พิมพ์หน้านี้ - ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ปก + แจ้งข่าว P.6 (04.09.15)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: NINEWNN ที่ 23-01-2015 15:43:05

หัวข้อ: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ปก + แจ้งข่าว P.6 (04.09.15)
เริ่มหัวข้อโดย: NINEWNN ที่ 23-01-2015 15:43:05
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.เมื่อนิยายจบแล้วให้แก้ไขหัวกระทู้ต่อท้ายว่าจบแล้ว


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

(http://upic.me/i/ak/timeticket_.jpg)



ผลงานที่ผ่านมา
◆ SINGLE PAPA คุณพ่อยังโสด (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39650.0)
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ◆◇ บทนำ (23/01/15)
เริ่มหัวข้อโดย: NINEWNN ที่ 23-01-2015 15:48:01
PROLOGUE



        ‘ผมอดคิดไม่ได้ว่าถ้าโลกนี้มีตั๋วย้อนเวลาให้ผมได้ขึ้นไปนั่งบนไทม์แมชชีน อะไรจะเกิดขึ้น’

     ผมได้แต่กวาดสายตาไปบนตัวอักษรที่ผมเขียนขึ้นมา

     ใช่... เขียน เพราะตอนนี้โน้ตบุ๊คที่ผมใช้กำลังส่งซ่อม ถึงแม้ผมจะชอบเขียนอะไรเรื่อยเปื่อย แต่นี่เป็นสิ่งที่ผมร่างไว้ในระยะเวลาที่ไม่มีอะไรทำ ก่อนที่จะจัดการเรียบเรียงมันใหม่และส่งให้กับบรรณาธิการคนใหม่ที่จะมาดูแลผม เพื่อที่จะไปตีพิมพ์ในนิตยาสารรายเดือนที่เซ็นสัญญาไว้เมื่อปีที่แล้ว

     จริงๆ แล้วที่วันนี้ไม่ได้อยู่ที่บ้านก็เป็นเพราะเรื่องสัญญานี่แหละ ผมคิดว่าจะต่อสัญญากับนิตยาสารนี้อีกสองปี เพราะบังเอิญว่าบทความที่ผมเขียนลงเรื่อยๆ เป็นอะไรที่นิยมอ่านพอควร

     ผมคิดว่าสิ่งที่ผมเขียนคือเรื่องงี่เง่าทั่วไป... แต่เพราะมันทั่วไปนี่แหละมันเลยอ่านง่าย

     ...ครืด

     เสียงสั่นเบาๆ ของโทรศัพท์ทำให้ผมคว้าโทรศัพท์ของตัวเอง ข้อความแชทลอยขึ้นมาให้เห็น

     ‘มีคนไปรึยังจ๊ะ’

     พี่มิ้น อดีตบก. ที่คอยดูแลผมทั้งในด้านนิตยสารและหนังสือรวมเล่มของผมเป็นคนส่งข้อความมา ที่ต้องเรียกว่า ‘อดีต’ เป็นเพราะเจ้าหล่อนบอกลาตำแหน่งนี้ไปแต่งงานกับชาวต่างชาติ การลาออกจะเป็นทางการในสิ้นเดือนนี้ และได้ยินว่าพี่แกจะย้ายไปอยู่ต่างประเทศในปีหน้าอีกด้วย

     ‘ยังครับ’ ผมพิมพ์ตอบไป ‘พี่พอรู้ไหมว่าใครจะเป็นคนมา’
   
     เจ้าหล่อนยังไม่ได้ตอบอะไร ผมเหลือบตามองนาฬิกาบนโทรศัพท์มือถือ ตอนนี้เวลาบ่ายสองครึ่งพอดี ผมมานั่งที่ร้านแห่งนี้แล้วราวสิบนาที แต่อีกฝ่ายไม่ได้สาย เพราะผมมาก่อนเวลาเอง
   
     ‘ไม่รู้จ้ะ’ พี่มิ้นพิมพ์ตอบมาแบบนั้น ‘ช่วงนี้คนที่บริษัทยุ่งกันหมด พี่เองก็ไม่รู้ว่าใครจะมารับช่วงต่อ ตอนนี้พี่วุ่นกับงานสุดท้ายอยู่ ขอโทษด้วยนะพีท’
   
     ผมพ่นลมหายใจ พิมพ์ตอบไปว่าไม่เป็นอะไร ก่อนที่จะจับปากกาให้มั่นและเขียนลงบนสมุดที่ตัวเองพกต่อ
   
     ‘ถ้าโลกนี้มีตั๋วที่ทำให้ผมย้อนเวลาได้จริงๆ ผมเองก็คิดไม่ออกว่าตัวเองจะทำอะไรเป็นอย่างแรก สิ่งที่ผมอยากจะย้อนเวลากลับไปแก้ไขมีอยู่มากมายเสียเหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็นการเรียนที่เคยได้ F มาเชยชมจนต้องจบช้าไปอีกหนึ่งเทอม การที่หายใจทิ้งไปวันๆ การทะเลาะกับแฟนเก่า หรือจะเป็น...’
   
     ผมนิ่งไปนิดหน่อย แล้วจึงส่ายศีรษะเบาๆ กับสิ่งที่ตัวเองจะเขียนลงไป นึกลังเลอยู่ไม่กี่วินาทีว่าควรจะเขียนดีหรือไม่ แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจเขียนลงไป
   
     ‘การห่างหายของเพื่อนที่แสนดีสักคน’
   
     “คุณพีรพัฒน์”
   
     แทบจะในวินาทีเดียวกันกับตอนที่เขียนคำนั้นจบ เสียงทุ้มติดแหบเล็กน้อยที่เรียกชื่อผมทำให้ผมเงยหน้าขึ้นไป
   
     ...ก่อนที่ลมหายใจของผมจะติดขัดเมื่อเห็นว่าใครอยู่ตรงหน้า
   
     อีกฝ่ายเป็นผู้ชายผิวขาวติดซีด ผมสีดำสนิทที่ล้อมรอบใบหน้าที่ติดจะตี๋เล็กน้อยตามประสาลูกชายคนโตของบ้านคนจีน ริมฝีปากบางๆ ที่ไม่มีรอยยิ้มประดับอยู่เลย ดวงตาสีน้ำตาลเข้มของอีกคนที่ครั้งหนึ่งเคยอยู่หลังเลนส์แว่น รูปร่างติดผอมจนเห็นข้อต่างๆ ของเขาชัดเจนถูกปิดบังอยู่ใต้เสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงสีเข้มเห่ยๆ ยังดีที่ไม่ผูกเนกไท แต่ว่ากันตามจริงแล้ว... มันคงจะไม่มีอะไรน่าตกใจไปมากกว่านี้อีกแล้ว
   
     ผมคลำหาเสียงตัวเองไม่ถูกจริงๆ หัวสมองตื้อไปหมด

     ผมไม่เคยคิดว่าจะได้เจอ ‘มัน’ อีกครั้ง... ไม่เคยคิดว่าจะได้ยินเสียงนี้มาใช้พูดกับผมอีกครั้ง แม้ว่าชื่อที่ถูกเรียกจะถูกแปรเปลี่ยนจากชื่อเล่นว่า ‘พีท’ กลายเป็นชื่อจริงที่ชื่อ ‘พีรพัฒน์’ ไปแล้วก็ตาม
   
     “ขอโทษที่มาช้าครับ”

     อีกฝ่ายว่าน้ำเสียงราบเรียบ เรียบมากจนผมกำมือแน่นด้วยความรู้สึกเหมือนกับโดนอะไรบางอย่างตีวนในใจจนตะกอนก้นแก้วลอยขึ้นมาอีกครั้ง

     “มาทำอะไรที่นี่” ผมกัดฟันกรอด

     คนตรงหน้าไม่ตอบ ในมือถือซองเอกสารและยื่นมันมาตรงหน้าผมเหมือนกับน้ำเสียงของผมเป็นธาตุอากาศที่มันไม่เคยคิดจะใส่ใจ

     ไม่โดนทำแบบนี้มานานเท่าไหร่แล้วนะ น่าจะสักสิบปีได้แล้วล่ะมั้ง

     “...อินทร์”

     ริมฝีปากของผมขยับไปเอง เสียงของผมแหบพร่าราวกับว่ามันไม่ใช่เสียงของผมกำลังเรียกชื่อของมันที่ผมเกือบลืมเพราะไม่ได้เรียกชื่อมันมาแสนนาน แต่สิ่งที่อีกฝ่ายทำคือการเงยหน้าขึ้น มองผมด้วยแววตาที่แสนจะว่างเปล่าจนผมเม้มริมฝีปากแน่น

     “ผมว่าเรา... หมายถึง ผมกับคุณไม่ได้สนิทกันพอที่จะเรียกชื่อได้” มันเลี่ยงคำว่า ‘เรา’ จนผมกัดฟันแน่น ได้ยินเสียงตุบ ตุบอยู่ในร่างกาย อาจจะมาจากเส้นเลือกแถวศีรษะ หรือไม่ก็อาจจะเป็นก้อนเนื้อในอก “นี่สัญญาของคุณครับ คุณพีรพัฒน์” มันว่าพลางเลื่อนซองเอกสารสีน้ำตาลนั่นเข้ามาใกล้ผมอีกนิด

     คำพูดของอีกฝ่ายแทบไม่เข้าหัว ทั้งๆ ที่เสียงนี้เคยเป็นเสียงที่ผมโหยหาที่สุดในช่วงหนึ่งของชีวิต

     ผมพูดอะไรไม่ออก ไม่คิดว่าจะมีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น เรื่องราวเก่าๆ ที่ผมเกือบจะลืมไปแล้วลอยขึ้นมาในหัวสมองไปหมด แม้ว่าใบหน้าของมันจะดูโตขึ้นกว่าเดิมและเฉยชา ว่างเปล่า แต่มันก็ทำให้ผมนึกถึงเรื่องเก่าๆ

     นึกถึงตอนที่มันยิ้ม...ตอนที่มันหัวเราะ...ตอนที่ ‘เรา’ อยู่ด้วยกัน

     และนึกถึงตอนที่มันเปลี่ยนไปโดยไม่เคยบอกสาเหตุให้ผมรู้

     “กชอินทร์” อีกฝ่ายพูดขึ้นและยื่นกระดาษใบเล็ก มันเป็นนามบัตรที่เขียนชื่อ – นามสกุลจริงของมันที่ผมจำได้อย่างเลือนราง “เป็นบก. คนใหม่ของคุณ... คุณพีรพัฒน์”

     ผมสูดลมหายใจลึก คำพูดนั้นเหมือนตีแสกหน้า ผมพูดอะไรไม่ออกสักคำ นานทีเดียวที่จะใช้เวลารวบรวมสติแล้วจึงเค้นยิ้มออกมาด้วยความรู้สึกสมเพชตัวเอง

     ทั้งที่นึกว่าน่าจะหมดเวรหมดกรรมกันไปแล้วแท้ๆ
   
     กชอินทร์ก็เป็นแค่...เพื่อนแสนดีคนหนึ่ง ที่ไม่ได้พูดกันมาร่วมสิบปี
   
     แค่เท่านั้นเอง



-----------------------------------------------------
๐ กฤษ์งามยามดี เปิดเรื่องใหม่หลังจบ SINGLE PAPA ค่ะ อุต๊ะ!
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ◆◇ บทนำ (23/01/15)
เริ่มหัวข้อโดย: สายลมที่หวังดี ที่ 23-01-2015 17:36:07
กรรมดันมาเจอแฟนเก่าเป็น บก.แล้วจะอยู่ต่อไปเยี่ยงไร??? รอติดตามนะคะ :L2:
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ◆◇ บทนำ (23/01/15)
เริ่มหัวข้อโดย: ธารธารา ที่ 23-01-2015 21:48:21
มาเจิมเรื่องใหม่ ~~
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ◆◇ บทนำ (23/01/15)
เริ่มหัวข้อโดย: =นีรนาคา= ที่ 24-01-2015 10:53:59
มาติดตามเรื่องใหม่
คงจะหนึบๆ ล่ะมั้งเนี่ย
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ◆◇ บทนำ (23/01/15)
เริ่มหัวข้อโดย: bun ที่ 24-01-2015 11:28:28
มาติดตามเรื่องใหม่ด้วยคน
คงอึดอัดน่าดู คนที่เคยสนิทกันห่างหายไปนาน
แต่พอกลับมาทำตัวเหมือนไม่เคยรู้จักกัน
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ◆◇ ตอนที่ 1 (03/02/15)
เริ่มหัวข้อโดย: NINEWNN ที่ 03-02-2015 20:18:18
(http://upic.me/i/ak/timeticket_.jpg)

CHAPTER 1

“Here I stand alone with this weight upon my heart
And it will not go away
In my head I keep on looking back, right back to the start
Wondering what it was made you change?”

(What If – Kate Winslet)

        ผมรู้สึกหายใจไม่ออก...มันมวนๆ ท้องแบบพูดไม่ถูก

        ผิวสีติดซีดของมันดูซีดเซียวยิ่งกว่าเมื่อก่อน มันขาวกว่าคนปกติตามประสาลูกคนจีน แต่กลับเป็นโรคเลือดจางทำให้ผิวมันไม่ได้ขาวอมชมพูแบบคนอื่นๆ ตรงหลังมือของมันสีเข้มกว่าตรงอื่น และยิ่งเห็นชัดว่าตั้งแต่ข้อมือของมันขึ้นไปขาวกว่าตอนที่มันยกแขนขึ้น

        “คุณพีรพัฒน์ สัญญา...”

        “อย่ามาเรียก...” ผมเอ่ยเสียงเรียบ “อย่าเรียกชื่อกูแบบนั้นนะ...”

        “กู?” มันทวนสรรพนามนั้นด้วยน้ำเสียงประชดประชัน “นี่ผมกับคุณสนิทกันมากขนาดนั้นเลยเหรอ คุณพีรพัฒน์” ซ้ำยังเรียกชื่อที่ผมเพิ่งพูดว่าไม่อยากได้ยินอีกครา

        ผมกัดฟัน มองคนตรงหน้าที่ไม่แสดงสีหน้าใดๆ ไม่มีการยิ้ม แม้ว่าจะเป็นรอยยิ้มกวนโมโหอย่างไรมันก็ไม่ยิ้ม ไม่เข้าใกล้ด้วยซ้ำ ไม่มีอาการโกรธ หงุดหงิด ไม่มีอาการใดๆ ทั้งนั้น

        มันมองผมเหมือนผมเป็นธาตุอากาศ

        ผมสูดลมหายใจลึก “ได้” ผมพูดออกมาแบบนั้น “ได้!” และย้ำมันอีกครั้งด้วยน้ำเสียงกระแทกกระทั้น...เหมือนกับจะบอกกับตัวเอง

        “คุณจะไม่เซ็นสัญญาหรือ” อีกฝ่ายเอ่ยปากเรื่องสัญญาอีกครั้ง แต่มันแทบจะไม่เข้าหัวผมแม้แต่น้อย

        ผมหยุดสายตาตัวเองให้มองมันไม่ได้ เหมือนกับที่เคยเป็นเมื่อสิบสองปีก่อน...สิบปีก่อน...เหมือนตอนที่เราเริ่มห่างหายและไม่ได้คุยกัน มันเป็นคนที่ทำให้ผมควบคุมสายตาตัวเองไม่ได้

        “คุณพีรพัฒน์” เป็นอีกครั้งที่ผมเกลียดชื่อจริงของตัวเองจับใจ “ผมนึกว่าเราตกลงกันเรียบร้อยแล้วเรื่องสัญญา คุณคงไม่เปลี่ยนใจที่จะไม่เซ็นมันตอนนี้หรอก ใช่ไหม?”

        “...ไม่ ผมจะเซ็น”

     ผมเปลี่ยนการแทนตัวเองด้วยสรรพนามเดิมๆ และกระชับปากกาในมือ อีกมือก็หยิบสัญญานั่นมาอ่านอย่างละเอียดรอบครอบ แต่ผมเองก็รู้ตัวดีว่าตอนนี้ผมรู้สึกสับสนจนอ่านสัญญาเหล่านั้นไม่เข้าใจมากขนาดไหน ยิ่งเวลาได้ยินเสียงอะไรจากคนตรงหน้ายิ่งทำให้ผมทำอะไรไม่ถูก ไม่ว่าจะเป็นเสียงตอนที่มันขยับกายจนผ้าเสียดสีกัน หรือตอนที่มันหยิบโทรศัพท์มือถือของมันมากด

     หลังจากใช้เวลาเกือบสิบนาทีเพื่อทำสมาธิและพิจารณาข้อความต่างๆ อย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้วจึงค่อยๆ จรดปากกาลงไปในสัญญานั่นเสีย

     “นี่” ผมยื่นสัญญานั่นไปหามัน “เชิญครับ คุณกชอินทร์”

     ผมรู้สึกตัวเองเหมือนเด็ก ช่างประชดประชัน แต่พอยิ่งมองใบหน้ามันก็ยิ่งควบคุมตัวเองไม่อยู่

     คำถามต่างๆ วนเวียนกันอยู่ในหัวสมอง ผมทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้จะทำอย่างไรนอกจากหลบตามันยามมันมองผมด้วยแววตาที่ว่างเปล่า

     มันเก็บสัญญาลงซองกระดาษอันเดิมก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมองหน้าผม

     “งั้นผมคิดว่าเรา...” มันชะงักไปเล็กน้อยก่อนที่จะสบตากับผมที่กำลังมองมันอยู่ “มาคุยกันเรื่องนิยายเรื่องต่อไปของคุณดีกว่า”

     กชอินทร์หยิบกระดาษอะไรมาอีกชุด คิดว่าคงจะเป็นตารางการออกหนังสือหรืออะไรสักอย่าง สุดท้ายมันก็ส่งยื่นให้ผม บอกว่าหนังสือเล่มที่เพิ่งส่งไปเมื่อสิ้นเดือนมีกำหนดออกวันที่เท่าไหร่ ทั้งยังพูดถึงการรวบรวมบทความที่ผมเขียนส่งเป็นประจำให้นิตยาสารมารวมเล่ม

     “ผมยังไม่อยากทำ” ผมเอ่ยปากออกมา “รอไปอีกสักปีไม่ได้เหรอ”

     “ไม่” กชอินทร์พูดออกมาชัดเจน “มีอะไรบอกเหรอว่าบทความของคุณจะอยู่ได้อีกปี”

     “สัญญาที่ผมเพิ่งเซ็น”

     ผมเห็นมันกัดริมฝีปาก แบบที่มันทำเพราะความหงุดหงิด...เหมือนสมัยก่อน

     กชอินทร์นิ่งไปชั่วครู่ก่อนที่จะสูดลมหายใจลึกและพูดต่อ “ข้างบนคิดว่าผลงานคุณจะขายได้ดีในช่วงนี้ เขียนอีกสักสองเดือนเราก็จัดการรวมเล่มได้แล้ว จะได้ออกในช่วงครบรอบยี่สิบปีสำนักพิมพ์อีกด้วย”

     “แล้วไง”

     “คุณพีรพัฒน์” มันเรียกผมด้วยชื่อนั้นแต่ผมยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ มันจึงถอนหายใจออกมา “ไม่เป็นไร ไว้ค่อยคุยเรื่องนี้กันอีกครั้ง”
   
     “ยังมีอีกครั้งงั้นเหรอ” ผมเค้นหัวเราะ

     กชอินทร์ไม่พูดอะไร มองผมด้วยแววตาสีอ่อนกว่าคนทั่วไปของมัน ก่อนที่ริมฝีปากนั่นจะค่อยๆ คลี่ยิ้มออกมาพร้อมกับพูดคำพูดแสนประชดประชัน

     “ผมนี่แหละบก. ของคุณ” มันย้ำสถานะนั้น “และจะดูแลทุกเรื่องของคุณที่เกี่ยวกับงานเขียน ทั้งบทความในนิตยสาร การรวมเล่ม หนังสือนิยาย หรือแนวสารคดี...ทุกอย่างของคุณขึ้นอยู่กับผม”

     ผมพูดไม่ออก

     ใจหนึ่งก็รู้สึกอยากผลักไสมันออกไปไกลๆ แต่อีกใจหนึ่งก็รู้สึกดีใจที่ได้กลับมาเจอกับมันอีกครั้ง ความรู้สึกทั้งสองถูกเทใส่หม้อแล้วต้มรวมกันจนผมรู้สึกพะอืดพะอม มันยิ่งกว่าอึดอัดและผมรู้ดีว่าการที่จะทำให้ความรู้สึกเช่นนี้หมดไปคือการออกห่างจากมันให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้

     ผมนึกขันที่ตัวเองเป็นเพียงนักเขียนที่ทำเงินให้กับสำนักพิมพ์ได้ในระดับหนึ่งและตระหนักดีว่าผมไม่สามารถขอเปลี่ยนบก. ได้ ผมไม่ใช่คนที่มีคุณค่ามากพอที่จะทำให้สำนักพิมพ์วิ่งวุ่นคอยตามใจ การเสียผมไปสักคนไม่น่าจะทำให้สำนักพิมพ์ลำบากได้ถึงขนาดที่พวกเขาจะทำทุกวิถีทางเพื่อรั้งผมไว้ทำเงิน

     “ผมไม่อยากคุยเรื่องงานเขียนกับคุณ” ผมเอ่ยปากออกมาเช่นนั้น

     กชอินทร์เลิกคิ้ว “เหรอ? แล้วทำไมไม่เดินออกไปจากร้านนี้เสียล่ะ”

     ปากคอเราะร้าย

     ผมรู้เรื่องแบบนั้นดีอยู่แล้ว เพราะปากแบบนี้แหละทำให้ศัตรูของมันแต่ละคนไม่สามารถญาติดีกันได้สักหน ถ้าไม่ใช่เพราะมันเป็นคนที่เก่งรอบด้านและเพื่อนเยอะแล้ว ผมสาบานว่ากชอินทร์ต้องตายในสภาพไม่ดีเท่าไหร่แน่

     “แต่ถึงคุณออกไปผมก็ต้องติดต่อคุณอยู่ดี ไม่อย่างงั้น งานคุณจะออกมาได้อย่างไรล่ะ จริงไหม?”

     “อินทร์”

     “กชอินทร์” อีกฝ่ายแก้

     ผมถลึงตาใส่ผู้ชายตรงหน้า แค่เรียกชื่อเล่นมันยังไม่ยอมให้ผมเรียกด้วยซ้ำ ในอดีตผมจำได้ว่าผมเรียกมันด้วยชื่อว่าอินทร์บ่อยมาก...มากเกินไปด้วยซ้ำ

     “ถ้าคุณไม่อยากคุยตอนนี้ก็ได้” มันพูดขึ้นแบบนั้น “แต่ผมเองก็จะนั่งอยู่นี่ ไม่อยากไปไหนเสียด้วย”

     “ก็ได้” ผมเอ่ยปากขึ้นด้วยความหงุดหงิด เก็บทุกอย่างใส่กระเป๋าให้หมดก่อนที่จะหยิบกระเป๋าใบนั้นเดินออกมา ยังดีที่เป็นร้านแบบจ่ายในตอนสั่งอาหารทันทีเลยไม่ต้องลำบากที่จะหยิบกระเป๋าสตางค์มาจ่ายเงินค่ากาแฟตัวเอง “งั้นเชิญคุณนั่งอยู่นี่ตามสบายแล้วกัน คุณกชอินทร์”

     “...” มันไม่ตอบ ไม่ยิ้ม ไม่แม้แต่จะมองเสียด้วยซ้ำ

     ผมสูดลมหายใจลึก พยายามสะกดอารมณ์หงุดหงิดในใจก่อนที่จะเดินออกมาจากร้านทันที

     ผมเดิน เดิน และเดินจนล่วงรู้ว่าตอนนี้ผมเดินลงบันไดมาถึงสามชั้นโดยไม่แม้แต่จะหันกลับไปมองมันด้วยซ้ำ พอได้สติแล้วผมก็หยุด มองซ้ายมองขวาเพื่อที่จะหาเก้าอี้นั่งเพื่อนั่งพักสงบสติอารมณ์

     ผมนึกอยากสูบบุหรี่ แต่ติดที่ว่าวันนี้ไม่ได้พกมาเลยได้แต่พ่นลมหายใจอย่างหงุดหงิดพลางมองผู้คนที่กำลังเดินกันพลุกพล่านในห้างแห่งนี้เวลาช่วงบ่ายของวันหยุดสุดสัปดาห์และคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย

     อันที่จริงมันไม่เรื่อยเปื่อยเท่าไหร่... ในหัวก็มีแต่ชื่อกับหน้าของคนที่เพิ่งเจอกันเมื่อกี้เท่านั้น

     ผมเกือบลืมเสียงมันเรียกชื่อผมไปแล้วด้วยซ้ำ

     อินทร์เป็นเพื่อนร่วมชั้นสมัยมัธยมต้นตอนที่ยังหัวเกรียนกับใส่กางเกงสีน้ำเงิน สมัยก่อนผมรู้จักมันแค่ในฐานะเพื่อนร่วมชั้นธรรมดา จนในสมัยมัธยมปีที่สอง เทอมปลาย เราเริ่มสนิทกันมากขึ้นเพราะบังเอิญทำงานกลุ่มด้วยกัน มานับๆ ดูแล้วนับตั้งแต่ตอนนั้นมันก็ผ่านมาร่วมสิบสองปีแล้วด้วยซ้ำ

     เรื่องของผมกับมัน...เรื่องของเรา...เรียบง่ายแต่ก็ซับซ้อน

     ผมมีกลุ่มเพื่อนสนิทของผม อินทร์เองก็มีกลุ่มเพื่อนสนิทของมัน แต่พวกเรามักจะใช้เวลาตอนเย็นหลังจากเลิกเรียนด้วยกัน เริ่มแรกด้วยการนั่งในโรงอาหารที่แทบไม่มีคนด้วยกันบ่อยๆ แล้วจึงค่อยๆ สนิทกันมากขึ้นโดยที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าไอ้สองคนนี้มันเป็นเพื่อนที่คุยด้วยกันได้แทบทุกเรื่อง

     ผมกับมันไม่น่าจะเข้ากันได้ มันเป็นลูกรักครูทุกคนเพราะเป็นหัวหน้าห้อง เป็นที่รักของเพื่อนๆ เพราะเป็นคนตลก แถมยังเป็นคนดังลับๆ ในหมู่แก๊งนางฟ้าของโรงเรียน ที่ต้องใช้คำว่า ‘คนดังลับๆ’ เป็นเพราะเคยมีคนมาจีบมันครั้งหนึ่งและใครคนนั้นก็ถูกมันประเคนหมัดเป็นของขวัญจนเข้าห้องปกครอง ดังชั่วข้ามคืน เลยไม่มีใครหน้าไหนกล้าเขามาวอแวกับมันในแง่นั้นอีก ส่วนผมน่ะหรือ... จืดจางเสียไม่มี ไม่ได้เป็นลูกรักแต่ก็ใช่ว่าจะเป็นแบล็กลิสต์ คนรู้จักไม่เยอะและไม่มีอะไรโดดเด่นเลยแม้แต่น้อย ผมแม่งโคตรจืดชืด เป็นเด็กกางเกงสีน้ำเงินที่มีดีแค่ตัวสูงและหน้าใส นอกจากนั้นผมก็ไม่ได้มีอะไรแตกต่างจากคนทั่วไป

     พวกเราสนิทกันอยู่สองปี บางวันชวนกันเล่นบาส บางวันก็ชวนกันไปเที่ยว ความสัมพันธ์ของผมกับอินทร์ไม่เปลี่ยนแปลงแม้ว่าผมจะเข้าเรียนสายวิทย์ – คณิต ส่วนมันเรียนศิลป์ – คำนวณที่อาศัยอยู่กันคนละตึก จนถึงช่วงเปิดเทอมใหม่ของมัธยมห้า

     ผมพ่นลมหายใจเบาๆ เมื่อคิดถึง ‘เวลานั้น’

     ...ก็บอกแล้วว่าเรื่องของผมกับมันเรียบง่ายแต่ซับซ้อน

     มันเป็นช่วงสอบกลางภาคของเทอมที่หนึ่ง พ่อของอินทร์เสีย...แล้วเราก็ห่างกันไปเลยโดยที่เราไม่รู้สาเหตุ

     ไม่สิ เกรงว่าต้องใช้คำว่า ‘ผมไม่รู้สาเหตุ’ เสียมากกว่า

     เราไม่ได้ตัวติดกันทั้งวัน ผมรู้ข่าวเรื่องพ่อมันเสียหลังจากเห็นว่าติดต่อมันไม่ได้ถึงสามวัน ไปหาที่ห้องก็ไม่เจอ ผมไม่ใช่คนสนิทของมันพอที่มันจะเชิญผมไปงานศพครั้งนั้น ผมรอจนมันกลับมา และผมยังคงจำได้กับสิ่งที่เกิดขึ้นตอนผมเดินเข้าไปทัก

     มันไม่มองผม...ไม่ตอบ...และเดินผ่านไปเลย

     ผมยังจำภาพนั้นได้จนถึงตอนนี้ จำได้กระทั่งว่าตอนนั้นเจอกับมันที่หน้าห้องพักครูอังกฤษ ตอนแรกผมนึกว่ามันอาจจะมองไม่เห็นผม ผมจึงเดินเข้าไปจับไหล่ของมัน และยังคงจำได้ว่ามันเบี่ยงตัวหลบโดยไม่พูดอะไรกับผมสักคำ

     หลังจากนั้นผมเองก็พยายามที่จะคุยกันกับมัน จนเราไม่ได้คุยกันร่วมเดือนโดยที่ผมพยายามเข้าหา อินทร์ถึงขนาดตัดสายเวลาผมโทรไปด้วยซ้ำ ตอนนั้นจึงมั่นใจได้แล้วว่าตัวเองโดนเมินอย่างเต็มรูปแบบ

     ผมโกรธ ผมเสียใจ ผมรู้สึกแย่เป็นบ้า และเรื่องราวมันห่วยแตกกว่านั้นเมื่อวันหนึ่งผมทนไม่ไหวและเอ่ยปากถามมันไปตรงๆ ว่ามีปัญหาอะไรกันแน่ตอนพวกเราเลิกแถวหลังเคารพธงชาติ ต่อหน้าคนแทบจะทั้งระดับชั้น และมันก็ทำเพียงตอบมาด้วยน้ำเสียงเบาหวิว

     ‘ไม่มีอะไร...แค่ขี้เกียจคุย’

     ผมยังจำมันจนถึงตอนนี้

     และเรื่องราวของผมกับมันก็จบลงแบบนั้น

     มันห่วยแตก ผมรู้สึกแบบนั้นทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องนี้ มันยังคงตกตะกอนอยู่ในส่วนลึกของความทรงจำแม้ว่าผมจะไม่ได้คุยกับมันจนกระทั่งเราจบมัธยมหกและไม่ได้เจอกันถึงแปดปีเพราะเข้าคนละมหา’ ลัย

     ผมไม่คิดว่าเรื่องจะตลกร้ายเช่นนี้หลังจากเราไม่ได้พูดคุยกันมาร่วมสิบปี ตอนนั้นผมรู้ว่ามันเข้าเรียนบริหาร ไม่คิดมาก่อนว่าจะผันตัวมาเป็นบรรณาธิการ ซ้ำร้าย ยังคอยมาดูแลผมเสียอีก

     ยิ่งคิดยิ่งทำให้ผมปวดหัว ผมไม่ได้ขยับตัวไปไหนอยู่นานเพราะตะกอนที่อยู่ก้นถ้วยของความทรงจำถูกตีให้ลอยขึ้นมาใหม่ด้วยการเจอกับมันเมื่อกี้นี้และยังมีบางสิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจของผม

     ผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่ามันเรียกผมว่า ‘พีท’ เป็นครั้งสุดท้ายตอนไหน

     ...เพราะตอนนั้นไม่เคยคิดมาก่อนว่ามันจะเป็น ‘ครั้งสุดท้าย’

     “เฮอะ” ผมเค้นหัวเราะออกมาเบาๆ กับความคิดที่แสนน่าสมเพชของตัวเองก่อนที่จะลุกขึ้น

     ผมต้องการบุหรี่ มันคงไม่ลำบากนักถ้าจะหาในห้างกลางเมืองแบบนี้ หรือถ้าไม่เจอก็ขับรถกลับบ้านไปเลยก็ไม่ได้แย่อะไร

     แต่จังหวะที่ผมกำลังจะเดินไปทางลานจอดรถผมกับเหลือบไปเห็นต้นเหตุของความหงุดหงิดในใจเสียก่อน

     ‘คุณกชอินทร์’ ยืนอยู่ตรงนั้นและกำลังเดินเข้ามาพร้อมกับกระเป๋าและซองเอกสาร ดูเป็นพนักงานบริษัทที่แสนเคร่งครึม แตกต่างจนแทบจะจำไม่ได้ว่านั่นคือ ‘อินทร์’ ที่เคยสนิทกับผมเมื่อมัธยม
   
     ผมเม้มปากแน่นเมื่อเห็นมันเดินใกล้เข้ามา...ใกล้เข้ามา...ในขณะที่ผมเองก็ก้าวขาไปข้างหน้า
   
     จังหวะที่มันเดินผ่านผม ผมเห็นว่าส่วนสูงของผมนำมันอยู่เกือบสิบเซนติเมตร ไหล่มันยังคงบางเหมือนเดิม เหมือนกับเด็กขาดสารอาหาร มีกลิ่นอ่อนๆ แบบที่ผมไม่เคยรู้ว่ามันคืออะไรจากตัวมัน รวมถึงแววตาของมันที่ปรายมาและบังเอิญสบตากับผมเล็กน้อยก่อนที่จะหลบไป

     ทุกอย่างทำให้ผมหยุดชะงัก และมันเองก็เช่นกัน

     ผมทำหน้าไม่ถูก มันกระอักกระอ่วนเวลาที่เห็นมันยืนอยู่ตรงหน้า เหมือนกับน้ำท่วมปากโดยที่ไม่ได้เป็นแบบนั้น
   
     สุดท้ายพวกเราเองก็เบี่ยงตัวไปคนละทางและเดินต่อไป จังหวะนั้นเองที่ปลายนิ้วของผมโดนแขนเสื้อของมันเบาๆ เบาเสียจนผมแทบจะไม่รู้สึกเสียด้วยซ้ำไป
   
     แต่ผมก็รู้สึก...
   
     ผมห้ามตัวเองไม่ได้ สุดท้ายแล้วก็ต้องหันไปมองมันหลังจากเดินออกมาจากจุดเมื่อกี้เกือบสิบวินาที กชอินทร์ยังคงเดินตรงไปในทางของมัน จนผมได้แต่กัดฟันอย่างหงุดหงิด ก้มลงมองมือของตัวเองที่เมื่อกี้โดนแขนเสื้อของมันจนรู้สึกเหมือนกับมีอะไรมาทุบหัว
   
     ผมปล่อยมันเดินผ่านไปเฉยๆ...อีกแล้ว





-----------------------------------------------------
ชอบเขียนอะไร 'แบบนี้' กับพระเอก 'แบบนี้' ค่ะ
ไอ้พีรพัฒน์หรือนายพีทของเราจะทำอย่างไรต่อไปต้องติดตาม (ฮา)
ยังไงก็... ขอฝากตัวด้วยนะคะ <3
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ◆◇ ตอนที่ 1 (03/02/15)
เริ่มหัวข้อโดย: สายลมที่หวังดี ที่ 03-02-2015 21:12:09
หายไปนานเบย

ถ้าเป็นเราถึงไมีใช่เพื่อนสนิทแบบนั้นแต่ถูกเมินคงเสียใจแย่ :hao5:
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ◆◇ ตอนที่ 1 (03/02/15)
เริ่มหัวข้อโดย: =นีรนาคา= ที่ 04-02-2015 11:28:40
 :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ◆◇ ตอนที่ 1 (03/02/15)
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 04-02-2015 11:49:07
เป็นสองตอนที่อึดอัดมากกกกกก

ไม่รุ้ว่าก่อนและหลังงานศพเกิดอะไรขึ้น หรือพีททำอะไรไม่ดีโดยไม่รู้ตัวหรือเปล่า??

จะมีอินทร์มาเล่าเรื่องบ้างไหมคะ??

ปอลอ อินทร์นี่เคะหรือเมะคะ? เดาว่าเคะ *3* ไม่รู้ถูกเปล่า
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 2 (28/02/15)
เริ่มหัวข้อโดย: NINEWNN ที่ 28-02-2015 20:48:25
(http://upic.me/i/ak/timeticket_.jpg)

CHAPTER 2

“But you didn’t have to cut me off
Make out like it never happened and that we were nothing”

(Somebody That I Used to Know – Walk off The Earth)



        ผมคิดว่าวันเวลามันผ่านไปช้ากว่าที่คิด
   
        “เฮียยยยยยยยยยยย” เสียงทุ้มที่ขึ้นสูงจนจะเพี้ยนเป็นคำหยาบดังขึ้นจากหลังประตู ผมไม่ได้พูดอะไร ประตูก็เปิดพรวดออกมาให้เห็นไอ้เด็กผมเกรียนๆ เจาะหูสามสี่รูและลิ้นอีกหนึ่งรู ไหนจะเกรียนๆ เหมือนกับคนเรียนรด. นั่นอีก “มีโทรศัพท์โทรมาที่ร้าน บอกว่าขอสายเฮียอ่ะ”
   
        ผมดึงบุหรี่ออกจากปาก “ใคร?”

           ไอ้เก้ ลูกจ้างฟูลไทม์เพียงคนเดียวนิ่งไปชั่วครู่ก่อนที่จะหัวเราะ “ขอโทษเฮีย แบบว่า... ลืมถามน่ะ”

           ผมพ่นลมหายใจออกมาอย่างหงุดหงิด ปัดมือเป็นเชิงไล่และไม่ลืมที่จะบอกว่าเดี๋ยวตามไป ก่อนที่จะจ้องข้อความเป็นพรืดบนแมคบุ๊คตัวเองอยู่พักใหญ่ แต่นิ้วกลับไม่ขยับ คิดไม่ออกว่าก่อนหน้านี้จะเขียนอะไร... ปัญหาที่ผมพบเจอบ่อยๆ เวลามีใครมาขัดจังหวะตอนที่ตัวเองกำลังทำงาน ผมกลอกตาไปมาอย่างหงุดหงิด จังหวะนั้นเองที่เหลือบไปเห็นโทรศัพท์ตัวเองนอนแน่นิ่งเหมือนกับตายไปแล้วมาร่วมสามวัน

           ใช่ สามวัน ผมปิดโทรศัพท์มาสามวันแล้ว ไม่คิดจะเปิดมันขึ้นมาแม้แต่นิดเดียว ยังมีการติดต่อจากพ่อกับแม่ที่หนีเมืองกรุงย้ายไปปักหลักอยู่ที่ภาคอีสานมาทางโทรศัพท์บ้าน ส่วนนอกจากนั้นผมเองก็ไม่ค่อยได้คบค้าสมาคมกับใครอยู่แล้ว

           ผมได้แต่สัมผัสรสขมพร่าจากบุหรี่ ก่อนที่จะดึงมันออกจากปากและขยี้มันลงบนที่เขี่ยบุหรี่ที่มีในห้อง

           ให้ตาย... ผมโกหก นั่นไม่ใช่สาเหตุที่ผมปิดโทรศัพท์

           เมื่อสามวันก่อนมีคนแอดไลน์มาหาผม ภาพโปรไฟล์ไม่ใช่รูปคนแต่เป็นรูปวิว ตอนแรกก็คิดไม่ออกหรอกว่าอีกฝ่ายเป็นใครจนมีข้อความเข้ามา

           ‘ส่งบทความสำหรับนิตยาสารฉบับหน้าให้ผมภายในวันเสาร์’

           แค่เท่านั้นแหละ ผมเองก็รู้ทันทีว่าอีกฝ่ายเป็นใคร

           ผมไม่ตอบ ทันทีที่เห็นข้อความนั้นก็เลือกที่จะปิดเครื่องทันทีเพราะผมไม่มั่นใจว่าถ้าหากตัวเองเปิดเครื่องไว้แบบนั้นจะทำอะไรลงไปบ้าง ยกตัวอย่างเช่น... พิมพ์ข้อความทุกอย่างที่แล่นในหัวหามัน กดโทรหามันเพียงเพื่อจะได้ยินเสียง หรืออาจจะมีอะไรที่งี่เง่ากว่านั้นแบบที่ผมเองก็ไม่อยากจะจินตนาการ

           ไม่มีใครที่จะลำบากกับการขาดหนทางติดต่อกับผม นอกจากเจ้าคนที่ต้องตามงานนั่นแหละ

           ผมรู้ตัวว่าตัวเองโคตรจะทำตัวเป็นเด็กไม่หย่านม ผมยังหงุดหงิดตัวเองเลย แต่อย่างน้อยผมก็โตพอที่จะจัดการเขียนบทความจำนวนสี่พันอักขระให้ทันวันเสาร์

           หมายถึง ‘พยายามให้ทัน’ วันเสาร์ เพราะวันนี้นี่แหละคือวันเสาร์...และมันก็บ่ายสองแล้วเสียด้วย

           มันแย่มาก ผมไม่คิดมาก่อนว่าผมจะเขียนอะไรแทบไม่ออกเช่นนี้ โอเค... อาการ ‘ตัน’ มักจะโผล่มาเป็นพักๆ ในการทำงานอะไรแบบนี้อยู่แล้ว แต่ของผมมันไม่ใช่อาการที่แล้วๆ มา มันเหมือนกับการจะเขียนอะไรสักอย่างแล้วมีใครสักคนมากระโดดโลดเต้นอยู่ข้างๆ จนทำสมาธิไม่อยู่ แน่นอนว่าคนมากระโดดโลดเต้นในหัวสมองผมไม่ใช่ใครอื่นนอกจากคนที่เพิ่งได้รับตำแหน่งบรรณาธิการของผมไปหมาด   ๆ

           ผมสูดลมหายใจลึก พยายามจะทำสมาธิให้ตั้งมั่นอยู่กับสิ่งที่ต้องทำในตอนนี้ แต่ไม่ทันจะทำอะไรก็ได้ยินเสียงวิ่งดังตึกๆๆ ก่อนจะตามมาด้วยเสียงเปิดประตู

           “เฮียยย เขาโทรมาอีกแล้ว”

           ผมสบถอย่างหงุดหงิด “แล้วรู้รึยังใครโทรมา!” หันไปมองหน้าไอ้เก้อย่างเสียอารมณ์

           “เขาบอกว่าเป็นบก. เฮียอ่ะ” ผมหยุดชะงัก หันไปมองมันแล้วเลิกคิ้วเล็กน้อย “เห็นว่าจะชื่อ...”

           “อินทร์” ผมไม่รอให้มันจบประโยคก่อนที่จะตระหนักอะไรได้แล้วเค้นยิ้มออกมา อ๋อ... จริงสินะ เรียกแบบนี้ไม่ได้แล้วนี่นา “...คุณกชอินทร์”

           “ใช่ๆ ชื่อนั้นแหละ” ไอ้เก้ที่ยืนอยู่หน้าประตูพยักหน้า

           “เหรอ เขาว่ายังไงล่ะ”

           “เขาบอกให้เฮียส่งงานให้ภายในครึ่งชั่วโมง” ผมกลอกตากับคำพูดนั้น แต่ต้องเบิกตากว้างกับคำพูดถัดมาของลูกจ้างตัวเอง “ไม่อย่างนั้นเขาจะมาหาเฮียที่นี่”

           ผมยิ้มไม่ออก ไม่ได้ตอบอะไรไปด้วยซ้ำแม้กระทั่งไอ้เก้จะปิดประตูไปช่วยงานที่ร้านหน้าบ้านของผมแล้วก็ตาม นานทีเดียวกว่าจะตั้งสติได้และมองจำนวนอักขระที่เขียนไปแล้ว พบว่าเหลืออีกเกือบครึ่งที่ผมยังไม่ได้เขียน

        เยี่ยม สงสัยบรรณาธิการของผมจะคิดผิดถนัด การมาข่มขู่เช่นนี้ไม่ใช่การทำให้ผมทำงานได้เร็วขึ้น ให้ผลตรงข้ามด้วยซ้ำเมื่อคิดว่า ‘เขา’ จะมาที่นี่... พลาดเสียแล้วล่ะมั้ง คุณกชอินทร์

        

           ผมเสียเวลาไปเกือบสิบนาทีในการนอนบนเตียง ก่อนที่จะลุกมาที่หน้าแมคบุ๊คใหม่อีกครั้ง พิมพ์บทความไปอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะเสียเวลาไปราวห้านาทีในการนั่งคิดว่าอีกฝ่ายได้เบอร์ติดต่อที่ร้านของผมมาได้อย่างไร

           จริงอยู่ว่าผมเปิดร้านอาหารเล็กๆ ที่ตอนค่ำจะเปลี่ยนเป็นบาร์แจ๊สอยู่หน้าบ้านแต่ผมเองก็ไม่เคยบอกเบอร์ที่ร้านให้ใครเพราะผมจะลงไปเป็นพ่อครัวบ้างบางครั้งแต่มักจะให้ลูกจ้างสองสามคน (ไอ้เก้คือหนึ่งในนั้น) ดูแลมากกว่า มันเลยไม่ใช่หนทางที่ดีในการติดต่อผม หนักกว่านั้นคือการที่อินทร์บอกว่าจะมาหาผม ‘ที่นี่’ ผมไม่ได้คุยกับมันเอง ไม่รู้หรอกว่าไอ้เก้สื่อสารอะไรผิดพลาดหรือเปล่า แต่อินทร์ไม่ใช่คนที่จะพูดออกมาพล่อยๆ เพียงเพราะต้องการขู่เสียด้วย

           สักพักโทรศัพท์บ้านก็ดังขึ้น ผมสะดุ้งอย่างลืมตัวก่อนที่จะเดินไปหยิบมันมารับสายทั้งๆ ที่ใจเต้นจนตัวเองรู้สึกแปลกใจ

        ...แค่คิดว่า ‘ใคร’ เป็นคนโทรเข้ามา

        “เฮียๆ” เสียงจากปลายสายคือเสียงไอ้เก้ จนผมได้แต่เค้นยิ้มกับตัวเอง คาดหวังอะไรจากคนพรรค์นั้นอยู่นะ… “คนที่ชื่อกชอินทร์เขามาแล้ว”

        คำพูดนั้นทำให้ผมดีดตัวขึ้นมาก่อนจะเหลือบมองนาฬิกาแล้วจึงขมวดคิ้วมุ่นด้วยความแปลกใจ ยังไม่ถึงครึ่งชั่วโมงที่อีกฝ่ายกำหนดไว้ด้วยซ้ำ จริงๆ มันควรจะใช้เวลามากกว่าครึ่งชั่วโมงที่เขาจะมาปรากฎตัวแถวนี้ เพราะเขาควรจะรอจนกว่ามั่นใจว่าผมไม่ส่งไปเลยออกเดินทาง

        คิดอะไรอยู่... ผมได้แต่ตั้งคำถามในใจจนได้ยินเสียงของตะโกนเรียกผมเสียงดัง

     “เฮีย! แล้วจะให้ปล่อยเขาเข้าไปในบ้านเฮียเลยไหม”
   
     “ไม่” ผมตอบปฏิเสธเสียงหนักแน่น “ไม่... ไม่ต้อง” ย้ำอีกครั้งก่อนที่จะสูดลมหายใจลึกเพื่อสงบสติอารมณ์ โยนคำถามต่างๆ นานาที่วิ่งแล่นผ่านหัวสมองเมื่อกี้ออกไปให้หมด “บอกเขาว่ารอไป เดี๋ยวจะไปหาเอง”

        ผมว่าเช่นนั้นก่อนที่จะกดวางสายอย่างไม่รีรอ หันกลับมากดเซฟงานที่ทำและปิดแมคบุ๊ค เดินออกจากห้องนอนตัวเองในสภาพเสื้อยืดสีขาวย้วยๆ กับกางเกงขายาว (ใส่แต่บ๊อกเซอร์มาทั้งวันเลยต้องหยิบมาใส่บ้าง เดี๋ยวลูกค้าหนีจากร้านกันพอดี) ส่วนผมยาวๆ ที่เลยมาจนถึงบริเวณไหปลาร้าก็ปล่อยมันไปเฉยๆ แบบนั้น

        พอเดินออกจากบ้านมาถึงร้านเล็กๆ ชื่อ ‘นั่งคุยกัน’ ที่ตัวผมสร้างด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเองแล้วก็เห็นไอ้เก้ที่เอานิ้วชี้ไปทางมุมร้านฝั่งในสุด มองตามปลายนิ้วไปก็เห็นหัวทุยๆ ของใครบางคนที่สูงเลยผนักเก้าอี้มาไม่มากนัก

        ผมเกลียด...เกลียดการมองมันจากด้านหลัง เพราะผมมักจะต้องมองมันจากมุมนี้เสมอนับตั้งแต่เราไม่ได้คุยกัน

        ยิ่งเห็นว่าเจ้าของผมสีเข้มนั่นก้มๆ เงยๆ มองข้อมือข้างขวาของมันที่ใส่นาฬิกาอยู่ก็ยิ่งทำให้ผมเหมือนขาสองข้างของตัวเองมันหนักขึ้น จังหวะนั้นเองที่มันหันหน้ามาทางประตูร้าน ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ผมยืนอยู่พอดิบพอดี

        อินทร์ไม่ได้เดินเข้ามาในทันที มันไม่แม้แต่จะลุกขึ้นด้วยซ้ำ ผมเห็นมันชะงักไปเล็กน้อยแล้วจับจ้องอยู่ที่ผมเหมือนกับรอให้ผมเดินเข้าไปเองจนผมต้องสูดลมหายใจลึกและเดินไปหย่อนกายนั่งตำแหน่งตรงข้ามกับมัน

        “คุณมันไร้ความเป็นมืออาชีพ” อีกฝ่ายเอ่ยปากทันทีที่ผมนั่ง

     ผมรู้สึกลำคอแห้งผาก แต่ก็ยังกล้าพอที่จะเอ่ยปากออกไป “มาที่นี่ได้ยังไง”

        “งานอยู่ไหน” มันไม่แม้แต่จะสนใจคำถามของผมด้วยซ้ำ “เสร็จหรือยัง”

        ผมไม่ได้ตอบอะไร ยิ่งเห็นมันมีสีหน้าหงุดหงิดภายใต้การกระทำที่เรียบเฉยคล้ายพยายามสกัดกั้นความโมโหไว้ยิ่งทำให้นิสัยเสียของผมตื่นตัว ผมแกล้งหยิบไฟแช็กที่พกติดตัวขึ้นมาพร้อมกับบุหรี่หนึ่งมวนและจุดมันต่อหน้าของเขา

        “คุณพีรพัฒน์” มันเรียกชื่อผมเสียงเข้ม

        ผมควรทำอะไรนะ... ผมตั้งคำถามในใจก่อนที่จะยกยิ้มยียวนบนใบหน้า พลางดึงบุหรี่ออกจากริมฝีปาก

        “คุณพีรพัฒน์” อีกฝ่ายเรียกชื่อผมอีกครั้ง “งานอยู่ไหน คุณทำมันเสร็จหรือยัง”

        “ยัง” ในที่สุดผมก็ตอบไปตามจริง ผมเห็น... เห็นตอนที่มันสูดลมหายใจลึกและค่อนๆ ผ่อนมันออกมา เห็นมือของมันกำเข้าหากันแน่นคล้ายจะสงบสติอารมณ์ มันเงียบไปราวสิบวินาทีก่อนที่จะพูดออกมา

        “รู้ไว้ซะว่าคุณเป็นคนที่ไร้ความเป็นมืออาชีพมากที่สุดเท่าที่ผมเคยรู้จักมา” มันพูดเสียงเรียบในขณะที่ผมได้แต่ยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ มันมองผมตาขวางและพูดต่อ “ทำงานซะ ที่นี่ เดี๋ยวนี้”

        “น่าเสียดายจัง” ผมเป่าควันบุหรี่ออกมา “พอดีอุปกรณ์ทำงานอยู่บนบ้านน่ะ... คุณกชอินทร์” ผมแกล้งเอ่ยชื่อมันอย่างเย้ายั่ว แต่ดูเหมือนมันจะไม่ได้ผลใดๆ เมื่ออีกฝ่ายลุกขึ้นพร้อมกับเอ่ยปากออกมาอย่างชัดเจน

        “งั้นก็เข้าไปที่บ้านคุณสิ ผมจะได้เข้าไปเฝ้าการทำงานคุณด้วย”

        เป็นผมเองที่เกือบหลุดคำว่า ‘อะไรนะ’ ออกมา ขอบคุณตัวเองที่มีสติมากพอที่จะไม่ทำแบบนั้น ยิ่งเห็นอีกฝ่ายไม่ขยับตัวไปไหนทั้งๆ ที่ลุกขึ้นแล้วยิ่งทำให้ผมหงุดหงิดใจ สบถเบาๆ อย่างหัวเสียแล้วลุกขึ้นพร้อมกับเดินนำมันออกจากร้าน ไม่ลืมที่จะชี้โต๊ะเดิมที่อินทร์นั่งอยู่ให้ไอ้เก้เห็นว่าสามารถเก็บโต๊ะได้แล้ว

        ผมเดินนำมันและรู้สึกแปลกๆ กับการที่อีกฝ่ายเดินตามหลัง ไม่กี่สิบก้าวก็ถึงบ้านเดี่ยวของผมที่เพิ่งปรับปรุงให้ขนาดเล็กลงโดยการแบ่งส่วนหนึ่งไปเป็นร้านที่เปิดเมื่อสองสามปีก่อน แล้วจึงเปิดประตูเข้าไป

        “ถอดรองเท้าด้วยล่ะ” ผมพูดกับมันเสียงห้วนโดยที่ไม่หันไปมองมันด้วยซ้ำ

        แต่ถึงกระนั้นผมก็ได้ยินเสียงมันถอนหายใจ... และ ให้ตาย ผมรู้สึกว่าทุกอย่างของมันมีอิทธิพลกับผมมากเกินไป

        ไม่ใช่ว่าไม่รู้ตัวว่าตอนนี้ตัวเองทำตัวเป็นเด็ก ช่างประชดประชัน ทำตัวคล้ายเรียกร้องความสนใจ เหมือนกับเด็กที่ร้องไห้กระจองงอแงยามไม่ได้ดั่งใจแต่คงจะมีแค่ไม่กี่คนที่ทำให้ผมเป็นได้ขนาดนี้

        ผมมองข้ามข้าวของระเกะระกะที่ตัวเองวางไว้ในห้องนั่งเล่นตามประสาบ้านของชายโสดก่อนที่จะเปิดประตูห้องนอนตัวเองแล้วหันไปมองหน้ามันก่อนที่จะชะงักเล็กน้อย ผมคิดว่าผมเห็น...เห็นมันทำแววตากังวลใจ

        และผมพยายามบอกตัวเองว่าผมคิดไปเอง

        “จะเข้าไปไหม” ผมถามมันด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ

        “เข้า ไม่อย่างนั้นจะรู้ได้ยังไงว่าคุณทำงานจริง” มันพูดเสียงแข็ง แววตาดูเฉยชาแต่กลับไม่สบตากับผมแม้แต่น้อย

        ผมเค้นหัวเราะ ไม่ได้พูดอะไร เดินเข้ามาในห้องนอนตัวเองที่มีทุกอย่างเพราะความขี้เกียจของตัวเองที่ไม่ต้องการห่างเตียงเกินสามเมตร กระทั่งตู้เย็นผมยังมีอยู่ในห้องด้วยซ้ำ

        ผมไม่ได้มองอินทร์ว่ามันทำสีหน้าแบบไหนตอนเดินเข้ามาในห้อง ได้แต่เดินไปเปิดแมคบุ๊คที่เพิ่งจะปิดไปเมื่อไม่กี่นาทีก่อน

        “ผมนั่งบนเตียงได้ไหม”

        “เชิญ” ผมตอบเสียงห้วน

        เพราะว่าเก้าอี้สำหรับโต๊ะทำงานของผมหันหน้าให้ผนังห้องและหันหลังให้กำแพงเพราะแบบนั้นผมจึงได้ยินเฉพาะเสียงยวบและเสียงผ้าจากเตียงของตัวเอง

        ผมรู้สึกทำอะไรไม่ค่อยถูก ไม่ถึงกับว่ามือชื้นเหงื่อหรือหัวสมองตื้อตันจนเขียนอะไรไม่ได้ ยิ่งนั่งคิดว่ามันจับตามองผมจากด้านหลังผมยิ่งเกร็ง พยายามจะสูดลมหายใจสงบสติอารมณ์แต่ในหัวสมองผมก็คิดไปต่างๆ นานาว่าตัวเองควรจะทำอะไรกับสถานการณ์เช่นนี้

        ผมไม่ได้สูดลมหายใจจากที่เดียวกับมันมานานแค่ไหนแล้ว... ไม่ได้มองหน้ามันใกล้แค่นี้มานานแค่ไหน... ไม่ได้ยินเสียงมันมานานเท่าไหร่

        คำถามเดิมๆ ที่มันวิ่งวนอยู่ในหัวสมองของผมนับตั้งแต่เจอมันที่ห้างวันเซ็นสัญญาวิ่งกลับเข้ามาอีกระลอก และผมไม่สามารถหาคำตอบได้เลยแม้แต่น้อย

        ในห้องไม่มีคำพูดใดๆ และผมคิดว่าสิ่งเหล่านั้นไม่จำเป็น สิ่งที่ผมได้ยินมีเพียงเสียงนิ้วของตัวเองกระทบกับคีย์บอร์ด เสียงหมุนของใบพัดในพัดลม เสียงลมหายใจ และเสียงผ้าที่เสียดสีทั้งจากมันและจากผมทุกครั้งที่มีการขยับตัว มันไม่ส่งเสียงใดๆ แม้ว่าผมจะนิ่งไปอยู่พักใหญ่เวลาคิดอะไรไม่ออกแต่ผมคิดว่านั่นมันดีกว่าการที่มันจะมานั่งจู้จี้ พูดเสียงของมันให้ผมได้ยินตลอดเวลาที่นิ้วมือหยุดพัก ถ้าขืนเป็นเช่นนั้นจริงๆ ผมคงเขียนอะไรต่อไม่ออก

        ผมพยายามทำสมาธิ บอกตัวเองว่าเราอยู่คนเดียวแต่ดูเหมือนมันจะไม่ช่วยเท่าไหร่นัก

        “คุณจะเสร็จเมื่อไหร่” เสียงของอีกฝ่ายดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ

        “ไม่รู้สิ” ผมตอบอย่างไม่จริงจัง “คุณคิดว่าเมื่อไหร่ล่ะ”

        “คุณพีรพัฒน์” ผมกลอกตาไปมาโดยไม่หันไปมองหน้ามันด้วยซ้ำ “คุณคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเล่นๆ หรือยังไง”

        “ไม่ แต่ช่วยเงียบไปก่อนได้หรือเปล่า”

        “ผมให้เวลาคุณอีกแค่ครึ่งชั่วโมง” ผมพยักหน้า ไม่ได้ตอบอะไรไปมากกว่านั้นและพยายามจดจ่ออยู่กับตัวอักษรที่ค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนหน้าจอที่ละตัวตรงหน้า ก่อนที่ความเงียบจะเข้าปกคลุมพวกเราอีกครั้งหนึ่ง

        จำนวนอักขระเพียงพอต่อการเขียนบทสรุปแล้ว ผมเริ่มตั้งสติใหม่โดยการย้อนกลับไปอ่านบทความตัวเองตั้งแต่ต้นจนจบอีกครั้งและเรียบเรียงความคิดต่างๆ ไว้ในหัว นิ่งไปอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะเริ่มพิมพ์ข้อความตามที่คิดแต่จังหวะนั้นเองที่โทรศัพท์ของใครสักคนดังขึ้นมากก่อน

        “ครับ” กชอินทร์พูดเสียงแผ่ว ได้ยินเสียงมันลุกขึ้นจากเตียงโดยที่ผมไม่หันกลับไป “ว่าไงเหรอพริม”

        ...พริม? ชื่อผู้หญิงอย่างงั้นหรือ

        ผมละสายตาจากหน้าจอเหลือบมองมันโดยหางตาแบบอัตโนมัติ ก่อนที่จะส่ายศีรษะไปมาเมื่อรู้ตัวว่าตัวเองพลาดไปเสียแล้ว มันเดินออกไปจากห้องนอน ปิดประตูอย่างแผ่วเบาแต่มันก็พูดคุยกับคนในสายที่ชื่อพริมดังพอที่จะทำให้ผมซึ่งนั่งอยู่ในห้องนี้ได้ยิน

        “ไม่ได้ ปลีกตัวไม่ได้ ทำงานอยู่... ไม่เอาครับ อย่าทำตัวแบบนี้นะ” อะไรบางอย่างวิ่งเข้ามากระแทกที่อกของผมอย่างแรง พอจะเดาได้เหมือนกันว่าอีกฝ่ายเป็นอะไรกับอินทร์ “เดี๋ยวโทรกลับ ไม่เอา คุยตอนนี้ก็ไม่รู้เรื่อง” ประโยคหลังมันพูดดังขึ้นมาเสียหน่อยจนผมได้ยินอย่างชัดเจน “แค่นี้ก่อนนะ ก็บอกแล้วว่าทำงานอยู่... พูดไปตอนนี้เชื่อด้วยเหรอ”

        ผมกำมือแน่น สมาธิที่ตั้งมั่นไว้เป็นหมันไปเสียหมด เสียงของอินทร์เริ่มกลับมาเบา ไม่นานมันก็เปิดประตูกลับเข้ามาในห้องนอนใหม่อีกครั้ง แต่ครั้งนี้แตกต่างออกไปเมื่อผมมองหน้ามันอย่างตรงๆ

        “คุยโทรศัพท์กับแฟนเหรอ” ผมแกล้งถามเสียงระรื่น “ไม่ไปหาเสียล่ะ”

        “ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของคุณ” มันเอ่ยปากออกมาด้วยสีหน้าหงุดหงิดแบบปิดบังไม่มิด คาดว่าน่าจะเป็นผลจากคนปลายสายของมันเมื่อกี้ “เราไม่ได้สนิทกันถึงขนาดจะถามเรื่องส่วนตัวได้นี่”

        คำพูดของมันทำให้ความพยายามที่จะควบคุมตัวเองลดลงได้มากพอควร ผมพยายามสูดลมหายใจลึก บอกตัวเองว่านั่นเป็นความจริง เพียงแต่พอมองสภาพห้องของตัวเองแล้วภาพ ‘บางอย่าง’ ที่เคยเกิดขึ้นในห้องนี้มันทำให้ความคิดของผมแตกเป็นเสี่ยง เหมือนกับทำให้ผมตัดสินใจเลือกระหว่างการเก็บความเจ็บปวดไว้กับตัวแล้วไม่ขยับไปไหน กับการขยับไป...ทำให้มันรู้สึกถึงความเจ็บปวด

        ผมลุกขึ้นยืนช้าๆ “ไม่สนิท?” ทวนคำเสียงเรียบก่อนที่จะเค้นหัวเราะ “นั่นสินะ ไม่สนิทนี่นา”

        ...เกรงว่าผมจะเลือกอย่างหลัง

        กชอินทร์มองผมด้วยแววตาที่สะท้อนความกังวลใจบางอย่างเมื่อผมเดินเข้าไปใกล้มันมากขึ้นอีกนิด เหมือนกับที่ผมเห็นตอนที่มันกำลังจะเดินเข้าห้องนี้มา และมันเหมือนกับจะบอกว่ามันเองก็จำเรื่องที่เกิดขึ้นในห้องนี้ได้ เพียงแต่มันไม่แสดงออกมาให้เห็นเท่านั้นเอง

        “อันที่จริงเราก็ไม่เคยสนิทกันเลย จริงไหม” ผมไม่รู้ว่าตัวเองทำหน้าแบบไหนไป แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายแล้วผมคิดว่า... มันคงไม่ใช่สีหน้าที่ดีเท่าไหร่นัก “ลองทำเรื่องที่คนไม่สนิทกันเคยทำในห้องนี้อีกครั้งไหม”

        “...”

        “อย่างเช่น...” ผมเอ่ยปากเสียงแผ่ว เดินเข้าไปชิดมันจนสัมผัสข้อมือเล็กๆ ของมันได้ด้วยกำมือของผม “ ‘จูบ’ ของคนไม่สนิท”

        ในหัวตอนนี้ไม่ค่อยได้คิดอะไรเท่าไหร่ นอกจากคำว่า... ผมสามารถสัมผัสมันได้แล้ว



--------------------------------
หายหัวไปนานเลยค่ะ  :katai5:
แต่เค้าสอบเสร็จแล้วนะะะะ
เดี๋ยวจะมาต่อบ่อยๆ นะคะ!
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 2 (28/02/15)
เริ่มหัวข้อโดย: bradpitt ที่ 04-03-2015 21:21:51


ตามมาอ่าน  นิยายเรื่องใหม่ครับ  :mew1:


อ้อ  อุดหนุน Single PAPA มาแล้วนะ....ปลื้มปริ่ม

  :heaven :heaven :heaven :heaven :heaven :heaven
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 2 (28/02/15)
เริ่มหัวข้อโดย: ReiSei ที่ 04-03-2015 22:08:49
เอ๊ยๆๆ แสดงว่าตอนแรกเล่าไม่หมดนะคุณพีรพัฒน์ มีความหลังอะไรกันมากกว่านั้นใช่มั้ย เล่ามาๆๆ แน่ะๆๆ
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 3 (05/03/15)
เริ่มหัวข้อโดย: NINEWNN ที่ 05-03-2015 13:02:20
(http://upic.me/i/ak/timeticket_.jpg)

CHAPTER 3

“เกือบลืมไปแล้วว่าฉันเคยรักเธอมาก่อน
ไม่อยากจะย้อนเวลาเหล่านั้นให้หวนกลับมา”

(เกือบ – บุรินทร์ บุญวิสุทธิ์)


        อันที่จริงผมรู้ตัวว่าตนเองนิยมชมชอบเพศเดียวกันมากกว่าผู้หญิงตั้งแต่ช่วงท้ายของประถม ยิ่งพอมัธยมได้เข้าโรงเรียนชายล้วนกางเกงน้ำเงินแห่งหนึ่ง ผมเองก็ไม่รู้สึกว่าตัวเอง ‘แปลก’ จากบุคคลเหล่านั้นนัก ถึงกระนั้นก็ตาม ผมไม่เคยได้ทำอะไรผู้ชายคนไหนไปมากกว่ามอง แม้กระทั่งรู้สึก ‘ชอบ’ ยังไม่เคยด้วยซ้ำ

        อินทร์เลยได้เป็นคนแรกที่ผมรู้สึก ‘อะไร’ แบบ ‘ลึกซึ้ง’ ด้วย…

        ผมไม่ได้บอกมันไป ไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะรู้หรือเปล่าแต่คนฉลาดและเซ้นส์ดีอย่างมันไม่น่าจะพลาด คำถามต่อไปก็คือทำไมมันถึงยังยอมสนิทกับผมทั้งๆ ที่รู้ว่าผมคิดกับมันในแง่นั้น?

        ผมสงสัยแบบนั้นมาตลอดนับตั้งแต่รู้ตัวว่าผมรู้สึกกับมันเช่นใดแต่ไม่มีโอกาสได้ถาม หรือถ้าพูดตามความจริงคือผมไม่มีความกล้าพอที่จะถาม ถ้าเกิดผลลัพธ์ที่เลวร้ายอย่างเช่นการที่มันไม่ได้รับรู้ใดๆ กลายเป็นคำถามนั้นจะทำให้ผมเผยความรู้สึกในใจไปโดยอัตโนมัติ และมันคงจะไม่ยอมใช้เวลาส่วนใหญ่ของมันกับผมอีกเป็นแน่

     ‘เวลาส่วนใหญ่ของมัน’ เราทำอะไรบ้างน่ะหรือ...

     เยอะแยะไป มากมายเสียจนถ้าพูดให้ใครฟังคนต้องตกใจแน่ๆ ว่าคนที่ดูเหมือนไม่น่าจะสนิทกันได้อย่างผมกับอินทร์ใช้เวลาร่วมกันมากมายขนาดนี้เชียว บางวันมันก็มาเล่นที่บ้านของผมตอนเย็น หรือบางทีก็เสาร์ – อาทิตย์ ผมเองก็เคยไปนั่งเล่นเกมที่บ้านมัน แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ชอบใจนัก พ่อของมันดุไม่ใช่น้อย ถ้าพวกเรานัดกันก็เลยมักจะมาเจอกันที่บ้านของผมซึ่งพ่อแม่ใจดีกับมันสุดๆ มากกว่า

     ...วันที่เกิดจูบแรกของเราก็เหมือนกัน

     วันนั้นพ่อแม่ของผมไม่อยู่บ้าน พวกเราเอาหนังเรื่องที่มันบอกว่าชอบมาเปิดดู มันน่าจะเป็นวันหยุด ผมจำไม่ได้ว่ามันเป็นวันเสาร์หรือวันอาทิตย์ จำได้แค่ว่ามันนั่งบ่นเรื่องหนังทำตอนจบได้หักมุมจนมันเสียอารมณ์

     ‘กูเกลียดมาก... ไม่ดูมันอาจจะดีกว่า’ มันบ่นแบบนั้น ส่วนผมได้แต่นั่งมอง ริมฝีปากสีซีดแต่ไม่แตกสักนิดขยับขึ้นลง อันที่จริงผมจ้องมาตั้งแต่มันดูหนังแล้ว เวลาที่ริมฝีปากเม้มแน่นด้วยความตื่นเต้นบางทีมันก็ทำให้ใจผมเต้นเหมือนกัน ‘จ้องอะไร’

     ‘เปล่า’ ผมปฏิเสธ เบือนหน้าหนีเมื่อมันหันขวับมาถามอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

     แต่อินทร์ไม่ยอมเชื่อคำพูดของผม มันขยับกายจากที่พื้นหน้าทีวีเข้ามาใกล้ผมที่กึ่งนั่งกึ่งนอนบนเตียง ‘จริงเหรอ คิดอะไรอยู่’

     ‘ยุ่งไรด้วย’ ผมว่าพลางตบหัวของมันไปหนึ่งที

     ‘อะไรวะ ถามแค่นี้ก็โกรธ’ อินทร์มองผมแล้วลูบหัวปอยๆ แกล้งทีสีหน้าคล้ายว่าเจ็บเต็มแก่

     ‘เปล่าโกรธ’ …ใครจะโกรธมึงลง ‘แล้วนี่อะไร ถอยไปเลยไอ้แห้ง!’ ผมร้องออกมาเมื่อมันดันกายขึ้นจากพื้นแล้วเอาหัวมันมาหนุนตักผม ส่วนตัวก็นอนทอดยาวไปตามความยาวเตียง

     ‘นอนหน่อย นะพีทนะ’

     ‘ออกไป’ ...ทำตัวไม่ถูก

     อินทร์มุ่ยหน้า ‘แค่นอนเอง’ มันว่าเช่นนั้นแต่ไม่วายเอาแขนมาคล้องเอวผมไว้หลวมๆ จนผมต้องกลั้นหายใจ

     ก้อนเนื้อในอกเต้นแรงเพียงเพราะลมหายใจของมันที่จรดอยู่แถวๆ ท้องน้อยจนชวนจั๊กจี้ ไม่ทันไรมือของอีกฝ่ายที่คล้องอยู่แถวเอวก็เริ่มเลื้อยไปแถวๆ สีข้าง

     ‘อินทร์ โอ๊ย... หยุด! ฮ่าๆๆๆๆๆ’ 

     มือของผมปัดป่ายไปทั่วเมื่ออีกฝ่ายใช้นิ้วจั๊กจี้ขึ้นมา ให้ตาย เจ้าหมอนี่ขี้แกล้งกว่าทุกคนเห็นเยอะ ยิ่งมันรู้ว่าผมเป็นคนบ้าจี้บริเวณเอวมันยิ่งชอบแกล้ง ผมพยายามจะหยุดมันด้วยการรวบมือของมันไว้ทั้งสองข้าง แม้อินทร์จะแรงเยอะแต่ตัวก็ยังคงผอมแห้งสมฉายาอยู่ ดังนั้นผมจึงรวบแขนมันได้อย่างรวดเร็วหลังจากสู้กันอยู่บนเตียงไม่นาน

     ทั้งผมทั้งอินทร์หยุดชะงักตอนมือของผมรวบแขนสองข้างของมันไว้ ตัวมันลอยขึ้นมานิดหน่อยและพวกเรากำลังสบตากัน

     ‘…’
   
     มันเหมือนหนังรักสักเรื่องที่พวกเราต่างมองหน้ากันแล้วค่อยๆ เข้าหากันเหมือนมีแรงดึงดูด ผมไม่มั่นใจว่าผมก้มลงหามันฝ่ายเดียวหรือเปล่า แต่ผมคิดว่ามันเองก็ขยับกายขึ้นมาเหมือนกัน ผมมองตามัน ไล่สายตาไปจนจรดที่ริมฝีปากก่อนที่จะย้อนกลับมามองตามันอีกครั้ง อินทร์ผลุบตาลงต่ำแล้วจึงเหลือบขึ้นมามองตาผมเหมือนกัน มันมองผม...ที่กำลังปรากฎบนดวงตาสีเข้มของมัน ก่อนที่จะพยักหน้านิดหน่อย

        ผมคิดว่านั่นคือคำอนุญาต และเป็นผมเองที่เริ่มขยับกายโน้มใบหน้าลงเข้าใกล้มันก่อนจนริมฝีปากของเราสัมผัสกันอย่างแผ่วเบาเป็นครั้งแรก

     เราต่างไม่ประสีประสา ความรู้สึกเหมือนเอาปากตัวเองไปแตะเยลลี่และค่อยๆ ไล้ลิ้นลงไปบนรูปร่างของมัน พวกเราเหมือนเด็กที่อยากลองขนมรสใหม่... มันทุลักทุเลแต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าอยากจะสัมผัสมากกว่านี้

     ‘…’

     ไม่นานนักพวกเราก็ผละออกจากกันอย่างอ่อยอิ่ง ก่อนที่เราจะมองตากัน แม้ใบหน้าอินทร์จะไม่ได้แดงแต่หูของมันแดงเถือก จังหวะนั้นเองที่ผมถือวิสาสะก้มลงไปพูดกับมันด้วยน้ำเสียงติดสั่นเล็กน้อย

     ‘อีกครั้งได้ไหม’

     น่าแปลกที่มันไม่ได้ปฏิเสธ

     

     ไม่มีใครคิดว่าอีกสิบปีต่อมาผมจะได้กำมือมันไว้แน่นเหมือนกับที่เคยทำในครั้งแรก

     “ว่ายังไง” ผมเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “ลองดูไหมล่ะ คุณกชอินทร์” ย้ำชื่อที่มันต้องการให้ผมเรียกด้วยน้ำเสียงประชดประชัน มองคนตรงหน้าที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงทางสีหน้า

     แววตาอีกฝ่ายยังมองผมด้วยความเฉยชาเพียงแต่ถ้าจ้องลงไป... ลึกในแววตานั้นกลับสั่นไหวอยู่...

     “ถอย” กชอินทร์พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด “ถอยไปเดี๋ยวนี้ คุณพีรพัฒน์”

     ผมไม่ได้ตอบอะไร ออกแรงกำมือของอีกฝ่ายให้แรงมากขึ้น แต่ถึงกระนั้นอินทร์ก็ยังไม่แสดงอาการใดๆ

     “คุณพีรพัฒน์”

     ...อย่าเรียก

     “จำได้ไหม” นั่นเป็นคำถามแรกที่หลุดออกจากปากหลังจากผมคลำหาเสียงของตนเองเจอ “ว่าตอนนั้น... เราจูบกันยังไง” ผมว่าพลางก้าวขาเดิน ส่งผลให้อีกฝ่ายถอยหนีจนหลังแทบจะชนกับประตูห้อง “จูบกันไปกี่ครั้ง”

     “ไม่”

     “อย่าโกหก!”

     อีกฝ่ายสะดุ้งเล็กน้อยก่อนที่จะสูดลมหายใจเข้าลึก “ไม่ ถอยออกไปเดี๋ยวนี้คุณพีรพัฒน์”

     “คุณจำได้” ผมเค้นยิ้มออกมาทั้งๆ ที่ในใจไม่ได้ยิ้มไปด้วยแม้แต่น้อย “เพราะงั้นเลยไม่อยากเข้ามาในห้องนี้สินะ”

     “ไม่!” กชอินทร์เริ่มขึ้นเสียงใส่ผมบ้างแล้ว “ถอยออกไปเดี๋ยวนี้!”

     มันไม่ว่าเปล่าและยังพยายามสะบัดแขนออกจากการคุกคามของผม เพียงแต่ผมยิ่งเพิ่มแรงมากขึ้น รอบนี้มันแสดงสีหน้าออกมาว่าเจ็บปวด นั่นทำให้ผมยิ่งยิ้มออกมา

     “อินทร์...”

     “ถอยออกไป!”

     ตึง!

     ผมดันมันเข้าประตูห้องตัวเองเต็มแรง อีกฝ่ายถึงกับร้องออกมาเบาๆ ก่อนที่ผมจะเลื่อนมือไปที่ลำคอของอีกฝ่าย คอมันเล็กนิดเดียว...แบบที่ผมกำได้เกือบครบวง แทรกเข่าตัวเองไว้ระหว่างขาสองข้างของมันให้มันหนีไปไหนไม่ได้

     “ถ้าอยาก...” เสียงแหบแห้งของมันเอ่ยออกมาแผ่วเบา “ถ้าอยากทำร้ายผมก็เชิญเลย...”

     ผมหยุดชะงักกับคำพูดนั้น

     แววตาของมันมองผมอย่างแน่วแน่ ไม่ผละสายตาไปไหน ริมฝีปากของมันเม้มเข้าหากันปิดแน่นสนิท ใบหน้าของมันเชิดขึ้นเล็กน้อยมองผมด้วยทีท่าไม่ยอมใคร และคงจะไม่ยอมให้ใครง่ายๆ

     “เอาสิ”

     “...” ผมกัดฟันแน่นเมื่อมันท้าทายผมอีกหน

     เราสองคนถูกความเงียบและบรรยากาศกดดันปกคลุม มันมองหน้าผมไม่ยอมละสายตาไปไหนและผมเองก็ทำแบบเดียวกัน ผมรู้สึกเหมือนระยะเวลามันผ่านไปนานพอสมควรกว่าที่เราจะขยับ

     ...และผมค่อยๆ คลายมือที่จับมันไว้ออก

     กชอินทร์ไม่ขยับไปไหน มันรอจนผมถอยออกมาก้าวหนึ่งจึงขยับตัว อีกฝ่ายใช้มือจับไปบนลำคอของตัวเองที่เมื่อกี้ถูกผมจับไว้แม้จะไม่ได้ออกแรงอะไร ก่อนที่มันจะกำมือสองข้างแน่น

     “ผมขอตัว” คนตัวเล็กกว่าว่าเช่นนั้นก่อนที่จะคว้ากระเป๋าย่ามของตนเอง “กรุณาส่งงานของคุณมาให้ผมภายในหกโมงเย็นด้วย”

     “...”

     “และช่วยเปิดโทรศัพท์ด้วย” มันว่าเช่นนั้นก่อนที่จะเดินออกไปจากห้อง ปิดประตูลงอย่างแผ่วเบา ปล่อยให้ผมยืนอยู่ที่เดิมคนเดียวโดยไม่ขยับไปไหนเลยแม้แต่น้อย

     นานทีเดียวกว่าผมจะมีแรงขยับตัว ย้ายร่างตัวเองไปทิ้งตัวบนเตียงและเอาใบหน้าซุกบนนั้น

     “แม่ง!” สบถอย่างหัวเสียและทุบลงบนเตียงแรงๆ ถ้าเป็นผนังกระดูกผมคงร้าวไปแล้ว

     ‘ถ้าอยากทำร้ายผมก็เชิญเลย…’

     อินทร์รู้... รู้ว่าต้องใช้คำพูดแบบไหนมาหยุดผม มันท้าทายเพื่อให้คนขี้ขลาดที่ไม่กล้าแม้แต่จะถามมันเมื่อสิบปีก่อนรู้สึกกลัว และมันก็รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ผมกลัวมากที่สุด

     กลัวที่จะทำร้ายมัน...

     ผมกัดฟันแน่น ยิ่งหลับตายิ่งเห็นใบหน้ามันตอนนี้ซ้อนทับกับในอดีต ยิ่งห้องเงียบเท่าไหร่ยิ่งได้ยินเสียงของมันที่เคยหัวเราะแทรกด้วยน้ำเสียงเย็นชาของมันในตอนนี้

     ในหัวสมองผมคิดถึงแต่เรื่องของกชอินทร์ และผมไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรมันถึงจะออกไปจากตรงนี้

     ...ถ้าผมรู้...มันคงไม่ค้างคาอยู่ในใจผมตั้งแต่สิบปีที่แล้วจนถึงทุกวันนี้



     “เฮียยยยย”
   
     ผมผงะเล็กน้อยเมื่อจู่ๆ เห็นหัวโล้นๆ ของลูกจ้างตัวเองโผล่เข้ามาตรงหน้า “ทำอะไรของเอ็ง เอาอาหารไปเสิร์ฟเขาเร็ว” แกล้งกลบเกลื่อนด้วยการส่งงานมัน

        เก้ขมวดคิ้ว “โหยย ทำไมต้องดุผมด้วยอ่ะเฮีย” มันทำเสียงกระเง้ากระงอดได้อ้อนอวัยวะเบื้องล่างมากจริงๆ

        “หุบปากไป ว่างงานแล้วก็ไปหาอะไรทำ” ผมว่าพลางเอามือปัดไปมาตรงหน้า

        “ผมว่าเฮียไปนอนก็ได้มั้ง เพิ่งส่งงานเหรอ ตรงนี้ผมกับคนอื่นจัดการกันสบายๆ”

        คำพูดของมันทำให้ผมนิ่งไปเล็กน้อย ก็จริง... เพิ่งจะส่งอีเมล์แนบไฟล์บทความที่เขียนให้ทางสำนักพิมพ์เมื่อเกือบชั่วโมงก่อน (หกโมงเป๊ะพอดี ไม่ขาดไม่เกิน) ตั้งใจจะโผล่หน้าเข้ามาให้ไอ้เก้และลูกน้องคนอื่นๆ เห็นว่ายังไม่หายไปไหนและตรวจความเรียบร้อยเพียงเดี๋ยวเดียวแต่กลายเป็นมาช่วยงานครัวได้อย่างไรไม่รู้ จนตอนนี้เริ่มว่างแล้ว ลูกค้าไม่ได้เข้ามาเพิ่มเท่าไหร่ สองทุ่มเศษๆ แบบนี้ส่วนใหญ่จะนั่งยาวกันหมดแล้ว

        “นั่นสิเฮีย” พ่อครัวที่ผมจ้างทำงานประจำก็พยักหน้า “ไม่ค่อยมีงานอะไรแล้วด้วย เฮียไปพักก็ได้นะ”

        ในร้านนี้เรียกผมว่าเฮียกันหมดแหละ... แม้ว่าจริงๆ แล้วพ่อครัวจะอายุมากกว่าแต่ลูกจ้างส่วนใหญ่มักเป็นพนักงานพาร์ทไทม์เลยเป็นเด็กมหา’ ลัยอายุน้อยเสียมากกว่า

        “เหรอ” ผมพยักหน้า “งั้นดูแลร้านดีๆ ล่ะ” ผมกำชับอย่างดิบดีก่อนที่จะเดินออกมาทางหลังร้าน ลัดเลาะไปจนถึงบ้านของตัวเอง
     
        ผมถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย ทันทีที่กลับมาอยู่คนเดียวก็พลันคิดไปถึงคนที่ต้องคอยกำกับดูแลงานเขียนของตัวเองหลังจากนี้เป็นต้นไปจนต้องส่ายหน้าแรงๆ และไล่อีกฝ่ายไปจากความคิดเสียที

        ผมพยายามสงบสติอารมณ์ของตัวเอง เดินไปหยิบมือถือที่ไม่ได้เปิดเครื่องมาร่วมสามวันดูก่อนที่จะเลิกคิ้วกับสิ่งที่เจอ

        เบอร์ที่ไม่คุ้นโทรเข้ามาหาผมร่วมยี่สิบสาย

        ผมสูดลมหายใจลึกโดยไม่รู้ตัว... ผมคิดออกเพียงคนเดียวที่จะโทรหาผมมากมายขนาดนี้ในระยะเวลาสามวัน ในขณะที่ผมกำลังชั่งใจว่าจะกดโทรออก บันทึกรายชื่อ ปล่อยมันไว้เฉยๆ หรือลบมันทิ้งโทรศัพท์ของผมก็สั่นเพราะว่ามีสายเข้า

        ‘กานต์’

        ผมเลิกคิ้วกับชื่อที่ขึ้นว่าโทรเข้ามาก่อนที่จะกดรับสาย “ว่าไง”

        “พี่พีท~” น้ำเสียงระรื่นดังขึ้นทันทีที่ผมรับโทรศัพท์

        ผมเบ้ปาก “อะไร อยากได้อะไร”

        “เปล่าสักหน่อย” ปลายสายทำเสียงอ่อยอย่างออดอ้อน น้ำเสียงแหบของอีกคนถือเป็นเสียงที่ค่อนข้างจะน่าฟังสำหรับผม...เวลาอยู่บนเตียง “ออกมาดื่มกันไหม”

        “ทำไมถึงชวนพี่” ผมหัวเราะในลำคอเบาๆ “ร้อยวันพันปีไม่เห็นชวน”

        “ก็ตอนนั้นมีแฟน ตอนนี้ไม่มีแล้ว”

     คำตอบของมันทำให้ผมเลิกคิ้วเล็กน้อย รู้สึกแปลกใจจนอดไม่ได้ที่จะถาม “เลิกนานรึยัง”

     “สองอาทิตย์แล้วล่ะมั้ง” กานต์ตอบกลับมา ยังพอได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอจากอีกคน “ไม่มาดื่มกันหน่อยเหรอ ไม่ได้เจอกันสักพักแล้วนะ”

     “มะ...”

     คำว่า ‘ไม่’ ถูกกลืนลงคอเมื่อผมคิดถึงภาพใครบางคนที่เพิ่งจะเดินออกจากห้องของผมไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน ผมนิ่งไปชั่วครู่ หลับตาลง เห็นแต่ภาพของกชอินทร์ตอนที่มองผมด้วยแววตาเฉยชา ราบเรียบ ราวกับว่าผมไม่ใช่บุคคลที่มีอิทธิพลใดต่อชีวิตมัน

     “จะไม่มาเหรอ” น้ำเสียงกระเง้ากระงอดของอีกฝ่ายทำให้ผมได้สติ

     “ไปก็ได้” ผมเอ่ยปากออกมาในที่สุด “นัดมาเลย ร้านไหนล่ะ”

     อีกฝ่ายจัดการบอกร้านให้เสร็จสรรพ ร้านประจำของน้องที่ชอบไปเวลานัดเจอผมหรือหนุ่มๆ คนไหนที่มันคั่วอยู่ด้วย หลังจากจัดแจงนัดเวลาและสถานที่เรียบร้อยผมจึงเดินไปหยิบกุญแจรถ ล็อคบ้าน โผล่หน้าไปที่ร้านอีกครั้นหนึ่งเพื่อกำชับพนักงานให้ดูแลร้านดีๆ โดยเฉพาะไอ้เก้ ให้จัดการปิดร้านให้เรียบร้อยเพราะผมจะไม่มาดูแลซ้ำสอง

     ก็นะ... ได้ไปเจอน้องกานต์ที... สงสัยคืนนี้คงไม่ได้กลับบ้านหรอก



-----------------------------------------
มาดูกันเถอะว่าน้องกานต์นี่คือใคร... ฮุฮุฮุ
พีทจะค่อยๆ คายความลับออกมาให้ทุกคนได้รู้
อันที่จริงมันก็ไม่เชิงความลับหรอกนะ แค่พูดไม่หมดเท่านั้นเอง

ปล. การแต่งนิยายที่ให้คนอ่านเดาตำแหน่งบน-ล่างของตัวเอกไม่ได้นี่สนุกจังค่ะ  :katai3:
ปล. 2 Single Papa วางขายแล้วนะคะ ใครสอยมาแล้วบอกหน่อยว่าเป็นยังไง!
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 3 (5/03/15)
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 05-03-2015 19:51:23
เดาว่ากานต์ไม่ใช่กิ๊ก ล่ะมั้ง

เดาอีกว่าพีทเป็นเมะ (มีลางสังเห่าว่าจะถูก  :really2:)


ยังสงสัยอยู่ค่ะว่าตกลงทำไมอินทร์กับพีทถึงเลิกคุยกัน ใครไปได้ยินข่าวลืออะไรมาหรือยังไง?
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 3 (5/03/15)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 05-03-2015 21:06:18
รออ่านสิ่งที่บอกไม่หมด ตกลงเกิดอะไรขึ้นกันแน่
เป็นกำลังใจให้คนเขียนจ๊ะ
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 3 (5/03/15)
เริ่มหัวข้อโดย: lnudeel ที่ 05-03-2015 22:07:10
พีทดูทำตัวกำกวมอะ :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 3 (5/03/15)
เริ่มหัวข้อโดย: สายลมที่หวังดี ที่ 06-03-2015 12:07:54
อิฉันยังอยากรู้ว่าทำไมสองคนถึงเลิกคุยกัน ต้องรอติดตามตอนต่อไป ค้างฝุดๆ :ling2:
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 4 (9/03/15)
เริ่มหัวข้อโดย: NINEWNN ที่ 09-03-2015 17:08:50
(http://upic.me/i/ak/timeticket_.jpg)

CHAPTER 4

“Everytime I try to fly, I fall without my wings
I feel so small”

(Everytime – Britney Spears)




     กานต์รู้ว่าผมไม่ชอบสถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยแสงสีเสียงและผู้คน เพราะแบบนั้นน้องเลยนัดผมมาที่ร้านเหล้าแนวโรงเบียร์นอกเล็กๆ แห่งหนึ่ง

     “กี่ท่านครับ”

     “น้องนัดไว้แล้วครับ” ผมพยักหน้าให้บริกรที่เข้ามาตอนรับอย่างดี

     กวาดสายตาไม่นานก็เจอร่างผอมบางระดับมาตรฐานชายไทยนั่งอยู่ที่เคาท์เตอร์มุมหนึ่งของร้าน กานต์นั่งจิบเบียร์ มองไปหยั่งเวทีที่มีนักดนตรีมาเล่นเพลง Acoustic คลอเบาๆ ให้เข้ากับบรรยากาศ จนผมเดินเข้าไปใกล้นั่นแหละน้องถึงหันมามองและยิ้มออกมาบางๆ

     “คิดถึงพี่พีทจังเลย”

     ผมหรี่ตา “ตอแหลเก่งนะเราเนี่ย” น้องหัวเราะเบาๆ ไม่ได้ปฏิเสธ อาจจะเป็นเพราะรู้ตัวอยู่แล้วว่าถึงปฏิเสธมาผมก็ไม่เชื่อ เอาเถอะ... อย่างน้อยน้องก็ซื่อตรงพอที่จะรู้ว่าพวกเราทั้งสองคนอยู่กันในสถานะอะไร

     ใบหน้าค่อนไปทางหวาน รูปร่างเล็ก ไม่ได้ออกอาการตุ้งติ้งให้เห็นแต่มองปุ๊บก็รู้ว่าไม่ใช่ผู้ชาย รวมถึงน้ำเสียงแหบเสน่ห์ที่มีเสน่ห์อย่างทวีคูณเวลาอยู่บนเตียงและเรื่องบนเตียงที่เข้ากันได้มากกว่าคนอื่นๆ กานต์ไม่จู้จี้จุกจิก ไม่ทำตัวเป็นเจ้าเข้าเจ้าของ อาจจะเป็นเพราะเจ้าตัวเองก็ไม่ผูกมัด ความสัมพันธ์ระหว่างเราเลยไปได้ดีในฐานะ... เซ็กส์เฟรนด์...

     “สั่งอะไรไหม”

     “เบียร์” ผมตอบไปตามจริง “สั่งแกล้มมาด้วยรึเปล่า”

     น้องส่ายหน้า ผมจึงหันไปมองพนักงานหญิงคนหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ นอกจากเบียร์แล้วก็สั่งแกล้มเพิ่มอีกหนึ่งอย่าง

     “วันนี้ดูอารมณ์ไม่ดีนะ” กานต์ว่าแบบนั้น ริมฝีปากเรียวยกยิ้มบาง มองผมซึ่งนั่งข้างๆ ด้วยแววตาวาวระยับ กานต์มีเสน่ห์...มาก ผมต้องยอมรับ แต่ผมก็ชินกับการปล่อยฟีโรโมนทุกจังหวะที่ขยับตัวของน้องแล้ว

     “เหรอ” ผมเค้นหัวเราะ “ไม่ เราเถอะ คิดจะนัดเจอพี่ตอนที่ยังเห็นแสงอาทิตย์บ้างไหม”

     น้องเลื่อนมือมาวางบนหน้าขาผมพลางเลิกคิ้วมองผม “ถ้านัดจะมาไหมล่ะ”

     “ถ้าว่างน่ะนะ” ผมจับมือของอีกฝ่ายออกไปวางบนโต๊ะ “อย่ารีบน่ะ”

     “อื้อฮึ... พี่พีทอารมณ์ไม่ดีจริงๆ ด้วย” ผมไม่รู้จะพูดอย่างไร ได้แต่พ่นลมหายใจออกอย่างหงุดหงิด เจ้าเด็กนี่นอกจากฟีโรโมนแรงแล้วคำพูดคำจายังดูเหมือนกับรู้ทุกอย่าง คนหรือสำนักข่าวกรองแห่งชาติก็ไม่รู้

     อารมณ์ไม่ดีเหรอ ถ้าเอาตรงๆ ก็ต้องยอมรับว่าใช่... ผมหงุดหงิด ยิ่งคิดว่าวันนี้เจออะไรมาก็ยิ่งหงุดหงิด นั่นอาจจะเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ผมตกลงจะมาเจอน้องวันนี้ กานต์มักจะทำให้ผมอารมณ์ดีได้แม้ว่าบางทีน้องจะชอบพูดจาเย้าแหย่จนทำให้อารมณ์เสียเพิ่มขึ้นก็ตาม

     ไม่นานเบียร์กับแกล้มก็เอามาเสิร์ฟ กานต์ไม่ได้พูดอะไรมาก สายตายังคงจับจ้องไปที่บนเวทีจนผมอดถามไม่ได้“ดูนายจะไม่ค่อยสนใจพี่เลยนะ”

     น้องหันมาเลิกคิ้ว “กานต์นึกว่าพี่รู้ซะอีกว่ากานต์ไม่เคยสนใจพี่ไปมากกว่าตอนอยู่บนเตียง”

     “แค่ก!” อดไม่ได้ที่จะต้องกระแอมไอ ในเมื่อจังหวะที่มันพูดออกมาเป็นตอนที่พนักงานคนหนึ่งเดินผ่านเราพอดี

     “จะมามัวอายอะไร”

     “รู้สึกว่าวันนี้จะกล้าผิดปกตินะ”

     น้องวางแก้วเบียร์อย่างแรงจนเกือบจะเป็นการกระแทก “ไม่ใช่แค่พี่พีทหรอกที่อารมณ์ไม่ดี กานต์ก็ไม่ได้มีความสุขมากหรอกนะ”

     ผมถอนหายใจเบาๆ เอื้อมมือไปลูบหัวมันด้วยความหมั่นเขี้ยว ใช่ว่าจะไม่เคยเจอเวลามันเป็นแบบนี้ แต่ผมก็อดไม่ได้ที่จะต้องถามมันเพื่อความแน่ใจ

     “เลิกแล้วแน่นะ?” น้องพยักหน้ารัว “นานรึยัง”

     “เกือบเดือน”

     “สาบานว่าที่ทำไม่ใช่การประชด”

     “พี่พีท...” กานต์เรียกชื่อผมด้วยน้ำเสียงแหบน้อยๆ นั่นก่อนที่จะไล้ปลายนิ้วบนต้นแขนผมเบาๆ “กานต์รู้ว่าข้อตกลงของเราคืออะไร ที่ผ่านมากานต์เคยเรียกพี่พีทเพราะอยากประชดด้วยเหรอ”

     คำตอบนั้นทำให้ผมได้แต่ยักไหล่ ต้องยอมรับว่ากานต์ไม่เคยทำแบบนั้นจริงๆ กานต์เคารพกฎของเรายิ่งกว่าอะไร คงเป็นเพราะน้องเองก็เป็นประเภทเดียวกับผม รักสนุก ชอบเรื่องบนเตียงแต่ไม่ได้ต้องการผูกมัดใครจริงจังจากเรื่องเหล่านี้ แม้ว่าผมจะเอ็นดูมันเหมือนกับน้องกับนุ่ง แต่ไม่ได้หมายความว่าผมกับน้องต้องการคบกันอย่างจริงจัง

     “เอาล่ะ” ผมถอนหายใจ “คืนนี้ที่ไหนดีล่ะ...”

     น้องไม่ได้ตอบอะไร ยกยิ้มบางประดับบนใบหน้านั่นและยักคิ้วให้ผมเล็กน้อย



     หลังจากดื่มกันอยู่ที่ร้านอยู่ชั่วโมงกว่าจนเริ่มรู้สึกกรึ่มๆ กันทั้งคู่พวกเราก็ออกมา ตกลงเลือกโรงแรมข้างทางที่สภาพดีหน่อย ตามใจน้องเขา... เด็กคุณหนูเอาใจยาก

     “พรุ่งนี้พี่พีทต้องไปทำงานรึเปล่า”

     “วันเสาร์ ถึงวันอื่นพี่ก็ว่างให้อยู่แล้ว”

     ผมตอบไปตามจริงตอนที่เราเข้ากันมาในห้องแล้ว ไม่กว้างเท่าไหร่...แต่เตียงก็ใหญ่ใช้ได้

     กานต์เขย่งตัวเล็กน้อย จุมพิตลงที่ข้างแก้มผมเบาๆ “ปากหวาน”

     ผมเค้นยิ้ม ไม่ได้พูดอะไรก่อนที่น้องจะขอปลีกตัวไปล้างตัว ไม่วายที่จะหันมากยกยิ้มยั่วยวน เจ้าเด็กนี่ช่างมีท่าทีแก่แดดแก่ลมผิดกับรูปร่างและหน้าตาที่เหมือนเด็กวัยมหา’ ลัยเสียเหลือเกิน

     ผมปล่อยให้น้องทำธุระของน้องไปและกดดูอะไรต่างๆ นานาในโทรศัพท์ไปอย่างเรื่อยเปื่อย ผมกดเปิดไลน์ก่อนที่จะรู้สึกแปลกใจกับข้อความบางอย่างที่เพิ่งส่งมาล่าสุด

     ‘ผมตรวจงานของคุณแล้ว ผ่าน’

     ผมกดออกโดยไม่ลังเล ไม่คิดจะตอบอะไรไปทั้งนั้น อารมณ์ต่างๆ ที่เริ่มจะดีขึ้นมาแล้วดิ่งลงเหวในพริบตา

     ห่วยแตก ห่วยแตก ห่วยแตก... ผมไม่ควรกดเข้าไปในนั้นเลย

     ผมกำลังจะโยนโทรศัพท์ไปอีกทางด้วยความหงุดหงิดใจแต่จังหวะนั้นเองที่โทรศัพท์ของผมสั่น ผมขมวดคิ้วมุ่น อ่านหน้าจอที่ไม่ขึ้นว่าใครเป็นคนโทรมาทำให้ผมรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ผมลังเลอยู่ชั่วอึดใจว่าจะรับดีหรือไม่แต่สุดท้ายก็กดรับอย่างเสียไม่ได้เมื่อคิดว่าถ้าหากเป็นเรื่องสำคัญขึ้นมา

     “สวัสดีครับ”

     “คุณพีรพัฒน์”

     และในวินาทีต่อมาผมก็แทบจะเขวี้ยงโทรศัพท์ทิ้งจริงๆ

     ผมไม่รู้จะตอบอะไรไปดี เสียงทุ้มจากปลายสายก็พูดมาอย่างรวดเร็ว “ผมจะบอกว่าบทความที่คุณส่งมาวันนี้ผ่านแล้ว”

     “โทรมาแค่...”

     “เวลาคนพูด คนมีมารยาทจะรู้จักฟังและไม่พูดแทรก” น้ำเสียงของมันตอบโต้ด้วยความเรียบเฉยแต่วาจารุนแรงไม่ใช่น้อย นั่นยิ่งทำให้ผมหงุดหงิด “บทความคุณผ่านก็จริง แต่ผมขอตำหนิคุณตรงนี้เลย คุณควรมีความรับผิดชอบมากกว่านี้ หนึ่ง รับหัวข้อบทความไปแล้วคุณควรเริ่มเขียนเลย ไม่ใช่ทำงานชักช้า มานั่งปั่นเอาวินาทีสุดท้าย”

     “ผม...”

     “สอง คุณควรจะทำตัวให้ติดต่อง่ายกว่านี้ ถ้ามีเรื่องด่วนขึ้นมาจริงๆ คุณจะทำอย่างไร”

     ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ มันไม่เปิดโอกาสให้ผมพูดใดๆ เลยทั้งสิ้น จะกดวาง... ให้ตาย ผมต้องยอมรับจากใจว่าผมก็ไม่กล้า อันที่จริงลึกๆ ในใจของผมกำลังร้องออกมาว่า...อยากจะได้ยินเสียงของมันให้นานกว่านี้เสียหน่อย

     “สาม ต่อให้คุณไม่ชอบขี้หน้าผมแค่ไหน ผมก็คือผู้รับผิดชอบงานของคุณ และผมคงจะต้องรับผิดชอบงานของคุณไปอีกนาน เลิกทำตัวเป็นเด็กมีปัญหาได้แล้ว”

     “...”

     “คุณพีรพัฒน์”

     “อะ...ไร” ผมเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แห้งเล็กน้อย

     “ผมโทรมาเพื่อจะ...”

     “พี่พีท!” เสียงตะโกนของกานต์ดังขึ้นมาจากห้องน้ำ “คุยกับกานต์รึเปล่า”

     ผมเงยหน้าขึ้นก่อนที่จะเดินเข้าไปใกล้ประตูนั้นเพื่อบอกว่าไม่ และหันมาสนใจกับโทรศัพท์อีกครั้งหนึ่ง “คุณว่าอะไรนะ”

     “ผมโทรมาเพื่อที่จะถามว่าคุณว่างในวันที่ 21 - 23 นี้ไหม”

     ผมกลอกตา “เกี่ยวอะไรกับคุณ”

     “ทางสำนักพิมพ์จะจัดงานแจกลายเซ็นให้คุณ เลือกมาสักวัน 21,22 หรือ 23”

     “ผม...” จะตอบไปว่าสามารถปลีกตัวได้ทุกวันอยู่แล้ว ไม่มีงานประจำก็งี้แหละ แต่จังหวะที่ผมจะตอบเสียงดังตึงก็ดังขึ้นมาก่อน

     “โอ๊ยยยย” ตามมาด้วยเสียงโอดครวญจากในห้องน้ำ

     ผมกลอกตาและถอนหายใจ ให้ตาย... น้องล้มในห้องน้ำรึยังไงกัน โตเป็นควายแล้วแท้ๆ นะ

     “เดี๋ยวผมมา ถือสายรอสักแป๊บหนึ่งได้ไหม” ผมว่าอย่างเร่งรีบก่อนที่จะรีบวางโทรศัพท์ไว้ที่หัวเตียง ก้าวยาวๆ ไปเปิดประตูห้องน้ำอย่างถือวิสาสะ “กานต์ เป็นอะไรรึเปล่า”

     พอเปิดประตูไปกลายเป็นคนในห้องน้ำกลับโถมตัวใส่ผมอย่างรุนแรง กานต์บดเบียดริมฝีปากเข้าหาตำแหน่งเดียวกันของผมด้วยความร้อนแรง เสียงเฉอะแฉะดังจากริมฝีปากของสองเราอย่างลามก ก่อนที่อีกฝ่ายจะผละใบหน้าไปอย่างอ่อยอิ่งและยกยิ้มยั่วให้ผมรู้ทันทีว่าเสียงโอดครวญเมื่อกี้ไม่ใช่เรื่องจริงจัง

     เจ้าเด็กนี่...

     กานต์ไม่ปล่อยให้ริมฝีปากพวกเราห่างกันนาน ปากเล็กนั่นกดลงมาใหม่พร้อมกับมือบางที่เริ่มอยู่ไม่ซุก ร่างเล็กรุกไล่ผมให้ถอยหลังจนล้มลงกับเตียงในเวลาไม่นานนัก

     “ตลกไหมเนี่ย” ผมประชดเบาๆ ในจังหวะที่ปากเราผละออกจากกันอีกครั้ง

     คนที่อยู่ข้างบนไล้ปลายนิ้วลงบนสาบเสื้อของผมด้วยทีท่าที่ยากจะละสายตา “เพิ่มความตื่นเต้นไงพี่พีท... ไม่ได้เจอกันนานก็กลัวว่าจะเบื่อบ้าง” เสียงแหบเสน่ห์นั้นดังอยู่ข้างๆ หูก่อนที่จะเป่าลมเข้าในหู

     ผมเค้นยิ้มกับคนรู้งาน เลื่อนมือตนเองไปจับที่เอวของอีกฝ่ายไล้ให้ต่ำกว่านั้นและบีบมันเบาๆ ให้อีกฝ่ายครางในลำคอด้วยความพึงพอใจ เราเริ่มโรมรันกันจนกดเสียงสาบเสื้อค่อยๆ ถูกปลดออก และเสียงเฉอะแฉะที่แสนลามกให้ได้ยินในห้องแคบๆ จังหวะหนึ่งที่ผมเหลือบตาไปมองโทรศัพท์ของตนเองที่ถูกคว่ำไว้ก่อนที่จะปล่อยให้มันผ่านไปอย่างไม่ใส่ใจอะไร

     เสียงดังพอที่จะทำให้ปลายสายรู้ว่าผมกำลังทำอะไร...และกชอินทร์ไม่ใช่คนที่มีความอดทนมากพอกับมันหรอก

     

     “พี่พีท... พี่พีท!” เสียงครวญครางอย่างสุขสมของกานต์ดังลั่นจนผมนึกตกใจเมื่อเรื่องของเรากำลังดำเนินถึงจุดสิ้นสุดครั้งที่สอง ร่างเล็กของอีกฝ่ายกระตุกเล็กน้อย หลั่งความสุขออกมาจนเปื้อนหน้าท้องของผมไปหมดซึ่งมันก็ไม่ได้ต่างกับผมเท่าไหร่นัก
     
     คนใต้ร่างนอนนิ่งไปชั่วครู่ก่อนที่จะส่งเสียงในลำคอเล็กน้อยยามผมถอนกายออกมา ผมกดจูบเบาๆ ที่ต้นคออีกฝ่ายพลางดึงวัตถุยืดหยุ่นสูงผิวเรียบออกมาและลุกขึ้นไปโยนมันทิ้งที่ถังขยะก่อนที่จะกลับมาทิ้งกายบนเตียงนุ่มใหม่อีกครั้ง

     คนตัวเล็กพลิกกายขึ้นมานอนตะแคง เอาแขนเล็กคล้องเอวผมอย่างเอาอกเอาใจ “จริงๆ กานต์คิดถึงพี่พีทนะ... ไม่ใช่ในแง่นั้น หมายถึง... เรื่องแบบนี้ของพี่พีทน่ะ” กานต์หัวเราะคิกคัก

     “รู้น่ะ” ผมลูบแก้มนวลของอีกฝ่ายเบาๆ
   
     ความสัมพันธ์ของผมกับกานต์คืออะไรที่เป็นอิสระต่อกัน ต่างฝ่ายต่างระบายความใคร่ซึ่งไม่เคยเจือไปด้วยความรัก เราไม่เคยกอดจูบหรือสัมผัสกันในสถานที่อื่นนอกจากเตียง (อาจจะมีโซฟาหรือบนรถ แต่ช่วยข้ามๆ มันไปเถอะ) และเพราะเราตกลงที่จะให้ความสัมพันธ์เราเป็นแบบนี้ ทุกอย่างจึงหยุดเมื่อใครสักคนมีแฟน ทั้งผมทั้งน้องไม่ใช่คนดีมาก แต่อย่างน้อยๆ ก็ไม่อยากจะทำบาปกันเท่าไหร่หรอก

        “พี่พีทไม่มีใครใช่ไหมตอนนี้”

        “ไม่” ผมตอบปฏิเสธอย่างเต็มปากเต็มคำ

        “โสดนานไปแล้ว” น้องว่ายิ้มๆ แน่สิ... กานต์ไม่โสดบ่อยมาก แต่เวลาคบกับใครก็สั้นๆ ทั้งนั้น มีแค่คนเดียวที่กานต์คบนาน ตอนนั้นเราห่างกันไปตั้งเกือบปี “ไม่เหงาเหรอ”

        “อยากให้ตอบอะไรล่ะ...”

        “ให้แนะนำสักคนไหม” น้องเริ่มทำตัวเป็นพ่อสื่อ ผมส่ายหน้าแบบไม่ต้องคิดอะไรมาก “พี่พีทเนี่ยไม่ค่อยมีใครเลยเนอะ คนสนใจออกจะเยอะแท้ๆ”

        “ยุ่งน่ะ” ผมผลักหัวอีกฝ่ายด้วยความหมั่นเขี้ยว

        “คนแบบนี้มีสองประเภท ถ้าไม่ใช่คนที่รักตัวเองมากๆ ก็คงจะเป็นคนที่เคยรักใครมาก...” น้องว่าเช่นนั้น น้ำเสียงประโยคสุดท้ายคล้ายจะไม่ได้พูดกับผมก่อนที่จะค่อยๆ ดันกายขึ้น ไม่ลืมที่จะก้มลงจูบเบาๆ ที่แก้มของผม “ขอกานต์ไปล้างตัวอีกรอบก่อนนะ”

        “เชิญเลย” ผมว่าอย่างไม่ใส่ใจอะไรมากนัก

        กานต์ลุกขึ้นเดินไปห้องน้ำด้วยร่างเปลือยเปล่าแต่ระหว่างเราไม่ใช่คนที่ต้องมานั่งเขินอายกันแล้ว

        ผมลอบถอนหายใจกับคำพูดนั้น ไม่รู้กานต์พูดขึ้นมาเล่นๆ หรืออย่างไร แต่ต้องยอมรับว่ามันมีอิทธิพลกับผม

        ‘ถ้าไม่ใช่คนที่รักตัวเองมากๆ ก็คงจะเป็นคนที่เคยรักใครมาก’ อย่างงั้นหรือ? ผมอยู่ในประเภทไหนกันล่ะ...

        ผมไม่อยากจะหาคำตอบ อาจจะเป็นเพราะคำตอบเหล่านั้นชัดเจนอยู่ในใจแต่ผมไม่อยากจะยอมรับ ผมดันกายขึ้น คว้าโทรศัพท์ของตัวเองที่วางบริเวณหัวเตียง

        สายถูกตัดไปแล้ว แหงล่ะ... นั่นไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ผมแปลกใจเท่าไหร่หรอก

        ผมมองนาฬิกา ดึกเกินไปแล้วแต่ผมพูดเองว่าเดี๋ยวจะค่อยบอกทีหลัง ควรโทรไปรึเปล่านะ... เพิ่งจะโดนด่าเรื่องความรับผิดชอบมาด้วยสิ ผมเค้นยิ้มก่อนที่จะกดเข้าไปที่ข้อมูลการโทรล่าสุด และสิ่งที่ผมเห็นทำให้ผมขมวดคิ้วอย่างงุนงง กับมองตัวเลขที่บ่งบอกเวลาของการโทรศัพท์ล่าสุด

        24 นาที...? เป็นไปไม่ได้น่า คนอย่างอินทร์จะทนฟัง...อะไรพรรค์นี้ถึงเกือบครึ่งชั่วโมงเชียวหรือ?

        ได้ยินเสียงของพวกเราทำอะไรอย่างนั้นกันถึงเกือบครึ่งชั่วโมงเชียวเหรอ

        ผมกลืนน้ำลายอย่างลืมตัว ไม่คิดว่ามันจะถือสายนานขนาดนั้น พอเห็นว่าเป็นเช่นนี้แล้วผมอดไม่ได้ที่จะกดโทรออกหาอีกฝ่ายทันที

        “เสร็จแล้วหรือ”

        “...” คำถามแรกที่ดังขึ้นจากปลายสายทำให้ผมรู้สึกหายใจไม่ค่อยออก น้ำเสียงของมันแสดงความเย้ยหยัน ประชดประชันเต็มที่ “ทำไมถึงไม่วาง”

        “แล้วหมาตัวไหนบอกผมว่าถือสายไว้แป๊บหนึ่ง จะทำธุระ”

        ผมรู้สึกเหมือนกับมีน้ำเย็นสาดเข้าใบหน้าอย่างแรงจนชาไปทั่วร่าง “ผมไม่ได้ตั้งใจ...”

        “มีความสุขมากนี่” ปลายสายพูดด้วยน้ำเสียงประชดประชัน “แล้วคุณตอบผมได้รึยังว่าคุณว่างวันที่เท่าไหร่”

        “ผม... ว่างทุกวัน” แต่ละคำพูดเอ่ยออกมาอย่างยากลำบาก ผมรู้สึกเหมือนคลำหาเสียงตัวเองไม่เจอ

        ได้ยินเสียงปลายสายพ่นลมหายใจอย่างแรง “พูดแค่นี้ก่อนหน้านี้ก็จบแล้ว คุณพีรพัฒน์” ผมกัดฟันแน่น “แค่นี้นะ เผื่อพวกคุณอยากจะต่อกันอีกยก”

     กชอินทร์ไม่วายประชดประชันอีกประโยคก่อนที่จะกดตัดสาย ปล่อยให้ผมโยนโทรศัพท์ของตนไว้บนเตียงด้วยความหงุดหงิดระคนรู้สึกผิด ความรู้สึกอับอายและโกรธแค้นปะปนกันมั่วไปหมดอย่างไร้สาเหตุ

     ผมคิดถึงคำพูดของกานต์เมื่อกี้อีกครั้ง

     ‘ถ้าไม่ใช่คนที่รักตัวเองมากๆ ก็คงจะเป็นคนที่เคยรักใครมาก’

     ผมรู้ว่าผมเป็นคนประเภทหลัง...และผมก็รู้ว่าคนที่ทำให้ผม ‘เคยรักมาก’ คือใคร... และนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมหงุดหงิด คำพูดประชดประชันด้วยน้ำเสียงราบเรียบเหมือนไม่สนใจผมเลยทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิด 

     เพราะมันเหมือนว่าผมไม่มีค่าใดๆ ในความคิดมันเลย





----------------------------------------------------
อนุญาตให้ด่าพีทกันได้เต็มที่
แต่คิดไปคิดมา... อินทร์ก็ปากคอเราะร้ายจนน่าด่าเหมือนกันนะ 5555
ปล. พระเอกเค้าไม่ได้ไร้น้ำยาเหมือนฟ้าครามทุกคนน้า  :katai5:
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 4 (9/03/15)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 09-03-2015 19:04:20
อึดอัดแทน
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 4 (9/03/15)
เริ่มหัวข้อโดย: MK ที่ 09-03-2015 20:17:34
ทำไมอินทร์ถึงไม่พูดกับพีทตอนนั้นอ่ะ    :ling1:   



หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 4 (9/03/15)
เริ่มหัวข้อโดย: สายลมที่หวังดี ที่ 10-03-2015 12:44:12
พีทใจร้าย :hao5:
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 4 (9/03/15)
เริ่มหัวข้อโดย: Inwoสูs ที่ 10-03-2015 14:03:43
ดูเหมือนอีกฝั่งก็แคร์พอตัวเลยนะ แล้วทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้กันละ
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 4 (9/03/15)
เริ่มหัวข้อโดย: กฤษณ์ ที่ 10-03-2015 23:49:16
ปักหมุดติดตามค่ะ
ชอบๆ อย่างงี้กว่าจะเข้าใจกันคงยาก ดูท่าจะไม่ยอมบอกง่ายๆว่าเมินกันทำไม  :ling2:
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 5 (13/03/15)
เริ่มหัวข้อโดย: NINEWNN ที่ 13-03-2015 18:07:46
(http://upic.me/i/ak/timeticket_.jpg)

CHAPTER 5

“แต่ทำไม...ทำไมต้องจำเมื่อเธอไม่คิดจริงใจ
ทำไม...ทำไม ความรักที่เธอนั้นลืมต้องเก็บมาคิดฟูมฟาย”

(จำทำไม – Tattoo Colour)


     “ทำไมวันนี้เฮียลงมาคุมเองวะ”

     ผมหรี่ตามองลูกจ้างคนสนิทที่กำลังทำตัวลามปาม “ใครให้เงินเอ็ง”

     “ครับ... ไม่ถามแล้วครับ...” มันพยักหน้างึกงัก ทำหน้ากวนส้นเท้าอย่างน่าหงุดหงิดแล้วซดกาแฟที่มันชงเองไปอย่างสงบปากสงบคำ

     ผมคิดว่าคนเรามีวิธีในการ ‘สงบสติ’ แตกต่างกัน สำหรับผมมันคือการทำตัวให้ยุ่งวุ่นวาย เพราะว่างเมื่อไหร่ต้องหวนคิดไปถึงเรื่องที่กำลังเป็นกังวลอยู่ เพราะแบบนั้นผมจึงเข้ามาคุมร้านในวันนี้เอง ถือโอกาสเป็นการตรวจสอบการทำงานของพนักงานไปในตัวด้วยเลย

     ร้านเปิดตอนสิบเอ็ดโมง ช่วงเที่ยงมักจะมีคนมาหาอาหารกลางวัน เลยไปตอนสายๆ หน่อยจะมีคนมากินกาแฟ หลังจากนั้นร้านก็จะเงียบไปจนถึงราวๆ หกโมง กำไรมาถึงผมมีไม่ค่อยมากนักหรอก หักค่าใช้จ่ายไปหมดก็มีอยู่แค่นิดเดียว ที่ยังเปิดร้านอยู่ก็เป็นเพราะใจรักล้วนๆ แต่ผมเองก็เริ่มคิดถึงการเพิ่มยอดขายให้มากกว่านี้อยู่เหมือนกัน

     “น่าจะมีลูกค้าสาวๆ สวยๆ เข้ามาบ้าง”

     “จ่ายเงินให้มาทำงาน ไม่ได้ให้ม่อสาว” ผมว่าพร้อมกับฟาดมือลงบนศีรษะล้านๆ ของมัน

     “จะให้ม่อหนุ่มแบบเฮียเหรอ” ...ไอ้โลน เดี๋ยวโดน ผมหรี่ตามองหน้ามันจนมันหัวเราะแห้งๆ “ไม่มีอะไรเฮีย ไปช่วยพ่อครัวดีกว่า”

     ผมกลอกตา ไอ้เก้ชอบลามปามแต่ก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรนัก เห็นแบบนี้มันสู้ชีวิตอยู่นะ ทำงานเลี้ยงแม่กับน้องเช้าจรดค่ำ ขนาดเป็นพนักงานประจำที่ร้านผมต้อนเช้ามันก็ยังทำงานที่อื่นอยู่ดี แต่เอาเถอะ ไม่ใช่เรื่องของผมเสียด้วย...

     พอไอ้เก้หายหัวเข้าไปหลังร้าน ร้านก็เข้าสู่ความสงบ มีเสียงคนช้อนกาแฟอย่างแผ่วเบาดังให้ได้ยินจากลูกค้าคนเดียวที่เหลืออยู่

     ผมถอนหายใจออกมาเบาๆ หยิบโทรศัพท์ที่ใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อขึ้นมาดู นิ้วไม่รักดีกดเข้าที่เบอร์โทรศัพท์ซึ่งโทรเข้าแทบจะล่าสุดและผมก็ยังไม่ได้บันทึกมันไว้

     ผมไม่มั่นใจว่าควรจะบันทึกมันไว้ในชื่ออะไร บรรณาธิการ... กชอินทร์... หรือว่าอินทร์ ชื่อที่ครั้งหนึ่งผมเคยเรียกจนชินปาก แต่ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้เรียกมันด้วยชื่อนั้นอีกไหม พอๆ กับที่ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้ยินมันเรียกผมด้วยชื่อเล่นเหมือนเดิมรึเปล่า

     ‘พีท’

     ผมชอบเวลาที่มันเรียกชื่อผม... มันเป็นคนที่ทำให้ผมชอบชื่อของตัวเองมากกว่าใคร

     มันงี่เง่า ผมรู้ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะผมรู้จักและรักมันเป็น ‘คนแรก’ หรือเปล่าทำให้ผมฝังใจกับมันนัก

     ผมเคยคิดมาตลอดว่าผมลืมมันแล้ว จนกลับมาเจอกับมันอีกครั้งถึงได้รู้ว่าไม่ใช่ อินทร์คงอยู่หลังประตูสักบานในหัวใจของผมซึ่งผมปิดมัน และหันหลังให้มันมาร่วมสิบปีเต็ม นับตั้งแต่เราไม่ได้คุยกัน

     ‘ไม่มีอะไร...แค่ขี้เกียจคุย’

     เหตุผลที่แสนไร้เหตุผลนั้นทำให้ผมไม่อยากจะถามอะไรต่อ

     ผมรู้... บางทีมันอาจจะชัดเจนอยู่แล้วว่ามันอยากจะตัดความสัมพันธ์กับผม ไม่อยากพูดคุยกันอีกแล้ว แต่มีอะไรบางอย่างที่ติดค้างในใจของผมอยู่ตลอด แม้ว่าจะได้ยินสาเหตุที่มันกล่าวอ้างออกมาแล้วก็ตาม

        อินทร์เป็นคนมีเหตุผลมากคนหนึ่งเท่าที่ผมรู้จัก มันแตกต่างกับผมที่ชอบทำอะไรตามอารมณ์ราวฟ้ากับเหว ถ้ามันเป็นน้ำเย็นผมก็คงเป็นไฟ เราแตกต่างกันเสมอ... เพราะแบบนั้นผมถึงคิดว่าเหตุผลของอินทร์ไม่น่าจะใช่แค่ ‘ขี้เกียจ’ แต่ผมก็ไม่เคยได้ถามมันอีกที
   
     กริ๊ง

        เสียงกระดิ่งที่แขวนไว้บริเวณประตูสั่นทำให้ผมเงยหน้าขึ้น เห็นผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาในร้าน เจ้าหล่อนดูมีอายุใกล้ๆ กับผม แต่งตัวด้วยสีพาสเทลแบบที่ผู้หญิงหวานชอบใส่กัน หล่อนยิ้มให้ผมเล็กน้อยก่อนที่จะเดินตรงมาที่เค้าท์เตอร์ซึ่งมีที่นั่งเพียงสามที่และมีผมยืนอยู่ด้านหลัง

        ผมมองซ้ายขวา ไอ้เก้คงจะไม่โผล่มา “รับอะไรดีครับ” ผมเลยเอ่ยถามเจ้าหล่อนเลย

        “เอากาแฟเย็นค่ะ” เธอระบายยิ้มบนริมฝีปากเคลือบลิปสติกสีชมพู

        “ไม่เอาเค้กด้วยเหรอครับ อร่อยนะ” ...ขายของสิครับ จริงๆ เค้กเป็นขนมที่สั่งซื้อมาน่ะ พ่อครัวคอยทำแต่อาหารคาวเท่านั้นเอง

        “ยังล่ะค่ะ นัดคนไว้ เอาแค่นี้ก่อนดีกว่า”

        ผมพยักหน้า ไม่ได้เซ้าซี้อะไรอีกและลงมือทำกาแฟให้ เนื่องด้วยไม่ใช่ร้านขนมเป็นหลัก กาแฟที่ใช้ก็แค่กาแฟปั่นธรรมดา

        ผมวางแก้วกาแฟลงตรงหน้าเจ้าหล่อนที่กดโทรศัพท์โดยไม่เงยหน้าขึ้น เธอพยักหน้าให้เล็กน้อยก่อนที่จะเอ่ยปากถามด้วยน้ำเสียงหวาน

        “คุณเป็นเจ้าของร้านรึเปล่าคะ”

        ผมผงะนิดหน่อย “ครับ” ก่อนที่จะตอบรับไปตามจริง

        “งั้นคุณก็คือพี่พีท พีรพัฒน์ที่เป็นนักเขียนใช่ไหมคะ” เธอถามต่อด้วยน้ำเสียงที่ดูกระตือรือร้นกว่าเดิมเล็กน้อย

        ผมพยักหน้าอีกครั้ง ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีคนถามคำถามนี้เพราะมีนักอ่านส่วนหนึ่งรู้ว่าผมเปิดร้าน บางคนก็เอาหนังสือมาให้เซ็นที่นี่ก็มี แต่ไม่ได้มีบ่อยหรอกนะ... และลางสังหรณ์ผมก็ไม่ได้ผิด เธอหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาจากกระเป๋าถือ

        “ฉันเป็นแฟนคลับค่ะ ช่วยเซ็นให้หน่อยได้ไหมคะ”

        “ขอบคุณครับ” ผมได้แต่ยิ้ม คนเป็นคนเขียน... พอมีคนมาพูดแบบนี้แม้ไม่ใช่ครั้งแรกแต่ก็ทำให้รู้สึกดีใจได้ทุกครั้ง

        ผมมองซ้ายขวาก่อนที่จะคว้าปากกาที่อยู่ใกล้ๆ มา หยิบกระดาษใบเสร็จเก่าลองปากกาด้านหลัง ดูไม่มีปัญหาอะไรผมจึงเอ่ยปากถาม

        “ชื่ออะไรครับ”

        “พริมาค่ะ” เธอตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำ ก่อนที่จะตามด้วยการสะกดชื่อให้ฟัง ผมจรดปลายปากกาให้เธออย่างเชื่องช้า พยายามจะทำให้ดูใส่ใจที่สุด พร้อมกับเขียนข้อความเพิ่มเติมให้เจ้าหล่อนอีกเล็กน้อย

        จังหวะนั้นเองที่โทรศัพท์ของเธอก็แผดเสียงร้อง พริมาส่งเสียงขอโทษเพราะมันดังไปหน่อยในร้านที่เงียบๆ ก่อนที่จะกดรับสายพอดี

        “อินทร์เหรอ... อืม พริมอยู่ที่ร้านแล้ว”

     ชื่อที่หลุดมาจากปากเธอทำให้ผมหยุดชะงักขณะกำลังลงชื่อและวันที่ในปกในของหนังสือเจ้าหล่อน

        ‘อินทร์’ อย่างงั้นเหรอ... แล้วเธอชื่ออะไรนะ... ‘พริมา’?
   
     ผมย้อนนึกถึงเมื่อสองวันก่อน ตอนที่บรรณาธิการคนใหม่มานั่งเฝ้าผมถึงห้องนอนและเดินออกไปเพื่อพูดโทรศัพท์ ให้ตาย ตลกร้ายแล้วมั้งถ้าใช่จริงๆ... ผมกลอกตา บอกตัวเองว่าให้สงบสติอารมณ์ซะ ชีวิตจริงไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น แต่ถ้อยคำเหล่านั้นไม่เป็นผลเมื่อกระดิ่งที่แขวนที่ประตูดังขึ้นอีกครั้ง

        กริ๊ง

        ก่อนที่จะตามมาด้วยร่างโปร่งติดผอมบางของผู้ชายคนหนึ่งที่ถือโทรศัพท์ไว้แนบหู สีหน้าหงุดหงิดใจและเดินตรงมาที่ผมจนลมหายใจผมติดขัด

        ไม่ใช่... อินทร์เดินมาหาพริมาต่างหาก

        “บอกแล้วว่าถ้าอยากได้ลายเซ็นให้บอกอินทร์” ไม่ว่าเปล่า กชอินทร์ยังเดินตรงมาจับต้นแขนของลูกค้าผมด้วยทีท่าที่ค่อนข้างจะบ่งบอกถึงระดับความสัมพันธ์ได้ระดับหนึ่งว่าสนิทกันพอสมควร “ทำไมต้องมาถึงที่ร้านนี่ด้วย”

        “เอ้า ก็อินทร์ยังไม่ได้จัดการให้พริมนี่”

        ผมกำปากกาแน่นไม่กล้าเขียนตัวอักษรใดๆ ลงหน้ากระดาษเพิ่มอีก กลัวว่าจะออกแรงกดจนมันทะลุ มองสองคนที่กำลังทำท่าเหมือนจะทะเลาะกันด้วยความรู้สึกเหมือนเอาอารมณ์ต่างๆ ต้มรวมกันในหม้อแล้วยกดื่ม มันห่วยแตกสุดๆ

        ผมพ่นลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก้มลงจรดปลายปากกาก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมาและพบว่าทั้งสองคนกำลังมองหน้าผมด้วยสีหน้าที่แตกต่างกัน พริมายิ้มให้ผมในขณะที่คุณบรรณาธิการมองผมด้วยสีหน้าหงุดหงิดใจแบบปิดบังไม่มิด

        ตอนที่เห็นว่ามันมองผมแบบนั้น วินาทีแรกของผมคือรู้สึกไม่พอใจ แต่พอคิดว่าเมื่อคืนก่อนเกิดอะไรขึ้นความโกรธเหล่านั้นก็ดับลงในชั่วพริบตา กลายเป็นความรู้สึกละอายใจจนทำให้ผมต้องเบนสายตามาจับจ้องที่หญิงสาวแทน

        “ขอบคุณนะคะ” หล่อนเอ่ยปากอีกครั้งก่อนที่จะหันไปมองผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างๆ ตนเอง “นั่งสิอินทร์ ไม่นั่งเหรอ”

        “พริม...” กชอินทร์ถอนหายใจออกมาเสียงดัง “อินทร์ไม่เห็นความจำเป็นที่พริมต้องมาเองเลยนะ อยากเจอ ‘นักเขียนที่ชอบ’ เดี๋ยวเขาก็มีแจกลายเซ็นแล้ว”

        ผมกลอกตากับน้ำเสียงนุ่มทุ้มที่มันพูดกับอีกฝ่ายอย่างใจเย็น

        “จริงเหรอ ทำไมไม่บอกล่ะ...”

        ผมนึกขอบคุณที่ ณ จังหวะนั้น ลูกค้าอีกคนของผมยกมือขึ้นและทำสัญญาณมือให้ผมเดินออกจากตรงนี้ไปคิดเงินได้สักที ผมแกล้งทำเป็นขอจังหวะเดินออกมาจากตำแหน่งนั้นและมาคิดเงิน ปรากฏว่าลูกค้าคนนั้นกลับจ่ายเงินที่พอดีเป๊ะๆ

     และพอเดินกลับมาที่เดิม เจ้าหล่อนก็เอ่ยปากถามประโยคที่ทำให้ทั้งผมและอินทร์ตอบอะไรไม่ถูกขึ้นมา

        “ทำไมอินทร์ไม่คุยกับพี่พีทเลยล่ะ?”

        ผมเหลือบสายตามองมันก่อนที่จะเบนสายตาไปทางอื่นเมื่อเราสบตากัน และอีกฝ่ายเองก็ทำเช่นเดียวกัน

        “อินทร์...” คนที่พูดก่อนคือกชอินทร์ “ไม่ค่อยสนิทกับเขาเท่าไหร่น่ะ” ก่อนที่จะหันมายิ้มให้ผมเล็กน้อยโดยที่ไม่สบตากันแม้แต่นิดเดียว “ใช่ไหมครับ คุณพีรพัฒน์”

        “งั้นหรือ” เจ้าหล่อนส่งเสียงตอบรับในลำคอเบาๆ

        ผมไม่รู้จะพูดอะไร ก่อนที่จะพูดคำพูดเบี่ยงเบนประเด็นในที่สุด “คุณจะรับอาหารหรือขนมอะไรเพิ่มไหมครับ?”

        อินทร์ไม่ได้ตอบอะไร อีกฝ่ายมองหน้าผมด้วยแววตาที่แสนจะว่างเปล่า หากแต่ในความว่างเปล่าเหล่านั้น คล้ายว่าผมเห็นอะไรบางอย่างที่สั่นไหว

        คนตรงหน้าเริ่มหยุดการโวยวาย สุดท้ายก็ยอมทิ้งตัวลงนั่งก่อนที่จะสั่งกาแฟร้อนพร้อมกับโรลเค้กมาอีกหนึ่งชิ้น ผมได้แต่พยักหน้ารับ แสร้งทำเป็นจดรายการอาหารและเดินไปด้านหลังร้าน

        “เก้” ผมเรียกชื่อพนักงานที่นั่งสัปหงกอยู่บนเก้าอี้ เล่นเอามันสะดุ้งเล็กน้อย “ไปรับแขกดิ”

        มันมองซ้ายมองขวาคล้ายสติยังไม่เต็มเต็งก่อนที่จะโค้งหัวเมื่อเริ่มได้สติ “ขอโทษครับเฮีย”

        “ไม่เป็นไร” ผมเอ่ยเสียงเรียบ   “ไปรับเขา กาแฟร้อนกับโรลเค้กชิรามิสุ” ผมจัดการสั่งงานเสร็จสรรพก่อนที่จะถอนหายใจ “ขอไปสูบบุหรี่แป๊บ”

        “ได้เลยเฮีย”

        ผมกำลังจะหันหลังเดินออกมาหน้าร้านใหม่เพราะหลังร้านไม่มีประตู ยังไงๆ ก็ต้องเดินไปหน้าร้านก่อนอยู่ดีแต่เมื่อนึกอะไรขึ้นมาได้ก็ต้องหันมาบอกลูกจ้างของตัวเอง

        “น้ำตาลสาม คอฟฟี่เมทหนึ่ง ห้ามใส่นมนะ”

        ไอ้เก้ทำหน้างุนงงแต่มันไม่ได้พูดอะไร ผมจึงถอนหายใจและเดินออกไปที่หน้าร้าน สบตากับกชอินทร์เล็กน้อยตอนเดินสวนแต่ผมเลือกที่จะเบือนหน้าหนีและเดินออกมาที่หน้าร้าน

        ผมไม่คิดว่าผมจะทนอยู่ตรงนั้นได้นานไปกว่านี้...

        ทันทีที่เดินออกมาหน้าร้านผมเลือกที่จะคว้าซองบุหรี่ที่ใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกงมาก่อนที่จะสำเหนียกได้ว่าตัวเองพยายามที่จะเลิกมันอยู่เลยเอาแค่กล่องเปล่าๆ ใส่หมากฝรั่งมาใส่เล่นเอาผมหงุดหงิดอีกรอบ จำต้องเดินเข้าไปในบ้านเพื่อหยิบบุหรี่ซองใหม่มาจากตู้ที่ตัวเองเก็บในห้องนั่งเล่นพร้อมกับหยิบไฟแช็กจากโซฟา

        ผมไม่ชอบสูบบุหรี่ในบ้าน เพราะฉะนั้นผมต้องเดินออกมาข้างนอก แต่สิ่งที่ผมเห็นเมื่อเปิดประตูบ้านออกมาทำให้ผมหยุดชะงัก

        อินทร์ยืนอยู่ตรงนั้น มันเอาแขนซ้ายจับบริเวณข้อศอกของแขนอีกข้างและมองตรงมาที่ผม

        “คุณพีรพัฒน์” มันเรียกชื่อผมน้ำเสียงราบเรียว ก่อนที่จะค่อยๆ เดินตรงมา...ที่ผม หมายถึงผมจริงๆ

        ในหัวสมองของผมคิดอยู่สองอย่าง หนึ่งคือการถอยหลังและปิดประตูบ้านใส่มัน สองคือการเดินตรงไปหามันและตะโกนใส่หน้ามันแรงๆ ว่ามันจะมาอยู่ที่นี่ทำไม แต่สิ่งที่ผมทำจริงกลับกลายเป็นเพียงการยืนอยู่นิ่งๆ หน้าประตู ปล่อยให้มันเดินเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ

        ช่วงเวลานับตั้งแต่มันยืนอยู่ตรงนั้นจนมาถึงตรงหน้าผมที่ห่างกันเพียงสองก้าวมันเป็นเพียงเวลาสั้นๆ ที่ทำให้ผมรู้สึกยาวนานแบบที่บรรยายไม่ค่อยถูกนัก
     
        ผมรู้สึก...อึดอัด

        “คุณพีรพัฒน์”

        “เลิกเรียก...” เสียงของผมแหบแห้ง พูดออกมาโดยที่ยังไม่ทันผ่านการกลั่นกรองจากสมองด้วยซ้ำไป “อย่าเรียกชื่อนั้น”

        ...เรียกว่า ‘พีท’ เหมือนเดิมสิ

        อีกฝ่ายไม่ได้ตอบอะไร มันมองผมด้วยแววตาที่ผมอ่านไม่ออก ความรู้สึกส่วนลึกบางอย่างบังคับให้ริมฝีปากผมเอ่ยปากพูดออกมาอย่างรวดเร็ว

     “อย่ามองแบบนั้น”

        ...มองแบบกันที่เคยมองไม่ได้หรือ

        “ทำไมต้องทำแบบนี้วะ”

     ผมได้แต่เอ่ยปากถามโดยที่รู้ดีอยู่แก่ใจว่าผมอาจจะไม่ได้รับคำตอบ มันเป็นเพียงการฟูมฟายแบบคนที่ทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว ผมไม่รู้ว่าทำไมผมต้องเป็นแบบนี้ทั้งๆ ที่ไม่เคยเป็นแบบนี้กับใครที่ไหน อินทร์เป็นเพียงข้อยกเว้นทุกอย่างของผม เป็นคนที่ทำให้ผมอ่อนแอได้อย่างไม่น่าเชื่อทั้งๆ ที่มันเคยทำให้ผมคิดว่าผมจะสามารถเป็นคนที่เข้มแข็งที่สุดได้...ตอนที่ยังมีมัน
   
     “ถ้ากลับเข้ามาในชีวิตกูไม่ได้...ทำไมมึงต้องมาอยู่ตรงหน้ากูตอนนี้ด้วย...”
   
     ผมได้ยินเสียงอะไรบางอย่างแตกสลาย

        คล้ายว่าความอดทนที่พยายามมาตลอดตั้งแต่ได้กลับมาเจอมันอีกครั้งมันพังทลาย ผมพยายามที่จะทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น พยายามที่จะทำเป็นต่อต้าน พยายามทุกวิถีทางแต่สิ่งเหล่านั้นกลับไม่ได้ผลแม้แต่น้อย

        ทุกคำพูดของผมไม่ได้ใช้น้ำเสียงตวาดหรือรุนแรง กลับกันมันแผ่วเบาอย่างไม่น่าเชื่อว่าเป็นคำพูดจากผมเอง ไม่มีวินาทีไหนที่ผมละสายตาจากมันจนรู้สึกตัวว่าภาพตรงหน้าพร่าไปเล็กน้อย เพียงเล็กน้อยเท่านั้น... ผมรู้สึกร้อนผ่าวที่ขอบตาแต่ไม่มีอะไรไหลลงมา ซึ่งมันน่าจะดีแล้ว แค่ทุกอย่างที่ทำตอนนี้ก็ดูน่าสมเพชเพียงพอ

        “คุณพีรพัฒน์” พวกเราอยู่ในความเงียบ ก่อนที่อีกฝ่ายจะทำลายมันลง “ผมไม่รู้ว่าคุณคาดหวังอะไร แต่รู้ไว้เลย... คุณจะไม่ได้มันจากผม”

        “...”

        “คุณคือคุณพีรพัฒน์ ผมคือกชอินทร์ พวกเราเป็นแค่นักเขียนกับบก. เท่านั้น”

        “...”

        “หรือถ้าคุณไม่เชื่อ... ผมจะบอกให้คุณฟัง”

     มันหลับตาลง เว้นจังหวะคำพูดไปชั่วครู่ก่อนที่จะลืมตาขึ้น มองผมด้วยแววตาที่เรียบเฉยจนผมนึกตั้งคำถามในใจว่าคนที่เคยมีแววตาวูบไหวตอนเราจ้องตากันเมื่อหลายปีที่แล้วหายไปไหน

     “...ผม ‘เกลียด’ คุณ...”





------------------------------------------------
คือเมื่อคืนนี้ทำอะไรโง่ๆ มาค่ะ
เมื่อคืนนอนหลับทับแขนตัวเอง แบบทั้งแขน แต่ตอนนี้ขยับข้อมือแทบไม่ได้ ฮือ...
จะพยายามมาอัพต่อให้เร็วที่สุดนะคะ ขอไปรักษาความโง่วววว ก่อน  :z3:
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 5 (13/03/15)
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 13-03-2015 18:28:31
 :ling1:

ผ่านไป 5 ตอนเรายังไม่รู้เลยคู่นี้มีความหลังอะไรกันมา

วานจขกท.ช่วยใบ้ให้นิดนึงก็ยังดีน้าาาา  :hao5:

หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 5 (13/03/15)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 13-03-2015 19:05:37
รู้อะไรเพิ่มเติม?
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 5 (13/03/15)
เริ่มหัวข้อโดย: กฤษณ์ ที่ 15-03-2015 19:07:39
 :m16:
ถ้าตอนหน้าไม่มีอะไรคืบหน้านี่.. แบนคุณบก.รัวๆ
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 5 (13/03/15)
เริ่มหัวข้อโดย: AppleBerry ที่ 15-03-2015 19:43:10
หน่วงแบบที่ยังไม่รู้สาเหตุ :ling2:
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 5 (13/03/15)
เริ่มหัวข้อโดย: Veesi3 ที่ 15-03-2015 23:35:19
 :ling1:  :katai1: โอ๊ยยยย หน่วงได้ใจ สนุกมากค่ะ อินทรรรรรรรรรรรรรร์เห็นใจพีทหน่อยยย
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 6 (18/03/15) Pg. 2
เริ่มหัวข้อโดย: NINEWNN ที่ 18-03-2015 20:20:25
(http://upic.me/i/ak/timeticket_.jpg)

CHAPTER 6

“I can’t let go, broken yet holdin’ on
To you, to us, this love is too strong for me to let go”

(Broken Yet Holding on – Roni Tran)




     ผมไม่รู้อะไรสักอย่าง...ไม่เข้าใจอินทร์สักนิด

     ผมนอนอยู่บนเตียง มองเพดาน ในหัวมีคำถามมากมายที่ไม่ถูกถามออกไปและคิดว่าคงจะไม่มีโอกาสได้รับคำตอบ ผมได้แต่คิดว่าตัวเองคาดหวังอะไรจากมันมากไปหรือ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่พวกเราถึงกลายเป็นแบบนี้
   
     ผมไม่รู้ หมายถึง ‘ไม่รู้’ จริงๆ

        ผมหยิบหนังสือรุ่นข้างกายมามองหน้าเดิมที่ถูกเปิดไว้ร่วมชั่วโมง หน้านั้นไม่มีผม... ภาพถ่ายของเด็กห้องศิลป์ – คำนวณที่อินทร์เรียนอยู่ถูกเปิดไว้ ผมได้แต่จับจ้องมันที่ยิ้ม ไล้ปลายนิ้วลงบนใบหน้าของมันที่ดูเยาว์กว่าตอนนี้แล้วก็ได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่

        ใจหนึ่งผมอยากจะปาหนังสือนี้ทิ้งไปซะ รวมถึงเศษซากอัลบั้มที่อยู่ข้างๆ ผมเหมือนกัน ไหนจะโปสการ์ดปึกใหญ่นั่นอีก... ให้ตาย ผมเพิ่งรู้สึกตอนนี้เองว่าตัวเองทำตัวเหมือนสาวน้อยระลึกถึงรักแรกขนาดไหน ยิ่งคิดยิ่งหงุดหงิดจนต้องตะโกนด่าคำหยาบอย่างยาวออกมาด้วยความอัดอั้นใจ

        หลังจากแหกปากจนเริ่มสงบสติอารมณ์ได้ผมก็เหลือบมองของทุกอย่างแล้วค่อยๆ หลับตาลงอย่างอ่อนแรง

        อัลบั้มนั่นแจกกันทั้งห้องตอนจบมัธยมสาม ในนั้นมีภาพมันเต็มไปหมดส่วนภาพของผมแทบจะไม่มี เพราะอินทร์มันเป็นศูนย์รวมของคนในห้องอยู่แล้ว มีเพียงภาพเดียวที่เป็นรูปผมคุยกับมันอยู่ และนั่นก็เป็นรูปคู่เพียงรูปเดียวที่ผมมี

        รูปเดียวที่ยืนยันว่ารอยยิ้มของมันที่มีให้ผมในอดีตเป็นเรื่องจริง...

        โปสการ์ดเป็นกองเกือบๆ สิบใบ กชอินทร์ไปเที่ยวบ่อย มันรู้ว่าผมสะสมโปสการ์ดเลยให้ผมทุกครั้งที่กลับมาจากการไปเที่ยวกับครอบครัวมัน ไม่มีข้อความใดๆ เขียนอยู่แต่ทุกใบมีโพสอิทใบเล็กแปะไว้ บางอันก็เขียนว่า ‘ซื้อมาให้แล้วไอ้โย่ง’ ในขณะที่บางอันไม่มีข้อความใดๆ นอกจากลงวันที่กับชื่อมันไว้

        ผมเก็บทุกอย่างที่เกี่ยวกับมันไว้ในลิ้นชัก ไม่ได้เปิดมาอีกนับตั้งแต่เข้ามหา’ ลัยจวบจนวันนี้

        หลายครั้งหลายคราที่ผมอยากจะโยนทุกอย่างทิ้ง ผมหมายถึง ‘ทุกอย่าง’ จริงๆ... ตั้งแต่ข้าวของที่มันให้ในโอกาสต่างๆ อย่างวันเกิด วันฉลอง หรือในวันที่มันเกิดอาการอยากให้โดยไม่มีสาเหตุใดๆ ไปจนถึงความทรงจำที่มีมันซึ่งฝังรากลึกจนถึงทุกวันนี้ แต่ผมไม่เคยทำได้ ทุกครั้งที่จะโยนของพวกนี้ทิ้งผมก็จะคิดเสมอว่ามันคือสิ่งสุดท้ายแล้วที่บอกว่าเรื่องทั้งหมดผมไม่ได้ฝันไปคนเดียว เราเคยมีช่วงเวลาเหล่านั้นจริงๆ

        สาเหตุจริงๆ แล้วมันเกิดจากอะไรกัน... พวกเรากลายเป็นคนที่ห่างไกลยิ่งกว่าคนไม่รู้จักกันแบบนี้ได้อย่างไร

        ผมหยิบอัลบั้มนั้นมาดูบ้าง ภาพเดียวที่คนอาจจะไม่ใส่ใจกลายเป็นหนึ่งในสิ่งที่ผมเก็บรักษาอย่างดีที่สุด ภาพพวกเราในสิบสองปีที่แล้ว ตอนที่ผมกับมันยังหัวเกรียนใส่กางเกงน้ำเงินกันอยู่ ผมคิดไม่ออกว่าตอนนั้นเราคุยอะไรกัน รูปถูกถ่ายในห้องเรียน อินทร์นั่งข้างๆ ผมโดยที่มันไม่ใช่ที่นั่งปกติของมัน มันยิ้มกว้างมากจนเห็นเหล็กดัดฟันที่มันเพิ่งใส่ตอนเปิดเทอมสองมาไม่นาน ผมจำได้ว่าตอนแรกผมหัวเราะเป็นบ้าเป็นหลังเพราะช่วงแรกๆ มันออกเสียงจ. จานกับช. ช้างไม่ชัด พอผมแหย่เข้าหน่อยมันก็มุ่ยหน้าแบบที่มันชอบทำแล้วก็ฟาดฝ่ามือของมันลงมาบนแขนผมแรงๆ ทั้งที่ตัวออกจะผอมแห้งแท้ๆ

        ผมได้แต่ยิ้มทั้งที่ในใจไม่ได้ยิ้มไปด้วย

        ตอนนั้นผมไม่ได้จำหรอกว่ามีอะไรที่ผมทำให้มันยิ้มกว้างขนาดนั้นได้บ้าง...เพราะมันยิ้มให้ผมกว้างแบบนั้นบ่อยมาก บ่อยเสียจนเป็นเรื่องธรรมดา

        และไอ้ความที่มันเป็นเรื่องธรรมดานั่นแหละที่ทำให้ผมต้องเจ็บปวดใจ เมื่อมันไม่ได้ยิ้มให้ผมแบบที่เคยทำอีกต่อไป ตอนนั้นผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่า ‘รอยยิ้มธรรมดา’ มีให้ผมครั้งสุดท้ายตอนไหน

        ...เพราะผมไม่คิดเลยว่ามันจะเป็น ‘ครั้งสุดท้าย’

        ไม่คิดเลยจริงๆ



        อินทร์นั่งกุมขมับอยู่ตรงหน้าผม

        หน้าของมันซีดแล้วแต่ก็ยังก้มลงจับจ้องตำราเรียนเล่มหนาอย่างไม่ลดละและเป็นแบบนี้มาเกือบชั่วโมงแล้ว ส่วนผมน่ะหรือ... อ่านหนังสือแป๊บๆ ก็เหนื่อย เลือกที่จะจ้องไปที่หน้าของมันดีกว่า

        ‘คิ้วขมวดมากไปแล้ว’

        คนที่นั่งอยู่อีกฝั่งของโต๊ะอาหารเงยหน้าขึ้น ‘ก็มัน...’

        ผมไม่ปล่อยให้มันพูด เอื้อมมือไปนวดบริเวณขมับให้มันอย่างแผ่วเบา ริมฝีปากของอินทร์ปิดเงียบทันทีเมื่อผมทำแบบนั้น ‘เครียดอะไรขนาดนั้น’

        ‘มึงสิทำไมไม่เครียดอะไรเลย!’ มันลืมตาขึ้นมาทำหน้าบึ้งใส่ ‘เรียนสายวิทย์แน่รึเปล่าฮะ!’

        ‘ใครกำหนดวะว่าเรียนสายวิทย์ต้องเครียด’

     ผมบ่นเบาๆ โดยที่ปลายนิ้วยังนวดขมับให้มันอยู่ อินทร์ทำเสียงจิ๊จ๊ะแต่ไม่ได้บ่นอะไรไปมากกว่านั้น มันเอาหัวทุยๆ ไถไปกับโต๊ะของโรงอาหารอย่างเหนื่อยอ่อนจนผมต้องเลื่อนมือตาม

     ‘พระเจ้าไม่ยุติธรรมเลยว่ะ ทำไมกูไม่ฉลาดแบบมึงบ้าง’ มันบ่นอย่างอิดออด

     ผมไม่ได้ตอบอะไรไป ยอมรับว่าตัวเองเป็นคนหัวดีตั้งแต่เด็ก ซึ่งมันมักจะมาพร้อมกับความขี้เกียจ กลับกัน กชอินทร์เป็นคนที่ขยันได้อย่างน่ากลัวแต่กลับหัวช้าในด้านวิทยาศาสตร์ จนทำให้มันยอมแพ้ที่จะเข้าเรียนสายวิทย์ – คณิตเหมือนกับผมแล้วไปเรียนสายศิลป์ – คำนวณแทน ซึ่งมันก็ยังมีปัญหากับคณิตศาสตร์จนระเห็จให้ผมมาสอนทุกครั้งที่จะมีสอบ

     วันนี้ก็เหมือนกัน มันนั่งทำโจทย์เลขอยู่กับผม (ขยายความอีกหน่อยคือ มันทำ... ส่วนผมมองมันทำ) ในโรงอาหารโรงเรียนที่แทบไม่มีคน เลิกเรียนมาเกือบสองชั่วโมงแล้ว โดยมากเด็กก็กลับบ้านกันหมดแล้วแหละ

     มันก้มหน้าก้มตาเอาแก้มแนบกับหนังสือ เงยหน้ามองผมด้วยสีหน้ามุ่ยๆ ที่มันไม่เคยรู้ตัวเลยว่าน่ารักแค่ไหน

     ‘ไม่อ่านแล้วได้ไหมอ่ะ’

     ‘บอกให้เลิกอ่านตั้งนานแล้ว’ ผมยิ้ม อินทร์เลื่อนตัวเข้ามาใกล้ขึ้นอีกนิดหน่อย ‘ไอ้แก่’ ผมว่าพลางจิ้มนิ้วไปบนระหว่างคิ้วของมันที่ขมวดกันเป็นปม อินทร์ทำท่าปัดมืออย่างหงุดหงิดใจ

     ‘จะกลับบ้านเมื่อไหร่’

     ‘จะกลับเมื่อไหร่ล่ะ’ ผมตอบมันด้วยคำถาม

     อินทร์เม้มปาก ‘กลับก่อนก็ได้ ต้องรอน้องอีก’ มันพูดถึงน้องชายตัวเองที่ชื่อเอ็กซ์ที่อายุน้อยกว่ามันสามปี ตอนนี้เพิ่งจะเข้ามัธยมหนึ่งเอง เห็นว่ามีทำงานกลุ่มจนต้องกลับบ้านช้า

     ‘ก็ไม่อยากกลับ’ ผมว่าเรื่อยเปื่อย ไล้นิ้วบนเส้นผมของมันเล่นอย่างเพลินมือ

     ‘...เลิกจับได้ไหม’ มันบ่นเบาๆ อย่างไม่จริงจังนัก เงยหน้าขึ้นมาโดยที่ริมฝีปากเม้มเข้าหากัน ผมเหลือบมองที่หูของมันที่เริ่มแดง

     หลังจากสังเกตมาสักพัก ผมรู้ว่านี้คืออาการเขินของมัน

     ผมได้แต่อมยิ้ม ก้มลงเอาหน้าแนบกับโต๊ะอาหาร (ที่คิดว่ามันคงไม่สะอาด) บ้างโดยหันมองหน้ามัน อินทร์เลยรีบดีดตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็วเมื่อหน้าเราใกล้กันเกินไปหน่อย

     ‘เล่นอะไรวะ!’

     ผมไม่ได้ตอบ ทำเพียงหัวเราะเบาๆ

     อินทร์น่ารัก... มันไม่เคยรู้ตัวหรอกว่ามันน่ารักขนาดไหน เพราะแบบนี้ทำให้ใครต่อใครสนใจมัน มันคงไม่เคยรู้เลยว่ามีผู้ชาย นางฟ้า ทั้งรุ่นน้องทั้งรุ่นพี่ปลื้มมันอยู่กี่คน ยิ่งขึ้นมัธยมปลายแล้วมันได้เป็นคณะกรรมการนักเรียนยิ่งมีคนชอบมันเพิ่มขึ้นเยอะ เด็กกิจกรรมที่ออกหน้าออกตาบ่อยๆ ก็แบบนี้แหละ ถ้าไม่ใช่มันเคยมีวีรกรรมต่อยกับคนที่มาจีบมันจนต้องเข้าห้องปกครอง สาบานว่าหัวกระไดมันไม่แห้งแน่ๆ

     ผมได้แต่มองมันที่นั่งหลังตรงจากมุมต่ำ อินทร์เองก็มองหน้าผมเหมือนกัน หูของมันค่อยๆ แดงขึ้นเรื่อยๆ จนเริ่มสังเกตเห็นได้ชัด

     ไม่นานมันก็เลื่อนมือมาสัมผัสปลายนิ้วของผมเบาๆ และกำไว้อย่างหลวมๆ

     ‘...’ ผมเลิกคิ้วนิดหน่อย ไม่ได้เอ่ยถามอะไร แค่เห็นมันเม้มปากเข้าหากันแน่นแล้วค่อยๆ คลี่ยิ้มออกมาก็ทำให้ผมยิ้มตามได้ไม่ยาก

     พวกเราเหมือนคุยกันผ่านความเงียบในโลกที่ไม่เคยหยุดพูด

     ปลายนิ้วของเราสัมผัสกัน มันเหมือนเป็นหนทางที่ทำให้พวกเราสื่อสารกันได้ เราไม่เคยพูดถึงคำที่เรารู้สึก ไม่เคยคิดจะจัดการความสัมพันธ์ของเราให้ชัดเจนไปมากกว่านี้ ไม่เคยแม้กระทั่งใกล้ชิดกันจนคนอื่นรู้สึกสงสัยในเรื่องราวระหว่างพวกเราสองคน ไม่ได้พยายามจะปกปิดแต่ไม่อยากจะเปิดเผย อินทร์ปากแข็งกว่าใคร... ผมเองก็ไม่อยากทำให้มันลำบากใจกับสิ่งที่พวกเรากำลังเป็นกันอยู่ ณ ตอนนี้

     อาจจะเป็นเพราะแบบนั้น... เพราะเราไม่เคยพูดคุยกันเรื่องสถานะ ผมจึงไม่มีสิทธิ์ใดๆ ในตัวของมัน

     บางทีผมก็อดคิดเล่นๆ ไม่ได้ว่าผมจะทำยังไงในวันที่มันเจอใครสักคนที่ถูกใจ ใครสักคนที่มันอยากจะจริงจังด้วยมากกว่านี้ ยิ่งถ้าคนนั้นเป็นผู้หญิงที่สามารถยืนเคียงคู่กับมัน ออกหน้าออกตากันได้ในอนาคต... ในตอนนั้น ผมจะมีสิทธิ์อะไรในตัวมันอีกไหม...

     แต่ผมก็ปัดความคิดเหล่านั้นทิ้งไปและบอกตัวเองว่าอินทร์ยังอยู่กับผมในปัจจุบัน...มันไม่เคยไปไหน

     ตอนนั้นตัวผมคงจะเด็กเกินกว่าที่จะเข้าใจเรื่องจริงที่เลวร้าย

     การที่มัน ‘ไม่เคย’ จากไป...ไม่ได้แปลว่ามัน ‘จะไม่มีวัน’ จากไป



     ผมสะดุ้งตื่นตอนรุ่งเช้า ยังไม่ทันหกโมงด้วยซ้ำไป

     ผมรู้สึกตกใจไม่ใช่น้อย...นี่น่าจะเป็นการตื่นเช้าครั้งแรกในรอบหลายเดือน ปกติผมมักจะเป็นมนุษย์กลางคืน คือใช้ชีวิตทำงานตอนกลางดึกแล้วนอนยาวไปจนถึงเที่ยง แต่พอนั่งบนเตียงเพื่อตั้งสติสักพักจึงรู้ว่าตัวเองเผลอหลับไปตั้งแต่หัวค่ำ โดยที่ยังมีของต่างๆ ที่รื้อมากองอยู่เต็มเตียง

     จริงๆ เลย...

     ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ ลุกขึ้นไปอาบน้ำเพราะยังไม่ได้อาบตั้งแต่เมื่อวาน เน่าเสียไม่มี...แต่ผมก็ไม่ได้รู้สึกเคร่งเครียดกับเรื่องนี้อยู่แล้ว ซกมกเป็นบ้า

     หลังจากอาบน้ำเสร็จผมก็เดินออกไปที่หน้าปากซอย ซื้อข้าวเหนียวหมูปิ้งมากินด้วยความขี้เกียจ ไม่อยากจะเข้าครัวไปทำอาหารใดๆ เอง แวะเข้า 7-11 ไปซื้อขนมปังเอามาเผื่อไว้ในบ้านด้วยเลย

     เพราะว่าวันนี้เป็นวันจันทร์เลยมีคนไปซื้อของในช่วงเช้าค่อนข้างมากผมเลยใช้เวลานานหน่อย พอกลับมาก็ได้แต่มานั่งทำอะไรเรื่อยเปื่อย ดูทีวีบ้าง อ่านหนังสือที่ซื้อมากองๆ ไว้เมื่อนานมาแล้วและยังไม่ได้แตะบ้าง มันคงเป็นนิสัยเสียอย่างหนึ่งของผม เกือบทุกครั้งที่เข้าร้านหนังสือผมมักจะซื้อหนังสือติดมือมาสองสามเล่มเสมอ แล้วเวลาอ่านดันไม่มีจนตัวเองได้แต่กองๆ ไว้แบบนั้น
             
     ผมคิดว่าผมรู้ตัว... การกระทำแบบนั้นไม่ช่วยไล่ความคิดถึงที่มีต่อคนๆ หนึ่งออกไปจากหัวสมองได้เลย

        ผมพ่นลมหายใจ วางหนังสือในมือที่อ่านไปก็ไม่เข้าหัวไว้ข้างกาย เอนตัวพิงพนักโซฟาอย่างเหนื่อยอ่อน

        ‘...ผม ‘เกลียด’ คุณ…’

        ทำไมมันถึงพูดคำนั้นออกมาง่ายนัก

        ผมได้แต่ตั้งคำถามเดิมซ้ำไปซ้ำมา มันไม่เคยช่วยอะไรได้ ไม่เคยเลย...

     ผมนึกย้อนไปถึงเมื่อวาน มันพูดคำว่าเกลียดให้ได้ยินอย่างชัดถ้อยชัดคำ พวกเรายืนอยู่ในความเงียบ ก่อนที่มันจะเป็นฝ่ายหันหลังและเดินจากไปก่อน

     ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหลังจากนั้นมันกลับไปกี่โมง ไม่ได้สนใจว่าพริมาที่รู้จักกับมันกลับไปด้วยกันหรือเปล่า เพราะผมปล่อยให้ไอ้เก้และพ่อครัวดูแลร้านและปลีกตัวมานอนกลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียง

     ผมรู้สึกอยากร้องไห้แต่ร้องไม่ออก นั่นเป็นเรื่องดี มันคงน่าสมเพชหากผู้ชายผมยาวตัวใหญ่อย่างผมร้องไห้เหมือนพระเอกหนังเกาหลี แต่นั่นทำให้ผมยิ่งสับสน เหมือนกับผมไม่สามารถทำอะไรกับความรู้สึกที่อัดแน่นนี่ได้แม้แต่น้อย มันเหมือนคนเมาค้างแต่ไม่สามารถอ้วกได้

     ผมอยากจะคายทุกความรู้สึกนี้ทิ้ง...แต่ผมทำไม่ได้

     เพราะแบบนั้นผมจึงนอนคิดอะไรเรื่อยเปื่อย ก่อนที่จะลุกขึ้นไปขุดของที่ตัวเองเก็บไว้จนเกือบลืมไปแล้วว่ามีออกมานั่งอ่าน นั่งทวนเรื่องราวในอดีต

     ผม ‘เกือบลืม’ ว่ามี...แต่บางทีอีกฝ่ายอาจจะลืมไปแล้วจริงๆ ก็ได้...ว่าเราเคยมีช่วงเวลาที่ยังยิ้มให้กันได้

     ผมถอนหายใจอีกครั้ง ทึ้งหัวตัวเองอย่างหงุดหงิดใจ หยิบหนังสือขึ้นมานั่งอ่านใหม่ก่อนที่จะเริ่มเข้าสู่วงจรเดิม วางหนังสือแล้วนั่งเพ้อเจ้อ เป็นแบบนี้อยู่สามสี่ครั้งจนผมได้ยินเสียงโทรศัพท์แผดร้อง ผมจึงจำใจลุกขึ้นจากโซฟาไปหยิบมือถือตัวเองที่วางไว้บนโต๊ะกินข้าวมารับสาย

     “สวัสดีครับ”

     “กชอินทร์นะครับ”

     “...” ปลายสายทำให้ผมพูดอะไรไม่ออก ทำหน้าหงุดหงิดใจออกมาอย่างไม่ปิดบัง แต่ไม่ว่าอย่างไรอีกฝ่ายก็ไม่มีโอกาสได้เห็นอยู่ดี “มีอะไร”

     “หนังสือรวมบทความของคุณผ่านแล้วนะ แต่เดี๋ยวต้องจัดการอะไรอีกเยอะ... จะลงถึงบทความที่สี่สิบของคุณ  ตัดในเรื่องที่ลงบทความที่สองของเดือนกรกฎคม ลองคิดชื่อหนังสือด้วย” คำพูดของมันมีแต่งาน งาน งานและงาน ผมกลอกตาไปมา ส่งเสียงครางรับในลำคอเบาๆ “แล้วก็... มีคนเสนอให้คุณพีรพัฒน์เขียนบทความเกี่ยวกับหนังสือครบรอบยี่สิบปีของสำนักพิมพ์น่ะ”

     “ใครเสนอวะ” ผมบ่นเบาๆ

     “ผมเอง” คำตอบที่สวนกลับมาทำให้ผมถอนหายใจออกมา “ยังสรุปคอนเซ็ปโดยรวมไม่ได้ แต่คาดว่าไม่ลำบากกับคุณหรอก จำนวนไม่ได้มากอะไรเลย”

     “เหรอ”

     “และบทความที่เขียนลงนิตยสาร...” มันเอ่ยเสียงเรียบ “ความยาวต่างๆ เท่าเดิม หัวข้อ ‘รักครั้งแรก’ นะครับ”

     ฟังชื่อหัวข้อแล้วทำให้ผมพ่นลมหายใจออกมาอย่างแรง ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายได้ยินหรือเปล่าแต่เห็นว่ามันเงียบไปพักใหญ่จนผมต้องเอ่ยปากถามขึ้นมาเอง

     “หมดเรื่องแล้วใช่ไหม?”

     “ใช่ครับ” ...ผมเกลียดคำสุภาพของกชอินทร์จริงๆ นะ “ไม่สิ ยังไม่หมด เดี๋ยวผมส่งวัน เวลา สถานที่ในการแจกลายเซ็นให้ทางไลน์แล้วกัน หวังว่าคุณจะไม่มีปัญหาอะไรนะ”

     ผมถอนหายใจ “ทางที่ดี ช่วยส่งทุกอย่างทางไลน์เลยได้ไหม”

     “...” กชอินทร์เงียบ

     “ถ้ามีปัญหาเร่งด่วนค่อยติดต่อมาทางโทรศัพท์ ผมขี้เกียจรับโทรศัพท์ของคุณแล้ว” ผมพยายามเอ่ยปากอย่างใจเย็นที่สุด “และผม... ไม่อยากได้ยินเสียงคุณน่ะ”

     “ไม่ต้องกลัวหรอกคุณพีรพัฒน์” ผมได้ยินเสียงสูดลมหายใจดังขึ้นจากปลายสาย “ผมเองก็ไม่ได้อยากได้ยินเสียงคุณเท่าไหร่นักหรอก”

     “...”

     “ถ้าคุณว่าแบบนั้นเดี๋ยวผมจะพยายามไม่จู้จี้กับคุณอีกแล้วกัน เดี๋ยวผมส่งเวลาไปให้ มีปัญหาอะไรช่วยติดต่อมาทีหลังแล้วกันนะ” สายถูกตัดไปทันทีที่บรรณาธิการของผมพูดจบ

     ผมนิ่งไปอยู่พักใหญ่ก่อนที่จะรู้สึกตัวว่าตนเองกำมือแน่นแค่ไหน ผมกระแทกโทรศัพท์ลงบนโต๊ะอย่างแรง

     ‘ผมเองก็ไม่ได้อยากได้ยินเสียงคุณเท่าไหร่นักหรอก’

     ‘...ผม ‘เกลียด’ คุณ...’

     ทำไมอินทร์ถึงแสดงออกถึงความเกลียดชังได้ง่ายนัก พูดมันออกมาง่ายๆ

     ตรงกันข้ามกับคำที่ทั้งมันและผมไม่เคยเอ่ยเอื้อนตอนที่เรารู้สึกแม้ว่าเราจะปฏิบัติต่อกันราวกับเราเป็นคนรักกันแต่ผมไม่เคยได้พูดและไม่เคยได้ยินคำนั้นสักครั้ง

     เพราะตอนนั้นผมไม่ได้พูดไปใช่ไหม... ตอนนี้ผมถึงไม่มีสิทธิ์ใดๆ ในตัวมันเลย..



------------------------------------------
หลายคนคงจะ... เอ๊ะ อะไรวะ ไม่เห็นรู้เรื่องเลย

ซึ่งมันก็ไม่แปลกหรอกค่ะ... ตอนนี้มันมุมมองของพีท ซึ่งนางก็พูดมาหลายรอบแล้วว่าไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจเลยแม้แต่นิดเดียว

แต่ตอนนี้ก็น่าจะรู้แล้วนะคะว่าทำไมพีรพัฒน์ของเราถึงได้ฝังใจมากมายขนาดนี้ ตอนนี้ลดความหน่วงด้วยความคาวาอี้ของเด็กๆ กางเกงน้ำเงินแล้วกันนะคะ <3 ก่อนที่จะมันจะไม่มีช่วงเวลาฟรุ้งฟริ้งแบบนี้อีก (ฮา)

ขอโทษที่รับช้านะคะ ไม่มีอะไรมากเลย...อู้ค่ะ ช่วงนี้ตื่นเช้ามาเรียนตั้งแต่เจ็ดโมงตลอดเลย อย่างกับไปโรงเรียน กลับบ้านทีไรก็หลับยาวทุกที แง

หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 6 (18/03/15) Pg. 2
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 18-03-2015 21:40:24
อึดอัด
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 6 (18/03/15) Pg. 2
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 22-03-2015 17:57:25
อยากอ่านฝั่งอินทร์บ้างค่ะ

หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 7 (22/03/15) Pg. 2
เริ่มหัวข้อโดย: NINEWNN ที่ 22-03-2015 22:08:37
(http://upic.me/i/ak/timeticket_.jpg)

CHAPTER 7

“The littlest thing that take me there
I know it sounds lame but it’s so true”

(The Littlest Thing – Lilly Allen)



     ผมมองตัวเองในเสื้อเชิ้ตสีสุภาพ กางเกงขายาว จัดการรวบผมลวกๆ อย่างแปลกตาก่อนที่จะเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยความหงุดหงิดในใจเล็กน้อย รำคาญเป็นบ้า... ขนาดเพิ่งอาบน้ำประเทศไทยก็ยังทำให้ผมเหงื่อออกได้ในเวลาสั้นๆ เสมอ เป็นประเทศที่ไม่เป็นมิตรกับคนขี้ร้อนเลยแม้แต่นิดเดียว

     หลังจากจัดการตัวเองเรียบร้อยแล้วจึงคว้ากุญแจรถ กระเป๋าสตางค์ โทรศัพท์มือถือเดินออกจากบ้าน ไม่ลืมที่จะดูนาฬิกา พบว่ามีเวลาเหลือเฟือกว่าจะถึงเวลานัด

     วันนี้มีการแจกลายเซ็นที่ห้าง ไกลจากบ้านของผมพอสมควรแต่ก็ยังเดินทางง่ายๆ ตอนแรกตั้งใจจะนั่งรถเมล์ไปอยู่หรอก แต่คิดถึงตอนที่มีการแจกลายเซ็นครั้งแรกที่โหนรถเมล์ไป กว่าจะไปถึงนู่นสภาพดูไม่ได้จนโดนบก. คนเก่าตำหนิเข้าให้ว่าควรจะรู้จักรักษาภาพลักษณ์มากกว่านี้

     พอคิดถึงบรรณาธิการแล้วผมก็ได้แต่ถอนหายใจ เอาเถอะ... ใช่ว่าจะได้เจอกันในวันนี้เสมอไป แต่ถ้าได้เจอกันแล้วเห็นผมหลังสภาพโหนรถเมล์ไปมันคงด่าเช็ดตามประสาคนระเบียบจัด

     เมื่อคืนก็โดนมันส่งไลน์มาหาเรื่องเวลาต่างๆ เป็นการย้ำอีกที ผมกดอ่านแต่ไม่ได้ตอบอะไรไป มันก็ส่งข้อความมาอีกว่าถ้าอ่านแล้วช่วยส่งสัญญาณให้รับรู้บ้าง ผมเลยจำต้องกดส่งสติ๊กเกอร์ไปให้ตัวหนึ่งอย่างเสียไม่ได้

     ผมคิดว่าตัวเองทำตัวสงบสติอารมณ์ได้มากขึ้นแล้ว...แต่ก็ใช่จะเสมอไป อินทร์ไม่โทรจิกอะไรแล้ว อาจจะเป็นเพราะไม่มีหน้าที่อะไรในช่วงนี้ กำหนดส่งบทความในหัวข้อ ‘รักครั้งแรก’ ก็อีกราวๆ สี่ห้าวัน ซึ่งรอบนี้ผมเองก็เขียนไปบ้างแล้ว คงไม่ได้เขียนแบบจับแพะชนแกะเหมือนคราวก่อน

     ผมออกไปกำกับไอ้เก้เรื่องการปิดร้านต่างๆ นานาเผื่อไว้ก่อน แต่จริงๆ ก็คิดว่าไม่น่าจะเป็นปัญหา ผมกลับมาทันตรวจความเรียบร้อยอยู่แล้ว ตามตารางทุกอย่างจะเสร็จสิ้นในเวลาหกโมงเย็น บวกปัญหารถติดของกรุงเทพฯ ไปอีกนิดก็ไม่น่าจะช้าอะไรมาก

     “ไปทำงานเหรอเฮีย แต่งตัวดีมากกกกก” ผมพยักหน้าแทนคำตอบเมื่อไอ้เก้เริ่มลามปามจับผมหันซ้ายหันขวา ไอ้ลูกน้องพรรค์นี้นี่มัน.. “เฮียควรแต่งตัวแบบนี้บ่อยๆ นะ ปกติอย่างกับยาจก ทำตัวหล่อๆ ก็เป็น”

     “ไปทำงานไป” ผมชี้ไปที่โต๊ะซึ่งเรียกให้คิดเงินพอดี

     มันพยักหน้าอย่างขันแข็ง ทำท่าเหมือนรด. รับคำสั่ง (มองหัวเกรียนๆ ของมันยังรู้สึกว่ามันเป็นเด็กเรียนรด. ทุกที) และวิ่งปรู๊ดไปอย่างรวดเร็ว

     ผมแอบไปดูในครัวนิดหน่อยก่อนที่จะเดินออกมาจากร้านไปหารถตัวเองที่ไม่ค่อยได้ใช้งานเท่าไหร่นัก ทำงานที่บ้านไง... กว่าจะได้ใช้ก็ตอนเกิดอารมณ์อยากไปขับรถเล่นหรือไปทำธุระที่รถสาธารณะไม่ผ่าน เอาจริงๆ ผมก็ชอบขึ้นรถเมล์นะ ขี้เกียจเกินกว่าจะขับรถ ยกเว้นปัญหาอากาศร้อนหมาตายควายตะลึงเนี่ยแหละ

     ผมจะจัดการแจกลายเซ็นตอนสี่โมงครึ่งพร้อมกับนักเขียนในสำนักพิมพ์เดียวกันอีกคน แต่ ‘คุณบรรณาธิการ’ กำชับมาอย่างชัดเจนว่าผมควรจะไปถึงก่อนเวลาอย่างต่ำหนึ่งชั่วโมง

     เพราะว่าออกจากบ้านเร็ว ประกอบกับการที่รถไม่ติดทำให้ผมไปถึงห้างนั้นเกือบสามโมง  และพอมาถึงผมก็นั่งคิดหนัก ผมรู้ว่ามีการแจกลายเซ็นที่ร้านหนังสือไหน เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะต้องไปที่ร้านก่อนเลยหรือเปล่า สิ่งที่ควรทำคือการติดต่อคนที่ดูแลเรื่องนี้ ซึ่งมันก็คือกชอินทร์...ที่ผมไม่ค่อยอยากจะโทรหาเท่าไหร่นัก

     ผมเอาลิ้นดุนแก้มตอนมองเบอร์ในหน้าจอที่ผมบันทึกไว้ในชื่อ ‘บก.’ อยู่นานทีเดียวกว่าจะตกลงกดโทรออก

     รอสัญญาณอยู่สักพักอีกฝ่ายก็กดรับ“มาถึงแล้วหรือ” เสียงเรียบเฉยดังขึ้นจากปลายสาย

     “เออ” ผมตอบเสียงห้วน

     “เดินมาที่ชั้นสาม ตรงกันร้านหนังสือข้ามจะมีคอฟฟี่ ช็อป พวกผมกับคนอื่นๆ อยู่ในร้าน” กชอินทร์ว่าเช่นนั้นก่อนที่จะตัดสายไปอย่างรวดเร็ว

     ก็ดี... ได้ยินเสียงมันนานๆ อาจจะทำให้ผมเป็นบ้าได้

     ผมเดินออกจากลานจอดรถเข้ามาในตัวห้าง ขึ้นบันไดเลื่อนไปชั้นสามตามที่มันบอก ไม่นานก็อยู่ตรงหน้าร้านที่มันว่า เดินเข้ามาก็เห็นทันทีว่ากชอินทร์นั่งอยู่ที่โต๊ะซึ่งมีจำนวนคนสี่ห้าคน

     มันสวมเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อน การแต่งตัวเหมือนพนักงานออฟฟิศของมัน ไม่ว่าจะมองกี่ครั้งก็ยังไม่รู้สึกคุ้นตา อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมา ผมรู้ทันทีว่าเราสบตากันที่มันกลับไม่ส่งสัญญาณใดๆ เป็นการเชิญ ซ้ำยังผลุบตาลงต่ำ ผมได้แต่มองมันแล้วเค้นหัวเราะก่อนที่จะเดินเข้าไปที่โต๊ะนั้นก่อน

     “สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้คนบนโต๊ะนั้น

     “อ้าว พีทมาแล้ว” คุณศศิกานต์ นักเขียนผู้หญิงวัยสี่สิบต้นรูปร่างผอมแห้งที่จำผมได้เพราะเคยเจอกันบ้างเป็นบางครั้ง “มาเร็วนะจ๊ะ” เธอเอ่ยทักทายยิ้มๆ ผายมือไปที่เก้าอี้ว่าง... ข้างๆ คุณบรรณาธิการของผมเอง

     ผมยิ้ม ไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรแต่สายตาเหลือบมองกชอินทร์ มันเองก็ไม่ได้แสดงอะไรให้เห็นเพียงแต่ยกแก้วตรงหน้ามันขึ้นจิบตอนที่ผมหย่อนกายลงข้างๆ มัน

     “นี่คุณพีรพัฒน์ครับ” คนข้างกายแนะนำผมให้กับคนในโต๊ะเมื่อวางแก้วลง

     ผมได้แต่ยิ้ม บนโต๊ะมีแต่ผู้หญิง ผู้ชายมีแค่ผมกับมัน พอแนะนำตัวเสร็จผู้หญิงที่ดูอายุใกล้เคียงกับนักเขียนอีกท่านก็จัดการแจกแจงลำดับขั้นตอนในการทำงานว่ามีอะไรบ้าง ไม่ได้ยุ่งยาก เหมือนกับงานทั่วๆ ไป มีการถ่ายรูปรวม สัมภาษณ์นิดๆ หน่อยๆ หลังจากนั้นก็แจกลายเซ็น ผมคิดว่าวันนี้คนคงไม่ได้เยอะอะไรมาก

        หลังจากพูดคุยกันเรียบร้อยแล้วพวกเราก็นั่งกันในร้านอยู่พักหนึ่ง ผมมักจะคุยกับคุณศศิกานต์ที่นั่งตรงกันข้ามมากกว่าคนอื่น ส่วนผมกับบรรณาธิการที่นั่งข้างๆ ไม่มีคำพูดใดระหว่างกันเลย

        “พีทกับคุณกชอินทร์อยู่ด้วยกันนี่ทำให้พวกเราดูสาวขึ้นนะจ๊ะ” คุณศศิกานต์เอ่ยปากขึ้นด้วยรอยยิ้ม เล่นเอาผมกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ได้แต่ส่งยิ้มให้อีกฝ่าย ตามมาด้วยเสียงของสาวน้อยใหญ่ที่ร่วมโต๊ะแสดงความเห็นด้วย

        “นั่นสิ อายุเท่าไหร่กันเอง”

        “วัยหนุ่มๆ ไฟแรงๆ ดีแล้วนะ”

        ผมเลื่อนสายตามองคนที่นั่งข้างกาย เห็นว่ามันยิ้มจนเห็นลักยิ้มแต่กลับไม่ได้ให้ความรู้สึก ‘น่ามอง’ เหมือนแต่ก่อนเท่าไหร่นัก

        สมัยก่อนมันยิ้มแบบ ‘บริสุทธิ์’ มากกว่านี้

        ผมนึกตลกระคนสมเพชตัวเองที่เผลอไผลคิดถึงมันในสมัยก่อน ระยะเวลาที่ผ่านมายืนยันแล้วว่ามันคนเดิมที่ผมเคยรู้จักไม่อยู่อีกต่อไปแล้ว

        “น้องอินทร์เขาเองก็ใหม่ในการเป็นบก. นะ แต่ทำออกมาไม่เลวเลย” ผู้หญิงคนหนึ่งที่วัยดูใกล้เคียงกับผมมากที่สุดเอ่ยขึ้น “ก่อนหน้านี้เห็นบริหารการขาย...”

        “เราไปเตรียมดีกว่าไหมครับ ใกล้ถึงเวลาแล้วด้วย”

        “อุ๊ย จริงด้วย” เจ้าหล่อนก้มลงมองนาฬิกาทันทีที่คนข้างกายของผมเอ่ยตัดบทขึ้นมา

        ผมพยักหน้าเมื่อคนทั้งโต๊ะตกลงตัดสินใจจะออกจากร้าน สี่โมงสิบนาทีแล้ว อินทร์ไม่ได้พูดผิดที่ว่าใกล้ถึงเวลาแต่รอยยิ้มของมันที่ยังอยู่บนใบหน้าทำให้ผมรู้สึกแปลกไปมากกว่าเก่า ผมเป็นคนที่เดินออกมาเป็นคนสุดท้ายส่วนอินทร์ไปเดินคุยกับผู้หญิงที่อธิบายลำดับขั้นตอนให้ผมก่อนหน้านี้ ผมเห็นมันถือเอกสารแล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

        ไม่รู้มองผิดหรือเปล่า...แต่ผมว่าผมเห็นมันปรายสายตามาทางผมก่อนที่จะหลบสายตาทันทีที่เราสบตากัน

        ผมกัดริมฝีปากตัวเองด้วยความหงุดหงิด สาเหตุคือทั้งตัวมันทั้งตัวผม อินทร์มองผมจริงๆ หรือไม่ได้ตั้งใจ แล้วผมจะไปมองมันอีกเพื่ออะไร... คำตอบของคำถามข้อหลังผมรู้ดีอยู่แก่ใจแต่ต้องทำลืมๆ มันไปอย่างเสียไม่ได้

        “เดี๋ยวคุณพีทนั่งข้างขวานะคะ” ผู้หญิงคนหนึ่งที่น่าจะเป็นสต๊าฟเอ่ยปากออกมาพร้อมกับชี้ให้ดู มีฉากเป็นภาพหนังสือเล่มใหม่ล่าสุดของผมกับคุณศศิกานต์ ไม่ได้มีเวทีอลังการอะไรแต่ก็ยังเป็นบริเวณยกพื้นเล็กน้อย “พอดีน้องพิธีกรตัวเล็กน่ะค่ะ ถ้าให้นั่งข้างซ้ายกลัวว่าจะบังน้องเขา”

        “ได้ครับ” ผมพยักหน้าให้อีกฝ่าย เจ้าหล่อนอธิบายขั้นตอนคร่าวๆ อีกครั้งก่อนที่จะเดินออกไปคุยกับคุณศศิกานต์

        “คุณพีรพัฒน์” เสียงทุ้มเรียกชื่อผมดังขึ้นมาทันทีที่เจ้าหล่อนเดินออกไป

     ผมถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบาเพราะรู้ดีว่านั่นมันเป็นเสียงใครก่อนที่จะหันไปทำหน้าหงุดหงิดใส่อีกฝ่าย “อะไร”

     “ช่วยทำตัวให้เรียบร้อยกว่านี้หน่อยได้ไหม” กชอินทร์ว่าเช่นนั้น ปรายตามองที่ชายแขนเสื้อซึ่งผมไม่ได้ติดกระดุมไว้ และเดินเข้ามาใกล้อีกสองสามก้าว ผมยืนตัวแข็งทื่อ ไม่ได้ขยับไปไหน “ทำไมยังมีกลิ่นบุหรี่”

     “สูบมา” ผมตอบตามตรงเสียงห้วน

     มันเดาะลิ้นครั้งหนึ่ง ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนที่จะดึงอะไรบางอย่างออกมาจากแขนเสื้อ “เคี้ยวหน่อยแล้วกัน”

     ผมรับมันมาอย่างไม่ได้เต็มใจเท่าไหร่นัก อินทร์ส่งหมากฝรั่งรสมิ้นท์ให้ทั้งแผง ผมจำใจเอาชิ้นหนึ่งมาเคี้ยวอย่างเสียไม่ได้ก่อนที่จะส่งยื่นให้มันคืน

     “ไม่เป็นไร คุณเอาไปเลย”

     ผมพ่นลมหายใจออกมา “ทำไม กลัวเสนียดมันติดรึยังไงฮะ”

     “คุณพูดออกมาเองนะ” มันตอบกลับเสียงเรียบก่อนที่จะเลื่อนสายตาไปที่ชายแขนเสื้อใหม่ “จะติดกระดุมหรือจะพับก็เอาสักอย่าง” มันว่าแต่ไม่ยอมขยับตัวไปไหน คงหมายความว่าจะรอดูให้แน่ใจว่าผมจะทำตามที่มันต้องการ

     ผมเอาลิ้นดุนดันกระพุ้งแก้มขณะเคี้ยวหมากฝรั่งรสหวาน พยายามสงบสติอารมณ์ พักแขนเสื้ออย่างลวกๆ เพราะกระดุมที่แขนตัวนี้ขาด เสื้อผ้าผมไม่ค่อยมีสภาพดีเท่าไหร่หรอก

     คนตรงหน้าถอนหายใจ “วันหลังใส่เสื้อยืดก็ได้นะครับ”

     “จะมีวันหลังอีกรึยังไง” ผมว่าประชดประชันโดยไม่มองหน้าอีกคนเพราะนั่งจัดการแขนเสื้อข้างขวาตัวเองอยู่ พับยังไงก็เหมือนม้วน... ทุเรศเกินไป ขนาดผมยังรับไม่ได้เลย

     หมับ!

     ผมผงะเมื่ออีกฝ่ายคว้าข้อมือข้างขวาของผมไปและก้มลงพับแขนเสื้อให้ผมอย่างประณีต ก่อนที่มันจะเลื่อนมือมาที่ข้อมือข้างซ้ายซึ่งผมเพิ่งพับไปเมื่อกี้ คลายออกมาแล้วพับให้ใหม่อย่างสวยงาม

     ผมละสายตาจากมันที่ก้มหน้าก้มตาแม้พับแขนเสื้อให้ผมเสร็จแล้วไม่ได้ มันจับมือของผมมาเทียบกันก่อนที่จะส่งเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอบ่งบอกว่าหงุดหงิดใจเมื่อทั้งสองข้างไม่เท่ากันก่อนที่จะคลายแขนเสื้อข้างขวาออกมาพับใหม่

     มือของผมขยับไปแตะไหล่มันโดยไม่รู้ตัวตอนที่มันพับเสร็จ กชอินทร์สะดุ้งขึ้น เงยหน้ามองผมด้วยแววตาตกใจในเสี้ยววินาทีและกลับมาเรียบเฉยราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

     “รักษาภาพลักษณ์ของคุณหน่อย คุณพีรพัฒน์” มันว่าเช่นนั้นก่อนที่จะหันหลังเดินไปอีกทาง

     ผมได้แต่มองมันตาไม่กระพริบ อินทร์ไม่ได้ไปเข้ากลุ่มกับคนอื่นๆ มันเดินไปนั่งบนเก้าอี้ที่ถูกจัดเตรียมไว้ให้นักอ่านที่จะมารับลายเซ็นก่อนที่จะเอามือกุมขมับโดยไม่เงยหน้าขึ้นมาแม้แต่นิดเดียว

     มันคงไม่เห็น...ว่าผมมองมันอยู่และจับจ้องมันตลอดจนเสร็จงาน



        ผมโดนคนอื่นๆ ชวนไปทานอาหารเย็นด้วย แต่สายตาผมยังคงจับจ้องไปที่คุณบรรณาธิการซึ่งคุยอะไรสักอย่างกับเหล่าสต๊าฟในงานเมื่อกี้ มันโค้งขอบคุณก่อนที่จะเดินมาทางพวกเราซึ่งมีแต่คนในสำนักพิมพ์
   
     “อินทร์ ไปทานข้าวเย็นกันไหมจ๊ะ”

        คนถูกชวนยิ้มเล็กน้อย “ไม่ล่ะครับ วันนี้ผมไม่สะดวก”

        “งั้นหรือ เสียดายจัง” คุณศศิกานต์พยักหน้า “จะกลับเลยรึ กลับบ้านยังไง”

        “รถผมเสียน่ะครับ คงเรียกแท็กซี่กลับ” กชอินทร์ตอบอย่างสุภาพก่อนที่จะยกมือไหว้สตรีคนอื่นๆ ซึ่งอายุมากกว่าเรากันทั้งนั้น “ผมขอลาเลยนะครับ”

        คนอื่นยิ้มโบกมือลา เริ่มตกลงกันว่าจะทานอะไร ผมมองมันที่กำลังเดินไปที่บันไดเลื่อนก่อนที่จะเอ่ยปากขึ้นมาบ้าง “ผมก็ขอตัวนะครับ”

        “เอ๊ะ เราด้วยเหรอ”

        “ต้องไปปิดร้านน่ะครับ” ผมยกข้ออ้างที่ไม่ใช่ความจริงออกมา ยกมือลาคนอื่นอย่างลวกๆ ไม่ลืมที่จะขอบคุณสำหรับการช่วยเหลือในวันนี้ให้ลุล่วงไปได้ด้วยดีและเดินตามกชอินทร์ไปที่บันไดเลื่อนอย่างรวดเร็วก่อนที่จะชะงักเมื่อคิดอะไรบางอย่างได้

     ...ตามไปทำไม?

     มันเป็นเรื่องจำเป็นหรือที่จะต้องตามอินทร์ไป ก็ไม่ แล้วผมจะปลีกตัวออกมาทำไม ผมคิดถึงเรื่องนั้นก่อนที่จะหันหลังกลับเดินไปอีกทางเมื่อเหลือบไปเห็นทางออกไปที่ลานจอดรถ แต่ได้ยินเสียงที่เคยคุ้นหูดังมาจากด้านหลังเสียก่อน

     “เมื่อกี้คุณเดินตามผมเหรอ”

     ผมหันหลังกลับไป กชอินทร์ยืนอยู่ตรงนั้น ระยะห่างไม่มากเท่าไหร่ มันกอดอกมองผมด้วยแววตาเฉยชา

     หัวสมองว่างเปล่า ผมคิดอะไรไม่ออก สุดท้ายก็ต้องจำใจตอบไปตามจริง “ใช่”

     “มีอะไร” มันถามเสียงห้วน ตรงนี้ไม่ค่อยมีคนด้วยซ้ำ แม้แต่ยามยังไม่มีเพราะไม่ใช่ประตูหลัก

     ผมหลับตาลง “ไม่มี” โกหกคำโต... ผมมีอะไรสักอย่างที่อยากพูดกับมันแต่ทำไม่ได้เพราะความกล้ามีไม่เพียงพอ

     ร่างติดผอมของมันเดินเข้ามาใกล้ผมอีกหนึ่งก้าว เอ่ยปากถามเสียงเฉยชา “ที่ผมพูด...” มันชะงักไปนิดหน่อย สูดลมหายใจและพูดให้ดังขึ้น “มันไม่ชัดเจนพอเหรอคุณพีรพัฒน์”

     “...” ชัดเจนอยู่แล้ว แต่...

     “จะมองผมทำไมอีก”

     คำพูดของมันทำให้ผมรู้สึกแปลกไป “อะไรนะ”

     อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นย้ำอีกครั้ง “ผมถามว่าคุณจะมองผมทำไม ทำเหมือนเรา...” มันหลับตาลง เม้มริมฝีปากเข้าหากันแน่นจนผมจับสังเกตได้ “เป็นเพื่อนร่วมงานที่ไม่สนิทกันได้ไหม”

     “เฮอะ” ผมเค้นหัวเราะออกมาเสียงดังด้วยความหงุดหงิด “เป็นเพื่อนร่วมงานที่ไม่สนิท? ก็ถูกแล้วนี่... ทำไมต้อง ‘ทำเหมือน’ ด้วยล่ะ เราไม่สนิทกันนี่” ผมอยากตบปากตัวเองที่ชอบพูดจาประชดประชันเสียเหลือเกินแต่นั่นไม่ใช่ประเด็น

     ผมมองลึกเข้าไปในแววตาของมัน กชอินทร์หลบตาผมแทบจะในทันที พอเห็นท่าทีของมันแปลกไปทำให้ผมเอาใหญ่ เหลือบสายตามองซ้ายขวาพบว่าไม่มีใครเลยเดินเข้าใกล้มันให้มากขึ้น อินทร์ถอยหลังหนีอย่างช้าๆ จนแผ่นหลังบางนั้นแนบไปกับกำแพงสีขาวข้างลิฟท์

     “มองงั้นหรือ? รู้ได้ยังไงว่าผมมองคุณ...” ผมพยายามพูดอย่างใจเย็น “นอกจากคุณเองก็มองผมเหมือนกัน”

     แววตาของมันที่ใสเหมือนกับลูกแก้วแสดงอาการตกใจขึ้นมานิดหน่อยก่อนที่จะเบือนหน้าหนี “ถอยออกไป”

     “ไม่” ผมตอบอย่างชัดเจน “มองหน้าผมสิ”

     อีกฝ่ายเม้มริมฝีปากแน่น กัดฟันจนสันกรามนูนออกมาให้เห็น สูดลมหายใจลึกและย้ำคำเดิมที่รู้ว่าไม่มีผลใดๆ กับผม “ถอยออกไป คุณพีรพัฒน์”

     “คราวก่อนพูดว่าอะไรนะ... เกลียดอย่างงั้นเหรอ” ผมว่าพลางเค้นหัวเราะ กำหมัดแน่นอย่างพยายามสงบสติอารมณ์แต่ดูเหมือนมันจะไม่ได้ผลนัก “เงยหน้าขึ้นมา อินทร์” มันไม่ได้ทำตามคำสั่งแต่ไม่เลื่อนกายไปไหนทั้งๆ ที่ตอนนี้ผมทำเพียงแค่ยืนประชิดมันธรรมดา ทีท่าของมันทำให้ผมยิ้มเย้ยหยัน “ถ้าเกลียดกันจริง...ก็แสดงออกมาให้เห็นสิ”

     “คุณพีรพัฒน์ ถอยไปเดี๋ยวนี้”

     “ทำให้เห็นสิว่าเกลียดน่ะ โธ่เว้ย!”

     มันสะดุ้งเมื่อน้ำเสียงของผมแปรเปลี่ยนเป็นการตะคอกด้วยความเหลืออด มือข้างหนึ่งทุบกำแพงข้างๆ มัน อินทร์ไม่ขยับกาย สิ่งที่มันทำมีเพียงแค่เบือนหน้าหนีมากกว่าเก่า มือของมันแทบจะแนบไปกับลำตัว

     “บอกว่าผมมองคุณ... คุณไม่มีทางรู้ถ้าคุณไม่ได้มองผมเหมือนกัน” ผมเค้นยิ้ม “แล้วดูสิ”

     ผมเลื่อนหน้าเข้าไปใกล้มันมากขึ้น จับใบหน้าของมันหันมาสบตากับผมตรงๆ แววตาของมันแสดงความตระหนกระคนความรู้สึกบางอย่างอย่างเห็นได้ชัด มืออีกข้างเลื่อนไปจับแขนของมันอย่างถือวิสาสะ
   
     อินทร์ไม่ใช่คนแรงน้อยแม้ว่าจะเป็นคนตัวผอมบางและเตี้ยกว่าผมแต่เรี่ยวแรงของมันเหมือนกับผู้ชายทั่วไป ดีไม่ดีอาจจะเยอะกว่าคนปกติด้วยซ้ำ แต่ดูสิ... มันทำอะไร ไม่แสดงทีท่าว่าจะหนีตั้งแต่ต้น ตอนแรกผมไม่ได้กันท่าไว้เลยว่า ถ้ามันจะหนีก็เป็นเรื่องง่ายอยู่แล้ว กระทั่งตอนนี้... ถ้ามันคิดจะทำให้ผมปล่อยมันก็ง่ายนิดเดียว   
   
     “ขนาดตอนนี้...แค่จะผลักผมออกคุณยังไม่กล้าเลย คุณกชอินทร์”

        อาจจะดูหลงตัวเองตัวเอง แต่ผมค่อนข้างมั่นใจว่าสาเหตุที่ทำให้มันไม่หนีผมไปคืออะไร...

        มันไม่อยากจะเดินออกไปจากตรงนี้





----------------------------------------------------------
   พีทนี่มันเป็นคนหลงตัวเองจริงๆ...

   มาลองเดากันดีไหมคะว่าเกิดอะไรขึ้นกชอินทร์ถึงเป็นแบบนี้ ใครทายถูกนิวให้สิบบาทนะคะ (ฮา) รอดูกันไปเรื่อยๆ ดีกว่า สักพัก...ใหญ่ๆ เดี๋ยวก็ได้รู้ค่ะ ยังไงเรื่องนี้ก็ตั้งใจให้อึดอัดอยู่แล้ว เหมือนโดนบังคับให้อยู่ในความเงียบทั้งๆ ที่อยากพูดน่ะค่ะ!

   พรุ่งนี้นิวต้องไปค่ายกับทางโรงเรียน ถ้ามาอัพช้าอย่าว่ากันนะคะ TvT
   
   ขอให้ทุกคนมีความสุขกับนิยายเรื่องนี้ค่ะ

   ปล. เพลง The Littlest Thing ก็เป็นอีกหนึ่งในเพลงที่ทำให้ได้พล็อตเรื่องนี้มานะคะ ฮา!

   หนึ่งคอมเม้นเท่ากับหนึ่งกำลังใจ อย่าลืมให้กำลังใจนิวด้วยหนึ่งคอมเม้นนะคะ!
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 7 (22/03/15) Pg. 2
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 22-03-2015 22:38:33
อึดอัด
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 7 (22/03/15) Pg. 2
เริ่มหัวข้อโดย: Vermouth ที่ 23-03-2015 18:28:16
โอ่ยยยยย อดีตวัยเด็กตอนยังรักกันอยู่นี่อย่างมุ้งมิ้งเลยค่ะ แต่ปัจจุบันนี่ยาขมมากๆ สงสารพีทนะคะ คือไม่รู้อะไรสักอย่างเลยจริงๆ มันอึดอัดมากนะแบบนี้ อินทร์มีเหตุผลอะไรกันแน่นะ ฮืออออ
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 7 (22/03/15) Pg. 2
เริ่มหัวข้อโดย: Autonomyz ที่ 23-03-2015 22:00:21
ทำไมยิ่งอ่านเรายิ่งไม่ชอบคนแบบอินทร์  :katai1:
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 7 (22/03/15) Pg. 2
เริ่มหัวข้อโดย: youuue ที่ 23-03-2015 22:44:11
คนไขว่คว้า กับคนหนีตัวเอง  งืม  ตามติดๆๆๆ :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 7 (22/03/15) Pg. 2
เริ่มหัวข้อโดย: NINEWNN ที่ 01-04-2015 21:03:52
(http://upic.me/i/ak/timeticket_.jpg)

CHAPTER 8

“We don’t talk much anymore
We keep running from the pain”

(I don’t know you anymore – Savage Garden)



        ผมมองลึกไปในแววตาที่แสดงอาการวูบไหวไปมาของมันท่ามกลางความเงียบ

        เงียบจนได้ยินเสียงลมหายใจที่แผ่วเบา...จนผมนึกกลัวว่าคนที่อยู่ตรงหน้ากันนี่อาจจะเป็นภาพลวงตา อินทร์พยายามที่จะเบือนหน้าหนีแต่ผมไม่ยอมให้เป็นแบบนั้นด้วยการจับใบหน้ามันไม่ให้เคลื่อนไปไหน อินทร์เลยทำได้เพียงผลุบตาลงต่ำ

        “อินทร์...”

        “ถอยไป” มันย้ำคำเดิมเสียงขุ่น แต่แฝงความสั่นไหวอยู่ในนั้น

        “อินทร์”

        “ถอย!” รอบนี้มันเริ่มขึ้นเสียงคล้ายจะตวาด ยกมือข้างหนึ่งขึ้นมากึ่งทุบกึ่งผลักลงบนไหล่ข้างขวาของผม ซึ่งมันไม่ได้ทำให้ผมสะทกสะท้านแม้แต่น้อย

        “ทำไมไม่ทำให้แรงกว่านี้ล่ะ” ผมยียวน

        คนตรงหน้าถลึงตาแต่กลับไม่ทุบอะไรผม ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันแน่นก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นการกัดริมฝีปากล่างแบบที่มันชอบทำสมัยก่อนตอนเครียดๆ ผมมองดูปากบางของมันก่อนที่จะเลื่อนมือไปสัมผัสที่มุมปากของมันอย่างแผ่วเบา แต่คงมากพอที่จะทำให้มันสะดุ้ง

        “...”

        ไม่มีคำพูดใดหลุดมาจากเรา

        อินทร์มองหน้าผม ผมมองหน้ามัน เราสบตากัน...และเป็นมันที่หลบตาไปก่อน

        ผมได้ยินเสียงลมหายใจที่แสดงถึงความอึดอัดของคนตรงหน้า จังหวะนั้นเองที่ได้ยินเสียงคนพูดคุยกันดังเข้ามาใกล้ผมเลยรีบผละกายออกมาอย่างรวดเร็ว แต่ไม่วายที่จะคว้ามือของมันมาและออกแรงกระชากอย่างแรง

        “นี่!” มันเริ่มโวยวายอีกหนเมื่อผมลากมันออกมาที่ข้างนอกก่อนที่จะมีใครเดินเข้ามาเจอ “คุณพีรพัฒน์!”

        “เลิกเรียกสักที!”

        “แล้วจะให้เรียกว่าอะไรเล่า!”

        เสียงตวาดของมันทำให้ผมหันไปมอง กชอินทร์แสดงสีหน้าราวกับเพิ่งได้สติ มีคำว่า ‘พลาดแล้ว’ แสดงออกมาจากแววตาของมัน

        “เรียกว่าอะไร... ต้องให้ตอบจริงๆ รึยังไง” ผมเอาลิ้นดุนแก้มอย่างหงุดหงิดใจกับคำพูดของมัน พูดด้วยน้ำเสียงแสดงความขุ่นเคืองอย่างเห็นได้ชัดแถมยังกระชากเสียงอีกต่างหาก

     ในหัวผมตื้อไปหมด เหมือนกับโมโหทั้งที่รู้ดีอยู่แก่ใจว่าตนไม่มีสิทธิ์อะไรไปโมโหมัน... อาจจะเป็นเพราะว่าผมรู้ดีผมถึงยิ่งรู้สึกหงุดหงิดใจ ผมเกลียดที่ต้องยอมรับความจริงว่าผมไม่มีสิทธิ์ใดๆ ในตัวมัน ไม่ว่าจะเป็นสิทธิ์ในการสัมผัส การพูดคุย หรือการโอบกอดมันไว้ในอ้อมแขน... ไม่สิ ความจริงแล้ว สิทธิ์ที่ผมจะรู้เหตุผลที่เราไม่ได้พูดคุยกันมาตลอดสิบปีนี้ผมยังไม่มีเลยด้วยซ้ำไป
     
     คนตรงหน้าเงยหน้าขึ้นมา กัดริมฝีปากตามนิสัยเสียของตัวเองก่อนที่จะพูดคำที่ผมไม่อยากฟังออกมามากที่สุด

     “ผมเกลียดคุณ...” มันพูดแบบนั้นแต่กลับไม่ทำอะไรกับมือของผมที่จับข้อมือมันอยู่เลย ผมออกแรงบีบมากขึ้นเล็กน้อย แต่อินทร์ก็ยังคงย้ำคำเดิม “เกลียด...”

     “เดินออกไปสิ” ผมพูดตัดบท

     “...”

     “เกลียดไม่ใช่เหรอ เดินออกไปเลย เดี๋ยวนี้” ผมย้ำกับมันด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ก้มลงมองข้อมือของมันที่ถูกผมจับกุมอยู่ก่อนที่จะเงยหน้าของมามองมันอีกครั้ง “แค่สะบัดก็หลุดแล้วนี่”

     “...”

     อย่ามาทำหน้าแบบนี้

     อย่ามองกันด้วยแววตาเหมือนผิดหวังกับคำพูดที่ออกมาจากปากผม คนที่ควรจะผิดหวังและเสียใจมันคือผมเองไม่ใช่หรือ... ทำไมต้องมองเหมือนผมทำอะไรให้ผิดหวังด้วย

     ผมสบถคำหยาบคายออกมาเสียงดังด้วยความหงุดหงิดใจ ก่อนที่จะดึงแขนมันมาอีกครั้ง อินทร์ไม่ได้คิดจะหนีผมไปไหน ซ้ำยังคล้ายจะยอมเดินตามแต่โดยดีด้วยซ้ำไป นี่เหรอท่าทีของคนที่เกลียดกัน...แล้วจะเชื่อได้ยังไงว่ามันเกลียดผมเหมือนที่มันพูด

     “ให้โอกาสให้เดินออกไปแล้วนะ...” ผมเอ่ยปากออกมาโดยที่ไม่มองหน้ามัน เดินตรงไปที่รถของตนเองซึ่งจอดอยู่ในชั้นนี้พอดี ยิ่งอีกฝ่ายไม่ตอบโต้อะไรกลับมายิ่งทำให้ผมกระชับมือมันแน่นกว่าเดิม “ถ้าไม่เดินออกไปตอนนี้...มึงจะไม่มีโอกาสเดินออกไปอีกแล้วอินทร์”

     “...”

     “กูจะไม่ปล่อยมึงไปอีกแล้ว...”

     ผมลืมความพยายามทุกอย่างไปหมดสิ้น ลืมว่าตัวเองเคยรู้สึกแย่เพียงไหนตอนที่มันเดินจากไปโดยไม่สนใจเสียงเรียกของผม ผมยอมทิ้งทุกอย่างไปพร้อมๆ กับความสับสน พอเจอหน้ามันใกล้ๆ...พอเห็นมันทำตัวคล้ายให้ความหวัง เสี้ยววินาทีนั้นผมกลับย้อนนึกถึงอดีตระหว่างเรา นึกถึงว่าสาเหตุที่ทำให้ผมไม่มีสิทธิ์คืออะไร ความคิดหนึ่งก็แวบเข้ามาในหัวสมองในทันที

     ที่ผมไม่มีสิทธิ์...เป็นเพราะตอนนั้นผมไม่กล้าพอที่จะคว้ามันไว้ใช่รึเปล่า...

     ถ้าผมโยนทิฐิทุกอย่างทิ้งตั้งแต่ตอนนั้น ยอมเดินไปอ้อนวอนขอร้องให้มันฟัง อินทร์จะทำยังไงกับผม จะยอมบอกสาเหตุให้ผมฟัง ยอมพูดคุยกับผมบ้างไหม

     ผมไม่รู้...และคิดว่าตัวเองคงไม่มีโอกาสได้รู้

     ครั้งหนึ่งผมเคยปล่อยโอกาสผ่านไปง่ายๆ แม้ในใจจะคิดแล้วว่านั่นคือโอกาสสุดท้าย ทุกครั้งที่ผมมองหน้ามันนับตั้งแต่มันเอ่ยปากบอกว่า ‘ขี้เกียจคุย’ ผมคิดตลอดว่ามันคือครั้งสุดท้ายของเรา... เราจะได้มองหน้ากันเป็นครั้งสุดท้าย... เดินผ่านกันเป็นครั้งสุดท้าย... แต่ถึงกระนั้นผมก็ยังไม่ยอมพยายามให้มากกว่านี้
 
     จนวันปัจฉิมที่ผมเดินสวนกับมันหลังจบพิธีการต่างๆ ตอนสามทุ่มกว่า ผมเห็นอินทร์เดินออกจากโรงเรียนไปเพื่อขึ้นรถแม่ของมันที่มารับ ทั้งที่ส่วนลึกในใจบอกให้ดันทุรังต่ออีกสักครั้ง... แต่ผมก็ยังปล่อยให้มันเดินผ่านไป

     ถ้าวันนั้นผมรั้งมันไว้อะไรจะเกิดขึ้น ถ้าผมดันทุรังต่ออีกสักนิด ถ้าผมพยายามให้มากกว่าเดิมอีกสักหน่อย

     บางทีสิ่งนั้นอาจจะค้างคาอยู่ในใจผมตลอดมา ผมถึงไม่เคยลืมมันได้ ปล่อยให้มันเป็นตะกอนในความทรงจำที่ยังชัดเจน แม้ไม่ได้คิดถึงทุกวันเวลา ห้วงหาทุกลมหายใจแต่ผมก็ชอบเผลอนึกไปถึงมันหลายครั้งหลายคราจนบางทีผมก็คิดว่าตัวเองเป็นพวกย้ำคิดย้ำทำ

     อินทร์อาจจะซ่อนในส่วนลึกของความทรงจำ แต่มันไม่เคยหายไปไหน...ไม่เคยเลย



     กชอินทร์ไม่แม้แต่จะถามว่าผมจะพามันไปไหน แค่ผมบอกให้มันขึ้นรถมันก็ขึ้นมาอย่างง่ายดายจนผมนึกแปลกใจและสับสนกับตัวมัน

     สรุปมันต้องการอะไรกันแน่ ผลักไสผมไปให้ไกลหรือต้องการให้ผมอยู่ใกล้ๆ อยากให้พวกเรามีความสัมพันธ์ที่ห่างเหินหรือต้องการให้เรากลับไปเป็นเหมือนเดิม ผมคิดไม่ออก ผมไม่สามารถเข้าใจมันได้ แต่บางทีผมก็อยากจะโยนความสงสัยนั่นทิ้งไปซะ ผมจะเข้าใจมันได้อย่างไรในเมื่อผมยังไม่เข้าใจตัวเองด้วยซ้ำไป

     ผมเหลือบตามองคนข้างกาย มันไม่ได้มองผมหากแต่หันมองออกไปนอกหน้าต่าง ฝนตกเล็กน้อยทำให้การจารจรติดขัดกว่าที่ควรจะเป็น

     “จะไม่ถามอะไรเลยเหรอ” ผมเป็นคนทำลายความเงียบตอนที่รถติดไฟแดง

     มันไม่ตอบ ไม่แม้แต่จะหันมามองผมด้วยซ้ำ

     ผมพ่นลมหายใจออกมาอย่างหงุดหงิด “ความปลอดภัยของตัวเองแท้ๆ...”

     คราวนี้มันหันมา “อยากให้ถามเหรอ จะพาไปไหนล่ะ” มันถามด้วยน้ำเสียงประชดประชันพร้อมกับเลิกคิ้วใส่ผม “เชิญเลย” ไหวไหล่คล้ายไม่ใส่ใจ

     “อย่าพูดออกมาพล่อยๆ ถ้าคิดว่าทำไม่ได้” ผมเอ่ยพร้อมกับกำพวงมาลัยในมือแน่นเมื่อสัญญาณไฟจารจรเปลี่ยนเป็นสีเขียว ผมได้ยินเสียงจิ๊จ๊ะดังออกมาจากอีกฝ่ายแต่กลับไม่มีคำพูดใดตามมา “ยังอยู่บ้านเดิมอยู่ไหม”

     “ไม่”

     “โอเค” ผมกระแทกเสียงใส่ “งั้นก็ไม่ต้องกลับบ้าน”

     มันหันขวับมามองผมด้วยสายตาหงุดหงิดใจ กัดริมฝีปากล่างอีกหนจนผมเผลอยกมุมปากขึ้นโดยไม่รู้ตัว นิสัยเสียแบบนี้ของมันไม่ได้เปลี่ยนไปเลยสักนิด

     “ปากแตกหมด”

     มันผงะนิดหน่อย ส่งเสียงหายใจฮึดฮัดก่อนที่จะเบือนหน้าไปที่นอกหน้าต่างใหม่

     กชอินทร์ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก ผมถือว่านั่นคือการไม่ปฏิเสธที่ผมจะไม่ไปส่งมันที่บ้าน เพราะฉะนั้นผมเลยถือวิสาสะขับรถมาที่บ้านของตัวเองแทน พอเริ่มใกล้ถึงผมก็ได้แต่สังเกตคนข้างกาย มันเริ่มแสดงอาการอึดอัดออกมาให้เห็นอีกครั้งหนึ่ง จนสุดท้ายมันก็เอ่ยปากออกมา

     “จะไปที่ไหน”

     “บ้าน”

     “จอด” มันเอ่ยเสียงแข็ง คงรู้แล้วว่าผมพูดถึงบ้านของใคร “เดี๋ยวนี้เลย”

     ผมไม่ได้ตอบอะไร ขับรถไปเรื่อยๆ จนมันเริ่มจะขยับตัวเพื่อปลดเข็มขัดนิรภัยผมจึงคว้ามือมันไว้อย่างรวดเร็ว “คิดจะทำอะไร”

     “ลงจากรถ”

     “บอกตั้งแต่ต้นแล้วใช่ไหมว่าให้เดินออกไปตั้งแต่ต้น” ผมพูดโดยไม่หันมองหน้ามันเพราะยังต้องจับจ้องกับถนนตรงหน้า ฟ้าเริ่มมืด ไหนจะฝนที่ตกลงมาอีก

     มันพยายามปัดแขนของผมออก จังหวะนั้นเองที่ไฟของสี่แยกใกล้บ้านของผมเปลี่ยนเป็นสีแดงผมจึงหันมองมันเต็มๆ ตา

     “หยุดเดี๋ยวนี้” ผมย้ำเสียงแข็ง “บอกแล้วใช่ไหม”

     “คุณพีรพัฒน์”

     “เตือนแล้วนะ...” ผมว่าเสียงเย็นตอนที่มันเรียกชื่อผม สักพักมันก็หยุดดื้อเมื่อสัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียว ผมถอนหายใจออกมาอย่างหงุดหงิดและหันไปสนใจทางข้างหน้าใหม่

     อินทร์แสดงอาการเครียดออกมาอย่างเห็นได้ชัด มันเริ่มขยับกายไปมาตอนที่ผมเลี้ยวเข้าซอยบ้านตัวเอง ผมเหลือบมองมันอีกครั้งตอนที่ตัวเองจะลงไปเปิดประตูบ้านเพื่อเอารถเข้าไปจอด อินทร์ไม่มีทีท่าที่จะหนีอีกแล้ว อะไรของมันกันแน่... ผมส่ายหน้าด้วยความไม่เข้าใจก่อนที่จะจัดการเอารถเข้าไปจอดให้เรียบร้อยแล้วจึงถามมัน

     “ไม่หนีแล้วเหรอ”

     “...”

     “อินทร์”

     มันหลับตาลงเล็กน้อยก่อนที่จะลืมตาขึ้นมาใหม่ “ไม่”

     เชื่อได้แค่ไหน

     ผมพยายามลืมคำถามนั้นไปก่อนที่จะออกมาจากรถ ยืนมองว่ามันจะขยับกายไปไหนหรือไม่ก่อนที่มันจะลุกขึ้นออกมาจากรถบ้าง เดินจ้ำอ้าวเข้าไปในบ้านโดยที่ไม่รอผมด้วยซ้ำ พอเดินไปที่หน้าประตูมันก็หันกลับมาเพราะผมยังไม่ทันไปเปิดประตูบ้านเลยด้วยซ้ำไป

     ผมยิ้มกับทีท่าแบบนั้นโดยไร้สาเหตุ... ยิ้มจากใจจริงๆ หลังจากไม่ได้ทำอย่างนั้นมานานร่วมสิบปี

     ผมปลดล็อคกุญแจ เดินเข้าไปในบ้านและค่อยๆ ไล่เปิดไฟ อินทร์ยังคงยืนอยู่ตรงนั้นจนผมต้องหันหลังไปคว้ามือมันให้เดินเข้ามา

     “...ไหนว่าจะไม่หนี”

     มันสูดลมหายใจ “ไม่”

     “ทำไมไม่เข้ามา”

     “การที่ไม่หนี มันหมายถึงต้องเข้าหาด้วยรึยังไง” อีกฝ่ายตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงประชดประชันอย่างเห็นได้ชัด

     ผมกลอกตากับคำตอบของมัน ดึงมันให้เดินเข้ามาในห้องนอน อินทร์ยืนอยู่ตรงหน้าประตูห้องตอนที่ผมเปิดตู้เสื้อผ้าและโยนเสื้อของตนเองใส่มัน

     “ไปอาบน้ำซะ”

     มันก้มมองเสื้อผ้าในมือก่อนที่จะโยนกลับมาหาผมอย่างแรง “ไม่” มันย้ำ “ไม่ พอ...พอ” ว่าแล้วก็ทำท่าเหมือนจะเดินออกไปจากห้อง แต่ผมไปขวางมันไว้เสียก่อน

     “จะทำอะไร ไม่ขับไปส่งแล้วนะ”

     “แล้วมันไม่มีแท็กซี่รึยังไง!” มันขึ้นเสียงใส่ผมบ้าง “ถอย”

     “แค่ให้นอนที่นี่มันจะตายรึยังไง”

     “ใกล้ตาย” มันเริ่มต่อปากต่อคำมากขึ้น “คุณพีรพัฒน์ ถอย”

     “เลิกเรียกว่าคุณพีรพัฒน์ได้แล้ว” กชอินทร์เหมือนไม่ฟังกันด้วยซ้ำ

     ผมกลอกตาอย่างหงุดหงิดใจ มันมองผมด้วยสีหน้าที่อ่านไม่ออก ผมไม่เคยอ่านมันออกตั้งแต่เราไม่ได้คุยกันอีก สักพักมันก็เริ่มแสดงสีหน้าแข็งกร้าวขึ้นมาใหม่

     “เลิกทำอะไรแบบนี้ได้ไหม...” ผมเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง “เลิกทำแบบนี้”

     “ใครกันแน่ที่ต้องเลิกทำอะไรแบบนี้” อินทร์พูดเสียงเรียบ “ใครกันแน่”

     “อินทร์” ผมเรียกชื่อมันก่อนจะถอนหายใจขึ้นมาเฮือกใหญ่ “เป็นอะไรขึ้นมาอีก ทำไมทำตัวดีๆ ไม่ได้” เหมือนสติจะขาดสะบั้นลงกับทีท่าไม่แน่นอนของมัน

     “...”

     “สรุปต้องการอะไร อยากจะหนีหรืออยากจะเข้าใกล้ หรืออยากจะทำแค่ยืนอยู่เฉยๆ” เสียงของผมเริ่มดังขึ้นด้วยความอัดอั้นใจ “ต้องการอะไร บอกมาสิวะ!”

     “…”

     “เคยรู้รึเปล่าว่าคนอื่นเขารู้สึกยังไงเวลาที่คุยกันเหมือนเดิมไม่ได้ อยู่ใกล้เหมือนเดิมไม่ได้โดยไม่มีสิทธิ์รู้สาเหตุอะไรเลย” ผมว่าต่อเมื่อเห็นว่ามันไม่โต้แย้งอะไรออกมา “คิดว่าคนอื่นเขารู้สึกยังไงที่มาเจอเพื่อนเก่าตัวเองหลังจากผ่านมาสิบปีแล้วโดนทำเหมือนคนไม่รู้จัก ทำเหมือนจำกันไม่ได้ ในขณะที่จำได้ทุกอย่าง!”

     “…”

     “ถ้าตอนนั้นเราเป็นแฟนกันเรื่องมันจะง่ายกว่านี้ไหม”

     “ถอย” อินทร์เอ่ยปากแต่ไม่ขยับเขยื้อนแต่อย่างใด “เลิกพูดนะ!”

     “ทั้งๆ ที่ตอนนั้นเรารักกันอยู่แท้ๆ!”

     “บอกให้หยุดพูดไง!”

     มันตวาดออกมาเสียงดัง...ดังจนทำให้ผมผงะ ก่อนที่มันจะก้มหน้าลง ค่อยๆ ทรุดกายลงไปนั่งคุกเข่ากับพื้นจนผมนิ่งงันด้วยความตกใจ

     “หยุดพูดนะ” มันพูดออกมาเสียงเบาโดยที่ไม่เงยหน้าขึ้นมา “เราไม่เคยรักกัน...”

     “...”
   
     “ถ้าไม่รู้อะไรก็หยุดพูดเถอะ”

     ผมย่อกายลงให้ใบหน้าอยู่ระดับเดียวกับใบหน้ามัน ก่อนที่จะเม้มปากแน่นเมื่อเห็นว่ามีอะไรบางอย่างหยดลงบนหลังมือของผมที่ใช้หยัดกายอยู่บนพื้น

     “มึงไม่เคยรู้อะไรเลย...”

     น้ำตาของอินทร์



----------------------------------------------------------
แต่งเองหงุดหงิดพวกนางเอก  :ling2:
คาดว่าคนอ่านคงรู้สึกไม่ต่างกัน (ฮา)

ปล. สุขสันต์วันเมษาหน้าโง่!
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 8 (01/04/15) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 01-04-2015 21:34:19
 :hao4:

อึดอัดอย่างที่สุด ตอนนี้อินทร์อยู่ในบ้านแล้ว จะเปิดปากเล่าเรื่องเก่าๆได้ยังคะเนี่ยว่าเกิดอะไรขึ้น?

หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 8 (01/04/15) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 01-04-2015 21:37:47
ก็แล้วทำไมไม่เปิดปากแล้วพูดออกมาสักทีว่ะ
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 8 (01/04/15) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: andear ที่ 01-04-2015 22:33:24
ก็ไม่พูด แล้มมันจะรู้มั๊ยละค๊าาาาาาาาาา
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 8 (01/04/15) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: กฤษณ์ ที่ 01-04-2015 23:20:45
 :ling2:
กลุ้มแทนทุกคน..
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 8 (01/04/15) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Vermouth ที่ 02-04-2015 00:06:50
เออ งงอินทร์จริงๆ พอพีทให้โอกาสไปก็ไม่ไป แต่สุดท้ายก็บอกว่าเกลียดกัน จะเอายังไงกันแน่ มึนแทนพีทเลยค่ะ
แล้วก็บอกว่าพีทไม่เคยรู้อะไรเลย ก็ใช่ไง ก็ตัวเองไม่เคยพูดพีทจะรู้ได้ไงอะ ต้องอยู่กับความอึดอัด สับสน ไม่เข้าใจ ไม่รู้มานาน เห็นใจพีทบ้างไหมอินทร์?
เฮ้อออ ต่อว่าไปงั้น มาทรงนี้อินทร์ไม่ใช่ไม่รักหรอกแต่ต้องมีเหตุผลสำคัญมากแน่ๆ ถึงได้ยอมแยกจากพีทไป ขอเดาว่าอาจจะเกี่ยวกับครอบครัว ถึงจะไม่มี clue อะไรเลยก็เถอะ 555
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 8 (01/04/15) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 02-04-2015 01:14:28
คือปากหนักไปไหนอะะะะะ
สงสัยต้องให้พีทตบจูบง้างปาก 55555555

รอลุ้นนะคะ เราเดาว่าโดนพ่อแม่กีดกันตอนเด็ก
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 8 (01/04/15) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: youuue ที่ 02-04-2015 21:33:25
หน่วงงงงง :เฮ้อ: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :pig4:
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 8 (01/04/15) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 05-04-2015 02:15:47
แวะมาส่องงง  :katai5:
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 9 (06/04/15) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: NINEWNN ที่ 06-04-2015 20:24:29
(http://upic.me/i/ak/timeticket_.jpg)

CHAPTER 9

“รักไม่ได้...บอกกับตัวเอง หัวใจตัวเอง
ต้องห้ามตัวเอง บอกมันอย่าหวั่นไหว”

(รักไม่ได้ - Groove Rider)



     อินทร์ไม่เคยร้องไห้มาก่อน อย่างน้อยๆ ผมก็ไม่เคยเห็น

     นั่นเป็นสาเหตุว่าทำไมพอผมมองร่างบางตรงหน้ากอดเข่าตัวเอง ก้มหน้างุดและมีเสียงสะอื้นหลุดลอดออกมาผมถึงทำอะไรไม่ถูกแม้แต่นิดเดียว ผมพูดอะไรไม่ออก คำแสดงความหงุดหงิดด้วยโทสะที่กำลังจะหลุดปากถูกเก็บเงียบและกลืนลงคอไป ผมหมายจะเอื้อมมือไปสัมผัสมัน แต่ก็ต้องชะงัก

     ผมไม่รู้ว่าตัวเองควรจะทำอย่างไรดี

     สัมผัสมันเหรอ... หรือปลอบโยน... หรือผมควรนิ่งอยู่เฉยๆ

     ผมทำอะไรไม่ถูกจริงๆ ไม่เคยเห็นมันขดตัวให้เล็กที่สุดแบบนี้ มันพยายามกอดตัวเองไว้จนผมหวาดกลัวว่ามันจะหายไปจากตรงหน้า อินทร์เป็นคนมีที่มีรอยยิ้มบนใบหน้าหรือไม่ก็เอาแต่ทำหน้าเรียบเฉย ไม่เคยมีสักครั้งที่มันจะร้องไห้ออกมาแม้ว่าจะเคยกลัวกิจกรรมที่ค่ายลูกเสือจนตัวสั่น หรือจะเป็นตอนที่มันกระดูกร้าวจนใส่เฝือกเกือบเดือนเพราะทำกิจกรรมโรงเรียนมันก็ไม่เคยร้องไห้ออกมาแบบนี้

     ผมชักมือของตนเองกลับมา กำมือแน่น มองคนที่ส่งเสียงสะอื้นโดยไม่เงยหน้าขึ้นมาให้เห็น

     ‘ไม่เคยรู้อะไรเลย’ อย่างงั้นหรือ?

     ผมทรุดกายนั่งตรงหน้ามันอย่างเงียบเชียบ เสียงสะอึกสะอื้นที่ไม่เคยคาดคิดว่าจะได้ยินจากคนตรงหน้าดังขึ้นเป็นระยะจนผมต้องเม้มริมฝีปากเข้าหากันแน่น เลื่อนมือไปสัมผัสไหล่ของมันอย่างแผ่วเบา

     “อินทร์...”

     เจ้าของชื่อไม่ตอบแต่ส่งกำปั้นหลุนๆ ออกมาทุบลงบนอกผมอย่างแรง

     แม้จะเจ็บแต่ไม่ได้ห้ามอะไร ผมอยากปล่อยให้มันทุบจนพอใจจนกว่ามันจะหยุดร้องไห้

     เวรกรรมอะไรของผมกันนะ ต้องมาเจอมันหลังจากผ่านไปสิบปี มันไม่ยิ้มให้ ทำเป็นไม่รู้จัก ต้องคุยกันท่ามกลางความอึดอัดแล้วยังจะต้องมาเห็นมันร้องไห้อีกอย่างงั้นหรือ

     ร่างของคนข้างกายยังไม่ไหวติง ไหล่บางสั่นน้อยๆ สักพักก็หยุดมือทุบผม

     ผมขยับมือไปจับข้อมือมันไว้เบาๆ มันไม่มีแม้แต่แรงจะขัดขืนผมแล้วด้วยซ้ำไป

     “อินทร์...” ผมเรียกชื่อมันอีกครั้ง ขยับใบหน้าให้ลงไปอยู่ระดับเดียวกับมันแต่ไม่มีทีท่าว่ามันจะเงยหน้าขึ้นเลยแม้แต่น้อย “เป็นอะไร”

     ผมรู้ดี คำถามนี้มันไร้ประโยชน์ และผมคงไม่มีโอกาสได้รับคำตอบ

     “ปล่อย” มันเอ่ยเสียงห้วน ไม่เงยหน้าขึ้นมาด้วยซ้ำ

     ผมไล้ปลายนิ้วไปบนฝ่ามือที่กำแน่นของมัน ออกแรงนิดหน่อยให้มันแบมือออกก่อนที่จะต้องตกใจเมื่อเห็นว่าบนฝ่ามือของมันมีรอยจิกของเล็บอยู่อย่างชัดเจน

     ตั้งแต่เมื่อไหร่...

     ผมใช้ปลายนิ้วสัมผัสรอยเหล่านั้นอย่างแผ่วเบา ยังดีที่ไม่ถึงกับจิกเข้าไปในเนื้อ “เจ็บไหม” เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนที่สุดเท่าที่คิดว่าเคยพูดหลังจากกลับมาเจอกับมันใหม่

     หัวทุยๆ นั่นส่ายไปมาแทนคำปฏิเสธ ยังไม่ลดละความพยายามที่จะขืนมือหนีออกจากผมอย่างคนไม่มีแรงแต่ผมทำได้เพียงกำมือของมันไว้ บีบมันเบาๆ คล้ายจะกระซิบบอกโดยไร้เสียงว่าผมยังยืนอยู่ตรงนี้ ทีท่าต่อต้านของมันลดน้อยลง สักพักผมก็เปลี่ยนเอามือที่ชื้นเหงื่อของมันสัมผัสแก้มของผมอย่างแผ่วเบา

     “อินทร์”

     “...”

     “พีท...ไม่เคยรู้อะไรเลยเหรอ” ผมเผลอใช้คำแทนตัวเองได้หน่อมแน้มมากที่สุดเท่าที่เคยทำ แทนตัวเองด้วยชื่อแบบนี้ครั้งสุดท้ายตอนไหนผมยังจำไม่ได้เลยด้วยซ้ำไป “ไม่รู้อะไรเลยใช่ไหม...”

     “อึก...” มันส่งเสียงสะอื้น “ปล่อย”

     “ไม่” ผมตอบชัดถ้อยชัดคำ “ไม่ปล่อย” ผมย้ำ “ไหนบอกจะไม่หนีแล้วไง”

     “ปะ ปล่อย” มันย้ำเสียงแผ่วเบา
   
     คนตรงหน้าเป็นอะไรกันแน่นะ

        ตัวตนจริงๆ ยังเป็นแบบเดิมที่ผมเคยรู้จักเมื่อสิบปีที่แล้วหรือเปล่า ยังใช่มันอยู่หรือเปล่า... ตลอดเวลาที่มันมาเป็นบรรณาธิการให้ผม ที่พูดจากแข็งทื่อ ใช้คำพูดชวนเจ็บปวดคือตัวมันที่ถูกเวลาสิบปีหล่อหลอมมา หรือว่าเป็นเพียงเปลือกแข็งๆ ที่ห่อหุ้มตัวตนของมันที่ผมเคยรู้จักไว้กันแน่

        “เงยหน้าขึ้นมาหน่อยได้ไหม” ผมร้องขอด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง แต่แน่นอนว่ามันก็ไม่ได้ทำตาม “ขอร้องล่ะนะ...อินทร์”

        เจ้าของชื่อไม่แม้แต่จะมีทีท่าหวั่นไหวด้วยซ้ำ ผมเม้มริมฝีปากเข้าหากันแน่นเพราะทำอะไรไม่ได้ สุดท้ายแล้วก็ยอมแพ้ ลุกขึ้นเล็กน้อยก่อนที่จะช้อนตัวมันขึ้นมาไว้ในอ้อมแขน กชอินทร์มีท่าทีขัดขืนแต่ก็ยังสู้แรงผมไม่ได้ ผมกึ่งอุ้มกึ่งพยุงมันมาที่เตียงอย่างทุลักทุเล

        อินทร์ล้มลงนั่งท่าเดิมบนเตียง “ปล่อย” มันย้ำคำเดิมซ้ำไปซ้ำมาเป็นรอบที่ร้อย “ปล่อยเถอะ”

        “...”

        “จริงๆ นะ...ปล่อยเถอะ”

        ผมสูดลมหายใจลึก มองมือของมันที่อยู่ในกำมือของตนเอง นั่งลงที่พื้นให้ต่ำกว่ามัน แต่ก็ยังไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าของมันอยู่ดี อินทร์แนบหน้าของตนเองลงบนหน้าขาโดยไม่เปิดโอกาสแม้แต่นิดเดียวให้ผมเห็นหน้าที่เปื้อนน้ำตาของมัน เสียงสะอึกสะอื้นเริ่มหายไปแล้ว

     “พีทไม่รู้อะไรบ้างเหรอ ไม่เข้าใจอะไรบ้าง”
   
     “...”

        “ทำไมไม่ตอบล่ะ” น้ำเสียงของผมดูจะสั่นเล็กน้อย “ทำไมไม่พูดออกมาให้เข้าใจ...”

        มันบอกว่าผมไม่รู้ ซึ่งผมก็ไม่คิดจะปฏิเสธ...มันบอกว่าผมไม่เข้าใจ ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจจริงๆ

        นานทีเดียวที่พวกเราตกอยู่ในความเงียบ เสียงก้อนสะอื้นของมันหายไปจนไม่ได้ยิน ท่าทีของมันเริ่มเหมือนกับสงบสติอารมณ์ได้แล้ว แต่ก็ยังยืนยันที่จะไม่พูดอะไรออกมา ผมเองก็ทำอะไรไม่ได้ พูดอะไรไปมันก็คงไม่คิดจะเปิดปากพูดให้ผมได้เข้าใจ

     ผมไล้ปลายนิ้วลงบนแผลของมันเรื่อยเปื่อย ก่อนที่จะจรดริมฝีปากลงบนรอยเหล่านั้นเบาๆ อินทร์สะดุ้ง ทำท่าจะขืนกาย จังหวะนั้นเองที่ผมชำเลืองมองมันและเห็นใบหน้ามัน

     แววตาที่แสนเศร้าสร้อยนั่น...

     บอกหน่อยได้ไหมว่านี่ไม่ใช่แววตาจริงๆ ของมัน อินทร์คงไม่ได้เศร้าเสียขนาดนี้หรอกใช่ไหม

     มันชะงักเมื่อเราสบตากัน เบือนหน้าไปอีกทางแล้วก้มหน้าซุกลงบนหน้าขาตนเองใหม่ นั่นทำให้ผมรู้ว่ามันไม่อยากให้ผมมองเห็นมันในสภาพแบบนี้

     ผมถอนหายใจ “ถ้าไม่อยากให้เห็นก็หยุดเลย” ยอมรับว่าต้องยอมแพ้ที่จะคาดคั้นมันในตอนนี้ “ไปอาบน้ำล้างหน้าเถอะอินทร์”

     “...”

     พอมันไม่ตอบอะไรผมเลยเลือกใช้วิธีพยายามออกแรงจับใบหน้ามันขึ้นมา อินทร์ไม่ยอมอยู่แล้ว สุดท้ายมันก็รีบมุดใต้แขนของผมออกไปวิ่งเข้าห้องน้ำ ปิดประตูเสียงดังซะจนผมยังสะดุ้ง

     เสียงน้ำดังออกมาจากในห้องน้ำ ผมไม่รู้ว่ามันอาบน้ำจริงไหมหรือคิดจะทำอะไรกวนโมโหอย่างเช่นเปิดน้ำไว้เฉยๆ แต่ที่แน่ๆ ก็ไม่มีทางให้มันหนี ผมถอนลมหายใจออกมา เหลือบตามองเพดานสีขาวที่ว่างเปล่าด้วยความรู้สึกบอกไม่ถูก จะยิ้มก็ยิ้มไม่ออก จะเศร้าก็ไม่เชิง จะบอกว่าสงสัยเองก็ใช่

     ผมไม่รู้อะไร...ผมไม่เข้าใจอะไร

     ผมหลับตาลงกับคำถามนั้นและคิดว่าหนทางเดียวที่จะทำให้ผมได้รู้คำตอบ คือการที่คนซึ่งร้องไห้เมื่อกี้มาพูดให้ผมฟังเท่านั้น

     

     อินทร์คงคิดจะยั่วโมโหกันจริงๆ...

     “อินทร์!” ผมตะโกนเรียกชื่อมัน ไม่มีเสียงตอบรับ มีเพียงเสียงน้ำที่ยังไหลไม่มีหยุดมาราวๆ ครึ่งชั่วโมง “นอนตายไปแล้วรึยังไงฮะ”

     ว่ากันตามจริงก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่ เผื่อใจไว้แล้วว่าคนที่ดื้อเงียบอย่างมันคงจะไม่ยอมทำอะไรดีๆ ให้ผมที่มันบอกว่าเกลียดนักหรอก แต่ว่าก็ว่าเถอะ ผมอดยิ้มไม่ได้เมื่อเห็นว่ามันเริ่มทำตัวเป็นเด็กอีกครั้ง

     เป็นคนที่ผมรู้จัก

     กชอินทร์ที่ผมรู้จักไม่ใช่คนที่เอาแต่ใช้สรรพนามว่า ‘คุณ’ กับ ‘ผม’ ไม่ใช่คนที่เรียกคนอื่นด้วยชื่อจริง ไม่ใช่คนที่ใจเย็นอย่างร้ายกาจและพูดจาเหมือนเจรจาธุรกิจทุกครั้งที่ได้เจอ คนที่ผมรู้จักเป็นเพียงเด็กผู้ชายธรรมดาที่ทั้งดื้อทั้งซน พยายามทำตัวให้ดูเป็นผู้ใหญ่แต่ก็ยังดูเด็ก ทั้งที่เป็นคนมีความรับผิดชอบสูงเกินกว่าคนทั่วไปเพราะเป็นลูกคนโตแต่ก็มีความเอาแต่ใจตามประสาลูกคุณหนู

     อินทร์เป็นแบบนั้น...เป็นแบบนั้นมาตั้งนานแล้ว
   
     พอเห็นว่าตะโกนเรียกมันไปมันก็คงไม่ตอบ ผมเลยดันกายขึ้นจากที่นอนเดินไปเคาะประตูห้องน้ำแรงๆ สองสามที “อินทร์”
   
     เงียบ

     ผมเค้นยิ้ม เดินไปเปิดลิ้นชักจากโต๊ะที่มีของวางไว้ระเกะระกะ หยิบกุญแจพวงใหญ่ที่มีสติกเกอร์ติดไว้ทุกดอกว่าแต่ละดอกใช้เปิดอะไร ควานหาเพียงแป๊บเดียวก็เจอดอกที่เขียนว่า ‘ห้องน้ำ 1’

     ผมไม่ส่งสัญญาณอะไรอีก ทำเพียงไขกุญแจในเวลาอันรวดเร็วและเปิดประตูพรวดเข้าไป

     ภาพที่เห็นไม่ได้ทำให้แปลกใจเสียเท่าไหร่... อินทร์ยืนอยู่ที่หน้ากระจก เปิดน้ำจากฝักบัวทิ้งไว้ให้ไหลไปเฉยๆ จนผมได้แต่ส่ายหน้าอย่างระอา

        “เปลือง” ผมเดินเข้าไปปิดน้ำจากฝักบัว ก่อนที่จะหันมามองกชอินทร์ที่ทำหน้าตกใจ “ไม่อาบน้ำเหรอครับคุณกชอินทร์” เอ่ยปากประชดด้วยความนึกหงุดหงิดระคนขำขัน

        มันเม้มริมฝีปากเข้าหากัน กัดปากล่างอย่างที่เคยชินจนผมกลอกตาขึ้นข้างบนด้วยความหงุดหงิดใจ

        ผมเดินไปคว้ามือมันและออกแรงกระชากนิดหน่อยให้มันเดินตามมา จับมันมานั่งที่ปลายเตียงและจับใบหน้ามันไว้ไม่ให้หันหนีไปไหน

        “จะเล่าได้รึยัง” มันไม่ตอบ กัดริมฝีปากจนผมต้องตีแก้มมันเบาๆ “ปากแตกหมด”

        อินทร์ก้มหน้า ไม่มองหน้าผม จนผมคิดว่าเมื่อไหร่ตัวเองจะได้คำตอบ มีโอกาสรึเปล่าที่ผมจะได้คำตอบจากปากมันให้ชัดเจนเสียที ไม่ใช่ข้ออ้างอย่างคำว่าขี้เกียจ

        “อินทร์” ผมเรียกชื่อมันเสียงอ่อน “ขอถามสักคำได้ไหม”

        “...”

        “สมัยก่อน... เราเป็นเพื่อนกันจริงๆ น่ะเหรอ” คำพูดของผมทำให้มันเงยหน้าขึ้นสบตา แต่สุดท้ายก็ก้มหน้าลงใหม่ “ในเมื่อเราสองคนก็รู้ดีว่าไม่ใช่” ผมเอ่ยตัดเพ้อ “ถ้าจะบอกเลิกกันก็ช่วยบอกให้ชัดเจนได้ไหม ไม่ใช่แค่บอกว่าขี้เกียจคุยแล้วก็เดินหนีไป”

        “มัน” อินทร์เอ่ยปากออกมาในที่สุด “มันไม่ใช่แบบนั้น...”

        “อะไรที่ไม่ใช่?”

        มันเม้มปากเข้าหากันจนผมต้องไล้ปลายนิ้วลงบนริมฝีปากบางนั่นเบาๆ อินทร์ไม่แม้แต่จะมองผม ไม่แม้แต่จะเบือนหน้าหนี ผมใช้จังหวะนั้นเลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้ ใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจ...ใกล้จนปลายจมูกของเราชนกัน ใกล้แบบที่ผมไม่คิดว่าตัวเองจะได้เข้าใกล้มันมากขนาดนี้อีกครั้ง

        “สรุปว่าเราเป็นเพื่อนกันหรือ” ผมเอ่ยถาม “เป็นเพื่อนกัน...” ก้มลงมองริมฝีปากของคนตรงหน้าที่มีปลายนิ้วของผมว่างอยู่ “แต่กลับจูบกันได้เนอะ”

        “...”

        “ทำไมไม่บอกให้รู้”

        “...”

        “ถ้าพูดออกมา ไม่ว่าจะเรื่องอะไร...เราอาจจะไม่ต้องเสียเวลาสิบปีไปแบบนี้ก็ได้”

        อินทร์หลับตาลง ไม่มีน้ำตาไหลลงมาจากดวงตาคู่นั้น สุดท้ายมันก็สูดลมหายใจลึก “จะรู้ไปทำไม” เอ่ยปากออกมาด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้งจนผมไม่มั่นใจว่าที่มันเปิดน้ำจากฝักบัวเป็นเพราะว่ามันใช้เพื่อปิดบังเสียงสะอื้นของมันหรือเปล่า มันคงจะไม่ได้ไปร้องไห้ต่อในห้องน้ำใช่หรือไม่ “ต่อให้รู้ไปก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี...”

        “...รู้ได้ยังไงว่าทำอะไรไม่ได้”

        มันไม่ได้ตอบอะไร มองผมด้วยแววตาแสนว่างเปล่า “ทำไมต้องอยากรู้ขนาดนั้น...คุณพีรพัฒน์”

        “เลิกเรียกแบบนั้นสักที”

        ทำไมกชอินทร์ไม่เข้าใจผม... ทั้งที่ครั้งหนึ่งในชีวิตผมเคยคิดว่ามันคือคนที่เข้าใจผมมากที่สุดคนหนึ่ง
     
     ทำไมคราวนี้มันถึงไม่เข้าใจเลยว่าผมจมกับคำถามเดิมๆ อยู่ร่วมสิบปี พอคิดว่ามีโอกาสรู้คำตอบ มันก็ไม่ยอมบอกออกมา
   
     ผมพูดอะไรไม่ออกสักคำ ทำได้เพียงมองตามันด้วยแววตาเว้าวอน อินทร์ไม่พูด พวกเราจมอยู่ในความเงียบกันอยู่พักใหญ่ ความเงียบที่ผมทั้งหวาดกลัวและเกลียดชัง นับตั้งแต่เราจากกันโดยไม่สมเหตุสมผล ผมกลัวทุกครั้งว่าผมจะไม่มีโอกาสได้ยินเสียงมันอีก

        “คุณพีรพัฒน์” มันเรียกชื่อจริงผมเสียงแผ่ว มันกำลังทำให้ผมเกลียดชื่อนี้ของตัวเองเสียเหลือเกิน “ยอมแพ้เถอะ”

        “ยอมแพ้อะไร?”

        มันพยายามยกริมฝีปากขึ้น “ที่พูดยังไม่ชัดเจนพออีกเหรอ”

        “อินทร์” ผมเรียกชื่อมัน จับมือมันให้แน่นกว่าเดิม สูดลมหายใจลึก “ขอร้องล่ะ...”

        “ทำไมถึงฝังใจกับผมนัก คุณพีรพัฒน์” มันยังคงเรียกชื่อผมด้วยชื่อนี้ ใช้สรรพนามที่แสนจะห่างเหินทั้งๆ ที่ตอนนี้เราอยู่ใกล้กันแต่มันทำให้เราห่างไกลกันมากขึ้น... มากขึ้น “ผมมีอะไรดีขนาดนั้นเลยเหรอ” มันก้มลงมองตัวเองก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมาสบตาผมใหม่ “หน้าตาเหรอ ร่างกายเหรอ ความสามารถเหรอ...”

        “ถ้ามีดีแค่นั้นมันจะทำให้ฝังใจจนทุกวันนี้หรือยังไงวะ” ผมเอ่ยแทรกขึ้นมาก่อนที่จะถอนหายใจเบาๆ “หน้าตามีคนดีกว่าตั้งเยอะ ร่างกาย...นี่ดีแล้วเหรอ” ผมพูดอย่างติดฉุนเล็กน้อย “ขอร้องเถอะ อย่าแกล้งทำเป็นไม่รู้เลย”

        “ผมไม่ใช่เกย์...” มันเอ่ยเสียงแผ่ว “ไม่ใช่”

        “อินทร์”

        “มันเป็นแบบนั้นไม่ได้...ไม่ได้” มันย้ำคำเดิมซ้ำไปซ้ำมา

        “ทำไมจะไม่ได้ ตอนนี้มันปี...”

        ไม่ทันที่ผมจะพูดจบประโยค อินทร์ก็เอ่ยแทรกถ้อยคำหนึ่งออกมาที่ทำให้ผมรู้สึกเหมือนโดนสาดด้วยน้ำร้อนเต็มหน้า ถ้อยคำที่แสดงให้เห็นถึงความหนักอึ้งที่มันแบกรับไว้มาตลอด สาเหตุของความอึดอัดและความเงียบของเราเมื่อสิบปีก่อน

        “แม้ว่าพ่อของคุณ...จะตายเพราะรู้ว่าลูกชายเป็นคบกับผู้ชายน่ะหรือ”






---------------------------------------------------------------------
   ทอล์กไม่ออก ไปล่ะค่ะ กลัวโดนคนปาเกิบใส่ *ฟิ้ว*

   ปล. คุณ B52 ใจเย็นค่ะ เห็นทุกครั้งเม้นเหมือนอยากทึ้งคอมมาก สัมผัสได้ถึงพลังงานบางอย่างในคอมเม้น :hao5:
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 9 (06/04/15) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 06-04-2015 20:28:20
ในที่สุด!!!

องค์อินทร์รบกวนง้างปากเล่ามาทุอย่างเถอะค่ะ  :z3:

ยังคาใจอยู่

ว่าแต่พ่อในที่นี้ หมายถึงพ่อของอินทร์สินะ...?
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 9 (06/04/15) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 06-04-2015 20:50:31
มันโผล่มาแล้ว!!!!!
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 9 (06/04/15) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: กฤษณ์ ที่ 06-04-2015 23:07:41
ก็ว่า..ทำไมไม่ยอมบอกสักที.. เรื่องใหญ่มาก..  :ling2:
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 9 (06/04/15) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: youuue ที่ 06-04-2015 23:56:40
 :sad4: ว่าแระ
  :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 9 (06/04/15) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 07-04-2015 00:27:58
เดาพลาด5555555555555
ปมคลายมาจี๊ดนึง รออินทร์เล่าหมดปุปก็จะคลาย
และจะขมวดใหม่  :a5:
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 9 (06/04/15) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Vermouth ที่ 07-04-2015 01:47:39
ฮะ!! นั่นไง เอาแล้วไง ว่าแล้วว่าต้องเอี่ยวกับเรื่องครอบครัว โอยยยย อึดอัดได้อีก TwT
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 9 (06/04/15) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: BoolinMini ที่ 07-04-2015 06:08:18
พึ่งตามอ่านมาจนทัน อยากจะบอกว่า อึดอัดมาก

พีทก็ทนมาได้เป็น10ปีเนอะ แบบไม่รู้สาเหตุ

จนมาถึงตอนนี้ ก็ยังอึดอัดจนวินาทีสุดท้าย

ต้องบอกว่าคนแต่งแต่งฟีลมากกกก

รอคำแถลงการณ์ของอินทร์ในตอนต่อไปค่ะ o13
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 10 (11/04/15) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: NINEWNN ที่ 11-04-2015 17:46:59
(http://upic.me/i/ak/timeticket_.jpg)

CHAPTER 10

“I don’t wanna close my eyes. I don’t wanna fall as sleep
‘cause I miss you babe, and I don’t wanna miss a thing”

(I Don’t Wanna Miss a Thing – Aerosmith)



        “แม้ว่าพ่อของคุณ...จะตายเพราะรู้ว่าลูกชายคบกับผู้ชายน่ะหรือ”

        ผมไม่เข้าใจ

        ถ้าให้ใช้คำที่ถูกต้องคือคิดว่าตัวเอง ‘ไม่เข้าใจ’ คำพูดของมันบ่งบอกชัดเจนว่าไม่ได้พูดถึงบิดาของผม เพราะฉะนั้นก็คงจะพูดถึงพ่อของมันเอง

        นี่มันเกินความคาดหมายไปมาก ผมอดคาดหวังให้ตัวเองได้ยินอะไรผิดไป แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่อย่างนั้น มือของอินทร์ที่ถูกผมกุมอยู่สั่นเล็กน้อย สักพักก็ตามมาด้วยเสียงหายใจติดขัดจากอีกฝ่าย ทุกอย่างยิ่งยืนยันว่ามันไม่ได้พูดอะไรออกมาพล่อยๆ

        “อินทร์...” ผมเรียกชื่อมันเสียงแผ่วเบา ไม่เอ่ยปากคาดคั้นอะไรจากมันอีก “ไม่เป็นไร...” กระซิบข้างหูมัน เลื่อนแขนไปโอบมันไว้อย่างเบามือ “ไม่เป็นไร”

        แม้รู้ดีว่าคำพูดของผมช่วยอะไรไม่ได้เลย

        ร่างในอ้อมกอดพยายามจะผลักไสผมอยู่พักหนึ่ง ใช้มือของมันฟาดลงบนแผ่นหลังของผมอย่างแรง แต่เมื่อรู้ว่าไม่ได้ผลก็เป็นมือนั้นเองที่กอดผม แม้ว่ายังจะจิกปลายเล็บลงบนหลังผม มันเจ็บนิดหน่อยแต่คงจะน้อยกว่าความเจ็บปวดที่อีกฝ่ายได้รับอยู่มากโข เสียงสะอื้นดังขึ้นเป็นระยะ ทั้งๆ ที่ผมคิดว่าน้ำตาของมันจะหยุดไหลลงไปแล้ว แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่    อินทร์เก็บน้ำตาไว้นานแค่ไหน... มันถึงมีมากจนไหลไม่หยุดขนาดนี้

        ผมไม่ได้ลูบหลังหรือปลอบประโลมมันแบบที่เคยทำกับคนอื่นยามร้องไห้ สิ่งเดียวที่ผมทำมีเพียงการโอบกอดมันไว้ให้แน่นที่สุด

        อยากให้มันได้ยินโดยที่ผมไม่ต้องพูดอะไร

        ...ว่าผมยังอยู่ตรงนี้... ตรงที่ซึ่งมันเคยเดินจากมา


   
        อินทร์ร้องไห้จนหลับไป ภาพที่ผมไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นมันเป็นแบบนี้

        พอมันเริ่มพล็อยหลับผมก็จัดแจงมันอยู่ในสภาพดี ถอดเสื้อที่เปรอะไปด้วยน้ำตาของมันออก ตอนแรกก็ตั้งใจจะให้มันใส่แค่เสื้อกล้ามนอนแต่คนขี้หนาวอย่างมันคงนอนไม่ได้ สุดท้ายเลยเอาเสื้อนอนย้วยๆ ของผมมาใส่ให้มันอีกตัว ก่อนที่จะปลีกตัวไปอาบน้ำหลังมั่นใจว่ามันหลับไปจริงๆ และคงไม่หนีกันไปไหน

        พอออกมาจากห้องน้ำภาพที่เห็นก็ทำให้ผมรู้สึกแย่ไม่ใจน้อย

        อินทร์นอนขดร่างของตัวเองให้เล็กที่สุดเท่าที่ทำได้ เหมือนมองเด็กขี้เหงาที่ได้แต่โอบกอดตัวเองในวันที่ไม่มีใครอยู่เคียงข้าง

        ผมเดินเข้าไปใกล้ หย่อนกายนั่งบนเตียงให้แผ่วเบา มองใบหน้าที่ไม่ได้สติของมันแล้วรู้สึกอึดอัดใจ

        ผมนึกย้อนไปถึงครอบครัวของอินทร์ ผมเคยเจอแม่ของมันบ่อยๆ เพราะแม่อินทร์มักจะเป็นคนที่มารับลูกชายสองคนกลับบ้านในตอนเย็น ส่วนพ่อของอินทร์ผมเคยเจอเพียงครั้งเดียวตอนไปที่บ้านมัน ดูดุไม่ใช่น้อย ยิ่งคิดถึงคำพูดเวลามันพูดถึงพ่อของมันยิ่งทำให้ผมมั่นใจว่าท่านเข้มงวดไม่ใช่น้อย

        พ่อมันรู้เรื่องของเรางั้นหรือ?

        ผมรู้เพียงว่าพ่อของกชอินทร์หัวใจวาย ไม่ได้รู้จากมันแต่ได้ยินจากเพื่อนของมันอีกทีหลังจากงานศพถูกจัดการเรียบร้อยแล้ว ไม่ได้รู้รายละเอียดอะไรเท่าไหร่นัก นึกย้อนไปก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์นั้นก็จำอะไรไม่ค่อยได้ คลับคล้ายคลับคลาว่ามันเป็นวันหยุดยาวที่ผมติดต่อมันไม่ได้ แม้จบวันหยุดยาวแล้วอินทร์ก็ไม่มาโรงเรียนอีกสองวัน ตอนแรกก็นึกว่ามันอาจจะไปเที่ยวกับครอบครัวตามประสาคนมีเงิน เลยไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก

        ยิ่งคิดยิ่งชวนเครียด กลายเป็นผมเริ่มรู้สึกปวดหัวขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้ ให้ตายเถอะ... เกิดอะไรขึ้นกันแน่

        “อื้อ...” ผมก้มลงมองร่างบนเตียงที่ส่งเสียงในลำคอออกมาเบาๆ ก่อนที่จะพลิกกายเอาใบหน้ามาทางฝั่งผม เล่นเอาผมเค้นยิ้มออกมาบางๆ

        คุณกชอินทร์ไม่ระวังตัวแล้วหรืออย่างไร ปกติอยู่กับผมเล่นระวังตัวแจ

        ริมฝีปากของผมเผลอยิ้มออกมาอย่างขบขัน ถือวิสาสะไล้ปลายนิ้วลงบนแก้มของมันอย่างแผ่วเบา แก้มมันยังชื้นๆ จากน้ำตาอยู่เลย

        “ฮื้อ!” มันส่งเสียงออกมาใหม่ พร้อมกับสะบัดหน้าหนี

        ผมไม่ได้สนใจ จับผมมันบ้าง แก้มมันบ้าง แค่พยายามระมัดระวังไม่ให้มันตื่นขึ้นมา อินทร์เองก็ยังไม่ได้สติเท่าไหร่นัก ผมมองหน้ามันอยู่นาน... อาจจะเป็นชั่วโมง จนตระหนักได้ว่าตัวเองน่าควรหยุดและปล่อยให้มันนอนไปสบายๆ ได้แล้วจึงเดินมาเปิดโน๊ตบุ๊คเพื่อที่จะทำงานแทน

        คงไม่มีนักเขียนที่ไหนจะปล่อยให้มีบรรณาธิการมานอนในห้องขนาดนี้แล้วแหละ... เฮ้อ

        นอกจากนี้ผมยังเดินไปปิดไฟให้เรียบร้อย เปิดเพียงโคมไฟที่โต๊ะเพราะคิดว่ามันน่าจะได้นอนให้สบายกว่านี้ กชอินทร์เป็นพวกนอนหลับในแสงสว่างไม่ได้ แต่อืม... อันที่จริงมันอาจจะปรับตัวได้แล้ว

        แม้จะเปิดไฟล์งานมาแล้วผมเองก็ได้แต่จับจ้องมันอยู่พักใหญ่ ไม่รู้ว่าจะเขียนเรื่องอะไรไปดีในเมื่อกชอินทร์เวียนวนอยู่ในหัวสมองผมไม่ไปไหน ทั้งตอนที่มันร้องไห้และพยายามซ่อนน้ำตาเอาไว้ ตอนที่มันเข้าใกล้และบอกว่าจะไม่หนีผมไปไหนอีกแล้ว

        ผมถอนหายใจ บอกตัวเองว่าเลิกคิดเรื่องนี้ซะก่อนที่จะเดินไปหยิบหูฟังมาเปิดเพลงฟังไปเรื่อยเปื่อยเพื่อที่จะหยุดความฟุ้งซ่านเหล่านี้

        แต่มันไม่ได้ผล...

        สุดท้ายแล้วผมก็เดินย้อนกลับไปที่ข้างๆ เตียงใหม่ มองมันที่หลับสนิทด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก

        ผมคิดว่านี่มันค่อนข้างจะปัญญาอ่อนไปเสียหน่อยที่ผมกำลังทำตัวเหมือนพระเอกในหนัง

        แต่ผมไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรหรอก ผมเอาแต่คิดถึงมัน คิดว่าอยากสัมผัสมัน อยากมองหน้ามัน อยากจะใช้เวลาอยู่กับอินทร์ให้นานที่สุด เรื่องเมื่อสิบปีได้สอนให้ผมได้รู้ว่าผมไม่ควรจะปล่อยให้มันผ่านไปอย่างไร้ค่า อย่างน้อยๆ ก็ควรจะใช้เวลากับมันให้นานที่สุด

     ...เพราะผมอาจไม่มีโอกาสได้ทำแบบนี้อีกแล้วก็ได้

     ผมนอนลงข้างๆ มัน ตะแคงมองหน้ามันที่หายใจอย่างสม่ำเสมอ เกลี่ยผมมันเล่นอย่างไม่รู้จักเบื่อ อินทร์อาจจะเป็นคนที่ทำให้ผมเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำ นี่มันน่ากลัวจริงๆ... และสิ่งที่น่ากลัวกว่านั้นคือมันไม่เคยรู้เลยว่ามันมีอิทธิพลกับผมมากขนาดไหน

     เพลงในโทรศัพท์ถูกเปลี่ยนไปเรื่อย ผมเริ่มรู้สึกง่วงนอนขึ้นมาบ้างจนต้องเดินไปปิดไฟบนโต๊ะเขียนหนังสือและเดินกลับมานอนในที่ข้างๆ มัน ก่อนที่จะรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่แปลกไป คล้ายว่ามันสะดุ้งเล็กน้อยตอนที่ผมกวาดวงแขนไปสัมผัสไหล่ของมัน จนผมต้องเอ่ยถามเสียงแผ่ว

     “ยังไม่นอนเหรอ”

     มันไม่ตอบแต่กลับพลิกกายไปอีกฝั่ง ดูเหมือนว่ามันจะตื่นอยู่จริงๆ

     “อินทร์...” ผมไม่ได้รับคำตอบนอกจากเสียงลมหายใจที่สม่ำเสมอ “พรุ่งนี้จะไม่หายไปใช่ไหม”

     ผมกลัวเหลือเกิน... กลัวว่าตื่นขึ้นมาจะไม่เห็นมัน กลัวว่ามันจะหายไปปล่อยให้เรื่องราวที่เกิดขึ้นวันนี้เป็นเพียงความฝันแค่หนึ่งตื่น

     “อย่าไปไหนได้ไหม”

     “...”

     “อย่าหนีอีกเลยนะ”

     ผมไม่รู้ว่ามันได้ยินผมหรือเปล่า ไม่รู้ว่ามันตื่นอยู่หรือว่ามันหลับจริงๆ ผมทำเพียงเลื่อนมือไปสัมผัสปลายนิ้วของมันอย่างแผ่วเบาและจับไว้ด้วยปลายนิ้วของผมเอง

     อยากจะเกาะกุมมันไว้ไม่ให้มันหนีไปอีกครั้ง

     แต่ไม่รู้ว่าจะสามารถทำอย่างนั้นได้หรือเปล่า...หากกชอินทร์ไม่ได้ต้องการมัน



     “ครับ ครับ มาค้างบ้านเพื่อน”

     ผมได้ยินเสียงที่ครั้งหนึ่งเคยคุ้นดังอยู่ใกล้ๆ แต่ดูเหมือนเปลือกตาของผมจะหนักไปเสียหน่อยเลยไม่เปิดไปตามที่ตัวเองต้องการ

     ผมเลื่อนมือไปเรื่อยเปื่อยก่อนที่จะสัมผัสกับร่างของใครสักคน พยายามสูดลมหายใจก่อนที่จะดันกายขึ้น ลืมตามองคนข้างกายอย่างไม่ค่อยได้สติเท่าไหร่นัก

     อีกฝ่ายเหลือบสายตามองผม “ครับ... เดี๋ยวจะกลับไปนะครับ แม่ไปทำงานก่อนเลย” แต่ยังหันไปพูดกับคนปลายสายอยู่อีกพักใหญ่ ผมที่เริ่มได้สติแล้วเลยเริ่มขยับกายเข้าไปหามันแต่กชอินทร์กลับปัดมือไปมาจนทำให้ผมต้องหงุดหงิดใจ “แค่นี้นะครับ”

     “ใคร” ผมถามไปงั้นแหละ ได้ยินมันเรียกปลายสายว่าแม่แล้วด้วยซ้ำ

     มันเหลือบตามองผม “เรื่องอะไรของคุณ”

     ผมกลอกตา “ให้ตายเถอะ” กระแทกเสียงอย่างประชดประชัน “คุณกชอินทร์ คิดจะทำแบบนี้ไปนานแค่ไหน ทีเมื่อคืน...”

     “เงียบ!” มันพูดใส่ผมเสียงดังจนเกือบจอเป็นตะคอก “ผม... ขอยืมห้องน้ำหน่อยนะ” มันเบี่ยงประเด็น เอี้ยวตัวลงไปอีกฝั่งของเตียงก่อนที่จะเดินไปทางห้องน้ำ ไม่วายหันกลับมาหาผม “เสื้อผมไปไหน”

     “ซักอยู่” ผมตอบเสียงห้วน

     มันแสดงอาการหงุดหงิดใจอย่างไม่ปิดบังจนผมต้องยิ้มอย่างขบขัน ลุกขึ้นไปหยิบเสื้อตัวหนึ่งจากตู้ให้มัน

     “เช้าจะกินอะไร”

     “ไม่” มันตอบกลับเสียงห้วน กระชากเสื้อจากมือของผมไปและเดินเข้าห้องน้ำไปเลย

     ผมอมยิ้ม เดินออกมาจากห้องนอนไปที่ห้องครัว คิดจะไปซื้อข้าวเช้าแต่คงไม่มีอะไรขายแล้ว ตอนนี้เกือบเก้าโมงแล้วด้วยซ้ำ อีกอย่างถ้าผมเดินออกไปจากบ้าน กชอินทร์คงได้หนีออกไปจริงๆ
   
     ผมไม่ไว้ใจมันหรอก... แค่คิดว่าอย่างน้อยผมน่าจะยังมีโอกาสอยู่หรือเปล่า

        สาเหตุที่มันจากไปเป็นเพราะการเสียชีวิตของพ่อมัน ไม่ใช่หมดใจ... ยิ่งมันร้องไห้ให้เห็นเมื่อวานยื่งเป็นการย้ำในคำตอบของคำถามว่าอินทร์ไม่รู้สึกอะไรกับผมแล้วจริงๆ หรือ คำตอบคือ ‘ไม่’ อินทร์ยังรู้สึก แม้ผมจะไม่รู้ว่ามันรู้สึกอย่างหนักแน่นเท่าไหร่ แต่ผมมั่นใจว่ามันยังคงรู้สึกอยู่

        สักพักอินทร์ก็เดินออกมาจากห้องนอน มันเหลือบตามองผมที่นั่งอยู่บนโต๊ะอาหาร ก่อนที่จะหันหลังให้ผมในทันที

        “เดี๋ยวสิ!” เสียงเรียกของผมทำให้มันหยุดชะงัก แต่กลับไม่หันมา “มากินข้าวก่อน เดี๋ยวไปส่ง”

        “ไม่จำเป็น”

        “อินทร์”

        ผมได้ยินเสียงมันถอนหายใจ “หยุดเถอะ”

        “...หยุดอะไร”

        มันหันมามองตาผม ไม่เข้าใกล้ ผมเองก็ไม่ได้ขยับเข้าไปหา ริมฝีปากของมันที่ก่อนหน้านี้ส่งเสียงสะอึ้นเอ่ยปากออกมาด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบที่ติดจะสั่นเล็กน้อย

        “เมื่อคืนยังไม่เข้าใจอีกเหรอ”

        “...”

        “จะให้ผมบอกกับแม่ยังไงว่าตอนนี้...” มันกัดริมฝีปาก คำพูดถูกหยุดชะงักไปชั่วครู่ “มันทำไม่ได้สักหน่อย” ตามมาด้วยการเอ่ยปากเสียงแผ่วเบา

        “ทำไมไม่พูดให้จบล่ะ” ผมถาม ลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินเข้าไปใกล้มัน “ตอนนี้อะไรเหรอ?”

        มันหลบตาผมอีกแล้ว ริมฝีปากล่างถูกขบจนเลือดแทบจะไหล อีกฝ่ายสูดลมหายใจลึกแต่กลับไม่ยอมพูดอะไรออกมาจนเป็นผมถอนหายใจออกมา

        “ไปกินข้าวไป” ผมพูดเสียงอ่อน “ไม่อยากให้ไปส่ง เดี๋ยวก็กลับเองแล้วกัน”

        “จะสานต่อเหรอ”

     คำพูดของมันทำให้ผมผงะ อินทร์เงยหน้าขึ้นสบตาผมจนผมเผลอเอาลิ้นดุนแก้มอย่างนึกหงุดหงิดใจ ผู้ชายคนนี้เคยเข้าใจอะไรง่ายๆ บ้างหรือเปล่านะ... ทำไมต้องเอาแต่ทำให้ทุกอย่างมันยุ่งยากไปกว่าเดิม

     “ทำไมล่ะ ทำไม่ได้หรือยังไง” ผมเอ่ยถามเสียงประชดประชันนิดหน่อย “หรือจะบอกว่าไม่ได้ชอบ...”

     “ไม่!” มันตวาดเสียงดัง

     ผมเดินเข้าไปประชิดตัวมัน อินทร์เหมือนจะหนีแต่ไม่ไปไหนผมจึงคว้าตัวมันไว้ โน้มใบหน้าลงใกล้จนนึกกลัวว่าตัวเองจะหักห้ามใจตัวเองได้อีกนานเท่าไหร่ จังหวะที่ผมก้มลงจรดจมูกลงแถวบริเวณซอกคอมันทำเพียงหดหนี การกระทำนั้นทำให้ผมยิ้มเยาะออกมาเล็กน้อย

     “บอกแล้วใช่ไหมว่าจะไม่ปล่อยให้ไปอีกแล้ว...” ผมกระซิบเสียงแผ่ว มันเบือนหน้าหนีและสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ “ปฏิเสธสิ”

     “...”

     “บอกสิว่าตอนนี้ไม่ได้รู้สึกอะไรแล้ว”

     “...”

     “พูดออกมาสิว่าเราไม่ได้รู้สึกเหมือนกัน” มันไม่ได้พูดอะไรออกมาจนผมถือวิสาสะคิดว่านั่นคือคำตอบว่าเรารู้สึกเหมือนกัน “แล้วมันจะมีสาเหตุอะไรที่ผมจะต้องปล่อยคุณไปด้วย... คุณกชอินทร์”

     ‘คุณกชอินทร์’ ตรงหน้าเม้มริมฝีปากเข้าหากันแน่น

     “มี” มันสูดลมหายใจตอบออกมาเสียงหนักแน่นกว่าเก่า “มัน... มี” มันพยายามผลักผมออก

     “มีอะไรล่ะ นอกจากเรื่องที่บอกแม่ไม่ได้” ผมถามอย่างอารมณ์เสีย

     อินทร์มองผมด้วยแววตาที่เริ่มจะแดงก่ำขึ้นมาใหม่ คิดว่ามันคงไม่ได้จะร้องไห้แต่อาจจะรู้สึกประสาทเสียกับผม แต่พอมันพูดออกมา กลับกลายเป็นผมเองที่ประสาทเสียกับมัน

     “ผมมีพริมอยู่แล้ว”

     คำตอบของมันทำให้ผมผงะ รู้สึกเหมือนโดนตบที่บ้องหูแรงๆ สีหน้าลำบากใจของมันฉายชัดก่อนที่มันจะพยายามทำสีหน้าให้เหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

     “มันมากพอที่จะทำให้เรารักกันไม่ได้หรือยัง”

     





-------------------------------------------------
อันที่จริงอิสองคนนี้น่าจะเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำนะคะ ว่าไหม...  :ling2:

ขอสุขสันต์วันสงกรานต์ล่วงหน้าเลยแล้วกันนะคะ กลัวว่าจะไม่ได้มาอัพในช่วงสงกรานต์
ขอให้มีความสุขกันทุกคนนะคะ <3
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 10 (11/04/15) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 11-04-2015 17:56:15
โอเค อย่างน้อยก็รู้สาเหตุละ


อินทร์น่าจะรู้สึกว่าเป็นความผิดของตัวเองที่พ่อจากไปเพราะรู้เรื่องของตัวเอง

.....

แล้วหนูพริมนี่คือเป็นข้ออ้างเฉยๆหรือคบกันจริงๆล่ะนี่  :serius2:
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 10 (11/04/15) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Vermouth ที่ 12-04-2015 01:11:21
ฮะ อินทร์คงไม่ได้คบพริมจริงๆ ใช่ม้ายยยย ตาพีทเหมือนจะมีความหวังแต่เดี๋ยวก็ต้องตกลงไปในวังวนดราม่าอีก น่าสงสารจัง ฮือออออ
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 10 (11/04/15) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 12-04-2015 01:32:09
  :katai1:
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 10 (11/04/15) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 12-04-2015 02:29:18
เอิ่มมมมมมมมม หนูพริมถอยให้ผู้ชายรักกันหน่อยได้ไหมลูก  :katai1:
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 11 (16/04/15) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: NINEWNN ที่ 16-04-2015 18:18:29
(http://upic.me/i/ak/timeticket_.jpg)

CHAPTER 11

“Do you still think of me like I think about you
Do you still dream of me 'cause I can’t sleep without you”

(Addicted – Stevie Hoang)



     พริม... พริมาน่ะหรือ?

     ในหัวผมกำลังพยายามหาข้ออ้าง อะไรก็ได้ที่จะบ่งบอกว่าอีกฝ่ายไม่ได้กำลังพูดความจริง อะไรก็ได้ที่บอกว่าอินทร์ไม่ได้กำลังมีใครอยู่ แต่ผมกลับไม่เจอข้ออ้างที่มากเพียงพอจะมาบอกว่ามันกำลังโกหก นึกย้อนไปถึงวันที่ได้เจอผู้หญิงคนนั้นยิ่งทำให้ผมไม่สามารถพูดได้ว่าทั้งสองคนไม่ได้สนิทกันในระดับหนึ่ง

     “คุณพีรพัฒน์” อีกฝ่ายเรียกชื่อผม “ปล่อยได้แล้ว...”

     “...”

     “ปล่อยผมไปเถอะ”

     มันไม่ได้ร้องขอให้ผม ‘ปล่อย’ มันในตอนนี้ แต่ผมรู้ คำพูดนั้นหมายถึงการที่ให้ผม ‘ปล่อย’ มัน ปล่อยให้มันมีชีวิตที่ดี ปล่อยให้มันไปมีความสุข และให้ผมทำได้เพียงมองเห็นแผ่นหลังของมัน

     กชอินทร์ค่อยๆ ผละกายออกจากผม เลื่อนมือที่สั่นเล็กน้อยมาผลักไหล่ของผมและขยับริมฝีปาก

     “ขอโทษนะ” คำนั้นแผ่วเบาจนผมรู้สึกว่าตัวเองฝันไป

     ผมไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรในตอนที่มันเอ่ยคำนั้นออกมา ในวินาทีนั้นเองที่ผมหมายจะเอื้อมมือไปสัมผัสแต่ก็ต้องหยุดชะงัก ในหัวตั้งคำถามมากมายไปหมด โดยเฉพาะคำถามที่มันถามมาก่อนหน้านี้

     เมื่อคืนผมไม่เข้าใจหรือ... ว่าทำไมอินทร์ถึงบอกว่าเรื่องของเราเป็นไปไม่ได้

     ผมไม่เข้าใจความทุกข์ใจนั้นของมันแน่นอน พ่อกับแม่ของผมรู้เรื่องรสนิยมทางเพศของผมมาสักพักก่อนที่เราจะเปิดใจคุยกันตอนผมเรียนจบใหม่ๆ ทั้งสองเปิดรับเรื่องนี้มากพอแม้จะแอบเลียบๆ เคียงๆ อยู่บ่อยครั้งตอนผมบอกว่าผมชอบผู้ชายว่าผมมีโอกาสจะกลับมาชอบผู้หญิงบ้างหรือเปล่า แต่ตอนนี้พวกท่านก็ไม่ถามอะไรอีก เพราะฉะนั้นผมไม่มีทางเข้าใจความรู้สึกทุกข์ใจของมันแน่นอน

     “คุณพีรพัฒน์” มันสูดลมหายใจลึก “ปล่อยผมไปเถอะนะ”

     “...”

     “หลังจากผมก้าวออกจากบ้านหลังนี้ไป เราช่วยเป็นแค่นักเขียนกับบก. ที่ไม่สนิทกัน คุยกันเฉพาะเรื่องงานได้หรือเปล่า” น้ำเสียงของมันอ่อนจนผมคิดว่านี่คือการเว้าวอน “ทำเหมือนเราไม่เคยรู้จักกันไม่ได้หรือ”

     “...”

     กชอินทร์เอื้อมมือของมันมา สัมผัสปลายนิ้วผมอย่างแผ่วเบา ออกแรงกำเล็กน้อยก่อนที่จะผละออกไป มันหันหลังเดินออกไปในขณะที่ในหัวผมกำลังมีความคิดมากมายวิ่งพล่าน ผมควรจะรั้งมันไว้อีกครั้งหรือไม่ ควรจะเอื้อมมือไปรวบตัวมันมากอดหรือเปล่า ถ้าหากผมทำเช่นนั้นมันจะทำอย่างไร กอดผมตอบหรือว่าผลักไสและหนีออกไปใหม่ แล้วถ้าผมกอดมันไว้ผมจะกอดมันได้แน่นแค่ไหน แน่นเพียงพอที่จะทำให้มันข้ามผ่านช่วงเวลาที่มันต้องขัดแย้งกับครอบครัวหรือเปล่า

     ผมไม่มั่นใจอะไรสักอย่าง

     นั่นเป็นสาเหตุว่าทำไมผมถึงยืนนิ่งอยู่กับที่ตอนที่มันเดินออกไปจากบ้าน ปิดประตูอย่างแผ่วเบา แต่ดังพอที่ทำให้ผมรู้สึกสั่นสะท้านไปทั้งร่าง

     ผมปล่อยมันไปอีกแล้ว

     ‘ขอโทษนะ’

     ผมคิดว่าเป็นตัวผมเองที่ควรเอ่ยคำขอโทษ

     ขอโทษที่ไม่มั่นใจในตัวเองมากพอที่จะรั้งมันไว้และบอกว่าเราจะผ่านเรื่องพวกนี้ไปด้วยกัน และขอโทษที่ไม่มั่นใจในตัวเองมากพอที่จะทำให้มันมั่นใจในตัวผม

     เพราะผมเป็นแบบนี้ ขี้ขลาดและน่าสมเพช

     และผมตระหนักได้ในตอนนั้นเอง ว่าตัวผมไม่ได้แตกต่างจากเด็กเมื่อสิบปีก่อนเลยแม้แต่น้อย



     ผมใช้เวลาไปกับการดูแลร้านเสียส่วนใหญ่ ต้องขอบคุณที่จังหวะนั้นลูกจ้างคนหนึ่งลาออกไป เหลือแค่ลูกจ้างประจำอย่างไอ้เป้กับพ่อครัว ผมเลยทำตัวให้ยุ่งมากกว่าเดิมได้ ยิ่งไอ้เก้ที่บางทียังมีสอบตามประสาเด็กปีสี่ มันเลยต้องลางานมากกว่าปกติ ทำให้ผมยุ่งกว่าปกติ

     กชอินทร์ติดต่อผมมาบ้างในเรื่องการตามงานบทความ พูดถึงเรื่องหน้าปกรวมเล่มบทความหนังสือว่าผมต้องการแบบไหน และส่งหัวข้อในการเขียนบทความถัดมาให้พร้อมกับคำวิจารณ์เล็กๆ น้อยๆ ในเรื่องที่ผมพลาดไปในบทความครั้งก่อน นอกจากนั้นพวกเราไม่ได้คุยอะไรกันอีก

     ผมนึกขอบคุณที่อินทร์ใช้วิธีคุยกันผ่านข้อความ ไม่เช่นนั้นผมอาจจะเป็นบ้ามากกว่านี้

     นอกจากนั้น กชอินทร์ยังเปลี่ยนรูปโปรไฟล์เป็นภาพตนเองคู่กับหญิงสาวที่ผมพอจะคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นหน้ามาก่อน พริมาที่เขาเรียกว่า ‘พริม’

     ต้องยอมรับว่าในภาพนั้นอินทร์มีรอยยิ้มที่กว้าง...แบบที่ผมไม่ได้มองเห็นมานานแล้ว

     ยิ่งตอกย้ำกันเข้าไปใหญ่ว่าเรื่องที่มันพูดกับผมไม่น่าจะใช่เรื่องโกหก

     ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาผมสูบบุหรี่มากทั้งที่เคยบอกตัวเองว่าควรจะหยุดได้แล้ว ซ้ำยังซื้อเหล้ามาดื่มคนเดียวหนึ่งครั้งและเมาเหมือนหมาจนลำบากไอ้เก้ที่มาเคาะประตูบ้านเพราะผมไม่ยอมไปเปิดร้านให้มัน

     “เฮียเป็นไรวะ” มันเอ่ยถาม “อกหักเหรอ”

     “มั้ง” ผมตอบส่งๆ

     พอได้ยินเช่นนั้น อีกฝ่ายก็ทำตาโต “จริงเหรอเฮีย”
   
     ผมไม่ได้ตอบอะไรไปอีก ไอ้เก้เลยจัดการไล่ผมไปอาบน้ำก่อนที่จะคว้ากุญแจร้านไปจัดการเสร็จสรรพโดยไม่ถามอะไรเพิ่มเติม คิดว่าสภาพของผมน่าจะเป็นคำตอบที่ชัดเจนที่สุดแล้ว

     วันนี้ก็เหมือนที่ผ่านมา เวลาของผมผ่านไปอย่างน่าสับสน ขุ่นมัว และไม่สบอารมณ์ หนึ่งอาทิตย์ที่ผมรู้สึกว่ามันรวดเร็วกับการนั่งคิดคะนึงถึงเรื่องราวต่างๆ แต่กลับช้าจนแต่ละวันผมใช้เวลามากกว่าปกติหลายเท่า

     “เอาจริงๆ นะเฮีย” ไอ้เก้พูดขึ้นตอนเก็บร้าน “สภาพเฮียตอนนี้ทุเรศมาก”

     “อื้อ” ผมพยักหน้า ไม่คิดจะปฏิเสธ

     ตอนนี้หน้าโทรมกว่าปกติหลายเท่าทั้งๆ ที่ผมก็ไม่ใช่คนช่างสำอาง หนวดเริ่มผุดขึ้นมาบนใบหน้า มีเคราเขียวที่ดูไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นัก แต่ผมก็ยังคงปล่อยมันไป
   
     มันวางไม้กวาด เอาหัวโล้นๆ ของมันยื่นเข้ามาใกล้ “แล้วทำไมเฮียไม่ทำตัวดีๆ หน่อยวะ”

     “ทำงานไป๊”

     “อะไร” มันบ่นอุบ “คนเรารึอุตส่าห์หวังดี เฮียก็ไม่ได้แย่ เป็นนักเขียนพอมีชื่อ อกหักมันจะตายรึยังไง”

     ผมถอนหายใจ “ใช่เรื่องเอ็งไหมเนี่ย” นั่นเป็นคำสุภาพของคำว่าเสือก “โทรมก็มีเงินจ้าง ทำงานเร็วๆ ก่อนที่จะไม่ได้เงิน” ว่าแล้วก็ตบเกรียนมันไปหนึ่งทีด้วยความหงุดหงิด

     “ทำไมไม่เนรมิตตัวเองให้ดูดีกว่านี้อีก เขาจะได้เสียใจ” มันไม่วายบ่นแต่ก็เดินถือไม้กวาดไปจัดการกวาดร้านตามที่ผมชี้นิ้วสั่ง

     คำพูดของมันทำให้ผมพ่นลมหายใจออกมา ไอ้เป้คิดอะไรง่ายๆ ประหนึ่งผมโดนอีกฝ่ายตบหน้าบอกเลิกเหมือนในละครจะได้ไปแก้แค้นเขาเหมือนนางเอก แต่ผมรู้สึกว่ามันไม่ใช่แบบนั้น ผมไม่ได้ต้องการให้มันเสียใจ ขณะเดียวกันก็ไม่ชอบที่ตัวเองเป็นแบบนี้

     คืนนั้นเองที่ผมได้รับข้อความจากคนที่หายหน้าหายตาไปพักหนึ่งอย่างกานต์

     ‘ไปเที่ยวกันเถอะพี่พีท!’

     ผมมองข้อความนั้นอย่างเหนื่อยใจ ลังเลอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะต่อสายหาเบอร์โทรศัพท์ที่ไม่ได้โทรหาบ่อยๆ

     “ว้าว!” ปลายสายส่งเสียงร้องระรื่นอย่างน่าหงุดหงิด “พี่พีทโทรมา จริงเหรอเนี่ย”

     ผมถอนหายใจ “นึกยังไงถึงได้ชวนไปเที่ยว จะไปไหน”

     “พี่พีทตามใจกานต์เหรอ” น้องยังคงทำเสียงตื่นเต้น ตามมาด้วยเสียงหัวเราะคิกคัก

     “อยากทำอะไรก็ทำ พี่ว่างๆ พอดี...”

     ผมตอบไปตามจริง หลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อนแต่ก็ต้องลืมตาขึ้นมาใหม่เมื่อมีภาพของใครคนเดิมติดค้างอยู่ที่ใต้เปลือกตา ทันทีที่หลับตาก็เห็นกชอินทร์ นี่มันยิ่งกว่าภาพหลอนเสียอีก... แย่ชะมัด

     “มาแปลก เกิดอะไรขึ้นรึเปล่า” น้ำเสียงคนปลายสายดูจริงจังขึ้นมาหน่อย

     “นิดหน่อย” ผมไม่โกหก หากแต่ตอบแบบไม่คิดจะขยายความ

     กานต์ส่งเสียงตอบกลับมาเป็นเสียงครางในลำคอ คิดว่าน้องน่าจะรับรู้ว่าผมไม่ต้องการพูดเรื่องนี้

     “อยากไปไหนล่ะ” ผมเบี่ยงเบนประเด็น

     “กานต์แค่อยากจะดูหนัง แต่ไม่รู้จะไปกับใคร ไปด้วยกันไหมพี่พีท”

     “ได้สิ นัดมาเลย”

     พวกเรานัดกันเสร็จสรรพ พรุ่งนี้เป็นวันหยุดพอดีทำให้พวกเราสะดวกกันทั้งคู่ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกๆ ที่พวกเราชวนกันไปทำกิจกรรมที่ดีมากกว่าการออกกำลังบนเตียง สำหรับผมแล้วกานต์เป็นเด็กที่ใช้ชีวิตอยู่คนเดียวไม่ค่อยได้ ต้องมีคนไปเที่ยวด้วยเป็นประจำ ผมมักจะเป็นตัวเลือกท้ายๆ ของน้องเพราะไลฟ์สไตล์เราไม่ค่อยตรงกัน แต่การไปเจอกันข้างนอกเป็นบางครั้งบางคราแบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่แย่นักหรอก

     พอวางสายจากกานต์แล้วผมก็ได้แต่พ่นลมหายใจ ในห้องนอนยังคงเป็นห้องที่เงียบสงบตามประสาคนอยู่คนเดียว หากแต่ครั้งนี้ผมกลับรู้สึกว่าได้ยินเสียงของคนที่ติดอยู่ในความคิดดังก้องในหัว

     เสียงหัวเราะที่มันเคยมีตอนยังเป็นเด็กมัธยม เสียงร้องไห้ปานจะขาดใจของมันเมื่อไม่กี่วันก่อน เสียงลมหายใจที่บ่งบอกถึงการมีตัวตนของมันในห้องนี้

     และบ่งบอกถึงการมีตัวตนของมัน...ในความทรงจำของผม

     

     ผมมาตามนัดกับกานต์ช่วงสาย ที่ห้างคนแน่นเหมือนเคย นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมไม่ชอบมาห้างใหญ่ๆ

     พวกเราตกลงไปเลือกรอบดูหนังกันก่อน แม้กานต์จะเป็นเกย์ที่ออกสาวแต่รสนิยมการดูหนังก็เหมือนกับธรรมดา หนังแอคชั่น – ไซไฟแบบที่ผมเองก็ค่อนข้างชอบ เราเลยไม่มีปัญหาเรื่องการเลือกหนัง หลังจากนั้นพวกเราก็ไปทานข้าวกันโดยที่กานต์เป็นฝ่ายเลือก

     “ทำไมวันนี้พี่พีทตามใจกานต์จัง” น้องถามด้วยสีหน้าแปลกใจ

     ผมยักไหล่ ไม่ได้ตอบอะไร ปล่อยให้คนเดินข้างกายพูดจ้อไปเรื่อย เหมือนกับปกติ...กานต์ไม่ค่อยหยุดพูด ผมมักจะเป็นฝ่ายที่ฟังแบบไม่ค่อยใส่ใจ

     “พี่พีท” อีกฝ่ายยิ้ม เรียกชื่อผมเมื่อพวกเราเดินเข้ามานั่งในร้านอาหาร “มีอะไรรึเปล่า”

     “ฮึ?” ผมส่งเสียงตอบรับในลำคออย่างแปลกใจ

     “วันนี้พี่พีทดูสภาพ...” น้องไล่สายตาจากหัวจรดเท้าอย่างไร้มารยาทนิดหน่อยใส่ผม แต่ผมไม่คิดจะถือสาอะไร “ดูไม่ได้เลยว่ะ” ก่อนที่จะมาหยุดบนใบหน้าผม “ปล่อยหนวดขึ้นเป็นตอเลย”

     ผมเค้นยิ้ม เผลอเอามือจับใบหน้าตนเองอย่างลืมตัว “นั่นสินะ...” พึมพำเบาๆ

     “เอาเหอะ วันนี้พี่พีทมาเป็นเพื่อนดูหนังกานต์ กานต์เป็นคู่ควงให้เอง” กานต์ทำเสียงขันแข็งจนผมอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปขยี้ผมอีกฝ่ายด้วยความหมั่นเขี้ยว

     “อยากควงตาย”

     คนตรงหน้าหัวเราะเบาๆ ไม่ได้ตอบอะไร

     ถึงบนเตียงจะดูเป็นคนร้อนแรงแต่จริงๆ แล้วกานต์เป็นเด็กใสซื่อไม่ใช่น้อย เด็กแบบที่ให้ความรู้สึกว่า ‘เด็ก’... เอาแต่ใจ ขี้อ้อน ยิ้มเก่ง นั่นอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมค่อนข้างเอ็นดูน้อง พอๆ กับที่น้องมองผมว่าเป็นพี่ชาย ครั้งหนึ่งตอนกานต์อกหัก เมาจนหัวราน้ำ น้องเคยถามว่าพวกเราควรจะคบกันหรือเปล่า แต่พอน้องสร่างเมาน้องก็ทำหน้าแขยงพอรับรู้เรื่องที่ตัวเองถามผม

     ‘กานต์ไม่ได้เกลียดพี่นะ แต่คิดแล้วมันแปลกๆ...ไม่รู้สิ มันไม่ใช่อ่ะ ยังไงๆ ก็ไม่ใช่’

     นั่นเป็นเรื่องยืนยันว่าผมกับกานต์คิดเหมือนกัน ไม่ได้รังเกียจ แต่ก็ไม่เคยคิดจะจินตนาการว่าพวกเราจะเป็นอย่างไรในฐานะคนรักอย่างจริงจัง พอจินตนาการขึ้นมาสักครั้งก็รู้สึกว่ามัน ‘ไม่ใช่’... กานต์ไม่เคยทำให้ผมลำบากใจในความสัมพันธ์ พวกเรารู้ดีว่าจุดไหนที่ควรจะพอ ตอนใครสักคนมีแฟนก็หยุด เหมือนมาหาความสุขกันชั่วครั้งชั่วคราวในตอนที่เราไม่มีใครอยู่ข้างหลัง ว่ากันแล้วมันก็วิน – วินแหละนะ

     ขณะที่ผมนั่งฟังในสิ่งที่กานต์พูดไปเรื่อยเปื่อยรออาหารมาเสิร์ฟ สายตาผมก็เห็นใครบางคนเดินผ่านไปจากบริเวณกระจก

     กชอินทร์...

     ผมเผลอเลื่อนหน้าเข้าไปใกล้กระจกแทบจะในทันที กชอินทร์เดินเคียงคู่กับผู้หญิงคนหนึ่งที่ผมมองไม่ชัดว่าอีกฝ่ายคือใคร หัวใจผมเต้นรัวตอนเห็น ภาวนาในใจว่าอย่าให้เป็นพริมา แต่ดูเหมือนคำภาวนาของผมจะไม่เป็นผลเมื่อเห็นว่าทั้งสองหยุดที่ประตูร้านแห่งนี้

     ดูเหมือนการจับจ้องของผมจะเป็นการแสดงออกที่ค่อนข้างมากเกินไป กานต์เลยจับสังเกตได้ น้องหันมองไปตามสายตาผมก่อนที่จะหันกลับมาทางผม

     “เจอคนรู้จักเหรอ”

     ผมไม่ได้ตอบ พนักงานต้อนรับพากชอินทร์เดินตรงเข้ามาในร้าน ผมรู้ตอนนั้นเองว่าอินทร์ไม่ได้มากับสตรีคนนั้นคนเดียว แต่มากันสี่คน ทั้งสองกับหญิงสาวที่ดูสูงอายุอีกสองคน

     หนึ่งในนั้นผมจำหน้าได้... แม่ของกชอินทร์

     ผมเผลอสูดลมหายใจเข้าหากันลึก รู้สึกมวนในท้องพร้อมกับแรงบีบรัดจากก้อนเนื้อในอกข้างซ้าย ตอนที่อินทร์เดินผ่านพวกผมเหมือนอินทร์จะเห็น แววตาของเราสบกันเพียงเล็กน้อย แต่เรื่องราวมันแย่กว่านั้นเมื่อพริมาร้องออกมาอย่างแผ่วเบา

     “อ๊ะ” เธอมองผม ส่งยิ้มให้อย่างเป็นมิตร “พี่พีทนี่นา”

     ผมเห็นแววตาอึดอัดของคนที่เดินเคียงคู่กับเจ้าหล่อนผุดขึ้นมาแทบจะในทันที

     “สวัสดีครับ” พอถูกเธอทักทายเช่นนั้นผมก็ได้แต่คลี่ยิ้ม เอ่ยทักทายกลับไปตามมารยาท ยิ่งในสถานการณ์แบบนี้กชอินทร์ยิ่งเหมือนถูกผูกมัดให้ต้องทักทายผมไปด้วย

     “สวัสดีครับคุณพีรพัฒน์” อีกฝ่ายยิ้ม... ด้วยแววตาที่แสนว่างเปล่า “มาทานข้าวกับเพื่อนหรือ”

     ผมพยักหน้า เหลือบตามองกานต์ที่ยิ้มให้ทั้งสองคนด้วยความเป็นมิตรเช่นกันยามที่พริมาทักทายน้องอย่างคนมีมารยาท

     จังหวะนั้นเองที่สตรีสูงวัยเอ่ยถามกับลูกชาย “เจอเพื่อนหรือลูก”

     ผมลังเลตอนที่เห็นเจ้าหล่อนมองผม แม่ของอินทร์ดูแก่ไปมาก แต่นั่นไม่แปลก... มันผ่านมาร่วมสิบปีแล้วนับตั้งแต่เจอกันครั้งสุดท้าย สิ่งที่ผมทำมีเพียงการยกมือไหว้อีกฝ่ายตามที่คนอายุน้อยกว่าพึงทำ

     “เอ๊ะ” เธอทำหน้าแปลกใจเล็กน้อย นั่นทำให้ลมหายใจผมกระตุก คิดย้อนไปถึงคำพูดที่อินทร์พูด... พ่อของอินทร์รู้เรื่องของเรา... “นี่ไม่ใช่ เดี๋ยวนะจ๊ะ น้าจำไม่ได้...” เธอขมวดคิ้ว “ชื่ออะไรนะอินทร์ เพื่อนสนิทลูกตอนมัธยมน่ะ”

     ผมรับรู้ถึงการสะดุดของลมหายใจของร่างสูงแต่ติดผอมของกชอินทร์ ความเงียบถูกปกคลุม

     “พีท...ครับ” สุดท้ายคนถูกถามก็ตอบมาด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง

     มันเรียกชื่อผมแบบที่มันเคยเรียก...เป็นครั้งแรก...

     “อ๋อใช่! พีท!” คุณแม่ของอินทร์ร้องออกมา คลี่ยิ้มให้ผมอย่างใจดีแบบที่ผมคุ้นว่าเคยได้รับในสมัยเป็นเด็ก “ไม่ได้เจอนานเลย เป็นยังไงบ้างจ๊ะ?”

     “ก็...ดีครับ” ผมตอบด้วยรอยยิ้มแก่นๆ เต็มไปด้วยความอึดอัดใจล้นอยู่ในอก

     “สมัยก่อนอยู่กับเจ้าหนูนี่บ่อยจะตาย หายหน้าหายตาไปเลย” เธอยิ้ม “นึกว่าเลิกสนิทกันแล้วเสียอีก”

     “ฮ่ะๆ” คำพูดของเธอทำให้ผมขมวดคิ้วเล็กน้อยแต่ก็ต้องส่งเสียงหัวเราะแห้งๆ ไปอย่างเสียไม่ได้ เหลือบสายตาไปสบตากับแววตาสั่นระริกของกชอินทร์ ไล่มองไปพบว่ามือของมันกำเข้าหากันแน่นจนผมต้องรั้งตัวเองไม่ให้ไปจับมันไว้

     “เป็นเพื่อนที่ดีกันจริงๆ เลยน้า สนิทกันตั้งนาน”

     คุณแม่ของอินทร์ยังคงเป็นคนที่ดูใจดีเสมอเพียงแต่น้ำเสียงนุ่มๆ ที่ทำให้ผมอบอุ่นตอนเด็กๆ กลับทำให้ผมรู้สึกอึดอัดเสียเหลือเกินในตอนนี้ เพราะมีคำพูดที่ทำให้ผมรู้สึกสะดุด
ผมมองอินทร์แทบจะในทันทีเมื่อสมองประมวลผลเสร็จ อินทร์ไม่มองผม ไม่ยอมสบตา ก้มหน้าและเอ่ยปากชวนให้แม่กับพริม พร้อมกับผู้ใหญ่อีกคนไปนั่งที่โต๊ะพร้อมกับอ้างเหตุผลว่าบริกรรอนาน

     ‘เป็นเพื่อนที่ดีกันจริงๆ เลย’ อย่างนั้นหรือ?

     ผมหันกลับไปมองอีกฝ่ายที่นั่งข้างๆ กับแม่ตนเอง แต่ตรงข้ามกับพริมาอีกครั้งก่อนที่จะเอาลิ้นดุนกระพุ้งแก้ม

     “มีอะไรหรือพี่พีท” คนตรงหน้าเอ่ยปากถามด้วยสีหน้าแปลกใจ

     “เปล่า...” ผมโกหก “ไม่มีอะไร”

     น้องพยักหน้า ไม่เซ้าซี้ถามต่อเพียงแต่มองผมที่กำลังนิ่งไปเพราะพยายามใช้ความคิดอย่างหนักเงียบๆ

     แม่ของอินทร์...ไม่รู้เรื่องของเราเมื่อสิบปีก่อนอย่างนั้นหรือ?



--------------------------------------

ขอสาปแช่งให้พวกนี้โดนรถชนตาย จะเอากานต์กับน้องเก้มาเป็นคู่พระ-นายแล้ว! :katai1:
มีความสุขกับสงกรานต์กันไหมคะทุกคน ยะโฮ้วววว
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 11 (16/04/15) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 16-04-2015 19:31:26
เต็มไปด้วยฟามลับ  :ling1:

หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 11 (16/04/15) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: กฤษณ์ ที่ 16-04-2015 20:22:29
ไม่มีคอมเม้นอะไรลึกซึ้งกับตอนนี้นอกจากอีโมนี้  :เฮ้อ: และนี่  :ling2:
เพลียกับทั้งคู่..
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 11 (16/04/15) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 16-04-2015 22:02:17
...!!!!
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 11 (16/04/15) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: sittawan ที่ 20-04-2015 15:36:44
เศร้าอ่าาา
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 12 (20/04/15) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: NINEWNN ที่ 20-04-2015 21:06:30
(http://upic.me/i/ak/timeticket_.jpg)

CHAPTER 12

“อยากเป็นคนดูแลเธอก่อนที่สาย
พูดว่ารักเธอก่อนที่ใครคนใดจะเอ่ยคำนี้”

(หากว่าย้อนเวลากลับไปได้ – พีท พีระ)



     แม่ของอินทร์ไม่รับรู้เรื่องของเราตอนมัธยม นั่นคือสิ่งที่ผมคิดหลังจากบังเอิญเจอมันที่ห้างจวบจนดูหนังกับกานต์เสร็จ ไปส่งน้องที่คอนโด กระทั่งกลับมาบ้านก็ยังคิดเรื่องนั้นไม่ตก

     ผมไม่อยากคาดคั้นอินทร์แม้ในใจจะมีแต่ความสงสัย

     ‘ทำเหมือนเราไม่เคยรู้จักกันไม่ได้หรือ’

     อินทร์พูดแบบนั้น... และหันหลังไปจากผมอีกครั้ง

     ผมต้องทำอย่างไรกับสิ่งนี้กันนะ ผมปล่อยมันไปหลายต่อหลายครั้งแต่ก็ต้องวิ่งไปจับมันใหม่เพราะทนมองมันจากข้างหลังไม่ได้ แต่ทุกครั้งที่ผมวิ่งเข้าหา กชอินทร์ก็วิ่งหนี ระยะห่างของพวกเรามากขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นมากมายขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน

     พอกลับมาบ้านผมก็ต้องไปดูแลร้านอีกครั้งเพื่อไม่ให้ตัวเองฟุ้งซ่าน ผมพยายามหางานให้ตัวเอง ตรวจเช็กวัตถุดิบว่ามีอะไรขาดเหลือไปบ้าง

     “ผมว่าเราหาเมนูใหม่ๆ ดีไหม” จีระ พ่อครัวเพียงคนเดียวในร้านเอ่ยปากขึ้น “อันที่จริงเดี๋ยวนี้ของคาวแทบจะไม่ได้ทำเลยด้วยซ้ำ มีแต่ลูกค้าผู้หญิงมาทานขนมหวาน บางทีน้องพีทน่าจะเปิดเป็นร้านขนมไปเลยนะครับ”

     ผมเหลือบตามองพ่อครัวร่างหมีที่จนทุกวันนี้ยังไม่สามารถเชื่อได้ว่าอายุมากกว่าผมเพียงไม่กี่ปี แถมยังชอบเรียกผมว่า ‘น้องพีท’ ให้รู้สึกสยองเล่น เคยแย้งไปหลายต่อหลายครั้ง บอกให้เรียกพีทหรือไม่ก็คุณพีทไปเลย แต่บอกกี่รอบๆ ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ฟังแม้แต่นิดเดียวผมเลยปล่อยให้เขาเรียกไปแบบนี้ อันที่จริงเขายังยอมทำงานให้ก็ดีแค่ไหนแล้ว ค่าแรงรึก็ไม่ได้มากมายอะไร (ถึงงานมันจะค่อนข้างสบายก็เถอะ) แต่ฝีมือรอบด้านมาก ทำได้ตั้งแต่ของคาว ของหวาน ขนมไทย ทำเป็นทุกอย่าง รสชาติค่อนข้างดีทุกอย่างเสียด้วย

     “งั้นเหรอ” ผมพยักหน้าเออออ “คุณจีจะตัดเมนูไหนบ้างล่ะครับ”

     อีกฝ่ายหยิบกระดาษให้ผมที่เขียนรายชื่อเมนูต่างๆ ซึ่งมักจะไม่ค่อยมีคนสั่งให้ผม เสนอความคิดว่าควรจะเติมเมนูของหวานอะไรไปบ้าง ผมนั่งคุยกับคุณจีระอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะได้บทสรุปว่าเขาจะช่วยหาเมนูใหม่ให้ พอแน่นอนแล้วค่อยว่ากันอีกที

     “ขอบคุณมากครับ” ผมพูด เหลือบตามองหน้าร้านที่แทบจะไม่มีคน “งั้นเดี๋ยวผมกลับบ้านก่อนนะ”

     คนตรงหน้าพยักหน้าหงึกหงัก ไม่ได้พูดอะไรอีก
     
     อันที่จริงผมคิดเหมือนกันว่าควรจะทำให้ร้านมีแนวทางที่ชัดเจนกว่านี้สักที ที่ทำๆ ก็ตามใจตัวเองทั้งนั้น จะบอกว่าร้านขนมก็ไม่ใช่ ร้านข้าวก็ไม่เชิง บาร์แจ๊สตอนดึกก็ไม่ค่อยมีคนเข้าเสียอีก เป็นอะไรก็ไม่รู้ที่มีอาหารขายให้คนกินตั้งแต่เช้าจนถึงเย็น

     พอกลับมาถึงบ้านนั่งนิ่งๆ คิดนู่นนี่ไปเรื่อย ผมก็ห้ามตัวเองให้ไปจับโปสการ์ดที่ถูกวางไว้ข้างเตียงอีกจนได้

     ผมถอนลมหายใจ หยิบสิ่งเหล่านั้นเปิดไปเปิดมาอย่างเรื่อยเปื่อย โปสการ์ดเหล่านั้นยังว่างเปล่าเหมือนเดิม โพสอิทที่ไม่มีกาวแล้วก็ยังถูกแนบไว้ในแต่ละใบเหมือนเดิม

     ...?

     ผมขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าโปสการ์ดใบที่อยู่ใต้สุดไม่ได้ว่างเปล่าเหมือนเคย

     มือของผมสั่นเล็กน้อยตอนที่หยิบมันออกมาจากกอง คิดย้อนไปว่าครั้งสุดท้ายที่เปิดกองกระดาษพวกนี้มาถึงแผ่นสุดท้ายตอนไหน ความทรงจำของผมมีเพียงตอนที่ได้ยินคำว่าเกลียดจากมันในวันที่เจอกับพริมาที่ร้านเท่านั้น หลังจากนั้นมันก็ไม่ได้ถูกแตะต้องอีก

     ผมสูดลมหายใจ อ่านข้อความตัวเล็กๆ ที่ถูกเขียนด้วยปากกาสีน้ำเงิน

     ‘ขอโทษ’

     เพียงคำสั้นๆ ที่ไม่ได้ช่วยให้ผมเข้าใจ
   
     ใต้คำนั้นมีข้อความที่ถูกขีดฆ่าจนผมอ่านไม่ออกอีก ความยาวไม่ต่างกันมากนัก ผมพยายามเพ่งสายตาแต่มันถูกขีดจนกระดาษหนาๆ เช่นโปสการ์ดแทบจะทะลุ ไม่ว่าพยายามแค่ไหนผมก็อ่านมันไม่ออก

     ลมหายใจผมคิดขัด หยิบโพสอิทที่มีเหลือเพียงตัวอักษรจางๆ ขึ้นมาเทียบ

     ลายมือเดียวกัน

     คำขอโทษนี้มาจากกชอินทร์

     ครืด...

     ผมสะดุ้งตอนที่โทรศัพท์ซึ่งถูกวางไว้บนโต๊ะสั่นจนเกิดเสียงดัง ผมวางกระดาษหนาแผ่นเล็กในมือไว้บนเตียงก่อนที่จะลุกขึ้นเดินไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา

     ‘ยืนยันไปงานรวมรุ่นกันหน่อยเว้ยยย’

     ผมขมวดคิ้ว กดเปิดเข้าไปในกรุ๊ปไลน์ที่ร้างมาเป็นเวลานาน มันเป็นกลุ่มของเพื่อนสมัยมัธยมปลาย อ่านบทสนทนาคร่าวๆ ก็นึกขึ้นมาได้ว่าโรงเรียนมัธยมปลายจัดงานรวมรุ่นกันทั้งรุ่น มีคนที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงมาทบอกให้ยืนยันว่าจะไปงานรวมรุ่นที่จะจัดขึ้นในวันเสาร์หน้ากับคนที่จองที่ไว้แล้ว ส่วนใครไม่ได้จองที่ก็ไปซื้อบัตรกันที่วันงานซึ่งจัดที่โรงเรียนเก่านั้นแหละ

     อืม... ก็คุ้นๆ ว่ามีเรื่องแบบนี้อยู่หรอก

     ผมอาจจะเป็นคนที่ดูเหมือนขาดสังคมแต่ก็ใช่ว่าไม่ได้อยากเจอกับเพื่อน ผมไม่ได้ลงชื่อไว้ ทั้งกลุ่มผมก็ไม่ได้ลงชื่อเหมือนกันหมดเพราะก็รู้ดีว่ามีการไปซื้อบัตรที่วันงานเลยอยู่แล้ว

     ผมไม่ได้ตอบอะไรไป ไม่ว่าจะเป็นสติ๊กเกอร์หรือข้อความ ทั้งยังต้องกดปิดแจ้งเตือนเพราะมีแต่บทสนทนาเด้งขึ้นจนน่ารำคาญก่อนที่จะย้อนกลับไปมองโปสการ์ดบนเตียง

     คำพูดไหนที่อยากจะลบกันแน่...อินทร์

     ครืด

     โทรศัพท์ของผมสั่นอีกครั้งหนึ่ง ผมคว้ามันมาเปิดดูก่อนที่จะพ่นลมหายใจแรงๆ เมื่อเห็นว่าคนที่ติดต่อมาคือใคร

     บรรณาธิการที่ชื่อกชอินทร์นั่นแหละ

     ผมเอาลิ้นดุนกระพุ้งแก้มอย่างหงุดหงิดใจตอนที่กดเปิดเข้าไปในไลน์เพื่อดูข้อความยาวเป็นพรืดที่มันส่งมาเมื่อไม่กี่นาทีก่อน กวาดสายตาสักพักถึงเข้าใจว่ามันพูดถึงการเขียนบทความในรวมเล่มว่าสามารถเขียนได้อีกหนึ่งตอน รวมถึงคำถามว่าอยากให้ใครเขียนคำนิยมให้เป็นพิเศษหรือเปล่า

     ‘ถ้าไม่ตอบผมจะถือว่าไม่มีแล้วจัดการเอง’

     มันพิมพ์ตอบกลับมาแบบนั้น คิดว่ามันคงเห็นว่าผมอ่านข้อความที่มันส่งมาแล้ว

     ‘เชิญ’

     ผมตอบกลับไปเพียงเท่านั้น มีตัวอักษรขึ้นให้เห็นว่ามันรับรู้แล้ว ผมสูดลมหายใจลึก มองคำขอโทษที่อยู่บนโปสการ์ดที่ควรจะสะอาดปราศจากสิ่งใด ลังเลว่าควรจะถามมันไปหรือเปล่า ไม่... นั่นเป็นคำตอบที่ผมได้รับหลังจากการคิดสะระตะแล้ว ตัวอักษรโกหกผมได้...และผมไม่ต้องการให้มันโกหกผมอีกต่อไป

     อีกฝ่ายพิมพ์ข้อความมาอีกเป็นพรืดเรื่องการรวมเล่ม รายละเอียดเล็กๆ ว่าตอนนี้อยู่ในขั้นตอนใด มีปัญหาใดเป็นพิเศษ ซึ่งผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไปทั้งนั้น ผมโยนโทรศัพท์ทิ้งบนเตียง ความอึดอัดที่สุมในอกทำให้ผมทนอ่านข้อความของ ‘คุณกชอินทร์’ ไม่ได้ ได้ยินเสียงข้อความเข้าอยู่อีกสองสามครั้งก่อนที่มันจะเงียบไป ผมพ่นลมหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน ตั้งคำถามว่าเรื่องราวมันจะน่าอึดอัดแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน

     ผมคิดว่าตัวเองต้องการอะไรสักอย่างระบายออก ความรู้สึกทั้งหมดในท้องทำให้ผมรู้สึกพะอืดพะอมจนอยากอาเจียน...ผมหมายถึงผมต้องการระบายมันออกไป ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

     พอคิดได้แบบนั้นผมก็ลุกขึ้นจากเตียง เดินไปนั่งที่โต๊ะที่ใช้ทำงานประจำ เปิดโปรแกรมในการพิมพ์งานขึ้นมา จรดปลายนิ้วลงกับแป้นพิมพ์เพื่อที่จะ ‘ระบาย’ ทุกอย่างออกมาแม้ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะได้อ่านมันหรือเปล่า ผมไม่อยากสนใจ

     ‘แด่... ความสัมพันธ์ ความทรงจำและความลังเล’

     ผมได้ยินเสียงปลายนิ้วตัวเองกระทบแป้นพิมพ์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตัวอักษรที่ปรากฏบนหน้าจอแทบไม่ได้เข้าหัวเลยแม้แต่น้อย ผมโยนทุกอย่างทิ้ง ไม่มีแก่นเรื่อง ไม่มีแบบแผน

     มีเพียงถ้อยคำที่อยากให้อีกฝ่ายได้ฟัง
   
     คำพูดที่อัดแน่นในอก คำถามที่ไม่เคยได้รับคำตอบ คำพูดที่เต็มไปด้วยความอึดอัด

     ทุกอักษร ทุกคำ ทุกประโยคที่ถูกเรียงร้อยด้วยความรวดเร็วเหมือนกับก๊อกน้ำที่แตกจนน้ำกระจายออกมา ทุกอย่างมีเพียงคำเดียวที่ผมมองเห็น

     คำที่ผมรู้สึก ไม่เคยได้พูดให้คนที่อยากให้ได้ยินที่สุด...และไม่เคยได้ยินจากคนที่อยากให้พูดมากที่สุด

     เพียงคำเดียวที่ทำให้ผมยังรู้สึกอึดอัดจนรู้สึกเหมือนอกจะฉีกออกจนถึงทุกวันนี้

     ‘รัก’



     เผลอแป๊บๆ ก็ถึงวันที่มีงานรวมรุ่น

     หลังจากที่ตอนแรกผมค่อนข้างมั่นใจว่าตัวเองจะมาแน่นอนแต่มันก็เกิดเหตุจนผมเกือบจะมาไม่ได้เพราะท่อประปาที่ร้านแตกตอนที่กำลังจะแต่งตัวเลยต้องเสียเวลามากไปเสียหน่อยกว่าจะได้ออกจากบ้าน ยังดีที่ไม่เป็นเหตุการณ์ใหญ่มากมาย

     หลังจากย้ำกับพ่อครัวและไอ้เก้เรียบร้อยแล้วผมถึงได้ออกมาเรียกแท็กซี่ไปโรงเรียนเก่าตัวเอง ตอนแรกก็ตั้งใจจะขับรถไปอยู่หรอก แต่คิดไปคิดมาก็คิดว่าคงได้ไปต่อกับเพื่อนแน่ๆ รอพึ่งพวกมันน่าจะดีกว่า แถมรถติดนิดหน่อยตอนที่ผมเดินทาง เล่นเอาเสียค่าแท็กซี่ไปร่วมร้อย แพงชิบหาย...

     ผมมาถึงโรงเรียนตอนเกือบสองทุ่ม เขาเริ่มเปิดงานกันไปเรียบร้อยหมดแล้ว เดินเจอเพื่อนเก่าแบบไม่หยุดพัก มีโต๊ะจีนที่ซื้อบัตรไว้มากินก็แทบไม่ได้นั่ง คุยนู่นคุยนี่ มีคนบางกลุ่มโยกย้าย เพื่อนผมบางคนพาแฟนมาด้วยก็มี คนในรุ่นเริ่มมีแต่งงานกันไปบ้างแล้ว บางคนเมียท้องแล้วยังมีเลยด้วยซ้ำไป

     แล้วยิ่งมีมีวงดนตรีของรุ่นน้องมาแสดงในงานให้เสียงดังลั่น แสงสีในฮอลล์ประชุมใหญ่ของโรงเรียนที่ถูกทำให้สลัวๆ เล็กน้อยผมยิ่งรู้สึกว่านี่มันเหมือนมาผับมากกว่า ยิ่งมีกลุ่มคนบางกลุ่มไปเต้น บางกลุ่มเดินไปเดินมานี่ยิ่งใช่เลย   
   
     “เฮ้ยยยย พีทเว้ยยยย” เสียงเรียกหนึ่งทำให้ผมหันไปขณะที่ในมือถือแก้วเบียร์ เห็นเพื่อนในโต๊ะหนึ่งโบกมือโบกไม้เรียกผมแต่ผมกลับลังเลเล็กน้อยที่จะเดินเข้าไป

     อินทร์นั่งอยู่ตรงนั้น

     อันที่จริงผมไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่เห็นมัน อินทร์จะมางานรวมรุ่นก็ไม่แปลก ถ้ามันไม่มาสิจะทำให้ผมแปลกใจมากกว่า ขวัญใจมหาชนอย่างมันไม่มีพลาดเรื่องพวกนี้หรอก ผมถอนหายใจ สุดท้ายก็เดินเข้าไปทักทายเพื่อนที่นั่งอยู่ทางข้างซ้ายของอินทร์ตามปกติ

     ผมไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่าแต่เราสบสายตากันนิดหนึ่ง อินทร์ไม่ดื่มเบียร์ เพราะฉะนั้นในมือมันเลยมีแก้วโค้กอยู่ (แต่สังเกตจากบนโต๊ะที่มีขวดเหล้า ผมคิดว่านั่นไม่ใช่แค่โค้ก) มันยกแก้วจรดริมฝีปากตอนผมเดินไปพูดคุยกับเพื่อนๆ ของมัน

     บนโต๊ะนั่นผมมีคนรู้จักอยู่สามสี่คนจากเป็นสิบแม้ว่าส่วนใหญ่จะคุ้นหน้ามากแต่ก็ไม่ได้คุยอะไรกัน

     หลังจากคุยถามสารทุกข์สุขดิบกันกับคนรู้จักอยู่พักหนึ่ง จู่ๆ คนที่ทักทายผมเป็นคนแรกมันก็กระทุ้งศอกใส่กชอินทร์ที่อยู่ข้างกาย

     “ทำไมไม่พูดอะไรวะ สนิทกันไม่ใช่เหรอ”

     อินทร์หน้าตึง มันขยับปากด่าเพื่อนมันแบบไร้เสียง ผมเองก็ไม่ได้พูดอะไร จังหวะนั้นก็ถือโอกาสปลีกตัวออกมาเมื่อเจอเพื่อนอีกกลุ่มหนึ่ง

     ผมนึกหงุดหงิดใจตอนที่บังคับสายตาตัวเองไม่ให้มองมันไม่ได้แม้ว่าผมจะคุยกับเพื่อนกลุ่มนั้นที กลุ่มนี้ทุก เดินกลับมานั่งบนโต๊ะตัวเองก็ตาม เมื่อผมเผลอ สายตาของผมจะต้องพยายามสอดส่องหากชอินทร์ไปโดยอัตโนมัติ แม้จะรู้ตัวว่าตัวเองทำอะไรเช่นนี้ แต่มันห้ามไม่ได้จริงๆ

     ผมเห็นมันคุยกับเพื่อนคนนั้นทีคนนี้ทีโดยที่คนส่วนใหญ่มาหามัน มันแทบไม่ลุกจากโต๊ะเลยด้วยซ้ำ จังหวะหนึ่งที่มันลุกขึ้น กำลังจะเดินออกไปนอกหอประชุมนี้ด้วยตัวคนเดียวทำให้ผมเผลอเม้มริมฝีปากแน่น และยิ่งแปลกใจกว่าเก่าเมื่อเห็นว่ามันเดินออกไปทางหลังหอประชุม ไม่ใช่ห้องน้ำหรือไปทางฝั่งทางเข้าเหมือนคนส่วยใหญ่

       ผมคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องของผม... แต่ผมก็ลุกขึ้นเดินตามมันไป

       พอเดินออกมาจากหอประชุมผมก็ไม่เห็นอินทร์แล้ว ผมมองซ้ายมองขวา คิดว่ามันอาจจะมาคุยโทรศัพท์ เพราะว่าหอประชุมเก็บเสียงได้ดีมาก หลังหอประชุมเลยมีเพียงเสียงแผ่วๆ จากวงดนตรีดังขึ้นมา ยิ่งตอนนี้เปลี่ยนไปเล่นเพลงช้าๆ ซึ้งๆ ยิ่งทำให้เสียงเหล่านั้นค่อนข้างเบา แต่ถึงกระนั้นผมก็ไม่ได้ยินเสียงกชอินทร์อยู่ดี

       ผมถอดใจ บอกตัวเองว่าปล่อยมันไป... และผมควรจะหาที่สงบๆ หรือไม่ก็กลับไปในงาน ซึ่งผมคิดว่าตอนนี้ผมปวดหู หาที่เงียบๆ นั่งสูบบุหรี่อาจจะดีกว่า

     ถ้าเดินไปทางซ้ายมันจะออกไปทางเข้างาน เพราะฉะนั้นผมถึงเดินไปทางขวา ถ้าเดินเลาะจากหอประชุมจะกลายเป็นสนามบอลเล็กของโรงเรียน มันออกมานอกตึกเลยเห็นท้องฟ้าที่มืดสนิทแล้วชัดเจน แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีแสงไฟเปิดรอบสนามอยู่

     ผมกำลังหยิบไฟแช็กและบุหรี่ของตัวเองขึ้นมา ก่อนที่จะชะงักเมื่อได้ยินเสียงคนเหยียบสนามหญ้า พอหันไปก็ต้องชะงักยิ่งกว่า

     กชอินทร์

    อีกฝ่ายหันมามองทางผมเช่นเดียวกัน มันเองก็ผงะไปนิดหน่อยตอนเราสบตากัน มือของผมที่กำลังจะจุดไฟแช็กหยุดแทบจะในทันที ผมพ่นลมหายใจ ส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนที่จะแกล้งทำเหมือนมันไม่มีตัวตนและจัดการจุดบุหรี่ซะ

     อินทร์ไม่ได้เดินเข้ามาใกล้ ไม่ได้ออกห่าง มันไม่ขยับตัวไปไหนแค่ยืนมองผมจากระยะห่างประมาณสาม – สี่ฟุตของเรา
   
     อินทร์ถามคำถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “คุณตามผมมาหรือ”
   
     ผมเป่าควันออกจากริมฝีปาก ไม่ได้ตอบอะไร สบตากับมันและถามคำถามที่นึกสงสัย “...’ขอโทษ’ อะไร?” มันผงะ การกัดริมฝีปากเล็กน้อยอย่างเคยตัวทำให้ผมรู้ว่าคำถามของผมทำให้มันรู้สึกเครียดและอึดอัดใจ ผมจึงถามต่อ “ก่อนจะออกไปก็ขอโทษ... อย่าบอกนะว่าถ้าไม่ตื่นขึ้นมา จะแอบหนีไปก่อน”

    “คุณพีรพัฒน์”

       ผมพ่นลมหายใจอย่างแรง “อ๋อ ลืมไปเราไม่รู้จักกัน” เอ่ยประชดประชัน “แล้วจะขอโทษคนไม่รู้จักกันทำไม”

       “เข้าใจก็ดี” น้ำเสียงและคำพูดของมันทำให้ผมรู้สึกหายใจไม่ออก

       ผมมองภาพตรงหน้า ทิวทัศน์โรงเรียนตอนกลางคืนไม่ได้เห็นบ่อยนักตอนเป็นนักเรียน ยิ่งพอมามองจากตรงนี้ผมก็ยิ่งรู้สึกแปลกไป ตึกเรียนนั้นที่ผมกับมันเคยเรียนด้วยกัน สนามบอลผมก็เคยเล่นกับมัน หอประชุมเราก็เคยอยู่ด้วยกัน ทุกอย่างในโรงเรียนนี้คือจุดเริ่มต้น พอมามองตัวเองที่มีความทรงจำเมื่อสิบปีก่อนอยู่ตอนนี้แล้วมันรู้สึกเหมือนในอกจะระเบิดเสียให้ได้

       ถ้าสิบปีที่แล้วมีคนบอกว่าเราจะมีแต่ความน่าอึดอัดและความเจ็บปวดระหว่างกัน ผมคงไม่เชื่อ

     “มีความสุขไหม” จู่ๆ ผมก็เอ่ยปากถามออกมาท่ามกลางความเงียบ ในขณะที่ความทรงจำต่างๆ วิ่งแล่นอยู่ในหัว ตอนที่อินทร์ยิ้ม ตอนที่อินทร์หัวเราะ เรื่องราวเหล่านั้นดูเหมือนว่าจะผ่านมานานเหลือเกิน ผมหลับตาลง สูดอากาศเข้าปอด ปลายลิ้นสัมผัสได้ถึงรสชาติขมพร่าในลำคอที่ผมรู้ว่ามันมาจากอะไร

    “...” อีกฝ่ายไม่ตอบอะไร  ระหว่างเราเงียบอยู่พักใหญ่ กชอินทร์ก้มหน้าลง ผมสังเกตเห็นว่าไหล่ของมันสั่นเล็กน้อย...แต่แล้วอย่างไร ในเมื่อสิ่งนั้นมันไม่สำคัญอีกต่อไป
   
    “ถ้าหากตอนนั้นกูพยายามมากกว่านี้...หรือมึงพูดอะไรมากกว่านี้ ‘ตอนนี้’ มันจะเปลี่ยนไปไหม”

       คำถามของผมแผ่วเบา เหมือนจะพูดให้สายลมฟังมากกว่าคนข้างกาย และผมไม่คาดหวังคำตอบใดๆ จากมัน เพราะรู้ดีว่าผมไม่มีโอกาสได้รู้

     ผมชอบอินทร์แล้วอย่างไร อินทร์ชอบผมแล้วอย่างไร...ในเมื่อมันไม่กล้าพอที่จะเรียกชื่อผมด้วยซ้ำ
   
    “ถ้ากูย้อนเวลากลับไปได้ กูอยากจะพูดทุกอย่างที่คิด จะขอร้องให้มึงอย่าไป ถ้ากูรู้ว่า ‘ตอนนี้’ มันจะเป็นแบบนี้... กูจะไม่ปล่อยเวลาผ่านไปเฉยๆ ตอนมึงเดินผ่านกูไป... อย่างน้อยๆ ก็ไม่ให้มีอะไรติดค้างในใจกันแบบนี้”
   
    ถ้าหากตอนนั้นเป็นอย่างนั้น... ถ้าหากตอนนั้นเป็นอย่างนี้...มันก็หมายถึงตอนนั้นเราไม่ได้ทำอะไรเลย

       “แต่ตอนนี้...มันทำอะไรไม่ได้แล้ว” ผมพูดมันออกมาในที่สุด “กูยอมแพ้แล้ว...อินทร์”

    ผมได้ยินเสียงลมพัด เสียงเพลงฟังไม่ได้ศัพท์จากหอประชุม เสียงลมหายใจที่แสนแผ่วเบา และเสียงหัวใจตัวเองเต้นรัวมากกว่าครั้งใด จำไม่ได้แล้วว่าครั้งสุดท้ายที่ใช้ความพยายามในการพูดอะไรแบบนี้มันเกิดขึ้นตอนไหนแต่มันคงจะนานมากแล้วจริงๆ

    ผมไม่รู้ว่าตัวเองควรทำอย่างไรตอนที่รู้สึกตัวว่าลมหายใจของผมสงบนิ่งยิ่งกว่าที่คิดไว้เมื่อได้พูดคำนั้น

    “ขอโทษนะ”

    ผมกระซิบคำนั้นกับมันที่ยืนอยู่ข้างกายโดยไม่รู้ว่ามันทำสีหน้าอย่างไร อาจจะเป็นเพราะตัวผมไม่กล้าพอที่จะหันไปมองมัน

    ...หันไปสิ หันหลังให้มัน
   
    ผมบอกให้ตัวเองทำแบบนั้น

       ...เดินออกไปเดี๋ยวนี้

       ผมบอกตัวเองให้ก้าวเท้าออกแม้ว่าจะรู้สึกเหมือนจะยืนไม่ไหวก็ตามที

       “เดี๋ยว”

    ...ห้ามหันหลังกลับไปเด็ดขาด
   
    “ไม่...!”

       ...อย่าหยุดเดินสิ

       “อย่าเพิ่ง! พีท!”


--------------------------------------------------------------------------
โปรดติดตามตอนต่อไป  :katai5:
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 12 (20/04/15) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: sittawan ที่ 21-04-2015 01:16:08
 :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 12 (20/04/15) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 21-04-2015 01:45:51
อะไรนักหนา!!!!!!!
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 12 (20/04/15) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: ammchun ที่ 21-04-2015 03:15:05
ไข้ขึ้นเลยค่ะ :mew5: :mew5:
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 12 (20/04/15) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Vermouth ที่ 21-04-2015 09:59:49
หน่วงขนาดหนัก อึดอัดอยู่ในอก แล้วตอนสุดท้ายนั่น อินทร์จะรั้งพีทไว้อีกทำไมมมมม
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 13 (25/04/15) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: NINEWNN ที่ 25-04-2015 19:49:24
(http://upic.me/i/ak/timeticket_.jpg)

CHAPTER 12

“หวังลึกๆ ว่าเธอจะเปลี่ยนใจ
หวังลึกๆ ว่าจะใช้น้ำตารั้งเธอได้...แต่มันก็เท่านั้น”

(วันที่เรา – Nap A Lean)



       “อย่าเพิ่ง! พีท!”

       ผมชะงัก ถ้อยคำที่พร่ำบอกตัวเองในใจเมื่อกี้แทบจะแหลกเป็นผุยผงเพียงเพราะมันเรียกชื่อผมแบบที่มันเคยเรียก ยังดีที่ผมรั้งกายไม่ให้หันหลังกลับไป

       ผมสูดลมหายใจลึก ก้อนเนื้อในอกเต้นระรัว อยากจะขยับปากถามว่ามันจะบอกให้ผมหยุดทำไมแต่ไม่มีเสียง

       “อย่าเพิ่งหันมา...” เสียงของมันดังขึ้นนิดหน่อยคล้ายว่าเดินเข้ามาใกล้

       แม้มันไม่บอกแบบนั้นผมก็พยายามบอกตัวเองว่าอย่าหันไปอยู่แล้ว แต่คล้ายว่ามันจะไร้ผล ผมขยับไปข้างหน้าไม่ได้ ในขณะที่พยายามรั้งตัวเองไม่ให้หันหลังกลับไป

       สัมผัสแผ่วเบาเกิดขึ้นที่ปลายนิ้วมือข้างซ้าย...เบาจนผมนึกว่าฝันไป

       “ขอโทษ” ถ้อยคำนั้นเหมือนเสียงกระซิบกับลมที่ช่วยพามันมาถึงหูของผม “ขอโทษ...”

       ริมฝีปากของผมบดเข้าหากันแน่น ไม่ใช่เพียงเพราะความอึดอัดแต่เป็นเพราะความพยายามไม่ให้ตัวเองถามมันออกไป

       ขอโทษอะไร... ขอโทษไปเพื่ออะไรอีก

       ขอโทษที่มันไม่คุยกับผมมานานหรือ ขอโทษที่มันเหินห่างกับผมรึเปล่า ขอโทษที่ตอนนี้มันมีใครหรือขอโทษที่เราไม่สามารถรักกันได้

       “ขอโทษ...”

       คำเดิมถูกย้ำซ้ำไปซ้ำมา สัมผัสแผ่วเบาที่ปลายนิ้วไม่ถูกกระชับแน่นขึ้นแต่อย่างใด มันกลับค่อยๆ ผละออกไปราวกับมันไม่เคยเกิดขึ้น

       “กูขอโทษ...พีท”

       ผมรู้สึกร้อนผ่าวที่กระบอกตาตอนที่สัมผัสได้ว่าเสียงของคนที่พร่ำพูดคำว่าขอโทษอยู่ด้านหลังมันสั่นเล็กน้อย ผมไม่เข้าใจ... ทั้งตัวเองและกชอินทร์ ไม่เข้าใจว่าพวกเราทำตัวให้มันยุ่งยากกันไปทำไม แต่กว่าจะรู้ตัวอีกทีการกระทำที่ยุ่งเหยิงของพวกเราสองคนมันพันกันจนแก้ไม่ออกไปเสียแล้ว ด้ายเหล่านั้นมันไม่สามารถกลับมาซื่อตรงได้เลยแม้แต่น้อย

       ผมได้ยินเสียงสูดลมหายใจของอีกคนดังขึ้นจากด้านหลัง

       เวลานั้นเองที่ตัวเองคิดว่าอินทร์ร้องไห้แบบนี้บ่อยแค่ไหน มันร้องไห้กับใครบ้างหรือเปล่า ผู้ชายที่มีเปลือกของความเข้มแข็งฉาบหน้าไว้จะมีใครคอยปลอบโยนรึเปล่า

       “ขอโทษ”

       ผมได้แต่ฟังคำนั้น แต่ทำตามที่มันขอ...ไม่หันหน้ากลับไป

       พวกเราอยู่ในความเงียบที่มีแต่คำขอโทษโดยไม่มองหน้ากัน แม้จะมีแค่เพียงกชอินทร์พูดมันออกมาแต่ผมเองก็พูดคำนั้นกับมันในใจเหมือนกัน

       ...ขอโทษที่ปล่อยให้เวลามันล่วงเลยมาจนถึงตอนนี้



       พวกเรายืนอยู่ตรงนี้นานเท่าไหร่แล้วนะ...อินทร์หยุดพูดไปตั้งแต่ตอนไหนกัน

       เสียงเพลงมันเงียบไปแล้ว น่าแปลกใจที่ไม่มีใครเดินผ่านมาแถวนี้เลยแม้แต่คนเดียว ผมไม่แม้แต่จะขยับตัวเอานาฬิกาบนข้อมือขึ้นมาดูด้วยซ้ำว่ามันผ่านไปนานเท่าไหร่แล้วตั้งแต่ผมเดินออกมา สาเหตุหนึ่งเป็นเพราะมั่นใจว่าเพื่อนผมไม่ได้ใส่ใจที่จะหาผมหรอก

       เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ไม่ใช่ของผมแต่เป็นของอินทร์ ได้ยินเสียงสูดลมหายเล็กน้อยก่อนที่จะเป็นการรับสาย

       “ว่าไง” ผมพ่นลมหายใจออกมา ลังเลว่าตัวเองควรจะเดินออกไปหรืออยู่ตรงนี้ดีแต่ก็ตัดสินใจได้ตอนที่มันเอ่ยเรียกคนปลายสาย “อืม... ไม่เป็นไร เดี๋ยวจัดการเอง พริมกลับบ้านไปเถอะ”

       ผมควรไป

       นั่นสิ คำตอบก็ชัดเจนอยู่แล้ว

       ผมกลอกตา เดินออกไปโดยไม่รั้งรออะไรทั้งนั้น ที่ตัวเองทำก่อนหน้านี้มันช่างงี่เง่าสิ้นดี นี่สิสิ่งที่ผมควรจะทำ เดินออกไปจากชีวิตมันตามที่มันต้องการ

       ...นี่ไงสิ่งที่มันต้องการ

       ผมหลับตาลงตอนที่เดินมาได้ระยะหนึ่ง เสียงเพลงจากห้องประชุมเงียบไปแล้วจริงๆ ผมหยุดพัก ยืนอยู่กับที่ตรงนั้น ยังใช้ความพยายามอย่างมากที่จะไม่หันกลับไป เพียงแต่ผมเผลอ... เผลอหันกลับไปมองมันที่ยังยืนอยู่ที่เดิม เพียงเท่านั้นผมก็ต้องเงยหน้าขึ้นฟ้าเพราะคิดว่าการมองมันนานกว่านี้อาจจะทำให้ผมเผลอวิ่งกลับไปหามัน จับมันมากอดไว้ในอ้อมแขนอย่างคนเห็นแก่ตัว

       ผมใช้เวลาสักพักในการสงบสติอารมณ์ตัวเอง ยืนนิ่งๆ อยู่ตรงนั้น ปล่อยให้ความทรงจำต่างๆ ไหลผ่านร่างของผมไป นานพักใหญ่ทีเดียวก่อนที่จะตระหนักขึ้นได้ว่าผมควรจะกลับเข้าไปในห้องประชุมได้แล้ว

       พอกลับเข้าไปในห้องนั้น เพื่อนบนโต๊ะก็หันมามองผม “ไปไหนมาวะ” นั่นเป็นคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบ “พวกข้าจะไปดื่ม เอ็งจะไปด้วยกันรึเปล่า”

       “ถ้าไม่อยากไปก็ได้นะเว้ย ข้ารู้สึกว่าวันนี้เอ็งเครียดๆ”

       ตอนแรกผมจะตอบปฏิเสธ เพียงแต่ผมหยุดความคิดนั้น “ไป” ตอบตกลงโดยไม่ทันคิด “ติดรถไปด้วยสิวะ วันนี้ไม่ได้เอารถมา”

       “ได้ๆ” พวกมันพยักหน้าเออออ

       ผมหย่อนกายนั่งลงบนโต๊ะ คุยกับพวกเพื่อนๆ ตัวเองราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น อันที่จริงต้องใช้คำว่าผม ‘พยายาม’ ทำเหมือนมันไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำเหมือนลืมมันไป นึกขอบคุณที่ไม่เคยมีใครรู้เรื่องนี้ ผมเก็บเรื่องแบบนี้ไว้กับตัวมานานเพราะมองว่าไม่จำเป็นที่จะบอก เด็กๆ จะเอาอะไรมากกับความรักสมัยมัธยม

       นั่นสิ... จะเอาอะไรกันมากกันนะ ทำไมผมต้องเป็นมากมายขนาดนี้กับมัน

       เดิมทีห่างไกลจากคำว่าคนมีความจำดีไปมากโข ทำไมถึงจดจำเรื่องของมันได้ดีนักก็ไม่รู้...

     จำได้ดีเสียจนถ้ายังมีสติอยู่ก็ไม่มีเวลาใดที่ไม่คิดถึงมันเลยแม้แต่น้อย...
   


       และผมก็คิดว่าตัวเองคิดผิดไม่ใช่น้อยที่คาดหวังว่าตัวเองจะไร้สติด้วยการใช้ตัวช่วยอย่างเหล้า เพราะไม่คาดคิดว่ากชอินทร์และเพื่อนๆ มันจะร่วมด้วย

       อันที่จริงมันก็ไม่แปลกเท่าไหร่ ผมคิดว่าหลายๆ กลุ่มน่าจะมาดื่มกันอยูแล้วหลังจบงานเลี้ยงรุ่น เพียงแต่ไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์บังเอิญมาเจอกับพวกนั้นที่หน้าร้านผับ อันที่จริงนี่มันเป็นผับที่พอมีชื่อเสียงและอยู่ใกล้โรงเรียน ตอนมัธยมปลายก็เคยมากันบ่อยๆ เพราะฉะนั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกนักหรอกถ้าจะมีอดีตนักเรียนโรงเรียนผมโผล่มาที่นี่กันให้ควัก

       “มานั่งด้วยกันไหม”

       ประเด็นมันเริ่มขึ้นจากตรงนี้... เพื่อนเรารึก็มีมนุษย์สัมพันธ์ดี เอ่ยปากถามเพื่อนกลุ่มนั้น และคำตอบจากทางนั้นคือตกลง พวกเราร่วมสิบคนเศษเลยมานั่งอยู่ด้วยกันเสียได้

       ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหน กชอินทร์ก็ยังอยู่ในขอบเขตสายตาของผม แม้ผมจะใช้ความพยายามที่จะจับจ้องไปที่อื่น มันก็ยังคงอยู่ที่มุมหนึ่งในภาพที่ผมเห็นอยู่ดี...ไม่รู้ว่ามันซวยจริงๆ หรือความพยายามของผมไม่มากพอกันแน่

       พวกเราแทบไม่ต้องสั่งแกล้มอะไรกันอีกแล้ว มีแค่เหล้า เหล้าและเหล้าที่ชายหนุ่มถวิลหา ลักษณะคล้ายกับพนักงานออฟฟิศที่เพิ่งได้รับเงินเดือนอย่างไรอย่างนั้น (ซึ่งเอาเข้าจริง เพื่อนผมมันก็พนักงานออฟฟิศเสียส่วนใหญ่แหละนะ) บางคนพอได้เหล้าไปไม่กี่แก้วก็เริ่มเดินออกไปสีสาว บางคนแทบจะไม่เอาเหล้าเข้าปาก กลัวเมียด่าบ้าง ไม่อยากเมาบ้าง

       ผมยกแก้วที่สามขึ้นให้รสขมพร่าไหลลงจนแสบคอในเวลาไม่นานนักตอนที่กลุ่มเพื่อนผมส่วนใหญ่เดินออกไปสีสาว คาดว่ามันอาจจะได้นารีสักคนสองคนไปใช้ชีวิตกลางคืนด้วยกันต่อ แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาของผม

       “เป็นอะไรวะ ดื่มเยอะนะเนี่ย”

       “อยาก”

       ผมเหลือบตามองอินทร์กับเพื่อนของมันที่นั่งอยู่ข้างๆ ผม กชอินทร์กระแทกแก้วลงบนโต๊ะดังปัก ไม่รู้ว่าแก้วที่เท่าไหร่ของมันแล้วแต่คิดว่าคงไม่ใช่น้อยๆ อินทร์คอแข็งพอควรแต่กลับมีอาการกรึ่มอย่างเห็นได้ชัด

       ไม่ใช่เรื่องของผม...

       ผมบอกตัวเองอีกครั้ง ไม่ใส่ใจ แม้จะได้ยินเพื่อนอินทร์เริ่มปรามมันว่าให้พอได้แล้ว

       “ขับรถกลับไม่ใช่เหรอ”

       “เออ”

       “หยุดดื่มได้แล้วมั้ง”

       “...อยาก” นั่นเป็นคำตอบของมันอีกครั้ง

       ผมหลับตาลง หยิบแก้วอีกแก้วขึ้นมาดื่มอีกครั้ง มีคนมาถามว่าทำไมไม่ออกไปข้างนอกบ้างแต่ผมก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเลยได้แต่ปฏิเสธไปด้วยรอยยิ้ม เดิมทีเวลามาดื่มก็ไม่ใช่คนชอบออกไปเต้นอะไรอยู่แล้ว

       “ไอ้พีทๆ” เพื่อนของอินทร์ที่นั่งข้างผมเอ่ยปาก “ฝากดูมันได้ไหมวะ เดี๋ยวไปเต้นบ้าง”

       ผมเลิกคิ้วกับคำถามนั้น มองลอดช่วงแขนของเพื่อนมันก่อนที่จะเห็นว่าอินทร์คอพับไปเรียบร้อยแม้ในมือจะถือแก้วอยู่ แถมข้างๆ อินทร์ก็ออกไปลัลล้ากันหมด เหลือแค่สี่คนบนโต๊ะและนั่งอีกฝั่งของมันทั้งหมด สุดท้ายแล้วก็ได้แต่พยักหน้าเออๆ ออๆ ไปเสียไม่ได้

       กชอินทร์ถือแก้วแอลกอฮอล์ไว้ในมือและคิดว่ามันคงจะไม่ปล่อย ดื่มไปมากมายขนาดไหนก็ไม่รู้จนทั้งหน้าของมันแดง ลามไปจนถึงใบหู

       เป็นมันอีกแล้ว... แม้เสียงเพลงจะดังแค่ไหน พอมองมันผมรู้สึกเหมือนโลกทั้งโลกอยู่ในความเงียบ ระยะห่างของพวกเรามากพอที่จะให้หนึ่งคนนั่ง บางทีความว่างเปล่านั้นอาจจะมีความน่าอึดอัดและความไม่เข้าใจนั่งอยู่ก็เป็นได้

       ผมไม่ได้ดูแลมันแบบที่ให้สัญญากับเพื่อนมันไว้ แค่ปล่อยให้มันกินเหล้าแบบที่มันต้องการ ความถี่ในการดื่มของมันมากกว่าผมราวสองเท่าเห็นจะได้ ยิ่งหลังๆ ผมแทบจะไม่ได้จับแก้วด้วยซ้ำเพียงเพราะเห็นว่ามันดื่มมากเกินไปแล้ว ใจหนึ่งก็อยากปรามแต่รู้ว่าปรามไปมันก็ไม่ฟัง

     หลังจากผ่านไปสักสองชั่วโมงที่กชอินทร์เอาแต่หยิบแก้วขึ้นมาดื่มอึกๆ จนตัวเริ่มทรงไม่อยู่ แทบจะแนบไปกับเก้าอี้อยู่แล้ว แถมเพื่อนผมบางคนเริ่มขอตัวกลับบ้างแล้วและประโยคเด็ดก็ถูกเอ่ยจากเพื่อนของอินทร์อีกครั้ง
   
     “ไอ้อินทร์ขับรถกลับบ้านไม่ไหวแน่เลย พีทกลับแท็กซี่ปะ ช่วยเรียกให้มันหน่อยได้ไหม”

       “ฮะ”

     ผมร้องออกมาเสียงหลง ก่อนที่จะพ่นลมหายใจตอนที่อีกฝ่ายบอกว่าจะไปต่อกับสาวที่ไหน จะสวนกลับว่าแล้วทำไมไม่ให้เพื่อนของตัวเองช่วยเรียก แต่กลายเป็นมองเห็นว่าเพื่อนแต่ละคนในกลุ่มนั้นเมาเหมือนหมาไปเสียแล้ว

    ...อินทร์น่าจะเลือกคบเพื่อนกินเหล้าไว้เสียหน่อย ผมส่ายศีรษะอย่างนึกระอา ก่อนที่จะพยักหน้าส่งๆ

     “จะกลับเมื่อไหร่ค่อยลากมันไปแล้วกันนะ อ่ะนี่” อีกฝ่ายยื่นเงินมาให้จำนวนหนึ่ง “จริงๆ อินทร์ฝากกูไว้เพราะมันจะให้เรียกแท็กซี่ให้นี่แหละ”

     ผมกลอกตาอย่างหงุดหงิดใจ เพื่อนอินทร์นี่แสนดีเหลือเกินจริงๆ

     เหลือบมองคนข้างกาย แม้จะตกลงรับภาระมาอย่างเสียไม่ได้แล้วแต่ผมก็อดคิดไม่ได้ว่าทิ้งมันไว้ที่นี่เสียดีไหม

     ทำไมผมถึงยอมรับทำอะไรแบบนี้นะ จริงๆ ปฏิเสธไปก็ได้แท้ๆ... ไหนบอกว่าจะหันหลังให้มันอย่างไรเล่า แม้จะรู้ดีว่าจริงๆ ผมคงไม่สามารถทำแบบนั้นได้เพราะอินทร์เองก็มีตำแหน่งเป็นบรรณาธิการประจำตัวผมไปเรียบร้อยแล้วก็ตาม แต่สิ่งที่ผมควรทำคือเอาตัวเองออกมาห่างมันให้มากที่สุดไม่ใช่หรืออย่างไรกัน

     ผมพ่นลมหายใจอีกครั้ง นั่งอยู่ที่เดิมอีกสักพักก่อนที่จะตัดสินใจสะกิดมันเล็กน้อย

     “นี่” ผมเอ่ยเสียงเรียบ “จะกลับรึยัง”

     “อื้อ...” คำที่ตอบกลับมาทำให้ผมได้รู้ อินทร์ไร้สติไปแล้วสินะ

     ผมบดริมฝีปากเข้าหากันอย่างใช้ความคิด มองซ้ายทีขวาที เพื่อนหายไปทีละคนสองคนในหมูฝูงชนที่ไม่หลับใหล ไอ้ที่นั่งๆ อยู่สภาพไม่สมประกอบสักราย ผมกลอกตา สุดท้ายก็ตัดสินใจแบกร่างของกชอินทร์ขึ้นโดยใช้วิธีอุ้มปีกมันเสียไม่ได้ ยังดีอยู่ว่ามีพนักงานคนหนึ่งมาช่วยหอบร่างไร้สติของมันมาจนถึงหน้าร้านที่มีแท็กซี่บางคันจอดรออยู่

     “อินทร์” ผมเรียกคนที่แทบจะทิ้งน้ำหนักบนบ่าผมอีกครั้ง “บ้านอยู่ไหน”

     “...ฮื้อ” มีเพียงเสียงงึมงำในลำคอตอบกลับมา “ไม่กลับน่า...” ตามมาด้วยคำที่ฟังแทบไม่ได้ศัพท์

     “ทิ้งไว้ตรงนี้ซะดีไหม” ผมเค้นยิ้ม สุดท้ายก็บอกให้คนขับแท็กซี่ช่วยรอแป๊บหนึ่งก่อนที่จะใช้มือสัมผัสไปที่กระเป๋าเสื้อของมันที่มีโทรศัพท์ คว้ามันมาตั้งใจจะกดโทรหาบ้านของมันแต่เจอปัญหาเมื่อเห็นว่ามันตั้งรหัสผ่านไว้

     ผมนิ่งไปชั่วครู่ ใช้เวลาคิดเล็กน้อยว่ามันเกิดวันที่เท่าไหร่ เดือนน่ะจำได้แม่นแต่ไม่มั่นใจ ยังดีที่กดเพียงสองครั้งก็ถูกจนปลดล็อกได้ ผมกดเข้าไปในรายชื่อ มันบันทึกเบอร์หนึ่งไว้ว่า ‘Home’ ผมจึงกดโทรเข้าไป เหลือบตามองคนข้างกายที่ดูจะไม่ได้สติจริงๆ ลองคิดว่ามันอยู่กับคนอื่นที่ไม่หวังดีก็คิดว่ามันอาจจะโดนปล้นฆ่าไปแล้ว

     “สวัสดีครับ” ผมละความสนใจจากใบหน้ากชอินทร์มาเป็นโทรศัพท์ของมันที่อยู่ในมือแทน “ต้องการพูดกับใครครับ”

     “นั่นบ้านของกชอินทร์หรือเปล่าครับ”

     ปลายสายเงียบไปสักครู่ ตอบกลับมาเสียงแข็ง “ใช่ครับ”

     “ไม่ทราบว่าบ้านอยู่ไหน คือเขาเมา ผมจะได้เรียกแท็กซี่ไปส่งถูก”

     คนปลายสายตอบที่อยู่กลับมาก่อนที่จะกดวางสายไปเลย ผมเลยได้แต่ขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ ใครกันนะที่รับสาย...เสียงผู้ชาย ก็น่าจะมีน้องของมันกับคนงานที่บ้านล่ะมั้ง แต่ถ้าใครสักคนจะหงุดหงิดก็ไม่แปลกหรอก นี่ไม่ใช่เวลาที่น่าจะมีคนโทรเข้ามา คนอื่นๆ ก็น่าจะนอนกันหมดแล้ว

     แต่เรื่องที่ผมแปลกใจไม่ใช่เรื่องที่เขากดตัดสายหรอก มันเป็นเพราะที่อยู่ที่ปลายสายบอกมา...มันเหมือนจะเป็นบ้านเดิมที่ผมเคยไปตอนมัธยม

     มันก็ใช่ว่าไม่มีหรอกไอ้ประเภทย้ายจากต้นซอยไปท้ายซอย แต่โดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่าน่าจะเป็นคำโกหกของมันมากกว่าที่บอกว่าย้ายบ้านไปแล้ว

     รถไม่ค่อยติดเท่าไหร่แล้ว ก็นะ คนปกติเขาก็คงจะนอนกันหมดแล้วแหละ เพราะงั้นเลยใช้เวลาราวครึ่งชั่วโมงกว่าจะมาถึงแถวบ้านมัน ผมถือวิสาสะหยิบโทรศัพท์มันมาโทรไปที่เบอร์เดิมอีกครั้ง

    “หลังที่สาม ฝั่งซ้าย นับจากท้ายซอย” คำตอบห้วนๆ สั้นๆ จากเสียงผู้ชายคนเดิมตอนที่ผมตามเรื่องตำแหน่งของบ้านก่อนที่จะตัดสายใส่ผมอีกครั้ง

    พอรถเลี้ยวเข้าซอยมาผมก็บอกให้ลุงคนขับรถจอดตามตำแหน่งบ้านที่คนที่บ้านอินทร์บอกมา ส่ายหน้าเล็กน้อยเมื่อความรู้สึกตนเองไม่ได้ผิดแต่อย่างใด บ้านหลังเดิมจริงๆ ด้วย อินทร์โกหกผมเรื่องที่ว่าย้ายบ้านอย่างไม่ต้องสงสัยเลยทีเดียว

    ผมจัดการจ่ายเงินให้เรียบร้อย หิ้วปีกมันอีกครั้งอย่างเสียไม่ได้ ตอนแรกจะบอกให้แท็กซี่อยู่รอเสียหน่อยแต่ลุงแกบอกจะไปส่งรถผมเลยไม่ได้รั้งอะไร คิดว่าเดี๋ยวค่อยเดินออกมาเรียกคันใหม่ก็ไม่น่าจะเป็นปัญหาอะไร

    ผมหิ้วปีกมันอย่างยากลำบากนิดหน่อย อย่างที่บอกว่าคนไร้สติมักจะทิ้งน้ำหนักตัวทั้งหมดลงมา เดินมาหยุดที่หน้าบ้านของมัน หลังยังคงใหญ่อย่างกับคฤหาสน์เหมือนเคย ดูเหมือนไฟส่วนใหญ่จะดับหมดแล้ว นั่นไม่ชวนแปลกใจเท่าไหร่นัก แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้กดกริ่งประตูรั้วกลับถูกเปิดออกมาก่อน

    “...” ผมเลิกคิ้วนิดหน่อย คนที่เปิดประตูมาเป็นผู้ชายวัยยี่สิบต้น มีแค่คนเดียวในความคิดที่ผมคิดออก น้องชายของอินทร์ที่ชื่อเอ็กซ์ สนิทรึก็ไม่ หน้าน้องแกก็เลือนๆ ไปแล้ว แค่คิดว่าน่าจะมีคนเดียวที่อยู่ในช่วงวัยนี้ก็เท่านั้น
   
    อีกฝ่ายมองหน้าผม ตัวสูงขึ้นเยอะพอสมควร น่าจะสูงนำผมไปหลายเซนติเมตรอยู่เหมือนกัน คิ้วเข้มๆ ของอีกฝ่ายขมวดเข้าหากันก่อนที่จะเลิกคิ้วขึ้นนิดหน่อย แต่ไม่แม้แต่จะรับตัวพี่ชายมันไปจากผมด้วยซ้ำ

       “พี่...?” คนตรงหน้าเอ่ยปาก หรี่ตามองผม นิ่งไปสักพักก่อนที่จะเอาลิ้นดุนริมฝีปากด้วยสีหน้าหงุดหงิดใจ การเรียกผมว่าพี่ทำให้ผมมั่นใจว่าอีกฝ่ายคือเอ็กซ์จริงๆ “รู้จักกับอินทร์ตอนมัธยมใช่ไหม”
   
    “อื้อ ไปงานเลี้ยงรุ่นมา” ผมตอบรับไปตามจริง “ช่วยรับมันไปทีได้รึยัง”

       เอ็กซ์ไม่ตอบ พ่นลมหายใจออกมาอย่างหงุดหงิดแต่รับร่างของกชอินทร์ที่ปวกเปียกไม่น่ามองไปหิ้วปีกบ้าง

       ผมจะหันหลังกลับ ตั้งใจจะเดินออกมาในทันทีเพราะไม่มีความจำเป็นใดๆ ให้อยู่ แต่กลับมีเสียงที่บ่งบอกถึงความไม่พอใจดังไล่หลังมา

       “เดี๋ยว” ผมชะงัก หันหลังกลับไปมองเจ้าของเสียง จะรั้งอะไรกันหนักหนานะพี่น้องคู่นี้ “เข้ามาคุยกันก่อนดีไหม... พี่พีท”






--------------------------------------------------------
   ก็นะ... จะว่าลังเลไม่แน่นอนมันก็คงใช่

   แต่มันก็คงมีสักครั้งหรือสักคนที่ทำให้ความตั้งใจที่เราว่าหนักแน่นมากๆ แล้วพังทลายลงในไม่กี่วินาที
ถึงบอกตัวเองว่าไม่ให้ใส่ใจแต่รู้ตัวทีไรก็เผลอมองหาเขาไปแล้ว ต้องทำยังไงก็ได้ให้เขาอยู่ในสายตา
ประมาณว่าไม่ได้อยากจะสนใจหรอกนะ แต่ก็อยากจะให้รู้ว่าไม่เป็นอะไรจริงๆ

   ...อย่าหาว่าเพ้อเจ้อเลยค่ะ เพราะเพ้อเจ้อจริงๆ (ฮา)

   เอ็กซ์นี่มันใครกันนะ คึคึคึ

   หนึ่งคอมเม้นเท่ากับหนึ่งกำลังใจ อย่าลืมให้กำลังใจนิวด้วยหนึ่งคอมเม้นนะคะ!
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 13 (25/04/15) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: กฤษณ์ ที่ 25-04-2015 23:05:48
ปวดตับออฟเดอะเยียร์ #มอบโล่
เพลียกับคู่นี้มาก จะตัดกันแล้วยังจะรั้งอีก ขี้ลังเลทั้งคู่เลย..
ก็นะ.. เข้าใจว่าถ้าไม่ง้อไม่ได้คุยกันคงขาดจริงๆคู่นี้ เพราะอีกฝ่ายก็มีพริมอยู่แล้วด้วย
แต่ไม่นึกว่าจะมีเหตุการณ์แบบนี้ให้ต้องมาถึงบ้าน..
โอ้ยปวดตับ..  :ling2:
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 13 (25/04/15) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: ammchun ที่ 26-04-2015 00:44:35
ก็ยังสงสารพีทอยู่ดี ในอดีตนั่นพีทไม่รู้เรื่องอะไรๆจริงๆน่ะหรอ ถึงทำให้อินทร์หนีไปแบบนั้น เป็นความผิดของพีทจริงๆรึเปล่า?
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 13 (25/04/15) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 26-04-2015 09:00:33
รอตอนต่อไปอย่างใจจดจ่อ
เป็นกำลังใจให้คนเขียนจ๊ะ
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 13 (25/04/15) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Vermouth ที่ 26-04-2015 13:05:52
เหนื่อยอะ เราว่าพีทพอเถอะ ถ้าจะขนาดนี้ มันเหนื่อยเปล่า เอาตัวเอาใจออกห่างมาเถอะ
คือไม่น่าเลย ที่ร้านเหล้าอะ ถ้าเห็นอินทร์เข้ามาก็ไม่น่าอยู่ดื่มต่อเลย สุดท้ายก็ต้องไปส่งถึงบ้าน
แล้วยังจะเจอน้องเอ็กซ์ที่ดูเหมือนจะรู้อะไรสักอย่างอีก นี่มันจะไม่ยิ่งพัวพันกันเข้าไปใหญ่เหรอ เฮ้อออออ
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 13 (25/04/15) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 29-04-2015 19:45:09
จะผูกก็ให้มันแน่น จะตัดก็ตัดให้มันขาด ยึกยักๆอยู่เนี่ยบางครั้งก็รำคาญทั้งคู่เลย
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 14 (29/04/15) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: NINEWNN ที่ 29-04-2015 20:31:13
(http://upic.me/i/ak/timeticket_.jpg)

CHAPTER 14

“Maybe we are lost out on the ocean
and we're the only ones to blame.”

(Shoulda Never Let You Go – The Working Hours)



       ผมเลิกคิ้ว “คุย?” ทวนคำด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ “จำเป็นด้วยหรือ”

       เอ็กซ์มองผมด้วยการไล่สายตาตั้งแต่หัวจรดเท้าและมองย้อนเป็นเท้าขึ้นมาหัว นั่นมันชวนหงุดหงิดเล็กๆ ถ้ายังเป็นช่วงที่เลือดร้อนอยู่ผมคงจะกระชากคอเสื้อมาถามแล้วว่ามีปัญหาอะไร แต่พอโตขึ้นอะไรๆ ก็เย็นลง ยิ่งวันแบบนี้ยิ่งไม่อยากจะทำอะไรแบบนั้นเข้าไปใหญ่

       “คิดว่าจำเป็นนะ” อีกฝ่ายตอบกลับมา

       ผมเอาลิ้นดุนกระพุ้งแก้มอย่างนึกขัดใจ ใช่ว่าความอยากรู้ที่พร่ำบอกตัวเองว่าโยนมันทิ้งไปซะจะถูกโยนทิ้งไปจริงๆ เสียเมื่อไหร่ เกลียดความลังเลใจของตัวเองนัก

       “ยังไงก็มาช่วยผมพาพี่ไปที่ห้องหน่อยเถอะ” อีกฝ่ายไม่หยุดที่จะโน้มน้าว “ผมไม่อยากจะโดนตัวพี่เท่าไหร่น่ะ”

       ประโยคที่ตามมาทำให้ผมขมวดคิ้วมุ่น “ฮะ?”

       “พี่ไม่ชอบ...” เอ็กซ์เว้นไปชั่วครู่ “โดนตัววิปริตอย่างผม”

       ผมเกือบลืมหายใจตอนอีกฝ่ายพูดเหตุผลมันออกมา

       กชอินทร์น่ะหรือไม่ชอบน้องชายตนเอง เมื่อตอนมัธยมถึงจะบ่นเรื่องนั้นเรื่องนี้ให้ฟังบ้างแต่มันก็เป็นปัญหาของคนมีพี่น้องทั่วไป ทะเลาะกับน้องเรื่องงี่เง่าๆ ยิ่งไปกว่านั้น สีหน้าและน้ำเสียงของเอ็กซ์ไม่ได้ดูเหมือนคำพูดที่เอ่ยออกมาเป็นการล้อเล่นเลยแม้แต่น้อย

     ซ้ำร้าย แววตานั้นมันไม่ได้ฉายความเจ็บปวด...แต่ดูเหมือนโกรธแค้น
   
     ความรู้สึกตีรวนกันในหัวอย่างยุ่งเหยิง ชีวิตผมเริ่มจะยุ่งขึ้นเรื่อยๆ นับตั้งแต่ได้กลับมาเจอกชอินทร์ กว่าจะได้สติก็ตอนที่เอ็กซ์เงยหน้าขึ้นมายิ้มให้ ผลักร่างของอินทร์มาใส่แขนผมอย่างแรง ถ้าผมไม่เอื้อมมือไปรับคิดว่าหน้ามันคงได้กระแทกกับพื้นหน้าบ้านมันแน่นอน

       เอ็กซ์คล้ายจะรู้คำตอบของผมไปเสียแล้ว ในเมื่ออีกคนผายมือไปที่ประตูบ้านเล็กน้อยก่อนที่จะเดินนำเข้าไป

       ผมมองคนไร้สติในอ้อมแขน กชอินทร์เป็นตัวปัญหาจริงๆ ด้วย... แต่แม้จะรู้ว่ามันเป็นตัวปัญหา ผมก็เดินเข้าไปในบ้านมันอย่างเสียไม่ได้

       ความทรงจำกับบ้านหลังนี้มีน้อยจนแทบจำไม่ได้ คลับคล้ายคลับคลาแค่ว่ามันใหญ่มากเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นตอนเข้าไปถึงตัวบ้านผมจึงค่อนข้างจะรู้สึกเกร็ง... เอ็กซ์ที่เดินนำหน้าผมไปไม่ได้หันมามองหรือทำท่าทีจะช่วยแบกกชอินทร์เลยแม้แต่นิดเดียว

       ‘พี่ไม่ชอบ...โดนตัววิปริตอย่างผม’

       ตัววิปริตอย่างนั้นเหรอ ไหนจะไอ้การกระทำไม่ไยดีพี่ตัวเองที่ไร้สติแบบนี้อีก เท่าที่ผมจำได้ ความสัมพันธ์ของพี่น้องคู่นี้ไม่ได้แย่นี่นา

       พอเดินมาตรงถึงหน้าบันไดวนอีกฝ่ายก็หันมายิ้มให้ผม “ขึ้นบันไดไปเลยครับ อยู่ห้องซ้ายสุด”

       “ฮะ?” ผมร้องออกมาอีกครั้ง “แล้วน้องจะไปไหน”

       “พี่กินเหล้ามาด้วยใช่ไหม” เขาตอบผมด้วยคำถาม ดูเหมือนจะไม่ได้ถามถึงกชอินทร์แต่ถามผม “เดี๋ยวผมไปชงชาแก้แฮงค์มาให้แล้วกัน” ว่าเช่นนั้นก่อนที่จะเดินไปอีกฝั่งของบ้านทันทีโดยมีผมมองตามเอ็กซ์ไปด้วยความงุนงง นี่มันจะไม่สนใจพี่ชายมันจริงๆ หรือยังไงกัน

       สุดท้ายแล้วผมก็ต้องเดินแบกกชอินทร์ขึ้นบันไดวนไปอย่างเสียไม่ได้ ยิ่งมันส่งเสียงในลำคอออกมาคล้ายจะบ่นว่าไม่สบายตัวยิ่งทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิดใจ

       “แล้ววันไหนจะทำได้อย่างที่พูดวะ” ผมบ่นกับตัวเอง

       ไม่รู้ทำไมพอเป็นเรื่องของกชอินทร์ผมถึงกลายเป็นคนที่มีความดันทุรัง ทะเยอทะยานแบบบ้าๆ ทำตัวเหมือนกับคนขาดสติยั้งคิดแบบนี้ทุกที บางทีผมควรจะปลีกตัวมาตั้งแต่เห็นอินทร์มากินเหล้าด้วยแล้ว ทำไมตอนนั้นไม่ทำแบบนั้นกันนะ แล้วยังไม่ปฏิเสธที่จะมาส่งมันที่นี่อีก สรุปแล้วคนที่เอาแต่วิ่งเข้าหาปัญหามันก็คือผมเองไม่ใช่เหรอเนี่ย

       ผมพ่นลมหายใจออกมา เอาวะ คุยกับไอ้เด็กนั่นแล้วจบๆ กันไป ผมเดินมาที่หน้าห้องที่น้องชายของอินทร์บอกอย่างทุลักทุเลนิดหน่อย แต่พอเปิดประตูเข้าไปและเปิดไฟ ผมกลับแปลกใจในสิ่งที่ปรากฏขึ้นมา

     ห้องของอินทร์ที่ว่านี้แทบไม่มีอะไร ไม่มีของที่ควรจะมีในชีวิตประจำวันเลยด้วยซ้ำ บนโต๊ะก็โล่ง บนชั้นวางของก็โล่ง ซ้ำผ้าปูที่นอนยังไม่ได้ปู หมอนก็ยังไม่ได้ใส่ปลอกใดๆ ไว้เลย
   
     ผมชะโงกหน้าออกมาจากห้อง มองซ้ายมองขวา นี่ก็ห้องซ้ายสุดอย่างที่เอ็กซ์มันว่านี่นา มีอยู่ห้องเดียวเสียด้วย ผมแบกอินทร์ไปนอนที่เตียงก่อนที่จะเดินออกมาดูรอบๆ เปิดประตูห้องที่ใกล้ที่สุดและพบว่ามันเป็นเพียงห้องเก็บของเล็กๆ เท่านั้น เพราะฉะนั้นห้องนี้ก็น่าจะถูกแล้ว

       ผมมองซ้ายมองขวาในห้องอีกที ประตูบานหนึ่งในอีกมุมคงจะเป็นห้องน้ำ ข้างๆ มีตู้เสื้อผ้า พอผมเดินไปเปิดดูผมก็ต้องแปลกใจอีกครั้ง มันไม่ได้ว่างเปล่าแต่ก็มีเสื้อผ้าอยู่น้อยมาก รวมๆ กันอาจจะไม่ถึงสิบตัวด้วยซ้ำ

       “อื้อ” เสียงบ่นงึมงำดังขึ้นทำให้ผมสะดุ้งนิดหน่อย

     ผมหันกลับไปมองเจ้าของเสียงที่ไร้สติก่อนที่ริมฝีปากจะวาดยิ้มออกมาด้วยความรู้สึกหงุดหงิดใจระคนดีใจ

     อินทร์ค่อยๆ พลิกตัวเป็นนอนตะแคง มันคว้าหมอนข้างที่ไม่มีปลอกมากอด ซุกหน้าลงบนนั้นทั้งหน้าจนผมคิดว่ามันอาจจะหายใจไม่ออกก็ได้

     พอนอนแบบนี้ค่อยเป็นอินทร์ที่ผมรู้จักขึ้นมาหน่อย...

     ผมอดคิดเช่นนั้นไม่ได้ ตอนมัธยมสามไปค่ายลูกเสือด้วยกันอินทร์ติดเครื่องนอนของตัวเองยิ่งกว่าอะไร มันลงทุนแบกหมอนกับผ้าห่มจากบ้านมาเลยด้วยซ้ำเพราะบอกว่านอนไม่หลับ คุ้นๆ ว่าตอนนั้นมันนอนด้านซ้ายของผม ไม่ใช่เพราะว่าเราตัวติดกันแต่เป็นเพราะเหลือที่ว่างตรงนั้นพอดีสำหรับมันกับเพื่อนๆ มันเลยเลือกที่จะนอนริม และผมก็จำได้ว่าสองคืนนั้นตัวเองแทบไม่ได้นอนเพราะเอาแต่นอนตะแคงข้างมองหน้ามันที่เอาซุกเข้าหมอนแล้วใจเต้นไม่เป็นส่ำ

     ให้ตายเถอะ ทำไมผมถึงจำเรื่องราวแบบนี้ได้ละเอียดนักนะ...ผมใส่ใจเรื่องของ ‘อินทร์’ ขนาดนั้นเชียวหรือ

     ผมเลื่อนมือไปสัมผัสเส้นผมด้านหน้าของมันอย่างแผ่วเบา อินทร์เป็นคนที่หน้าใสมาก ตั้งแต่เด็กแล้ว สิวแทบจะไม่เคยขึ้นสักเม็ดผิดกับเด็กคนอื่นๆ แล้วไหนจะผิวขาวๆ นุ่มๆ ของมันอีก สักพักปลายนิ้วมือของผมเลื่อนต่ำลงมาบริเวณริมฝีปากของมันอย่างลืมตัว มันไม่ดูแลตัวเอง ตอนนั้นมันไม่ดูแลตัวเอง ยิ่งหน้าหนาวยิ่งปากแตกให้เห็นบ่อยๆ จนตอนนี้ริมฝีปากของมันก็ค่อนข้างแห้งอยู่เหมือนเดิม

     สรุปตอนนี้มันเป็นแบบไหนกันแน่นะ... เป็นคุณกชอินทร์ที่ผมไม่รู้จักหรือเป็นอินทร์ที่ผมเคยใกล้ชิดด้วย

     “อื้อ!” มันส่งเสียงดังขึ้นนิดหน่อย แถมยังเอามือปัดมือของผมออกอีกต่างหาก

     ผมแสยะยิ้มออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน “เกลียดมากรึยังไงฮะ” ขนาดตอนนอนยังไม่อยากให้ผมสัมผัสเลยงั้นสิ

     ผมละสายตาจากอินทร์ มองไปรอบๆ ก่อนที่จะไปหยุดสายตาลงที่ชั้นหนังสือข้างๆ กับโต๊ะเขียนหนังสือถัดจากเตียงนอน แทบไม่มีอะไรเหลืออยู่แต่ก็มีหนังสือบางเล่มที่วางไว้บนโต๊ะ

     ส่วนใหญ่ก็หนังสือในสำนักพิมพ์ ไลน์เดียวกับที่มันกำลังดูแลให้ผมอยู่ ผมเลยไม่ค่อยรู้สึกแปลกใจนัก แม้จะคิดภาพมันมานั่งอ่านหนังสือแนวเรื่องเล่า ประสบการณ์ หรือหนังสือชีวประวัติแบบนี้ไม่ค่อยออกเท่าไหร่นัก

   

     ‘อ่านแต่อะไรเข้าใจยาก’ อินทร์ตอนมัธยมปลายเคยพูดกับผมแบบนั้นตอนที่ผมนั่งอ่านหนังสือขณะรอมันทำโจทย์เลขให้เสร็จตอนเย็น อินทร์ไม่ถูกกับเลขจนทุกครั้งที่มันมีสอบต้องระเห็จเอาหนังสือมาให้ผมติวให้เสมอ ‘เนี่ย อะไร ภาษาอะไร ศัพท์อะไร ไม่เข้าใจ’

     มันคว้าหนังสือในมือของผมไป เปิดผ่านๆ ก่อนที่ทำท่าจะเหมือนจะกระแทกหนังสือใส่โต๊ะแต่ผมส่งสายตาปรามมันเสียก่อน อินทร์เลยรั้งมือไว้

     ‘เสร็จแล้วเหรอ’ ผมเอ่ยปากถาม คว้าหนังสือมาถือไว้เหมือนเดิม

     มันมุ่ยหน้า ‘ทำไม่ได้’

     ‘ก็ไม่ทำ มันจะได้ไหมเล่า’

     อีกฝ่ายไม่เถียงแต่ริมฝีปากของมันยื่นออกมาจนแทบจะกระแทกหน้าผมอยู่แล้ว ผมนึกแปลกใจว่าพ่อกับแม่กชอินทร์โอ๋ลูกมากไปรึเปล่าถึงได้ออกมาดื้อเงียบแบบนี้ เวลาอินทร์โกรธค่อนข้างจะเหมือนผู้หญิง คือไม่ค่อยพูด ไม่ค่อยโวยวาย แต่สัมผัสถึงรังสีบางอย่างที่บ่งบอกว่าไม่พอใจ

     มันวางปากกาอย่างแรง ‘ไม่ทำแล้ว’

     ‘อินทร์’ ผมปราม ‘ถ้าตกกูไม่ช่วยแล้วนะ’

     ‘อะไรเล่า’ มันบ่นงึมงำ ‘เลิกอ่านพวกนั้นได้แล้ว มาสอนกูสิ’
   
    ผมเลิกคิ้ว มองอินทร์ที่ทำหน้าบูดบึ้งด้วยความเอ็นดู ใช่ว่าจะไม่หายเคืองกับเรื่องที่มันกระชากหนังสือไปจากมือของผมหรอกแต่พออินทร์เริ่มทำหน้าเหมือนเด็กเรียกร้องความสนใจมันพาลทำให้ผมรู้สึกอ่อนใจทุกครั้ง
      
     ‘พีท’ มันเรียกชื่อผม เสียงออดอ้อนกว่าทุกครั้ง ‘อธิบายอีกรอบนะ’

       ให้ตาย... เจ้าคนนี้จะน่ารักไปไหนกัน เคยรู้บ้างไหมว่าผมใช้ความพยายามมากเพียงใดที่จะไม่ยิ้มกว้างๆ ออกมากับทีท่าแบบนั้น ผมพยายามสูดลมหายใจลึก วางหนังสือที่ตัวเองอ่านลงบนโต๊ะแล้วหยิบชีทของอินทร์ให้หันมาเล็กน้อยจะได้อธิบายมันที่นั่งอยู่ตรงข้ามได้สะดวก

       อินทร์ฟังบ้างไม่ฟังบ้าง ผมเลิกคิ้วอย่างแปลกใจเมื่อเห็นว่าครั้งนี้มันทำลื่นไหลกว่าที่เคย ก่อนที่จะสังเกตเห็นว่าหนังสือของตัวเองถูกเลื่อนไปอยู่ใกล้มันจนมันเอาไว้ใช้เท้าแขนได้อยู่แล้ว

       ...เป็นคนเรียกร้องความสนใจจริงๆ ด้วย


   
       ก๊อกๆ

       ผมหลุดออกจากภวังค์ตอนได้ยินเสียงเคาะประตู ตามมาด้วยการเปิดประตูอย่างถือวิสาสะ ใบหน้าที่คล้ายคลึงกับคนที่นอนบนเตียงส่งยิ้มให้ผม

       “จะลงไปไหมครับ”

       ผมเค้นยิ้ม พยักหน้าอย่างเสียไม่ได้ ก่อนที่จะหันกลับไปมองอินทร์ที่นอนบนเตียงที่ไม่มีแม้แต่ผ้าปูที่นอนอีกรอบ “จะให้มันนอนนี่เหรอ”

       “นี่ห้องเขานี่” อีกฝ่ายตอบอย่างไม่ยี่หระ

       “ทำไมห้องมันโล่งจัง” ผมตั้งคำถามตอนที่เดินออกจากห้อง

       เอ็กซ์เป็นคนปิดประตูอย่างแผ่วเบา ตอบผมอย่างเรียบเฉย “ก็อินทร์ไม่ได้อยู่ที่นี่” ผมคิดว่าสีหน้าของผมคงแสดงให้เห็นชัดไปเสียหน่อยว่าไม่เข้าใจกับสิ่งที่อีกฝ่ายพูด “ถึงเป็นห้องของอินทร์...แต่อินทร์ไม่ได้อยู่ที่นี่หรอก”

       ผมอยากจะเอ่ยปากถามไปว่าแล้วจะให้ผมมาส่งที่นี่ทำไม แต่เอ็กซ์เดินลิ่วๆ ไม่ได้สนใจผมเลยแม้แต่น้อย สิ่งที่ผมทำได้เลยมีเพียงแค่การทึ้งหัวตัวเองอย่างหงุดหงิด คนที่บ้านนี้ต้องประสาทไปแล้วแน่ๆ ชาติที่แล้วผมคงต้องไปทำกรรมอะไรไว้แน่นอน

       พอเดินลงมาจากบันไดวนที่แสนจะอลังการนั่นแล้วเอ็กซ์ก็เดินนำผมไปแถวๆ โซฟา น่าจะเป็นที่สำหรับรับแขก

       “ผมทำได้แค่นี้แหละ พอดีแม่บ้านนอนกันหมดแล้ว”

       “ขอบใจ” ผมตอบกลับน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย “เรามีอะไรต้องคุยกันเหรอ” ว่าพลางหยิบแก้วที่ยังอุ่นๆ อยู่จากโต๊ะ เหลือบตามองนาฬิกาแล้วก็ได้แต่คิดในใจว่าพรุ่งนี้ผมคงโดนไอ้เก้ปลุกมาเปิดร้านอีกเป็นแน่ นี่มันจะเป็นเช้าวันใหม่อยู่แล้ว

       “กลับมาคบกับอินทร์หรือ”

       ผมชะงัก คำถามที่อีกฝ่ายถามมาทำให้แก้วน้ำถูกวางจรดแค่ริมฝีปาก ถึงจะดื่มเหล้าไปแต่ระยะเวลาที่ผ่านมาทำให้ผมได้สติแล้วไม่ใช่น้อย และคิดว่าเมื่อกี้ไม่น่าใช่การฟังผิด

       พอเห็นผมไม่ตอบ คนอายุน้อยกว่าก็เอ่ยปากต่อ “หรือไม่เคยเลิกคบกันแต่แรก”

       “...” ผมเลิกคิ้ว คำถามของเอ็กซ์เป็นอะไรที่นอกเหนือความคิดของผมไปไกลมาก ยิ่งยามที่อีกฝ่ายเดาะลิ้น หัวเราะเบาๆ ด้วยแววตาที่ไม่ขำนั้นยิ่งทำให้ผมรู้สึกงุนงง

       “พี่ผมนี่เยี่ยมจริงๆ” อีกฝ่ายพูดน้ำเสียงเรียบเฉย “ด่าคนอื่นว่าวิปริตแต่กลับเป็นเสียเอง”

       ผมสูดลมหายใจเข้าปอด “เราไม่เคยคบกัน” นั่นเป็นคำตอบเดียวที่ผมนึกออกในตอนนี้

       เอ็กซ์มองผมแล้ววาดยิ้มลงบนริมฝีปากนั่น อีกฝ่ายหน้าตาเข้มกว่าอินทร์เยอะ เพียงแต่ชั่วจมูกหรือปากโตขึ้นมาแล้วเหมือนกันค่อนข้างมาก แต่ถึงกระนั้น รอยยิ้มของคนตรงหน้าไม่ได้ให้ความรู้สึกดีเลยแม้แต่นิดเดียว

       “งั้นหรือ” เขาเคาะนิ้ว “ตอนนั้นคนตั้งเยอะรู้เรื่องพี่กับอินทร์นะ” คำพูดนั้นเป็นอะไรที่ผมไม่คาดคิดมาก่อน พอผมไม่พูดอะไรเขาก็พูดต่อเสียยาว “ถึงอินทร์ไม่ใช่คนดังอะไรแต่ก็มีรุ่นน้องปลื้มตั้งเยอะ เพื่อนๆ ผมนี่เต็มเลยล่ะ พวกออกหน้าออกตาก็งี้แหละ คนเก่งของโรงเรียน”

       เดิมทีเจ้าเด็กนี่เป็นคนยังไงกันนะ ผมไม่มั่นใจเท่าไหร่นัก ตัวตนของเอ็กซ์ในอดีตเลือนรางเหลือเกินสำหรับผม คิดออกแค่เป็นน้องของอินทร์แค่นั้น ถึงผมจะอยู่ในโรงอาหารตอนเย็นเล่นกับอินทร์บ่อยๆ เวลาที่อินทร์ต้องรอน้อง เวลาเดินผ่านก็ยิ้มให้กันบ้าง แต่ไม่เคยคิดจะหยุดคุยกันด้วยซ้ำไป

       “แต่ผมไม่ได้รู้สึกแปลกใจหรอกนะ...มันเป็นเรื่องปกติของชายล้วน จะมีบ้างมันก็ไม่แปลกหรอก” เขาพูดต่อโดนไม่มองหน้าผมแม้แต่นิดเดียว “ที่ผมแปลกใจก็คือ...ทำไมพ่อแม่ไม่รู้เรื่องนี้”

       คำพูดของเอ็กซ์ทำให้ผมงุนงงยิ่งกว่าเก่า

       ‘แม้ว่าพ่อของคุณ...จะตายเพราะรู้ว่าลูกชายคบกับผู้ชายน่ะหรือ’

       ผมพยายามรั้งปากตัวเองไม่ให้ถามออกไปเพราะยังคำนึงถึงมารยาทอยู่บ้าง แต่เหมือนคนตรงหน้าจะรู้ “มีอะไรหรือ พี่พูดได้เลย”

       “มัน...” ผมอึกอัก แต่อีกฝ่ายก็ยังคงยิ้มให้เป็นคำยืนยันว่าผมสามารถพูดออกไปได้ “อินทร์บอกว่าพ่อของมันเสียเพราะรู้ว่ามันคบกับผู้ชาย...” ผมพูดออกมาอย่างลำบากใจ

       เอ็กซ์เลิกคิ้วเล็กน้อย มองหน้าผมตรงๆ ริมฝีปากเม้มเข้าหากันก่อนที่จะพยักหน้า “อินทร์พูดแบบนั้นเหรอ”

       ผมนิ่งไปชั่วครู่ “ประมาณนั้นแหละ”

       “พ่อไม่ได้รู้เรื่องที่อินทร์คบกับผู้ชายหรอก” อีกฝ่ายเค้นหัวเราะ “คนที่คบกับผู้ชายแล้วพ่อรู้เข้า...คือผมต่างหาก”

       ผมรู้สึกเหมือนโดนคำพูดนั้นตบบ้องหูแรงๆ เอ็กซ์ตอบผมด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ใบหน้าเขาไม่ได้แสดงความลำบากใจใดๆ ให้เห็นเลยแม้แต่น้อย นั่นยิ่งทำให้ผมไม่เข้าใจ ผมโดนทุบหัวด้วยคำพูดต่างๆ นานาจนไม่รู้แล้วว่าที่ตัวเองเข้าใจนั้นคือความจริงหรือเรื่องโกหก แต่พอย้อนคิดดีๆ อินทร์ก็ใช้คำว่า ‘ลูกชาย’... ไม่ได้บอกว่าเป็นมัน คนที่เข้าใจไปเองว่าพ่อมันรู้เรื่องของเราก็คือผมทั้งนั้น

       แต่...ถ้ามันเป็นแบบนั้น...ทำไม?

       “พี่ไม่รู้หรอกเหรอ” อีกฝ่ายยิ้มให้ผม “อินทร์หลอกพี่มานานเท่าไหร่แล้ว พ่อไม่รู้เรื่องของพี่หรอก อินทร์ปิดความลับเก่งจะตายไป”

       ผมกัดฟัน บดริมฝีปากเข้าหากันแน่นอย่างใช้ความคิด เมื่อไหร่กันที่ผมรู้สึกว่าเรื่องราวมันยากขนาดนี้ พอคำถามเก่าได้รับคำตอบ คำถามใหม่ก็ตามเข้ามาทีหลังปั๊บ ครั้นจะบอกว่าเอ็กซ์โกหกมันก็ดูประสาท เรื่องอะไรเขาต้องมาโกหกผมล่ะ เรื่องนี้มันไร้เหตุผลพอๆ กับว่าทำไมเขาต้องมาถามผมนั่นแหละ เพราะฉะนั้นผมเลยพยายามตั้งสติ แบ่งใจตัวเองว่าต้องเชื่อครึ่งไม่ใช่ครึ่ง แต่เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ ทีท่าที่ดูไม่สนใจไยดีอีกฝ่ายจากเอ็กซ์ก็ทำให้ผมเทคะแนนไปที่ว่ามันเป็นเรื่องจริงมากกว่า

       “พี่คิดว่ามันรู้สึกยังไงล่ะตอนที่รู้ว่าพ่อหัวใจวายเพราะภาวะเครียด เนื่องจากรู้ว่าลูกชายคนเล็กของตัวเองเป็นเกย์ในขณะที่บริษัทกำลังจะล้มละลาย” ผมสูดลมหายใจเข้าปอดลึกยามที่อีกฝ่ายพูดคำพูดน่ากลัวออกมาด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ยังไม่พ้นงานศพพ่อไปก็มีพี่ชายตัวเองคอยมาด่าว่าเป็นสาเหตุให้พ่อตาย” เอ็กซ์ผ่อนลมหายใจเหมือนพยายามสงบสติอารมณ์ “โดนด่าว่าเป็นพวกวิปริต”

       “...”

       “แล้วตอนนี้ยังต้องเห็นพี่ชายตัวเองมาคบผู้ชายด้วยกันอีก”





----------------------------------------------------------
เราโรคจิตนะคะ ชอบให้คนด่าตัวละครในนิยาย
...ตราบใดที่ยังไม่ด่าคนเขียนไปด้วย นิวก็รู้สึกมีความสุข:katai2-1:

ปล. อย่าเพิ่งด่าคนเขียนเลยค่ะ นะคะ 55555555 




หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 14 (29/04/15) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 29-04-2015 21:06:20
เอาแบบไหนดี กระโดดถีบสองขา  :z6:  ดีไหมหรือนั่งยิ้มแล้วปรบมือ  มันเยี่ยมมากค่ะ
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 14 (29/04/15) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Vermouth ที่ 29-04-2015 22:54:39
... สุดๆ อะ ดราม่านี่มันหนักหน่วงจริงจัง มันยิ่งกว่าอะไร มันเจ็บซ้ำซ้อนล้ำลึกมาก โอ้ยตาย เรื่องมันเป็นอย่างนี้นี่เอง
รู้สึกกลืนไม่เข้าคลายไม่ออกตามตัวละครไปตามๆ กัน หนักสุดน่าจะเป็นอินทร์ ที่แบกรับทุกอย่างทุกทาง แต่ถ้าอินทร์ไม่โทษน้อง อินทร์คงมีความสุขกว่านี้ หมายถึงกับพีท แต่ก็รู้ว่ามันคงทำใจยอมรับได้ยากมากๆ
น้องเอ็กซ์ก็น่าสงสาร ที่พูดออกมาราวกับไม่รู้สึกอะไร แต่ในใจคงไม่ใช่ ยิ่งมาโดนพี่โทษ มันยิ่งเจ็บ แล้วตัวเองก็รู้ว่าพี่ก็ชอบผู้ชาย มันยิ่งน่าแค้น เหอะๆ
ส่วนพีทก็น่าสงสารตรงที่ไม่รู้อะไรเลยและต้องถูกทิ้งให้อยู่ในวังวนความไม่รู้และความเจ็บปวดเป็นสิบๆ ปี
เราว่าอินทร์กับพีทไม่น่ากลับมาเจอกันอีกเลยจริงๆ (คือตรงนี้ยังเป็นปริศนาอยู่ใช่ไหมคะว่าได้มาทำงานด้วยกันโดยบังเอิญหรืออินทร์ตั้งใจหรืออะไรยังไง
แต่เอาจริงถ้าอินทร์รู้อินทร์น่าจะเลือกไม่เจอและไปหางานอื่นทำแทนไหม​ ? หรือลึกๆ ก็ยังโหยหาแต่แบบ ก็กลับมาคบกันไม่ได้ อะไรยังไง ไม่เคยเข้าใจอินทร์อะค่ะ 555)
มันยิ่งทำให้พีทเหมือนยิ่ง move on ลำบาก โอเคที่ผ่านมาอาจจะติดค้างในใจบ้างแต่ถ้าไม่ได้เจอมันก็ไม่อะไรหรอก นี่ได้เจอแล้วยังมารู้อย่างนี้พีทจะทำยังไงอะ โอยยยย
จริงๆ ถ้าอินทร์ทำใจยอมรับได้จะกลับมาคบกับพีทก็ยังได้นะ แต่มีความรู้สึกว่าคงจะยาก และก็ยังมองไม่เห็นทางจะคู่นี้เค้าจะไปต่อกันได้ อย่างน้อยน้องเอ็กซ์ก็แค้นพี่อินทร์ไปละ เฮ้อออออ

ขอชมว่าคนเขียนเขียนดีมากกกกก ทั้งภาษา สำนวน บรรยากาศความอึดอัด การบรรยายก็ไหลลื่น อ่านแล้วอินมากกกก หน่วงและอึดอัดตามตัวละครจริงๆ
ที่สำคัญตอนนี้ปริศนาเผยออกมาเปราะหนึ่ง รู้สึกว่าวางพล็อตวางปมดราม่าได้ดีมากๆ ขอชมจริงๆ เป็นกำลังใจให้และจะตามอ่านทุกตอนอย่างแน่นอนค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 14 (29/04/15) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 30-04-2015 09:39:43
อืม......

ไม่เข้าใจว่าทำไมอินทร์ต้องเปลี่ยนไปหลังเหตุการณ์นั้น เป็นคนที่มีความลับเยอะเหลือเกิน

หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 14 (29/04/15) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 01-05-2015 07:56:32
จริงๆแล้วเรื่องทั้งหมดเป็นยังไงกันแน่ แล้วอินทร์คิดอะไรอยู่อ่ะ
เป็นกำลังใจให้คนเขียนจ๊ะ
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 15 (03/05/15) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: NINEWNN ที่ 03-05-2015 21:12:50
(http://upic.me/i/ak/timeticket_.jpg)

CHAPTER 15

“เจ็บกว่าการไม่มีความหวัง...ก็คือการไม่ลืมความหลัง
เท้าก้าวเดินไป แต่หัวใจอยู่ตรงนั้น”

(เจ็บกว่าจาก – พีท พีระ)



       หากจะรู้สึกเกลียดใคร...ก็น่าจะเป็นตัวผมเอง

       เกลียดนักตอนที่รู้เรื่องจากเอ็กซ์แล้วทำอะไรไม่ได้นอกจากนั่งอยู่ตรงนั้นเฉยๆ ไม่มีคำพูดปลอบใจใดๆ หลุดออกมาจากปากของผม ไม่มีคำโต้เถียงเรื่องที่อีกฝ่ายบอกว่าผมกับกชอินทร์กำลังคบกันอยู่ทั้งๆ ที่ไม่ใช่ความจริง ไม่มีความสงสัยผุดพรายขึ้นมาในหัวของผมว่าเรื่องที่อีกคนอธิบายเป็นเรื่องจริงอยู่มากมายแค่ไหน

     เพียงแต่คำถามแรกที่เข้ามาในหัวของผมกลับเป็นคำถามว่า...อินทร์ ‘โอเค’ หรือ?

     ณ ตอนนั้นความสับสนมีมากมายจนผมจำไม่ได้ว่าเอ็กซ์พูดอะไรอีกรึเปล่า เล่าเรื่องอะไรอีกนานแค่ไหน ทุกอย่างเป็นเหมือนภาพลางๆ ในความทรงจำ เพราะตอนนั้นมีแค่ความกระวนกระวาย

     ถ้ามันเป็นเรื่องจริง...อินทร์ผ่านมันมาได้อย่างไร...มันยังเจ็บปวดอยู่หรือเปล่าตอนที่คิดถึงช่วงเวลาเหล่านั้น

     ผมควรจะเกลียดตัวเองที่เกลียดกชอินทร์ไม่ได้เสียที ขนาดตอนที่รับรู้เรื่องแบบนี้ ผมยังมานั่งพะวงและเป็นห่วงเป็นใยในเรื่องของมันจนเกือบลืมไปเลยว่าไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ผมบอกกับตัวเองว่าต้องตัดใจ

     เป็นอินทร์อีกแล้ว เป็นมันอีกแล้วที่แค่ได้ยินชื่อก็ทำให้ความพยายามทั้งหมดของผมพังทลายลง

     ผมจำอะไรไม่ได้เลยนอกจากความคิดที่วนเวียนไปมาของตนเอง จำแทบไม่ได้ว่ากลับมาบ้านอย่างไร คลับคล้ายคลับคลาว่าเอ็กซ์จะเป็นคนเรียกแท็กซี่ให้ น่าจะเป็นเขาเองที่ถามเรื่องที่อยู่ของผมทั้งยังจ่ายเงินให้เสร็จสรรพ

     พอกลับมาถึงบ้านผมกลับนอนไม่หลับ บุหรี่ม้วนแล้วม้วนเล่าถูกจุดขึ้น ความทรงจำต่างๆ ถูกตีรวนขึ้นมาในหัวสมอง ตอนที่เจอมันครั้งแรก ตอนที่กลับมาเจอมันอีกครั้ง ตอนที่ใช้เวลาร่วมสิบปีไปกับ ‘ความเงียบ’ ระหว่างเราโดยไม่พยายามอะไรเลย ไม่ยอมเดินหนีไปแต่ไม่ยอมวิ่งเข้าหามันอีกครั้ง ผมคิดแต่เรื่องเหล่านั้นจนถึงตอนที่ไอ้เก้มากดกริ่งหน้าบ้านหลายครั้งหลายคราจนมันต้องโทรเข้ามาที่บ้านผมถึงได้สติ

     “เฮียเอาอีกแล้วววว!” มันร้องออกมาเมื่อผมเดินมาเปิดประตูให้ “โอ้ ตายๆๆๆ” มองสภาพผมตั้งแต่หัวจรดเท้าและพึมพำออกมาแค่คำเดิม

     ผมไม่ตอบอะไร เดินไปที่โต๊ะกินข้าว ควานหากุญแจร้านก่อนที่จะขมวดคิ้วเมื่อไม่เห็นว่ามีมัน

     “สติไม่มีแล้วเฮีย” มันเดินเข้ามาในบ้าน “นี่เอากุญแจมาให้ เมื่อวานเฮียให้ผมปิดร้านไม่ใช่หรือ ผมเปิดร้านเรียบร้อยแล้ว”

     ผมนิ่งไปชั่วครู่ก่อนที่จะส่งเสียงตอบรับในลำคอ คล้ายว่าจะมีเรื่องอย่างนั้นจริงเสียด้วย

     “เฮียไปอาบน้ำก่อนดีกว่าไหม แล้วบุหรี่... กลิ่นตัวเฮียเน่ามากตอนนี้” ไอ้เก้ไม่ได้พูดแค่นั้น มันบ่นอะไรต่อไปยาวเหยียดแต่เสียงพวกนั้นเหมือนกระทบหูผมแล้วก็ผ่านไปเท่านั้น จนมันต้องเอื้อมมือมาจับไหล่ผมไว้ ผมเหลือบตามองอีกฝ่ายยามมันเลื่อนมือมาดึงบุหรี่ออกจากปากของผมอย่างเลื่อนลอย “เฮียต้องไปอาบน้ำแล้วว่ะ จริงๆ นะ วันนี้มีผมคนเดียวนะเว้ย พี่จีเขาลาหยุดไม่ใช่หรือ เฮียต้องเป็นคนทำอาหารสิ”

     ผมเอาลิ้นดุนกระพุ้งแก้มตอนที่มันพยายามอธิบายให้ผมได้สติอย่างใจเย็น ถอนหายใจก่อนที่จะพยักหน้า

    “ไปๆๆ”

     มันดันหลังผมไปทางห้องนอน ปากก็บ่นอะไรไปเรื่อยเปื่อยประหนึ่งเป็นแม่ของผมอย่างไรอย่างนั้น ราวกับสลับตำแหน่งเจ้าหน้ากับลูกจ้างอย่างไรอย่างนั้นแหละ

     ผมไม่ได้สตินานมากตอนที่หยิบเสื้อผ้าตัวเองเดินเข้าห้องน้ำมา สักพักก็ได้ยินเสียงมันตะโกนดังลั่นพร้อมทุบประตูห้องน้ำอย่างแรง

     “เฮียหลับเหรอ! ตื่นเว้ยย อาบน้ำ!”

     ถ้าเป็นปกติผมคงด่ามันเปิดเปิงแล้ว อายุอานามก็น้อยกว่า ศักดิ์ก็เป็นลูกน้อง แต่เวลานี้ไม่มีแม้แต่แรงจะขยับปากด้วยซ้ำ

     ผมใช้เวลาอาบน้ำนานมาก ต้องเรียกว่าใช้เวลาตั้งสติเสียมากกว่า ไอ้เก้ตะโกนเรียกผมเป็นระยะๆ กว่าผมจะเดินออกมาจากห้องน้ำก็ผ่านไปเกือบชั่วโมงเพราะผมได้แต่ปล่อยให้น้ำไหลผ่านตัวไปเฉยๆ อยู่นาน ออกมาจากบ้านก็เห็นว่าไอ้เก้ไม่อยู่แล้ว สาเหตุน่าจะมาจากมันถึงเวลาเปิดร้านอย่างเป็นทางการแล้วกระมัง

     ผมเดินออกมาจากบ้านอย่างไร้สติ ยังดีที่เปิดประตูเข้ามาในร้านแล้วไม่เห็นลูกค้าสักคน

     “พี่จีเขาซื้อของไว้แล้วนะ ขนมมีที่พี่แกทำไว้ตั้งแต่เมื่อคืน”

     “อื้อ...” ผมพยักหน้าส่งๆ

     คนอายุน้อยกว่ามองผม เก้ดูเหมือนใช้ความพยายามมากที่จะไม่ด่าผมด้วยการสูดลมหายใจลึกๆ ตามด้วยการพ่นมันยาวๆ “นี่เฮียเป็นซอมบี้รึยังไงฮะ”

     ผมมองหน้ามันก่อนที่จะส่ายหน้าช้าๆ อย่างเหนื่อยหน่าย

     วันทั้งวันผ่านไปอย่างว่างเปล่า จะว่าช้าก็ช้า จะว่าเร็วก็เร็ว ผมได้ยินไอ้เก้เรียกเฮียแบบเสียงสูงผิดปกติจนแทบจะเป็นคำด่าหลายสิบรอบในวัน บ่อยที่สุดตอนที่มีคนสั่งอาหารคาวซึ่งผมต้องลงมือทำเอง ผมไร้สติจนได้แผลมาหลายแผล ที่ยิ่งกว่านั้นคือมันแทบจะไม่รู้สึกเจ็บเลยแม้แต่น้อย ถึงขนาดที่ไอ้เก้บอกว่า ‘เฮียพักหน่อยไหม กลัวเฮียเอาตัวเองไปทอดในกระทะตายก่อน’ ซึ่งมันดูละเหี่ยใจกับผมมากมายเหลือเกิน

     เพราะฉะนั้น พอมาถึงช่วงบ่ายหลังจากมั่นใจว่าไม่น่าจะมีใครสั่งอาหารแล้วผมจึงเดินเข้ามาที่บ้านตัวเองและปล่อยให้ความคิดต่างๆ ไหลผ่านหัวของผมไป

     มีแต่ชื่อกชอินทร์ มีแต่สิ่งที่เกี่ยวกับมัน คล้ายตอนที่ผมได้แต่เห็นหลังของมันเดินจากไปและไม่ยอมหันกลับมาตอนที่ผมเรียกชื่อ มันนานแล้วที่ผมไม่ได้เป็นอย่างนี้

     ผมควรทำอย่างไรดีกับเรื่องราวแบบนี้

     ปล่อยให้เรื่องของเราจบแบบนี้น่ะหรือ...กชอินทร์



     วันเวลาช่างผ่านไปอย่างยากลำบาก

     ผมคิดว่าอาจจะเป็นเวลาที่สมควรแล้วที่จะขึ้นเงินเดือนให้ไอ้เก้เพราะมันเป็นคนดูแลผมจริงๆ ภาระทุกอย่างของร้านแทบจะอยู่กับมันไปเสียหมด คุณจีเองก็เหมือนกัน เขาใช้ความพยายามมากที่จะคิดเมนูใหม่ตามที่เคยเสนอกับผมไว้ แต่ ณ เวลาเช่นนี้ ผมรู้สึกเหมือนอาหารแทบจะไม่มีรสชาติ บางวันผมแทบไม่ได้กินอะไรด้วยซ้ำ ไม่ใช่ว่าเหนื่อยจนกินอะไรไม่ได้ แต่มันรู้สึกไม่หิว เหมือนกับความอยากอาหารถูกดูดไปเสียหมด ถ้าสองคนนั้นไม่ช่วยเตือนผมคิดว่าผมอาจจะไม่ทานอะไรเป็นวันๆ เลยก็ได้

     พนักงานประจำทั้งสองอย่างไอ้เก้และคุณจีระต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าผมควรจะพักอยู่ที่บ้าน เดินมาช่วยร้านเวลากลางวันหรือคนเยอะๆ เป็นพอ

     “ถ้าเฮียยังเป็นแบบนี้ผมว่าสักวันร้านนี้คงล่ม”

     นั่นเป็นคำเตือนให้ผมได้สติจากไอ้เก้ แปลได้ประมาณว่า ‘เฮียควรกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้แล้วถ้าไม่อยากเสียเงินทำกิน’ ไอ้เข้าใจความเป็นห่วงของมันน่ะใช่...แต่ทำได้หรือไม่มันอีกเรื่อง

     แต่ละวันของผมแทบไม่มีความทรงจำ มันผ่านไปกี่วันแล้วตั้งแต่ได้ไปส่งกชอินทร์ที่บ้านผมก็ไม่แน่ใจ อาจจะสองวัน สามวัน หรืออาจจะเป็นอาทิตย์แล้วก็ได้ ผมนึกตั้งคำถามกับตัวเองว่าควรทำอะไรดีนอกจากการนั่งอยู่เฉยๆ และปล่อยให้ความทรงจำต่างๆ ไหลผ่านตัวเองไป แต่ทุกครั้งที่ผมหยิบโทรศัพท์ที่ถูกปิดไว้คำถามมันก็จะดังขึ้นในหัวสมอง

     โทรไปหามันแล้วผมจะพูดอะไรกับมันหรือ?

     ถาม? ถามว่าอะไรล่ะ ที่น้องมันพูดเป็นความจริงหรือเปล่าเหรอ

     เค้นคำตอบงั้นหรือ? ผมมีสิทธิ์อะไรไปสั่งให้มันเล่าความจริงทุกอย่างแบบที่ผมปรารถนา

    หรือจะให้ผมบอกมันว่าทุกอย่างจะผ่านไปด้วยดี? ผมทำได้ด้วยหรือในเมื่อผมไม่มีมีอะไรเป็นหลักประกันว่ามันจะผ่านไปจริงๆ
   
     เพราะคำถามเหล่านั้นทำให้ผมไม่ได้จับโทรศัพท์เลยด้วยซ้ำ ทุกครั้งที่ผมจะเอื้อมมือไปจับมัน คำถามที่แวบซ้ำไปซ้ำมาก็ทำให้ผมชักมือกลับทุกครั้ง

       จนวันหนึ่ง ตอนค่ำๆ มีเสียงกดกริ่งที่หน้าบ้าน มันไม่ใช่เวลาปกติที่ไอ้เก้หรือคุณจีจะมาหาผมที่บ้าน นั่นเป็นสาเหตุว่าทำไมผมถึงแปลกใจนิดหน่อยตอนได้สติ

       และพอผมเปิดประตูออกไปผมก็แปลกใจยิ่งกว่าเดิม

       ไอ้เก้ยืนอยู่หน้าประตูบ้านก็จริงแต่มันไม่ได้ยืนอยู่คนเดียว สีหน้ามันตอนยิ้มให้ผมดูเจื่อนไม่ใช่น้อยตอนที่ผมเปิดประตูออกไป ก่อนที่มันจะหันไปพูดกับคนข้างๆ

       “ตอนนี้เฮียสภาพแย่มาก สงสารเฮียเขาหน่อยนะครับ เดี๋ยวผมไปทำงานต่อแล้ว” มันพูดแบบนั้นแล้วจึงเดินออกไปจากหน้าประตูบ้านผมแทบจะในทันที

       ผมมองหน้าคนที่เหลืออยู่ ร่างผอมติดสูงของอีกฝ่ายนิ่งไม่ไหวติง ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมาสบตากับผม เสื้อเชิ้ตทำงานสีที่เหมือนกับพนักงานออฟฟิศของมันถูกปลดกระดุมเม็ดบนสองเม็ด ไม่มีเนกไทที่ดูน่าเบื่อ อินทร์ถือกระเป๋าโน๊ตบุ๊คใบใหญ่แนบข้างลำตัว

       พวกเราอยู่ในความเงียบอยู่นาน ก่อนที่มันจะเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาก่อน

     “ผมเคยเตือนคุณแล้ว...ว่าไม่ควรปิดโทรศัพท์”

     เป็นผมเองที่ผงะ แม้จะมีเรื่องของกชอินทร์เต็มหัวในระยะเวลาที่ผ่านมาแต่ผมลืมไปเลยเรื่องกำหนดการบทความที่ผมควรส่งให้เป็นประจำ

     “ขอโทษ” นั่นเป็นคำตอบเดียวที่ผมนึกออก

     “กระทั่งโทรศัพท์บ้านที่คุณให้ไว้ก็เป็นสายโทรเข้ามาที่ร้าน” ผมหลับตาลงยอมรับคำต่อว่าจากอีกฝ่ายแต่โดยดี ไม่มีคำเถียงใดๆ หลุดออกจากปากจนคุณบก. ตรงหน้าถอนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “เดดไลน์สี่ทุ่มนี้”

     ผมพูดอะไรไม่ได้ จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าหัวข้อที่มันบอกผมไว้ตอนนั้นคือเรื่องอะไร หัวสมองผมว่างเปล่าไปหมด

     “ผมเกรงว่าผมจะต้องเฝ้าคุณ ตอนนี้เลย คุณพีรพัฒน์” ผมพยายามตั้งสติ สูดลมหายใจเข้าปอดให้ลึกที่สุด “ระหว่างไปที่สำนักพิมพ์กับอยู่บ้านของคุณ เลือกอะไร”

     ผมไม่ได้ตอบ เดาะลิ้นอย่างอารมณ์เสีย สุดท้ายแล้วก็ต้องหันหลังกลับมาโดยไม่ได้พูดอะไรกับมัน คิดว่ากชอินทร์คงเข้าใจว่าผมเลือกที่จะอยู่ในบ้านหลังนี้

     อินทร์เดินตามผมเข้ามาโดยไม่ได้พูดอะไร เสียงปิดประตูอย่างแผ่วเบาดังขึ้นรั้งท้ายและนั่นเป็นเสียงสุดท้ายที่ดังขึ้นระหว่างเรา มันเดินตามผมเข้ามาในห้องนอนที่มีอุปกรณ์การทำงานของผมอยู่ในขณะที่หัวใจของผมกำลังเต้นระรัวดังขึ้น...ดังขึ้น

     อินทร์จะได้ยินมันหรือเปล่า...ผมหวังว่าไม่

     ผมเดินไปที่โต๊ะทำงาน ลากเก้าอี้มาหย่อนกายนั่งพลางเปิดโน๊ตบุ๊คของตัวเองไปด้วยตอนที่ได้ยินเสียงผ้าเสียดสีกันอยู่ด้านหลัง อินทร์คงจะนั่งบนเตียง ที่ผมใช้คำว่า ‘คงจะ’ เพราะผมไม่ได้หันไปมองอีกฝ่าย

     “คุณเขียนไปถึงไหนแล้ว”

     “...”

     “คุณพีรพัฒน์”

     ผมได้ยินเสียงมันเรียกชื่อผมด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดใจ

     แต่ผมเลือกที่จะไม่หันกลับไปมอง...เพราะผมกลัวว่าตัวเองจะละสายตาจากมันไปไม่ได้

     ผมเลือกที่จะไม่เอ่ยเอื้อนคำใด...เพราะผมกลัวว่าตัวเองจะรั้งปากไม่ให้เอ่ยพูดคำถามไว้ไม่อยู่

     ผมได้ยินเสียงผ้าเสียดสีสวบสาบจากด้านหลังก่อนที่จะตามมาด้วยเสียงฝีเท้าหนักๆ ของอีกฝ่ายที่ดูเหมือนจะขยับกายเข้ามาใกล้ เสียงทุ้มของมันเรียกชื่อผมอีกครั้ง

     “คุณพีรพัฒน์”
   
     “ผมต้องการสมาธิ” เสียงของผมแหบแห้งจนเหมือนไม่ใช่เสียงของผม “ช่วยเงียบหน่อย...คุณกชอินทร์” เรียกชื่อที่มันต้องการให้เรียนเสียงหนักแน่น

       ไม่ได้เรียกมัน...แต่เป็นการย้ำกับตัวเอง

       ผมได้ยินเสียงพ่นลมหายใจของมันจากด้านหลัง แล้วจึงตามมาด้วยเสียงฝีเท้าและเสียงมันหย่อนกายลงบนเตียง นั่นทำให้ผมสงบสติอารมณ์ลงได้เล็กน้อย แต่มันก็แค่เล็กน้อยเท่านั้น

       ผมใช้เวลานานกว่าที่จะลากปลายนิ้วตัวเองเปิดเอกสารที่เขียนค้างไว้ ผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตอนนั้นตัวเองเขียนอะไร อันไหนกันแน่ที่เป็นบทความที่ผมเขียนครั้งล่าสุด จนผมต้องนั่งไล่อ่านเอกสารที่เปิดล่าสุดสี่ห้าอันแรก แต่แม้จะลากสายตาผ่านตัวอักษรเหล่านั้นมันก็ไม่ได้เข้าหัวผมแม้แต่น้อย

       หลังจากความเงียบปกคลุมสองเราอยู่พักใหญ่ กชอินทร์ก็เอ่ยปากอีกครั้ง “คุณพีรพัฒน์”

       ผมหลับตาลง พยายามบอกตัวเองว่าไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้นและจับจ้องกับตัวอักษรตรงหน้าใหม่ แต่อินทร์ก็กำลังจะทำลายความพยายามเหล่านั้นให้หมดลง

       “คุณพีรพัฒน์!” มันเรียกชื่อผมดังขึ้น “คุณคงไม่อ่านมันไปตลอดหรอกนะ”

       ผมไม่ตอบ บดริมฝีปากของตัวเองเข้าหากันอย่างสงบสติอารมณ์

       “คุณพีรพัฒน์!”

       “พอสักที!”

       อินทร์ทำลายมันอีกครั้ง... ความพยายามและความอดทนของผมถูกมันทำลายซ้ำแล้วซ้ำเล่า

       ผมตวาดมัน ลุกขึ้นจากเก้าอี้และหันไปมองหน้ามันที่ดูเหมือนจะตกใจไม่น้อยกับคำพูดของผม พ่นลมหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน ทำไมต้องเป็นมัน...มันเท่านั้นที่ทำให้ทุกอย่างแหลกเป็นผุยผงได้อย่างง่ายดาย

       ผมกัดฟัน “ไม่รู้เหรอว่า...” คำพูดถูกหยุดชะงักไปชั่วครู่ “ที่ผ่านมาพยายามแค่ไหน”

       ผมไม่ได้หลบสายตากชอินทร์ กลับเป็นมันเองที่หลบสายตาผม เพียงประโยคเดียวที่ผมพูดมันออกมาอย่างยากลำบากทำให้ทุกอย่างที่ผมพยายามฝังมันในความเงียบเมื่อกี้มันถูกตีรวนขึ้นมา

       มันไม่เคยทำให้ผมสงบ ทุกความสนใจของผมลงกับมันเพียงคนเดียวทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นตอนที่มันอยู่คนเดียวหรือตอนที่มันอยู่กับใคร แววตาผมมองแค่มัน เสียงผมอยากจะเรียกแค่ชื่อมัน หูผมอยากได้ยินเพียงเสียงลมหายใจของมัน ผมอยากจะรับรู้ทุกอย่างของมัน

       “คิดว่า...ผมพยายามมากแค่ไหน” ผมเอ่ยเอื้อนแต่ละคำออกมาอย่างยากลำบาก “ที่จะไม่ถามว่าคุณโกหกอะไรผมบ้าง...” ผมเห็นร่างนั้นสั่นเล็กน้อยตอนที่มันไม่ยอมเงยหน้าขึ้น มือของมันกำเข้าหากันแน่นจนสั่นไหว “ตอนนี้ผมไม่เข้าใจว่าอะไรคือความจริง อะไรคือเรื่องโกหกด้วยซ้ำ”

       ผมได้ยินเสียงลมหายใจมันติดขัดไม่ต่างจากของผม

       “ทำไม...” ผมบดริมฝีปากเข้าหากัน “ถึงทำมันได้ง่ายนัก...”

       “...”

       “ทำไม...ถึงลืมทุกอย่างง่ายนัก...อินทร์”

       มันเป็นคำพูดตัดเพ้อที่แสนงี่เง่า

       ผมหลับตาลง ความรู้สึกอึดอัดมันกลับมาอีกครั้ง มันไม่เคยหายไปไหน ตอนที่หลับตาผมเห็นแต่ภาพความทรงจำเก่าๆ ตอนอินทร์ยิ้ม ตอนอินทร์หัวเราะ ตอนที่มันงอแงงี่เง่า แต่ภาพพวกนั้นก็เปลี่ยนมาเป็นภาพมันที่เรียบเฉยเหมือนกับผมเป็นธาตุอากาศ แววตาที่ทำให้ผมชาวาบและเจ็บปวดทุกครั้งที่คิดถึง

       “ง่าย...” เสียงมันทวนคำดังขึ้น “ง่ายเหรอ...”

       ผมพยายามควบคุมลมหายใจ ค่อยๆ ลืมตาขึ้นหลังจากสงบสติอารมณ์ได้ตอนที่ได้ยินเสียงมันลุกจากเตียงนอน เดินเข้ามาใกล้ผม ทีละก้าว ทีละก้าว ก่อนที่จะหยุดลง

       “มันง่ายตรงไหน” ผมได้ยินเสียงมันสูดอากาศหายใจ “มันไม่ง่ายหรอกนะที่ผมต้องทำแบบที่ทำมา”

    ...เสียงของมันสั่นเครือและแผ่วเบา   

    “ที่ผมพยายามหันหลังให้คุณ...มันเป็นเพราะผมทนเห็นคุณหันหลังให้ผมไม่ได้”

    ...ไหล่ของมันสั่นไหวอย่างเห็นได้ชัด
   
    “ที่ผมพยายามไม่เรียกชื่อคุณ...มันเป็นเพราะผมทนฟังคุณเรียกชื่อผมไม่ได้”

       ...ขาของมันเหมือนจะทรุดลงไปกับพื้นอยู่แล้ว

       “ที่ผมพยายามไม่หันไปหาคุณ...มันเป็นเพราะผมทนที่จะวิ่งกลับไปหาคุณไม่ได้”

       ...มือของมันกำแน่นจนเห็นเส้นเลือดไปหมดแล้ว

       “มันง่ายเหรอ...ที่ผมต้องเดินจากมา...ทั้งที่ผมไม่ได้อยากทำแบบนี้เลย”

       ผมได้ยินเสียงอะไรบางอย่างแตกสลายลงในวินาทีที่มันพูดประโยคนั้นจบ

       แขนของผมจับแขนไหล่บางของมันก่อนที่สมองผมจะตั้งตัว ขาของผมก้าวไปหามันก่อนที่จะได้รับคำสั่งใดเสียอีก ผมแทบไม่รู้ตัวตอนที่มือของผมจับใบหน้าของมันให้เชิดขึ้น หรือตอนที่ผมบดริมฝีปากลงบนปากของอีกฝ่าย ตอนที่ปลายนิ้วของผมไล้ไปบริเวณพวงแก้มของมัน ตอนที่ผมโถมร่างตัวเองจนร่างอีกฝ่ายล้มลงบนเตียงของผมอย่างแรง แต่ผมกลับรับรู้ชัดเจนถึงมือของอีกฝ่ายที่พยายามผลักไสผมอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะเปลี่ยนมาโอบกอดผมไว้ รวมถึงสัมผัสที่ริมฝีปากถึงรสชาติของอีกฝ่าย

       จากรสจูบที่เคยหวานละมุนในครั้งแรก

     ...มันกลายเป็นจูบที่มีแต่รสขมพร่าของน้ำตาได้อย่างไรกัน




หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 15 (03/05/15) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 03-05-2015 21:30:05
อืม...
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 15 (03/05/15) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Vermouth ที่ 04-05-2015 00:58:49
โอยยยยยย จะบ้าาาาาา
นั่นไง อินทร์ก็ยังไม่ลืมไง แต่ทำใจยอมกลับมาคบพีทได้ไหมนั้นอีกเรื่อง
หน่วงหนักมาก เฮ้อออออ
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 15 (03/05/15) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 04-05-2015 10:19:40
คือเราเข้าใจว่ามันเป็นแนวเขียนของจขกท. แต่เราทนอ่านต่อไม่ไหว มันหน่วงเกิน

ตัวเอกจะทำให้ชัดเจนไหม...ก็ไม่

โอเคที่ว่าปัญหาในอดีตตามมาถึงตอนนี้ แต่คือคุณๆโตกันแล้ว คุยให้รู้เรื่องสิวะคะ งี้ก็ไม่ต่างอะไรกับตอนแรกที่เจอหน้ากัน (โอเค อาจจะเพิ่มสามารถการจากลาและตัวละครเพิ่มขึ้นมาอีกหน่อย)

มันเหมือนวนลูปง่ะ (คหสต.)
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 15 (03/05/15) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Veesi3 ที่ 07-05-2015 11:01:45
 :z3: เจ็บปวดใจ   :ling3:
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 16 (08/05/15) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: NINEWNN ที่ 08-05-2015 15:16:57
(http://upic.me/i/ak/timeticket_.jpg)

CHAPTER 16

“Because tonight will be the night that I will fall for you
Over again... Don't make me change my mind”

(Fall for You - Secondhand Serenade)



     “ไม่...” ผมได้ยินเสียงกระซิบตอนเราผละออกจากกัน ลมหายใจร้อนหอบถี่ดังอยู่ใกล้ใบหู แขนของอีกฝ่ายแทบไม่มีแรงผลักผมออกด้วยซ้ำ “หยุด...”

     “เงียบเถอะน่า”

       คนตรงหน้าขยับปากเหมือนจะพูดอะไรออกมา ผมมั่นใจว่ามันคงไม่ใช่สิ่งที่ผมอยากฟังเลยจัดการปิดมันอีกที
     
       เสียงปรามในลำคอที่ไม่ได้ศัพท์ของอีกฝ่ายไม่ได้เข้าหูผมแม้แต่น้อย กชอินทร์พยายามเม้มริมฝีปากไม่ให้สัมผัส แต่ยามโดนผมหยอกล้อเข้าอีกฝ่ายก็เริ่มโอนอ่อน เสียงปรามในลำคอของมันถูกแทนที่ด้วยเสียงเฉอะแฉะยามเราบดเบียดริมฝีปากเข้าหากัน ปลายนิ้วผมเลื่อนไปจับใต้ต้นคอของอินทร์ ข้างหนึ่งเลื่อนมาประคองใบหน้ามันไว้ อีกข้างหนึ่งลากต่ำลงมาถึงช่วงไหปลาร้า

       ผมรู้สึกเหมือนตัวเองรับรู้ถึงจังหวะหัวใจของมันที่กำลังเต้นอยู่ในขณะที่เราสัมผัสกันแบบนั้น

       แต่ทุกอย่างก็ถูกหยุดชะงัก ตอนที่ปลายนิ้วโป้งข้างที่ประคองใบหน้ามันไว้รับรู้ถึงหยาดน้ำที่ไหลลงมา

       ผมหยุดการกระทำนั้นในทันที ผละริมฝีปากออกแล้วมองใบหน้าของอีกฝ่ายชัดๆ กชอินทร์ไม่ได้ร้องไห้น้ำตาไหลเป็นสาย แต่ถึงกระนั้นมันก็ยังมีน้ำตา มันหลับตาลงเหมือนจะปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไป

       “อินทร์...” ผมเรียกชื่ออีกฝ่าย “อินทร์” กระซิบเรียกมันเสียงแผ่ว

       “มันไม่ควรจะเป็นแบบนี้...มันไม่ควรเป็นแบบนี้เลย” คนใต้ร่างตอบกลับเสียงสั่น

       ผมเม้มริมฝีปากเข้าหากันแน่น อินทร์ไม่ขยับกายไปไหนแต่กลับยกแขนขึ้นมาวางปิดช่วงดวงตา เสียงลมหายใจผิดจังหวะดังขึ้นเรื่อยๆ

       “ทำไมต้องสนใจกันด้วย ทำไมต้อง...” มันหยุดไปชั่วครู่ “ฝังใจกับกูขนาดนั้น...”

       “อินทร์...”

     ผมเรียกชื่อมันอีกครั้ง เลื่อนมือไปสัมผัสปลายนิ้วมันเบาๆ แต่มันพยายามขยับกายหนีจนผมต้องวางแขนอีกข้าง กันไว้ไม่ให้มันหลบไปไหนได้
    
     “...กูไม่เหมือนเดิมแล้วนะ” เสียงสั่นๆ เอ่ยเอื้อนคำพูดนั้นออกมาอย่างยากลำบาก “ทั้งๆ ที่พยายามไม่สนใจแล้ว ทำไมไม่ตัดใจสักทีล่ะ”

     หยาดน้ำตาอีกฝ่ายหล่นลงมาเพิ่มขึ้น ผมนึกว่านั่นจะเป็นน้ำตาหยดเดียวของมัน แต่ไม่ใช่ ผมทำได้เพียงนั่งเงียบ ปล่อยให้อีกฝ่ายพูดออกมาขณะที่เลื่อนมือไปปาดน้ำตาของมันออกอย่างแผ่วเบา

     “ก็บอกแล้วไม่ใช่หรือว่าเกลียด...” มันหยุดชะงักไปเล็กน้อย “เกลียด...” ย้ำคำเดิมซ้ำไปมาอยู่สองสามหน

     “...”

     “...ทำไมไม่เกลียดกูบ้าง”

     อีกฝ่ายแค่กำลังตัดเพ้อ ไหล่บางของอีกคนสั่น ร่างเริ่มแสดงอาการสะอึกสะอื้นอย่างเงียบเชียบ

     นั่นไม่ใช่ประโยคคำถาม ผมรู้ แต่ยามที่อินทร์พูดเช่นนั้นก็ทำให้ผมรู้สึกโง่เง่า มันเป็นคำถามที่ตอนที่ผมไม่เข้าใจอะไรสักอย่างเอาแต่นั่งถามตัวเองทุกวัน ในเมื่อตอนนั้นอินทร์พูดออกมาเองว่าขี้เกียจคุย เหตุใดผมไม่เคยขี้เกียจสนใจเขาเลย ถ้าอินทร์พูดคำว่าเกลียดขึ้นมาง่ายๆ ทำไมผมทำแบบนั้นไม่ได้บ้าง ผมเฝ้าถามตัวเองอยู่นานแต่กลับไม่ได้รับคำตอบ จนวันนี้ผมถึงได้รู้คำตอบที่แน่ชัด

     “แล้วทำไม... มึงไม่เกลียดกูแบบที่มึงพูดล่ะ...”

     ...ทุกอย่างก็แค่สาเหตุเดียวกัน

     ตอนที่อินทร์บอกว่าขี้เกียจคุยกับผม มันไม่ได้ ‘ขี้เกียจ’ จริงดั่งที่บอก...ผมเลยขี้เกียจสนใจมันบ้างไม่ได้

     ตอนที่อินทร์บอกว่าเกลียดผม มันไม่ได้รู้สึกแบบนั้นจริงๆ ตามคำพูด...ผมเลยเกลียดมันบ้างไม่ได้

     มันอาจจะเป็นอะไรที่ไม่สมเหตุสมผล ไม่มีอะไรมาพิสูจน์ แต่บางคราความรู้สึกก็เป็นตัวตัดสินทุกอย่าง ลึกๆ ในใจผมเชื่อเสมอว่าคำพูดที่อินทร์พูดมันไม่ใช่ความจริง เพราะแบบนั้น ผมเลยคิดว่าผมยังสามารถเก็บความรู้สึกเหล่านั้นไว้ได้ ต่อให้ผมพยายามเท่าไหร่มันก็ไร้ผล เพราะสิ่งที่มันพูดออกมาไม่เคยเป็นความจริง

     ร่างข้างใต้ผงะไปเล็กน้อยตอนที่ได้ยินคำตอบของผม ผมได้ยินเสียงลมหายใจของมันผ่านความเงียบอย่างเดียวนานพอควร ก่อนที่มันจะเอ่ยออกมาเสียงสั่น

     “กู...ไม่รู้จะทำยังไง...”

     ถ้อยคำเหล่านั้นหลุดออกมาคล้ายคำสารภาพ

     “มันไม่ควรเป็นแบบนี้” เสียงสั่นเครือพูดออกมาแผ่วเบาแต่ดังพอที่จะทำให้หัวใจของผมเจ็บจนน้ำตาแทบไหล “ไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนี้...”

     ผมดันกายตนที่กึ่งนั่งกึ่งนอนมาเป็นลุกขึ้นนั่ง ดึงร่างของอีกฝ่ายขึ้นมา สวมกอดไว้อย่างแผ่วเบา ร่างของอีกฝ่ายที่สั่นสะท้านอยู่ในอ้อมแขนของผมทั้งร่างทำให้ผมรู้ว่ามันตัวเล็กกว่าผมมากแค่ไหน ยิ่งมันเอาใบหน้าซบลงบนบ่าของผมยิ่งทำให้มันดูตัวเล็กกว่าที่เป็น

     มือของผมทำอะไรได้มากกว่านี้ไหม สิ่งที่ผมทำได้มีเพียงการปลอบประโลมมันที่ร้องไห้แค่นี้เหรอ

     อินทร์พร่ำพูดคำว่าไม่ซ้ำไปมา ไม่รู้ว่ามันปรารถนาจะบอกผมหรือย้ำเตือนตนเองกันแน่ ผมรู้สึกเกลียดแสนเกลียดยามอีกฝ่ายกำท่อนแขนผมไว้แน่น หรือยามที่ได้ยินเสียงลมหายใจไม่สม่ำเสมอของมัน

     “แบบนี้มันไม่ถูกต้อง...”

     “อะไรหรือ” ผมเอ่ยถามออกมา “อะไรที่ไม่ถูกต้อง”

     “มัน...” เสียงของอีกฝ่ายขาดช่วง “เป็นแบบนี้ไม่ได้”

     ผมบดริมฝีปากเข้าหากัน ความลังเลใจพุ่งวาบขึ้นมาชั่วขณะแต่ผมเลือกที่จะโยนสิ่งเหล่านั้นออกไปและพูดความจริงออกมาให้มันฟัง

     “กูรู้หมดแล้ว...”

     เป็นอีกครั้งที่มันชะงักไป เสียงลมหายใจมันผิดจังหวะไปนิดหน่อย

     “หมดแล้ว...” ผมย้ำอีกที “เอ็กซ์บอกมาหมดแล้ว...ว่าที่มึงบอกเรื่องพ่อ...”

    ผมหยุดพูดตอนที่สัมผัสได้ว่าหัวไหล่ตนเองเปียกชื้นเพิ่มขึ้น ลมหายใจอุ่นๆ ที่กระชั้นขึ้นของกชอินทร์และแรงบีบจากมือของอีกฝ่ายที่เกาะกุมแขนผมอยู่เป็นคำสั่งไร้เสียงว่าหยุดเดี๋ยวนี้ อย่าพูดมันออกมา เขาไม่ปรารถนาจะได้ยินมัน

     ผมเลื่อนมือไปสัมผัสศีรษะอีกฝ่าย กดใบหน้ามันลงกับบ่าของผม นั่นเป็นสิ่งที่ผมควรจะทำตั้งนานแล้ว ถ้าหากตอนนั้นผมรู้เรื่องเร็วกว่านี้ ถ้าหากตอนนั้นผมตงิดใจกับความแข็งกร้าวที่ฉาบไว้ของมัน

     เสียงสะอื้นปานจะขาดใจของอีกฝ่ายดังขึ้นอยู่นาน ไม่มั่นใจว่าเวลาผ่านไปเท่าไหร่ เข็มนาฬิกาวนไปมากี่รอบ แต่ผมทำเพียงกอดมันไว้ จับมือมันไว้ จุมพิตบริเวณขมับของมันเป็นระยะ

     บอกมันโดยไร้เสียงว่าแขนของผมมีพื้นที่สำหรับอินทร์ที่แสนอ่อนแอเสมอ



     “เอ็กซ์...” เสียงของมันดังขึ้นหลังจากที่เสียงสะอื้นหยุดลงสักระยะ บ่าของผมเปียกไปหมด เสื้อของผมยับย่นแต่ผมกับมันยังไม่ได้ขยับไปไหน “มันแอบคบกับผู้ชาย” อีกฝ่ายพูดออกมาอย่างยากลำบาก “มันไม่ใช่เรื่องแปลกในโรงเรียนเราอยู่แล้ว...แต่...”

     “ไม่เป็นไร” ผมกระซิบ ใช้นิ้วหัวแม่โป้งไล้วนบนหลังมือของมันแผ่วเบา

     คนในอ้อมแขนนิ่งไปชั่วครู่ สูดลมหายใจลึก เงียบไปนานจนยอมพูดขึ้นต่อ “พ่อรู้...”

     “...” ผมสัมผัสมันอย่างแผ่วเบาโดยไม่เอ่ยเอื้อนคำใด ปล่อยให้มันพูดทุกอย่างออกมาด้วยน้ำเสียงเจ็บปวด

     “สองคนนั้นทะเลาะกันบ้านแทบแตก พ่อเครียด น้องก็เครียด ยิ่งแม่ไม่อยู่ตอนนั้น...” มันหยุดชะงักไปชั่วครู่ “เหมือนทุกอย่างมันถูกโยนลงที่กู เหมือนเป็นตัวกลาง ต้องคอยดูแลทั้งสองคน แล้วจะให้ทำยังไง บอกพ่อเหรอ... ผมก็คบกับผู้ชายครับ แบบนี้หรือ” อินทร์พูดอย่างประชดประชันด้วยน้ำเสียสั่นเครือ “มันทำได้ที่ไหน...”

     ผมคิดไม่ออกว่าตอนนั้นกชอินทร์ต้องแบกรับอะไรบ้าง

     “พ่อเครียดมาก วันถัดมาพ่อก็เข้าโรงพยาบาล สามวันจากนั้นพ่อก็เสีย”

     “ไม่ต้องพูดแล้ว” ผมกระซิบบอก กดใบหน้านั้นให้จมลงกับบ่าตัวเอง “ไม่เป็นไร” จุมพิตที่ไรผมของมันอย่างแผ่วเบา ย้ำซ้ำคำว่าไม่เป็นไรให้มันได้ยิน

     “ตอนนั้นกูแค่สิบเจ็ด...” เสียงสั่นๆ ของมันพูดต่อ “บริษัทพ่อก็มีปัญหา พ่อเสีย เอาแต่คิดว่าคนที่ทำให้มันเป็นแบบนั้นคือเอ็กซ์”

      “อินทร์... ไม่เป็นไร”

     “กูไม่ได้ตั้งใจจะพูดแบบนั้น”

     เสียงของมันสั่นเครือมากจนผมรู้สึกว่าร่างในอ้อมกอดเปราะบาง มันพูดออกมาเหมือนกับสารภาพผิดให้ผมฟัง แขนของมันจิกลงบนท่อนแขนของผมแต่ผมกลับไม่รู้สึกเจ็บ การเห็นมันเจ็บมากมายแบบนี้ เห็นมันอุ้มความรู้สึกเหล่านี้มานาน ผมก็อยากจะแบ่งเบาภาระของมันบ้าง

     “ไม่ได้ตั้งใจจะบอกเอ็กซ์ว่าเป็นเพราะมัน ไม่ได้ตั้งใจด่าน้องว่าวิปริต ไม่ได้ตั้งใจ...”

     “...”

    “ถ้ามันเป็นคนวิปริตกูก็เป็นเหมือนกันแท้ๆ...”

     ผมผละกายออกมาจากอีกฝ่าย มองตรงที่แววตาของมันซึ่งยังคงเปียกชื้นและแดงก่ำ ปาดน้ำตาให้มันราวกับว่านี่เป็นเพียงสิ่งเดียวที่ผมทำให้มันได้

     “ไม่เป็นไร” ผมพูดคำนี้มากี่ครั้งแล้วนะ กชอินทร์รับรู้รึเปล่าว่าผมหมายถึง ‘ไม่เป็นไร’ จริงๆ “ไม่ต้องพูดแล้วก็ได้”

     มันส่ายหน้า ริมฝีปากของมันบดเข้าหากันอย่างอึดอัด ผมได้แต่เค้นยิ้ม อีกฝ่ายดื้อ...ดื้อมาก คราก่อนบอกให้พูดออกมากลับไม่พูด ยามนี้บอกให้เงียบกลับพูดไม่หยุด...นี่แหละ ‘อินทร์’

     “กูเอาแต่คิดว่าน้องผิด ด่ามัน ว่ามัน คิดว่าตัวเองอายุแค่นี้ทำไมต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ ถึงแม่จะอยู่แต่คนที่ควรจะดูแลบ้านก็คือกู”

     ผมไม่แปลกใจกับคำพูดนั้นเลยแม้แต่น้อย อินทร์เป็นคนประเภทรับทุกอย่างไว้ที่ตัวเอง เป็นมาตั้งนานแล้ว ถ้าหากจะกดดันตัวเองขนาดนั้นไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมายเลยแม้แต่นิดเดียว กชอินทร์เอาแต่พยายามทำตัวเข้มแข็งทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วมันนั่นแหละ...คนที่อ่อนแอและต้องการการโอบกอดมากที่สุด

     แต่ประโยคต่อมาทำให้ผมผงะ

     “น้องกินพาราฯ ทั้งแผง” มันพูดอย่างแผ่วเบา ก้มหน้าลงไม่ยอมสบตาผม “ถ้าวันนั้นแม่ไม่รู้ ไม่ได้พามันไปโรงพยาบาล มันจะเป็นยังไงก็ไม่รู้... แม่เอาแต่คิดว่าน้องเครียด แต่กูรู้ มันไม่ใช่ มันเป็นเพราะกู...”

     ผมไม่รู้จะพูดอย่างไร จะบอกว่าไม่ใช่ความผิดมันหรือ ถ้าหากเรื่องที่อินทร์เล่ามาเป็นเรื่องจริง อย่างน้อยๆ มันก็มีส่วนผิด บอกว่ามันเลิกแบกความรู้สึกผิดไว้หรือ ต่อให้พูดไปมันก็ไม่ฟังด้วยซ้ำ กชอินทร์เป็นแบบนั้น แบกรับทุกอย่างไว้ที่ตัวเอง ไม่เอ่ยเอื้อนหรือร้องไห้ออกมาเพราะต้องการความช่วยเหลือ มันแค่พยายามทำทุกอย่างด้วยตัวเอง

     ทั้งๆ ที่ถ้ามันยอมรับความช่วยเหลือ...เรื่องอาจจะไม่เกิดมาขนาดนี้ก็ได้

     “จะให้กูกลับไปรักกับมึงต่อได้ยังไง” มันพูดเสียงเบาคล้ายกระซิบ “ทำกับน้องขนาดนั้น ด่ามันขนาดนั้น ถ้ามันจะตายมันก็เป็นเพราะกู แต่จะให้ไปมีความสุขคนเดียวหรือ มันจะเป็นแบบนั้นได้ยังไง”

     “...”

     “มันไม่ควรเป็นแบบนี้”

     “แล้ว...ถ้าโยนคำนั้นทิ้งไป มันจะเป็นแบบไหน”

     ผมรู้ว่าผมแสนเห็นแก่ตัวที่พูดออกมาแบบนั้น

     ผมไล้ปลายนิ้วบนแก้มชื้นของอีกฝ่าย “ถ้าโยนคำว่าไม่ควรออกไป...มันจะเป็นแบบไหนหรือ” ถามย้ำอีกครั้งเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมตอบอะไรออกมา

     ถ้าเราลืมเรื่องนั้น เราจะ ‘รักกัน’ ได้ไหม?

     ถ้าผมเป็นคนเห็นแก่ตัว ถ้ามันยอมลดความรู้สึกผิดเหล่านั้น ฝังมันไว้กับความทรงจำเมื่อสิบปีก่อน เรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นกับเด็กอายุสิบเจ็ดที่ทำให้เราต่างมานั่งปวดใจในตอนนี้ ถ้าพวกเราทำแบบนั้น สนใจแค่คำว่า ‘เรา’ มันจะยังพอเป็นไปได้อยู่ไหม

     “อินทร์...” ผมได้แต่เรียกชื่ออีกคนที่เม้มริมฝีปากเข้าหากันแน่ “ขอร้อง...”

     ไม่มีคำใดหลุดออกมาจากปากคนตรงหน้า

     กชอินทร์ทำเพียงกอดผมไว้แน่น หลับตาลงจนน้ำตาไหลลงมาให้เห็นเป็นสาย น้ำตาที่เหมือนกับกรดกัดกร่อนให้ใจของผมพังทลายลงซ้ำแล้วซ้ำเล่า

     “บอกมาเถอะ” เสียงของผมสั่นเล็กน้อย “สิ่งที่มึงต้องการ...อินทร์”

     กชอินทร์สะอื้นหนักขึ้น ไหล่บางกว่าผมเริ่มสั่นไหวอีกครั้ง

     “รัก...”

     เสียงของอีกฝ่ายแผ่วเบาเหมือนเป็นเสียงกระซิบแต่ดังพอที่จะทำให้ผมได้ยินอย่างชัดเจน

    “รัก...”

    ถ้อยคำที่รอมานับสิบปี

     ผมโถมร่างตนเองใส่อีกฝ่ายอีกครั้ง เกาะกุมให้มันอยู่ข้างใต้ บดริมฝีปากลงบนตำแหน่งเดียวกัน ลมหายใจของพวกเราเพิ่มมากขึ้นยามผมไล้ปลายนิ้วลงบนผิวขาวติดซีดของอีกฝ่ายหลังจากแทบไม่มีสติตอนที่เสื้อเชิ้ตของเขาถูกปลดออกด้วยมือผม

     มือของอีกคนปัดป่ายไปมาทั่ว สัมผัสเอวของผมก่อนที่จะเคลื่อนไปบนแผ่นอก

     “รัก...”

     ยามที่มันพูดคำนั้นด้วยริมฝีปากบวมเจ่อและใบหน้าแดงๆ นั่น
   
       เรากำลังโยนทุกอย่างทิ้ง เหลือเพียงเรา ใบหน้าของเราแทบไม่ห่างกัน เสียงชื้นแฉะจากริมฝีปากของเราที่เอาแต่เคลื่อนเข้าหากันราวกับมีแรงดึงดูด ฝ่ามือของผมที่ได้สัมผัสผิวกายร้อนที่เริ่มขึ้นสี เสียงหายใจหอบถี่ของอีกฝ่ายที่ดังอยู่ข้างหูยามที่ผมโน้มใบหน้าลงไปกัดต้นคอของมันราวกับจะฝากฝังรอยของผมไว้ในร่างกายของมันให้แจ่มชัดมากที่สุด

        ผมไม่เคยคิดถึงเรื่องความปรารถนาทางกายกับมัน อาจจะเป็นเพราะเรื่องของเราเริ่มตั้งแต่ตอนที่เรายังเป็นเด็ก สำหรับตอนนั้นแค่การจูบอย่างแผ่วเบาก็มากพอที่จะทำให้เราสั่นสะท้าน แต่ครั้งนี้ไม่ใช่...มันไม่พอ

       “อินทร์...” ผมกระซิบเรียกชื่อมันที่อยู่ใต้ร่าง “เรียกชื่อ...”

       อีกฝ่ายมองผมด้วยแววตาฉ่ำเยิ้ม ลมหายใจร้อนสัมผัสที่ข้างแก้มของผมเป็นระยะ

       “เรียกชื่อ...ได้ไหม” ผมอ้อนวอนมันอีกครั้ง

       มันหลับตาลง พ่นลมหายใจหอบที่ดูเหมือนจะไม่ได้สติ กชอินทร์กำลังเตลิดไปไกลในขณะที่พวกเราสัมผัสกันแบบเนื้อต่อเนื้อ แขนของมันดึงทึ้งผ้าปูที่นอนแต่กลับไม่ยอมส่งเสียงใดๆ ออกมาคล้ายจะกลั้นไว้

       ริมฝีปากของมันค่อยๆ เผยอขึ้น

       “พีท...”

       ชื่อของผม

       “พีท...”

          ชื่อที่ผมไม่ได้ยินมาเป็นเวลานาน

       ผมกดจูบลงอีกครั้ง จูบแบบไม่รุกเร้าในขณะที่เรากำลังบดร่างเข้าหากัน แต่ริมฝีปากของเรากำลังพร่ำพูดคำต่างฝ่ายต่างเก็บงำมาเป็นเวลานาน ตั้งแต่เรายังเป็นเพียงเด็กไม่ประสา

       ...รักเหลือเกิน...




------------------------------------------------
ขอโทษที่อัพช้าค่ะ
อาหารเป็นพิษ Orz ดื่มน้ำแร่ไปสองสามขวดแล้ว



หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 16 (08/05/15) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: youuue ที่ 08-05-2015 17:08:08
เป็น :mew6:ความสัมพันธ์ที่รอคอยมาเนิ่นนานมากขอรับ
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 16 (08/05/15) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 08-05-2015 17:29:05
รอมานาน
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 16 (08/05/15) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 08-05-2015 17:44:17
ในที่สุด!!!


ขอบคุณมากค่าาาาาา
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 16 (08/05/15) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: กฤษณ์ ที่ 08-05-2015 23:17:22
ในที่สุดก็คุยกันเสียที โอยปริ่มจะร้องไห้  :hao5:
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 16 (08/05/15) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Vermouth ที่ 08-05-2015 23:18:14
โอ่ยยยยยย นี่แหละปมในใจอินทร์ ตอนนี้เข้าใจกันแล้วก็จริงนะ แต่เมื่อต้องกลับมาสู่ความเป็นจริง มันจะทิ้งไปได้ง่ายๆ เหรอ ฮืออออ
แต่ถ้าสองคนใจตรงกัน สู้ไปด้วยกัน มันต้องมีทางสิเนอะ มันต้องมีทาง ถ้าจะรักมันกันขนาดนี้

คุณคนเขียนหายไวๆ นะคะ รอตอนใหม่มาอัพเสมอนะ ^^
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 16 (08/05/15) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 13-05-2015 13:42:43
โอ้ยตายแล้ว

แต่จากประสบการณ์ของเจ้

เจ้อยากจะบอกกับทุกคนว่า....

คำว่า "รัก" น่ะ

พูดเลย   

ถ้ารู้สึกอย่างนั้นจริงๆ

เจ้สอง
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 17 (13/05/15) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: NINEWNN ที่ 13-05-2015 17:49:51
(http://upic.me/i/ak/timeticket_.jpg)

CHAPTER 17

“อยากจะร้องไห้ อยากให้เวลาเดินช้าๆ... ขอเวลาสักหน่อย
อยากมองหน้ากัน อยากหยุดวันเวลานี้ไว้ นานเท่านาน...ก่อนจะต้องไป”

(อยากหยุดเวลา – ปาล์มมี่)



       ผมได้ยินเสียงน้ำหยดดังเปาะแปะตอนตื่นขึ้นมาและข้างกายว่างเปล่า

       สองสามนาทีผมถึงได้สติ กชอินทร์ที่นอนหลับข้างๆ ผมเมื่อคืนไปไหนไม่รู้ ผมตาลีตาเหลือกลุกขึ้นจากเตียง เปิดประตูห้องน้ำแต่พบว่าไม่มีใคร

       ณ เวลานั้นความหวาดกลัวเกาะกุมทุกจังหวะลมหายใจ

       ผมกลัวว่าตัวเองฝันไปกับคำบอกรักเมื่อคืน กลัวว่าตัวเองฝันไป ผมรีบเดินไปเปิดประตูออกจากห้องนอน สายตากวาดไปทั่วก่อนที่จะรู้สึกชื้นในเมื่อเห็นว่ากชอินทร์กำลังนั่งอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่นถัดไปไม่เท่าไหร่ สวมเสื้อยืดของผมกับกางเกงบ็อกเซอร์ขาสั้น ในมือมีโทรศัพท์ มันหันมามองหน้าผมเล็กน้อยก่อนที่จะหันกลับไป

       ผมเดินไปใกล้ สวมกอดมันด้วยความหวาดกลัว ซุกใบหน้าลงบนบ่าเล็กของอีกฝ่าย

       “ครับ ครับ... ผมขอโทษจริงๆ ครับ จะให้เสร็จภายในสองชั่วโมงนี้แน่นอน... ครับ”

       เสียงติดแหบของอีกฝ่ายเอ่ยเอื้อนกลับปลายสาย พูดคำว่าขอโทษซ้ำไปมาอีกราวสองสามนาทีก่อนที่จะวางโทรศัพท์มือถือลง มันไม่ได้หันมามองผมด้วยซ้ำไป

       “ทำไมตื่นแต่เช้า” ผมกระซิบ “นึกว่า...”

       “เงียบน่ะ” มันตัดบท พยายามแกะแขนของผมที่โอบเอวมันไว้หลวมๆ อยู่ “ไปทำงานเดี๋ยวนี้”

       “ฮะ?” เป็นผมเองที่ร้องออกมาเสียงฉงน

       กชอินทร์ผลักผมออก ปัดมือผมอย่างไร้เยื่อใย “ลืมไปแล้วรึยังไงฮะว่าต้องเขียนบทความ ไปเอามาเขียนเดี๋ยวนี้!” พูดเสียงดังเกือบจะเป็นตะคอกด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว

       ผมนิ่งไปชั่วครู่ก่อนที่จะครางตอบรับในลำคอ คลับคล้ายคลับคลาว่าจะมีเรื่องเช่นนั้นจริงๆ เสียด้วย มันตีท่อนแขนผมอีกทีเมื่อเห็นว่าผมไม่กระตือรือร้นจะขยับไปไหน

       “พีท!”

       ผมต้องเป็นบ้าแน่ๆ... ที่แค่มันเรียกชื่อผมเหมือนเดิมก็ทำให้ผมยิ้มกว้างได้ขนาดนี้

       อินทร์ถลึงตามองผม เอื้อมมือทำท่าจะประทุษร้ายกันอีกรอบจนผมต้องจับมือของมันกันไว้ก่อนและยื่นหน้าเข้าไปใกล้ มันผงะไปนิดหน่อย แววตาของอีกคนจ้องผมกลับอยู่สักพักหนึ่งก่อนที่จะผลุบลงต่ำ ผมเลื่อนสายตาไปที่ใบหูของมันที่เริ่มจะแดงขึ้นมาก่อนที่จะวาดยิ้มบางๆ

       “ไปเฝ้าหน่อย...” เอ่ยออดอ้อนอีกฝ่ายด้วยความสุข

       มันสบถคำหยาบออกมาเบาๆ แล้วพูดกับผมในที่สุด “ก็ต้องเฝ้าสิ ถ้าอู้อีกจะทำยังไง” คำพูดยืดยาวแปลความหมายได้ว่าตกลง

       ผมดึงมือขึ้นให้มันลุกขึ้นยืน สังเกตได้ตอนนั้นเองว่ามันค่อนข้างทุลักทุเลจากเรื่องเมื่อคืน อา... ให้ตาย ผมคิดว่าผมถนอมมันมากแล้ว แต่ยังไงบริบทของมันก็ทำให้มันเสียเปรียบอยู่ดี ผมเลือกที่จะประคองมันไว้หลวมๆ ไม่อยากแสดงอาการให้อีกฝ่ายเห็นมากเพราะกลัวมันจะหงุดหงิดแล้วพยายามทำอะไรอวดดีออกมาในเวลาที่ร่างกายไม่เอื้ออำนวย

       กชอินทร์นั่งลงบนเตียงอย่างกระอักกระอ่วน มันเบี่ยงเบนความเขินของมันโดยการสั่งให้ผมไปทำงานทั้งที่หน้าของมันแสดงออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน

       เรื่องเมื่อคืนผมไม่ได้ฝันจริงๆ...

       คำใดที่มันพูดออกมาเป็นสิ่งที่ผมได้ยินจริงๆ ฝ่ามือของมันได้ผมได้สัมผัสก็เป็นเรื่องจริง ร่างของมันที่ผมตระกองกอดไว้ก็เป็นของจริง ยิ่งคิดถึงเรื่องพวกนั้นยิ่งทำให้ผมมีความสุข ช่วงเวลาที่แสนอึดอัดก่อนหน้านี้แตกต่างกับตอนนี้โดยสิ้นเชิงแม้ว่าผมจะต้องนั่งพิมพ์บทความบนคีย์บอร์ด พอเสียงเคาะเงียบหายไปหน่อยก็โดนอีกฝ่ายโวยวายขึ้นมาเสียงดังว่ารีบทำต่อสิ

       ผมอยากจะหยุดเวลาเหล่านี้เอาไว้

       เก็บเวลาที่เหมือนฝันนี้ไว้ให้นานที่สุด...ก่อนที่จะต้องตื่นขึ้นสู้กับความเป็นจริง



       ผมให้ไฟล์งานที่เสร็จสมบูรณ์กับอีกฝ่ายหลังจากนั้นเกือบชั่วโมง

       อินทร์เอาโน๊ตบุ๊คของตนเองมาทำงานต่อบนเตียงของผมในห้องของผมขณะที่มันใส่ชุดของผม พอได้มองมันหลังได้สติจริงๆ ทำให้ผมรู้สึกอุ่นไปทั่วหัวใจ ผมนั่งมองมันอยู่พักใหญ่โดยไม่เข้าไปใกล้มากเพราะโดนมันทำร้ายร่างกายทุกครั้งเวลาผมเข้าใกล้มันมากกว่าหนึ่งเมตร

       อินทร์หน้านิ่วคิ้วขมวดแทบจะตลอดเวลายามจ้องหน้าจอ มันแทบไม่ขยับส่วนไหนนอกจากมือสองข้างและปลายนิ้ว บางทีก็ส่งเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอออกมา เป็นแบบนั้นอยู่นานทีเดียว ผมไล่สายตาไปที่ต้นคอ รอยฟันของผมประทับอยู่บนนั้นราวกับเป็นตราจองว่ามันเป็นของผมแล้ว ยิ่งมันเป็นคนผิวขาวซีดยิ่งเห็นได้ชัดแต่ผมค่อนข้างมั่นใจว่ามันยังไม่เห็น ไม่เช่นนั้นมันต้องด่ากราดผมเป็นแน่

       “เลิกจ้องได้ไหม”

       “ไม่” ผมตอบในทันที

       อีกฝ่ายนิ่งเงียบไปชั่วครู่ มันเม้มริมฝีปากเข้าหากันและกัดปากล่างแบบที่ชอบทำแล้วหันไปสนใจกับหน้าจอตรงหน้ามันต่อ

       ผมไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมต้องทำตัวเหมือนคนบ้า นั่งจ้องมันเป็นชั่วโมงโดยไม่ขยับตัวไปไหนแต่ผมละสายตาไปจากมันไม่ได้ ทั้งๆ ที่มันนิ่งอยู่ตรงนั้น นานทีเดียวจนผมรู้สึกว่าตัวเองหิวแล้วเลยเอ่ยปากถามว่ามันอยากจะกินอะไรเป็นอาหารเช้าและเดินออกมาทำอาหาร

       วันนี้ไอ้เก้ไม่ได้มาปลุกผม มันอาจจะคิดว่าผมคงทำงานดึกหรืออะไรก็แล้วแต่ ผมแอบแวบไปดูมันที่เตรียมเปิดร้านก่อนทำอาหารเสร็จ

       “ทำไมวันนี้เฮียเหมือนผีบ้าเลยวะ”

       ถ้าไม่ติดว่าอารมณ์ดีมันอาจจะโดนผมต่อยปากแหก แต่เพราะอารมณ์ดีผมเลยไม่ได้ทำอะไร สั่งงานมันนิดหน่อยก่อนที่จะเดินออกมา ตอนเดินเข้าไปอาบน้ำอินทร์ก็ยังคงทำงานอยู่ในท่าเดิม

       “อาหารเสร็จแล้วนะ”

       “อื้อ” มันตอบรับสั้นๆ

       พอเดินออกมาผมก็เหลือบมองมันเป็นระยะ อินทร์ไม่ละสายตาจากจอเลยจริงๆ ผมเลยบอกมันว่าถ้าทำงานเสร็จค่อยออกไปทานข้าวก็ได้ มันตอบรับนิดหน่อย ส่วนผมได้แต่เดินออกมาทานข้าวคนเดียวเพราะไม่อยากกวนมัน คิดไปคิดมาไอ้คนสร้างปัญหาให้กชอินทร์มันก็คือผมเองนี่นา จะไปเสนอหน้ามากก็ดูไม่ค่อยดีเสียด้วย รั้งจะทำให้มันหงุดหงิดมากขึ้นเสียด้วยซ้ำ

       หลังจากผมทานข้าวเสร็จเกือบครึ่งชั่วโมงมันถึงจะเดินออกมา

       “ไม่ต้องเข้ามาเลยนะ” อินทร์กัดฟันขู่ตอนที่ผมจะเดินไปช่วยพยุงมันออกมา

       เห็นไหม...บอกแล้วว่ามันไม่ชอบอะไรแบบนี้จริงๆ

       ผมไม่ได้พูดอะไร ถอยหลังกลับมานั่งเหมือนเคย อินทร์เดินมานั่งแล้วกินอาหารเช้าง่ายๆ ที่ผมเตรียมไว้ให้โดยไม่เอ่ยปากพูดอะไรออกมาแม้แต่นิดเดียว

       “งานโอเคไหม”

       อีกฝ่ายพยักหน้า “วันหลังไม่เอาแบบนี้อีกแล้วนะ”

       “เลตไปกี่ชั่วโมง?” ผมถามอย่างรู้สึกผิด “ตอนนั้นไม่ได้บอกว่าสี่ทุ่มเหรอ”

       “มีเผื่อเวลาไว้นิดหน่อย” อินทร์ตอบกลับมาแค่นั้นด้วยสีหน้าไม่พึงพอใจนัก “แต่มันก็เลตไปอยู่ดีนั่นแหละ” มองผมเหมือนจะบอกว่านั่นมันคือความผิดของผมนั่นแหละ ซึ่งผมเองก็ไม่สามารถปฏิเสธได้

       พวกเราตกอยู่ในความเงียบพักใหญ่จนมันทานอาหารเสร็จ ผมเป็นฝ่ายอาสาว่าจะล้างจานให้และมันก็นั่งรออยู่แบบนั้น พอเสร็จผมถึงได้กลับมานั่งตรงกันข้ามมัน มองตามัน

       รอยยิ้มมันค่อยๆ จางหายไป อินทร์ผลุบตาลงต่ำ ริมฝีปากของมันเม้มเข้าหากันไม่แตกต่างจากผม

       ถึงเวลาที่เราเลี่ยงมาตลอด

       ผมรู้ดี เราต่างไม่พูดถึงสิ่งที่ควรพูด เราไม่คุยกันว่าเราจะทำอย่างไรต่อไป เราแค่โยนความเป็นจริงทิ้งไว้ด้านหลัง แต่ถึงเราจะไม่พูดมันต้องมีบ้างที่เราจะคิดถึงมัน หลังจากนี้เราจะทำอะไรต่อ เรารักกันได้หรือยัง ช่วงเวลาที่มีแต่ความเงียบตอนที่ผมจ้องมองมัน คำถามเหล่านี้มันผุดขึ้นมาทุกครั้ง

       เมื่อคืนผมไม่ได้คิดตอนที่ตระกองกอดบอกรักมัน แต่ผมตระหนักได้ว่ามันยังมีใครอีกคน พริมาคือคนนั้น และผมไม่กล้าจะร้องขอมันว่าทิ้งอีกฝ่ายมาหาผมซะ การคบกับผู้หญิงทำให้มันไม่มีปัญหากับน้อง ไม่เหมือนสิ่งที่มันจะเกิดขึ้นถ้าหากมันคบกับผม

       แต่ผมไม่อยากจากมันไป ไม่เคยอยาก...ไม่เคยต้องการ

       “อินทร์...” ผมเป็นคนทำลายความเงียบเหล่านั้นก่อน

       เจ้าของชื่อเงยหน้าขึ้น มันพยายามจะยิ้มแต่มันเป็นรอยยิ้มที่โง่ที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นจากมัน

       “ยังคิดว่าจะหลอกกันได้อีกหรือ”

       เหมือนคำถามของผมทำให้ความพยายามของอีกฝ่ายหมดลง มันก้มหน้า มือทั้งสองข้างกำเข้าหากันแน่นวางอยู่บนโต๊ะ นั่นยิ่งยืนยันว่าที่ผมคิดน่ะถูกแล้ว ไม่ใช่พวกเราลืมแต่พวกเราแค่ไม่พูดมันออกมาเท่านั้น

       “ขอโทษนะ” เสียงของมันแผ่วเบาเหมือนกระซิบ

       “...อินทร์” ผมหลับตาลง สูดลมหายใจลึก “จะหนีอีกแล้วใช่ไหม”

       มันไม่ยอมตอบอะไร

       ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมาจากริมฝีปากนั่น อินทร์นิ่งเงียบ มีเพียงเสียงลมหายใจที่ทำให้ผมรู้ว่ามันยังมีตัวตนอยู่ตรงหน้า นี่มันไม่ผิดไปจากความคิดเลย

       “เรา...ยืดเวลาไปมากกว่านี้ไม่ได้เหรอ” ผมถามคำถามโง่ๆ ออกมา

       อีกฝ่ายส่ายหน้า นั่นทำให้ผมถอนหายใจอย่างจนปัญญา

       เวลาแห่งความฝันจะจบลงเท่านี้หรือ เรากำลังจะต้องหยิบสิ่งที่โยนทิ้งไปเมื่อคืนกลับมาใช่หรือไม่ นี่คือผลลัพธ์ที่เราไม่คุยกันมาสิบปีเหรอ เรามีสิทธิ์มีความสุขอยู่แค่เวลาไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมงงั้นหรือ

       ผมจะไม่ยอมให้เป็นแบบนั้น

       มือของผมเลื่อนไปกุมมืออีกฝ่าย คลายมันออกเบาๆ เพื่อให้มันจับมือของผมไว้ เอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่นิ่งเรียบที่สุด

       “จะหนีจริงๆ เหรอ...” เสียงของผมแผ่วเบาอย่างน่าสมเพช “อย่าไปได้ไหม”

       “มันยาก...” คำตอบของมันถูกหยิบยื่นด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “มันยาก... เมื่อคืนก็บอกไปหมดแล้วไม่ใช่หรือ...”

       ผมสูดลมหายใจลึก ใช่ มันบอกแล้ว และผมเองก็ทำความเข้าใจว่าเรื่องเหล่านั้นมันยากเย็นเท่าไหร่ที่จะยอมรับ แล้วผมเองก็มั่นใจว่ากชอินทร์ต้องแบกรับภาระมากกว่าที่ผมคิดแน่นอน

       แต่ว่า...

       “มันอาจจะช้าไป... แต่ช่วยเชื่อกันหน่อยได้ไหม”

       ผมพูดคำนี้ช้าไปไหมนะ

       ถ้าตอนนั้นผมพูดมันไปตั้งแต่ต้น บอกว่าเราจะผ่านเรื่องเหล่านั้นไปด้วยกัน ตอนนี้จะเปลี่ยนไปไหม เราจะเสียเวลาเป็นสิบปีหรือเปล่า

       ผมไม่รู้และคิดว่าเราไม่มีโอกาสจะรู้ มันย้อนเวลาได้ที่ไหน ที่ผ่านมาผมตั้งคำถามไปทำไม

       อีกฝ่ายตัวสั่นเล็กน้อย มันไม่พยายามที่จะให้ผมปล่อยมือแต่กำมือผมไว้แน่นกว่าเดิม ผมได้ยินเสียงสูดลมหายใจเหมือนกับพยายามตั้งสติ มันไม่พยายามพูดว่าเป็นไปไม่ได้หรือถ้อยคำที่รั้งให้เรารู้สึกแย่กว่าเดิม มันทำเพียงรับฟังผมอย่างเงียบๆ และเงยหน้าขึ้นมา

       “ผ่านมันไปด้วยกันได้ไหม”

       ผมกลั้นหายใจอยู่นานตอนพูดคำนั้นออกมา รอคอยคำตอบด้วยใจลุ้นระทึก ผมอาจจะร้องไห้ได้เลยถ้าหากมันปฏิเสธบอกว่าเรื่องระหว่างเรามันเป็นไปไม่ได้

       จนสุดท้าย กชอินทร์พยักหน้าเล็กน้อยเหมือนจะตอบรับ นั่นทำให้ผมลุกขึ้นเดินไปด้านหลังมัน โอบกอดมันไว้ให้แน่นที่สุด จับมือมันไว้ให้มั่นที่สุด กระซิบคำพูดบอกมันว่าผมจะอยู่กับมันตรงนี้

       นี่อาจจะเป็นสิ่งที่ควรทำตั้งแต่ต้น... ไม่ใช่การตั้งคำถามและคาดคั้นหาคำตอบ แต่เป็นการบอกมันว่าผมอยู่ตรงนี้ พูดให้มันฟัง ทำให้มันไว้ใจผมมากพอที่จะเอนกายซบผมยามที่มันอ่อนแอที่สุดและผ่านช่วงเวลาที่อาจจะเลวร้ายที่สุดไปด้วยกันโดยไม่ปล่อยมือกัน

   
   
       ผมกับอินทร์แทบไม่ได้ติดต่ออะไรกันอีกแม้ว่าเราตกลงว่า ‘จะผ่านมันไปด้วยกัน’

       ผมปลอบใจตัวเองว่าอย่างน้อยมันก็ไม่ได้หายไปอย่างไร้สาเหตุ กชอินทร์บอกผมว่ามันยุ่งกับงานบรรณาธิการ อย่าโทรหรือติดต่อไปในช่วงสัปดาห์นี้เลย ผมไม่รู้ว่ามันเป็นคำโกหกหรือเปล่าแต่เพื่อที่จะสบายใจ ผมเลือกที่จะเชื่อว่ามันเป็นแบบนั้นจริงๆ

       ฝั่งนั้นกำลังยุ่ง ผมเองก็ไม่แพ้กัน ตกลงเพิ่มเมนูตามที่พ่อครัวได้เสนอมาแล้ว ผมเองก็วุ่นกับการจัดการบัญชีอะไรหลายอย่างในช่วงอาทิตย์นี้ไม่แพ้อินทร์นั่นแหละ

       หลังจากจบอาทิตย์ตามที่อีกฝ่ายบอกผมก็เลือกที่จะโทรหาอีกคน แต่มันเริ่มทำให้ผมกระวนกระวายใจเมื่อการโทรไปหามันและปรากฏว่าสายไม่ว่างตลอดเวลา ไลน์ไปไม่ตอบ

       ใช่ ผมกระวนกระวาย ผมหวาดกลัว ผมนึกถึงคำพูดถามมันว่ามันจะไม่หนีไปใช่ไหม

       วันนั้นผมติดต่อมันเป็นร้อยๆ สายด้วยซ้ำแต่เบอร์ที่เมมไว้ไม่สามารถช่วยอะไรผมได้เลย

       เช้าวันถัดมาผมตั้งใจว่าจะไปหามันที่สำนักพิมพ์หลังจากดูแลร้านเรียบร้อยแล้ว เพราะไอ้เก้โทรมาบอกว่าติดธุระตอนเช้า ลูกจ้างอีกคนก็ลาออกไปแล้วและผมยังหาคนใหม่มาแทนไม่ได้ แน่นอนว่าผมไม่สามารถปล่อยให้คุณจีระวิ่งวุ่นทั้งทำอาหารและรับลูกค้าคนเดียวก็ไม่ได้เสียด้วย

       ผมนั่งมองนาฬิกา ทุกครั้งที่ว่างก็หยิบโทรศัพท์ เกือบเที่ยงแล้วแต่ไอ้เก้ไม่โผล่หัวมาสักที นั่นยิ่งทำให้ผมอยู่ไม่สุข

       ผมอยากเจออินทร์ อยากจะกอดมันไว้เพราะผมไม่ปรารถนาให้มันหนีผมไปอีกเป็นครั้งที่สอง มันหนีมามากพอแล้ว

       กริ๊ง

       ผมรีบหันไปที่ประตู ตอนแรกผมนึกว่าจะเจอไอ้เก้วิ่งกระหืดกระหอบมาแต่ผมกลับคิดผิด

       หญิงสาวที่เป็นลูกค้าเดินเข้ามาหาผมในชุดกางเกงและเสื้อที่ดูเป็นทางการเล็กน้อยรวมถึงรองเท้าส้นสูง เธอคลี่ยิ้มให้ผมและเอ่ยปากทักทายด้วยริมฝีปากสีส้มนั่น

       “สวัสดีค่ะพี่พีท”

       ผมสูดลมหายใจเข้าปอดลึก มองอีกฝ่ายด้วยความไม่เข้าใจ ไม่มีเหตุผลที่เธอจะมาปรากฏตัวแล้วยิ้มให้ผมแบบนี้ ไม่มีเลยแม้แต่น้อย

       “พริมา?”

       “ขอบคุณที่จำชื่อได้ค่ะ” เธอพยักหน้าให้เล็กน้อย “ฉันจะมาเป็นบก. คนใหม่ของพี่พีทนะคะ”

          ผมรู้สึกเหมือนโดนค้อนปอนทุบหัวเข้าอย่างแรงกับคำพูดนั้น เธอพูดอะไร ผมไม่เข้าใจเลยแม้แต่อย่างเดียว ทำไมทุกคนชอบทำให้ผมเป็นคนโง่นัก โดยเฉพาะคนที่เกี่ยวข้องกับอินทร์ เหมือนพวกเขารู้ทุกเรื่องแต่ผมไม่เข้าใจอะไรแม้แต่น้อย

       “อินทร์ล่ะ”

       เธอวาดยิ้มอีกครั้ง “ฉันเลยมาหาคุณถึงนี่ไงคะ”


   

------------------------------------------------------------
วันพรุ่งนี้จะเปิดเทอมแล้วค่ะ  :z3:
หลังจากนี้จะอัพช้าลงหน่อยนะคะ ขอโทษด้วยค่ะ
(ตอนนี้ขึ้นม.หกแล้ว ช่วงเวลาพีคสุดในชีวิตเลย ฮาา)

อีกไม่นานเรื่องนี้ก็จะจบแล้วค่ะ  :katai5:
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 17 (13/05/15) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 13-05-2015 17:55:21
อินทร์ไปไหน หนีอีกแล้วเหรอ?
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 17 (13/05/15) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 13-05-2015 18:18:52
พระอินทร์บินขึ้นฟ้าไปล่ะ
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 17 (13/05/15) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: Celestia ที่ 13-05-2015 20:01:22
มัน หน่วง มากกกก เรื่องของเรื่องเราว่ามันเพราะความปากหนักของทั้งคู่นี่ล่ะ
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 17 (13/05/15) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 13-05-2015 21:40:17
จะเกิดอะไรขึ้นอีก
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 17 (13/05/15) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: ka[ze]na ที่ 13-05-2015 23:32:13
ค้างจนน่าอึดอัด...
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 17 (13/05/15) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: Vermouth ที่ 14-05-2015 01:51:37
อะไรยังไง อินทร์ไปไหน แล้วพริมาไหงอยู่ดีๆ จะมาเป็นบก.แทนอินทร์ล่ะนั่น
มีความรู้สึกได้ว่าพริมาอาจจะไม่ใช่แฟนอินทร์จริงๆ ก็ได้ แต่อินทร์แค่โกหกเพื่อจะให้พีทตัดใจ
แต่เอาเถอะ อะไรก็เอา ขอแค่พีทกับอินทร์ยืนหยัด และ "จะผ่านมันไปด้วยกัน" ก็พอ
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 17 (13/05/15) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: pharm ที่ 14-05-2015 02:19:12
ดราม่าแรง เราเสียนํ้าตาจนแสบตาหมดแล้ว

 :mew6: 

คึดว่าจะจบมาม่าแล้ว ยังมีต่ออีกหรือนี่ :ling3:
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 17 (13/05/15) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: bobby_bear ที่ 18-05-2015 09:42:50
สนุกมากเลยคับ
เพิ่งม.ปลายเองแต่เขียนเรื่องสนุกมาก สำนวนก็ดี เนื้อเรื่องก็สนุก นี่อ่านรวดเดียวเลย
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 17 (13/05/15) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: Lovelyjess ที่ 18-05-2015 12:59:56
มาม่ายังงไม่หมด จะหน่วงไปตลอดเลยใช่มั้ยเนี่ย
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 17 (20/05/15) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: NINEWNN ที่ 21-05-2015 20:02:32
(http://upic.me/i/ak/timeticket_.jpg)

CHAPTER 18

“I won't run, I won't fly
I will never make it by without you, without you”

(Without You - David Guetta)



       เจ้าหล่อนดูรู้อะไรเยอะ...อย่างน้อยๆ ก็น่าจะมากกว่าที่ผมรู้อยู่ตอนนี้

       ตอนแรกผมนึกลังเลใจ จะทิ้งเธอไว้แล้วหาทางไปหากชอินทร์ที่สำนักพิมพ์เลยน่าจะดีกว่าแต่เจ้าหล่อนกลับยิ้มให้ผม บอกด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

       “ฉันคิดว่าคุณน่าจะรู้อะไรก่อนที่จะไปหาอินทร์”

       แน่นอนว่าผมลังเล ผมไม่สามารถมั่นใจว่าพริมาเป็นผู้หญิงที่สามารถเชื่อถือได้แม้ว่าเธอจะมีรูปลักษณ์ที่สวยแต่เรื่องจริงคือเธอเป็นคนที่กชอินทร์เรียกว่าเป็นคนรัก อย่างไรก็ตาม ความรู้สึกของผม...มันไม่ใช่แบบนั้น เวลานั้นเองที่ผมเลือกจะเชื่อความรู้สึกตัวเอง

       เพราะฉะนั้นผมเลยตกลง เชิญเธอมานั่งที่โต๊ะมุมหนึ่งในร้าน สั่งไอ้เก้บอกว่าให้นำเครื่องดื่มและขนมหวานมาเสิร์ฟ แม้พริมาจะบอกว่าไม่จำเป็นแต่ผมก็ไม่สนใจ

       “ขอโทษที่เรียกพี่พีทนะคะ แต่จริงๆ แล้วเราอายุเท่ากัน” นั่นเป็นประโยคแรกที่เธอพูดหลังจากเรามานั่งมองหน้ากัน เธอยิ้ม ในขณะที่ผมไม่สามารถยิ้มได้ “ฉันติดจากในแฟนเพจน่ะค่ะ”

       ผมไม่ได้ตอบอะไร นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญเลยแม้แต่น้อย เธอจะเรียกชื่อผมว่าอะไรก็ช่างเพราะในใจผมนึกกระวนกระวายคิดย้อนไปถึงคำพูดของเจ้าหล่อนก่อนหน้านี้ เธอบอกว่าเป็นบรรณาธิการของผม เธอมาหาผม ยิ้มให้ผมและยังไม่ตอบคำถามเกี่ยวกับอินทร์ให้ผมฟังเสียอีก

       ยิ่งเห็นเธอยิ้มยิ่งชวนให้ผมนึกร้อนใจ “อินทร์ไปไหน”

       “ใจเย็นๆ ค่ะ” เธอเอ่ยห้ามเสียงเรียบ “ค่อยๆ คุยกันดีกว่านะ”

       “พริมา”

       เจ้าของชื่อวาดยิ้ม “เรียกพริมก็ได้ค่ะ เราจะได้รู้จักกันอีกยาว”

       “จะเป็นพระคุณมากหากคุณช่วยอธิบายเรื่องตอนนี้” ผมถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย กองไฟสุมในอก ในหัวคิดแต่เรื่องเกี่ยวกับคนที่ไม่สามารถติดต่อได้

       จังหวะนั้นเองที่ไอ้เก้เอากาแฟกับคุกกี้มาเสิร์ฟ มันทำท่าเหมือนอยากเสนอหน้าเต็มแก่แต่ยังรู้จักมารยาทมากพอที่จะจัดการทุกอย่างให้เสร็จและหลบไปอยู่มุมหนึ่งของร้าน ผมส่งสายตาปรามมันเล็กน้อยจนมันเลิกสนใจ เดินเข้าไปในครัว

       “ฉันมารับช่วงต่อเป็นบก. ของคุณ”

       “มันหมายความว่ายังไง” คำถามของผมไม่ใช่คำถามประชดประชัน ผมไม่เข้าใจที่เธอพูดจริงๆ

       “เรื่องย้ายแผนกของฉันเพิ่งได้รับการอนุมัติน่ะ” เธอว่าพลางยกแก้วกาแฟที่เพิ่งเสิร์ฟมาแถวจมูก สูดดมกลิ่นและจิบเล็กน้อย “พอดีก่อนหน้านี้ฉันเป็นบรรณาธิการให้ไลน์นิยายรักน่ะค่ะ ฉันยื่นคำขอย้ายแผนกมาสักพักแล้วแต่ไลน์นิยายรักวุ่นวายนิดหน่อย ถึงไลน์เรื่องเล่าจะขาดคนดูแลแต่ฉันก็ปลีกตัวไปไม่ได้จริงๆ” พริมาอธิบายมันอย่างใจเย็น

       คิ้วของผมขมวดเข้าหากัน นี่เธอกำลังจะบอกว่าเธอเป็นบรรณาธิการในสำนักพิมพ์ที่เดียวกับอินทร์อย่างนั้นหรือ นี่มันค่อนข้างจะพูดยากเสียเหลือเกิน ผมไม่เคยรับรู้เรื่องนี้มาก่อนเลย ข้อมูลเกี่ยวกับพริมาเท่าที่ผมรู้คือผู้หญิงสวยที่เป็นแฟนกชอินทร์เพียงเท่านั้น

       “คุณรู้หรือเปล่าคะ...” เธอวางแก้วลง เงยหน้าขึ้นสบตากับผมอย่างตรงไปตรงมา “จริงๆ อินทร์ทำงานฝ่ายการตลาด”

       ผมส่ายหน้าแทนคำตอบ พริมาพยักหน้า ดูเธอไม่แปลกใจเท่าไหร่

       “พี่มิ้น บก. คนเก่าของคุณออกไปทำให้ตำแหน่งว่างอยู่ จริงๆ เขารอให้ฉันเข้าไป แต่ฉันก็ยังวุ่นกับไลน์งานเก่า คุณเลยเป็นนักเขียนคนเดียวที่ไม่มีบก. ดูแลตอนนั้น”

       “...”

       “มันไม่ใช่ ‘เรื่องบังเอิญ’ หรอกค่ะ ที่อินทร์เสนอตัวเข้าไปช่วย”

       ผมไม่เข้าใจ...

         คำพูดของเธอไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกเข้าใจอะไรขึ้นมา แต่มันเหมือนกับการจุดประกายความหวังเล็กๆ ในใจ คำว่า ‘ไม่บังเอิญ’ ของเจ้าหล่อนหมายความว่าอย่างไร

       ผมนึกย้อนไปถึงวันแรกที่ได้เจอมันหลังจากไม่ได้เจอมาร่วมแปดปีนับตั้งแต่เราจบมัธยมหก ตอนนั้นมีเพียงความบังเอิญที่ตลกร้าย ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่ามันไม่ใช่ความบังเอิญ ผมเข้าใจว่ามันเกลียดผมจนไม่อยากเจอหน้า ไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่อินทร์จะต้องตั้งใจให้เราเจอกันอย่างที่พริมาบอก

       “จริงๆ แล้วแม่ของพวกเราเป็นเพื่อนกัน แล้วก็... มันกระดากนิดหน่อย แต่ฉันมีเส้นกับเจ้าของสำนักพิมพ์” เธอดูลำบากใจที่จะพูดอะไรเช่นนี้ “ตอนนั้นทุกคนต่างวุ่นวาย อินทร์เป็นคนขอให้ฉันช่วยให้มันทำงานให้คุณแค่ช่วงเวลาสั้นๆ ก่อนที่ฉันจะเคลียร์งานเก่าจบ”

       “...”

       “จริงๆ มันยากนะ แต่ตอนนั้นงานฝ่ายนั้นล้นมือ อะไรๆ เลยง่ายขึ้น แค่ย้ายอินทร์ออกจากแผนกการตลาดชั่วคราวมันก็เลยทางสะดวก”

       ริมฝีปากผมบดเข้าหากันแน่น

       “ผมไม่เข้าใจ” เสียงของผมแหบเล็กน้อย “จะบอกว่าอินทร์... รู้แต่แรกแล้ว...”

       เธอเดาะลิ้น พยักหน้าให้ด้วยรอยยิ้ม “อินทร์วิ่งเข้าหาคุณเอง มันไม่มีเรื่องบังเอิญแบบในนิยาย”

       กชอินทร์ต้องการอะไร...

       นั่นเป็นคำถามที่ผุดพรายขึ้นมาในความคิด ถ้ากชอินทร์เป็นคนวิ่งเข้าหาผมจริง ทำไมมันต้องทำตัวเหมือนพร้อมจะวิ่งหนีออกจากผมตลอดเวลา ถ้ามันวิ่งเข้าหาผมจริง ทำไมมันต้องเป็นฝ่ายหันหลังยามผมหันกลับไปเรียกชื่อมัน

       อินทร์กลัว

       นั่นเป็นคำตอบที่ผมคิดเข้าข้างตัวเอง ผมไม่รู้ว่ามันใช่หรือไม่ แต่ผมคิดว่าใช่...อินทร์กลัวและกังวล ปัญหาครอบครัวของมันไม่ใช่เรื่องน้อยๆ

       “คุณพริมา”

       “พริม” เธอแก้

       ผมบดริมฝีปากของตนเข้าหากัน ผ่อนลมหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา “คุณรู้เรื่องของผมกับมันมากแค่ไหน?”

       คนตรงหน้าชะงักไปนิดหน่อย เจ้าหล่อนนิ่งไปชั่วครู่เหมือนกับจะเรียบเรียงความคิดก่อนที่จะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ยังคงเส้นคงวา

       “ก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ แต่คิดว่ารู้เยอะพอดู” ริมฝีปากเคลือบลิปสติกเค้นยิ้มออกมาให้เห็น

       ผมกลืนน้ำลาย คำถามต่อไปผุดขึ้นมาในหัวแต่ไม่กล้าที่จะเอ่ยถามออกไป ผมกลัวคำตอบพอๆ กับสายตาที่ดูเหมือนจะมองทุกอย่างออกอย่างทะลุปรุโปร่งของเธอ ผู้หญิงคนนี้น่ากลัวกว่าที่ผมคิดไว้นัก ไม่รู้ว่าเพราะแต่ละครั้งที่เจอกันเราได้คุยกันน้อยหรืออย่างไรผมเลยมองไม่ออก

       คิ้วของผมไม่คลายออกง่ายๆ เจ้าหล่อนยกกาแฟขึ้นจิบอีกครั้ง

       “แต่ฉันแค่อยากให้พี่พีทช่วยหน่อยน่ะค่ะ” เธอเอ่ยออกมาเสียงเรียบ “อินทร์ไม่มาทำงานสองวันแล้ว...”

       “ฮึ?” ผมส่งเสียงร้องด้วยความแปลกใจ

       “มันก็ไม่ได้แปลกอะไรขนาดนั้นหรอกค่ะ แต่เขามาบอกสาเหตุจริงๆ ที่ลาหยุดงานกับฉันน่ะ”

       ผมเอาลิ้นดุนดันที่กระพุ้งแก้มตอนที่เจ้าหล่อนนิ่งไปเล็กน้อยคล้ายกับลังเลใจที่จะบอก ‘สาเหตุ’ ที่เธอว่ากับผม ผมเกือบจะหลุดปากบอกให้พริมารีบพูดมันออกมาแล้วแต่เธอยอมขยับปากบอกผมก่อน

       “อินทร์ทะเลาะกับที่บ้าน”

       ผมเม้มริมฝีปากเข้าหากัน

       ...นั่นเป็นเรื่องที่ยากที่สุด เรื่องครอบครัวกับกชอินทร์ มันยากเกินไปจริงๆ

       ขณะที่ความคิดต่างๆ ว่าผมสามารถทำอะไรได้บ้างวิ่งแล่นเข้ามาในหัว พริมาก็พูดต่อ

       “รบกวนช่วยไปดูมันให้หน่อยได้ไหมคะ”

       ผมนิ่งไปชั่วครู่

       ไม่ใช่ว่าคิดจะปฏิเสธ ผมไม่มีทางทิ้งมัน...บอกแล้วว่าเราจะผ่านมันไปด้วยกัน เพียงแต่ผมกำลังคิดอยู่ว่ามันเป็นธุระอะไรของผู้หญิงคนนี้

       ถ้าหากเจ้าหล่อนมีสถานะคนรัก เหตุใดไม่ไปดูแลมันเองเสียล่ะ?

       “พริมา” เจ้าของชื่อแย้งอีกหน บอกให้ผมเรียกเธอด้วยชื่อเล่นเสียแต่ผมปล่อยมันผ่านไป “คุณเป็นอะไรกับอินทร์กันแน่?”

       คนตรงหน้าชะงักไปชั่วครู่ คิ้วของเจ้าหล่อนเลิกขึ้นเล็กน้อยก่อนที่จะตามมาด้วยเสียงหัวเราะในลำคอราวกับไม่รู้สึกแปลกใจที่ผมถามคำถามนี้

       “เป็นเพื่อนตอนเรียนมหา’ ลัย เป็นเพื่อนร่วมงาน เป็นลูกเพื่อนแม่...” เธอเว้นไปชั่วครู่ “แล้วก็ไม้กันหมาค่ะ”

       ผมไม่อยากจะถามเลยว่า ‘หมา’ ที่ว่าหมายถึงใคร

       เพียงแต่พอเจ้าหล่อนพูดแบบนี้กลับทำให้ผมรู้สึกหัวใจพองโต ความสิ้นหวังและความรู้สึกเหมือนกับมืดแปดด้านค่อยๆ จางหายไป แสงประกายริบหรี่ฉายให้เห็น แม้มันจะไม่ชัดเจนมากแต่ผมอยากจะเชื่อความรู้สึกตัวเอง ผมไม่อยากจะทิ้งเรื่องราวเหล่านั้นไปอีกแล้ว

       บางเรื่องมันง่ายแสนง่าย หากแต่เราเองที่ปิดทางออกของมัน

       ผมหวังว่าเรื่องของกชอินทร์กับน้องชายจะเป็นแบบนั้นเหมือนกัน

   

       ผมคิดว่าพริมาเกินคำว่าคาดไม่ถึงไปมากโขแล้วจริงๆ

       หลังจากเธอคุยกับผม บอกให้ผมสงบสติอารมณ์เธอก็บอกวิธีการไปคอนโดชื่อดังแห่งหนึ่งแถมยังยื่นกุญแจให้อีกหนึ่งดอกพร้อมกับบอกว่ากชอินทร์ไม่ได้อยู่บ้านตั้งแต่ขึ้นมหา’ ลัย ตอนแรกไปอยู่หอ พอเริ่มทำงานและสร้างตัวได้สักพักก็ซื้อคอนโดมาอยู่คนเดียว ผมไม่นึกแปลกใจ ตอนที่ไปส่งอินทร์ที่บ้านก็จำได้ว่าห้องของมันแทบจะไม่มีของอะไรที่บ่งบอกว่ามันอาศัยอยู่ที่นู่นเลยแม้แต่น้อย ส่วนสาเหตุ ผมคิดว่าก็คงไม่ไปไกลเกินกว่าเรื่องความเบาะแว้งระหว่างมันกับน้องชายนั่นแหละ

       เธอบอกผมว่าเธอไม่สะดวกที่จะพาผมไปส่ง เพราะฉะนั้นผมต้องไปเอง พร้อมกับกำชับอะไรที่เกี่ยวกับงานเขียนของผมในฐานะบรรณาธิการจนผมนึกหวาดหวั่น แต่เธอก็ยังใจดีพอที่จะบอกผมว่ารีบไปเคลียร์เรื่องนี้ให้เสร็จเสีย จะได้กลับมาทำงาน

       “ฉันคิดว่าอินทร์ต้องโกรธแน่ที่รู้ว่าฉันเป็นคนบอกคุณ”

       เธอพูดประโยคนั้นโดยที่ยังยิ้มด้วยซ้ำไป กลับกลายเป็นผมเองที่ต้องยิ้มเจื่อน “อินทร์เครียดมากเลยหรือ”

       เจ้าหล่อนพยักหน้า “ก็มากอยู่ แต่เวลาแบบนี้...อินทร์คงไม่ได้ต้องการเพื่อนหรอก” เธอแตะไหล่ของผมเล็กน้อย “ฝากมันด้วยนะคะ งานเหลืออีกเยอะเลยทีเดียว”

       ผมยิ้ม ไม่มั่นใจว่าเจ้าหล่อนเป็นห่วงอินทร์หรือห่วงงาน อันที่จริงก็ยังนึกข้องใจกับความสัมพันธ์ของทั้งสองอยู่แต่ก็ไม่ได้ถามออกไป ผมเก็บเรื่องเหล่านั้นไว้ คาดว่าหลังจากเคลียร์เรื่องทุกอย่างเสร็จคงจะต้องถามกับอินทร์

       เจ้าหล่อนบอกว่าจะนั่งที่ร้านอีกสักพัก ผมบอกไอ้เก้ว่าไม่ต้องคิดเงินเธอ ดูแลร้านไปก่อนอีกไม่นานจะกลับมา แล้วจึงได้ออกจากบ้าน

       คอนโดของกชอินทร์ห่างจากบ้านของผมค่อนข้างมาก อยู่กันคนละฝั่งของกรุงเทพฯ ด้วยซ้ำไป ผมขับรถด้วยความร้อนใจ ต้องขอบคุณที่รถโล่งกว่าปกติ อาจจะเป็นเพราะมันไม่ใช่ชั่วโมงเร่งด่วนผมเลยไปถึงที่นั่นเร็วกว่าที่ตนเองคิดไว้ ตอนแรกยามหน้าคอนโดทำเหมือนไม่ไว้วางใจผมนัก แต่พอผมบอกว่ามาหาเพื่อน ห้องไหน แถมยังมีกุญแจเข้ามาอีกเขาก็ปล่อยให้เข้ามาเพียงแต่ต้องแลกบัตรประชาชนไว้

       ผมขึ้นลิฟต์ไปที่ชั้นซึ่งพริมาบอกไว้ มือก็กดโทรศัพท์ไปด้วย กชอินทร์เป็นข้อยกเว้นของทุกอย่าง มันทำให้ผมคิดมากอย่างที่ไม่เคยคิด กังวลแบบที่ไม่เคยทำ ห่วงมันมากกว่าที่เคยทำกับทุกคน

       พอเจอห้องที่บอกไว้ผมก็กดกริ่ง ต่อให้รออยู่ก็ไม่มีคนมาเปิด ผมจึงถือวิสาสะใช้กุญแจที่ได้รับมาเสีย ตอนแรกผมก็นึกกังวลว่าพริมาคงไม่ทำอะไรแผลงๆ กับผมใช่หรือไม่ แต่เปล่า กุญแจนั้นเปิดได้จริงๆ

       ผมก้าวเข้าไปในห้องอย่างเงียบเชียบ สายตาสำรวจข้าวของที่วางข้างหน้าอย่างระเกะระกะผิดวิสัยคนเจ้าระเบียบอย่างมัน เดินเข้าไปก็เห็นโต๊ะกินข้าวเป็นอย่างแรก และสิ่งของบนโต๊ะนั่นทำให้ความหวาดกลัวเข้าเกาะกุมหัวใจผมทันที

       บนโต๊ะมีแต่เม็ดยากับแผงยาที่ว่างเปล่าใกล้ๆ

       “กชอินทร์!” ผมเรียกชื่อมันด้วยความร้อนใจ

       ผมกลัว... กลัวจนแทบตั้งสติไม่ถูก รีบเดินไปเปิดประตูบานใกล้ให้เร็วที่สุด ผมต้องเจอมัน ต้องหามัน นั่นคือสิ่งเดียวที่คิด

       เบื้องหลังประตูนั้นเป็นห้องนอน ผมสบถออกมาเสียงดังเมื่อเห็นว่าอินทร์นั่งหัวเปียกอยู่บนเตียงด้วยกางเกงตัวเดียว สีหน้าดูตกใจแต่กลับซีดเซียวจนผมต้องรีบสาวเท้าเข้าไปใกล้

       “ทำอะไรไปฮะ!” ผมตวาดอย่างเหลืออด “กินยาอะไรไปรึเปล่า!”

       คิ้วของมันขมวดเข้าหากัน “มาได้ยังไง?”

       “ถามว่ากินอะไรเข้าไปรึเปล่า! คิดสั้นรึยังไง!”

       ริมฝีปากของมันบดเข้าหากัน “เปล่า...” มันปฏิเสธเสียงแผ่ว “ทำไม่ลง...”

       “...อินทร์” ผมเรียกชื่อมันอย่างอ่อนใจ เอื้อมมือไปสัมผัสเส้นผมที่เปียกโชกกับเนื้อตัวที่ยังเย็นอยู่เล็กน้อยของมัน คิดว่าอินทร์คงเพิ่งจะอาบน้ำ อย่างไรก็แล้วแต่ นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมสนใจเลยแม้แต่น้อย ผมแนบใบหน้าลงกับแก้มเย็นๆ ของมัน โอบแขนรั้งร่างของมันไว้ “อย่าทำแบบนี้อีกนะ...”

       “...”

       “ขอร้องล่ะ” ผมพูดเสียงสั่น อินทร์เปราะบางเกินไป ไม่ได้พูดถึงแง่ของร่างกายแต่พูดถึงในแง่ของจิตใจ อินทร์เปราะบางเหลือเกิน เปราะบางจนผมไม่กล้าจะกอดมันไว้แน่นเพราะกลัวว่ามันจะแหลกสลายไปต่อหน้าต่อตา “รับปากได้ไหม”

       “อื้อ...” มันซุกใบหน้าลงบนไหล่ผม “แค่คิดว่าอาจจะไม่ได้มีชีวิตอยู่ต่อ...กูก็กลัว”

       “...”

       “ตอนนั้นเอ็กซ์กินยาไปได้ยังไงนะ” เสียงของมันแผ่วเบาคล้ายกระซิบพรอด “กูทำให้มันเจอเรื่องแบบนั้นได้ยังไง... กูเป็นพี่ที่แย่มากใช่ไหม ทำให้มันรู้สึกแย่จนคิดว่าตายไปดีกว่า...”

       “ไม่เป็นไร” ผมเอ่ยกับมันอย่างแผ่วเบาแต่หนักแน่น ย้ำคำเดิมให้มันฟังซ้ำไปซ้ำมา “ไม่เป็นไร”

       อินทร์แบกรับความรู้สึกไว้มากมายแค่ไหน ต้องยอมรับว่าผมเองก็ไม่รู้ ความจริงมันโหดร้ายและบิดเบี้ยวมากเกินไป คงจะยากที่จะคืนรูปร่างกลับมาเป็นความสัมพันธ์อันดีของมันกับน้องในเร็ววัน ผมเลือกที่จะยังไม่ถามอะไรแต่หย่อนกายนั่งข้างๆ มัน รั้งมันให้ทิ้งตัวลงบนร่างผม ทำให้มันพักพิงผมยามอ่อนแรง

       “ไม่เป็นไรนะอินทร์...” ผมกระซิบ “กูอยู่ตรงนี้นะ”

       ...ผมหวังว่าเราจะผ่านมันไปด้วยกัน

หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 18 (20/05/15) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 21-05-2015 20:26:55
ลุ้นด้วยใจระทึก
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 18 (20/05/15) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 21-05-2015 21:02:48
เอาใจช่วยเป็นอย่างยิ่ง
เป็นกำลังใจให้คนเขียนจ๊ะ
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 18 (20/05/15) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: Vermouth ที่ 21-05-2015 23:34:44
นั่นแง่ะะะะะ พริมไม่ได้เป็นแฟนอินทร์ แถมยังเป็นเพื่อนที่ดูจะเข้าใจและคอยช่วยเหลืออินทร์ ดีมากกกก
แต่เรื่องครอบครัวเนี่ยล่ะ หนักจริง เฮ้อ เข้าใจทุกฝ่าย เข้าใจน้องเอ็กซ์ด้วย ถ้าจะไม่รับไม่ได้ก็ไม่แปลก ฮือออ
แต่ขอแค่อินทร์กับพีทเข้าใจกัน มันก็น่าจะต้องมีทางออกบ้างนะ
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 18 (20/05/15) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: ammchun ที่ 21-05-2015 23:59:44
มันทั้งอึดอัดและหน่วงดีจริงๆ เราสงสารเอ็กซ์
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 18 (20/05/15) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: eye-lifestyle ที่ 22-05-2015 12:26:37
 :katai4:
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 18 (20/05/15) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: milkteabeige ที่ 22-05-2015 12:55:10
หน่วงสุดอะไรสุด แต่ก็วางไม่ลง อยากรู้อยากเห็น
ถึงกับถอนหายใจตอนที่อ่านถึงตอนล่าสุด ถึงยังไม่คลี่คลาย แต่ก็เบาใจลง

ขอมารอตอนต่อไปด้วยคนค่ะ
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 18 (20/05/15) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 22-05-2015 15:10:46
โถ่ พ่อคุณ
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 18 (20/05/15) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: Celestia ที่ 22-05-2015 15:13:24
พริมมาเหนือมากค่ะ อึ้งไปเลยอะ 5555 เราว่าเธอคนนี้นี่ล่ะที่จะมาช่วยให้ทุกอย่างคลี่คลาย
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 18 (20/05/15) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 22-05-2015 16:56:40
 :hao5: ขอให้เอ็กซ์เข้าใจอินทร์ด้วยนะ
ปรับความเข้าใจกันเถอะนะ
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 18 (20/05/15) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: EoBen ที่ 22-05-2015 19:38:18
อยากให้ประบความเข้าใจหะบเอ็กซ์ค่ะ ห่วงความรู้สึกทั้งสองคน
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 18 (20/05/15) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: kautumn ที่ 22-05-2015 21:44:39
สนุกดีคะ อย่างน้อยถ้าอินทร์ไปขอโทษเอ๊กซ์ทุกอย่างอาจจะดีขึ้นนะ คอยลุ้นต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 18 (20/05/15) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: badbadsumaru ที่ 23-05-2015 02:03:05
อินทร์กับเอ็กซ์เคยคุยกันยังล่ะ
ลองเปิดใจคุยกันดูไหม เผื่อจะดีขึ้น
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 18 (20/05/15) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: pannuna ที่ 24-05-2015 13:39:44
หน่วงทุกตอนค่า เราว่าทุกอย่างมันอยู่ที่อินทร์เป็นคนแบบนี้นะ ไม่พูดไม่จา
รู้สึกดีที่พริมเป็นแค่ไม้กันหมา
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 18 (20/05/15) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: zombi ที่ 24-05-2015 21:09:20
พี่น้องไม่เข้าใจกัน ก็ต้องคุยกันนะ
ตัวเองก็รู้สึกผิดอยู่ตลอด จะปล่อยเวลาให้ผ่านไปอีกทำไม
มีกันแค่สองคน รักกันไว้เถอะ
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 18 (20/05/15) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 27-05-2015 11:08:35
หายไปหลายวันแล้วนะ
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 19 (28/05/15) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: NINEWNN ที่ 28-05-2015 20:08:25
(http://upic.me/i/ak/timeticket_.jpg)

CHAPTER 19

““When I touch you like this and I hold you like that
It's so hard to believe but it's all coming back to me”

(It's All Coming Back To Me Now - Celine Dion)



       รอบนี้อินทร์ไม่ได้ร้องไห้ฟูมฟาย มันแค่นั่งพิงไหล่ผมเงียบๆ และผมเองก็ปล่อยให้มันทำอย่างนั้นด้วยความสมัครใจ บางเวลาการที่เรานั่งข้างกันโดยไม่พูดอะไรอาจจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ผมนึกตลกตัวเองที่เคยเกลียดความเงียบเวลาอยู่กับมัน แต่คิดไปคิดมาแล้ว ตอนนั้นกับตอนนี้มันต่างกันมากโข

       ความเงียบน่าอึดอัด...เมื่อมีคนอยากจะพูด

       เคยได้ยินคำพูดนี้มาบ่อย และผมมั่นใจแล้วว่ามันเป็นเรื่องจริง ตอนนั้นผมคิดว่ามันเองก็อยากพูด แต่พูดไม่ได้เพราะสาเหตุต่างๆ ที่ไม่เอื้ออำนวย ส่วนผมก็เฝ้ารอว่าเมื่อไหร่มันจะพูดเสียที ความเงียบระหว่างเราในตอนนั้นเลยน่าอึดอัดเสียเหลือเกิน

       เราไม่ได้พูดอะไรอยู่นานทีเดียว จนสุดท้ายแล้วกชอินทร์ก็เป็นคนเอ่ยปากขึ้นมาก่อน  “สรุปแล้วมานี่ได้ยังไง?”

       “พริมาบอก” ผมตอบไปตามจริง เกลี่ยผมของมันเล่นอย่างนึกสนุกมือ “ไปเป่าผมไหม เดี๋ยวทำให้” อีกฝ่ายขยับกายหนีด้วยสีหน้าปูเลี่ยน เห็นแล้วชวนนึกขันในใจ มันสบถออกมาเบาๆ คิดว่าน่าจะด่าทั้งผมทั้งพริมา “ถามได้ไหม? ทำไมต้องโกหกกันด้วย”

       พอผมถามแบบนี้มันก็ผงะไปนิดหน่อย อินทร์ทำท่าทีลำบากใจที่จะพูดจนผมต้องถอนหายใจ

       “ช่างเถอะ ไม่อยากพูดก็ได้” ผมลูบศีรษะมันเบาๆ

       “มัน...” คนตรงหน้าอึกอัก พูดเสียงเบาทั้งยังหลบสายตากัน “ตอนนั้น...ไม่รู้จะทำยังไงนี่นา...”

       ผมระบายยิ้ม บอกกับมันว่าไม่เป็นไรอีกครั้งก่อนที่จะเอ่ยปากถามถึงไดร์เป่าผม อินทร์บอกผมอย่างไม่อิดออด อันที่จริงมันไม่ต้องเป่าผมก็ได้ ผมของมันก็ไม่ได้ยาวเท่าไหร่ ขนาดผมบนหนังหัวของผมยาวกว่ามันตั้งเยอะยังไม่เป่าผมเลย ผมแค่หาเรื่องเบี่ยงเบนไม่ให้มันเศร้าใจก็เท่านั้น

       พอเดินไปหยิบไดร์เป่าผมมาเสียบปลั๊กและหันมามองมันดีๆ ก็เพิ่งจะตระหนักได้ ตอนนั้นกังวลใจจนไม่ได้ใส่ใจว่าตอนนี้กชอินทร์ใส่เพียงกางเกงขายาวตัวเดียว ซ้ำร้าย รอยกัดของผมบนต้นคอของมันยังเป็นรอยจางๆ ให้เห็นอีกต่างหาก

       ผมเผลอไล้ปลายนิ้วลงบนตำแหน่งนั้นเบาๆ กชอินทร์สะดุ้ง หันขวับมองผมก่อนที่จะเป็นฝ่ายหลบสายตาไปเอง

       “อย่ารุ่มร่ามได้ไหม” มันบ่นเสียงแผ่ว ใบหูเริ่มแดงขึ้นเรื่อยๆ ท่าทางน่ารักเหล่านั้นทำให้ผมกลั้นยิ้มไม่อยู่

       เหมือนอินทร์จะรู้ตัว มันลุกขึ้นจากเตียงนอนไปที่ตู้เสื้อผ้า หยิบเสื้อยืดแขนสั้นตัวเก่าตัวหนึ่งขึ้นมาสวม เห็นมันจับท้ายทอยอย่างไม่มั่นใจตอนเดินกลับมานั่งที่เดิม

       ผมแกล้งเย้าแหย่มันด้วยการทำเสียงราวกับเสียดายเต็มประดา (ต้องยอมรับว่าเสียดายจริงๆ...) เพียงเท่านั้นมันก็เม้มปากเข้าหากันแน่น

       “อย่าทำตัวแบบนี้ได้ไหมฮะ!”

       “โอเคๆ” ผมพยายามกลั้นหัวเราะ “ไม่เล่นแล้ว มานี่ เดี๋ยวเป่าผมให้” ผมตบตำแหน่งบนเตียงข้างๆ

       อินทร์ทำท่าหวาดระแวงแต่สุดท้ายก็เดินมาหย่อนกายนั่งแต่โดยดี มันผรุสวาทคำหยาบออกมาเป็นพักๆ ยามผมแกล้งเย้าแหย่ด้วยคำพูดและการกระทำ ผิวขาวซีดของมันเริ่มขึ้นสีบ้าง ผมไม่มั่นใจว่ามันคืออาการโกรธหรืออาย แต่ผมอยากตีความเข้าข้างตัวเองว่าเป็นแบบหลัง

       พอเสร็จแล้วอินทร์ก็ชวนผมเดินออกมาจากห้องนอน มันอาสาจะชงกาแฟให้ผม ส่วนผมใช้จังหวะนั้นในการสำรวจห้องของมันเสียมากกว่า

       อินทร์เป็นคนมีระเบียบมากก็จริงแต่ถึงกระนั้นก็ยังมีเนกไทสองสามเส้นวางพาดบนโซฟา โน๊คบุ๊ควางไว้บนโต๊ะกินข้าว หนังสือวางอย่างระเกะระกะไปหมด ส่วนใหญ่เป็นหนังสือของสำนักพิมพ์ที่มันทำงานอยู่นั่นแหละ แต่จังหวะนั้นเองที่สายตาผมเหลือบไปเห็นหนังสือเล่มคุ้นตา

       ชื่อของผมที่เขียนอยู่บนสันบอกว่าผมไม่ได้ดูผิดไป ผมวาดยิ้มออกมาเพียงเพราะจินตนาการว่ามันอ่านหนังสือของผม ถึงผมจะมาทำงานกับสำนักพิมพ์นี้เพียงหนึ่งปีแต่ผมก็มีหนังสือที่ได้ตีพิมพ์กับสำนักพิมพ์เล็กๆ มาก่อนสองสามเล่ม แถมเล่มที่เห็นนี่เป็นหนังสือเล่มแรก ผมจำได้ว่าตอนนั้นตัวเองดีใจแทบตาย แค่คิดว่ากชอินทร์มีโอกาสได้อ่านมันก็ทำให้ความสุขผมล้นปรี่

       “อย่าทำหน้าโรคจิตได้ไหม” เสียงของอีกฝ่ายดังขึ้นจากห้องครัว มันเดินมายื่นแก้วกาแฟใบหนึ่งให้ผม “ประสาทรึยังไงกัน”

       “เปล่า” ผมปฏิเสธ รับแก้วนั้นมาจิบเล็กน้อย ทันทีที่ปลายลิ้นรับรู้รสก็ได้แต่ยิ้มเจื่อน  กาแฟอะไรรสชาติอย่างกับน้ำเปล่า นี่มันคือกาแฟแน่หรือ...

       กชอินทร์ทำหน้าลังเลอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายก็เอ่ยปากถามอ้อมแอ้ม “พริมบอกอะไรไปบ้างล่ะ” ว่าพลางหย่อนกายนั่งบนโซฟา

       “ก็มากอยู่” ผมเดินไปนั่งข้างๆ “สรุปเป็นอะไรกับคุณพริมากันแน่”

       “เพื่อน”

       “เพื่อนประเภทไหนคุยกันได้น่ารักขนาดนั้น” ผมอดไม่ได้ที่จะถาม ไม่คิดว่าคนเป็นเพื่อนจะคุยกันโดยการแทนตัวเองด้วยชื่อ ต่อให้อีกฝ่ายเป็นผู้หญิงก็เถอะ

       “เพื่อนแม่ไง” คิ้วของมันขมวดเข้าหากัน “ตอนแรกๆ เจอกันต่อหน้าแม่ จะให้เรียกไอ้อีกูมึงมันจะได้ที่ไหน” มันว่าเสียงเรียบ ตาเหลือบมองผมเล็กน้อยราวกับกังวล

       ผมพยักหน้า ไม่คาดคั้นอะไรอีกและขยับเข้าไปใกล้มันมากกว่าเดิม อินทร์ตัวเกร็งขึ้นมาในทันที ผมนึกสนุกยามที่มันเป็นแบบนี้ เข้าใกล้หน่อยก็ทำอะไรไม่ถูก สัมผัสหน่อยก็แดงไปทั้งตัว คุณกชอินทร์ที่ไม่เคยแสดงอาการคนนั้นหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้

       ผมจับที่เอวของมัน รั้งร่างอีกฝ่ายให้ทิ้งลงบนตัวของผม มันตัวแข็งเหลือบตามองผมแล้วเม้มริมฝีปากแน่นจนผมนึกขัน

       “ปกติเป็นแบบนี้หรือ”

       “ใครกันแน่ที่ไม่ปกติน่ะ!” มันว่าพร้อมกับศอกที่พุงของผม กชอินทร์ใส่เต็มแรงแถมมันยังผอมจนข้อศอกค่อนข้างแหลม เล่นเอาเจ็บจริงไม่อิงนิยายกันเลยทีเดียว “เลิกเล่นได้แล้วน่า”

       “เปล่าเล่นสักหน่อย”

       ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้ มันผงะ ผมสัมผัสได้เลยว่าลมหายใจมันขาดช่วง อินทร์นิ่งไปพักหนึ่งก่อนที่จะผรุสวาทออกมายกใหญ่จนผมยอมแพ้เพราะมันง้างมือแล้ว ถ้าไม่ยอมอาจจะโดนประทุษร้ายได้

       พวกเราไม่ได้คุยอะไรกันอีก ผมสนุกกับการทำให้มันเบ้หน้า หูแดง ด่าผม ผมชอบยามมันแสดงอาการออกมาแบบนี้

       “ย้ายมาที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่” ผมถามไปเรื่อย

       แต่คำถามนั้นกลับทำให้มันบดริมฝีปากเข้าหากัน “ตั้งแต่เริ่มทำงาน... กลับไปที่บ้านไม่ได้น่ะ” สีหน้าของมันดูแย่เล็กน้อย

       ผมเอ่ยขอโทษเสียงแผ่ว แต่มันกลับส่ายหน้าและพูดต่อ

       “กูกับน้องเข้าหน้ากันไม่ติดแล้ว” มันเอ่ยเสียงเรียบ รอยยิ้มบางๆ ถูกแต้มบนริมฝีปากแต่ผมคิดว่ามันทำเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกที่อยู่ในใจ “เลยคิดว่าแยกกันอยู่น่าจะดีกว่า ถึงจะอยากไปหาแม่บ้างก็เถอะ”

       ผมพอจำได้ว่าอินทร์เป็นคนที่ติดแม่มาก อาจจะเป็นเพราะว่าพ่อของอินทร์ดุในขณะที่แม่ของอินทร์เป็นคนใจดี มันไม่แปลกหรอกหากมันจะรักคนที่โอ๋มันมากกว่า

       ผมไล้นิ้วมือ เกลี่ยผมของมันอย่างแผ่วเบาในขณะที่มันยิ้มเล็กน้อย

       “...ทำไมมันต้องเป็นแบบนี้นะ?”

       อินทร์พูดเสียงแผ่วเบา คล้ายจะถามกับอากาศมากกว่าผม มันพูดแค่นั้นและไม่ได้พูดอะไรอีก พนันได้เลยว่ามีความคิดต่างๆ แล่นอยู่ในหัวของมัน ไม่นานมันก็พูดต่อ

       “วันซืนที่ผ่านมาทะเลาะกับเอ็กซ์นิดหน่อย” ในที่สุดมันก็ยอมเล่า “ก็ทั่วไปแหละ เราทะเลาะกันบ่อยหลังจากตอนนั้น คุยกันดีๆ ไม่ค่อยได้ แต่พอย้ายออกมาก็ดีขึ้นบ้าง”

       “...”

       “แต่พอมันเจอมึงแล้วมันก็ทะเลาะกันง่ายขึ้น...”

       ผมรู้ว่าอินทร์ไม่ได้จะโทษผม แต่ผมคิดว่ามันก็เป็นเรื่องจริง ไม่แปลกเลยถ้าหากความสัมพันธ์ของพี่น้องจะถูกเวลาเยียวยา แต่แน่นอน เวลาแค่เยียวยา ไม่เคยทำให้ความจริงที่ว่าอินทร์กับน้องเคยมีปัญหากันหนักหายไป ถ้าเอ็กซ์เจอผมแล้วยิ่งทำให้เจ็บใจมันก็ไม่แปลกอะไรหรอก

       “มันบอกว่าไม่ยุติธรรม...” อินทร์พูดต่อ “บอกว่าทำไมคนที่เคยทำลายชีวิตมันถึงมีสิทธิ์มีความสุขได้ง่ายๆ”

       ผมก้มลง แนบริมฝีปากลงบนกระหม่อมมันอย่างรักใคร่ หวังให้อินทร์หยุดพูดเพราะคิดว่ามันไม่ได้อยากนึกถึงเรื่องเหล่านั้น

        “กูไม่ได้จะหนีนะ” มันพูดต่อ “แค่อยากจะขอเวลาทบทวนสักสองสามวันว่าจะเอายังไงต่อ”

       “อื้อ” ผมพยักหน้า ไม่กล้าว่าอะไรมันหรอก “...วันหลังอย่าเก็บไว้คนเดียวอีกนะ”

       อีกฝ่ายไม่รับปากจนผมต้องเลื่อนมือไปจับมือของมัน สุดท้ายมันก็พยักหน้า ตอบตกลงโดยไร้เสียงแทน “แล้วเราจะเอายังไงต่อล่ะ?”

       คำถามของมันทำให้ผมนิ่งเงียบ

       ผมเม้มริมฝีปากเข้าหากันแน่น ความคิดต่างๆ แล่นไปมาในหัว แม้ในใจจะมีสิ่งหนึ่งที่คิดว่ามันน่าจะเป็นหนทางการแก้ปัญหาที่ดีที่สุดอยู่แต่ผมก็ไม่กล้าพูดออกไป จนเห็นกชอินทร์มองกันด้วยสายตาเหมือนจะสิ้นหวัง ผมเลยอดคิดไม่ได้ว่าบางเรื่องมันก็ควรจะลองเสี่ยงดู

       “พากูไปที่บ้านมึงได้ไหม?”



       ผมเกร็งไปทั้งร่างตอนที่มองบ้านหลังใหญ่เต็มๆ ตา

       ครั้งแรกที่มาก็ตอนที่ยังสนิทกับมันอยู่ ครั้งที่สองก็ตอนที่มืด แต่จะครั้งไหนก็ไม่น่ากลัวเท่ากับครั้งนี้ รู้สึกเหมือนตัวเองแบกภาระไว้กับอก ไหล่มันหนักอึ้งเหลือเกิน

       แรกเริ่มตอนผมพูดว่าอยากไปที่บ้านมัน แน่นอนว่ากชอินทร์ไม่ยอม มันคัดค้านหัวชนฝาบอกว่าผมรั้งแต่จะทำให้เรื่องแย่ลง แต่พอผมพูดตามที่คิดกชอินทร์ก็ยอมอ่อนลง พยักหน้าอย่างจำใจ

       ‘กูไม่อยากปล่อยมึงผ่านไปโดยไม่ได้ทำอะไรอีกแล้ว’

       สิบปีที่ผ่านมาสอนผมมาเยอะ...ว่าผมไม่ควรอยู่เฉยๆ แล้วโทษชะตากรรม

       ถ้าหากเกิดอะไรขึ้นมาจริงๆ ผมจะได้ยอมรับได้ว่าอย่างน้อย ครั้งหนึ่ง ผมได้พยายามเต็มที่แล้ว

       คืนนั้นผมค้างที่คอนโดของอินทร์ เราใช้เวลาส่วนใหญ่กับการนิ่งเงียบแต่ไม่เฉยชา ผมกอดจูบ สัมผัส ปลอบประโลมมันด้วยมือที่กุมแน่นจนเราทั้งคู่หลับไป ตื่นเช้าพวกเราทานอาหารง่ายๆ ที่ผมตื่นมาทำ มันเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขแต่พอเปิดประตูห้องออกเมื่ออินทร์ต้องไปทำงานช่วงเวลาที่แสนสุขเหล่านั้นก็ชะงักลง พวกเราต้องตระหนักถึงความเป็นจริงใหม่

       มันเป็นเรื่องตลกร้าย ราวกับว่าห้องของอินทร์ทำให้เวลาหยุดนิ่ง นั่นอาจจะเป็นสถานที่ซึ่งยืดเวลาแห่งความสุขของเราไว้ได้นานที่สุด

       ผมกับมันตกลงว่าจะไปที่บ้านอินทร์ช่วงวันเสาร์ มันบอกเป็นปกติที่มันจะไปหาแม่วันนั้น แต่อินทร์ก็ยังแสดงท่าทีกังวลใจให้เห็นราวกับว่ามันยังไม่มั่นใจว่าจะไปเจอหน้าน้องชายมันได้ ใช่... ผมมั่นใจว่ามันกังวลมาก

       เผลอแป๊บเดียวมันก็มาถึงวันที่เรานัดไว้ อินทร์มาหาผมที่ร้านและเลือกที่จะขับรถของมันไปที่บ้าน แม้จะอ้อมนิดหน่อยแต่คิดว่าแบบนี้คงจะดีกว่า พอมาถึงบ้านอินทร์กลับจอดรถไว้หน้าบ้านแล้วไม่ลงไปเสียที

       “เรากลับดีไหม” มันหันมาถามผม สีหน้าดูไม่ดีนัก “นี่มันไม่...”

       ผมตัดบทด้วยการเลื่อนมือไปกุมมืออีกฝ่าย อินทร์ชะงัก สูดลมหายใจลึก มองผมด้วยแววตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความกังวล “ไม่เป็นไรหรอก” ผมคิดออกแค่คำเดียว
   
       ริมฝีปากของมันบดเข้าหากัน ผมนึกอยากจะกดปากตัวเองลงบนนั้นแต่คิดว่าคงจะไม่ดี นี่ไม่ใช่เวลาทำอะไรเช่นนั้นเสียด้วย

       อินทร์นิ่งเงียบไปพักใหญ่จนผมเกือบจะถอดใจ สุดท้ายมันก็เงยหน้ามองผม พยักหน้าให้เล็กน้อยก่อนที่จะเปิดประตูลงไป ผมแทบจะกุลีกุจอลงตามมันไปด้วยซ้ำ อินทร์กระซิบบอกว่ากลัวตอนที่มันเปิดประตูบ้าน ผมเองก็ได้แต่ยิ้ม ผมเองก็กลัว กังวล ทุกอย่างปนเปกันไปหมด

       “คุณอินทร์ อุ๊ย... มีแขกหรือคะ” มีสาวใช้วัยราวสี่สิบเดินเข้ามาหาพวกมัน

       อินทร์พยักหน้า ฝ่ายสาวใช้เองก็แสดงทีท่าเกรงใจผมอย่างเห็นได้ชัด มันบอกกับเธอว่าไม่ต้องเตรียมการรับรองใดๆ จนผมตัวเกร็ง คิดว่ามันพูดเพราะกลัวว่าจะมีใครมาได้ยินมากกว่า

       ผมคิดทวนความคิดตัวเองแต่ความคิดนั้นหายไปทันทีตอนที่เดินตามอินทร์เข้ามาในบ้านและเห็นว่ามีใครนั่งอยู่ที่โซฟา

       เอ็กซ์ตอนแรกก็ยิ้มอยู่ดีๆ พอเงยหน้าขึ้นมาเจออินทร์สีหน้าก็เปลี่ยนไป และพอผมกับน้องสบตากัน แววตาของอีกฝ่ายยิ่งแข็งกร้าวมากขึ้น ที่น่ากลัวกว่านั้นคือการที่ข้างๆ กายน้องมีแม่ของกชอินทร์นั่งอยู่ด้วย

       ดูเหมือนอินทร์ก็ตกใจเหมือนกัน มันคงไม่คิดว่าเข้าบ้านมาแล้วจะเจอทั้งสองทันทีแบบนี้ มันหันกลับมามองผม คำว่ากังวลแปะอยู่บนหน้าผากจนผมต้องเลื่อนมือไปแตะปลายนิ้วมันเบาๆ

       “อ้าว พาเพื่อนมาด้วยหรือจ๊ะ” แม่ของอินทร์เป็นคนที่เอ่ยปากขึ้นมาคนแรก “ทานอะไรมารึยังลูก”

       “ทะ ทานแล้วครับ” กชอินทร์ตอบกลับ เสียงสั่นอย่างเห็นได้ชัด

       แม่ของมันพยักหน้า “งั้นเดี๋ยวแม่กับน้องกินข้าวก่อนแล้วกันนะ” ท่านว่าเช่นนั้นแล้วลุกขึ้น ไม่ลืมหันไปพูดกับลูกชายคนเล็ก “รอแม่ทำกับข้าวเดี๋ยวนะเอ็กซ์”

       “ครับ”

       ผมหายใจไม่ค่อยออกตอนท่านเดินออกจากห้อง และบรรยากาศมันหนักกว่านั้นเมื่อเหลือเพียงสามคน

       เอ็กซ์ลุกขึ้นจากโซฟา เดินตรงมาที่เราสองคนซึ่งขยับไปไหนไม่ได้ น้องตัวสูงแล้วยังแววตาเกรี้ยวกราด ดูโกรธมากพอที่ทำให้กชอินทร์ผงะถอยหลัง

       “คิดจะทำอะไร” เสียงเข้มเอ่ยออกมา “จะบ้าไปแล้วเหรอถึงพามาที่บ้าน!”

       “...” กชอินทร์ก้มหน้า ไม่เอ่ยปากเถียงใดๆ

       พอเป็นเช่นนั้นเอ็กซ์ก็หันมาทางผม “คุณก็เหมือนกัน คิดจะทำอะไรของคุณ มาที่นี่ทำไม!”

       ผมสูดลมหายใจลึก สบตากับคนอายุน้อยกว่าที่ดูเหมือนกำลังโกรธจัด ไม่สิ... ผมคิดว่าเขาโกรธจัดจริงๆ ถ้าหากผมพูดอะไรไม่ถูกใจแม้แต่นิดเดียวเราอาจจะมีเรื่องกันในทันที ทั้งที่คิดไว้แล้วความสัมพันธ์ระหว่างกชอินทร์กับน้องไม่ดีเท่าไหร่นัก แต่พอมาเจอจริงๆ ก็ทำเอาหายใจลำบากไม่ใช่น้อย

       แต่ถึงอย่างนั้น...

       ผมเลื่อนมือไปจับกุมมือที่สั่นไหวของกชอินทร์ อีกฝ่ายพยายามจะผละหนีแต่ผมไม่ยอมปล่อย

       สูดลมหายใจลึก ก่อนที่จะพูดออกมาเสียงหนักแน่น

       “ผมกับอินทร์...เราคบกันอยู่”

       “...!”

       “ช่วยยอมรับเรื่องของเราได้ไหม”





-----------------------------------------------------
ขอโทษที่มาช้านะคะ  :katai5:
ปล. ขอบคุณที่ไปแนะนำนิยายเรื่องนี้ในกระทู้แนะนำมาค่ะ แฮปปี้มาก TvT
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 19 (28/05/15) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 28-05-2015 21:05:20
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 19 (28/05/15) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: milkteabeige ที่ 28-05-2015 22:06:52
นี่กลั้นหายใจอ่านทีละบรรทัดเลยค่ะ
คำว่ากังวลก็แปะหน้าผากเราเหมือนกัน
กลัวเอ็กซ์อ่าาาาส งืออ น้องอะไรดุชะมัดเลย!!
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 19 (28/05/15) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: Vermouth ที่ 28-05-2015 23:44:26
พีทดูโรแมนติกมากจริง อินทร์ก็เขินไปมาน่ารักอะ ><
แต่หลังจากความหวานก็มาหายใจไม่ทั่วท้องต่อ 555
พีทไฟท์มากกก ดับเครื่องชนสุดๆ
น้องเอ็กซ์ ให้อภัยพี่เค้าเถอะน้า ฮืออออ
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 19 (28/05/15) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 28-05-2015 23:55:12
หายใจติดขัดไปหมด
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 19 (28/05/15) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: monoo ที่ 01-06-2015 22:17:29
 :เฮ้อ:
 :serius2:
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 20 (7/06/15) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: NINEWNN ที่ 07-06-2015 21:40:23
(http://upic.me/i/ak/timeticket_.jpg)

CHAPTER 20

“What doesn’t kill you makes you stronger
Standing little higher”

(Stronger – Kelly Clarkson)



       ผมพูดอะไรออกไป
   
       แต่ถึงย้อนเวลากลับไปได้ผมก็เลือกที่จะทำแบบเดิม

       คนตรงหน้ามองผม นิ่งเงียบไปอยู่พักใหญ่ก่อนที่จะค่อยๆ สูดลมหายใจลึกราวกับพยายามสงบสติอารมณ์ในขณะที่คนข้างกายกำมือผมแน่น ราวกับเตือนว่าผมพูดอะไรออกไปเมื่อกี้นี้

       “พีรพัฒน์!” อินทร์เรียกชื่อผม น้ำเสียงสั่นเล็กน้อยแต่ดังเสียเหลือเกิน

       ผมกำมือของอีกฝ่ายแน่น หวาดกลัวว่ามันจะผละออกไปหรือสะบัดทิ้ง ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมาจากปากของผมผมรอ รอจนคนอายุน้อยกว่าตรงหน้าจะปริปากพูด

       “คุณ...” ในที่สุดเอ็กซ์ก็ทำมัน “พูดอะไรออกมา”

       น้ำเสียงทุ้มเล็ดลอดออกมาอย่างแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความขุ่นเคืองอย่างเห็นได้ชัด เขากัดฟันแน่น แน่นจนเห็นเส้นเลือดบนต้นคอ ใบหน้าแดงก่ำจนผมนึกหวาดหวั่น ลมหายใจถูกสูดเข้าไปครั้งแล้วครั้งเล่า

       “คุณรู้ตัวหรือเปล่า ว่าคุณกำลังพูดอะไร...ในบ้านของผม”

       “พีท” อินทร์เรียกชื่อผมเสียงสั่นอย่างเห็นได้ชัด “อย่านะ... ขอร้อง...”

       ผมกุมมือของอีกฝ่ายแน่นเพื่อที่จะบอกให้มันฟังโดยไร้เสียง...ว่าผมจะไม่ปล่อยให้มันเป็นแบบนี้อีกต่อไป

       “เรารักกัน” ผมพูดมันออกมาอีกครั้ง สบตาเอ็กซ์อย่างตรงไปตรงมา ใบหน้าของเขาเรียบเฉยจนน่ากลัวแต่ผมต้องพูดมันออกไป “ช่วยยอมรับ...”

       ผลัวะ!

       แรงกระแทกเข้ากระทบเข้าจังๆ ที่ใบหน้าจนผมเซ ได้ยินเสียงตะโกนผรุสวาทหยาบคายดังจากคนตรงหน้า รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่หลังของผมกระแทกเข้ากับผนังอย่างแรง ไม่มีเวลาให้หายใจด้วยซ้ำก่อนที่ความเจ็บปวดจะกระทบบนใบหน้าอีกครั้งหนึ่ง

       ได้ยินเสียงตะโกนของกชอินทร์เรียกชื่อผมกับน้องชายมัน สั่งให้หยุดแต่กลับไม่ยื่นมือเข้ามาป้องกัน ผมคิดว่าดีแล้วที่ทำแบบนั้น ขืนมันได้ยื่นเท้าเข้ามาเกี่ยวข้องคงจะมีอะไรเลวร้ายกว่านี้

       หลังจากกระแทกกำปั้นสองหมัดใส่หน้าผม คนอายุน้อยกว่าที่ตัวสูงกว่าก็ดันผมติดกำแพง มือกำคอเสื้อของผมแน่นจนสั่น ผมคิดว่าถ้าเสื้อขาดก็ไม่ใช่เรื่องผิดปกติอีกต่อไป

       ลมหายใจคนตรงหน้าหอบถี่ ผมเองก็เช่นกัน รสเค็มคาวปะแล่มๆ ติดอยู่ที่ปลายลิ้น ขณะที่อีกฝ่ายตะโกนเสียงดังราวกับขาดสติ

       “คุณพูดมันออกมาได้ยังไง!”

       “เอ็กซ์!”

       เสียงนั้นทำให้พวกเราทั้งสามคนหยุดชะงักในทันที

       ผมกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคออย่างยากลำบาก คิดว่าคงไม่ต่างกับสองพี่น้องที่ยืนอยู่ใกล้ๆ เมื่อเสียงนั้นตะโกนเรียกชื่อเอ็กซ์พร้อมกับร่างของคนที่พวกเราอาจจะลืมไปแล้วว่าท่านอยู่ในบ้านหลังนี้

       แม่ของกชอินทร์

       “เราทำอะไร” ท่านถามเสียงขุ่นเคือง มองที่มือสองข้างของลูกชายคนเล็กที่จับอยู่ที่คอของผม “แม่ถามว่าเราทำอะไร เอ็กซ์”

       “...”

       เมื่อเห็นว่าลูกชายคนเล็กให้คำตอบไม่ได้ ท่านก็หันไปหาลูกชายอีกคน “ไหนตอบแม่มาสิ อินทร์”

       อินทร์เหลือบตามองมาทางผมกับน้องชายมัน ผมเห็นมันก้มหน้า ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมาจากปาก สุดท้ายแล้วก็เป็นแม่ของกชอินทร์เองที่ถอนหายใจยาวแล้วพูดต่อ
   
       “ที่นี่ที่บ้าน ไม่ใช่โรงมวย” ท่านเอ่ยเสียงเรียบ “ทุกคน มาคุยกับแม่เดี๋ยวนี้เลย”

       ท่านสงบสติอารมณ์ได้ดีมาก

       เอ็กซ์มองหน้าผม ขยับปากผรุสวาทเบาๆ ก่อนที่จะยอมคลายมือจากคอเสื้อให้ผมรู้สึกโล่งขึ้นมาบ้าง ในขณะที่อินทร์เดินตามแม่ของมันไปที่โซฟาที่น้องชายมันเพิ่งลุกขึ้นมา คุณแม่ของอินทร์หย่อนกายนั่งที่กลางโซฟาตัวยาวแล้วจึงเรียกลูกชายทั้งสองคนเข้าไปนั่งข้างๆ ส่วนตัวผมจำต้องนั่งโซฟาเดี่ยวที่อยู่ใกล้กับอินทร์แทน

       ผมเห็น อินทร์เหลือบตามองผม แววตาแดงก่ำ ริมฝีปากเม้มเข้าหากันแน่น

       ...มันเจ็บนะเวลาที่เห็นมันเป็นแบบนี้แต่ทำอะไรไม่ได้เลย เอื้อมมือไปจับก็ไม่ได้ โอบกอดไว้ก็ไม่ได้ แค่ปลอบโยนมัน ผมยังทำอะไรไม่ได้เลยด้วยซ้ำ

       ความเงียบชวนให้ผมรู้สึกอึดอัดอีกครั้ง แต่บางทีผมต้องปรับความคิดใหม่ เมื่อสตรีเพียงคนเดียวเอ่ยปากขึ้น
   
       “เราชื่ออะไรนะ...” ท่านถามผมเช่นนั้น

       “พีทครับ” ผมตอบโดยพยายามควบคุมตัวเองให้ดีที่สุด “พีรพัฒน์”

       ท่านนิ่งไปชั่วครู่แล้วจึงพยักหน้าเล็กน้อย “พีท... เล่ามาสิ เกิดอะไรขึ้นหรือลูก”

       ความเงียบน่าอึดอัดขึ้นอีกหน

        ลำคอผมแห้งผาก มีถ้อยคำต่างๆ นานาวิ่งแล่นไปในหัวเต็มไปหมด ผมควรทำอย่างไร โกหกหรือ
พูดความจริง ผมต้องบอกตรงไหน ปิดบังส่วนใดบ้าง ผมเอาแต่คิดเรื่องแบบนั้น จนท่านเอ่ยปากออกมา

       “มีเรื่องอะไรที่ให้แม่รู้ไม่ได้”

       ผมเหลือบตามองกชอินทร์ มันมองผม แววตาอ้อนวอนคล้ายจะร้องขอให้ปิดบังโดยไร้เสียง นั่นยิ่งทำให้คำพูดที่ผมปรารถนาจะพูดออกมาจุกอยู่ที่คอ ผมพูดไม่ออกเวลามองตาที่แดงก่ำของมัน ความปรารถนาของผมคือการบอกความจริง ทำให้ท่านยอมรับ...แต่ดูเหมือนของอินทร์จะไม่ใช่แบบนั้น

       “อย่าโกหกแม่นะ...” ท่านพูดต่อ “เอ็กซ์ อินทร์ พวกลูกน่าจะรู้ดีอยู่แล้วว่าแม่ไม่ชอบคนโกหก”

       ผมเม้มริมฝีปากแน่น สูดลมหายใจเข้าปอดลึกเพื่อตั้งสติ บอกว่าสิ่งที่ตัวเองอาจไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุด มันอาจจะมีหนทางที่ดีกว่านี้...แต่ผมคิดว่านี่เป็นสิ่งที่กชอินทร์ไม่เคยลองทำ

       และบางทีสิ่งนั้นอาจจะเป็นหนทางที่ดีที่สุด

       “ผม...คบกับอินทร์อยู่ครับ...”

       แม่ของกชอินทร์มองผมเมื่อผมพูดจบ ท่านเม้มริมฝีปากแน่น แต่ไม่พูดอะไรออกมา

       หัวใจของผมเต้นดังและรัวด้วยความหวาดกลัวที่คืบคลานเข้าไปในทุกอนุภาคของอากาศ ความเงียบทำให้ผมรู้สึกแย่อีกคราแต่นี่มันแย่กว่าเก่าเสียอีก ผมมองตาท่าน ไม่รู้เหมือนกันว่าทำสีหน้าแบบไหนออกไป สุดท้ายแล้วแม่ของกชอินทร์ก็ถอนหายใจออกมา

       “แม่ไม่เข้าใจ...” นั่นเป็นถ้อยคำแรกที่ท่านพูด ท่านเงียบไปอีกพักใหญ่ ผมเหลือบตามองกชอินทร์ มันก้มหน้า แต่ถึงกระนั้นผมก็เห็นว่ามือของมันสั่น “แม่ไม่เข้าใจ...ลูกจะร้องไห้ทำไม อินทร์”

       คนถูกเรียกเงยหน้าขึ้น เอ็กซ์และผมเองก็เช่นกัน เสียงของท่านสั่นเล็กน้อยต้องพูดมันออกมา ผมกลั้นหายใจ มองท่านที่ยิ้มให้ผมเล็กน้อยแม้ว่าจะเป็นรอยยิ้มที่เศร้าเสียใจเต็มทีก็ตาม

       “แม่ถามว่าลูกจะร้องไห้ทำไม”

       อินทร์เม้มปากแน่น มันมองท่านเล็กน้อยก่อนที่จะก้มหน้าลงไปใหม่ เสียงลมหายใจของมันขาดห้วงไปนิดหน่อยก่อนที่ท่านจะลุกขึ้น เดินไปจับศีรษะลูกชายคนโตและโยกมันเล็กน้อย

       “จริงๆ เลยลูกคนนี้...”

       ขอบตาผมร้อนเล็กน้อยกับภาพที่เห็น นี่มันดีกว่าที่ผมคาดคิดไว้เยอะมาก สิ่งที่ผมต้องการคือการยอมรับ อย่างน้อยก็อยากให้ท่านยอมรับในสิ่งที่เราเป็น ไม่ให้การสนับสนุนก็ไม่เป็นไร แต่การกระทำของท่านทำให้ผมรู้สึกว่า

       ผมเห็นแค่หัวไหล่ของอินทร์เพราะแม่ของมันกอดมันไว้ ไหล่ของมันสั่นเล็กน้อยแต่ไหล่ของท่านสั่นมากกว่า ผมเม้มริมฝีปากเข้าหากันแน่น พ่นลมหายใจออกมาหลังจากกลั้นหายใจไว้เป็นเวลานานเสียเหลือเกิน

       ผมเหลือบสายตาไปมองอีกคนที่นั่งด้วย เพิ่งตระหนักได้ว่าเอ็กซ์เองก็ยังอยู่ ผมเห็นน้องกำมือแน่น สูดลมหายใจลึกแต่ไม่ได้มองที่ครอบครัวตัวเองเลยแม้แต่น้อย เขามองผมอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะก้มลงไปมองมือตัวเองที่กำลังกำหมัดอยู่

       “ทำไม...”

       สุดท้าย เสียงที่แทรกขึ้นมาก็เป็นเสียงของเอ็กซ์

       “ทำไมแม่ถึงรับเรื่องแบบนี้ง่ายจัง...” เขาเค้นหัวเราะ “เพราะอินทร์เป็นลูกรักหรืออย่างไร” พูดคำประชดประชันที่ชวนเจ็บปวดใจถูกหยิบยื่นขึ้นในเวลาแบบนั้น

       ความเงียบเข้าปกคลุมอีกครั้ง ผมรู้สึกตกใจที่เขาพูดคำนั้นออกมาตรงๆ เช่นนั้น เหมือนกับความน้อยใจที่ถูกสะสมมาเป็นเวลานานกำลังจะถูกระเบิดออก

       “ทำไมตอนผม...มันไม่ง่ายแบบนี้บ้างล่ะ?”

       ผมคิดว่าตอนนี้ตัวเองควรทำอะไรแต่แน่นอนว่าผมไปไหนไม่ได้ เอ็กซ์พูดมันออกมาด้วยสีหน้าที่เหมือนกับสกัดกั้นอารมณ์เต็มที่ เสียงเขาสั่นเล็กน้อย ผมไม่รู้ว่านั่นมาจากสาเหตุอะไร เรื่องในครอบครัวอินทร์เล่าไม่หมด ต่อให้มันเล่าหมดผมก็ไม่คิดว่าตัวเองจะเข้าใจ มีคนเคยบอกว่าทุกเรื่องมีสามมุม เรื่องของเขา เรื่องของเรา และเรื่องของความเป็นจริง มันหมายความว่า เรื่องที่อินทร์เข้าใจกับเรื่องที่เอ็กซ์เข้าใจอาจจะเป็นคนละเรื่องกันก็ได้

       “ทำไมตอนนั้นมันไม่ง่ายแบบนี้บ้าง...”

       มันเป็นเรื่องในครอบครัวและผมเองก็ยังเป็นคนนอก

       ผมเม้มริมฝีปากแน่นตอนที่เอ็กซ์ย้ำคำเดิม แต่คนในครอบครัวสองคนกลับเงียบ เขาไม่ได้พูดอะไร

     สุดท้ายเอ็กซ์ก็ลุกขึ้นเดินไปจากที่ซึ่งพวกเรานั่งกันอยู่

       “เอ็กซ์!”

       แม่ของอินทร์เป็นคนเรียกตอนที่ลูกชายคนเล็กของเธอเดินขึ้นไปที่บันได แต่ดูเหมือนเขาจะไม่ฟัง สุดท้ายแล้วท่านก็นั่งลง เอามือกุมขมับแล้วถอนหายใจเสียยาว

       กชอินทร์หันมามองผม สลับกับแม่ตัวเองตอนที่ได้ยินเสียงปิดประตูดังลั่นจากข้างบน ผมทำอะไรไม่ถูก จะขอลาเลยก็ไม่ใช่เรื่อง สาเหตุที่ผมมาตอนนี้ไม่ใช่การที่ทำให้แม่ของอินทร์ยอมรับอย่างเดียวเสียเมื่อไหร่ แต่ว่าสถานการณ์ตอนนี้ผมจะพูดอะไรได้

       แม่ของอินทร์ไม่ได้พูดอะไร ท่านนั่งเงียบราวกับมีเรื่องที่คิดอยู่ในใจ ใช่... ผมคิดว่าท่านมี แต่แน่นอน ผมก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไรอีกเหมือนกัน

       “วันนี้แม่พูดอะไรมากไม่ได้หรอก” ท่านเอ่ยออกมาหลังเงียบไปพักใหญ่ “แต่ยังไงก็รักกันดีๆ แล้วกันนะ”

       “ครับ...” ผมรับคำอย่างยากลำบาก

       ผมเม้มริมฝีปากแน่น อินทร์มองผมด้วยแววตากังวลใจ แต่ก็ไม่วายเอ่ยปากถาม “ทำไมแม่ถึงยอมรับ...ง่ายๆ แบบนี้ล่ะครับ” มันถามเสียงสั่นเล็กน้อย

       “อยากให้แม่ต่อต้านหรือ” ท่านถามกลับ “อินทร์ ลูกก็รู้ แม่ต่อต้านไม่ได้”

       “...”

       “ถ้าต่อต้านแล้วทำให้ครอบครัวเราพังไปมากกว่านี้...แม่ไม่เอาด้วยหรอก”

       มีอะไรที่ผมทำได้บ้างไหม... ถ้าตอนนี้เราอยู่กันแค่สองคนผมก็คงกล้าเอ่ยปากถาม แต่ครั้งนี้ไม่ใช่ แม่ของอินทร์ก็ยังอยู่ตรงนี้ ถ้าผมพูดอะไรแบบนั้นออกไป ท่านอาจจะคิดว่าผมจะทำอะไรได้ แต่...

       ผมกลืนน้ำลายเล็กน้อยก่อนที่จะพูดออกมา “ผมขึ้นไปคุยกับเอ็กซ์ได้ไหมครับ”

       แม่ของอินทร์หันมามองผม ท่านเลิกคิ้ว แต่ผมก็ย้ำคำเดิมอีกทีจนสีหน้าท่านดูลำบากใจ แต่ท้ายที่สุดแล้วท่านก็พยักหน้าให้ “อย่ามีเรื่องกันนะ เอ็กซ์มันใจร้อน”

       “ครับ...” ผมพยักหน้า ลุกขึ้นจากโซฟาแต่ก็ต้องชะงักเมื่อท่านพูดอะไรเพิ่ม

       “อินทร์ ตามขึ้นไปทีสิ” เจ้าของชื่อทำท่าจะแย้งแต่ท่านพูดเสริมเสียก่อน “แม่ขึ้นไปก็รั้งแต่จะทำให้น้องโกรธขึ้น ลูกขึ้นไปเถอะ”

       “แต่...” อินทร์เถียงออกมาแค่นั้นก่อนที่จะชะงักไปเอง สุดท้ายแล้วมันก็เป็นคนที่พยักหน้าเสียเอง

       มันเดินตามผมมาเงียบๆ จนถึงชั้นสอง มันถึงเปลี่ยนมาเดินนำหน้าผมไปที่หน้าห้องหนึ่ง กชอินทร์หันมาเล็กน้อย มันโน้มกายเข้ามาใกล้

       “จะทำอะไร...” คำถามแผ่วเบาหลุดออกจากปากมัน

       ผมส่ายหน้า ใช่ เรื่องจริงคือผมทำอะไรได้ไม่มากหรืออาจจะทำอะไรไม่ได้เลย ผมรู้ดี มันอาจจะดันทุรังแต่ผมก็ยังอยากจะลองอยู่ดี

       ผมเปิดประตูห้องตรงหน้าเข้าไป มันไม่ได้ล็อก สภาพในห้องดูไม่ได้เลย ข้าวของบนโต๊ะถูกกวาดลงพื้น ผมพอคิดสภาพออก เอ็กซ์หันมามองผมอย่างรวดเร็ว แววตาแดงก่ำ ไม่รู้ว่ามันเกิดจากการร้องไห้หรือการโกรธ ผมคิดว่าเป็นอย่างหลัง

       “ขึ้นมาทำไม” เขากัดฟันกรอด พูดเสียงต่ำ

       ตอนนี้เขาร้อน ต่อให้เอาน้ำเย็นเข้าลูบมันก็ไม่มีทางเย็นลง ผมรู้... ริมฝีปากผมเม้มเข้าหากันแน่น ถอนหายใจออกมาแล้วเอ่ยปากคำที่ต้องการพูดออกมาเพียงคำเดียว

       “อินทร์” ผมเรียกชื่อคนที่ยืนอยู่ข้างกาย “ขอโทษเอ็กซ์...ดีกว่าไหม?”

       ทั้งเอ็กซ์และอินทร์เองก็มองผมแบบไม่เชื่อสายตา โดยเฉพาะเจ้าของห้อง เขามองผมด้วยแววตาไม่เข้าใจก่อนที่จะเดินเข้ามาใกล้ มือหนึ่งเอื้อมมาจับคอเสื้อของผมอีกครั้งแต่ผมก็ปล่อยให้เขาทำมันอย่างเสียไม่ได้

       “คุณเห็นผมน่าสมเพชมากเลยหรือ?”

       “เปล่า” ผมตอบตามตรง “ที่ผมบอกให้อินทร์ขอโทษเป็นเพราะอินทร์อยากทำ แต่มันไม่กล้าทำ ผมเลยบอกให้มันทำ” ผมพูดตามความจริงที่ผมคิด

       “มันไม่ใช่เรื่องของคุณ”

       “แต่มันเป็นเรื่องของอินทร์...ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของเรา” ผมพูดออกมาอีกครั้ง

       เอ็กซ์ผรุสวาทคำหยาบออกมาชุดใหญ่ เขาหันไปทางอินทร์ พูดด้วยน้ำเสียงประชดประชันเสียเหลือเกิน “ขอโทษอะไร อยากขอโทษ...อย่ามาพูดให้ขำเลย”

       ผมเห็นอินทร์บดริมฝีปากเข้าหากัน มันก้มหน้าหลบตาจนผมต้องพูดออกมา “อินทร์...”

       “เลิกบ้าสักที!”

       “ไม่...” เสียงของอินทร์แผ่วเบาราวกับกระซิบหลังจากเอ็กซ์ตวาดใส่ผมอย่างเดือดดาล “พีทพูดถูกแล้ว”

       เอ็กซ์มองพี่ชายตนเองด้วยแววตาที่ผมอ่านไม่ออก มือของอีกฝ่ายเบาแรงลงจากคอเสื้อผมแต่ก็ยังคงกำมันไว้อยู่ เขานิ่งไปชั่วครู่ตอนที่กชอินทร์พูดออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเล็กน้อย

       “พี่ขอโทษ...”

       เสียงนั่นสั่นอย่างน่าสงสาร ผมเผลอเม้มปากแน่นอย่างลืมตัวตอนที่อินทร์พูดคำนั้นออกมา

       “ขอโทษที่ตอนพ่อรู้เรื่องพี่ช่วยอะไรไม่ได้ ขอโทษที่ตอนนั้นด่าเอ็กซ์ ขอโทษที่ด่าว่าเป็นคนวิปริต...พี่ขอโทษ” อินทร์พูดคำนั้นอย่างแผ่วเบา มันเงยหน้าขึ้นมองเพดาน คิดว่าพยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลลงมา “พี่เอาแต่คิดว่าพี่ยังเด็กเกินกว่าที่จะเสียพ่อ แต่พี่ลืมคิดไปว่าเอ็กซ์เด็กกว่าพี่อีก” มันเว้นวรรคไปชั่วครู่ “พี่จะไม่บอกว่าที่พี่เลิกกับพีทเป็นเพราะเอ็กซ์ เพราะมันไม่ใช่เพราะเราเลย มันเป็นเพราะตัวพี่เอง... มันเป็นแค่วิธีการแก้ปัญหาโง่ๆ พี่ก็แค่ผลักปัญหาให้คนอื่น เป็นคนที่ทำอะไรไม่ได้...”

       “...”

       “พี่ขอโทษ...จริงๆ” อินทร์ย้ำคำเดิมซ้ำไปซ้ำมา

       ความเงียบเข้าปกคลุมระหว่างเราสามคน ผมเริ่มสัมผัสได้ว่ามีเสียงสะอึกสะอื้น อินทร์สูดลมหายใจเสียงดัง สุดท้ายแล้วมือที่กำเสื้อของผมอยู่ก็ค่อยๆ คลายออก

       “ขนาดตอนนี้...อินทร์ยังทำให้มันเป็นเรื่องง่ายๆ ได้เลย” ถ้อยคำตัดเพ้อนั้นหลุดออกมาจากคนเป็นน้อง “ทำไมมันไม่ยุติธรรมเลย...” เขาค่อยๆ ทรุดกายลงกับพื้น มือกุมศีรษะและก้มหน้าลง “ผมจมกับเรื่องแบบนี้มาตั้งสิบปี พี่คิดว่าแค่คำขอโทษมันจะพอหรือ”

       “ไม่... มันไม่พอหรอก” เสียงของอินทร์ตอบ มันเคลื่อนกายเข้าไปใกล้น้องชายของมัน “แค่อยากให้รู้ว่าพี่เสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเหมือนกัน”

       “...”

       “และพี่ก็ไม่อยากให้เอ็กซ์เสียใจต่อไปแล้ว”

       ผมได้แต่มองภาพตรงหน้า สองพี่น้องที่พยายามหันหน้าเข้าหากันแต่เข้าใกล้กันมากไม่ได้

       ความเกลียดชัง น้อยใจ หรือความรู้สึกในด้านลบต่างๆ ที่เอ็กซ์มีให้กับพี่ชายของมันมาร่วมสิบปีคงไม่มีทางหายไปได้ง่ายๆ ความเป็นจริงมันเป็นอย่างนั้น ไม่ว่าอย่างไรมันก็ยังมีความขุ่นเคืองในใจหลงเหลืออยู่ ผมไม่รู้ว่าเอ็กซ์ยอมรับเรื่องของเราหรือยัง

       บางอย่างต้องใช้เวลา...โดยเฉพาะสิ่งที่ใช้เวลาสั่งสมมานาน...

       ผมเลื่อนมือไปสัมผัสกับปลายนิ้วของกชอินทร์ มันหันมา คลี่ยิ้มให้เล็กน้อยด้วยแววตาที่คลอไปด้วยน้ำตา

       ปมอาจจะยังเหลืออยู่ แต่อย่างน้อยมันก็เข้าใกล้ทางออกมากขึ้น








   ---------------------------------------------------------------------------
อีกสองตอนจบแล้วค่ะ  :katai4:
ปล. ขอโทษที่มาช้านะคะ!
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 20 (7/06/15) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 07-06-2015 22:16:05
ปมจะคลายแล้วใช่ไหม
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 20 (7/06/15) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: milkteabeige ที่ 08-06-2015 13:39:38
โอ้ยยยย บีบหัวใจจังค่ะ

แต่ก็ดีใจที่ค่อยๆ คลี่คลายออกมา

คุณแม่เก่งมาก ดีมาก น้ำตาซึมเลย

เอาใจช่วยทั้ง 3 คนค่ะ ฮึบๆ
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 20 (7/06/15) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: Celestia ที่ 09-06-2015 01:17:31
ฮือ สงสารน้องเอ็กซ์ อินทร์ด้วย
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 20 (7/06/15) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: •ผั๑`|nกุ้va’ด• ที่ 09-06-2015 01:32:34
ปมจะคลายแล้ว หวังว่าครอบครัวของอินทร์จะกลับมาเข้าใจกันนะ
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 20 (7/06/15) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: zombi ที่ 09-06-2015 02:25:54
เห็นใจเอ็กซ์

ทำไมเรื่องของเรามันไม่ง่ายเหมือนเรื่องของพี่ เศร้ามาเป็นสิบปี ทุกข์ใจกับบ้านแตกมานานเพราะอะไร
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 21 (14/06/15) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: NINEWNN ที่ 14-06-2015 19:27:00
(http://upic.me/i/ak/timeticket_.jpg)

CHAPTER 21

“Lights will guide you home and ignite your bones
And I will try to fix you”

(Fix You - Coldplay)



       ผมกำลังประสบปัญหาหนักในชีวิต...

       “กะเพราไก่ไข่ดาวค่ะ”

       เจ้าของใบหน้าเบือนยิ้มว่าพลางกึ่งวางกึ่งกระแทกกล่องโฟมลงตรงหน้า ถึงเจ้าหล่อนจะพูดเสียงหวานแถมหน้าตาดูยิ้มแย้มแจ่มใสแต่สายตาเธอดูเหมือนพร้อมจะกัดคอผมทุกเมื่อ

       “ปล่อยผมไปไม่ได้หรือ” ผมครางเสียงอ่อย

       “ไม่ได้ค่ะพี่พีท ทำงานต่อค่ะ” พริมาตอบกลับแทบจะในทันที “ความผิดคุณเองนะคะที่ส่งงานช้า”

       “ทีตอนอินทร์คุมยังไม่เป็นแบบนี้เลย...” ผมบ่นอิดออดแต่ก็หุบปากฉับทันทียามเจ้าหล่อนมองค้อน

       พริมากลายเป็นบรรณาธิการของผมอย่างเต็มรูปแบบในขณะที่กชอินทร์กลับไปทำงานฝ่ายบริหารเรียบร้อยแล้ว เจ้าหล่อนเคี่ยวมากกว่าอินทร์จนผมมองคนจู้จี้อย่างมันเป็นนางฟ้า ยิ่งการตามงานของพี่มิ้นท์ บรรณาธิการคนแรกนั้นแทบจะกลายเป็นการลูบหัวไปเลย

       พริมาไม่มีการอ่อนข้อ เธอจะไม่ติดต่อมาจนกว่าใกล้กำหนดส่งงานหนึ่งวัน ถ้าผมตอบไปเป็นเชิงว่าขอผ่อนปรนเวลาอีกหน่อยเท่านั้นแหละ เธอจะโผล่มาที่บ้านพร้อมกับเรียกมาที่บริษัทในทันที เคยได้ยินมาบ้างว่ามีการกักตัวนักเขียนไว้ถ้าหากปั่นต้นฉบับไม่เสร็จ ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะเจอกับตัวเอง

       ห้องนรกนี่เป็นห้องแคบๆ มีเพียงคอมพิวเตอร์ที่ยังเป็นโปรแกรมแบบเก่าบนโต๊ะตัวเล็กกับเก้าอี้หนึ่งตัว ทั้งห้องมีแค่นั้น ความกว้างห้องราวๆ สองเมตร กระจกใสรอบด้าน ห้ามอู้ใดๆ ทั้งนั้น

       “พอกันทั้งคู่” หล่อนเอ่ยน้ำเสียงหงุดหงิด “ไม่ควรหนีงานไปเที่ยวกันแบบนั้นนะคะ” ว่าแล้วก็สางผมตัวเองไปด้วย

       “บอกว่าจำวันผิดครับ...” ผมแก้ตัว

       สาเหตุที่โดนเรียกมาที่ห้องนรกนี่ทั้งที่ผมเข็ดหลาบกับการโดนเรียกมาในครั้งแรกไม่ใช่อะไรหรอก ผมกับอินทร์ถือโอกาสไปเที่ยวต่างจังหวัดกันในวันหยุดที่ผ่านมา ผมปิดโทรศัพท์แม้ว่าอินทร์จะเคยบอกบ่อยครั้งบ่อยคราว่าควรทำตัวให้ติดต่อง่ายกว่านี้ ส่วนรอบนี้อินทร์เกิดอยากพักจากทุกอย่างหลังเคลียร์งานได้ กลับมาที่บ้านผมแทบจะระเบิดเพราะผมจำวันส่งต้นฉบับผิดไปสองวัน ร้ายกว่านั้นคือไม่ได้เริ่มเขียนแม้แต่นิดเดียว พริมาสติแทบแตกตอนที่ผมยอมรับผิดตามความจริง เธอลากผมมาที่สำนักพิมพ์ทันทีและนั่งเฝ้าให้ผมเฝ้าต้นฉบับ ยึดโทรศัพท์มือถือของผมไว้เรียบร้อยอีกต่างหาก

       “อย่าทำตัวแบบนี้อีกนะคะ” เธอกัดฟันกรอดก่อนที่จะหันหลังกลับ “รีบทานข้าวแล้วทำงานต่อค่ะ”

       “กชอินทร์ล่ะ”

       “งานเสร็จเมื่อไหร่จะให้เจอนะคะ”

       พริมากระแทกเสียงเล็กน้อยก่อนที่จะเดินออกจากห้อง ไม่วายล็อกประตูอีกต่างหาก หนีไปไหนไม่ได้

       ผมกินอาหารสิ้นคิดที่พริมาช่วยซื้อมาให้ด้วยความเร็วแสง ยังดีที่เจ้าหล่อนเอาน้ำไว้ให้ด้วย พอกินเสร็จก็ต้องมานั่งขยี้หัวตัวเองมองตัวอักษรบนหน้าจอใหม่

       ก๊อก...

       เสียงเคาะเบาๆ ที่ประตูทำให้ผมหันไปมองแล้วจึงคลี่ยิ้มออกมาอย่างลืมตัวเมื่อเห็นคนที่ตัวเองถามถึงอยู่ตรงนั้น

       กชอินทร์หน้าหงอยนิดหน่อย คิดว่ามันคงรู้สึกผิดที่เอ่ยปากชวนไปเที่ยวทำให้ผมต้องมาอยู่ในห้องนรกนี่ ไม่ทันที่จะพูดอะไรก็ได้ยินเสียงแหวของพริมาดังมาจากไกลๆ

       “อินทร์! พริมบอกแล้วว่าเสร็จงานพวกแกก็ได้เจอกัน!”

       พริมาเป็นผู้หญิงที่น่ากลัวขัดกับภาพลักษณ์จริงๆ ด้วย...



       หลังจากถูกกักตัวไว้ราวสี่ชั่วโมงผมก็โดนปล่อยออกมาจนได้ แม่บรรณาธิการสาวบ่นผมอีกชุดใหญ่ถ้าเธอไม่เกรงใจผมคิดว่าเธอคงจะเอาข้าวของใกล้ๆ ทุบหัวผมไปแล้ว

       “อ่ะ” หล่อนยื่นกล่องหนึ่งมาให้ผมหลังจากบ่นเสร็จ

       ผมเลิกคิ้วเล็กน้อย “ครับ?”

       “หนังสือของพี่พีทนั่นแหละ! ตอนแรกจะให้ส่งไปรษณีย์ไป ไหนๆ มานี่ก็รับไปเลยสิ” หล่อนตอบกลับอย่างฉุนเฉียวเล็กน้อย    

       ผมรับมันมาอย่างงงๆ หนังสือของผมวางขายไปแล้วก็จริงแต่ตัวผมยังไม่ได้รับหนังสือ ปกติทางสำนักพิมพ์จะมีจำนวนหนึ่งให้นักเขียนอยู่แล้วแต่มักจะส่งไปรษณีย์มาตามที่เจ้าหล่อนพูด ผมแอบไปเปิดดูตามร้านหนังสือบ้างแล้วเลยยังไม่ได้ตื่นเต้นมากนัก

       “นี่เลิกงานแล้วใช่ไหม” ผมถามสาวเจ้า

       “พริมยังไม่เลิกค่ะ” พริมาตอบเสียงห้วน “แต่อินทร์เลิกแล้ว ไปหามันได้เลย” เธอว่าพร้อมกับส่งโทรศัพท์มือถือที่ยึดไปก่อนหน้านี้ให้ผม “จำทางได้ใช่ไหมคะ”

       “ครับ” ผมพยักหน้า

       หล่อนเดินไปส่งผมที่หน้าลิฟต์ ไม่วายค่อนแคะเรื่องระหว่างผมกับเพื่อนสนิทของเธอ ไม่รู้ว่าเจ้าหล่อนจะหมั่นไส้อะไรพวกเรานักหนา ถึงพออยู่ต่อหน้าอินทร์จะทำสีหน้าล้อเลียนแต่พออยู่ต่อหน้าผมกลับพูดเป็นเชิงว่าหมั่นไส้เสียเต็มประดา ใจมนุษย์สตรีเพศยากแท้หยั่งถึงจริงๆ

       แม้จะรู้ว่าอินทร์ทำงานที่ชั้นสามของตึกแต่ผมก็กดลิฟต์ไปที่ชั้นหนึ่ง การไปนั่งรอในร้านกาแฟในตึกน่าจะเป็นเรื่องที่ดีที่สุด ผมคิดว่าน่าจะมีคนรู้เรื่องระหว่างผมกับอินทร์บ้างแต่มันไม่อยากให้เปิดเผยมากนัก แม้ผมจะชอบแหย่มันต่อหน้าคนอื่นแต่อะไรที่มากเกินไปก็ไม่งามหรอก

       แม้ว่าสองเดือนก่อนแม่ของอินทร์อนุญาตให้ผมคบกับมันได้ก็จริงแต่ผมไม่ได้โผล่หน้าไปที่บ้านมันอีกเพราะเกรงใจน้องชายมัน อินทร์มักจะยิ้มเศร้าๆ เวลาผมถามถึงเรื่องนี้แต่มันก็ยืนยันกับผมว่าความสัมพันธ์ระหว่างมันกับน้องค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับแต่คงไม่หายขาด ความขุ่นเคืองใจยังอยู่ ผมได้รับคำยืนยันเรื่องนี้จากพริมาอีกหน หล่อนบอกว่าไม่น่าจะเกิดเหตุการณ์หนักหนาสาหัสอีกแล้ว

       เรื่องราวระหว่างเราก็เรื่อยๆ... ผมคิดว่าเป็นแบบนั้น  บ่อยครั้งที่ระหว่างผมกับมันจะเกิดเวลาที่ทำอะไรไม่ถูกต่อกัน ช่องว่างที่เกิดจากระยะเวลาสิบปีที่เราห่างกันมีมากเกินกว่าจะทำลายมันในครั้งเดียว มันเป็นเรื่องจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ อีกอย่างพวกเราไม่ได้เจอหน้ากันทุกวัน ไม่เจอกันเป็นสัปดาห์เลยก็มี ยิ่งเวลาอินทร์มีงานของสำนักพิมพ์ทับหัวแค่ติดต่อยังทำไม่ได้เลย แน่นอนว่าผมพยายามจะเข้าใจ ณ จุดนั้นโดยการติดต่อกับพริมาเพื่อสอบถามความเป็นไปแทน

       พวกเราจะมาค้างบ้านกันสัปดาห์หรือสองสัปดาห์ครั้ง ส่วนมากอินทร์จะมาที่บ้านผม น้อยครั้งนักที่ผมจะไปที่บ้านมันเพราะว่าผมยังมีภาระกับการดูแลร้านอยู่ ยิ่งช่วงนี้ผมจัดการออกแบบเพื่อที่จะตกแต่งภายในร้านใหม่เลยยิ่งยุ่งเข้าไปใหญ่

       ผมสั่งกาแฟหนึ่งแก้วขณะที่รอมัน อินทร์ยังไม่อ่านไลน์ที่ผมส่งไปเพื่อบอกว่าธุระของผมเสร็จแล้ว ผมเล่นเน็ตไปเพลินๆ เบื่อหน่อยก็หยิบหนังสือของตัวเองมาเปิดดู

       เวลาผ่านไปพักหนึ่งเห็นจะได้ผมถึงรู้ตัวว่ามีคนเลื่อนเก้าอี้ตัวตรงข้าม กชอินทร์หน้ามุ่ยมองผมเล็กน้อย

       “เป็นอะไร”

       “ตีกับหัวหน้านิดหน่อย” มันปัดมือไปมา “ช่างมันเถอะ”

       “ติดรถกลับด้วยนะ”

       “อื้อ” อีกฝ่ายพยักหน้า “ขอนั่งแป๊บได้ไหม”

       “เชิญเลย” ผมไม่เคยคิดจะห้ามอะไรมันอยู่แล้ว

       กชอินทร์สีหน้าดูไม่สบอารมณ์นัก มันมีปัญหากับการทำงานบ่อยแต่ผมก็เห็นว่ามันยังทุ่มเทกับงานดีอยู่ กชอินทร์เอื้อมมือมาจับหนังสือในมือผมไปอย่างถือวิสาสะ มันเอ่ยปากถามนิดหน่อยเรื่องการทำงานของพริมาแต่ก็ดูเหมือนไม่ใส่ใจอะไรมาก

       “พริมเป็นยังไง มันดุไหม”

       “ก็ดุอยู่” ผมตอบไปตามจริง

       มันส่งเสียงตอบรับในลำคอขณะที่มือเลื่อนไปกรีดแต่ละหน้าของหนังสือ “สุดท้ายก็ได้แค่พิสูจน์อักษรกับจัดหน้านิดเดียวเอง” ไม่วายบ่นเล็กน้อย

       ตอนแรกหนังสือรวมบทความของผมที่พริมาเอามาให้วันนี้จะเป็นผลงานของกชอินทร์ทั้งหมดแต่สุดท้ายแล้วมันก็ได้ทำหน้าที่เพียงการพิสูจน์อักษรและประสานงานเล็กน้อยเท่านั้น ผมไม่นึกแปลกใจเท่าไหร่ เดิมทีอินทร์ก็ไม่ใช่คนทำหน้าที่บรรณาธิการตรงๆ อยู่แล้ว ปล่อยให้คนที่เป็นบรรณาธิการอย่างพริมาเขาทำดีกว่า

       พวกเรานั่งอยู่พักหนึ่งก่อนที่อินทร์จะอารมณ์ดีขึ้น ตอนแรกเรานั่งคุยกันว่าจะไปกินอาหารที่ห้างใกล้ๆ นี้หรือจะกลับไปกินที่บ้านของผม อินทร์อยากกลับบ้านส่วนผมขี้เกียจไปทำอาหาร แต่สุดท้ายแล้วก็เป็นผมอีกนั่นแหละที่ยอมมัน

       พูดจริงๆ คือผมก็เต็มใจจะยอมมันนั่นแหละ...

       มันดึงดันจะเป็นคนขับรถทั้งที่ผมบอกว่าผมจะขับให้ก็ได้ อินทร์ขับรถได้น่ากลัวไม่ใช่น้อย นิสัยเสียของมันคือชอบเหยียบคันเร่งตอนไฟจารจรเป็นสีเหลือง ผมปรามกี่รอบๆ มันก็ไม่ฟังเพราะฉะนั้นผมเลยพยายามเป็นคนขับและให้มันนั่งเฉยๆ ให้บ่อยที่สุดไม่งั้นเราอาจจะตายกันได้สักวัน

       “ให้คุณจีระทำให้กินได้ไหม” ผมเอ่ยปากถามตอนที่รถจอดหน้าบ้านผมแล้ว

       “อื้อ” มันพยักหน้า

       “กินที่ร้านหรือที่บ้าน”

       “ร้านแล้วกัน มีแอร์ด้วย”

       ผมพยักหน้า บอกให้มันเอาของไปวางในบ้านก่อนก็ได้ อินทร์ไม่ต้องเอากุญแจบ้านจากผมเพราะผมให้มันไว้แล้วชุดหนึ่ง ส่วนผมก็เดินเข้าไปในร้าน ลูกค้ามีไม่มาก ผมเข้าไปในครัวสั่งคุณจีระไว้เลย ยังดีที่ตอนนี้ว่างพอที่เขาจะทำให้พวกเราทันที ตัวผมไม่อยากกินอะไรหนักๆ แต่กชอินทร์คงไม่ใช่ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมมันถึงกินข้าวเย็นเยอะแต่กลับไม่อ้วนเท่าไหร่เลย

       “คุณอินทร์มาหรือเฮียเราถึงหน้าบานขนาดนี้” ลูกจ้างคนเดียวที่เหลืออยู่ทำหน้าล้อเลียน

       “ไปเอาน้ำมาสิ” ผมปัดมือเป็นเชิงไล่

       ไอ้เก้ทำสีหน้าล้อเลียนจนผมอดไม่ได้ที่จะตบหัวเกรียนๆ ของมันไปหนึ่งที ไอ้นี่เป็นอะไร ผมยาวเกินสามเซนติเมตรต้องตัด ก็เข้าใจว่าร้อนแต่อายุมันน่าจะเลยวัยที่ควรจะตัดรองทรงได้แล้วนะ

       ผมเลือกโต๊ะที่ใกล้กับครัวและคนน้อยหน่อย รอไม่นานอินทร์ก็เดินมานั่ง

       “หิว” มันบ่นกระปอดกระแปด

       “เออ เขาทำอยู่”

       “รู้แล้วแค่อยากบ่น”

       ผมอยากจะเอื้อมมือไปผลักหน้าผากมันอยู่หรอกถ้าไม่ติดว่าเห็นสายตาไอ้เก้ที่ล้อเลียนอยู่ มันยืนแถวๆ ครัวซึ่งกชอินทร์หันหลังให้ หลังจากนั้นไม่นานมันก็ถืออาหารที่ผมสั่งให้กชอินทร์มาวางไว้บนโต๊ะ

       “ขอบใจ” มันเอ่ยปาก

       ไอ้เก้ยิ้มเจื่อนๆ ครั้งหนึ่งไอ้เก้คิดว่าอินทร์เป็นคนที่ทำตัวหมาหยอกไก่ได้เหมือนผม มันเลยไม่เย้าแหย่อินทร์แค่เรื่องว่าเป็นแฟนผม เท่านั้นแหละครับ ผมห้ามไม่ให้อินทร์กระทืบไอ้เก้แทบจะไม่ทัน หลังจากนั้นไอ้เก้ก็ไม่กล้าพูดคุยอะไรกับอินทร์อีก มันกล้าเฉพาะตอนอินทร์ไม่อยู่ด้วยเท่านั้น

       พวกเรากินอาหารกันเงียบๆ อินทร์ดูเหมือนจะชอบฝีมือของคุณจีระทั้งๆ ที่มันเป็นคนกินยากแต่พอมากินที่นี่ทีไรดูเจริญอาหารทุกที ซึ่งก็เป็นเรื่องดี ผมเคยอยากจะขุนให้มันอ้วนขึ้นกว่านี้อยู่หรอกแต่ดูเหมือนไร้ผล กลายเป็นผมเองที่ต้องเข้าคอร์สไดเอตเพราะมัน

       ‘เบียร์นี่กินทำไม เสียสุขภาพ อยากตายเร็วเหรอ หมูปิ้งลดๆ หน่อยไม่ได้รึยังไง ชอบคาร์บอนไดออกไซด์รึไงเนี่ย!’

       ยิ่งกว่าแม่เสียอีก... ยอมใจเลย

       หลังจากที่ทานอาหารกันเสร็จผมก็บอกให้ไอ้เก้เอาผลไม้ที่มักจะแช่เย็นไว้มา อินทร์อีกนั่นแหละที่กิน ระหว่างที่เรารอกันอยู่นั่นเองก็มีเสียงเรียกชื่อให้ผมหันไป

       “พี่พีท!”

        ผมหันไปตามเสียงเรียกก่อนที่จะผงะไปเล็กน้อยเมื่อเห็นว่ากานต์โบกมือให้จากทางประตู น้องถืงถุงกระดาษอะไรสักอย่างเดินตรงมาที่ซึ่งผมกับอินทร์นั่งอยู่

       คำสบถดังขึ้นในหัวไม่หยุดเมื่อเห็นว่าอินทร์มองน้องสลับกับผมด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ ตระหนักได้ในตอนนั้นว่าเคยมีประเด็นกันมาก่อนตอนที่ผมเพิ่งกลับมาเจอกับอินทร์แรกๆ ถึงผมจะบอกกานต์แล้วว่าผมมีแฟนแล้ว เราไม่ได้ติดต่ออะไรกันบ่อยๆ เลยไม่มีปัญหาอะไร

       “มาทำอะไรน่ะ” ผมยิ้มเจื่อน

       “เอาของมาฝาก” น้องยิ้ม ยื่นถุงกระดาษในมือให้ผม “พอดีมาแถวๆ นี้เลยเอามาให้เลย สัปดาห์ก่อนไปเที่ยวมา”

       “อ๋อ... ขอบใจมาก” ผมได้แต่กลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอ “มากับใครล่ะ”

       “กับแฟนสิ”

       คำตอบนั้นทำให้ผมร้องออกมาอย่างแปลกใจ “มีแฟนแล้วหรือ”

       “เอ้า ทีพี่พีทยังมีแฟนเลย ทำไมกานต์จะมีบ้างไม่ได้” คำพูดที่ดูเย้าแหย่จากเสียงแหบเสน่ห์นั่นทำให้ผมไปต่อไปถูก รับรู้ถึงอาการผิดปกติของคนที่นั่งตรงกันข้ามอยู่หรอกแต่ผมก็ต้องเอ่ยปากพูดไปตามมารยาท “กินอะไรมารึยัง”

       “กินมาแล้ว เดี๋ยวจะกลับบ้านแล้วเนี่ย”

       ผมพยักหน้า คุยกับน้องอีกสองสามคำก่อนที่น้องจะจากไปแต่โดยดี พอน้องเดินออกไปเท่านั้นแหละ ใบหน้าคนที่นั่งมองหน้ากันอยู่ก็เหยียดยิ้มออกมาทันควัน

       “น้องกานต์เหรอ” มันเอ่ยเสียงเรียบ “ใครกันหรือคุณพีรพัฒน์...”

       ซวยอีกแล้ว!


   
       ผมเกือบลืมแล้วว่าต้องง้อคนเป็นแฟนยังไงตอนโดนงอน มีแฟนคนสุดท้ายน่าจะช่วงเรียนมหา’ ลัย นอกจากนั้นก็เป็นความสัมพันธ์ไม่จริงจังตลอด ถ้าปกติแล้วอินทร์ก็งอนได้น่ารักดีอยู่หรอกแต่พอเป็นเรื่องที่จริงจังเข้าก็เป็นเรื่องน่ากลัวมากกว่า

       ถึงมันจะบอกว่าไม่มีอะไรแล้วก็พอคิดออกว่ายังมีเรื่องขุ่นเคืองใจอยู่ อินทร์กึ่งนั่งกึ่งนอนบนเตียงขณะที่คุยโทรศัพท์กับแม่ของมันอยู่ มืออีกข้างก็ผลักผมที่กำลังเคล้าเคลียมันอยู่ไม่ห่าง

       “ฮะ? พามันไปงั้นหรือ ไม่เอาน่า” คิ้วของอินทร์ขมวดเข้าหากันตอนพูดคำนั้น มันหันมาดุผมด้วยสายตาก่อนที่จะไปสนใจกับโทรศัพท์ใหม่ “แล้วเอ็กซ์ล่ะ... ไม่ดื่มแล้วใช่ไหม อือ... ก็ดีแล้วครับ”

       พอมันเริ่มพูดถึงเรื่องน้องผมก็ยอมอยู่นิ่งๆ ตามที่มันพูด มันคุยกับคนปลายสายอีกพักหนึ่งก่อนที่จะวางสาย หันมามองผมตาขวาง

       “เล่นอะไรไม่รู้เวลา”

       “เปล่าสักหน่อย” ผมมุ่ยหน้า “แล้วเอ็กซ์เป็นไงบ้าง”

       มันยิ้ม ไม่ได้ตอบอะไร ผมคิดไปเองว่ามันคงไม่อยากตอบ สีหน้าเศร้าลงนิดหน่อยแต่ถ้าเทียบกับช่วงเกิดเรื่องแรกๆ มันดีกว่ากันเยอะ

       ผมเลื่อนมือไปสัมผัสปลายผมของมันอย่างแผ่วเบา อินทร์ทิ้งกายลงบนไหล่ของผมบ้าง

       “แม่ชวนให้ไปกินข้าวด้วยวันพรุ่งนี้ ว่างไหม”

       “หือ?” ผมเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ “อะไรนะ”

       “ไปข้างนอกนะ แม่ยังไม่กล้าให้เอ็กซ์เห็นว่ายอมรับมากหรอกถึงน้องมันจะเริ่มเปิดใจหน่อยแล้วก็เถอะ”

       “ก็ดีสิ”

       ผมตอบกลับด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า วางมือตรงหน้ามัน อินทร์เงยหน้ามองผมและหลุดหัวเราะเล็กน้อยแต่ก็ยอมวางมือให้ผมจับกุมแต่โดยดี

       ผมชอบที่เราเป็นแบบนี้ ความเงียบไม่น่าอึดอัดสำหรับเราอีกแล้ว ผมฝังจมูกลงบนศีรษะของมัน กุมมือมันไว้แน่น ไล้ริมฝีปากไปบนพวงแก้มของมันในขณะที่มันพยายามผลักหน้าผม

       “อย่ารุ่มร่ามมากได้ไหมล่ะ”

       “มันเขี้ยว” ผมพูดตามตรงก่อนที่จะกัดเบาๆ บนหลังคอมัน

       “ไอ้พีท!”

       ผมหัวเราะยามเห็นผิวกายมันแดงขึ้นด้วยความโมโหระคนอาย อินทร์เริ่มทำท่าเหมือนอยากจะหนีแต่แขนผมรั้งเอวมันไว้เสียก่อน พอเป็นเช่นนั้นก็กลายเป็นมันทิ้งกายลงบนร่างผม อินทร์สบถด่าเสียงเข้มแต่ผมไม่ยอมปล่อย เข้าข้างตัวเองว่ามันก็ไม่อยากให้ปล่อยหรอก แค่เขินเท่านั้นเอง

       “อินทร์...” ผมกระซิบข้างหูมัน “ย้ายมาอยู่ด้วยกันไหม?”




   -----------------------------------------------------

ยี่สิบตอนพวกนางถึงเพิ่งได้มุ้งมิ้งใส่กัน ชีวิต ถถถถถ
ตอนหน้าจบแล้วค่ะ <3
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 21 (14/06/15) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 14-06-2015 20:15:28
อยากอ่านในส่วนของเอ็กซ์บ้าง
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 21 (14/06/15) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: Malimaru ที่ 15-06-2015 11:42:01
ขอบคุณมากค่ะ...

สนุกมาก ภาษาอ่านลื่น (เราชอบเพลงที่จั่วหัวแต่ละตอน มันสะท้อนเนื้อหาดีจัง)
เราว่าอินทร์เป็นคนมีเสน่ห์จนน่าค้นหาจริงๆน่ะแหละ...แบบเป็นคนแสดงออกแต่น้อยๆ แต่มีอิทธิพลต่อความรู้สึกมาก
ไม่แปลกใจว่าทำไมพีทถึงรักและหักห้ามใจไม่ได้เมื่อทั้งสองกลับมาเจอกันอีกครั้ง 
รอตอนหน้าอย่างใจจดจ่อเลยค่ะ  :a1:
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 21 (14/06/15) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: milkteabeige ที่ 15-06-2015 11:45:07
เหลือแค่เอ็กซ์ด่านเดี่ยวสินะ

เอาใจช่วยต่อไปค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 21 (14/06/15) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 15-06-2015 12:26:43
กว่าจะได้หวานกันก็จะจบแล้วหรือคะ หวานกันเยอะๆหน่อยซิ :mew1:
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 21 (14/06/15) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 15-06-2015 18:37:42
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 21 (14/06/15) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 15-06-2015 22:18:57
จิ้มตูดคนแต่ง  อิอิ
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 21 (14/06/15) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: กฤษณ์ ที่ 16-06-2015 20:49:55
พึ่งจะลงตัวจะจบแล้ว.. แอบใจหายเบาๆ  :ling2:
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 21 (14/06/15) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 16-06-2015 21:31:51
มุ้งมิ้งแล้วก็จบ ตัดฉับ!!!
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 20 (7/06/15) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: NINEWNN ที่ 20-06-2015 21:53:05
(http://upic.me/i/ak/timeticket_.jpg)

CHAPTER 22

“I swore to share your joy and your pain
And I swear it all over again”

(Swear It Again – Westlife)



       “จริงๆ จะใส่เสื้อยืดไปก็ได้” คนตรงหน้าพูดเสียงเรียบ มันมองผมที่กำลังจัดแจงพับแขนเสื้อเชิ้ตก่อนที่จะถอนหายใจออกมายาวเหยียด “มานี่สิพีท” ผมเดาะลิ้น เดินเข้าไปใกล้มันอย่างไม่อิดออด อีกฝ่ายเลื่อนมือมาสัมผัส พับแขนเสื้อให้ผมอย่างแผ่วเบาพลางเอ่ยปากบ่นไปด้วย “ไม่เห็นต้องจริงจังขนาดนี้เลย”

       “จริงจังสิ กินข้าวกับแม่ยาย...”

       พูดไม่ทันจบคนไม่ยอมรับความจริงก็กระทืบลงบนเท้าของผมอย่างแรงแถมยังบิดเท้าไปมาเพื่อบดขยี้ปลายนิ้วของผมจนผมต้องนิ่วหน้า

       “อินทร์! ก็มันเรื่องจริงนี่!”

       มันมองผมตาขวางและเบ้ปาก แสดงท่าทีราวกับรังเกียจผมเสียเต็มประดาแต่ผมกลับคิดว่ามันเขินเสียมากกว่าในเมื่อใบหูมันเริ่มแดงขึ้นอีกแล้ว

       คนน่ารัก...

       ผมอดคิดแบบนั้นไม่ได้ มันโพล่งขึ้นมาว่าผมจะยิ้มอะไรอีกในขณะที่ผมทำได้เพียงหัวเราะตอบกลับไป

       กชอินทร์ทำท่าโมโหกระฟัดกระเฟียด ริมฝีปากเม้มเข้าหากันและขบกันปากล่างเล็กน้อยจนผมต้องเอ่ยปากเตือน “เลิกกัดปากสักที”

       “ยุ่ง”

       “เอ้า เดี๋ยวแม่ก็เข้าใจผิดว่าโดนทำอะไร...”

       “พีรพัฒน์!”
   
       ตอนเย้าแหย่มันก็หัวเราะอารมณ์ดีอยู่หรอกแต่พออีกฝ่ายตะโกนเรียกชื่อจริงผมแถมยังกำหมัดกึ่งชกกึ่งทุบลงมาบนท้องทำให้เสียงหัวเราะผมถึงกับชะงัก เจ็บจริงไม่อิงนิยาย อินทร์มือหนักมากจริงๆ มันพ่นคำผรุสวาทใส่ผมนิดหน่อยก่อนที่จะกระชากเสื้อของตัวเองที่แขวนไว้บนตู้เสื้อผ้าเดินเข้าไปในห้องน้ำ

       “ไปแล้ว เดี๋ยวแม่รอนาน!” เข้าใจหาข้ออ้างหลบเลี่ยงเสียด้วย

       มันปิดประตูเสียเสียงดังจนผมต้องเอ่ยเตือนแต่ไม่มีเสียงใดตอบกลับมา ถึงจะเป็นเช่นนั้นผมก็ได้แต่อมยิ้มขำ ห้ามมุมปากของตัวเองไม่ให้ยกขึ้นไม่ได้เลย ผมเหลือบตามองนาฬิกา เหลือเวลาอีกเกือบสองชั่วโมงกว่าจะถึงเวลาที่แม่ของอินทร์นัดทานข้าวกับพวกเรา ตามที่ตกลงกันไว้คือจะใช้รถอินทร์ขับรถไปรับแม่ของมันที่บ้านก่อนแล้วจึงไปที่ร้านอาหารที่ท่านอยากไป

       อินทร์ใช้เวลาอาบน้ำไม่นาน มันเดินออกมาทั้งที่ผมยังเปียกอยู่เลยด้วยซ้ำ

       “ผมเริ่มยาวแล้วนะ” ผมโพล่งขึ้นในขณะที่มันเอาผ้าขนหนูเช็ดผมตัวเอง อืม... มองไปมองมาก็ดูเซ็กซี่ไม่หยอกเหมือนกัน

       “ยังมีหน้ามาพูดอีก” มันหรี่ตามองผม “เมื่อไหร่จะไปตัดหัวตัวเอง”

       ผมมองปลายผมของตัวเองที่ก้มหน้านิดเดียวก็เห็นได้ชัดเจน “อยากให้ตัดหรือ”

       “มันไม่ร้อนหรือยังไง” มันทำหน้าแสยงเล็กน้อย “ผมยาวรุงรัง มีเหารึเปล่าก็ไม่รู้” ตบท้ายด้วยการหยอกกันแรงๆ

       “ถ้าอยากให้ตัดก็ตัดได้หรอก”

       “ง่ายเชียว” มันเลิกคิ้ว

       ผมยักไหล่ ไม่ได้มีความคิดผูกพันอะไรกับเส้นผมของตัวเองอยู่แล้ว ที่ไว้ผมยาวนี่ก็ใช่ว่าอยากจะเซอร์อะไรแต่ไม่อยากไปตัดผมบ่อยๆ ก็เท่านั้น พอผมเริ่มยาวเข้าก็ถือว่าไว้ยาวไปเลย พอร้อนก็มัดได้ สบายดีเสียด้วย

       พอพูดถึงเรื่องเส้นผมดันนึกความคิดพิลึกพิลันขึ้นมาได้ ผมเลยเอ่ยปากพูดทันที “ตัดให้หน่อยสิอินทร์”

       “ฮะ? จะบ้ารึ!”

       ผมหัวเราะเบาๆ “แค่อยากพูดเฉยๆ” รู้อยู่แล้วแหละว่าคนอย่างกชอินทร์คงตัดผมให้ใครไม่เป็น แค่โกนหนวดให้ตัวเองได้โดยไม่บาดหน้าก็ถือว่าเก่งมากแล้วสำหรับคนอย่างมัน

       ผมนั่งดูทีวีอยู่พักหนึ่งในขณะที่กชอินทร์เอาหัวไปผึ่งพัดลมให้ผมแห้งเร็วขึ้น ผมอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปสัมผัสผมนุ่มของอีกฝ่าย อินทร์เองก็นั่งเงียบๆ ปล่อยให้ผมเล่นเส้นผมของมันไป น่าแปลกจริงๆ ที่มันใช้ทั้งสบู่ทั้งแชมพูกลิ่นเดียวกันกับผมแต่กลับรู้สึกว่าทั้งร่างของมันหอมไปหมด

       หลังจากผมอินทร์แห้งแล้วพวกเราก็เตรียมตัวออกจากบ้านกัน มันเอาจมูกมาดมฟุดฟิดแถวปกเสื้อของผมเล็กน้อย

       “ยังมีกลิ่นบุหรี่อยู่หรือ”

       “อื้อ” อีกฝ่ายพยักหน้าจมูกย่นราวกับไม่พอใจ “คงติดเสื้อ ฉีดน้ำหอมไปดีกว่าไหม แม่ไม่ชอบเสียด้วย”

       ผมถอนหายใจ บอกมันไปตามจริงว่าผมไม่มีน้ำหอมติดบ้านมันเลยทำสีหน้าไม่พอใจเท่าไหร่

       “หัดซื้อไว้บ้างนะ เดี๋ยวไปเอาอันสำรองในรถแล้วกัน”

       ผมได้แต่พยักหน้าแม้ในใจจะคิดว่าสิ่งนั้นไม่สำคัญเท่าไหร่แล้วก็ตาม ตัวผมไม่ใช่คนเข้าสังคมอะไรมากเลยไม่คิดว่าสิ่งพวกนี้เป็นของจำเป็นผิดกับกชอินทร์ที่ทำงานเข้าสังคมกับคนอื่นๆ เยอะ ส่วนเรื่องกลิ่นบุหรี่ ตัวผมเองก็พยายามจะลดอยู่ ก็พ่อคุณนั่นแหละที่สั่งมา พยายามพาผมให้เข้าคอร์สรักสุขภาพอย่างเต็มที่ ยังดีที่มันไม่ใช้วิธีหักดิบแต่ใช้วิธีค่อยๆ ให้ลดลงและหาวิธีให้ผมปากไม่ว่างบ่อยๆ แทน

       หมากฝรั่งน่ะ... อย่าคิดว่าคนอย่างกชอินทร์จะทำให้ผมปากไม่ว่างด้วยปากของมัน (แต่ถ้าเป็นกรณีที่เราเถียงกันก็ไม่แน่)

       เพลงของวง Nickelback ที่มันชอบนักชอบหนาถูกเปิดวนซ้ำไปมา ผมคิดว่าอินทร์น่าจะมีเพลงอยู่เพลย์ลิสต์เดียวแต่ก็ไม่ได้บ่นอะไรเพราะตัวผมเองก็ไม่ได้เบื่อเพลงเช่นนี้เสียด้วย ยิ่งมันเอ่ยปากพูดคำพูดที่ชวนคลี่ยิ้มออกมายิ่งทำให้รู้สึกดี

       “วันหลังก็เอาเพลงที่ชอบมาเปิดบ้างก็ได้”

       กชอินทร์ควรเลิกทำตัวน่ารักพร่ำเพื่อได้แล้ว... จริงๆ นะ



       พอถึงบ้านของอินทร์พวกเราก็ต้องเจอกับความแปลกใจที่ตามมาด้วยความกังวลใจเล็กน้อย

       “เอ็กซ์ไปด้วยนะลูก”

       ตัวผมเป็นคนหนึ่งที่ไม่ได้เตรียมใจมาก่อน ผมไม่ได้เจอหน้าเอ็กซ์ตั้งแต่มาบ้านอินทร์เมื่อครั้งนั้น ร่างที่สูงกว่าผมดูผอมลงไปหน่อย ไม่ว่าสาเหตุใดก็ตาม เขามองผมด้วยแววตาไม่เป็นมิตรเท่าไหร่นักแต่ก็ยังอ่อนลงกว่าแต่ก่อน

       อินทร์ช็อกไปแล้วที่แม่ของมันพูดออกมาแบบนั้น ผมคิดว่ามันเองก็คงไม่ได้เตรียมใจมาก่อนเช่นกัน

       ผมลุกให้ท่านนั่งข้างหน้าข้างๆ อินทร์ ส่วนตัวเองก็ระเห็จไปนั่งข้างหลัง กลายเป็นว่าตอนนี้ผมต้องนั่งข้างหลังกับน้องสองคน ผมเองก็รู้สึกอึดอัดแต่ไม่ได้ถึงกับลำบากอะไรนัก เอ็กซ์เอาแต่มองนอกหน้าต่างในขณะที่อินทร์สบตากับผมผ่านกระจกส่งท้ายบ่อยครั้ง ผมได้แต่ยิ้มให้มันเพราะกลัวว่ามันจะกังวลใจอะไรอีก

       ไม่นานนักก็มาถึงร้าน ดูเหมือนจะเป็นร้านโปรดของแม่กชอินทร์ ที่ผมคิดแบบนั้นเพราะมีพนักงานมาต้อนรับท่านด้วยความสนิทสนมแถมพวกเขายังมองผมด้วยสีหน้าแปลกใจ ทั้งนี้ เรายังได้ห้องส่วนตัวทั้งที่ไม่ได้จองไว้อีกต่างหาก

       “ไม่ต้องเกร็งก็ได้ลูก”

       คุณแม่ของอินทร์เอ่ยแบบนั้นพร้อมกับส่งรอยยิ้มพิมพ์ใจมาให้ตอนที่เรานั่งตรงกันข้ามกัน ส่วนลูกชายของหล่อนก็นั่งหันหน้าเข้าหากันเช่นกัน

       คุณแม่พูดง่ายเหลือเกินครับ...

       ถึงจะเคยเจอหน้าคร่าตากับสตรีผู้นี้มาบ้างตอนที่เรายังสนิทกันช่วงมัธยมแต่ผมไม่ใช่คนที่มีทักษะในการเข้าหาผู้ใหญ่ ไม่ว่าจะตอนนั้นหรือตอนนี้ผมเองก็ทำได้แค่ยิ้มๆ กลับ ตอบกลับเท่าที่ตอบได้แต่ไม่กล้าชวนท่านคุยนัก ดูเหมือนแม่ของอินทร์จะรู้ดีว่าผมเกร็งเลยเป็นฝ่ายพยายามชวนให้ผมคุยด้วยเอง บ้างก็หันไปถามลูกชายของท่านสองคนที่ดูจะเงียบเป็นพิเศษ โดยเฉพาะลูกชายคนเล็ก

       เอ็กซ์ไม่พูดอะไรมาก ไม่ได้จ้องหน้าผมกับกชอินทร์ตาเขียวปั๊ดแบบที่เคยทำเมื่อก่อนหน้านี้แต่เลือกที่จะหลบตาเสียมากกว่า ผมเองก็ทำอะไรไม่ได้เสียด้วย

       อินทร์ดูดีขึ้นหน่อย อย่างน้อยก็ชวนน้องคุยบ้างแม้จะไม่ได้รับคำตอบที่ดีกลับมาเท่าไหร่ก็ตาม ถึงจะเป็นการถามคำตอบคำแต่ก็ไม่ใช่การประชดประชัน อย่างน้อยก็เห็นได้ชัดว่ามันดีขึ้น

       แม่ของอินทร์ไม่ได้เอ่ยปากถามเรื่องผมกับอินทร์เมื่อครั้นเรายังเป็นเด็กมัธยม ไม่ได้ไต่สวนว่าผมกับมันมาเจอกันได้อย่างไร ท่านถามผมอย่างไม่ละลาบละล้วงทั้งในเรื่องครอบครัว การศึกษาและอาชีพ รวมถึงกิจการที่ประกอบการอยู่ ก่อนที่จะวกมาเป็นเรื่องงานเขียน

       “บังเอิญเหลือเกินที่มาเป็นนักเขียนในเครือนี้ นี่ก็สำนักพิมพ์ของแม่หนูพิมพ์เขานั่นแหละ”

       นี่ก็ข้อมูลใหม่ เป็นความจริงอีกเรื่องที่เพิ่งรู้ ผมคลับคล้ายคลับคลาเรื่องที่พริมาเคยบอกว่าตนเองมีเส้น ไม่คิดว่าจะเป็นถึงกับลูกสาวสำนักพิมพ์

       “สมัยก่อนก็อยากให้อินทร์เขาดองกับหนูพริมเหมือนกัน” คำพูดต่อมาของท่านทำให้ผมเผลอนั่งหลังตรงขึ้นมาโดยอัตโนมัติแต่ท่านกลับหัวเราะเบาๆ และยกยิ้มให้อย่างอ่อนโยน “แต่ดูเหมือนจะไม่สนใจอะไรกันเลยนะ หนูพริมออกจะเรียบร้อยอ่อนหวานแท้ๆ”

       “แม่...”

       เสียงปรามดังขึ้นจากลูกชายแต่มันทำให้แปลกใจนิดหน่อยเมื่อคนเอ่ยเตือนคือลูกชายคนเล็ก

       “เอ้า จริงจังเชียว เรื่องตลกน่ะ” ท่านหันไปหาเอ็กซ์ ก่อนที่จะหันกลับมาหาผม “อย่าถือสาเลยนะจ๊ะ”

       ผมได้แต่หัวเราะแห้งๆ “ครับ”

       ที่หัวเราะแห้งๆ นี่ไม่ใช่ว่ากลัวอะไรหรอกครับ ท่านบอกว่ายอมรับผมแล้วผมก็คิดว่าท่านไม่ใช่ผู้ใหญ่ประเภทกลืนน้ำลายตัวเอง ถึงยอมรับไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์แต่คงไม่ต่อต้านเรื่องของเรา ที่ตกใจคือการที่ท่านพูดว่าพริมาเป็นผู้หญิงเรียบร้อยอ่อนหวานต่างหาก

       ถ้าเห็นตอนเธอขังผมไว้ในห้องนรกนั่นคงเปลี่ยนคำพูดเป็นแน่แท้...

       มื้ออาหารนี้เป็นไปอย่างเรียบง่าย อย่างน้อยๆ ก็ทำให้ผมโล่งใจมากขึ้นเมื่อเห็นว่าความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องไม่ได้แย่ไปกว่าเดิม ซ้ำยังดูจะดีขึ้นมากเสียด้วยซ้ำ อาจจะกลับไปเป็นอย่างเดิมก่อนเกิดเรื่องไม่ได้แต่มันคงจะดีขึ้นเรื่อยๆ อีกไม่กี่ปีข้างหน้าเอ็กซ์อาจจะยอมรับมันได้เลยก็ได้

       “อ๊ะ จริงสิ อินทร์” คุณนายเอ่ยปากขึ้น “เรื่องคอนโดจะเอายังไงล่ะ ใกล้หมดสัญญาเช่าแล้วไม่ใช่หรือ”

       “ครับ เดือนหน้านี้” ลูกชายคนโตเอ่ยปากตอบไป

       “จะเอายังไงล่ะลูก ต่อสัญญาเลยหรือเปล่า”

       กชอินทร์เงียบไปเสียหน่อย มันตักผลไม้เป็นคำสุดท้ายก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมา “คงไม่ต่อหรอกครับ”

       สีหน้าของท่านดูงุนงงไม่แพ้กันกับเอ็กซ์ มีเพียงผมคนเดียวที่รู้คำตอบดีอยู่แล้วเพราะคำถามที่ผมเอ่ยถามมันเมื่อคืนนี้หลังจากมันคุยกับแม่เสร็จ

   

       ‘ย้ายมาอยู่ด้วยกันไหม?’

       หน้าของกชอินทร์ดูแปลกใจตอนผมพูดไปแบบนั้น มันลังเลออกมาอย่างเห็นได้ชัด ริมฝีปากบดเข้าหากันราวกับกำลังหาคำตอบให้ตัวเอง

       อินทร์เคยเปรยให้ผมฟังเรื่องสัญญาเช่าคอนโดที่จะหมดลงในอีกไม่นาน ผมนึกแปลกใจตัวเองเหมือนกันที่เอ่ยปากถามอะไรแบบนี้โดยไม่คิดอะไรให้รอบคอบแต่ผมคิดว่ามันคงจะเป็นเรื่องดีถ้าหากเราย้ายมาอยู่ด้วยกัน ถ้าผมได้เจอมันเป็นคนแรกตอนตื่นนอนและกอดมันไว้ในอ้อมแขนตอนก่อนนอนมันอาจจะชดเชยระยะเวลาสิบปีที่ห่างไปของเราได้ เพราะฉะนั้นผมเลยหวังลึกๆ ว่าเราจะได้อยู่ด้วยกัน

       สุดท้ายอินทร์ก็ส่ายหน้าออกมา ‘ไม่ล่ะ’

       ผมไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่มันตอบมาแบบนั้น...แต่ก็ยอมรับว่าผิดหวังเล็กน้อย

       อินทร์กำมือของผมที่กุมมือของมันไว้แน่น ทิ้งกายลงบนกายของผมและระบายยิ้มน้อยๆ ออดอ้อนอย่างเอาใจทั้งที่รู้ว่าผมโกรธมันไม่ลง

       ‘แล้วจะเอายังไงต่อล่ะ?’ ผมเอ่ยปากถาม ‘จะอยู่ที่นั่นต่อหรือ’

       มันส่ายหน้าอีกจนผมต้องขมวดคิ้วมุ่น

       ‘อยากกลับไปอยู่กับที่บ้านน่ะ’


   
       “ผมว่าจะย้ายกลับไปอยู่ที่บ้านครับ”

       ดูเหมือนคนที่ฟังจะแปลกใจ ผมได้แต่คลี่ยิ้มน้อยๆ ไม่คิดจะห้ามอะไรมัน กลับเห็นด้วยเสียอีกถ้าหากมันจะทำแบบที่มันต้องการแม้ว่ามันอาจจะทำให้เราได้เจอกันยากขึ้นก็ตามที

       ผมเห็นแม่ของอินทร์พยักหน้า แววตาคลอด้วยน้ำตาแต่ไม่พูดอะไร ก่อนที่จะเหลือบสายตาไปทางลูกชายอีกคนของบ้านนั้น เขามีสีหน้าเรียบเฉยเพียงแต่เลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนที่จะขมวดมันเข้าหากันใหม่ แต่ก็ถอนหายใจ

       “ได้ไหมเอ็กซ์?” กชอินทร์ไม่วายเอ่ยปากถามน้องชาย   

       “มีสิทธิ์อะไรจะห้ามด้วยหรือ” อีกฝ่ายตอบกลับเสียงห้วน เบือนหน้าหนี “ยังไงก็บ้านอินทร์นี่”

       ผมได้แต่ยิ้มยามกชอินทร์หันมามองผมเล็กน้อย แววตาสั่นระริกเหมือนกับดีใจ มือผมเอื้อมไปสัมผัสกับมือมันเบาๆ ระดับต่ำกว่าโต๊ะเพื่อไม่ให้ทั้งสองที่นั่งอยู่อีกฝั่งเห็น

       เรื่องราวกำลังดีขึ้นเรื่อยๆ ตามที่พวกเราหวังให้เป็นหลังจากมันบูดเบี้ยวมานาน



       หลังจากจบมื้ออาหารลงผมตัดสินใจจะนั่งรถแท็กซี่กลับ ปล่อยให้อินทร์กับครอบครัวกลับไปใช้เวลาที่แสนสุขที่บ้านมันให้เต็มที่ ตอนแรกแม่ของอินทร์ชวนให้ผมไปที่บ้านด้วยแต่ผมเกรงว่าจะไม่ดี ผมยังกลัวว่าเอ็กซ์จะยังรู้สึกไม่ดีอยู่เลยคิดว่าทุกอย่างควรเป็นไปตามลำดับขั้นตอน

       ผมตั้งใจจะอยู่รอจนพวกท่านออกไปก่อนแล้วค่อยเรียกแท็กซี่กลับบ้าน อินทร์เดินไปขับรถมาวนรับแม่กับเอ็กซ์ กลายเป็นมีผมอยู่กับครอบครัวมันสองคน

       “งั้นเดี๋ยววันนี้แม่ไปก่อนนะจ๊ะ” ท่านเอ่ยปากออกมาเช่นนั้น “โชคดีนะลูก”

       “ครับ” ผมยกมือไหว้

       “ดูแลกันดีๆ นะ”

       เป็นคำพูดที่ดีที่สุดเท่าที่ผมเคยได้ยิน ไม่ได้หมายความว่าก่อนหน้านี้มันไม่ดีแต่สิ่งนี้มันดีที่สุดจริงๆ ผมเผลอเม้มปากแน่นเมื่อความสุขล้นอกจนแทบจะปริออกมาที่ดวงตา

       เอ็กซ์มองผมเล็กน้อย ไม่ได้ว่าอะไรมากแค่เตือนแม่ตัวเองว่ารถของอินทร์มาแล้ว แต่ถึงกระนั้นก่อนจะขึ้นรถไปเขาก็ยังยกมือไหว้ผม นั่นเป็นเหตุการณ์ที่ผมไม่คาดคิดมาก่อน กว่าจะตั้งสติได้รถก็ออกตัวไปเสียแล้ว

       ผมกะพริบตาอย่างงุนงงว่าก่อนหน้านี้ไม่ได้ฝันไปใช่หรือไม่ ก่อนที่จะหัวเราะออกมาเบาๆ เดินออกไปจากร้านอาหาร

       บาดแผลไม่ได้หายไปในทันที...แต่มันกำลังถูกเยียวยาให้กลับไปในทางที่มันควรจะเป็น
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 20 (7/06/15) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: NINEWNN ที่ 20-06-2015 21:56:36
(http://upic.me/i/ak/timeticket_.jpg)

EPILOGUE



     ผมกำลังนั่งมองกชอินทร์

       เหตุใดสายตาถึงไม่รักดีไปจับจ้องมันเรื่อยไปยามที่มันเข้ามาในวิสัยทัศน์ คนใจร้ายอย่างมันที่เคยบอกว่าเราไม่มีอะไรต้องคุยกันเพราะว่าขี้เกียจคุย ทั้งที่เป็นเช่นนั้นแต่ผมกลับไม่เคยขี้เกียจจะสนใจมันเลยแม้แต่น้อย

       ความรู้สึกปวดร้าวมันไม่เคยหายไปกับสายลม มันยังอยู่ทุกครั้งที่ผมเห็นหน้ามัน ผมบอกตัวเองหลายครั้งมากว่าเลิกสนใจมันได้แล้วแต่ทุกครั้งที่เห็นหน้ามันความพยายามของผมเหมือนถูกตั้งค่าให้กลับเป็นศูนย์ทุกครั้งร่ำไป พอไม่ได้เจอหน้ามันก็ตั้งปณิธานแบบนั้นใหม่แต่ดูเหมือนมันไม่เคยได้ผลเลย

       เส้นผมของมันยาวขึ้น ไม่รู้เพราะแบบนั้นหรือเปล่าใบหน้าของมันเลยดูตอบลง แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่ ผมคิดว่าคนอย่างมันน่าจะเครียดกับการสอบเข้ามหา’ ลัยเสียมากกว่า คนอย่างมันก็เครียดไปกับทุกเรื่องนั่นแหละ

       จู่ๆ กชอินทร์ก็เงยหน้าขึ้นจากหนังสือตรงหน้า...และเราสบตากัน

       ผมบอกตัวเองว่าไม่ใช่ ผมมันคิดไปเอง ทั้งผมทั้งมันต่างเบือนหน้าหนีทั้งที่เราสบตากันระหว่างช่องว่างของผู้คนที่นั่งขนัดแน่นในห้องสมุดช่วงเตรียมสอบ ผมก้มลงให้ความสนใจกับหนังสือทฤษฎีเรื่องสถาปัตยกรรมบนโต๊ะใหม่อีกครั้ง ส่วนมันก็ทำเช่นเดียวกัน

       หลังจากนั้นมีหลายครั้งหลายคราที่ผมเงยหน้าขึ้นแล้วเห็นว่ามันจ้องอยู่ หรือจะเป็นจังหวะที่ผมเผลอจับจ้องไปที่มันแล้วมันเงยหน้าขึ้น เราสบตากันอีกราวสิบหรือยี่สิบครั้งหลังจากสบตากันครั้งแรกในเวลาชั่วโมงเศษ

       ผู้คนเริ่มบางตาลง ห้องสมุดของโรงเรียนแทบไม่เหลือใครนอกจากเด็กมัธยมศึกษาปีที่หกที่จับกันเป็นกลุ่มๆ ผมเหลือบมองนาฬิกาตอนอ่านหนังสือจบบทและพบว่าอีกไม่นานก็เป็นเวลาที่ผมควรจะกลับบ้านเพราะไม่อย่างนั้นรถจะติดไปมากกว่านี้

       ผมเม้มปากแน่น เหลือบตามองกชอินทร์ที่นั่งอยู่บนโต๊ะถัดไปก่อนที่จะถอนลมหายใจยาว ตั้งคำถามกับตนเองว่าเมื่อไหร่กันที่คนที่สนิทกันมาก คนที่เคยกอด สัมผัส จูบกลายเป็นคนที่ห่างเหินจนอึดอัดแม้กระทั่งเห็นมันในสายตา

       ความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวของผม เดินเข้าไปหามันดีไหมนะ ทำไมความคิดพรรค์นี้จะหลุดเข้ามาทุกครั้งที่ผมเจอหน้ามันทั้งที่ผมไม่เคยทำได้เลย ความขี้ขลาดของผมมีมากเกินไป ผมกลัวว่าตัวเองจะได้ยินคำพูดทำร้ายจิตใจตัวเองจากอีกฝ่ายเลยไม่เคยได้เดินเข้าไปหาตามที่ใจปรารถนาเสียที ผมคิดแบบนี้ทุกครั้งตั้งแต่เราห่างกันใหม่จนกระทั่งตอนนี้ที่เหลือเวลาราวอาทิตย์เศษก่อนที่จะจบชั้นมัธยมปลาย

       แต่สุดท้ายผมก็ไม่ได้เดินเข้าไปทักมัน

       ตอนเดินออกมาจากห้องสมุดผมคิดว่าผมควรจะกลับไปหามัน มีโอกาสอีกไม่มากเท่าไหร่แต่ผมก็ไม่ได้ทำ

       ยิ่งใกล้วันจบเท่าไหร่ผมก็ยิ่งร้อนใจ ใจหนึ่งผมอยากจะเดินเข้าไปหามัน กอดมันให้แน่นที่สุด พูดอะไรก็ได้ที่อยากพูดให้มันได้ยินแต่มันเป็นเรื่องที่จริงที่ว่าผมไม่เคยได้ทำ แม้ว่าเราจะเดินเฉียดกันจนปลายนิ้วของเราสัมผัสกัน ผมก็ไม่เคยเอื้อมมือไปคว้ามันไว้

       ผมปล่อยให้โอกาสผ่านไปครั้งแล้วครั้งเล่า... จนถึงวันที่จบการศึกษา ช่วงเวลาที่คนอื่นๆ ต่างมอบของขวัญ ผมเจอมันครั้งหนึ่ง แต่ผมก็เดินผ่านมันไปเฉยๆ และผมคิดว่านั่นเป็นครั้งสุดท้าย

       ผมบอกตัวเองตอนนั้นว่าถ้ามีโอกาสอีกครั้งผมจะพูดมัน

       แต่พอถึงเวลาที่เราออกจากหอประชุม ผมนั่งรอให้พ่อแม่มารับหลังจากที่พวกท่านไม่ได้ทำแบบนั้นมาตั้งแต่ผมขึ้นชั้นมัธยม ผมมีโอกาสที่จะเห็นอินทร์อีกครั้ง ผมนึกว่าตัวเองเรียกมันแต่ไม่มีเสียงใดหลุดจากปากผม

       เราสบตากันตอนที่ท้องฟ้าเป็นสีน้ำเงินเข้มและแทบไม่มีใครเหลืออยู่ในโรงเรียน

       ผมจำไม่ได้ว่าเรามองตากันนานแค่ไหน มันอาจจะสั้นเพียงสามวินาทีหรือมันอาจจะยาวนานเป็นนาทีเลยก็ได้ ผมบอกตัวเองว่าลุกไปหามันสิ กอดมันไว้สิ ร้องเรียกมันสิ

       แต่ผมไม่ได้ทำเลยสักอย่าง

       และสุดท้ายแล้ว...มันก็เดินจากไป...โดยที่ผมไม่เคยได้เอ่ยเอื้อนคำที่รู้สึกตลอดเวลาที่ผ่านมา

       คำว่า ‘รัก’

   

       ผมสะดุ้งตื่นกลางดึก

       น้อยครั้งนักที่ผมจะลืมตาขึ้นมาแล้วเห็นว่ากชอินทร์กำลังทำหน้ายุ่ง ปลายนิ้วกดบนคีย์บอร์ดซ้ำไปมา ผมคว้านาฬิกาปลุกที่อยู่บนหัวเตียงมาก่อนที่จะถอนหายใจเมื่อพบว่านี่ตีหนึ่งกว่าแล้ว

       “งานยังไม่เสร็จหรือ” ผมเอ่ยถาม เสียงแหบแห้งเล็กน้อย

       อีกฝ่ายส่งเสียงตอบรับในลำคอกลับมาเบาๆ

       ผมดันกายตัวเองให้ลุกขึ้น นิ่งไปชั่วครู่ก่อนที่จะขยี้ศีรษะตัวเองที่ตัดสั้นเมื่อไม่กี่วันก่อนอย่างไม่ชิน เดินเข้าไปหากชอินทร์ที่นั่งทำหน้าเคร่งเครียดอยู่ “ไหวไหม งานหนักหรือเปล่า” ผมถามเสียงอ่อน

       มันพิมพ์ไปอีกนิดหน่อยก่อนที่จะหันกลับมา “ก็นิดหน่อย เดี๋ยวจะนอนแล้ว” สีหน้าของมันดูอิดโรยอย่างเห็นได้ชัด

       ผมเอื้อมมือไปสัมผัสไหล่เปลือยเปล่าของมันอย่างแผ่วเบา บอกกี่ครั้งกี่คราก็ไม่ฟังเรื่องใส่เสื้อนอน พอผมสัมผัสก็บอกว่ารุ่มร่ามแถมยังชอบเป็นหวัดเสียอีก กชอินทร์ช่างดื้อเสียจริง

       มันพิงศีรษะตัวเองลงบนหน้าท้องของผม มือเล็กเอื้อมมาโอบรัดผมให้ผมเข้าหาหลวมๆ

       “ขอโทษที่ทำให้ตื่นนะ”

       “ไม่เป็นไร” ผมตอบกลับ ก้มลงจุมพิตที่หน้าผากของมันอย่างแผ่วเบา “จะนอนเมื่อไหร่”

       “ใกล้แล้ว”

       “รอ”

       “รอทำไม” มันขมวดคิ้ว

       ผมไม่ได้ตอบอะไร ก้มลงกอดจูบมันอย่างรักใคร่อยู่พักหนึ่งก่อนที่จะเดินกลับไปทิ้งกายกึ่งนั่งกึ่งนอนที่เตียงเหมือนเดิม เกือบหลับไปหลายครั้งแต่ไม่กี่นาทีมันก็ยอมปิดโน๊ตบุ๊คและโคมไฟที่โต๊ะทำงาน เดินมาทิ้งกายบนเตียงนอนอย่างอิดโรย

       “มีอะไร” ไม่วายเอ่ยปากถาม “นอนไปเลยก็ได้”

       “...รัก”

       อินทร์นิ่งไปชั่วครู่ก่อนที่จะร้องออกมาอย่างตกใจ มันตีผมเบาๆ ด่าผมว่าผมประสาทแต่มือกลับทำตรงกั้นข้ามโดยการเลื่อนไปสัมผัสที่ต้นคอ รั้งให้ผมก้มลงจุมพิตมันที่ริมฝีปากเบาๆ ไม่ได้รุกเร้าอะไรแต่สัมผัสแผ่วเบาราวกับจะย้ำคำที่เพิ่งพูดไป

       พอผละไปจากกันมันถึงเอ่ยปากถาม “คิดอะไรถึงพูดออกมา”

       “แค่อยากพูด” ผมตอบไปตามจริง

       มันส่งเสียงตอบรับในลำคอ ก้มลงซุกหน้าลงบนกายของผมในขณะที่ผมไล้ปลายนิ้วลงบนศีรษะ ก้มลงจูบที่ขมับมันอีกครา

       สุดท้ายเสียงของมันก็ดังขึ้นอย่างแผ่วเบาแต่ชัดเจนเสียเหลือเกิน “รัก...เหมือนกัน”

       ผมคลี่ยิ้ม สัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายเองก็ยิ้มเหมือนกัน ความรู้สึกอบอุ่นในหัวใจหลังจากห่างหายไปนานกลับมาอีกครั้ง มันทำให้ผมหวนนึกถึงตอนที่เราเป็นเด็ก เจอกันครั้งแรก ใช้เวลาที่มีความสุขโดยไม่เอ่ยเอื้อนคำใดแต่เราเข้าใจกัน ผมไม่ได้บอกว่าช่วงเวลานั้นมันไม่ดี แต่บางครา...มันก็เป็นสิ่งที่อยากได้ยิน

       มีการกระทำที่ดีมันก็ใช่ แต่บางทีคำพูดก็ย้ำให้เราเข้าใจ...ถึงความรักที่เรามีให้กันและกัน



THE END
[/b]
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 20 (7/06/15) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: NINEWNN ที่ 20-06-2015 21:59:27
(http://upic.me/i/ak/timeticket_.jpg)

เปิดเรื่อง : 23.01.2015
ปิดเรื่อง : 20.6.2015
รวมเป็น 5 เดือน 2 วัน


       จบไปอีกเรื่องแล้วค่ะ <3

       แอบใจหายเหมือนกัน แต่อย่างไรก็ตาม... นิยายเรื่อง ‘TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า...’ ก็ได้จบลงอย่างสมบูรณ์แล้ว แม้จะมีหลายคนท้วงว่า เฮ้ย แก เขาหน่วงมาทั้งเรื่อง หวานมากกว่านี้ไม่ได้หรือ คำตอบคือนี่มันก็ยาวกว่าที่ตั้งไว้ตั้งแต่ต้นแล้วค่ะ เดิมทีว่าจะเขียนเป็นเรื่องสั้นแท้ๆ แต่ไปๆ มาๆ เขียนสนุก ร่างตอนแรกมีสิบสองตอน แก้ครั้งที่สองกลายเป็นสิบห้า แก้ครั้งที่สามกลายเป็นยี่สิบ แถมสุดท้ายยังจบลงที่ยี่สิบสองตอนอีกต่างหาก (ฮา)

       แม้จะเป็นเรื่องที่สองแต่ชัดเจนว่าเรื่องนี้แตกต่างจาก SINGLE PAPA ค่อนข้างมากกกกกกกก จากรักคอมเมดี้กลายเป็นนิยายที่นิยามให้ไม่ได้แบบนี้ได้อย่างไร ดราม่ารึเปล่านะ หรือว่าเป็นโรแมนซ์ คนอ่านคนเก่าๆ อาจจะไม่ค่อยชอบเรื่องนี้ แต่ก็ถือว่ามันเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่นิวรู้สึกมีความสุขมากที่ได้แต่ง <3 พยายามบิ้วท์อารมณ์ในการแต่งแต่ละตอนมาก ฟังเพลงซ้ำๆ จนเคยน้ำตาไหลไปพิมพ์ไปก็มี (ที่ตลกกว่านั้นคือคุณแม่เปิดประตูมาแล้วถามอย่างใหญ่โตว่าเป็นอะไร เปล่าค่ะแม่ หนูแค่อินจัด ฮา)

       จุดเริ่มต้นของเรื่องนี้มาจากคำว่า ‘ความเงียบ’... มีคนเคยพูดว่าความเงียบน่าอึดอัดเสมอเมื่อมีคนอยากจะพูด ใช่ มันเป็นเรื่องจริง บางทีเราอยากจะพูดอะไรหลายอย่างกับใครสักคนหนึ่งมากแต่ไม่กล้าพอที่จะเปล่งเสียออกไป ไม่กล้าที่จะตั้งคำถาม ไม่กล้าที่จะคาดคั้นหาคำตอบ ความผิดเขาหรือ...ก็ไม่ใช่หรอก มันเป็นความผิดของเราเองที่กล้าไม่พอ…แล้วก็มาตั้งเศร้าเสียใจทีหลังว่าทำไมตอนนั้นไม่ทำแบบนั้น ทำไมไม่ทำแบบนี้...แล้ว ‘ตอนนี้’ แก้ไขอะไรได้ไหม?

       ก็ใช่ไง...ทำอะไรไม่ได้แล้ว

       ตัวแทนของพีรพัฒน์คือความลังเล ส่วนกชอินทร์เป็นความยึดติด การดำเนินเรื่องผ่านพระเอกไม่ใช่เรื่องง่ายโดยเฉพาะพระเอกที่มันไม่เคยรู้อะไรเลยแบบพีท แต่สิ่งหนึ่งที่มีความสุขมากที่ได้เขียนคือความอึดอัดที่พีทได้รู้สึก ทั้งอึดอัดทั้งสับสน ถ้าคนอ่านเคยรู้สึกแบบพีทก็น่าจะทำให้อินได้มากขึ้น หรือถ้าไม่เคย และเป็นคนที่ทำให้อีกฝ่ายอึดอัดอยู่ ได้โปรด พูดมันออกมาเถอะค่ะ บอกสาเหตุแล้วเดินจากไปก็ได้...อย่าเดินจากไปเฉยๆ เลย คนที่ยืนอยู่ที่เดิมมันทำอะไรไม่ถูก จะเดินไปจากตรงนี้ก็ไม่ได้

       ส่วนตอนจบ เรื่องของเอ็กซ์ ทำไมมันเคลียร์กว่านี้ไม่ได้ อย่าที่บอกว่ามันเป็นเรื่องราวที่เล่าผ่าน ‘พีรพัฒน์’ และมันเป็นเรื่องจริงที่ว่า บางสิ่งต่อให้เข้าใจ พยายามเปิดใจยอมรับ แต่ไม่สามารถปล่อยผ่านมันไปได้ในทันที มันต้องใช้เวลากว่าบาดแผลจะจางหายไป...ถึงมันจะจางแค่ไหนมันก็น่าจะมีร่องรอยเหลืออยู่ แม้ว่าตอนนั้นเราจะไม่เจ็บเวลาสัมผัสมันแล้วก็ตาม

       แล้วก็... ถ้านิยายเรื่องนี้มีข่าวดีจะมาแจ้งให้ทราบ หวังว่าจะอยู่รอฟังกันนะคะ

       สุดท้ายนี้... ขอขอบคุณพื้นที่ในเว็บเด็กดีและเล้าเป็ด ขอบคุณทุกคนที่กดเข้ามาเพิ่มยอดวิว ทุกความคิดเห็น ทุกคำวิจารณ์ ทุกคนที่เข้ามาอ่านเรื่องนี้และอ่านจนถึงประโยคสุดท้ายนี้ ต้องขอขอบคุณมากจริงๆ นะคะ

       ขอบคุณความรักครั้งหนึ่งที่สอนให้รู้จักกับความขี้ขลาดและความหวาดกลัว ทั้งรอยยิ้มและน้ำตา ขอบคุณประโยคที่ว่า ‘ขี้เกียจคุย’ ฉันหวังว่าเธอจะมีความสุข ไม่เครียดกับทุกเรื่องแบบนี้ ขอให้เธอโชคดี ส่วนฉันก็หวังว่าตัวเองจะฝังทุกความรู้สึกที่มีให้แกมาตลอดห้าปีเต็มไว้กับตัวอักษร 247,053 อักขระแทนคำที่ไม่มีโอกาสได้พูดให้ฟัง

เอ็นเอ็น
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 22 + บทส่งท้าย (20/06/15) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 20-06-2015 22:16:49
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 22 + บทส่งท้าย (20/06/15) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: zombi ที่ 20-06-2015 23:10:29
ในที่สุดก็ได้บอกรักกัน

จบกับความรู้สึกที่อยากจะพูดแต่พูดไม่ได้ อยากจะถามแต่ไม่ถามเสียที
เริ่มสร้างความรู้สึกดีๆด้วยกัน ขอให้ครอบครัวอบอุ่นเร็วๆนะ
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 22 + บทส่งท้าย (20/06/15) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: milkteabeige ที่ 21-06-2015 01:07:30
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ดีค่ะ ไม่ดราม่าแต่หน่วง อย่างที่คุณนักเขียนบอก เพราะเราอ่านทุกอย่างจากความคิดของพีท คนที่ไม่เคยรู้อะไรเลย คิดได้แต่ไม่มีความกล้า และมาเสียดายทีหลัง ในตอนหลังๆ ที่อยู่ๆ พีทก็กล้าขึ้นมานี้ รู้สึกแปลกใจและนับถือที่สลัดความกลัวเพื่อความรัก แต่อย่างว่าค่ะ พีทดันมาคู่กับอินทร์ที่ยึดติดกับสิ่งที่ตัวเองทำผิด อินทร์ไม่ต่างจากพีทนะเราว่า คือรู้ตัวว่าผิด แต่ก็ไม่กล้าแก้ไข ได้แต่อยู่กับความคิดนั้นๆ เพื่อลงโทษตัวเอง เรื่องนี้เราว่าคุณแม่น่ารักสุด ฮาาาา

ความรักมีหลายรูปแบบมากๆ นอกจากทำให้เห็นแล้ว ต้องพูดให้รู้ด้วยเนอะ ชอบบทสรุปของเรื่องค่ะ ทุกอย่างสมบูรณ์แล้ว

ขอบคุณมากๆ เลยค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 22 + บทส่งท้าย (20/06/15) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 21-06-2015 01:19:13
กว่าจะหายใจหายคอคล่องก็จบซะแล้ว คำว่า รัก คงไม่หลุดออกถ้าไม่มีคำว่า จบ ใช่ไหมคะ!!!!! แหม่ กว่าจะบอกรักกันได้แล้วเราได้ยินด้วยนี้ :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 22 + บทส่งท้าย (20/06/15) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: youuue ที่ 21-06-2015 02:54:48
 :pig4: :pig4: :3123: :3123:

ขอบคุรมากขอรับ  ตามติดมาตลอด ลุ้นๆอยู่  o13
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 22 + บทส่งท้าย (20/06/15) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 23-06-2015 16:16:12
เป็นเรื่องที่อ่านด้วยความรู้สึกหน่วงๆตลอดเรื่องแม้จะจบแฮปปี้..
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 22 + บทส่งท้าย (20/06/15) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: Malimaru ที่ 23-06-2015 22:13:20
ขอบคุณคนเขียนที่แต่งเรื่องราวดีๆแบบนี้ออกมานะคะ...
ยิ่งได้อ่านแรงจูงใจของเรื่องแล้วรักเลย ^^ 
ที่สำคัญ...ภาษาสวยงาม ทำให้อ่านเพลินเชียวค่ะ
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 22 + บทส่งท้าย (20/06/15) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: ammchun ที่ 24-06-2015 02:32:55
เป็นอีกครั้งที่ร้องไห้ให้กับความรัก  รักไม่เคยทำร้ายใคร มีเพียงคำพูดและการกระทำเท่านั้นที่ทำร้ายกัน

ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 22 + บทส่งท้าย (20/06/15) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: ka[ze]na ที่ 24-06-2015 23:42:28
รักคนแต่ง..
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 22 + บทส่งท้าย (20/06/15) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: nicedog ที่ 25-06-2015 12:13:27
อ่านรวดเดียวเลยคะ

ดีใจมากที่สุดท้ายก็มีความสุขกัน(อ่านแล้วเหมือนจะร้องไห้เลยคะ)

สนุกมากคะ

ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนนะคะ
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 22 + บทส่งท้าย (20/06/15) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: punchnaja ที่ 25-06-2015 17:11:28
อยากอ่านเรื่องของเอ็กซ์ น้องควรมีความสุขได้แล้ววว น่าสงสารอ่ะ

สนุกมากค่ะ เขียนดีมาก อินสุดๆ555+
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 22 + บทส่งท้าย (20/06/15) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: NINEWNN ที่ 27-06-2015 19:40:25
สวัสดีค่า

มีข่าวดีมาบอกคือนิยายเรื่อง 'TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า...'
ได้ตกลงตีพิมพ์กับสำนักพิมพ์ BLY เครือบงกชแล้วเรียบร้อยค่ะ  :mc4:

ถ้าได้รับรายละเอียดใดๆ เพิ่มเติม ทั้งกำหนดการและหน้าปกจะเอามาแจ้งเรื่อยๆ นะคะ

ขอบคุณสำหรับความรักให้พีรพัฒน์กับกชอินทร์ค่ะ!
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ แจ้งข่าว P.6 (27.06.15) [จบแล้ว]
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 28-06-2015 13:24:01
อ่านรวดเดียวจบ เหมือนยังคาใจนิดๆ
แต่ก็ปล่อยให้เป็นเรื่องอนาคตไปดีกว่า .. นี่หวังตอนพิเศษนะเนี่ย ฮ่าาาา
ขอบคุณนะค๊าาา
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ แจ้งข่าว P.6 (27.06.15) [จบแล้ว]
เริ่มหัวข้อโดย: OrangeryLemon ที่ 29-06-2015 12:51:50

เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่อ่านรวดเดียวตั้งแต่ต้นจนจบภายในไม่กี่ชั่วโมง ..ชอบมาก มันหน่วงแบบละมุนละไม

ขอบคุณนะคะ
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ แจ้งข่าว P.6 (27.06.15) [จบแล้ว]
เริ่มหัวข้อโดย: Raina ที่ 30-06-2015 10:26:31
อื้อหือ อ่านแล้วอึดอัดแทนตัวละคร พอมาเฉลย สงสารน้องเอ็กซ์สุดๆ ถ้าเป็นเรน่า ก็คงคิดเหมือนกันว่าทำไมพี่ชายทำได้ แต่เราทำไม่ได้ ต่างคนต่างมุมมองต่างเหตุผล
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ แจ้งข่าว P.6 (27.06.15) [จบแล้ว]
เริ่มหัวข้อโดย: - lloJ!จิ้a - ที่ 30-06-2015 21:03:37
ชอบค่ะ อ่านแล้วน้ำตาไหลพรากๆ ทำให้นึกย้อนกลับมามองตัวเองเหมือนกัน ถ้าเมื่อก่อนเราทำแบบนี้ ตอนนี้มันจะดีกว่าเดิมมั้ย แค่ถ้าเรากล้าพูดคำสั้นๆให้เขารับรู้ ตอนนี้เราอาจจะไม่ได้แค่แอบมองเขาอยู่ก็ได้

ช่วงนี้งบหมด ไม่มีเงินซื้อรวมเล่ม ขอโทษด้วยนะคะ แหะๆ

รอติตตามเรื่องอื่นๆของคุณเอ็นเอ็น กอด  :man1:
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 6 (18/03/15) Pg. 2
เริ่มหัวข้อโดย: _P2daG ที่ 01-07-2015 21:46:59
อ่านมาหกตอ เรารู้สึกว่าสิ่งอินทร์ทำคือจงใจ จงใจกลับเข้ามาในชีวิตพีท จงใจเข้าไปอยู่ใกล้ๆพีทอีกครั้ง
ถ้ามองตามมุมพีทเล่า เราว่ามันโคตรไม่แฟร์กับพีทเลยค่ะ อยู่ดีๆอินทร์อยากห่างก็ห่าง อยากกลับมาก็กลับมา
เราเลยมองว่าเป็นความตั้งใจของออนทร์เพราะถ้าเหลียดพีทจริงๆอินทร์ต้องทำทุกทางเพื่อไม่ให้กลับมาอยู่ใกล้พีทอีก
แหม่ เราอินเยอะไปมั้ย 555555  :katai1: ไม่ชอบสิ่งที่อินทร์ทำกับพีทในตอนนี้เลย มันแย่ คนมันโดนเมินความรู้สึกมันแย่นะ ;_;
แต่ก็คิดๆไว้แหละว่าคงมีบางอย่างที่พีทเคยทำไว้สมัยยังคงกับอินทร์แล้วทำให้เกิดจุดเปลี่ยน
อาจจะเกี่ยวกับพ่ออินทร์ด้วยรึเปล่า เดาล้วนๆค่ะ 55555555
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 9 (06/04/15) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: _P2daG ที่ 01-07-2015 22:07:49
นั่นไงว่าแล้วววววววววววว อ่านจบตอนนี้ถึงกับตบเข่าฉาดเลยค่ะ!!!!!!!
คิดไว้แล้วว่าต้องเกี่ยวกับพ่ออินทร์ แล้วก็จริงๆด้วย แต่อินทร์ก็ทำไม่ถูกนะ พีทผิดอะไรคะตอบ!!!!
เชอะะะะะะ   :katai4:
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 12 (20/04/15) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: _P2daG ที่ 02-07-2015 10:24:39
ยอมใจอินทร์เขาจริงๆค่ะ =____________=
ถ้าเราเป็นพีทเราคงเหมือนกำลังถูกปั่นอยู่ในเครื่องปั่น
อ่านจบตอนปุ๊บเราได้แต่ถามในใจ เห้ยนายต้องการอะไรวะอินทร์  :katai4:
โถ่พีท มาซบอกให้เราปลอบมา #ผิดๆ  :hao7:

หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ แจ้งข่าว P.6 (27.06.15) [จบแล้ว]
เริ่มหัวข้อโดย: ขนมโก๋ ที่ 02-07-2015 11:05:21
ยังพอมีความหวานอยู่ภายในความหน่วง
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ตอนที่ 20 (7/06/15) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: _P2daG ที่ 02-07-2015 11:25:02
แหม่ เราว่าสิ่งที่พีทเจอดูเบาๆไปเลย คนที่น่าสงสารที่สุดคงจะเป็นเอ็กซ์แล้วล่ะ
อินทร์ก็เอาแต่พูดว่าตัวเองไม่ควรมาเจอเหตุการณ์แบบนี้ในอายุเท่านี้ แต่น้องตัวเองล่ะ จะรับได้แค่ไหน
ทั้งที่ตัวเองยังรับกับสิ่งทีเ่กกิดขึ้นไม่ได้เลยแล้วน้องของตัวเองจะจัดการปัญหาชีวิตยังไง
เอาจริงสิ่งที่อินทร์ทำมันรุนแรงเหมือนกันนะคะเราว่า มันเหมือนทำให้ชีวิตเอ็กซ์พังลงไปครั้งหนึ่ง
ไม่สงสัยเลยที่ทำไมเอ็กซ์ถึงจะรู้สึกว่าทุกสิ่งมันง่ายแบบนี้ แค่ขอโทษ แค่พูดตรงๆ แค่นี้เรื่องก็ง่ายแล้วเหรอ
สงสารในสิ่งที่เอ็กซ์ต้องเจอ T_T
รูั้สึกว่าเมนท์ๆมาเราว่าอินทร์ทุกเมนท์เลย 555555555555 แต่เราไม่ชอบจริงๆนะ
คนที่ผลักภาระและความผิดให้คนอื่น มองเห็นแต่ปัญหาตัวเอง
เขาทำเหมือนมองไม่เห็นคนรอบข้างเลยว่าต้องเผชิญกับอะไรบ้าง งืออออออออ
พอๆๆๆ ก่อนที่เราจะได้ปักธงเป็นแอนตี้แฟนอินทร์ 555555555555
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ แจ้งข่าว P.6 (27.06.15) [จบแล้ว]
เริ่มหัวข้อโดย: ไป๋ไป๋ ที่ 02-07-2015 15:42:06
"แหย๋ดดดดแหม่"


นิยายเรื่องนี้ทำให้เราอุทานในใจแบบนี้หลายรอบมาก  ทั้งหน่วง  ทั้งอึน  มึนๆไปกับพระเอกที่ไม่รู้อะไรสักอย่าง


จนอยากเข้าไปกระชากนายเอกแล้วบอกว่า "อะไรกันนักกันหนาฟ่ะ"


สุดท้ายก็จบได้อย่างสวยงาม ถือว่าเป็นเรื่องที่ชอบมากเรื่องนึงเลยทีเดียว


ขอบคุณผู้แต่งมากเลย  จุดพลุๆๆๆๆ :heaven
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ แจ้งข่าว P.6 (27.06.15) [จบแล้ว]
เริ่มหัวข้อโดย: New_Tai ที่ 02-07-2015 20:09:12
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆแบบนี้นะคร๊าาา  :pig4:
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ แจ้งข่าว P.6 (27.06.15) [จบแล้ว]
เริ่มหัวข้อโดย: Praykanok ที่ 23-07-2015 15:20:01
หน่วงมาทั้งเรื่อง แต่จบแบบค่อยเป็นค่อยไปก็น่ารักดีนะคะ ><
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ปก + แจ้งข่าว P.6 (04.09.15)
เริ่มหัวข้อโดย: NINEWNN ที่ 04-09-2015 19:42:04
(http://upic.me/i/o7/timeticket-01.jpg)

หน้าปกออกแล้วค่ะ  :mc4:
แต่มีข่าวแจ้งเล็กน้อยคือ มีการเปลี่ยนชื่อภาษาไทย
จาก "ย้ำอีกครั้งว่า..." เป็น "อยากให้เรารักกันอีกครั้ง"

กำหนดออกปลายเดือนกันยายนนี้ ราคา 149 บาท
ข้างในมีตอนพิเศษจากมุมมองกชอินทร์

ขอบคุณทุกคนที่ให้การติดตามนิยายเรื่องนี้มาตลอดนะคะ <3
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ปก + แจ้งข่าว P.6 (04.09.15)
เริ่มหัวข้อโดย: กาลณัฐ ที่ 06-09-2015 00:33:32
ไม่เสียแรงที่กดอ่าน ถือเป็นงานเขียนที่ดีอีกเรื่องหนึ่ง
ถ่ายทอดตัวละครออกมาได้ดีมากเลยค่ะ
อ่านแล้วอินตาม ติดตาม

 :กอด1: คนเขียน
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ปก + แจ้งข่าว P.6 (04.09.15)
เริ่มหัวข้อโดย: Quipblur1994 ที่ 25-09-2015 21:29:45
อ่านมาได้สิบตอน บอกได้แค่ว่าโคตรอึดอัด อึดอัด และอึดอัด (แต่ก็ยังจะอ่านต่อไปเหรอมุง5555555)
คือแบบ จริงๆนี่ควรครึ่งทางแล้วมั้ย แต่เหมือนไม่มีอะไรชัดเจนเลยอะ คือมันอ่านแล้วมันอึดอัดไปหมด เข้าใจว่าตัวพล็อตเรื่องวางมาแบบนี้ แต่นี่แบบ โอ้ยยยยย อะไรก๊านนนนน ย้ำคิดย้ำทำมากไปแล้วค่ะ เราว่าเราอ่านแล้วเรามองตัวละครไม่ชัดเจนในความคิดอ่ะ เหมือนภาพมันเบลอๆ คือคาแรคเตอร์พระนายอึดอัดได้นะ แต่นี่เรานึกภาพทั้งสองคนไม่ออก ทั้งเวลาแสดงความรู้สึกหรือทำอะไรก็ตาม มันแบบ เบลอไปหมด เอาตรงๆก็อ่านแล้วหงุดหงิดอ่ะแหละ หรือเพราะนี่อินมาก เลยเป็นงี้5555
เห้อ ก็จะอ่านต่อไปนะ ชอบพล็อต แต่ไม่โอเคตรงการบรรยายความรู้สึกตัวละครกับบรรยากาศเรื่องอ่ะค่ะ
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ปก + แจ้งข่าว P.6 (04.09.15)
เริ่มหัวข้อโดย: Quipblur1994 ที่ 26-09-2015 00:02:14
เห้อ...เศร้า ปวดหัวละเกินค่ะ :z3:
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ปก + แจ้งข่าว P.6 (04.09.15)
เริ่มหัวข้อโดย: jennyha ที่ 25-01-2016 04:18:41
สนุกมากๆๆเลยคะแบบมีปมให้คิดวางเรื่องดีมากๆอะเราชอบสุดๆๆๆ ขอบคุณมากๆเลยนะคะ
มันดีงามอะแอบน้ำตาซึมอะ แต่ก็อ่านแล้วหยุดไม่ได้เลยยย
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ปก + แจ้งข่าว P.6 (04.09.15)
เริ่มหัวข้อโดย: แมลงมีพิษชนิดหนึ่ง ที่ 26-02-2016 12:52:00
อ่านแล้วมันอึดอัดๆยังไงไม่รู้ ดีที่จบแบบแฮปปี้เอ็นดิ้ง  ไม่งั้นจากที่อึดอัดจะกลายเป็นหน่วงแทน

 :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ปก + แจ้งข่าว P.6 (04.09.15)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 21-05-2016 10:49:02
หน่วงแรงมากค่ะ ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ปก + แจ้งข่าว P.6 (04.09.15)
เริ่มหัวข้อโดย: taltal020441 ที่ 22-05-2016 02:25:25
หน่วงจริงจังงง
ว้าววว ดีใจด้วยนะคะ ที่ได้ตีพิมพ์กับสนพ.BLY
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ปก + แจ้งข่าว P.6 (04.09.15)
เริ่มหัวข้อโดย: marisa9397 ที่ 12-06-2016 18:46:16
อ่านรวดเดียวจบอีกแล้ว การที่โดนทิ้งโดยที่ไม่รู้อะไร นี่มันน่าอึดอัด ดีใจที่สามารถกลับมาเข้าใจ และรักกันค่ะ
สุดท้ายนี้ ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆค่ะ
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ปก + แจ้งข่าว P.6 (04.09.15)
เริ่มหัวข้อโดย: KKKwanGGG ที่ 11-12-2016 11:32:59
เฮ้อ ............ กว่าจะรักกันได้ เรื่องนี้เอ็กซ์น่าสงสารที่สุด

ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ปก + แจ้งข่าว P.6 (04.09.15)
เริ่มหัวข้อโดย: Tennyo_Y ที่ 11-12-2016 23:56:58
เป็นนิยายที่เหนื่อยมาก เหนื่อยในการอ่าน ใช้พลังเยอะมาก รู้สึก ทำไมมันเหนื่อยแบบนี้ ตอนจบ แฮปปี้ดี แต่สงสารเอ็กซ์วะ ทำไม อินทร์ได้กลับมาคบกับพีทแบบง่ายดีเนอะ ไม่เห็นยุติธรรมเลย แค่ขอโทษก็จบ ดีจัง สงสารเอ้กซ์ นี่คงอินกับเอ็กซ์มากไปหน่อย เห้อ เห้อ ขอบคุณคะ
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ปก + แจ้งข่าว P.6 (04.09.15)
เริ่มหัวข้อโดย: gayraygirl ที่ 18-12-2016 19:19:28
เป็นเรื่องที่อ่านแล้วอึดอัดมาก มันไม่หน่วงแต่มันอึมครึม เลิกอ่านก็ไม่ได้เพราะอยากรู้เรื่องราวต่อไป ดีนะที่เรามาอ่านตอนจบแล้วเลยอึดอัดรวดเดียว สารภาพเลยว่าถ้าอ่านตอนยังไม่จบอาจมีการเลิกอ่านกลางคัน ขอบคุณมากค่าสำหรับนิยายดีๆ
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ปก + แจ้งข่าว P.6 (04.09.15)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 24-10-2017 18:04:23
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ปก + แจ้งข่าว P.6 (04.09.15)
เริ่มหัวข้อโดย: IamLonelygirl ที่ 15-01-2018 11:34:25
เข้ามาอ่านช้าไปสองปี ตอนแรกอ่านใจคิดไปแล้วว่าจบไม่แฮปปี้ แต่จบแฮปปี้. อินที์ปากแข็งมากกถึงมากกกที่สุดอ่ะ  ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ปก + แจ้งข่าว P.6 (04.09.15)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 15-01-2018 21:21:27
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ปก + แจ้งข่าว P.6 (04.09.15)
เริ่มหัวข้อโดย: TonyPat ที่ 25-01-2018 15:55:00
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ปก + แจ้งข่าว P.6 (04.09.15)
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 25-01-2018 21:00:54
 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ปก + แจ้งข่าว P.6 (04.09.15)
เริ่มหัวข้อโดย: TheGraosiao ที่ 25-01-2018 22:57:20
เพิ่งมีโอกาสเข้ามาอ่าน  ขอบคุณนะคะ

 :mew1:
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ปก + แจ้งข่าว P.6 (04.09.15)
เริ่มหัวข้อโดย: BaGgYsOdA ที่ 08-01-2019 01:35:05
ขอบคุณสำหรับเรื่องดีๆ อีกหนึ่งเรื่องนะครับ พึ่งจะมาเจอเรื่องนี้
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ปก + แจ้งข่าว P.6 (04.09.15)
เริ่มหัวข้อโดย: Natti ที่ 11-01-2019 20:57:06
กลับมาอ่านอีกรอบ ยังบีบหัวใจ ลุ้น และเกือบเสียน้ำตาไปกับหลายๆตอน

หลงรักตัวละครทุกตัวเลยค่ะ

ภาษาอ่านง่าย ลื่นไหน ไม่มีคำผิด  o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ปก + แจ้งข่าว P.6 (04.09.15)
เริ่มหัวข้อโดย: FeRnChOi ที่ 12-01-2019 11:20:00
อ่านตอนแรกๆยอมรับว่าถอดใจจะปิดหลายรอบมาก
ไม่ชอบนิยายแบบหน่วงๆแบบนี้เลย แต่คือคนแต่งเขียนดีมาก
เลยอ่านมาได้จนจบ สนุกมากเลยค่ะ เป็นกำลังใจให้แต่งเรื่องดีๆแบบนี้ออกมาอีกนะคะ ❤️
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ปก + แจ้งข่าว P.6 (04.09.15)
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 17-05-2019 10:13:23
ลุ้นหนักมาก กว่าเขาจะสมหวังในรัก
แต่รักก็ยังอยู่ในกันและกันอย่างยาวนาน
รักแรกและรักสุดท้ายที่แท้ทรู

ขอบคุณคนเขียนนะคะ
หัวข้อ: Re: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ปก + แจ้งข่าว P.6 (04.09.15)
เริ่มหัวข้อโดย: MaidenQueen ที่ 29-08-2020 08:05:49
เป็นเรื่องที่อ่านแล้วยิ่งอยากรู้เหตุผลของอินทร์ เพราะคุณนักเขียนทำให้เราไม่รู้อะไรเลยจากมุมมองพีท ซึ่งทำให้เราไม่รู้อะไรจริง คุณไรท์เก่งมากค่ะ