ตอนที่ 20 เพื่อนคุณเคยทำของสำคัญหายไปบ้างไหมคะ แรกเริ่มอาจจะไม่รู้ตัวเลยว่าทำหาย ใช้ชีวิตไปอย่างธรรมดา แต่พอรู้ว่ามันไม่อยู่ที่ที่ควรจะอยู่แล้วเท่านั้น ความกระสับกระส่าย ความกังวลใจ และความหวนหาต่างก็โถมเทเข้ามาพร้อมกันในทีเดียว เหมือนขาดมันไปแล้วจะตายให้ได้ ทั้งที่ก็อยู่แบบไม่มีมันได้ตั้งนานสองนานตอนยังไม่รู้ว่ามันหายไป ตลกดีใช่ไหมคะ
ฉันทำของสำคัญหายไป
ของชิ้นนั้น ให้ถูกคือคนคนนั้น...คุณหนึ่งหทัย เขาคือสัญลักษณ์ของมิตรภาพที่น่าประทับใจ
เราเคยสนิทกันมาก เคยพบเจอและพูดคุยกันในค่ายวิชาการค่ายแรกตั้งแต่มอสี่โน่นแน่ะ เราอยู่กลุ่มเดียวกันตอนทำกิจกรรมภาคเช้า ฉันรู้สึกเหมือนว่าตัวเองซึ่งเป็นผีเสื้อหลงทาง ในที่สุดก็พบกับผีเสื้อลายเดียวกันโดยบังเอิญ ในที่สุดฉันก็ไม่โดดเดี่ยว
เราแลกไอดีกัน คุยเรื่องวิชาการอยู่สักพัก เราก็เริ่มย้ายไปคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ต่อ ทั้งเรื่องระบบการศึกษา ระบบการจัดสอบ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน
ไปๆ มาๆ ฉันก็เริ่มบ่นเรื่องสัพเพเหระในชีวิตให้เขาฟัง คุณเดียวก็น่ารักนะคะ ไม่ว่าสักคำ แถมยังร่วมบ่นไปด้วยกัน บางทีเราก็ถกประเด็นนั้นนี้กันเล่นๆ เหมือนว่าง แค่เพราะต่างเบื่ออ่านหนังสือกันแล้วทั้งคู่
อันที่จริงพวกเราก็เป็นไทป์เด็กเนิร์ดน่ะค่ะ แต่บทจะขบถขึ้นมาไม่มีใครห้ามฉันได้ ฉันว่าเดียวก็คงมีมุมแบบนั้นเหมือนกัน ถึงจะยังไม่เคยเห็นจะๆ ก็เถอะ
เขาก้าวเข้ามาในวงกลมของฉัน ฉันก็ก้าวเข้าไปหาเขาเช่นกัน วงกลมของเราซ้อนกันไม่สนิทนัก แต่เราก็รู้เรื่องราวของกันและกันพอสมควร อาจเรียกได้ว่าเราเป็นเพื่อนสนิทที่ไว้ใจ จะคุยเรื่องอะไรก็ไม่ต้องใส่ฟิลเตอร์
ฉันไม่เคยกลัวเลยตอนเล่าเรื่องอะไรให้เขาฟัง ฉันรู้ว่าเขาจะไม่ตัดสิน และความลับของฉันจะไม่ถูกแพร่งพรายไปที่ไหนทั้งนั้นถ้าฉันเอามาคุยกับคุณเดียว เพื่อนของฉันคนนี้
ที่จริงคุณเดียวก็ตามใจฉันมากไปหน่อยจนเสียคน ว่าไหมคะ
อ้อ ค่ะ ที่จริงฉันเป็นคนเอาแต่ใจ เป็นคนที่ถ้าไม่อยากคุย ก็จะตัดบทหนีเอาดื้อๆ ถ้าต้องทำงานแต่ทะเลาะกัน ก็จะทำเดี่ยวจนเสร็จแล้วตัดชื่อคนที่ไม่ได้ทำออก อยากได้คะแนนก็ไปทำกันเอง ฉันโดนอาจารย์เรียกคุยบ่อย แต่ฉันก็ไม่เคยปรับอะไรจนสุดท้ายอาจารย์ถอดใจยอมแพ้ไป
นิสัยไม่ดีเลย ว่าไหมคะ แต่ถ้าเราจะต้องพยายามเข้าสังคมจนเสียเปรียบและเสียสุขภาพจิตถึงปานนั้น ฉันก็ขอหันหลังให้คนทั้งโลกแล้วอยู่กับตัวเองดีกว่า
คุณหนึ่งหทัยเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวที่ถ้าไม่เข้าใจ ก็จะพยายามเข้าใจฉันอย่างแท้ที่สุด และถึงฉันจะเล่าวีรกรรมของตัวเอง ตบตีตัวเองด้วยวาจาต่อหน้าเขาแค่ไหน เขาก็จะดึงฉันให้ลุกกลับขึ้นมา ปัดฝุ่นให้ แล้วบอกว่าคุณมะลิก็แค่เลือกในแบบของคุณมะลิ
เขาจะเล่าเรื่องของเขา เขาจะเล่าว่าตัวเองผ่านมันมาอีกแบบ แล้วมันก็ให้ผลที่มีทั้งข้อดีและเสียเหมือนกัน ไม่มีทางไหนถูกต้องที่สุด ทั้งหมดนั้นล้วนเป็นทางที่เลือกไปแล้ว และตอนนี้ก็ยังเลือกได้อยู่ว่าจะทำแบบเดิม หรือจะเปลี่ยนไปเลือกทางอื่นดูบ้าง
เขาทำให้ฉันเริ่มออกไปจากที่ของฉัน พยายามก้าวเข้าหาคนรอบข้างมากขึ้น สัมผัส และค้นพบว่าโลกนี้ก็ไม่ได้เลวร้าย ไม่ได้มืดดำ แม้จะไม่ถึงกับดีเลิศหรือขาวสะอาด แต่ก็ไม่ได้แย่ถึงเพียงนั้น...
เราคุยกัน ถึงเรื่องของคุณเดียว ความลับของคุณเดียว ฉันคงบอกคุณได้ แต่อย่าเพิ่งตกใจ ฉันไม่ได้ขายเพื่อน เพียงแต่ความลับนี้ปัจจุบันไม่ใช่ความลับแล้ว
คุณเดียวแอบชอบคุณนิล แล้ววันดีคืนดีก็ตัดสินใจจะตัดใจ ฉันก็ไม่ว่าอะไร ฉันทำแบบที่คุณเดียวทำคือไม่ว่าคุณเดียวจะเลือกทางไหน ฉันก็จะไม่ตัดสิน เพียงแต่อ่านเรื่องที่คุณเดียวเล่าให้ฟังเรื่อยๆ ฉันก็เริ่มสงสัยว่าคุณเดียวจะยังตัดสินใจไม่เด็ดขาดพอ การกระทำที่ออกมาเลยไม่สอดคล้องกับเป้าหมายสักที
ฉันชวนให้คุณเดียวคิดทบทวน แล้วให้ตายสิ ทางนั้นหายไปเป็นเดือน ค่อยกลับมาบอกฉันว่าคบกันแล้ว คบกันแล้ว!? ดีนะที่คุณเดียวค่อยๆ เล่า ไม่ได้ข้ามขั้นมาบอกผลสุดท้ายเลย ไม่อย่างนั้นฉันคงตั้งตัวไม่ทัน
อ้อ แล้วมันเกี่ยวกับที่ฉันเกริ่นเรื่องทำของหายไปอย่างไร อยากถามอย่างนี้ใช่ไหมคะ
เกี่ยวสิคะ เกี่ยวอย่างที่สุด เพราะอย่างที่ฉันบอก อยู่ๆ ฉันก็รู้สึกตัวว่าเขาหายไป
กว่าจะรู้ตัว ฉันก็ไม่ได้คุยกับคุณเดียวมานานแล้ว นานมาก แต่ให้ระบุชัดว่ากี่เดือนกี่ปี ฉันก็ตอบไม่ได้ ฉันรีบติดต่อหาคุณเดียวทันทีที่ว่าง แต่ส่งข้อความไปก็ไม่ขึ้นอ่าน โทรไปก็ไม่รับ อีเมลล์คงไม่ต้องพูดถึงเลย
ไม่ค่ะ ฉันไม่ได้ลืมเรื่องราวของเขาเหมือนอย่างคุณนิลรัตน์ กลับกัน ฉันจำได้อย่างชัดเจน ก็เหมือนกับคุณลิลิตและคุณมะเหมี่ยว สองคนนั้นไม่ได้ลืมระยะเวลาตลอดสามปีที่อยู่กับเดียว เราต่างลืมไปเพียงเล็กน้อย...ลืมไปว่าคุณเดียวตายแล้ว
พวกเราสามคนคิดว่าคุณเดียวยังอยู่ และแค่หายไปชั่วคราวเท่านั้น
ก่อนจะได้ความทรงจำคืนมา ฉันเชื่อเหลือเกินว่าคุณเดียวไปอยู่ต่างประเทศ แต่พอนั่งคิดว่าทำไมไปอยู่ต่างประเทศ ไปเรียนอะไร กลับมาเมื่อไหร่ ก็ไม่มีคำตอบโผล่ขึ้นมา
ตอนนั้นแหละที่ฉันติดต่อคุณลิลิตกับคุณมะเหมี่ยว ทำให้ทราบว่าคุณลิลิตเชื่อว่าคุณเดียวโดนลักพาตัวไป ส่วนคุณมะเหมี่ยวเชื่อว่าคุณเดียวแค่ไม่ว่างเลยไม่เคยตอบข้อความ และเป็นโชคร้ายที่ทำโทรศัพท์ตกน้ำ พอเปลี่ยนแล้วยังไม่ได้บอกเบอร์ใหม่กับเธอ ก็เลยยังไม่ได้คุยกัน
เธอคิดว่าถ้าได้เจอกันในงานเลี้ยงรุ่นจะขอเบอร์ใหม่มาเมมไว้ในเครื่อง แต่ทั้งคู่ก็ไม่เคยได้เห็นคุณเดียวในงานเลี้ยงรุ่นเลย คุณมะเหมี่ยวให้เหตุผลว่าคงยุ่ง และแน่นอน คุณลิลิตก็ยังคงเชื่อว่าคุณเดียวโดนลักพาตัวไปเลยไม่สามารถมางานเลี้ยงรุ่นได้
เหตุผลพวกนี้แปลกพิกลใช่ไหมล่ะคะ แต่ตอนที่พวกเราเล่าสู่กันฟัง เราไม่ได้รู้สึกอย่างนั้นเลย เราแค่รู้สึกว่าจะต้องหาอะไรมายืนยันว่าความจริงของใครกันแน่ที่ถูก
เพราะฉะนั้น เราเลยใช้เวลาที่ว่างตรงกันเพียงน้อยนิดออกตามหามิตรภาพของเรา ออกตามหาว่าคุณเดียวหายไปไหนกันแน่ เป็นตายร้ายดีอย่างไรบ้างแล้ว
เราไม่ได้ไปที่บ้านคุณนิล แต่คุณมะเหมี่ยวเล่าให้ฟังแล้วล่ะค่ะว่าคุณนิลน่ะยิ่งกว่าเราอีก และคนที่เหลือในบ้านนั้นก็ไม่รู้จักคุณเดียวเลยสักคน ราวกับตัวตนของคุณเดียวสูญหายไป เราเลือกจะไปบ้านของคุณเดียวแทน แต่พอไปถึงก็พบว่าเป็นบ้านร้างไม่มีใครอยู่แล้ว ถามใครแถวนั้นก็ไม่ได้ความอะไรเพราะเขาเพิ่งย้ายมาใหม่
ของที่เราตามหา บางทีก็อยู่ในที่ที่เราคาดไม่ถึง...
“มะลิ อันนี้ของเธอนี่ เอาไปไว้ห้องพี่ทำไม”
“มะลิเปล่านะคะ พี่ตะวันอย่ามาปรักปรำ”
“เอ้าแล้วนี่อะไร” คุณจีรัสย์ส่งถุงสีทองๆ ให้น้องสาวดู แต่เธอยังง่วนอยู่กับการท่องหนังสือเตรียมสอบลงกอง ซึ่งเป็นการสอบหลังจากเรียนจบวิชานั้น ก่อนจะได้เริ่มเรียนวิชาใหม่ต่อไป
เห็นน้องสาวไม่หันมา เลยส่งเสียงอีกที “นี่ชื่อเพื่อนเธอไม่ใช่รึไง”
“มะลิไม่เคยเอาของเพื่อนกลับบ้านนะคะ ถ้ายืมมาก็ต้องคืนไปแล้ว” ยังอุตส่าห์ท่องไปคุยไปได้ด้วยหรือนี่
จีรัสย์ถอนหายใจ “ไม่ได้พูดถึงของยืม เธอหันมาดู จีริกา”
ในถุงผ้าสีทองนั้นมีผ้าเช็ดหน้าสีฟ้าอยู่กับยาดมยี่ห้อดัง มีป้ายสีทองเล็กๆ ติดอยู่กับหูหิ้ว บนป้ายเขียนว่า...
[ที่ระลึกงานฌาปนกิจ นายหนึ่งหทัย เจริญไพศาลนันท์ xx กรกฎาคม 25xx]
เป็นชื่อของรักเดียวจริงๆ แต่เพื่อนของเธอ...ตายแล้วหรือ...เมื่อหลายปีก่อน
ไม่ได้ฝันอยู่ใช่ไหม
ได้ยังไง
เกิดอะไรขึ้น
คำถามประเดประดังเข้ามาไม่จบสิ้น มะลิเงยหน้ามองพี่ชาย “พี่ตะวันรู้ได้ยังไงคะว่าเป็นชื่อเพื่อนมะลิ”
“ก็พี่ไปกับเธอเองเพราะแม่เขาเป็นห่วง เธอเคยไปงานศพใครที่ไหน” ตะวันส่งของคืนน้องสาว
จีริการับมา ขมวดคิ้วครุ่นคิด “พี่ตะวัน พี่ว่าเป็นไปได้มั้ยคะที่คนเราจะลืมเรื่องที่เคยรู้...ไม่ใช่เราลืมคนเดียว แต่คนที่เรารู้จักก็ลืมเหตุการณ์นั้นไปเหมือนกัน”
จีรัสย์ออกจะขำ น้องเขาเพี้ยนไปแล้ว “ถามอะไรของเธอ ถ้าอ่านเยอะแล้วยังจำไม่ได้ก็พักบ้างยายมะลิ แล้วฝึกปฏิบัติบ้างรึยัง มีเพื่อนให้จับคู่ฝึกบ้างไหมน่ะ หาไม่ได้พี่จะเสียสละเวลาให้เอง แต่ต้องบอกล่วงหน้าล่ะ”
มะลิยู่หน้า พึ่งพาไม่ได้เลย “ค่ะ คุณจีรัสย์คนเก่ง เชิญ กลับ ไป ได้ แล้ว ค่ะ!” เธอทั้งผลักทั้งดันพี่ชายออกจากห้อง มีอย่างที่ไหน เข้าห้องน้องไม่เคาะประตู แถมเสนอความช่วยเหลือแต่ละทีไม่เคยหยุดหลงตัวเองได้เลย “แล้วก็ มะลิมีสังคมนะคะ ไม่ต้องมาทำพูดอย่างนั้นเลย น่าหมั่นไส้!” เธอปิดประตู ที่จริงอยากปิดดังปึง แต่เดี๋ยวจะหาว่าไม่มีมารยาท(แม้จะทราบดีว่าแค่นี้ก็นับว่าไม่มีมารยาทแล้ว)
“เดี๋ยวนี้หัดไล่พี่แล้วหรือ!” ตะวันไม่อยากเชื่อเลยว่าน้องสาวของเขาจะออกปากไล่กันอย่างนี้ได้ “เดี๋ยวก่อนเถอะนะ พี่จะฟ้องคุณยาย” เสียงอู้อี้ดังลอดประตูมา นางสาวจีริกาหัวเราะเหอะอย่างไม่สำรวม
“ทำอย่างกับตัวเองพูดครับกับเพื่อน”
“ก็พูดนะ” พูดจริงๆ เฉพาะโอกาสพิเศษ เช่นอยากประชดเป็นพิเศษ
“คุณ ผม”
“ก็พูดนะ” เฉพาะตอนที่กำลังออกสื่อ
“พูดค่ะพูด พูดสักสามในสิบ ที่เหลือกลับไปสมัยพ่อขุนรามหมด อย่าให้มะลิถึงกับต้องอัดเสียงไปฟ้องคุณยายนะคะ”
“จ้ะ พี่ไม่กวนแล้ว เชิญน้องรักอ่านให้สบาย ไม่ต้องเห็นเดือนเห็นตะวัน”
มะลิอยากจะสวนกลับไปเหลือเกินว่า ก็เห็นนี่คะ แต่พอเถอะ เดี๋ยวจะไม่ได้อ่านหนังสือ
เธอเดินกลับไปที่โต๊ะ มองของในมือแล้วภาพหลายภาพก็กลับมาฉายซ้ำ แม้จะไม่ครบทั้งหมด แต่ก็ได้ความว่านายหนึ่งหทัยจากโลกนี้ไปแล้วจริงๆ ที่เธอรู้จักลิลิตกับมะเหมี่ยวก็เป็นหลักฐานชั้นดีที่มองข้ามมาตลอด ของในมือนี้ก็ด้วย แล้วไหนจะภาพความทรงจำที่เพิ่งได้เห็น
จีริกาเล่าเรื่องนี้ให้อีกสองคนฟังพร้อมนำของมายืนยันเป็นหลักฐาน
รักเดียวไม่เคยตอบข้อความเพราะอะไร โทรไม่ติดเพราะอะไร ทำไมไม่เคยมางานเลี้ยงรุ่น ทำไมไปหาแล้วพบว่าบ้านของเขากลายเป็นบ้านร้างไป ทั้งหมดได้คำตอบแล้ว
แต่ก็ยังมีคำถามที่พวกเธอตอบไม่ได้ ทำไมเราถึงลืมว่าหนึ่งหทัยตายไปแล้ว ทำไมบ้านคุณพิวัฒน์ถึงจดจำรักเดียวไม่ได้ ราวกับจงใจให้ทุกคนหลงลืม ไม่ว่าจะลืมความสัมพันธ์ที่มี หรือลืมความสูญเสียที่เกิด
เพราะเหตุนั้น ทั้งสามจึงมายืนอยู่หน้าบ้านคุณพิวัฒน์
“อ้าว สวัสดีครับ มาหาเฮียนิลใช่ไหมฮะ เข้ามาก่อนสิ” มรกตวางสายยาง ปิดน้ำ สาวเท้ายาวๆ มาเปิดประตูบ้านให้ ตอนเปิดก็พูดไปด้วย “เฮียนิลจำพี่เดียวได้แล้วนะครับ ตอนนี้ที่บ้านก็จำพี่เดียวได้หมดแล้ว ไม่รู้ทำไมถึงได้ลืมไป แปลกมากจริงๆ ”
สามคนมองหน้ากัน มะเหมี่ยวเป็นคนเอ่ยถาม “จำได้ตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอกต”
เด็กหนุ่มเปิดประตูบ้านให้ เดินนำไปยังส่วนรับแขก “คือมันจำได้ทีละนิดทีละหน่อยอะครับ เริ่มต้นก็สัปดาห์ก่อนเลย แม่ผมนึกอะไรไม่รู้ทำผัดเต้าหู้ แล้วก็พูดขึ้นมาว่าพี่เดียวชอบเต้าหู้ จากนั้นมาเราก็นึกออกกันทีละอย่างสองอย่าง”
ที่จริงถ้าคราวที่มาหาครั้งนั้นมะเหมี่ยวไม่ได้ถามถึงหนึ่งหทัย พวกเขาก็อาจจะลืมคนคนนี้ตลอดไป เพราะก่อนหน้านั้นไม่มีใครในบ้านจำได้เลยว่าเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน ราวกับไม่มีตัวตน
“อ้อ แต่เฮียนิลแกจำได้ก่อนหน้านั้น ตั้งแต่เมื่อไหร่อันนี้ผมก็ไม่รู้” มรกตได้ยินเสียงจากบันได เลยหันมองไปเห็นพี่ชายเดินลงมาพอดี “มานั่นละฮะ งั้นเดี๋ยวกตไปรดน้ำต่อก่อนนะครับ”
“จ้ะ ไปเถอะ” มะเหมี่ยวบอก ในขณะที่มะลิหันไปมองนิลรัตน์ที่เดินเข้ามาใกล้ “คุณจำได้แล้วใช่มั้ยคะ”
นิลรัตน์พยักหน้า
ลิลิตรีบบอก “พวกเราตอบได้แล้วนะ ว่าเดียวหายไปไหน”
“เราก็รู้แล้วเหมือนกัน นั่งก่อนสิ เดี๋ยวเรารินน้ำมาให้” แทนที่จะมีท่าทีปฏิเสธระคนหน่ายรำคาญอย่างเคย นิลรัตน์กลับตอบรับอย่างมีไมตรี ราวกับเป็นนิลรัตน์ที่เพื่อนร่วมสถาบันทั้งสองรู้จักอีกครั้ง
เรื่องราวที่ผ่านการเรียบเรียง กลั่นกรองอยู่หลายครั้งในหัว ค่อยๆ เรียงร้อยออกมาเป็นสิ่งที่เขาได้เผชิญ
ในสีหน้าแววตาของผู้มาเยือนบรรจุความรู้สึกหลากหลาย ทั้งประหลาดใจ คลายสงสัย และหม่นหมอง ผู้ฟังทั้งสามไม่ได้เอ่ยขัดเลยตั้งแต่ต้นจนจบ สิ้นเสียงสุดท้าย ก็ต่างระลึกรู้ในใจว่าไม่มีอะไรจะทำได้อีกแล้ว
ก่อนจะกลับออกไป จีริกาถอนหายใจ ปรับอารมณ์ใหม่ แล้วก็หันไปกล่าวทิ้งท้ายกับเจ้าของบ้าน ในแววตานั้นมีเศษเสี้ยวของความหวังแทรกปนอยู่
“ขอให้พวกคุณได้พบกันอีกครั้งนะคะ”
ณ ที่หนึ่งที่ใด ในกาลหนึ่งข้างหน้า หวังว่าพวกเขาจะได้พบกันนิลยิ้มและเอ่ยขอบคุณ แม้ไม่รู้ว่าคำนั้นจะเป็นจริงได้หรือไม่
เขายังคงใช้ชีวิตที่ปราศจากคนรักคนรู้ใจ แต่ชีวิตก็มิได้จืดชืดโหวงเปล่าเหมือนเช่นเคย
ความทรงจำทั้งหมดก็ได้คืนมาแล้ว บาดแผลใจทั้งหมดสมานเข้าหากันทีละน้อยจนเกือบจะหายดี เขามิได้กรีดตัดบาดแผลซ้ำไปซ้ำมาด้วยความรู้สึกผิด หรือความโกรธตัวเองอีกแล้ว เพราะเข้าใจแล้วว่าบางเรื่องเราก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้หรอก เราทำได้แค่ยอมรับอย่างที่มันเป็น และใช้ชีวิตต่อไปอย่างเข้มแข็งกว่าที่เคย
คนเราไม่ได้อยู่ค้ำฟ้า ต่อให้วันนั้นเดียวไม่ตาย แล้ววันไหนล่ะ? ต่อให้ครอบครัวเดียวไม่ต้องเจอเรื่องร้ายใดเลย ก็ใช่จะไม่ต้องจากกัน
คนเราเกิดมาพบพานกันแล้ว ไม่จากเป็นก็จากตาย สุดท้ายเราก็ต้องอยู่ให้ได้ในวันที่ไม่มีเขา และยังต้องยอมรับด้วยว่ากับตัวเราเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าวันไหนจะเป็นวันสุดท้าย
เมื่อถึงเวลา บานประตูก็จะเปิดออก เท้าของเขาก็จะก้าวไปข้างนอกนั้นเหมือนเช่นที่เดียวก้าวออกไป
แต่ก่อนเวลาดังว่าจะมาถึง เราจะใช้ชีวิตอย่างไร ทุกข์สุขแค่ไหน ก็อยู่ที่เราเองเป็นผู้เลือก
************
พรุ่งนี้พบกันค่ะ จะจบแล้วจ้า OwQ
แต่อาจจะมีตอนพิเศษตามมาค่ะ ต้องดูก่อนว่าจะเขียนได้ไหม ตอนนี้ในสต็อกมีอยู่ตอนนึง แต่รู้สึกว่ามันเป็นตอนพิเศษที่ยังไม่ค่อยให้ความรู้สึกอิ่มเอมน่ะค่ะ อยากได้อีกซักตอนมาลงก่อน แต่ก็ยังไม่มีฟีลเขียน ว่างเปล่ามากค่ะ ฮือ
เอาเป็นว่าถ้าได้เขียน ก็จะนำมาลงค่ะ 555 กลับมาสิงเราอีกรอบนะทั้งสองคนน อย่าเพิ่งไปป
ขอบคุณที่ติดตามและเป็นกำลังใจให้มาเสมอนะคะ