดยไม่ทันคิดถึงกฎระหว่างกันว่าจะไม่ยุ่งเรื่องส่วนตัว อินทัชจัดการกดตัดสายทันที เขาไม่เห็นความจำเป็นที่มันจะมาติดต่อพี่กุนต์ทั้งที่เลิกกันไปแล้ว
ไววิทย์โทรมาอีกครั้ง และเขาก็กดทิ้งเป็นหนที่สอง เด็กหนุ่มยืนรอว่ามันจะโทรครั้งที่สามไหม แต่ไม่เห็นมีมาอีก ก็ถ้ามันกล้าโทร เขาจะเป็นคนรับให้เอง
ประตูห้องน้ำเปิดออก กนธีเดินเช็ดหัวพลางลากสลิปเปอร์มาข้างเตียง เห็นอินทัชยืนจัดเสื้อผ้าให้เขา ท่าทางเอาใจใส่แบบนั้นทำให้อดไม่ได้ ต้องเข้าไปกอดอีกฝ่ายไว้จากเบื้องหลัง ใบหน้าเย็นชุ่มซบลงบนบ่ากว้าง
“พี่โอ๊ตคนดี” กนธียิ้มละมุน “ทำตัวเหมือนคุณภรรยาเลย”
อินทัชใจอ่อนยวบหลังจากนึกขุ่นเคืองอยู่หลายนาที เขาหันกลับมา จับคางพี่กุนต์แล้วก้มลงกัดปากล่างเบาๆ เจ้าตัวครางในลำคอ ทำเอาเขาตื่นเร้าจนต้องกดจูบแนบแน่นขึ้นอีก แขนข้างหนึ่งละมากอดเอว อีกข้างสอดรับตรงราวคอ อ้อมมือแตะแนวแก้มให้แหงนเงยขึ้น
กนธีขยุ้มต้นคอแข็งแรง สอดปลายนิ้วเข้าลูบไล้เส้นผมนุ่ม เอียงหน้าแล้วเป็นฝ่ายจูบตอบไปบ้าง เขาสอดลิ้นเข้าไปเย้าแหย่ หากพอจะผละออก คนตรงข้ามกลับตามติด ดูดกลืนเขาเข้าสู่โพรงปากร้อนระอุ
คนทั้งสองหอบหายใจ หลังจากตะกรุมตะกรามโต้ตอบกันและกันไปหลายนาที อินทัชก้มลงหอมแก้ม พี่กุนต์เองก็จูบหน้าผากเขาอย่างเอ็นดู
“เมื่อครู่เรียกผมว่าอะไรนะครับ” อินทัชกัดปลายจมูกโด่ง
“พี่โอ๊ตครับ..” เขาฉีกยิ้ม
“คำหลังน่ะ” ร่างสูงมองอย่างคาดโทษ
“อ้อ..คุณภรรยา” กนธีหัวเราะ ดึงแก้มเด็ก “ก็มันเหมือนนี่นา ทำอาหาร ซักรีดเสื้อ เตรียมชุดให้ ส่วนพี่ก็เป็นฝ่ายดูแล..จะเหลือก็แต่สถานะบนเตียง” เขามองด้วยความรักใคร่ “ให้พี่ลองเป็นฝ่ายกอดโอ๊ตบ้างดีไหม”
“ไม่มีทางเด็ดขาด”
“อ้าว..คิดก่อนค่อยตอบสิ”
“ไม่..มี..ทาง” อินทัชขยุ้มสะโพกพี่กุนต์แล้วดึงเข้ามาแนบชิดกับหน้าขาของเขา “ถ้าพี่จะกอดผม พี่ต้องตื่นตัวให้ได้ทุกครั้ง แล้วก็มีแรงทำสองรอบขึ้นไป”
“จะฆ่ากันใช่ไหม” กนธียอมแพ้ตั้งแต่เงื่อนไขแล้ว “นี่..จะบอกให้นะว่าของจริงเขาวัดกันที่ quality ไม่ใช่ quantity”
“จะบอกว่าผมมีดีแค่จำนวน แต่คุณภาพห่วยหรือ” อินทัชจ้อง
“เปล่านา..เราคิดไปเอง” เขารีบแก้ไขคำพูด แต่ก็ช้าไปเสียแล้ว ทั้งตัวถูกเด็กมันอุ้มลงไปนอนหงายกับเตียง เจ้าโอ๊ตตรึงสองแขนเข้าไว้บนฟูก
ท่อนล่างของพวกเขาทาบทับ สะโพกสอบเคลื่อนไหวอย่างยั่วเย้า กนธีหน้าร้อนผ่าว รับรู้ได้ว่าเด็กกำลังตื่นตัวขึ้นมาจริงๆ
อินทัชยกขาข้างหนึ่งของพี่กุนต์ขึ้นวาง สอดมือเข้าลูบไล้โคนขาเพรียว
“ใครนะไม่ได้ใส่..ชั้นใน” เขาแกล้งแหย่ “จะเลียนแบบผมหรือครับ การไม่ใส่ชั้นในมันเป็นโค้ดลับของการอยาก ‘ร่วมรัก’ นะ”
“ไอ้โอ๊ต~” กนธีโวยวาย “ใครเขาใส่ลิงอาบน้ำวะ”
“ไม่รู้ล่ะ” เขากระตุกสายเสื้อคลุม “ในเมื่อไม่ใส่ก็ยอมให้จับกินซะดีๆ”
คนฟังหัวเราะร่วน ปล่อยให้เด็กมันกดจูบไปทั่วตัว ก่อนที่การหยอกเย้าแบบทีเล่นทีจริงจะกลายเป็นการกระตุ้นอารมณ์
พวกเขามองหน้ากัน ส่งยิ้มให้กัน จับจ้องกันและกัน จูบโต้ตอบแต่ละฝ่าย ปลดเปลื้องเสื้อผ้าแล้วร่วมสัมผัส แนบชิดเป็นหนึ่งเดียว
แดดของช่วงสายลอดผ่านม่านหน้าต่างเข้ามา กลิ่นอายของความสุขลอยวน เนื้อต่อเนื้อบดเบียด ผิวกายสอดรับ มือทั้งสองสอดประสาน เตียงทั้งหลังไหวคลอนเนิบนาบ แทรกไปกับเสียงครวญครางของคนทั้งคู่
มีไลน์เข้าจากไววิทย์ อินทัชเหลือบมอง ดีที่พี่กุนต์ไม่มีสติพอจะสนใจ ดังนั้นเขาเลยเอื้อมมือไปตรงหัวเตียง ค่อยๆหยิบมือถือแล้วซ่อนไว้ใต้หมอนอีกด้านขณะที่กระแทกกระทั้นตัวตนเข้าสู่ความอ่อนนุ่มของร่างข้างใต้
.
.
.
กนธีกับอินทัชลงมากินข้าวกับคุณยายตอนเกือบจะสิบโมง เขาขอโทษท่านยกใหญ่ที่ทำตัวเอื่อยเฉื่อย ส่วนไอ้ตัวต้นเหตุได้แต่ยืนยิ้มอยู่ด้านหลัง
“ไม่เป็นไรจ้า ยายกินไปบ้างแล้ว” พยาบาลจัดมื้อย่อยให้แกห้าถึงหกมื้อ เมื่อเช้าเป็นของเบาๆ โจ๊กปลาแซลมอนกับเต้าหู้นึ่งถ้วยเล็กพอให้รองท้อง
อินทัชรู้ดีอยู่แล้วว่ายายกินมื้อเช้าเรียบร้อย แค่รอจะกินมื้อสายเฉยๆ เขาเลยไม่ต้องรีบร้อนทำเวลานัก พอจะละเลียดเรื่องบนเตียงได้พักหนึ่ง
กนธีเข้ามานั่งที่โต๊ะ สาวใช้ตักข้าวให้ ของคุณยายมีข้าวไรซ์เบอร์รี่ ผัดดอกกะหล่ำ ปลานึ่งขิงชิ้นเล็ก และมีน้ำทับทิมกับชมพู่เสริม
เมนูพวกนี้เขากับพยาบาลที่ดูแลคุณยายช่วยกันคิด ออกจะจืดไปบ้าง อาจไม่คุ้นปาก แต่ก็เป็นอาหารสุขภาพเหมือนกัน
“พอกินได้ใช่ไหมครับ” เขาถามอย่างเป็นห่วง เข้าใจอาการเบื่ออาหาร เขาเองพออายุมากขึ้นก็งดพวกฟาสต์ฟู้ด แกงกะทิกับของที่อุดมไขมันเหมือนกัน ทั้งที่ตอนวัยรุ่นชอบกินพิซซ่า ดื่มน้ำอัดลม ชากาแฟเป็นชีวิตจิตใจ
“กินได้จ้ะ คนเราอย่าไปหลงรสให้มาก มันก็อยู่ได้” แกยิ้มร่า เป็นคนแก่ที่น่ารัก ไม่เคยเอาแต่ใจหรือโวยวายให้ลูกหลานมาคอยปรนนิบัติเลย
กนธีช่วยดูก้างปลาให้คุณยาย ส่วนอ้นกับอุ้มกำลังถูกพี่โอ๊ตบังคับกินผัดฟักทอง สองหน่อหน้าเบ้ โดยเฉพาะน้องอุ้มที่ไม่ชอบผัก รู้สึกเหมือนถูกบีบให้กลืนยาขม พี่กุนต์เลยต้องหลอกล่อด้วยสมุดปั๊มดาว
“กินฟักทองได้สองดาว ครบสิบดาวได้รางวัลนะครับ”
น้องอุ้มอยากจะร้องไห้จริงๆ แต่พอลองแล้วก็กินได้แบบไม่ทรมานนัก
“พี่กุนต์ดื่มนี่ด้วย” อินทัชยกการ้อนแล้วเทน้ำต้มให้ “เห็ดสามอย่าง มีเห็ดหอม เห็ดหูหนูดำ กับเห็ดหูหนูขาว มันช่วยบำรุงตับไต”
“รสเหมือนซุปไก่ภาคพิสดาร” กนธีทำหน้าเบ้บ้าง
“ถ้ากินหมดจะปั๊มดาวให้ครับ ครบสิบดวง..” อินทัชยักคิ้ว “ได้รางวัล”
คนฟังหน้าร้อนผ่าว รางวัลของเขาที่ให้น้องอุ้ม กับรางวัลที่ไอ้พี่โอ๊ตจะให้เขา แน่นอนว่าความหมายคนละโยชน์แหง
“พี่กุนต์ครับพี่กุนต์” อ้นเรียกหา “วันจันทร์นี้ อ้นจะไปทัศนศึกษาแล้ว”
กนธีเพิ่งนึกได้ เขาลืมเสียสนิทเลย ครั้งก่อนน้องเดินกระมิดกระเมี้ยน เอาใบตอบรับมา เขาก็ให้อินทัชเป็นคนเซ็นและหักคอจ่ายเงินแทนไปแล้ว
“ไปเมืองโบราณใช่ไหมน้องอ้น” กนธีตื่นเต้นแทน “ให้พี่ตามไปด้วยได้ไหม จะได้พาน้องอุ้มไปเที่ยวด้วย รับรองว่าจะไม่ไปป่วน” แค่จะสตอล์กห่างๆ
“อยู่บ้านนั่นแหละครับ เด็กจะไปเที่ยว พวกเราเกี่ยวด้วยที่ไหน”
“คนแก่ไปทัศนศึกษาบ้างไม่ได้หรือไง” เขาเตะขาเจ้าโอ๊ตตุบๆ
เด็กหนุ่มหัวเราะ “ไม่ต้องไปห่วงมันมากหรอกพี่ ไอ้อ้นโตแล้ว ทำเป็นคุณพ่อที่ลูกยังเล็กไปได้” ถึงจะพูดแบบนั้น แต่เขาก็รู้สึกดีจริงๆที่พี่กุนต์ห่วงใย
“พี่กุนต์ไม่ต้องห่วงอ้นนะครับ อ้นดูแลตัวเองได้” เด็กชายฉีกยิ้ม
“อืม..ห่างหูห่างตาครั้งแรกมันก็กังวลนิดหน่อยน่ะ” เขาลูบปลายคาง “เอาเถอะ..ไว้เราไปเที่ยวกันเองบ้างเนอะ ไปกันให้หมดเลย อบอุ่นดี”
ยายมองหลานคนโตยิ้มๆ แกเห็นแบบนี้ นับว่าตายตาหลับแล้ว
.
.
.
[ต่อด้านล่าง]