CHAPTER 7
“The littlest thing that take me there
I know it sounds lame but it’s so true”
(The Littlest Thing – Lilly Allen)
ผมมองตัวเองในเสื้อเชิ้ตสีสุภาพ กางเกงขายาว จัดการรวบผมลวกๆ อย่างแปลกตาก่อนที่จะเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยความหงุดหงิดในใจเล็กน้อย รำคาญเป็นบ้า... ขนาดเพิ่งอาบน้ำประเทศไทยก็ยังทำให้ผมเหงื่อออกได้ในเวลาสั้นๆ เสมอ เป็นประเทศที่ไม่เป็นมิตรกับคนขี้ร้อนเลยแม้แต่นิดเดียว
หลังจากจัดการตัวเองเรียบร้อยแล้วจึงคว้ากุญแจรถ กระเป๋าสตางค์ โทรศัพท์มือถือเดินออกจากบ้าน ไม่ลืมที่จะดูนาฬิกา พบว่ามีเวลาเหลือเฟือกว่าจะถึงเวลานัด
วันนี้มีการแจกลายเซ็นที่ห้าง ไกลจากบ้านของผมพอสมควรแต่ก็ยังเดินทางง่ายๆ ตอนแรกตั้งใจจะนั่งรถเมล์ไปอยู่หรอก แต่คิดถึงตอนที่มีการแจกลายเซ็นครั้งแรกที่โหนรถเมล์ไป กว่าจะไปถึงนู่นสภาพดูไม่ได้จนโดนบก. คนเก่าตำหนิเข้าให้ว่าควรจะรู้จักรักษาภาพลักษณ์มากกว่านี้
พอคิดถึงบรรณาธิการแล้วผมก็ได้แต่ถอนหายใจ เอาเถอะ... ใช่ว่าจะได้เจอกันในวันนี้เสมอไป แต่ถ้าได้เจอกันแล้วเห็นผมหลังสภาพโหนรถเมล์ไปมันคงด่าเช็ดตามประสาคนระเบียบจัด
เมื่อคืนก็โดนมันส่งไลน์มาหาเรื่องเวลาต่างๆ เป็นการย้ำอีกที ผมกดอ่านแต่ไม่ได้ตอบอะไรไป มันก็ส่งข้อความมาอีกว่าถ้าอ่านแล้วช่วยส่งสัญญาณให้รับรู้บ้าง ผมเลยจำต้องกดส่งสติ๊กเกอร์ไปให้ตัวหนึ่งอย่างเสียไม่ได้
ผมคิดว่าตัวเองทำตัวสงบสติอารมณ์ได้มากขึ้นแล้ว...แต่ก็ใช่จะเสมอไป อินทร์ไม่โทรจิกอะไรแล้ว อาจจะเป็นเพราะไม่มีหน้าที่อะไรในช่วงนี้ กำหนดส่งบทความในหัวข้อ ‘รักครั้งแรก’ ก็อีกราวๆ สี่ห้าวัน ซึ่งรอบนี้ผมเองก็เขียนไปบ้างแล้ว คงไม่ได้เขียนแบบจับแพะชนแกะเหมือนคราวก่อน
ผมออกไปกำกับไอ้เก้เรื่องการปิดร้านต่างๆ นานาเผื่อไว้ก่อน แต่จริงๆ ก็คิดว่าไม่น่าจะเป็นปัญหา ผมกลับมาทันตรวจความเรียบร้อยอยู่แล้ว ตามตารางทุกอย่างจะเสร็จสิ้นในเวลาหกโมงเย็น บวกปัญหารถติดของกรุงเทพฯ ไปอีกนิดก็ไม่น่าจะช้าอะไรมาก
“ไปทำงานเหรอเฮีย แต่งตัวดีมากกกกก” ผมพยักหน้าแทนคำตอบเมื่อไอ้เก้เริ่มลามปามจับผมหันซ้ายหันขวา ไอ้ลูกน้องพรรค์นี้นี่มัน.. “เฮียควรแต่งตัวแบบนี้บ่อยๆ นะ ปกติอย่างกับยาจก ทำตัวหล่อๆ ก็เป็น”
“ไปทำงานไป” ผมชี้ไปที่โต๊ะซึ่งเรียกให้คิดเงินพอดี
มันพยักหน้าอย่างขันแข็ง ทำท่าเหมือนรด. รับคำสั่ง (มองหัวเกรียนๆ ของมันยังรู้สึกว่ามันเป็นเด็กเรียนรด. ทุกที) และวิ่งปรู๊ดไปอย่างรวดเร็ว
ผมแอบไปดูในครัวนิดหน่อยก่อนที่จะเดินออกมาจากร้านไปหารถตัวเองที่ไม่ค่อยได้ใช้งานเท่าไหร่นัก ทำงานที่บ้านไง... กว่าจะได้ใช้ก็ตอนเกิดอารมณ์อยากไปขับรถเล่นหรือไปทำธุระที่รถสาธารณะไม่ผ่าน เอาจริงๆ ผมก็ชอบขึ้นรถเมล์นะ ขี้เกียจเกินกว่าจะขับรถ ยกเว้นปัญหาอากาศร้อนหมาตายควายตะลึงเนี่ยแหละ
ผมจะจัดการแจกลายเซ็นตอนสี่โมงครึ่งพร้อมกับนักเขียนในสำนักพิมพ์เดียวกันอีกคน แต่ ‘คุณบรรณาธิการ’ กำชับมาอย่างชัดเจนว่าผมควรจะไปถึงก่อนเวลาอย่างต่ำหนึ่งชั่วโมง
เพราะว่าออกจากบ้านเร็ว ประกอบกับการที่รถไม่ติดทำให้ผมไปถึงห้างนั้นเกือบสามโมง และพอมาถึงผมก็นั่งคิดหนัก ผมรู้ว่ามีการแจกลายเซ็นที่ร้านหนังสือไหน เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะต้องไปที่ร้านก่อนเลยหรือเปล่า สิ่งที่ควรทำคือการติดต่อคนที่ดูแลเรื่องนี้ ซึ่งมันก็คือกชอินทร์...ที่ผมไม่ค่อยอยากจะโทรหาเท่าไหร่นัก
ผมเอาลิ้นดุนแก้มตอนมองเบอร์ในหน้าจอที่ผมบันทึกไว้ในชื่อ ‘บก.’ อยู่นานทีเดียวกว่าจะตกลงกดโทรออก
รอสัญญาณอยู่สักพักอีกฝ่ายก็กดรับ“มาถึงแล้วหรือ” เสียงเรียบเฉยดังขึ้นจากปลายสาย
“เออ” ผมตอบเสียงห้วน
“เดินมาที่ชั้นสาม ตรงกันร้านหนังสือข้ามจะมีคอฟฟี่ ช็อป พวกผมกับคนอื่นๆ อยู่ในร้าน” กชอินทร์ว่าเช่นนั้นก่อนที่จะตัดสายไปอย่างรวดเร็ว
ก็ดี... ได้ยินเสียงมันนานๆ อาจจะทำให้ผมเป็นบ้าได้
ผมเดินออกจากลานจอดรถเข้ามาในตัวห้าง ขึ้นบันไดเลื่อนไปชั้นสามตามที่มันบอก ไม่นานก็อยู่ตรงหน้าร้านที่มันว่า เดินเข้ามาก็เห็นทันทีว่ากชอินทร์นั่งอยู่ที่โต๊ะซึ่งมีจำนวนคนสี่ห้าคน
มันสวมเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อน การแต่งตัวเหมือนพนักงานออฟฟิศของมัน ไม่ว่าจะมองกี่ครั้งก็ยังไม่รู้สึกคุ้นตา อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมา ผมรู้ทันทีว่าเราสบตากันที่มันกลับไม่ส่งสัญญาณใดๆ เป็นการเชิญ ซ้ำยังผลุบตาลงต่ำ ผมได้แต่มองมันแล้วเค้นหัวเราะก่อนที่จะเดินเข้าไปที่โต๊ะนั้นก่อน
“สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้คนบนโต๊ะนั้น
“อ้าว พีทมาแล้ว” คุณศศิกานต์ นักเขียนผู้หญิงวัยสี่สิบต้นรูปร่างผอมแห้งที่จำผมได้เพราะเคยเจอกันบ้างเป็นบางครั้ง “มาเร็วนะจ๊ะ” เธอเอ่ยทักทายยิ้มๆ ผายมือไปที่เก้าอี้ว่าง... ข้างๆ คุณบรรณาธิการของผมเอง
ผมยิ้ม ไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรแต่สายตาเหลือบมองกชอินทร์ มันเองก็ไม่ได้แสดงอะไรให้เห็นเพียงแต่ยกแก้วตรงหน้ามันขึ้นจิบตอนที่ผมหย่อนกายลงข้างๆ มัน
“นี่คุณพีรพัฒน์ครับ” คนข้างกายแนะนำผมให้กับคนในโต๊ะเมื่อวางแก้วลง
ผมได้แต่ยิ้ม บนโต๊ะมีแต่ผู้หญิง ผู้ชายมีแค่ผมกับมัน พอแนะนำตัวเสร็จผู้หญิงที่ดูอายุใกล้เคียงกับนักเขียนอีกท่านก็จัดการแจกแจงลำดับขั้นตอนในการทำงานว่ามีอะไรบ้าง ไม่ได้ยุ่งยาก เหมือนกับงานทั่วๆ ไป มีการถ่ายรูปรวม สัมภาษณ์นิดๆ หน่อยๆ หลังจากนั้นก็แจกลายเซ็น ผมคิดว่าวันนี้คนคงไม่ได้เยอะอะไรมาก
หลังจากพูดคุยกันเรียบร้อยแล้วพวกเราก็นั่งกันในร้านอยู่พักหนึ่ง ผมมักจะคุยกับคุณศศิกานต์ที่นั่งตรงกันข้ามมากกว่าคนอื่น ส่วนผมกับบรรณาธิการที่นั่งข้างๆ ไม่มีคำพูดใดระหว่างกันเลย
“พีทกับคุณกชอินทร์อยู่ด้วยกันนี่ทำให้พวกเราดูสาวขึ้นนะจ๊ะ” คุณศศิกานต์เอ่ยปากขึ้นด้วยรอยยิ้ม เล่นเอาผมกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ได้แต่ส่งยิ้มให้อีกฝ่าย ตามมาด้วยเสียงของสาวน้อยใหญ่ที่ร่วมโต๊ะแสดงความเห็นด้วย
“นั่นสิ อายุเท่าไหร่กันเอง”
“วัยหนุ่มๆ ไฟแรงๆ ดีแล้วนะ”
ผมเลื่อนสายตามองคนที่นั่งข้างกาย เห็นว่ามันยิ้มจนเห็นลักยิ้มแต่กลับไม่ได้ให้ความรู้สึก ‘น่ามอง’ เหมือนแต่ก่อนเท่าไหร่นัก
สมัยก่อนมันยิ้มแบบ ‘บริสุทธิ์’ มากกว่านี้ ผมนึกตลกระคนสมเพชตัวเองที่เผลอไผลคิดถึงมันในสมัยก่อน ระยะเวลาที่ผ่านมายืนยันแล้วว่ามันคนเดิมที่ผมเคยรู้จักไม่อยู่อีกต่อไปแล้ว
“น้องอินทร์เขาเองก็ใหม่ในการเป็นบก. นะ แต่ทำออกมาไม่เลวเลย” ผู้หญิงคนหนึ่งที่วัยดูใกล้เคียงกับผมมากที่สุดเอ่ยขึ้น “ก่อนหน้านี้เห็นบริหารการขาย...”
“เราไปเตรียมดีกว่าไหมครับ ใกล้ถึงเวลาแล้วด้วย” “อุ๊ย จริงด้วย” เจ้าหล่อนก้มลงมองนาฬิกาทันทีที่คนข้างกายของผมเอ่ยตัดบทขึ้นมา
ผมพยักหน้าเมื่อคนทั้งโต๊ะตกลงตัดสินใจจะออกจากร้าน สี่โมงสิบนาทีแล้ว อินทร์ไม่ได้พูดผิดที่ว่าใกล้ถึงเวลาแต่รอยยิ้มของมันที่ยังอยู่บนใบหน้าทำให้ผมรู้สึกแปลกไปมากกว่าเก่า ผมเป็นคนที่เดินออกมาเป็นคนสุดท้ายส่วนอินทร์ไปเดินคุยกับผู้หญิงที่อธิบายลำดับขั้นตอนให้ผมก่อนหน้านี้ ผมเห็นมันถือเอกสารแล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
ไม่รู้มองผิดหรือเปล่า...แต่ผมว่าผมเห็นมันปรายสายตามาทางผมก่อนที่จะหลบสายตาทันทีที่เราสบตากัน
ผมกัดริมฝีปากตัวเองด้วยความหงุดหงิด สาเหตุคือทั้งตัวมันทั้งตัวผม อินทร์มองผมจริงๆ หรือไม่ได้ตั้งใจ แล้วผมจะไปมองมันอีกเพื่ออะไร... คำตอบของคำถามข้อหลังผมรู้ดีอยู่แก่ใจแต่ต้องทำลืมๆ มันไปอย่างเสียไม่ได้
“เดี๋ยวคุณพีทนั่งข้างขวานะคะ” ผู้หญิงคนหนึ่งที่น่าจะเป็นสต๊าฟเอ่ยปากออกมาพร้อมกับชี้ให้ดู มีฉากเป็นภาพหนังสือเล่มใหม่ล่าสุดของผมกับคุณศศิกานต์ ไม่ได้มีเวทีอลังการอะไรแต่ก็ยังเป็นบริเวณยกพื้นเล็กน้อย “พอดีน้องพิธีกรตัวเล็กน่ะค่ะ ถ้าให้นั่งข้างซ้ายกลัวว่าจะบังน้องเขา”
“ได้ครับ” ผมพยักหน้าให้อีกฝ่าย เจ้าหล่อนอธิบายขั้นตอนคร่าวๆ อีกครั้งก่อนที่จะเดินออกไปคุยกับคุณศศิกานต์
“คุณพีรพัฒน์” เสียงทุ้มเรียกชื่อผมดังขึ้นมาทันทีที่เจ้าหล่อนเดินออกไป
ผมถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบาเพราะรู้ดีว่านั่นมันเป็นเสียงใครก่อนที่จะหันไปทำหน้าหงุดหงิดใส่อีกฝ่าย “อะไร”
“ช่วยทำตัวให้เรียบร้อยกว่านี้หน่อยได้ไหม” กชอินทร์ว่าเช่นนั้น ปรายตามองที่ชายแขนเสื้อซึ่งผมไม่ได้ติดกระดุมไว้ และเดินเข้ามาใกล้อีกสองสามก้าว ผมยืนตัวแข็งทื่อ ไม่ได้ขยับไปไหน “ทำไมยังมีกลิ่นบุหรี่”
“สูบมา” ผมตอบตามตรงเสียงห้วน
มันเดาะลิ้นครั้งหนึ่ง ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนที่จะดึงอะไรบางอย่างออกมาจากแขนเสื้อ “เคี้ยวหน่อยแล้วกัน”
ผมรับมันมาอย่างไม่ได้เต็มใจเท่าไหร่นัก อินทร์ส่งหมากฝรั่งรสมิ้นท์ให้ทั้งแผง ผมจำใจเอาชิ้นหนึ่งมาเคี้ยวอย่างเสียไม่ได้ก่อนที่จะส่งยื่นให้มันคืน
“ไม่เป็นไร คุณเอาไปเลย”
ผมพ่นลมหายใจออกมา “ทำไม กลัวเสนียดมันติดรึยังไงฮะ”
“คุณพูดออกมาเองนะ” มันตอบกลับเสียงเรียบก่อนที่จะเลื่อนสายตาไปที่ชายแขนเสื้อใหม่ “จะติดกระดุมหรือจะพับก็เอาสักอย่าง” มันว่าแต่ไม่ยอมขยับตัวไปไหน คงหมายความว่าจะรอดูให้แน่ใจว่าผมจะทำตามที่มันต้องการ
ผมเอาลิ้นดุนดันกระพุ้งแก้มขณะเคี้ยวหมากฝรั่งรสหวาน พยายามสงบสติอารมณ์ พักแขนเสื้ออย่างลวกๆ เพราะกระดุมที่แขนตัวนี้ขาด เสื้อผ้าผมไม่ค่อยมีสภาพดีเท่าไหร่หรอก
คนตรงหน้าถอนหายใจ “วันหลังใส่เสื้อยืดก็ได้นะครับ”
“จะมีวันหลังอีกรึยังไง” ผมว่าประชดประชันโดยไม่มองหน้าอีกคนเพราะนั่งจัดการแขนเสื้อข้างขวาตัวเองอยู่ พับยังไงก็เหมือนม้วน... ทุเรศเกินไป ขนาดผมยังรับไม่ได้เลย
หมับ!
ผมผงะเมื่ออีกฝ่ายคว้าข้อมือข้างขวาของผมไปและก้มลงพับแขนเสื้อให้ผมอย่างประณีต ก่อนที่มันจะเลื่อนมือมาที่ข้อมือข้างซ้ายซึ่งผมเพิ่งพับไปเมื่อกี้ คลายออกมาแล้วพับให้ใหม่อย่างสวยงาม
ผมละสายตาจากมันที่ก้มหน้าก้มตาแม้พับแขนเสื้อให้ผมเสร็จแล้วไม่ได้ มันจับมือของผมมาเทียบกันก่อนที่จะส่งเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอบ่งบอกว่าหงุดหงิดใจเมื่อทั้งสองข้างไม่เท่ากันก่อนที่จะคลายแขนเสื้อข้างขวาออกมาพับใหม่
มือของผมขยับไปแตะไหล่มันโดยไม่รู้ตัวตอนที่มันพับเสร็จ กชอินทร์สะดุ้งขึ้น เงยหน้ามองผมด้วยแววตาตกใจในเสี้ยววินาทีและกลับมาเรียบเฉยราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“รักษาภาพลักษณ์ของคุณหน่อย คุณพีรพัฒน์” มันว่าเช่นนั้นก่อนที่จะหันหลังเดินไปอีกทาง
ผมได้แต่มองมันตาไม่กระพริบ อินทร์ไม่ได้ไปเข้ากลุ่มกับคนอื่นๆ มันเดินไปนั่งบนเก้าอี้ที่ถูกจัดเตรียมไว้ให้นักอ่านที่จะมารับลายเซ็นก่อนที่จะเอามือกุมขมับโดยไม่เงยหน้าขึ้นมาแม้แต่นิดเดียว
มันคงไม่เห็น...
ว่าผมมองมันอยู่และจับจ้องมันตลอดจนเสร็จงาน ผมโดนคนอื่นๆ ชวนไปทานอาหารเย็นด้วย แต่สายตาผมยังคงจับจ้องไปที่คุณบรรณาธิการซึ่งคุยอะไรสักอย่างกับเหล่าสต๊าฟในงานเมื่อกี้ มันโค้งขอบคุณก่อนที่จะเดินมาทางพวกเราซึ่งมีแต่คนในสำนักพิมพ์
“อินทร์ ไปทานข้าวเย็นกันไหมจ๊ะ”
คนถูกชวนยิ้มเล็กน้อย “ไม่ล่ะครับ วันนี้ผมไม่สะดวก”
“งั้นหรือ เสียดายจัง” คุณศศิกานต์พยักหน้า “จะกลับเลยรึ กลับบ้านยังไง”
“รถผมเสียน่ะครับ คงเรียกแท็กซี่กลับ” กชอินทร์ตอบอย่างสุภาพก่อนที่จะยกมือไหว้สตรีคนอื่นๆ ซึ่งอายุมากกว่าเรากันทั้งนั้น “ผมขอลาเลยนะครับ”
คนอื่นยิ้มโบกมือลา เริ่มตกลงกันว่าจะทานอะไร ผมมองมันที่กำลังเดินไปที่บันไดเลื่อนก่อนที่จะเอ่ยปากขึ้นมาบ้าง “ผมก็ขอตัวนะครับ”
“เอ๊ะ เราด้วยเหรอ”
“ต้องไปปิดร้านน่ะครับ” ผมยกข้ออ้างที่ไม่ใช่ความจริงออกมา ยกมือลาคนอื่นอย่างลวกๆ ไม่ลืมที่จะขอบคุณสำหรับการช่วยเหลือในวันนี้ให้ลุล่วงไปได้ด้วยดีและเดินตามกชอินทร์ไปที่บันไดเลื่อนอย่างรวดเร็วก่อนที่จะชะงักเมื่อคิดอะไรบางอย่างได้
...ตามไปทำไม?
มันเป็นเรื่องจำเป็นหรือที่จะต้องตามอินทร์ไป ก็ไม่ แล้วผมจะปลีกตัวออกมาทำไม ผมคิดถึงเรื่องนั้นก่อนที่จะหันหลังกลับเดินไปอีกทางเมื่อเหลือบไปเห็นทางออกไปที่ลานจอดรถ แต่ได้ยินเสียงที่เคยคุ้นหูดังมาจากด้านหลังเสียก่อน
“เมื่อกี้คุณเดินตามผมเหรอ”
ผมหันหลังกลับไป กชอินทร์ยืนอยู่ตรงนั้น ระยะห่างไม่มากเท่าไหร่ มันกอดอกมองผมด้วยแววตาเฉยชา
หัวสมองว่างเปล่า ผมคิดอะไรไม่ออก สุดท้ายก็ต้องจำใจตอบไปตามจริง “ใช่”
“มีอะไร” มันถามเสียงห้วน ตรงนี้ไม่ค่อยมีคนด้วยซ้ำ แม้แต่ยามยังไม่มีเพราะไม่ใช่ประตูหลัก
ผมหลับตาลง “ไม่มี” โกหกคำโต... ผมมีอะไรสักอย่างที่อยากพูดกับมันแต่ทำไม่ได้เพราะความกล้ามีไม่เพียงพอ
ร่างติดผอมของมันเดินเข้ามาใกล้ผมอีกหนึ่งก้าว เอ่ยปากถามเสียงเฉยชา “ที่ผมพูด...” มันชะงักไปนิดหน่อย สูดลมหายใจและพูดให้ดังขึ้น “มันไม่ชัดเจนพอเหรอคุณพีรพัฒน์”
“...” ชัดเจนอยู่แล้ว
แต่... “จะมองผมทำไมอีก”
คำพูดของมันทำให้ผมรู้สึกแปลกไป “อะไรนะ”
อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นย้ำอีกครั้ง “ผมถามว่าคุณจะมองผมทำไม ทำเหมือนเรา...” มันหลับตาลง เม้มริมฝีปากเข้าหากันแน่นจนผมจับสังเกตได้ “เป็นเพื่อนร่วมงานที่ไม่สนิทกันได้ไหม”
“เฮอะ” ผมเค้นหัวเราะออกมาเสียงดังด้วยความหงุดหงิด “เป็นเพื่อนร่วมงานที่ไม่สนิท? ก็ถูกแล้วนี่... ทำไมต้อง ‘ทำเหมือน’ ด้วยล่ะ เราไม่สนิทกันนี่” ผมอยากตบปากตัวเองที่ชอบพูดจาประชดประชันเสียเหลือเกินแต่นั่นไม่ใช่ประเด็น
ผมมองลึกเข้าไปในแววตาของมัน กชอินทร์หลบตาผมแทบจะในทันที พอเห็นท่าทีของมันแปลกไปทำให้ผมเอาใหญ่ เหลือบสายตามองซ้ายขวาพบว่าไม่มีใครเลยเดินเข้าใกล้มันให้มากขึ้น อินทร์ถอยหลังหนีอย่างช้าๆ จนแผ่นหลังบางนั้นแนบไปกับกำแพงสีขาวข้างลิฟท์
“มองงั้นหรือ? รู้ได้ยังไงว่าผมมองคุณ...” ผมพยายามพูดอย่างใจเย็น “นอกจากคุณเองก็มองผมเหมือนกัน”
แววตาของมันที่ใสเหมือนกับลูกแก้วแสดงอาการตกใจขึ้นมานิดหน่อยก่อนที่จะเบือนหน้าหนี “ถอยออกไป”
“ไม่” ผมตอบอย่างชัดเจน “มองหน้าผมสิ”
อีกฝ่ายเม้มริมฝีปากแน่น กัดฟันจนสันกรามนูนออกมาให้เห็น สูดลมหายใจลึกและย้ำคำเดิมที่รู้ว่าไม่มีผลใดๆ กับผม “ถอยออกไป คุณพีรพัฒน์”
“คราวก่อนพูดว่าอะไรนะ... เกลียดอย่างงั้นเหรอ” ผมว่าพลางเค้นหัวเราะ กำหมัดแน่นอย่างพยายามสงบสติอารมณ์แต่ดูเหมือนมันจะไม่ได้ผลนัก “เงยหน้าขึ้นมา อินทร์” มันไม่ได้ทำตามคำสั่งแต่ไม่เลื่อนกายไปไหนทั้งๆ ที่ตอนนี้ผมทำเพียงแค่ยืนประชิดมันธรรมดา ทีท่าของมันทำให้ผมยิ้มเย้ยหยัน “ถ้าเกลียดกันจริง...ก็แสดงออกมาให้เห็นสิ”
“คุณพีรพัฒน์ ถอยไปเดี๋ยวนี้”
“ทำให้เห็นสิว่าเกลียดน่ะ โธ่เว้ย!” มันสะดุ้งเมื่อน้ำเสียงของผมแปรเปลี่ยนเป็นการตะคอกด้วยความเหลืออด มือข้างหนึ่งทุบกำแพงข้างๆ มัน อินทร์ไม่ขยับกาย สิ่งที่มันทำมีเพียงแค่เบือนหน้าหนีมากกว่าเก่า มือของมันแทบจะแนบไปกับลำตัว
“บอกว่าผมมองคุณ... คุณไม่มีทางรู้ถ้าคุณไม่ได้มองผมเหมือนกัน” ผมเค้นยิ้ม “แล้วดูสิ”
ผมเลื่อนหน้าเข้าไปใกล้มันมากขึ้น จับใบหน้าของมันหันมาสบตากับผมตรงๆ แววตาของมันแสดงความตระหนกระคนความรู้สึกบางอย่างอย่างเห็นได้ชัด มืออีกข้างเลื่อนไปจับแขนของมันอย่างถือวิสาสะ
อินทร์ไม่ใช่คนแรงน้อยแม้ว่าจะเป็นคนตัวผอมบางและเตี้ยกว่าผมแต่เรี่ยวแรงของมันเหมือนกับผู้ชายทั่วไป ดีไม่ดีอาจจะเยอะกว่าคนปกติด้วยซ้ำ แต่ดูสิ... มันทำอะไร ไม่แสดงทีท่าว่าจะหนีตั้งแต่ต้น ตอนแรกผมไม่ได้กันท่าไว้เลยว่า ถ้ามันจะหนีก็เป็นเรื่องง่ายอยู่แล้ว กระทั่งตอนนี้... ถ้ามันคิดจะทำให้ผมปล่อยมันก็ง่ายนิดเดียว
“ขนาดตอนนี้...แค่จะผลักผมออกคุณยังไม่กล้าเลย คุณกชอินทร์” อาจจะดูหลงตัวเองตัวเอง แต่ผมค่อนข้างมั่นใจว่าสาเหตุที่ทำให้มันไม่หนีผมไปคืออะไร...
มันไม่อยากจะเดินออกไปจากตรงนี้----------------------------------------------------------
พีทนี่มันเป็นคนหลงตัวเองจริงๆ...
มาลองเดากันดีไหมคะว่าเกิดอะไรขึ้นกชอินทร์ถึงเป็นแบบนี้ ใครทายถูกนิวให้สิบบาทนะคะ (ฮา) รอดูกันไปเรื่อยๆ ดีกว่า สักพัก...ใหญ่ๆ เดี๋ยวก็ได้รู้ค่ะ ยังไงเรื่องนี้ก็ตั้งใจให้อึดอัดอยู่แล้ว เหมือนโดนบังคับให้อยู่ในความเงียบทั้งๆ ที่อยากพูดน่ะค่ะ!
พรุ่งนี้นิวต้องไปค่ายกับทางโรงเรียน ถ้ามาอัพช้าอย่าว่ากันนะคะ TvT
ขอให้ทุกคนมีความสุขกับนิยายเรื่องนี้ค่ะ
ปล. เพลง The Littlest Thing ก็เป็นอีกหนึ่งในเพลงที่ทำให้ได้พล็อตเรื่องนี้มานะคะ ฮา!
หนึ่งคอมเม้นเท่ากับหนึ่งกำลังใจ อย่าลืมให้กำลังใจนิวด้วยหนึ่งคอมเม้นนะคะ!