◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ปก + แจ้งข่าว P.6 (04.09.15)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ปก + แจ้งข่าว P.6 (04.09.15)  (อ่าน 65659 ครั้ง)

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ milkteabeige

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 336
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
นี่กลั้นหายใจอ่านทีละบรรทัดเลยค่ะ
คำว่ากังวลก็แปะหน้าผากเราเหมือนกัน
กลัวเอ็กซ์อ่าาาาส งืออ น้องอะไรดุชะมัดเลย!!

ออฟไลน์ Vermouth

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
พีทดูโรแมนติกมากจริง อินทร์ก็เขินไปมาน่ารักอะ ><
แต่หลังจากความหวานก็มาหายใจไม่ทั่วท้องต่อ 555
พีทไฟท์มากกก ดับเครื่องชนสุดๆ
น้องเอ็กซ์ ให้อภัยพี่เค้าเถอะน้า ฮืออออ

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
หายใจติดขัดไปหมด

ออฟไลน์ monoo

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1957
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +101/-4

ออฟไลน์ NINEWNN

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-4

CHAPTER 20

“What doesn’t kill you makes you stronger
Standing little higher”

(Stronger – Kelly Clarkson)



       ผมพูดอะไรออกไป
   
       แต่ถึงย้อนเวลากลับไปได้ผมก็เลือกที่จะทำแบบเดิม

       คนตรงหน้ามองผม นิ่งเงียบไปอยู่พักใหญ่ก่อนที่จะค่อยๆ สูดลมหายใจลึกราวกับพยายามสงบสติอารมณ์ในขณะที่คนข้างกายกำมือผมแน่น ราวกับเตือนว่าผมพูดอะไรออกไปเมื่อกี้นี้

       “พีรพัฒน์!” อินทร์เรียกชื่อผม น้ำเสียงสั่นเล็กน้อยแต่ดังเสียเหลือเกิน

       ผมกำมือของอีกฝ่ายแน่น หวาดกลัวว่ามันจะผละออกไปหรือสะบัดทิ้ง ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมาจากปากของผมผมรอ รอจนคนอายุน้อยกว่าตรงหน้าจะปริปากพูด

       “คุณ...” ในที่สุดเอ็กซ์ก็ทำมัน “พูดอะไรออกมา”

       น้ำเสียงทุ้มเล็ดลอดออกมาอย่างแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความขุ่นเคืองอย่างเห็นได้ชัด เขากัดฟันแน่น แน่นจนเห็นเส้นเลือดบนต้นคอ ใบหน้าแดงก่ำจนผมนึกหวาดหวั่น ลมหายใจถูกสูดเข้าไปครั้งแล้วครั้งเล่า

       “คุณรู้ตัวหรือเปล่า ว่าคุณกำลังพูดอะไร...ในบ้านของผม”

       “พีท” อินทร์เรียกชื่อผมเสียงสั่นอย่างเห็นได้ชัด “อย่านะ... ขอร้อง...”

       ผมกุมมือของอีกฝ่ายแน่นเพื่อที่จะบอกให้มันฟังโดยไร้เสียง...ว่าผมจะไม่ปล่อยให้มันเป็นแบบนี้อีกต่อไป

       “เรารักกัน” ผมพูดมันออกมาอีกครั้ง สบตาเอ็กซ์อย่างตรงไปตรงมา ใบหน้าของเขาเรียบเฉยจนน่ากลัวแต่ผมต้องพูดมันออกไป “ช่วยยอมรับ...”

       ผลัวะ!

       แรงกระแทกเข้ากระทบเข้าจังๆ ที่ใบหน้าจนผมเซ ได้ยินเสียงตะโกนผรุสวาทหยาบคายดังจากคนตรงหน้า รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่หลังของผมกระแทกเข้ากับผนังอย่างแรง ไม่มีเวลาให้หายใจด้วยซ้ำก่อนที่ความเจ็บปวดจะกระทบบนใบหน้าอีกครั้งหนึ่ง

       ได้ยินเสียงตะโกนของกชอินทร์เรียกชื่อผมกับน้องชายมัน สั่งให้หยุดแต่กลับไม่ยื่นมือเข้ามาป้องกัน ผมคิดว่าดีแล้วที่ทำแบบนั้น ขืนมันได้ยื่นเท้าเข้ามาเกี่ยวข้องคงจะมีอะไรเลวร้ายกว่านี้

       หลังจากกระแทกกำปั้นสองหมัดใส่หน้าผม คนอายุน้อยกว่าที่ตัวสูงกว่าก็ดันผมติดกำแพง มือกำคอเสื้อของผมแน่นจนสั่น ผมคิดว่าถ้าเสื้อขาดก็ไม่ใช่เรื่องผิดปกติอีกต่อไป

       ลมหายใจคนตรงหน้าหอบถี่ ผมเองก็เช่นกัน รสเค็มคาวปะแล่มๆ ติดอยู่ที่ปลายลิ้น ขณะที่อีกฝ่ายตะโกนเสียงดังราวกับขาดสติ

       “คุณพูดมันออกมาได้ยังไง!”

       “เอ็กซ์!”

       เสียงนั้นทำให้พวกเราทั้งสามคนหยุดชะงักในทันที

       ผมกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคออย่างยากลำบาก คิดว่าคงไม่ต่างกับสองพี่น้องที่ยืนอยู่ใกล้ๆ เมื่อเสียงนั้นตะโกนเรียกชื่อเอ็กซ์พร้อมกับร่างของคนที่พวกเราอาจจะลืมไปแล้วว่าท่านอยู่ในบ้านหลังนี้

       แม่ของกชอินทร์

       “เราทำอะไร” ท่านถามเสียงขุ่นเคือง มองที่มือสองข้างของลูกชายคนเล็กที่จับอยู่ที่คอของผม “แม่ถามว่าเราทำอะไร เอ็กซ์”

       “...”

       เมื่อเห็นว่าลูกชายคนเล็กให้คำตอบไม่ได้ ท่านก็หันไปหาลูกชายอีกคน “ไหนตอบแม่มาสิ อินทร์”

       อินทร์เหลือบตามองมาทางผมกับน้องชายมัน ผมเห็นมันก้มหน้า ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมาจากปาก สุดท้ายแล้วก็เป็นแม่ของกชอินทร์เองที่ถอนหายใจยาวแล้วพูดต่อ
   
       “ที่นี่ที่บ้าน ไม่ใช่โรงมวย” ท่านเอ่ยเสียงเรียบ “ทุกคน มาคุยกับแม่เดี๋ยวนี้เลย”

       ท่านสงบสติอารมณ์ได้ดีมาก

       เอ็กซ์มองหน้าผม ขยับปากผรุสวาทเบาๆ ก่อนที่จะยอมคลายมือจากคอเสื้อให้ผมรู้สึกโล่งขึ้นมาบ้าง ในขณะที่อินทร์เดินตามแม่ของมันไปที่โซฟาที่น้องชายมันเพิ่งลุกขึ้นมา คุณแม่ของอินทร์หย่อนกายนั่งที่กลางโซฟาตัวยาวแล้วจึงเรียกลูกชายทั้งสองคนเข้าไปนั่งข้างๆ ส่วนตัวผมจำต้องนั่งโซฟาเดี่ยวที่อยู่ใกล้กับอินทร์แทน

       ผมเห็น อินทร์เหลือบตามองผม แววตาแดงก่ำ ริมฝีปากเม้มเข้าหากันแน่น

       ...มันเจ็บนะเวลาที่เห็นมันเป็นแบบนี้แต่ทำอะไรไม่ได้เลย เอื้อมมือไปจับก็ไม่ได้ โอบกอดไว้ก็ไม่ได้ แค่ปลอบโยนมัน ผมยังทำอะไรไม่ได้เลยด้วยซ้ำ

       ความเงียบชวนให้ผมรู้สึกอึดอัดอีกครั้ง แต่บางทีผมต้องปรับความคิดใหม่ เมื่อสตรีเพียงคนเดียวเอ่ยปากขึ้น
   
       “เราชื่ออะไรนะ...” ท่านถามผมเช่นนั้น

       “พีทครับ” ผมตอบโดยพยายามควบคุมตัวเองให้ดีที่สุด “พีรพัฒน์”

       ท่านนิ่งไปชั่วครู่แล้วจึงพยักหน้าเล็กน้อย “พีท... เล่ามาสิ เกิดอะไรขึ้นหรือลูก”

       ความเงียบน่าอึดอัดขึ้นอีกหน

        ลำคอผมแห้งผาก มีถ้อยคำต่างๆ นานาวิ่งแล่นไปในหัวเต็มไปหมด ผมควรทำอย่างไร โกหกหรือ
พูดความจริง ผมต้องบอกตรงไหน ปิดบังส่วนใดบ้าง ผมเอาแต่คิดเรื่องแบบนั้น จนท่านเอ่ยปากออกมา

       “มีเรื่องอะไรที่ให้แม่รู้ไม่ได้”

       ผมเหลือบตามองกชอินทร์ มันมองผม แววตาอ้อนวอนคล้ายจะร้องขอให้ปิดบังโดยไร้เสียง นั่นยิ่งทำให้คำพูดที่ผมปรารถนาจะพูดออกมาจุกอยู่ที่คอ ผมพูดไม่ออกเวลามองตาที่แดงก่ำของมัน ความปรารถนาของผมคือการบอกความจริง ทำให้ท่านยอมรับ...แต่ดูเหมือนของอินทร์จะไม่ใช่แบบนั้น

       “อย่าโกหกแม่นะ...” ท่านพูดต่อ “เอ็กซ์ อินทร์ พวกลูกน่าจะรู้ดีอยู่แล้วว่าแม่ไม่ชอบคนโกหก”

       ผมเม้มริมฝีปากแน่น สูดลมหายใจเข้าปอดลึกเพื่อตั้งสติ บอกว่าสิ่งที่ตัวเองอาจไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุด มันอาจจะมีหนทางที่ดีกว่านี้...แต่ผมคิดว่านี่เป็นสิ่งที่กชอินทร์ไม่เคยลองทำ

       และบางทีสิ่งนั้นอาจจะเป็นหนทางที่ดีที่สุด

       “ผม...คบกับอินทร์อยู่ครับ...”

       แม่ของกชอินทร์มองผมเมื่อผมพูดจบ ท่านเม้มริมฝีปากแน่น แต่ไม่พูดอะไรออกมา

       หัวใจของผมเต้นดังและรัวด้วยความหวาดกลัวที่คืบคลานเข้าไปในทุกอนุภาคของอากาศ ความเงียบทำให้ผมรู้สึกแย่อีกคราแต่นี่มันแย่กว่าเก่าเสียอีก ผมมองตาท่าน ไม่รู้เหมือนกันว่าทำสีหน้าแบบไหนออกไป สุดท้ายแล้วแม่ของกชอินทร์ก็ถอนหายใจออกมา

       “แม่ไม่เข้าใจ...” นั่นเป็นถ้อยคำแรกที่ท่านพูด ท่านเงียบไปอีกพักใหญ่ ผมเหลือบตามองกชอินทร์ มันก้มหน้า แต่ถึงกระนั้นผมก็เห็นว่ามือของมันสั่น “แม่ไม่เข้าใจ...ลูกจะร้องไห้ทำไม อินทร์”

       คนถูกเรียกเงยหน้าขึ้น เอ็กซ์และผมเองก็เช่นกัน เสียงของท่านสั่นเล็กน้อยต้องพูดมันออกมา ผมกลั้นหายใจ มองท่านที่ยิ้มให้ผมเล็กน้อยแม้ว่าจะเป็นรอยยิ้มที่เศร้าเสียใจเต็มทีก็ตาม

       “แม่ถามว่าลูกจะร้องไห้ทำไม”

       อินทร์เม้มปากแน่น มันมองท่านเล็กน้อยก่อนที่จะก้มหน้าลงไปใหม่ เสียงลมหายใจของมันขาดห้วงไปนิดหน่อยก่อนที่ท่านจะลุกขึ้น เดินไปจับศีรษะลูกชายคนโตและโยกมันเล็กน้อย

       “จริงๆ เลยลูกคนนี้...”

       ขอบตาผมร้อนเล็กน้อยกับภาพที่เห็น นี่มันดีกว่าที่ผมคาดคิดไว้เยอะมาก สิ่งที่ผมต้องการคือการยอมรับ อย่างน้อยก็อยากให้ท่านยอมรับในสิ่งที่เราเป็น ไม่ให้การสนับสนุนก็ไม่เป็นไร แต่การกระทำของท่านทำให้ผมรู้สึกว่า

       ผมเห็นแค่หัวไหล่ของอินทร์เพราะแม่ของมันกอดมันไว้ ไหล่ของมันสั่นเล็กน้อยแต่ไหล่ของท่านสั่นมากกว่า ผมเม้มริมฝีปากเข้าหากันแน่น พ่นลมหายใจออกมาหลังจากกลั้นหายใจไว้เป็นเวลานานเสียเหลือเกิน

       ผมเหลือบสายตาไปมองอีกคนที่นั่งด้วย เพิ่งตระหนักได้ว่าเอ็กซ์เองก็ยังอยู่ ผมเห็นน้องกำมือแน่น สูดลมหายใจลึกแต่ไม่ได้มองที่ครอบครัวตัวเองเลยแม้แต่น้อย เขามองผมอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะก้มลงไปมองมือตัวเองที่กำลังกำหมัดอยู่

       “ทำไม...”

       สุดท้าย เสียงที่แทรกขึ้นมาก็เป็นเสียงของเอ็กซ์

       “ทำไมแม่ถึงรับเรื่องแบบนี้ง่ายจัง...” เขาเค้นหัวเราะ “เพราะอินทร์เป็นลูกรักหรืออย่างไร” พูดคำประชดประชันที่ชวนเจ็บปวดใจถูกหยิบยื่นขึ้นในเวลาแบบนั้น

       ความเงียบเข้าปกคลุมอีกครั้ง ผมรู้สึกตกใจที่เขาพูดคำนั้นออกมาตรงๆ เช่นนั้น เหมือนกับความน้อยใจที่ถูกสะสมมาเป็นเวลานานกำลังจะถูกระเบิดออก

       “ทำไมตอนผม...มันไม่ง่ายแบบนี้บ้างล่ะ?”

       ผมคิดว่าตอนนี้ตัวเองควรทำอะไรแต่แน่นอนว่าผมไปไหนไม่ได้ เอ็กซ์พูดมันออกมาด้วยสีหน้าที่เหมือนกับสกัดกั้นอารมณ์เต็มที่ เสียงเขาสั่นเล็กน้อย ผมไม่รู้ว่านั่นมาจากสาเหตุอะไร เรื่องในครอบครัวอินทร์เล่าไม่หมด ต่อให้มันเล่าหมดผมก็ไม่คิดว่าตัวเองจะเข้าใจ มีคนเคยบอกว่าทุกเรื่องมีสามมุม เรื่องของเขา เรื่องของเรา และเรื่องของความเป็นจริง มันหมายความว่า เรื่องที่อินทร์เข้าใจกับเรื่องที่เอ็กซ์เข้าใจอาจจะเป็นคนละเรื่องกันก็ได้

       “ทำไมตอนนั้นมันไม่ง่ายแบบนี้บ้าง...”

       มันเป็นเรื่องในครอบครัวและผมเองก็ยังเป็นคนนอก

       ผมเม้มริมฝีปากแน่นตอนที่เอ็กซ์ย้ำคำเดิม แต่คนในครอบครัวสองคนกลับเงียบ เขาไม่ได้พูดอะไร

     สุดท้ายเอ็กซ์ก็ลุกขึ้นเดินไปจากที่ซึ่งพวกเรานั่งกันอยู่

       “เอ็กซ์!”

       แม่ของอินทร์เป็นคนเรียกตอนที่ลูกชายคนเล็กของเธอเดินขึ้นไปที่บันได แต่ดูเหมือนเขาจะไม่ฟัง สุดท้ายแล้วท่านก็นั่งลง เอามือกุมขมับแล้วถอนหายใจเสียยาว

       กชอินทร์หันมามองผม สลับกับแม่ตัวเองตอนที่ได้ยินเสียงปิดประตูดังลั่นจากข้างบน ผมทำอะไรไม่ถูก จะขอลาเลยก็ไม่ใช่เรื่อง สาเหตุที่ผมมาตอนนี้ไม่ใช่การที่ทำให้แม่ของอินทร์ยอมรับอย่างเดียวเสียเมื่อไหร่ แต่ว่าสถานการณ์ตอนนี้ผมจะพูดอะไรได้

       แม่ของอินทร์ไม่ได้พูดอะไร ท่านนั่งเงียบราวกับมีเรื่องที่คิดอยู่ในใจ ใช่... ผมคิดว่าท่านมี แต่แน่นอน ผมก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไรอีกเหมือนกัน

       “วันนี้แม่พูดอะไรมากไม่ได้หรอก” ท่านเอ่ยออกมาหลังเงียบไปพักใหญ่ “แต่ยังไงก็รักกันดีๆ แล้วกันนะ”

       “ครับ...” ผมรับคำอย่างยากลำบาก

       ผมเม้มริมฝีปากแน่น อินทร์มองผมด้วยแววตากังวลใจ แต่ก็ไม่วายเอ่ยปากถาม “ทำไมแม่ถึงยอมรับ...ง่ายๆ แบบนี้ล่ะครับ” มันถามเสียงสั่นเล็กน้อย

       “อยากให้แม่ต่อต้านหรือ” ท่านถามกลับ “อินทร์ ลูกก็รู้ แม่ต่อต้านไม่ได้”

       “...”

       “ถ้าต่อต้านแล้วทำให้ครอบครัวเราพังไปมากกว่านี้...แม่ไม่เอาด้วยหรอก”

       มีอะไรที่ผมทำได้บ้างไหม... ถ้าตอนนี้เราอยู่กันแค่สองคนผมก็คงกล้าเอ่ยปากถาม แต่ครั้งนี้ไม่ใช่ แม่ของอินทร์ก็ยังอยู่ตรงนี้ ถ้าผมพูดอะไรแบบนั้นออกไป ท่านอาจจะคิดว่าผมจะทำอะไรได้ แต่...

       ผมกลืนน้ำลายเล็กน้อยก่อนที่จะพูดออกมา “ผมขึ้นไปคุยกับเอ็กซ์ได้ไหมครับ”

       แม่ของอินทร์หันมามองผม ท่านเลิกคิ้ว แต่ผมก็ย้ำคำเดิมอีกทีจนสีหน้าท่านดูลำบากใจ แต่ท้ายที่สุดแล้วท่านก็พยักหน้าให้ “อย่ามีเรื่องกันนะ เอ็กซ์มันใจร้อน”

       “ครับ...” ผมพยักหน้า ลุกขึ้นจากโซฟาแต่ก็ต้องชะงักเมื่อท่านพูดอะไรเพิ่ม

       “อินทร์ ตามขึ้นไปทีสิ” เจ้าของชื่อทำท่าจะแย้งแต่ท่านพูดเสริมเสียก่อน “แม่ขึ้นไปก็รั้งแต่จะทำให้น้องโกรธขึ้น ลูกขึ้นไปเถอะ”

       “แต่...” อินทร์เถียงออกมาแค่นั้นก่อนที่จะชะงักไปเอง สุดท้ายแล้วมันก็เป็นคนที่พยักหน้าเสียเอง

       มันเดินตามผมมาเงียบๆ จนถึงชั้นสอง มันถึงเปลี่ยนมาเดินนำหน้าผมไปที่หน้าห้องหนึ่ง กชอินทร์หันมาเล็กน้อย มันโน้มกายเข้ามาใกล้

       “จะทำอะไร...” คำถามแผ่วเบาหลุดออกจากปากมัน

       ผมส่ายหน้า ใช่ เรื่องจริงคือผมทำอะไรได้ไม่มากหรืออาจจะทำอะไรไม่ได้เลย ผมรู้ดี มันอาจจะดันทุรังแต่ผมก็ยังอยากจะลองอยู่ดี

       ผมเปิดประตูห้องตรงหน้าเข้าไป มันไม่ได้ล็อก สภาพในห้องดูไม่ได้เลย ข้าวของบนโต๊ะถูกกวาดลงพื้น ผมพอคิดสภาพออก เอ็กซ์หันมามองผมอย่างรวดเร็ว แววตาแดงก่ำ ไม่รู้ว่ามันเกิดจากการร้องไห้หรือการโกรธ ผมคิดว่าเป็นอย่างหลัง

       “ขึ้นมาทำไม” เขากัดฟันกรอด พูดเสียงต่ำ

       ตอนนี้เขาร้อน ต่อให้เอาน้ำเย็นเข้าลูบมันก็ไม่มีทางเย็นลง ผมรู้... ริมฝีปากผมเม้มเข้าหากันแน่น ถอนหายใจออกมาแล้วเอ่ยปากคำที่ต้องการพูดออกมาเพียงคำเดียว

       “อินทร์” ผมเรียกชื่อคนที่ยืนอยู่ข้างกาย “ขอโทษเอ็กซ์...ดีกว่าไหม?”

       ทั้งเอ็กซ์และอินทร์เองก็มองผมแบบไม่เชื่อสายตา โดยเฉพาะเจ้าของห้อง เขามองผมด้วยแววตาไม่เข้าใจก่อนที่จะเดินเข้ามาใกล้ มือหนึ่งเอื้อมมาจับคอเสื้อของผมอีกครั้งแต่ผมก็ปล่อยให้เขาทำมันอย่างเสียไม่ได้

       “คุณเห็นผมน่าสมเพชมากเลยหรือ?”

       “เปล่า” ผมตอบตามตรง “ที่ผมบอกให้อินทร์ขอโทษเป็นเพราะอินทร์อยากทำ แต่มันไม่กล้าทำ ผมเลยบอกให้มันทำ” ผมพูดตามความจริงที่ผมคิด

       “มันไม่ใช่เรื่องของคุณ”

       “แต่มันเป็นเรื่องของอินทร์...ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของเรา” ผมพูดออกมาอีกครั้ง

       เอ็กซ์ผรุสวาทคำหยาบออกมาชุดใหญ่ เขาหันไปทางอินทร์ พูดด้วยน้ำเสียงประชดประชันเสียเหลือเกิน “ขอโทษอะไร อยากขอโทษ...อย่ามาพูดให้ขำเลย”

       ผมเห็นอินทร์บดริมฝีปากเข้าหากัน มันก้มหน้าหลบตาจนผมต้องพูดออกมา “อินทร์...”

       “เลิกบ้าสักที!”

       “ไม่...” เสียงของอินทร์แผ่วเบาราวกับกระซิบหลังจากเอ็กซ์ตวาดใส่ผมอย่างเดือดดาล “พีทพูดถูกแล้ว”

       เอ็กซ์มองพี่ชายตนเองด้วยแววตาที่ผมอ่านไม่ออก มือของอีกฝ่ายเบาแรงลงจากคอเสื้อผมแต่ก็ยังคงกำมันไว้อยู่ เขานิ่งไปชั่วครู่ตอนที่กชอินทร์พูดออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเล็กน้อย

       “พี่ขอโทษ...”

       เสียงนั่นสั่นอย่างน่าสงสาร ผมเผลอเม้มปากแน่นอย่างลืมตัวตอนที่อินทร์พูดคำนั้นออกมา

       “ขอโทษที่ตอนพ่อรู้เรื่องพี่ช่วยอะไรไม่ได้ ขอโทษที่ตอนนั้นด่าเอ็กซ์ ขอโทษที่ด่าว่าเป็นคนวิปริต...พี่ขอโทษ” อินทร์พูดคำนั้นอย่างแผ่วเบา มันเงยหน้าขึ้นมองเพดาน คิดว่าพยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลลงมา “พี่เอาแต่คิดว่าพี่ยังเด็กเกินกว่าที่จะเสียพ่อ แต่พี่ลืมคิดไปว่าเอ็กซ์เด็กกว่าพี่อีก” มันเว้นวรรคไปชั่วครู่ “พี่จะไม่บอกว่าที่พี่เลิกกับพีทเป็นเพราะเอ็กซ์ เพราะมันไม่ใช่เพราะเราเลย มันเป็นเพราะตัวพี่เอง... มันเป็นแค่วิธีการแก้ปัญหาโง่ๆ พี่ก็แค่ผลักปัญหาให้คนอื่น เป็นคนที่ทำอะไรไม่ได้...”

       “...”

       “พี่ขอโทษ...จริงๆ” อินทร์ย้ำคำเดิมซ้ำไปซ้ำมา

       ความเงียบเข้าปกคลุมระหว่างเราสามคน ผมเริ่มสัมผัสได้ว่ามีเสียงสะอึกสะอื้น อินทร์สูดลมหายใจเสียงดัง สุดท้ายแล้วมือที่กำเสื้อของผมอยู่ก็ค่อยๆ คลายออก

       “ขนาดตอนนี้...อินทร์ยังทำให้มันเป็นเรื่องง่ายๆ ได้เลย” ถ้อยคำตัดเพ้อนั้นหลุดออกมาจากคนเป็นน้อง “ทำไมมันไม่ยุติธรรมเลย...” เขาค่อยๆ ทรุดกายลงกับพื้น มือกุมศีรษะและก้มหน้าลง “ผมจมกับเรื่องแบบนี้มาตั้งสิบปี พี่คิดว่าแค่คำขอโทษมันจะพอหรือ”

       “ไม่... มันไม่พอหรอก” เสียงของอินทร์ตอบ มันเคลื่อนกายเข้าไปใกล้น้องชายของมัน “แค่อยากให้รู้ว่าพี่เสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเหมือนกัน”

       “...”

       “และพี่ก็ไม่อยากให้เอ็กซ์เสียใจต่อไปแล้ว”

       ผมได้แต่มองภาพตรงหน้า สองพี่น้องที่พยายามหันหน้าเข้าหากันแต่เข้าใกล้กันมากไม่ได้

       ความเกลียดชัง น้อยใจ หรือความรู้สึกในด้านลบต่างๆ ที่เอ็กซ์มีให้กับพี่ชายของมันมาร่วมสิบปีคงไม่มีทางหายไปได้ง่ายๆ ความเป็นจริงมันเป็นอย่างนั้น ไม่ว่าอย่างไรมันก็ยังมีความขุ่นเคืองในใจหลงเหลืออยู่ ผมไม่รู้ว่าเอ็กซ์ยอมรับเรื่องของเราหรือยัง

       บางอย่างต้องใช้เวลา...โดยเฉพาะสิ่งที่ใช้เวลาสั่งสมมานาน...

       ผมเลื่อนมือไปสัมผัสกับปลายนิ้วของกชอินทร์ มันหันมา คลี่ยิ้มให้เล็กน้อยด้วยแววตาที่คลอไปด้วยน้ำตา

       ปมอาจจะยังเหลืออยู่ แต่อย่างน้อยมันก็เข้าใกล้ทางออกมากขึ้น








   ---------------------------------------------------------------------------
อีกสองตอนจบแล้วค่ะ  :katai4:
ปล. ขอโทษที่มาช้านะคะ!
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-06-2015 21:52:05 โดย NINEWNN »

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ปมจะคลายแล้วใช่ไหม

ออฟไลน์ milkteabeige

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 336
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
โอ้ยยยย บีบหัวใจจังค่ะ

แต่ก็ดีใจที่ค่อยๆ คลี่คลายออกมา

คุณแม่เก่งมาก ดีมาก น้ำตาซึมเลย

เอาใจช่วยทั้ง 3 คนค่ะ ฮึบๆ

ออฟไลน์ Celestia

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 833
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
ฮือ สงสารน้องเอ็กซ์ อินทร์ด้วย

ออฟไลน์ •ผั๑`|nกุ้va’ด•

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1278
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-69
ปมจะคลายแล้ว หวังว่าครอบครัวของอินทร์จะกลับมาเข้าใจกันนะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ zombi

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-5
เห็นใจเอ็กซ์

ทำไมเรื่องของเรามันไม่ง่ายเหมือนเรื่องของพี่ เศร้ามาเป็นสิบปี ทุกข์ใจกับบ้านแตกมานานเพราะอะไร

ออฟไลน์ NINEWNN

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-4

CHAPTER 21

“Lights will guide you home and ignite your bones
And I will try to fix you”

(Fix You - Coldplay)



       ผมกำลังประสบปัญหาหนักในชีวิต...

       “กะเพราไก่ไข่ดาวค่ะ”

       เจ้าของใบหน้าเบือนยิ้มว่าพลางกึ่งวางกึ่งกระแทกกล่องโฟมลงตรงหน้า ถึงเจ้าหล่อนจะพูดเสียงหวานแถมหน้าตาดูยิ้มแย้มแจ่มใสแต่สายตาเธอดูเหมือนพร้อมจะกัดคอผมทุกเมื่อ

       “ปล่อยผมไปไม่ได้หรือ” ผมครางเสียงอ่อย

       “ไม่ได้ค่ะพี่พีท ทำงานต่อค่ะ” พริมาตอบกลับแทบจะในทันที “ความผิดคุณเองนะคะที่ส่งงานช้า”

       “ทีตอนอินทร์คุมยังไม่เป็นแบบนี้เลย...” ผมบ่นอิดออดแต่ก็หุบปากฉับทันทียามเจ้าหล่อนมองค้อน

       พริมากลายเป็นบรรณาธิการของผมอย่างเต็มรูปแบบในขณะที่กชอินทร์กลับไปทำงานฝ่ายบริหารเรียบร้อยแล้ว เจ้าหล่อนเคี่ยวมากกว่าอินทร์จนผมมองคนจู้จี้อย่างมันเป็นนางฟ้า ยิ่งการตามงานของพี่มิ้นท์ บรรณาธิการคนแรกนั้นแทบจะกลายเป็นการลูบหัวไปเลย

       พริมาไม่มีการอ่อนข้อ เธอจะไม่ติดต่อมาจนกว่าใกล้กำหนดส่งงานหนึ่งวัน ถ้าผมตอบไปเป็นเชิงว่าขอผ่อนปรนเวลาอีกหน่อยเท่านั้นแหละ เธอจะโผล่มาที่บ้านพร้อมกับเรียกมาที่บริษัทในทันที เคยได้ยินมาบ้างว่ามีการกักตัวนักเขียนไว้ถ้าหากปั่นต้นฉบับไม่เสร็จ ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะเจอกับตัวเอง

       ห้องนรกนี่เป็นห้องแคบๆ มีเพียงคอมพิวเตอร์ที่ยังเป็นโปรแกรมแบบเก่าบนโต๊ะตัวเล็กกับเก้าอี้หนึ่งตัว ทั้งห้องมีแค่นั้น ความกว้างห้องราวๆ สองเมตร กระจกใสรอบด้าน ห้ามอู้ใดๆ ทั้งนั้น

       “พอกันทั้งคู่” หล่อนเอ่ยน้ำเสียงหงุดหงิด “ไม่ควรหนีงานไปเที่ยวกันแบบนั้นนะคะ” ว่าแล้วก็สางผมตัวเองไปด้วย

       “บอกว่าจำวันผิดครับ...” ผมแก้ตัว

       สาเหตุที่โดนเรียกมาที่ห้องนรกนี่ทั้งที่ผมเข็ดหลาบกับการโดนเรียกมาในครั้งแรกไม่ใช่อะไรหรอก ผมกับอินทร์ถือโอกาสไปเที่ยวต่างจังหวัดกันในวันหยุดที่ผ่านมา ผมปิดโทรศัพท์แม้ว่าอินทร์จะเคยบอกบ่อยครั้งบ่อยคราว่าควรทำตัวให้ติดต่อง่ายกว่านี้ ส่วนรอบนี้อินทร์เกิดอยากพักจากทุกอย่างหลังเคลียร์งานได้ กลับมาที่บ้านผมแทบจะระเบิดเพราะผมจำวันส่งต้นฉบับผิดไปสองวัน ร้ายกว่านั้นคือไม่ได้เริ่มเขียนแม้แต่นิดเดียว พริมาสติแทบแตกตอนที่ผมยอมรับผิดตามความจริง เธอลากผมมาที่สำนักพิมพ์ทันทีและนั่งเฝ้าให้ผมเฝ้าต้นฉบับ ยึดโทรศัพท์มือถือของผมไว้เรียบร้อยอีกต่างหาก

       “อย่าทำตัวแบบนี้อีกนะคะ” เธอกัดฟันกรอดก่อนที่จะหันหลังกลับ “รีบทานข้าวแล้วทำงานต่อค่ะ”

       “กชอินทร์ล่ะ”

       “งานเสร็จเมื่อไหร่จะให้เจอนะคะ”

       พริมากระแทกเสียงเล็กน้อยก่อนที่จะเดินออกจากห้อง ไม่วายล็อกประตูอีกต่างหาก หนีไปไหนไม่ได้

       ผมกินอาหารสิ้นคิดที่พริมาช่วยซื้อมาให้ด้วยความเร็วแสง ยังดีที่เจ้าหล่อนเอาน้ำไว้ให้ด้วย พอกินเสร็จก็ต้องมานั่งขยี้หัวตัวเองมองตัวอักษรบนหน้าจอใหม่

       ก๊อก...

       เสียงเคาะเบาๆ ที่ประตูทำให้ผมหันไปมองแล้วจึงคลี่ยิ้มออกมาอย่างลืมตัวเมื่อเห็นคนที่ตัวเองถามถึงอยู่ตรงนั้น

       กชอินทร์หน้าหงอยนิดหน่อย คิดว่ามันคงรู้สึกผิดที่เอ่ยปากชวนไปเที่ยวทำให้ผมต้องมาอยู่ในห้องนรกนี่ ไม่ทันที่จะพูดอะไรก็ได้ยินเสียงแหวของพริมาดังมาจากไกลๆ

       “อินทร์! พริมบอกแล้วว่าเสร็จงานพวกแกก็ได้เจอกัน!”

       พริมาเป็นผู้หญิงที่น่ากลัวขัดกับภาพลักษณ์จริงๆ ด้วย...



       หลังจากถูกกักตัวไว้ราวสี่ชั่วโมงผมก็โดนปล่อยออกมาจนได้ แม่บรรณาธิการสาวบ่นผมอีกชุดใหญ่ถ้าเธอไม่เกรงใจผมคิดว่าเธอคงจะเอาข้าวของใกล้ๆ ทุบหัวผมไปแล้ว

       “อ่ะ” หล่อนยื่นกล่องหนึ่งมาให้ผมหลังจากบ่นเสร็จ

       ผมเลิกคิ้วเล็กน้อย “ครับ?”

       “หนังสือของพี่พีทนั่นแหละ! ตอนแรกจะให้ส่งไปรษณีย์ไป ไหนๆ มานี่ก็รับไปเลยสิ” หล่อนตอบกลับอย่างฉุนเฉียวเล็กน้อย    

       ผมรับมันมาอย่างงงๆ หนังสือของผมวางขายไปแล้วก็จริงแต่ตัวผมยังไม่ได้รับหนังสือ ปกติทางสำนักพิมพ์จะมีจำนวนหนึ่งให้นักเขียนอยู่แล้วแต่มักจะส่งไปรษณีย์มาตามที่เจ้าหล่อนพูด ผมแอบไปเปิดดูตามร้านหนังสือบ้างแล้วเลยยังไม่ได้ตื่นเต้นมากนัก

       “นี่เลิกงานแล้วใช่ไหม” ผมถามสาวเจ้า

       “พริมยังไม่เลิกค่ะ” พริมาตอบเสียงห้วน “แต่อินทร์เลิกแล้ว ไปหามันได้เลย” เธอว่าพร้อมกับส่งโทรศัพท์มือถือที่ยึดไปก่อนหน้านี้ให้ผม “จำทางได้ใช่ไหมคะ”

       “ครับ” ผมพยักหน้า

       หล่อนเดินไปส่งผมที่หน้าลิฟต์ ไม่วายค่อนแคะเรื่องระหว่างผมกับเพื่อนสนิทของเธอ ไม่รู้ว่าเจ้าหล่อนจะหมั่นไส้อะไรพวกเรานักหนา ถึงพออยู่ต่อหน้าอินทร์จะทำสีหน้าล้อเลียนแต่พออยู่ต่อหน้าผมกลับพูดเป็นเชิงว่าหมั่นไส้เสียเต็มประดา ใจมนุษย์สตรีเพศยากแท้หยั่งถึงจริงๆ

       แม้จะรู้ว่าอินทร์ทำงานที่ชั้นสามของตึกแต่ผมก็กดลิฟต์ไปที่ชั้นหนึ่ง การไปนั่งรอในร้านกาแฟในตึกน่าจะเป็นเรื่องที่ดีที่สุด ผมคิดว่าน่าจะมีคนรู้เรื่องระหว่างผมกับอินทร์บ้างแต่มันไม่อยากให้เปิดเผยมากนัก แม้ผมจะชอบแหย่มันต่อหน้าคนอื่นแต่อะไรที่มากเกินไปก็ไม่งามหรอก

       แม้ว่าสองเดือนก่อนแม่ของอินทร์อนุญาตให้ผมคบกับมันได้ก็จริงแต่ผมไม่ได้โผล่หน้าไปที่บ้านมันอีกเพราะเกรงใจน้องชายมัน อินทร์มักจะยิ้มเศร้าๆ เวลาผมถามถึงเรื่องนี้แต่มันก็ยืนยันกับผมว่าความสัมพันธ์ระหว่างมันกับน้องค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับแต่คงไม่หายขาด ความขุ่นเคืองใจยังอยู่ ผมได้รับคำยืนยันเรื่องนี้จากพริมาอีกหน หล่อนบอกว่าไม่น่าจะเกิดเหตุการณ์หนักหนาสาหัสอีกแล้ว

       เรื่องราวระหว่างเราก็เรื่อยๆ... ผมคิดว่าเป็นแบบนั้น  บ่อยครั้งที่ระหว่างผมกับมันจะเกิดเวลาที่ทำอะไรไม่ถูกต่อกัน ช่องว่างที่เกิดจากระยะเวลาสิบปีที่เราห่างกันมีมากเกินกว่าจะทำลายมันในครั้งเดียว มันเป็นเรื่องจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ อีกอย่างพวกเราไม่ได้เจอหน้ากันทุกวัน ไม่เจอกันเป็นสัปดาห์เลยก็มี ยิ่งเวลาอินทร์มีงานของสำนักพิมพ์ทับหัวแค่ติดต่อยังทำไม่ได้เลย แน่นอนว่าผมพยายามจะเข้าใจ ณ จุดนั้นโดยการติดต่อกับพริมาเพื่อสอบถามความเป็นไปแทน

       พวกเราจะมาค้างบ้านกันสัปดาห์หรือสองสัปดาห์ครั้ง ส่วนมากอินทร์จะมาที่บ้านผม น้อยครั้งนักที่ผมจะไปที่บ้านมันเพราะว่าผมยังมีภาระกับการดูแลร้านอยู่ ยิ่งช่วงนี้ผมจัดการออกแบบเพื่อที่จะตกแต่งภายในร้านใหม่เลยยิ่งยุ่งเข้าไปใหญ่

       ผมสั่งกาแฟหนึ่งแก้วขณะที่รอมัน อินทร์ยังไม่อ่านไลน์ที่ผมส่งไปเพื่อบอกว่าธุระของผมเสร็จแล้ว ผมเล่นเน็ตไปเพลินๆ เบื่อหน่อยก็หยิบหนังสือของตัวเองมาเปิดดู

       เวลาผ่านไปพักหนึ่งเห็นจะได้ผมถึงรู้ตัวว่ามีคนเลื่อนเก้าอี้ตัวตรงข้าม กชอินทร์หน้ามุ่ยมองผมเล็กน้อย

       “เป็นอะไร”

       “ตีกับหัวหน้านิดหน่อย” มันปัดมือไปมา “ช่างมันเถอะ”

       “ติดรถกลับด้วยนะ”

       “อื้อ” อีกฝ่ายพยักหน้า “ขอนั่งแป๊บได้ไหม”

       “เชิญเลย” ผมไม่เคยคิดจะห้ามอะไรมันอยู่แล้ว

       กชอินทร์สีหน้าดูไม่สบอารมณ์นัก มันมีปัญหากับการทำงานบ่อยแต่ผมก็เห็นว่ามันยังทุ่มเทกับงานดีอยู่ กชอินทร์เอื้อมมือมาจับหนังสือในมือผมไปอย่างถือวิสาสะ มันเอ่ยปากถามนิดหน่อยเรื่องการทำงานของพริมาแต่ก็ดูเหมือนไม่ใส่ใจอะไรมาก

       “พริมเป็นยังไง มันดุไหม”

       “ก็ดุอยู่” ผมตอบไปตามจริง

       มันส่งเสียงตอบรับในลำคอขณะที่มือเลื่อนไปกรีดแต่ละหน้าของหนังสือ “สุดท้ายก็ได้แค่พิสูจน์อักษรกับจัดหน้านิดเดียวเอง” ไม่วายบ่นเล็กน้อย

       ตอนแรกหนังสือรวมบทความของผมที่พริมาเอามาให้วันนี้จะเป็นผลงานของกชอินทร์ทั้งหมดแต่สุดท้ายแล้วมันก็ได้ทำหน้าที่เพียงการพิสูจน์อักษรและประสานงานเล็กน้อยเท่านั้น ผมไม่นึกแปลกใจเท่าไหร่ เดิมทีอินทร์ก็ไม่ใช่คนทำหน้าที่บรรณาธิการตรงๆ อยู่แล้ว ปล่อยให้คนที่เป็นบรรณาธิการอย่างพริมาเขาทำดีกว่า

       พวกเรานั่งอยู่พักหนึ่งก่อนที่อินทร์จะอารมณ์ดีขึ้น ตอนแรกเรานั่งคุยกันว่าจะไปกินอาหารที่ห้างใกล้ๆ นี้หรือจะกลับไปกินที่บ้านของผม อินทร์อยากกลับบ้านส่วนผมขี้เกียจไปทำอาหาร แต่สุดท้ายแล้วก็เป็นผมอีกนั่นแหละที่ยอมมัน

       พูดจริงๆ คือผมก็เต็มใจจะยอมมันนั่นแหละ...

       มันดึงดันจะเป็นคนขับรถทั้งที่ผมบอกว่าผมจะขับให้ก็ได้ อินทร์ขับรถได้น่ากลัวไม่ใช่น้อย นิสัยเสียของมันคือชอบเหยียบคันเร่งตอนไฟจารจรเป็นสีเหลือง ผมปรามกี่รอบๆ มันก็ไม่ฟังเพราะฉะนั้นผมเลยพยายามเป็นคนขับและให้มันนั่งเฉยๆ ให้บ่อยที่สุดไม่งั้นเราอาจจะตายกันได้สักวัน

       “ให้คุณจีระทำให้กินได้ไหม” ผมเอ่ยปากถามตอนที่รถจอดหน้าบ้านผมแล้ว

       “อื้อ” มันพยักหน้า

       “กินที่ร้านหรือที่บ้าน”

       “ร้านแล้วกัน มีแอร์ด้วย”

       ผมพยักหน้า บอกให้มันเอาของไปวางในบ้านก่อนก็ได้ อินทร์ไม่ต้องเอากุญแจบ้านจากผมเพราะผมให้มันไว้แล้วชุดหนึ่ง ส่วนผมก็เดินเข้าไปในร้าน ลูกค้ามีไม่มาก ผมเข้าไปในครัวสั่งคุณจีระไว้เลย ยังดีที่ตอนนี้ว่างพอที่เขาจะทำให้พวกเราทันที ตัวผมไม่อยากกินอะไรหนักๆ แต่กชอินทร์คงไม่ใช่ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมมันถึงกินข้าวเย็นเยอะแต่กลับไม่อ้วนเท่าไหร่เลย

       “คุณอินทร์มาหรือเฮียเราถึงหน้าบานขนาดนี้” ลูกจ้างคนเดียวที่เหลืออยู่ทำหน้าล้อเลียน

       “ไปเอาน้ำมาสิ” ผมปัดมือเป็นเชิงไล่

       ไอ้เก้ทำสีหน้าล้อเลียนจนผมอดไม่ได้ที่จะตบหัวเกรียนๆ ของมันไปหนึ่งที ไอ้นี่เป็นอะไร ผมยาวเกินสามเซนติเมตรต้องตัด ก็เข้าใจว่าร้อนแต่อายุมันน่าจะเลยวัยที่ควรจะตัดรองทรงได้แล้วนะ

       ผมเลือกโต๊ะที่ใกล้กับครัวและคนน้อยหน่อย รอไม่นานอินทร์ก็เดินมานั่ง

       “หิว” มันบ่นกระปอดกระแปด

       “เออ เขาทำอยู่”

       “รู้แล้วแค่อยากบ่น”

       ผมอยากจะเอื้อมมือไปผลักหน้าผากมันอยู่หรอกถ้าไม่ติดว่าเห็นสายตาไอ้เก้ที่ล้อเลียนอยู่ มันยืนแถวๆ ครัวซึ่งกชอินทร์หันหลังให้ หลังจากนั้นไม่นานมันก็ถืออาหารที่ผมสั่งให้กชอินทร์มาวางไว้บนโต๊ะ

       “ขอบใจ” มันเอ่ยปาก

       ไอ้เก้ยิ้มเจื่อนๆ ครั้งหนึ่งไอ้เก้คิดว่าอินทร์เป็นคนที่ทำตัวหมาหยอกไก่ได้เหมือนผม มันเลยไม่เย้าแหย่อินทร์แค่เรื่องว่าเป็นแฟนผม เท่านั้นแหละครับ ผมห้ามไม่ให้อินทร์กระทืบไอ้เก้แทบจะไม่ทัน หลังจากนั้นไอ้เก้ก็ไม่กล้าพูดคุยอะไรกับอินทร์อีก มันกล้าเฉพาะตอนอินทร์ไม่อยู่ด้วยเท่านั้น

       พวกเรากินอาหารกันเงียบๆ อินทร์ดูเหมือนจะชอบฝีมือของคุณจีระทั้งๆ ที่มันเป็นคนกินยากแต่พอมากินที่นี่ทีไรดูเจริญอาหารทุกที ซึ่งก็เป็นเรื่องดี ผมเคยอยากจะขุนให้มันอ้วนขึ้นกว่านี้อยู่หรอกแต่ดูเหมือนไร้ผล กลายเป็นผมเองที่ต้องเข้าคอร์สไดเอตเพราะมัน

       ‘เบียร์นี่กินทำไม เสียสุขภาพ อยากตายเร็วเหรอ หมูปิ้งลดๆ หน่อยไม่ได้รึยังไง ชอบคาร์บอนไดออกไซด์รึไงเนี่ย!’

       ยิ่งกว่าแม่เสียอีก... ยอมใจเลย

       หลังจากที่ทานอาหารกันเสร็จผมก็บอกให้ไอ้เก้เอาผลไม้ที่มักจะแช่เย็นไว้มา อินทร์อีกนั่นแหละที่กิน ระหว่างที่เรารอกันอยู่นั่นเองก็มีเสียงเรียกชื่อให้ผมหันไป

       “พี่พีท!”

        ผมหันไปตามเสียงเรียกก่อนที่จะผงะไปเล็กน้อยเมื่อเห็นว่ากานต์โบกมือให้จากทางประตู น้องถืงถุงกระดาษอะไรสักอย่างเดินตรงมาที่ซึ่งผมกับอินทร์นั่งอยู่

       คำสบถดังขึ้นในหัวไม่หยุดเมื่อเห็นว่าอินทร์มองน้องสลับกับผมด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ ตระหนักได้ในตอนนั้นว่าเคยมีประเด็นกันมาก่อนตอนที่ผมเพิ่งกลับมาเจอกับอินทร์แรกๆ ถึงผมจะบอกกานต์แล้วว่าผมมีแฟนแล้ว เราไม่ได้ติดต่ออะไรกันบ่อยๆ เลยไม่มีปัญหาอะไร

       “มาทำอะไรน่ะ” ผมยิ้มเจื่อน

       “เอาของมาฝาก” น้องยิ้ม ยื่นถุงกระดาษในมือให้ผม “พอดีมาแถวๆ นี้เลยเอามาให้เลย สัปดาห์ก่อนไปเที่ยวมา”

       “อ๋อ... ขอบใจมาก” ผมได้แต่กลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอ “มากับใครล่ะ”

       “กับแฟนสิ”

       คำตอบนั้นทำให้ผมร้องออกมาอย่างแปลกใจ “มีแฟนแล้วหรือ”

       “เอ้า ทีพี่พีทยังมีแฟนเลย ทำไมกานต์จะมีบ้างไม่ได้” คำพูดที่ดูเย้าแหย่จากเสียงแหบเสน่ห์นั่นทำให้ผมไปต่อไปถูก รับรู้ถึงอาการผิดปกติของคนที่นั่งตรงกันข้ามอยู่หรอกแต่ผมก็ต้องเอ่ยปากพูดไปตามมารยาท “กินอะไรมารึยัง”

       “กินมาแล้ว เดี๋ยวจะกลับบ้านแล้วเนี่ย”

       ผมพยักหน้า คุยกับน้องอีกสองสามคำก่อนที่น้องจะจากไปแต่โดยดี พอน้องเดินออกไปเท่านั้นแหละ ใบหน้าคนที่นั่งมองหน้ากันอยู่ก็เหยียดยิ้มออกมาทันควัน

       “น้องกานต์เหรอ” มันเอ่ยเสียงเรียบ “ใครกันหรือคุณพีรพัฒน์...”

       ซวยอีกแล้ว!


   
       ผมเกือบลืมแล้วว่าต้องง้อคนเป็นแฟนยังไงตอนโดนงอน มีแฟนคนสุดท้ายน่าจะช่วงเรียนมหา’ ลัย นอกจากนั้นก็เป็นความสัมพันธ์ไม่จริงจังตลอด ถ้าปกติแล้วอินทร์ก็งอนได้น่ารักดีอยู่หรอกแต่พอเป็นเรื่องที่จริงจังเข้าก็เป็นเรื่องน่ากลัวมากกว่า

       ถึงมันจะบอกว่าไม่มีอะไรแล้วก็พอคิดออกว่ายังมีเรื่องขุ่นเคืองใจอยู่ อินทร์กึ่งนั่งกึ่งนอนบนเตียงขณะที่คุยโทรศัพท์กับแม่ของมันอยู่ มืออีกข้างก็ผลักผมที่กำลังเคล้าเคลียมันอยู่ไม่ห่าง

       “ฮะ? พามันไปงั้นหรือ ไม่เอาน่า” คิ้วของอินทร์ขมวดเข้าหากันตอนพูดคำนั้น มันหันมาดุผมด้วยสายตาก่อนที่จะไปสนใจกับโทรศัพท์ใหม่ “แล้วเอ็กซ์ล่ะ... ไม่ดื่มแล้วใช่ไหม อือ... ก็ดีแล้วครับ”

       พอมันเริ่มพูดถึงเรื่องน้องผมก็ยอมอยู่นิ่งๆ ตามที่มันพูด มันคุยกับคนปลายสายอีกพักหนึ่งก่อนที่จะวางสาย หันมามองผมตาขวาง

       “เล่นอะไรไม่รู้เวลา”

       “เปล่าสักหน่อย” ผมมุ่ยหน้า “แล้วเอ็กซ์เป็นไงบ้าง”

       มันยิ้ม ไม่ได้ตอบอะไร ผมคิดไปเองว่ามันคงไม่อยากตอบ สีหน้าเศร้าลงนิดหน่อยแต่ถ้าเทียบกับช่วงเกิดเรื่องแรกๆ มันดีกว่ากันเยอะ

       ผมเลื่อนมือไปสัมผัสปลายผมของมันอย่างแผ่วเบา อินทร์ทิ้งกายลงบนไหล่ของผมบ้าง

       “แม่ชวนให้ไปกินข้าวด้วยวันพรุ่งนี้ ว่างไหม”

       “หือ?” ผมเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ “อะไรนะ”

       “ไปข้างนอกนะ แม่ยังไม่กล้าให้เอ็กซ์เห็นว่ายอมรับมากหรอกถึงน้องมันจะเริ่มเปิดใจหน่อยแล้วก็เถอะ”

       “ก็ดีสิ”

       ผมตอบกลับด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า วางมือตรงหน้ามัน อินทร์เงยหน้ามองผมและหลุดหัวเราะเล็กน้อยแต่ก็ยอมวางมือให้ผมจับกุมแต่โดยดี

       ผมชอบที่เราเป็นแบบนี้ ความเงียบไม่น่าอึดอัดสำหรับเราอีกแล้ว ผมฝังจมูกลงบนศีรษะของมัน กุมมือมันไว้แน่น ไล้ริมฝีปากไปบนพวงแก้มของมันในขณะที่มันพยายามผลักหน้าผม

       “อย่ารุ่มร่ามมากได้ไหมล่ะ”

       “มันเขี้ยว” ผมพูดตามตรงก่อนที่จะกัดเบาๆ บนหลังคอมัน

       “ไอ้พีท!”

       ผมหัวเราะยามเห็นผิวกายมันแดงขึ้นด้วยความโมโหระคนอาย อินทร์เริ่มทำท่าเหมือนอยากจะหนีแต่แขนผมรั้งเอวมันไว้เสียก่อน พอเป็นเช่นนั้นก็กลายเป็นมันทิ้งกายลงบนร่างผม อินทร์สบถด่าเสียงเข้มแต่ผมไม่ยอมปล่อย เข้าข้างตัวเองว่ามันก็ไม่อยากให้ปล่อยหรอก แค่เขินเท่านั้นเอง

       “อินทร์...” ผมกระซิบข้างหูมัน “ย้ายมาอยู่ด้วยกันไหม?”




   -----------------------------------------------------

ยี่สิบตอนพวกนางถึงเพิ่งได้มุ้งมิ้งใส่กัน ชีวิต ถถถถถ
ตอนหน้าจบแล้วค่ะ <3

ออฟไลน์ oaw_eang

  • Global Moderator
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2122/-586
อยากอ่านในส่วนของเอ็กซ์บ้าง

ออฟไลน์ Malimaru

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-4
    • facebook
ขอบคุณมากค่ะ...

สนุกมาก ภาษาอ่านลื่น (เราชอบเพลงที่จั่วหัวแต่ละตอน มันสะท้อนเนื้อหาดีจัง)
เราว่าอินทร์เป็นคนมีเสน่ห์จนน่าค้นหาจริงๆน่ะแหละ...แบบเป็นคนแสดงออกแต่น้อยๆ แต่มีอิทธิพลต่อความรู้สึกมาก
ไม่แปลกใจว่าทำไมพีทถึงรักและหักห้ามใจไม่ได้เมื่อทั้งสองกลับมาเจอกันอีกครั้ง 
รอตอนหน้าอย่างใจจดจ่อเลยค่ะ  :a1:

ออฟไลน์ milkteabeige

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 336
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
เหลือแค่เอ็กซ์ด่านเดี่ยวสินะ

เอาใจช่วยต่อไปค่ะ ^^

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
กว่าจะได้หวานกันก็จะจบแล้วหรือคะ หวานกันเยอะๆหน่อยซิ :mew1:

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ oaw_eang

  • Global Moderator
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2122/-586
จิ้มตูดคนแต่ง  อิอิ

ออฟไลน์ กฤษณ์

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 649
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-0
พึ่งจะลงตัวจะจบแล้ว.. แอบใจหายเบาๆ  :ling2:

ออฟไลน์ BlueCherries

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4060
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +159/-17
มุ้งมิ้งแล้วก็จบ ตัดฉับ!!!

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ NINEWNN

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-4

CHAPTER 22

“I swore to share your joy and your pain
And I swear it all over again”

(Swear It Again – Westlife)



       “จริงๆ จะใส่เสื้อยืดไปก็ได้” คนตรงหน้าพูดเสียงเรียบ มันมองผมที่กำลังจัดแจงพับแขนเสื้อเชิ้ตก่อนที่จะถอนหายใจออกมายาวเหยียด “มานี่สิพีท” ผมเดาะลิ้น เดินเข้าไปใกล้มันอย่างไม่อิดออด อีกฝ่ายเลื่อนมือมาสัมผัส พับแขนเสื้อให้ผมอย่างแผ่วเบาพลางเอ่ยปากบ่นไปด้วย “ไม่เห็นต้องจริงจังขนาดนี้เลย”

       “จริงจังสิ กินข้าวกับแม่ยาย...”

       พูดไม่ทันจบคนไม่ยอมรับความจริงก็กระทืบลงบนเท้าของผมอย่างแรงแถมยังบิดเท้าไปมาเพื่อบดขยี้ปลายนิ้วของผมจนผมต้องนิ่วหน้า

       “อินทร์! ก็มันเรื่องจริงนี่!”

       มันมองผมตาขวางและเบ้ปาก แสดงท่าทีราวกับรังเกียจผมเสียเต็มประดาแต่ผมกลับคิดว่ามันเขินเสียมากกว่าในเมื่อใบหูมันเริ่มแดงขึ้นอีกแล้ว

       คนน่ารัก...

       ผมอดคิดแบบนั้นไม่ได้ มันโพล่งขึ้นมาว่าผมจะยิ้มอะไรอีกในขณะที่ผมทำได้เพียงหัวเราะตอบกลับไป

       กชอินทร์ทำท่าโมโหกระฟัดกระเฟียด ริมฝีปากเม้มเข้าหากันและขบกันปากล่างเล็กน้อยจนผมต้องเอ่ยปากเตือน “เลิกกัดปากสักที”

       “ยุ่ง”

       “เอ้า เดี๋ยวแม่ก็เข้าใจผิดว่าโดนทำอะไร...”

       “พีรพัฒน์!”
   
       ตอนเย้าแหย่มันก็หัวเราะอารมณ์ดีอยู่หรอกแต่พออีกฝ่ายตะโกนเรียกชื่อจริงผมแถมยังกำหมัดกึ่งชกกึ่งทุบลงมาบนท้องทำให้เสียงหัวเราะผมถึงกับชะงัก เจ็บจริงไม่อิงนิยาย อินทร์มือหนักมากจริงๆ มันพ่นคำผรุสวาทใส่ผมนิดหน่อยก่อนที่จะกระชากเสื้อของตัวเองที่แขวนไว้บนตู้เสื้อผ้าเดินเข้าไปในห้องน้ำ

       “ไปแล้ว เดี๋ยวแม่รอนาน!” เข้าใจหาข้ออ้างหลบเลี่ยงเสียด้วย

       มันปิดประตูเสียเสียงดังจนผมต้องเอ่ยเตือนแต่ไม่มีเสียงใดตอบกลับมา ถึงจะเป็นเช่นนั้นผมก็ได้แต่อมยิ้มขำ ห้ามมุมปากของตัวเองไม่ให้ยกขึ้นไม่ได้เลย ผมเหลือบตามองนาฬิกา เหลือเวลาอีกเกือบสองชั่วโมงกว่าจะถึงเวลาที่แม่ของอินทร์นัดทานข้าวกับพวกเรา ตามที่ตกลงกันไว้คือจะใช้รถอินทร์ขับรถไปรับแม่ของมันที่บ้านก่อนแล้วจึงไปที่ร้านอาหารที่ท่านอยากไป

       อินทร์ใช้เวลาอาบน้ำไม่นาน มันเดินออกมาทั้งที่ผมยังเปียกอยู่เลยด้วยซ้ำ

       “ผมเริ่มยาวแล้วนะ” ผมโพล่งขึ้นในขณะที่มันเอาผ้าขนหนูเช็ดผมตัวเอง อืม... มองไปมองมาก็ดูเซ็กซี่ไม่หยอกเหมือนกัน

       “ยังมีหน้ามาพูดอีก” มันหรี่ตามองผม “เมื่อไหร่จะไปตัดหัวตัวเอง”

       ผมมองปลายผมของตัวเองที่ก้มหน้านิดเดียวก็เห็นได้ชัดเจน “อยากให้ตัดหรือ”

       “มันไม่ร้อนหรือยังไง” มันทำหน้าแสยงเล็กน้อย “ผมยาวรุงรัง มีเหารึเปล่าก็ไม่รู้” ตบท้ายด้วยการหยอกกันแรงๆ

       “ถ้าอยากให้ตัดก็ตัดได้หรอก”

       “ง่ายเชียว” มันเลิกคิ้ว

       ผมยักไหล่ ไม่ได้มีความคิดผูกพันอะไรกับเส้นผมของตัวเองอยู่แล้ว ที่ไว้ผมยาวนี่ก็ใช่ว่าอยากจะเซอร์อะไรแต่ไม่อยากไปตัดผมบ่อยๆ ก็เท่านั้น พอผมเริ่มยาวเข้าก็ถือว่าไว้ยาวไปเลย พอร้อนก็มัดได้ สบายดีเสียด้วย

       พอพูดถึงเรื่องเส้นผมดันนึกความคิดพิลึกพิลันขึ้นมาได้ ผมเลยเอ่ยปากพูดทันที “ตัดให้หน่อยสิอินทร์”

       “ฮะ? จะบ้ารึ!”

       ผมหัวเราะเบาๆ “แค่อยากพูดเฉยๆ” รู้อยู่แล้วแหละว่าคนอย่างกชอินทร์คงตัดผมให้ใครไม่เป็น แค่โกนหนวดให้ตัวเองได้โดยไม่บาดหน้าก็ถือว่าเก่งมากแล้วสำหรับคนอย่างมัน

       ผมนั่งดูทีวีอยู่พักหนึ่งในขณะที่กชอินทร์เอาหัวไปผึ่งพัดลมให้ผมแห้งเร็วขึ้น ผมอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปสัมผัสผมนุ่มของอีกฝ่าย อินทร์เองก็นั่งเงียบๆ ปล่อยให้ผมเล่นเส้นผมของมันไป น่าแปลกจริงๆ ที่มันใช้ทั้งสบู่ทั้งแชมพูกลิ่นเดียวกันกับผมแต่กลับรู้สึกว่าทั้งร่างของมันหอมไปหมด

       หลังจากผมอินทร์แห้งแล้วพวกเราก็เตรียมตัวออกจากบ้านกัน มันเอาจมูกมาดมฟุดฟิดแถวปกเสื้อของผมเล็กน้อย

       “ยังมีกลิ่นบุหรี่อยู่หรือ”

       “อื้อ” อีกฝ่ายพยักหน้าจมูกย่นราวกับไม่พอใจ “คงติดเสื้อ ฉีดน้ำหอมไปดีกว่าไหม แม่ไม่ชอบเสียด้วย”

       ผมถอนหายใจ บอกมันไปตามจริงว่าผมไม่มีน้ำหอมติดบ้านมันเลยทำสีหน้าไม่พอใจเท่าไหร่

       “หัดซื้อไว้บ้างนะ เดี๋ยวไปเอาอันสำรองในรถแล้วกัน”

       ผมได้แต่พยักหน้าแม้ในใจจะคิดว่าสิ่งนั้นไม่สำคัญเท่าไหร่แล้วก็ตาม ตัวผมไม่ใช่คนเข้าสังคมอะไรมากเลยไม่คิดว่าสิ่งพวกนี้เป็นของจำเป็นผิดกับกชอินทร์ที่ทำงานเข้าสังคมกับคนอื่นๆ เยอะ ส่วนเรื่องกลิ่นบุหรี่ ตัวผมเองก็พยายามจะลดอยู่ ก็พ่อคุณนั่นแหละที่สั่งมา พยายามพาผมให้เข้าคอร์สรักสุขภาพอย่างเต็มที่ ยังดีที่มันไม่ใช้วิธีหักดิบแต่ใช้วิธีค่อยๆ ให้ลดลงและหาวิธีให้ผมปากไม่ว่างบ่อยๆ แทน

       หมากฝรั่งน่ะ... อย่าคิดว่าคนอย่างกชอินทร์จะทำให้ผมปากไม่ว่างด้วยปากของมัน (แต่ถ้าเป็นกรณีที่เราเถียงกันก็ไม่แน่)

       เพลงของวง Nickelback ที่มันชอบนักชอบหนาถูกเปิดวนซ้ำไปมา ผมคิดว่าอินทร์น่าจะมีเพลงอยู่เพลย์ลิสต์เดียวแต่ก็ไม่ได้บ่นอะไรเพราะตัวผมเองก็ไม่ได้เบื่อเพลงเช่นนี้เสียด้วย ยิ่งมันเอ่ยปากพูดคำพูดที่ชวนคลี่ยิ้มออกมายิ่งทำให้รู้สึกดี

       “วันหลังก็เอาเพลงที่ชอบมาเปิดบ้างก็ได้”

       กชอินทร์ควรเลิกทำตัวน่ารักพร่ำเพื่อได้แล้ว... จริงๆ นะ



       พอถึงบ้านของอินทร์พวกเราก็ต้องเจอกับความแปลกใจที่ตามมาด้วยความกังวลใจเล็กน้อย

       “เอ็กซ์ไปด้วยนะลูก”

       ตัวผมเป็นคนหนึ่งที่ไม่ได้เตรียมใจมาก่อน ผมไม่ได้เจอหน้าเอ็กซ์ตั้งแต่มาบ้านอินทร์เมื่อครั้งนั้น ร่างที่สูงกว่าผมดูผอมลงไปหน่อย ไม่ว่าสาเหตุใดก็ตาม เขามองผมด้วยแววตาไม่เป็นมิตรเท่าไหร่นักแต่ก็ยังอ่อนลงกว่าแต่ก่อน

       อินทร์ช็อกไปแล้วที่แม่ของมันพูดออกมาแบบนั้น ผมคิดว่ามันเองก็คงไม่ได้เตรียมใจมาก่อนเช่นกัน

       ผมลุกให้ท่านนั่งข้างหน้าข้างๆ อินทร์ ส่วนตัวเองก็ระเห็จไปนั่งข้างหลัง กลายเป็นว่าตอนนี้ผมต้องนั่งข้างหลังกับน้องสองคน ผมเองก็รู้สึกอึดอัดแต่ไม่ได้ถึงกับลำบากอะไรนัก เอ็กซ์เอาแต่มองนอกหน้าต่างในขณะที่อินทร์สบตากับผมผ่านกระจกส่งท้ายบ่อยครั้ง ผมได้แต่ยิ้มให้มันเพราะกลัวว่ามันจะกังวลใจอะไรอีก

       ไม่นานนักก็มาถึงร้าน ดูเหมือนจะเป็นร้านโปรดของแม่กชอินทร์ ที่ผมคิดแบบนั้นเพราะมีพนักงานมาต้อนรับท่านด้วยความสนิทสนมแถมพวกเขายังมองผมด้วยสีหน้าแปลกใจ ทั้งนี้ เรายังได้ห้องส่วนตัวทั้งที่ไม่ได้จองไว้อีกต่างหาก

       “ไม่ต้องเกร็งก็ได้ลูก”

       คุณแม่ของอินทร์เอ่ยแบบนั้นพร้อมกับส่งรอยยิ้มพิมพ์ใจมาให้ตอนที่เรานั่งตรงกันข้ามกัน ส่วนลูกชายของหล่อนก็นั่งหันหน้าเข้าหากันเช่นกัน

       คุณแม่พูดง่ายเหลือเกินครับ...

       ถึงจะเคยเจอหน้าคร่าตากับสตรีผู้นี้มาบ้างตอนที่เรายังสนิทกันช่วงมัธยมแต่ผมไม่ใช่คนที่มีทักษะในการเข้าหาผู้ใหญ่ ไม่ว่าจะตอนนั้นหรือตอนนี้ผมเองก็ทำได้แค่ยิ้มๆ กลับ ตอบกลับเท่าที่ตอบได้แต่ไม่กล้าชวนท่านคุยนัก ดูเหมือนแม่ของอินทร์จะรู้ดีว่าผมเกร็งเลยเป็นฝ่ายพยายามชวนให้ผมคุยด้วยเอง บ้างก็หันไปถามลูกชายของท่านสองคนที่ดูจะเงียบเป็นพิเศษ โดยเฉพาะลูกชายคนเล็ก

       เอ็กซ์ไม่พูดอะไรมาก ไม่ได้จ้องหน้าผมกับกชอินทร์ตาเขียวปั๊ดแบบที่เคยทำเมื่อก่อนหน้านี้แต่เลือกที่จะหลบตาเสียมากกว่า ผมเองก็ทำอะไรไม่ได้เสียด้วย

       อินทร์ดูดีขึ้นหน่อย อย่างน้อยก็ชวนน้องคุยบ้างแม้จะไม่ได้รับคำตอบที่ดีกลับมาเท่าไหร่ก็ตาม ถึงจะเป็นการถามคำตอบคำแต่ก็ไม่ใช่การประชดประชัน อย่างน้อยก็เห็นได้ชัดว่ามันดีขึ้น

       แม่ของอินทร์ไม่ได้เอ่ยปากถามเรื่องผมกับอินทร์เมื่อครั้นเรายังเป็นเด็กมัธยม ไม่ได้ไต่สวนว่าผมกับมันมาเจอกันได้อย่างไร ท่านถามผมอย่างไม่ละลาบละล้วงทั้งในเรื่องครอบครัว การศึกษาและอาชีพ รวมถึงกิจการที่ประกอบการอยู่ ก่อนที่จะวกมาเป็นเรื่องงานเขียน

       “บังเอิญเหลือเกินที่มาเป็นนักเขียนในเครือนี้ นี่ก็สำนักพิมพ์ของแม่หนูพิมพ์เขานั่นแหละ”

       นี่ก็ข้อมูลใหม่ เป็นความจริงอีกเรื่องที่เพิ่งรู้ ผมคลับคล้ายคลับคลาเรื่องที่พริมาเคยบอกว่าตนเองมีเส้น ไม่คิดว่าจะเป็นถึงกับลูกสาวสำนักพิมพ์

       “สมัยก่อนก็อยากให้อินทร์เขาดองกับหนูพริมเหมือนกัน” คำพูดต่อมาของท่านทำให้ผมเผลอนั่งหลังตรงขึ้นมาโดยอัตโนมัติแต่ท่านกลับหัวเราะเบาๆ และยกยิ้มให้อย่างอ่อนโยน “แต่ดูเหมือนจะไม่สนใจอะไรกันเลยนะ หนูพริมออกจะเรียบร้อยอ่อนหวานแท้ๆ”

       “แม่...”

       เสียงปรามดังขึ้นจากลูกชายแต่มันทำให้แปลกใจนิดหน่อยเมื่อคนเอ่ยเตือนคือลูกชายคนเล็ก

       “เอ้า จริงจังเชียว เรื่องตลกน่ะ” ท่านหันไปหาเอ็กซ์ ก่อนที่จะหันกลับมาหาผม “อย่าถือสาเลยนะจ๊ะ”

       ผมได้แต่หัวเราะแห้งๆ “ครับ”

       ที่หัวเราะแห้งๆ นี่ไม่ใช่ว่ากลัวอะไรหรอกครับ ท่านบอกว่ายอมรับผมแล้วผมก็คิดว่าท่านไม่ใช่ผู้ใหญ่ประเภทกลืนน้ำลายตัวเอง ถึงยอมรับไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์แต่คงไม่ต่อต้านเรื่องของเรา ที่ตกใจคือการที่ท่านพูดว่าพริมาเป็นผู้หญิงเรียบร้อยอ่อนหวานต่างหาก

       ถ้าเห็นตอนเธอขังผมไว้ในห้องนรกนั่นคงเปลี่ยนคำพูดเป็นแน่แท้...

       มื้ออาหารนี้เป็นไปอย่างเรียบง่าย อย่างน้อยๆ ก็ทำให้ผมโล่งใจมากขึ้นเมื่อเห็นว่าความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องไม่ได้แย่ไปกว่าเดิม ซ้ำยังดูจะดีขึ้นมากเสียด้วยซ้ำ อาจจะกลับไปเป็นอย่างเดิมก่อนเกิดเรื่องไม่ได้แต่มันคงจะดีขึ้นเรื่อยๆ อีกไม่กี่ปีข้างหน้าเอ็กซ์อาจจะยอมรับมันได้เลยก็ได้

       “อ๊ะ จริงสิ อินทร์” คุณนายเอ่ยปากขึ้น “เรื่องคอนโดจะเอายังไงล่ะ ใกล้หมดสัญญาเช่าแล้วไม่ใช่หรือ”

       “ครับ เดือนหน้านี้” ลูกชายคนโตเอ่ยปากตอบไป

       “จะเอายังไงล่ะลูก ต่อสัญญาเลยหรือเปล่า”

       กชอินทร์เงียบไปเสียหน่อย มันตักผลไม้เป็นคำสุดท้ายก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมา “คงไม่ต่อหรอกครับ”

       สีหน้าของท่านดูงุนงงไม่แพ้กันกับเอ็กซ์ มีเพียงผมคนเดียวที่รู้คำตอบดีอยู่แล้วเพราะคำถามที่ผมเอ่ยถามมันเมื่อคืนนี้หลังจากมันคุยกับแม่เสร็จ

   

       ‘ย้ายมาอยู่ด้วยกันไหม?’

       หน้าของกชอินทร์ดูแปลกใจตอนผมพูดไปแบบนั้น มันลังเลออกมาอย่างเห็นได้ชัด ริมฝีปากบดเข้าหากันราวกับกำลังหาคำตอบให้ตัวเอง

       อินทร์เคยเปรยให้ผมฟังเรื่องสัญญาเช่าคอนโดที่จะหมดลงในอีกไม่นาน ผมนึกแปลกใจตัวเองเหมือนกันที่เอ่ยปากถามอะไรแบบนี้โดยไม่คิดอะไรให้รอบคอบแต่ผมคิดว่ามันคงจะเป็นเรื่องดีถ้าหากเราย้ายมาอยู่ด้วยกัน ถ้าผมได้เจอมันเป็นคนแรกตอนตื่นนอนและกอดมันไว้ในอ้อมแขนตอนก่อนนอนมันอาจจะชดเชยระยะเวลาสิบปีที่ห่างไปของเราได้ เพราะฉะนั้นผมเลยหวังลึกๆ ว่าเราจะได้อยู่ด้วยกัน

       สุดท้ายอินทร์ก็ส่ายหน้าออกมา ‘ไม่ล่ะ’

       ผมไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่มันตอบมาแบบนั้น...แต่ก็ยอมรับว่าผิดหวังเล็กน้อย

       อินทร์กำมือของผมที่กุมมือของมันไว้แน่น ทิ้งกายลงบนกายของผมและระบายยิ้มน้อยๆ ออดอ้อนอย่างเอาใจทั้งที่รู้ว่าผมโกรธมันไม่ลง

       ‘แล้วจะเอายังไงต่อล่ะ?’ ผมเอ่ยปากถาม ‘จะอยู่ที่นั่นต่อหรือ’

       มันส่ายหน้าอีกจนผมต้องขมวดคิ้วมุ่น

       ‘อยากกลับไปอยู่กับที่บ้านน่ะ’


   
       “ผมว่าจะย้ายกลับไปอยู่ที่บ้านครับ”

       ดูเหมือนคนที่ฟังจะแปลกใจ ผมได้แต่คลี่ยิ้มน้อยๆ ไม่คิดจะห้ามอะไรมัน กลับเห็นด้วยเสียอีกถ้าหากมันจะทำแบบที่มันต้องการแม้ว่ามันอาจจะทำให้เราได้เจอกันยากขึ้นก็ตามที

       ผมเห็นแม่ของอินทร์พยักหน้า แววตาคลอด้วยน้ำตาแต่ไม่พูดอะไร ก่อนที่จะเหลือบสายตาไปทางลูกชายอีกคนของบ้านนั้น เขามีสีหน้าเรียบเฉยเพียงแต่เลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนที่จะขมวดมันเข้าหากันใหม่ แต่ก็ถอนหายใจ

       “ได้ไหมเอ็กซ์?” กชอินทร์ไม่วายเอ่ยปากถามน้องชาย   

       “มีสิทธิ์อะไรจะห้ามด้วยหรือ” อีกฝ่ายตอบกลับเสียงห้วน เบือนหน้าหนี “ยังไงก็บ้านอินทร์นี่”

       ผมได้แต่ยิ้มยามกชอินทร์หันมามองผมเล็กน้อย แววตาสั่นระริกเหมือนกับดีใจ มือผมเอื้อมไปสัมผัสกับมือมันเบาๆ ระดับต่ำกว่าโต๊ะเพื่อไม่ให้ทั้งสองที่นั่งอยู่อีกฝั่งเห็น

       เรื่องราวกำลังดีขึ้นเรื่อยๆ ตามที่พวกเราหวังให้เป็นหลังจากมันบูดเบี้ยวมานาน



       หลังจากจบมื้ออาหารลงผมตัดสินใจจะนั่งรถแท็กซี่กลับ ปล่อยให้อินทร์กับครอบครัวกลับไปใช้เวลาที่แสนสุขที่บ้านมันให้เต็มที่ ตอนแรกแม่ของอินทร์ชวนให้ผมไปที่บ้านด้วยแต่ผมเกรงว่าจะไม่ดี ผมยังกลัวว่าเอ็กซ์จะยังรู้สึกไม่ดีอยู่เลยคิดว่าทุกอย่างควรเป็นไปตามลำดับขั้นตอน

       ผมตั้งใจจะอยู่รอจนพวกท่านออกไปก่อนแล้วค่อยเรียกแท็กซี่กลับบ้าน อินทร์เดินไปขับรถมาวนรับแม่กับเอ็กซ์ กลายเป็นมีผมอยู่กับครอบครัวมันสองคน

       “งั้นเดี๋ยววันนี้แม่ไปก่อนนะจ๊ะ” ท่านเอ่ยปากออกมาเช่นนั้น “โชคดีนะลูก”

       “ครับ” ผมยกมือไหว้

       “ดูแลกันดีๆ นะ”

       เป็นคำพูดที่ดีที่สุดเท่าที่ผมเคยได้ยิน ไม่ได้หมายความว่าก่อนหน้านี้มันไม่ดีแต่สิ่งนี้มันดีที่สุดจริงๆ ผมเผลอเม้มปากแน่นเมื่อความสุขล้นอกจนแทบจะปริออกมาที่ดวงตา

       เอ็กซ์มองผมเล็กน้อย ไม่ได้ว่าอะไรมากแค่เตือนแม่ตัวเองว่ารถของอินทร์มาแล้ว แต่ถึงกระนั้นก่อนจะขึ้นรถไปเขาก็ยังยกมือไหว้ผม นั่นเป็นเหตุการณ์ที่ผมไม่คาดคิดมาก่อน กว่าจะตั้งสติได้รถก็ออกตัวไปเสียแล้ว

       ผมกะพริบตาอย่างงุนงงว่าก่อนหน้านี้ไม่ได้ฝันไปใช่หรือไม่ ก่อนที่จะหัวเราะออกมาเบาๆ เดินออกไปจากร้านอาหาร

       บาดแผลไม่ได้หายไปในทันที...แต่มันกำลังถูกเยียวยาให้กลับไปในทางที่มันควรจะเป็น

ออฟไลน์ NINEWNN

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-4


EPILOGUE



     ผมกำลังนั่งมองกชอินทร์

       เหตุใดสายตาถึงไม่รักดีไปจับจ้องมันเรื่อยไปยามที่มันเข้ามาในวิสัยทัศน์ คนใจร้ายอย่างมันที่เคยบอกว่าเราไม่มีอะไรต้องคุยกันเพราะว่าขี้เกียจคุย ทั้งที่เป็นเช่นนั้นแต่ผมกลับไม่เคยขี้เกียจจะสนใจมันเลยแม้แต่น้อย

       ความรู้สึกปวดร้าวมันไม่เคยหายไปกับสายลม มันยังอยู่ทุกครั้งที่ผมเห็นหน้ามัน ผมบอกตัวเองหลายครั้งมากว่าเลิกสนใจมันได้แล้วแต่ทุกครั้งที่เห็นหน้ามันความพยายามของผมเหมือนถูกตั้งค่าให้กลับเป็นศูนย์ทุกครั้งร่ำไป พอไม่ได้เจอหน้ามันก็ตั้งปณิธานแบบนั้นใหม่แต่ดูเหมือนมันไม่เคยได้ผลเลย

       เส้นผมของมันยาวขึ้น ไม่รู้เพราะแบบนั้นหรือเปล่าใบหน้าของมันเลยดูตอบลง แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่ ผมคิดว่าคนอย่างมันน่าจะเครียดกับการสอบเข้ามหา’ ลัยเสียมากกว่า คนอย่างมันก็เครียดไปกับทุกเรื่องนั่นแหละ

       จู่ๆ กชอินทร์ก็เงยหน้าขึ้นจากหนังสือตรงหน้า...และเราสบตากัน

       ผมบอกตัวเองว่าไม่ใช่ ผมมันคิดไปเอง ทั้งผมทั้งมันต่างเบือนหน้าหนีทั้งที่เราสบตากันระหว่างช่องว่างของผู้คนที่นั่งขนัดแน่นในห้องสมุดช่วงเตรียมสอบ ผมก้มลงให้ความสนใจกับหนังสือทฤษฎีเรื่องสถาปัตยกรรมบนโต๊ะใหม่อีกครั้ง ส่วนมันก็ทำเช่นเดียวกัน

       หลังจากนั้นมีหลายครั้งหลายคราที่ผมเงยหน้าขึ้นแล้วเห็นว่ามันจ้องอยู่ หรือจะเป็นจังหวะที่ผมเผลอจับจ้องไปที่มันแล้วมันเงยหน้าขึ้น เราสบตากันอีกราวสิบหรือยี่สิบครั้งหลังจากสบตากันครั้งแรกในเวลาชั่วโมงเศษ

       ผู้คนเริ่มบางตาลง ห้องสมุดของโรงเรียนแทบไม่เหลือใครนอกจากเด็กมัธยมศึกษาปีที่หกที่จับกันเป็นกลุ่มๆ ผมเหลือบมองนาฬิกาตอนอ่านหนังสือจบบทและพบว่าอีกไม่นานก็เป็นเวลาที่ผมควรจะกลับบ้านเพราะไม่อย่างนั้นรถจะติดไปมากกว่านี้

       ผมเม้มปากแน่น เหลือบตามองกชอินทร์ที่นั่งอยู่บนโต๊ะถัดไปก่อนที่จะถอนลมหายใจยาว ตั้งคำถามกับตนเองว่าเมื่อไหร่กันที่คนที่สนิทกันมาก คนที่เคยกอด สัมผัส จูบกลายเป็นคนที่ห่างเหินจนอึดอัดแม้กระทั่งเห็นมันในสายตา

       ความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวของผม เดินเข้าไปหามันดีไหมนะ ทำไมความคิดพรรค์นี้จะหลุดเข้ามาทุกครั้งที่ผมเจอหน้ามันทั้งที่ผมไม่เคยทำได้เลย ความขี้ขลาดของผมมีมากเกินไป ผมกลัวว่าตัวเองจะได้ยินคำพูดทำร้ายจิตใจตัวเองจากอีกฝ่ายเลยไม่เคยได้เดินเข้าไปหาตามที่ใจปรารถนาเสียที ผมคิดแบบนี้ทุกครั้งตั้งแต่เราห่างกันใหม่จนกระทั่งตอนนี้ที่เหลือเวลาราวอาทิตย์เศษก่อนที่จะจบชั้นมัธยมปลาย

       แต่สุดท้ายผมก็ไม่ได้เดินเข้าไปทักมัน

       ตอนเดินออกมาจากห้องสมุดผมคิดว่าผมควรจะกลับไปหามัน มีโอกาสอีกไม่มากเท่าไหร่แต่ผมก็ไม่ได้ทำ

       ยิ่งใกล้วันจบเท่าไหร่ผมก็ยิ่งร้อนใจ ใจหนึ่งผมอยากจะเดินเข้าไปหามัน กอดมันให้แน่นที่สุด พูดอะไรก็ได้ที่อยากพูดให้มันได้ยินแต่มันเป็นเรื่องที่จริงที่ว่าผมไม่เคยได้ทำ แม้ว่าเราจะเดินเฉียดกันจนปลายนิ้วของเราสัมผัสกัน ผมก็ไม่เคยเอื้อมมือไปคว้ามันไว้

       ผมปล่อยให้โอกาสผ่านไปครั้งแล้วครั้งเล่า... จนถึงวันที่จบการศึกษา ช่วงเวลาที่คนอื่นๆ ต่างมอบของขวัญ ผมเจอมันครั้งหนึ่ง แต่ผมก็เดินผ่านมันไปเฉยๆ และผมคิดว่านั่นเป็นครั้งสุดท้าย

       ผมบอกตัวเองตอนนั้นว่าถ้ามีโอกาสอีกครั้งผมจะพูดมัน

       แต่พอถึงเวลาที่เราออกจากหอประชุม ผมนั่งรอให้พ่อแม่มารับหลังจากที่พวกท่านไม่ได้ทำแบบนั้นมาตั้งแต่ผมขึ้นชั้นมัธยม ผมมีโอกาสที่จะเห็นอินทร์อีกครั้ง ผมนึกว่าตัวเองเรียกมันแต่ไม่มีเสียงใดหลุดจากปากผม

       เราสบตากันตอนที่ท้องฟ้าเป็นสีน้ำเงินเข้มและแทบไม่มีใครเหลืออยู่ในโรงเรียน

       ผมจำไม่ได้ว่าเรามองตากันนานแค่ไหน มันอาจจะสั้นเพียงสามวินาทีหรือมันอาจจะยาวนานเป็นนาทีเลยก็ได้ ผมบอกตัวเองว่าลุกไปหามันสิ กอดมันไว้สิ ร้องเรียกมันสิ

       แต่ผมไม่ได้ทำเลยสักอย่าง

       และสุดท้ายแล้ว...มันก็เดินจากไป...โดยที่ผมไม่เคยได้เอ่ยเอื้อนคำที่รู้สึกตลอดเวลาที่ผ่านมา

       คำว่า ‘รัก’

   

       ผมสะดุ้งตื่นกลางดึก

       น้อยครั้งนักที่ผมจะลืมตาขึ้นมาแล้วเห็นว่ากชอินทร์กำลังทำหน้ายุ่ง ปลายนิ้วกดบนคีย์บอร์ดซ้ำไปมา ผมคว้านาฬิกาปลุกที่อยู่บนหัวเตียงมาก่อนที่จะถอนหายใจเมื่อพบว่านี่ตีหนึ่งกว่าแล้ว

       “งานยังไม่เสร็จหรือ” ผมเอ่ยถาม เสียงแหบแห้งเล็กน้อย

       อีกฝ่ายส่งเสียงตอบรับในลำคอกลับมาเบาๆ

       ผมดันกายตัวเองให้ลุกขึ้น นิ่งไปชั่วครู่ก่อนที่จะขยี้ศีรษะตัวเองที่ตัดสั้นเมื่อไม่กี่วันก่อนอย่างไม่ชิน เดินเข้าไปหากชอินทร์ที่นั่งทำหน้าเคร่งเครียดอยู่ “ไหวไหม งานหนักหรือเปล่า” ผมถามเสียงอ่อน

       มันพิมพ์ไปอีกนิดหน่อยก่อนที่จะหันกลับมา “ก็นิดหน่อย เดี๋ยวจะนอนแล้ว” สีหน้าของมันดูอิดโรยอย่างเห็นได้ชัด

       ผมเอื้อมมือไปสัมผัสไหล่เปลือยเปล่าของมันอย่างแผ่วเบา บอกกี่ครั้งกี่คราก็ไม่ฟังเรื่องใส่เสื้อนอน พอผมสัมผัสก็บอกว่ารุ่มร่ามแถมยังชอบเป็นหวัดเสียอีก กชอินทร์ช่างดื้อเสียจริง

       มันพิงศีรษะตัวเองลงบนหน้าท้องของผม มือเล็กเอื้อมมาโอบรัดผมให้ผมเข้าหาหลวมๆ

       “ขอโทษที่ทำให้ตื่นนะ”

       “ไม่เป็นไร” ผมตอบกลับ ก้มลงจุมพิตที่หน้าผากของมันอย่างแผ่วเบา “จะนอนเมื่อไหร่”

       “ใกล้แล้ว”

       “รอ”

       “รอทำไม” มันขมวดคิ้ว

       ผมไม่ได้ตอบอะไร ก้มลงกอดจูบมันอย่างรักใคร่อยู่พักหนึ่งก่อนที่จะเดินกลับไปทิ้งกายกึ่งนั่งกึ่งนอนที่เตียงเหมือนเดิม เกือบหลับไปหลายครั้งแต่ไม่กี่นาทีมันก็ยอมปิดโน๊ตบุ๊คและโคมไฟที่โต๊ะทำงาน เดินมาทิ้งกายบนเตียงนอนอย่างอิดโรย

       “มีอะไร” ไม่วายเอ่ยปากถาม “นอนไปเลยก็ได้”

       “...รัก”

       อินทร์นิ่งไปชั่วครู่ก่อนที่จะร้องออกมาอย่างตกใจ มันตีผมเบาๆ ด่าผมว่าผมประสาทแต่มือกลับทำตรงกั้นข้ามโดยการเลื่อนไปสัมผัสที่ต้นคอ รั้งให้ผมก้มลงจุมพิตมันที่ริมฝีปากเบาๆ ไม่ได้รุกเร้าอะไรแต่สัมผัสแผ่วเบาราวกับจะย้ำคำที่เพิ่งพูดไป

       พอผละไปจากกันมันถึงเอ่ยปากถาม “คิดอะไรถึงพูดออกมา”

       “แค่อยากพูด” ผมตอบไปตามจริง

       มันส่งเสียงตอบรับในลำคอ ก้มลงซุกหน้าลงบนกายของผมในขณะที่ผมไล้ปลายนิ้วลงบนศีรษะ ก้มลงจูบที่ขมับมันอีกครา

       สุดท้ายเสียงของมันก็ดังขึ้นอย่างแผ่วเบาแต่ชัดเจนเสียเหลือเกิน “รัก...เหมือนกัน”

       ผมคลี่ยิ้ม สัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายเองก็ยิ้มเหมือนกัน ความรู้สึกอบอุ่นในหัวใจหลังจากห่างหายไปนานกลับมาอีกครั้ง มันทำให้ผมหวนนึกถึงตอนที่เราเป็นเด็ก เจอกันครั้งแรก ใช้เวลาที่มีความสุขโดยไม่เอ่ยเอื้อนคำใดแต่เราเข้าใจกัน ผมไม่ได้บอกว่าช่วงเวลานั้นมันไม่ดี แต่บางครา...มันก็เป็นสิ่งที่อยากได้ยิน

       มีการกระทำที่ดีมันก็ใช่ แต่บางทีคำพูดก็ย้ำให้เราเข้าใจ...ถึงความรักที่เรามีให้กันและกัน



THE END
[/b]
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-06-2015 22:00:56 โดย NINEWNN »

ออฟไลน์ NINEWNN

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-4


เปิดเรื่อง : 23.01.2015
ปิดเรื่อง : 20.6.2015
รวมเป็น 5 เดือน 2 วัน



       จบไปอีกเรื่องแล้วค่ะ <3

       แอบใจหายเหมือนกัน แต่อย่างไรก็ตาม... นิยายเรื่อง ‘TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า...’ ก็ได้จบลงอย่างสมบูรณ์แล้ว แม้จะมีหลายคนท้วงว่า เฮ้ย แก เขาหน่วงมาทั้งเรื่อง หวานมากกว่านี้ไม่ได้หรือ คำตอบคือนี่มันก็ยาวกว่าที่ตั้งไว้ตั้งแต่ต้นแล้วค่ะ เดิมทีว่าจะเขียนเป็นเรื่องสั้นแท้ๆ แต่ไปๆ มาๆ เขียนสนุก ร่างตอนแรกมีสิบสองตอน แก้ครั้งที่สองกลายเป็นสิบห้า แก้ครั้งที่สามกลายเป็นยี่สิบ แถมสุดท้ายยังจบลงที่ยี่สิบสองตอนอีกต่างหาก (ฮา)

       แม้จะเป็นเรื่องที่สองแต่ชัดเจนว่าเรื่องนี้แตกต่างจาก SINGLE PAPA ค่อนข้างมากกกกกกกก จากรักคอมเมดี้กลายเป็นนิยายที่นิยามให้ไม่ได้แบบนี้ได้อย่างไร ดราม่ารึเปล่านะ หรือว่าเป็นโรแมนซ์ คนอ่านคนเก่าๆ อาจจะไม่ค่อยชอบเรื่องนี้ แต่ก็ถือว่ามันเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่นิวรู้สึกมีความสุขมากที่ได้แต่ง <3 พยายามบิ้วท์อารมณ์ในการแต่งแต่ละตอนมาก ฟังเพลงซ้ำๆ จนเคยน้ำตาไหลไปพิมพ์ไปก็มี (ที่ตลกกว่านั้นคือคุณแม่เปิดประตูมาแล้วถามอย่างใหญ่โตว่าเป็นอะไร เปล่าค่ะแม่ หนูแค่อินจัด ฮา)

       จุดเริ่มต้นของเรื่องนี้มาจากคำว่า ‘ความเงียบ’... มีคนเคยพูดว่าความเงียบน่าอึดอัดเสมอเมื่อมีคนอยากจะพูด ใช่ มันเป็นเรื่องจริง บางทีเราอยากจะพูดอะไรหลายอย่างกับใครสักคนหนึ่งมากแต่ไม่กล้าพอที่จะเปล่งเสียออกไป ไม่กล้าที่จะตั้งคำถาม ไม่กล้าที่จะคาดคั้นหาคำตอบ ความผิดเขาหรือ...ก็ไม่ใช่หรอก มันเป็นความผิดของเราเองที่กล้าไม่พอ…แล้วก็มาตั้งเศร้าเสียใจทีหลังว่าทำไมตอนนั้นไม่ทำแบบนั้น ทำไมไม่ทำแบบนี้...แล้ว ‘ตอนนี้’ แก้ไขอะไรได้ไหม?

       ก็ใช่ไง...ทำอะไรไม่ได้แล้ว

       ตัวแทนของพีรพัฒน์คือความลังเล ส่วนกชอินทร์เป็นความยึดติด การดำเนินเรื่องผ่านพระเอกไม่ใช่เรื่องง่ายโดยเฉพาะพระเอกที่มันไม่เคยรู้อะไรเลยแบบพีท แต่สิ่งหนึ่งที่มีความสุขมากที่ได้เขียนคือความอึดอัดที่พีทได้รู้สึก ทั้งอึดอัดทั้งสับสน ถ้าคนอ่านเคยรู้สึกแบบพีทก็น่าจะทำให้อินได้มากขึ้น หรือถ้าไม่เคย และเป็นคนที่ทำให้อีกฝ่ายอึดอัดอยู่ ได้โปรด พูดมันออกมาเถอะค่ะ บอกสาเหตุแล้วเดินจากไปก็ได้...อย่าเดินจากไปเฉยๆ เลย คนที่ยืนอยู่ที่เดิมมันทำอะไรไม่ถูก จะเดินไปจากตรงนี้ก็ไม่ได้

       ส่วนตอนจบ เรื่องของเอ็กซ์ ทำไมมันเคลียร์กว่านี้ไม่ได้ อย่าที่บอกว่ามันเป็นเรื่องราวที่เล่าผ่าน ‘พีรพัฒน์’ และมันเป็นเรื่องจริงที่ว่า บางสิ่งต่อให้เข้าใจ พยายามเปิดใจยอมรับ แต่ไม่สามารถปล่อยผ่านมันไปได้ในทันที มันต้องใช้เวลากว่าบาดแผลจะจางหายไป...ถึงมันจะจางแค่ไหนมันก็น่าจะมีร่องรอยเหลืออยู่ แม้ว่าตอนนั้นเราจะไม่เจ็บเวลาสัมผัสมันแล้วก็ตาม

       แล้วก็... ถ้านิยายเรื่องนี้มีข่าวดีจะมาแจ้งให้ทราบ หวังว่าจะอยู่รอฟังกันนะคะ

       สุดท้ายนี้... ขอขอบคุณพื้นที่ในเว็บเด็กดีและเล้าเป็ด ขอบคุณทุกคนที่กดเข้ามาเพิ่มยอดวิว ทุกความคิดเห็น ทุกคำวิจารณ์ ทุกคนที่เข้ามาอ่านเรื่องนี้และอ่านจนถึงประโยคสุดท้ายนี้ ต้องขอขอบคุณมากจริงๆ นะคะ

       ขอบคุณความรักครั้งหนึ่งที่สอนให้รู้จักกับความขี้ขลาดและความหวาดกลัว ทั้งรอยยิ้มและน้ำตา ขอบคุณประโยคที่ว่า ‘ขี้เกียจคุย’ ฉันหวังว่าเธอจะมีความสุข ไม่เครียดกับทุกเรื่องแบบนี้ ขอให้เธอโชคดี ส่วนฉันก็หวังว่าตัวเองจะฝังทุกความรู้สึกที่มีให้แกมาตลอดห้าปีเต็มไว้กับตัวอักษร 247,053 อักขระแทนคำที่ไม่มีโอกาสได้พูดให้ฟัง

เอ็นเอ็น

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ zombi

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-5
ในที่สุดก็ได้บอกรักกัน

จบกับความรู้สึกที่อยากจะพูดแต่พูดไม่ได้ อยากจะถามแต่ไม่ถามเสียที
เริ่มสร้างความรู้สึกดีๆด้วยกัน ขอให้ครอบครัวอบอุ่นเร็วๆนะ

ออฟไลน์ milkteabeige

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 336
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ดีค่ะ ไม่ดราม่าแต่หน่วง อย่างที่คุณนักเขียนบอก เพราะเราอ่านทุกอย่างจากความคิดของพีท คนที่ไม่เคยรู้อะไรเลย คิดได้แต่ไม่มีความกล้า และมาเสียดายทีหลัง ในตอนหลังๆ ที่อยู่ๆ พีทก็กล้าขึ้นมานี้ รู้สึกแปลกใจและนับถือที่สลัดความกลัวเพื่อความรัก แต่อย่างว่าค่ะ พีทดันมาคู่กับอินทร์ที่ยึดติดกับสิ่งที่ตัวเองทำผิด อินทร์ไม่ต่างจากพีทนะเราว่า คือรู้ตัวว่าผิด แต่ก็ไม่กล้าแก้ไข ได้แต่อยู่กับความคิดนั้นๆ เพื่อลงโทษตัวเอง เรื่องนี้เราว่าคุณแม่น่ารักสุด ฮาาาา

ความรักมีหลายรูปแบบมากๆ นอกจากทำให้เห็นแล้ว ต้องพูดให้รู้ด้วยเนอะ ชอบบทสรุปของเรื่องค่ะ ทุกอย่างสมบูรณ์แล้ว

ขอบคุณมากๆ เลยค่ะ ^^

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
กว่าจะหายใจหายคอคล่องก็จบซะแล้ว คำว่า รัก คงไม่หลุดออกถ้าไม่มีคำว่า จบ ใช่ไหมคะ!!!!! แหม่ กว่าจะบอกรักกันได้แล้วเราได้ยินด้วยนี้ :เฮ้อ:

ออฟไลน์ youuue

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 135
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1
 :pig4: :pig4: :3123: :3123:

ขอบคุรมากขอรับ  ตามติดมาตลอด ลุ้นๆอยู่  o13

ออฟไลน์ JustWait

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-4
เป็นเรื่องที่อ่านด้วยความรู้สึกหน่วงๆตลอดเรื่องแม้จะจบแฮปปี้..

ออฟไลน์ Malimaru

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-4
    • facebook
ขอบคุณคนเขียนที่แต่งเรื่องราวดีๆแบบนี้ออกมานะคะ...
ยิ่งได้อ่านแรงจูงใจของเรื่องแล้วรักเลย ^^ 
ที่สำคัญ...ภาษาสวยงาม ทำให้อ่านเพลินเชียวค่ะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด