Chapter 4“หนูไมค์ พวกป้ากลับก่อนนะลูก ช่วยป้อนข้าวคุณสองเมืองด้วยนะคะ”
ไมค์พยักหน้ารับ
“อันนี้คือแกงจืด ส่วนจานนี้คือปลาราดพริก จานสุดท้ายเป็นผัดผัก”
ไมค์พยักหน้าเข้าใจ
“อุ๊ยตายจริง ป้าลืมจัดชุดนอนให้คุณสองเมือง วานหนูไมค์ช่วยหน่อยนะลูก วันนี้ป้ารีบกลับจริงๆ”
ป้าอรแนะนำเมนูอาหารสำหรับวันนี้เสร็จก็วานให้ไมค์จัดชุดนอนให้สองเมืองแล้วรีบเดินทางกลับกับป้าแช่มพร้อมลุงเขียวและน้ากรที่รออยู่ก่อนหน้านั้น เฮ้อ...อะไรกันนี่วันนี้ต้องป้อนข้าวสองเมืองอีกแล้วเหรอ แถมยังต้องไปจัดชุดนอนให้เจ้าตัวอีก เมื่อวานกว่าจะป้อนข้าวเสร็จทั้งเป่าทั้งสะกิดทั้งป้อน รู้ไหมมันเหนื่อยแค่ไหน แถมต้องกะเวลาป้อนให้ดีด้วย ต้องสังเกตว่าสองเมืองกลืนเสร็จรึยังค่อยป้อนคำต่อไป มิหนำซ้ำไมค์ต้องพาสองเมืองเข้านอนอีกกว่าจะนอนได้ก็เรื่องมากซะเหลือเกิน จะเอานู้นเอานี้ตลอดเลย
ก๊อกๆ ก๊อกๆ
“เข้ามา” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นจากในห้อง ไมค์เปิดประตูเข้าไปอย่างกล้าๆกลัวๆก่อนจะเห็นร่างสูงกำลังเดินออกจากห้องน้ำพอดี ทั้งตัวของสองเมืองมีแค่ผ้าผืนเดียวคาดเอวอยู่ โชว์แผงอกเปลือยเปล่าที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อเป็นรอนและผิวขาวกระจ่าง
สองเมืองหยุดหันมาทางประตูที่ไมค์เปิดเข้ามาแล้วเค้าก็เดิมคลำหาชุดนอนอยู่บนเตียงเหมือนเป็นกิจวัตร ป้าอรจะจัดชุดนอนไว้ให้สองเมืองวางไว้ที่เตียง แต่ทำไมวันนี้ไม่มีเหมือนเคย ร่างสูงหยุดการกระทำแล้วเอี้ยวตัวมาทางเสียงประตูเมื่อกี้
“ป้ายังไม่จัดชุดให้ผมเหรอครับ รีบเถอะครับเดี๋ยวจะกลับบ้านค่ำ” สองเมืองค่อยๆนั่งลงบนเตียงอย่างระมัดระวังพลางใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กเช็ดผมไปด้วย
คนตัวเล็กเดินเข้าเปิดตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่ก่อนจะควานหาชุดนอนและชั้นในของอีกคน พอได้ของทั้งหมดก็ยื่นให้อีกคนตรงหน้า ส่วนร่างสูงก็ได้แต่นั่งเงียบไม่รับชุดนอนไปซะที ไมค์ตัวน้อยเริ่มเมื่อยแขนแล้วนะ เอ๊ะ..ไมค์ลืมไปรึเปล่าว่าสองเมืองตาบอด จริงด้วยสิ..เค้ามองไม่เห็นนี่หน่าว่าไมค์กำลังยื่นเสื้อผ้าให้อยู่ ไมค์ต้องสะกิดอีกคนเบาๆเพื่อให้รู้ตัว
“ขอบคุณครับป้า” สองเมืองคงยังไม่รู้สินะว่าเป็นไมค์ แต่ก็ดีแล้วไมค์จะไม่ได้โดนดุ
ร่างสูงเดินเข้าห้องน้ำอีกครั้งเพื่อใส่เสื้อผ้า ส่วนคนตัวเล็กก็ยื่นรออยู่หน้าห้องน้ำเหมือนเคย เพราะหน้าที่ต่อไปของไมค์ก็คือป้อนอาหารเย็นให้กับสองเมือง วันนี้เป็นวันที่สองที่เค้าทั้งสองคนได้อยู่ด้วยกัน ยิ่งเข้าใกล้เทศกาลปีใหม่แล้วด้วยสิ ไมค์แอบได้ยินมาว่าพวกป้าๆและลุงๆที่ทำงานอยู่บ้านใหญ่จะเดินทางกลับไปบ้านเกิดที่ต่างจังหวัดกัน อีกไม่กี่สัปดาห์เองนะ แล้วหนึ่งสยามก็ยังไม่กลับมาจากอเมริกาซะด้วยสิ ถ้าเกิดถึงตอนนั้นทุกคนต้องแยกย้าย หนูไมค์ก็คงได้อยู่กับสองเมืองสองต่อสอง อะไรจะบังเกิดล่ะทีนี้ คนนึงก็ใบ้อีกคนก็ตาบอด จะสื่อสารกันยังไง
สองเมืองเปิดประตูออกมาจากห้องน้ำก่อนจะเดินคลำไปตามผนังเพื่อเดินไปที่ประตูหน้าห้อง เห็นแบบนี้แล้วไมค์ก็เกิดสงสารสองเมืองขึ้นแล้วสิ ถึงเค้าจะพูดไม่ได้แต่เค้าก็มองเห็นและสื่อสารภาษามือกับคนอื่นได้ อีกทั้งเวลาเจออันตรายไมค์ก็สามารถหลบเลี่ยงได้ แต่สองเมืองนี่สิมองก็ไม่เห็น ถ้าเกิดอะไรขึ้นมาเค้าไม่ทันระวังตัวก็คงเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย ถึงคนในบ้านจะช่วยดูแลสองเมืองอย่างใกล้ชิดแต่ร่างสูงก็มักปฏิเสธเสมอ เค้าคงไม่อยากเป็นภาระของใคร
“ไอ้ไมค์!! ไอ้ไมค์!!!!!” ร่างสูงเปิดประตูออกไปข้างนอกแล้วตะโกนลั่นบ้านเพื่อเรียกคนตัวเล็ก หารู้ไม่ว่าหนูไมค์ยืนอยู่ข้างหลังเค้ามาตลอด ไมค์เอี้ยวไปยื่นดักข้างหน้าก่อนจะสะกิดอีกคน
“มาเมื่อไหร่ ทำไมกูไม่ได้ยินเสียงเท้ามึงเลย มึงก็รู้ว่ากูมองไม่เห็นต่อไปเดินแรงๆให้มีเสียงฝีเท้าด้วยกูจะได้รู้ว่ามึงมา เข้าใจไหม” ไมค์พยักหน้ารับ เอ๊ะ..เค้าลืมไปอีกแล้วว่าสองเมืองมองไม่เห็นนี่หน่า
“ถ้าเข้าใจให้บีบมือกูสองครั้ง ถ้าไม่เข้าใจเอาหัวมึงมาใกล้ๆกูจะโบกให้”
เจ้าหนูไมค์รีบจับมือหนามาบีบสองครั้งเบาๆก่อนจะเดินจูงแขนร่างสูงเข้าห้องครัว จัดแจงที่นั่งให้อีกคนเรียบร้อยจากนั้นก็ยกอาหารที่ป้าอรทำเอาไว้มาตั้งโต๊ะตรงหน้าสองเมือง หนูไมค์ตักแกงจืดใส่ข้าวสวยร้อนๆแล้วเป่าเบาๆก่อนจะสะกิดร่างสูง เจ้าตัวรู้งานก็อ้าปากรอหนูไมค์ก็ป้อนเข้าปากทันที
“แกงจืดเหรอ เอาแกงจืดไว้เบอร์หนึ่ง” หมายความว่ายังไงนะ เอาแกงจืดไว้เบอร์หนึ่ง หนูไมค์ไม่เข้าใจที่สองเมืองพูดเอาซะเลย
“มีอะไรอีก” คนตัวเล็กตักปลาราดพริกป้อนอีกคน ร่างสูงก็พยักหน้าเหมือนรับรู้รสชาติและรู้ว่ามันคืออะไร
“เอาไว้เบอร์สอง” อะไรนะ...เบอร์สองยังไงเหรอ หนูไมค์ไม่เข้าใจอีกแล้ว
“มีอะไรอีก” คราวนี้เป็นผัดผัก หนูไมค์สะกิดร่างสูงแล้วก็ป้อนผัดผักเข้าปาก และทันใดนั้นเองเมื่อรสชาติผักเข้าปากสองเมือง เค้าก็รีบคายออกทันทีดีนะที่หนูไมค์เอามือรองรับไว้ก่อน ไม่งั้นคงเปื้อนผ้าปูโต๊ะสวยนี่แน่เลย ตอนนี้สองมือน้อยๆของหนูไมค์เต็มไปด้วยข้าวและผัดผักที่ร่างสูงคายออกมา ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยทำอะไรขนาดนี้เลยนะ ถึงจะเป็นเด็กรับใช้ของร้านอาหารแต่ก็ไม่เคยเอามือมารองเศษอาหารแบบนี้ แต่ไม่เป็นไร..ครอบครัวสองเมืองมีบุญคุณกับหนูไมค์ หนูไมค์ต้องดูแลสองเมืองดีๆ
คนตัวเล็กวิ่งดุ๊กๆเข้าห้องครัวแล้วทิ้งเศษอาหารในมือลงถังขยะก่อนจะล้างมือให้สะอาด และตอนนี้สองเมืองกำลังโวยวายใหญ่แล้ว หนูไมค์กลัวว่าสองเมืองจะอาละวาดเลยรีบวิ่งไม่ทันดูอะไรขาเล็กๆก็ไปกระแทกกับเคาท์เตอร์บาร์ในห้องครัว หนูไมค์ก้มมองขาตัวเองที่ตอนนี้มีรอยแดงๆเกิดขึ้นที่หน้าแข้งแล้วสิ ไม่สิ...ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาห่วงขาตัวเอง หนูไมค์ต้องไปดูแลสองเมืองก่อน เจ้าตัวก็เดินกะเผลกๆกลับไปที่โต๊ะอาหาร พอสะกิดร่างสูงเท่านั้นแหละเจ้าตัวก็หัวควับมาทางหนูไมค์ด้วยสีหน้าเกี้ยวโกรธ
“มึงไปไหนมา!!!!!” หนูไมค์สะดุ้งจนตัวโยน ตกใจเสียงทรงพลังของสองเมือง
“ลืมไปว่ามึงเป็นใบ้...แล้วทำไมคนเป็นใบ้กับคนตาบอดต้องมาอยู่ด้วยกัน ทำไมกูต้องถูกทิ้งอยู่เรื่อยเลย!” คนตัวเล็กนั่งลงเก้าอี้ข้างๆก่อนจะเหลือบมองหน้าอีกคน ตอนนี้สองเมืองมีสีหน้าเจ็บปวดอย่างเห็นได้ชัด
ความน้อยมันเริ่มก่อตัวขึ้นมาทีละนิดจนกลายความเจ็บปวด สองเมืองเข้าใจดีว่าตัวเองเป็นลูกชังมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เพราะตัวเค้าเองที่ชอบทำตัวเกเรมาตั้งแต่เด็กจนทำให้คนรอบข้างเอือมระอาไปหมด เค้าทำให้พ่อกับแม่เสียใจอยู่บ่อยครั้ง จนท่านทั้งสองมีทีท่าหมางเมินใส่สองเมือง เค้าทำเหมือนไม่แคร์ไม่ใส่ใจถึงจะไม่มีใครสนเค้าก็ไม่เห็นจะสนใจอะไร ที่เค้าพยายามช่วยเหลือตัวเองและปฏิเสธคนอื่นเป็นพัลวันก็คงเพราะอยากให้ท่านปิ่นฤดีกับคุณหญิงหยกมณีได้เห็นว่าลูกชายคนนี้ไม่ได้เป็นภาระของใคร
ลูกชายทั้งสามคน มีเพียงสองเมืองเท่านั้นที่เป็นจุดด่างพล้อยของตระกูลหงส์วิไลเลิศสกุล ตั้งแต่วัยรุ่นจนถึงเดียวนี้เค้าสร้างแต่ความเสียหายและความอับอายให้แก่วงศ์ตระกูลตัวเอง ไม่เคยทำเรื่องดีๆอะไรสักอย่าง ผู้เป็นพ่อกับแม่ก็เตือนซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยความเป็นห่วงแต่เค้ากลับไม่เชื่อฟัง ถ้าหากเค้ายอมรับและเชื่อฟังท่านเค้าก็คงไม่มาเจอเรื่องร้ายแรงแบบนี้หรอก อาจจะผิดที่ตัวของเค้าเอง
“ช่างเถอะ....ป้อนต่อเถอะ กูไม่ชอบกินผักรู้ไว้ซะไอ้ขี้ข้า” หนูไมค์ตักแกงจืดและปลาราดพริกสลับกันแต่นั้นก็ทำให้คนกินเกิดความไม่พอใจขึ้นมา
“เอาแกงจืดไว้เบอร์หนึ่ง เอาปลาราดพลิกไว้เบอร์สอง เข้าใจไหม? เข้าใจให้บีบมือกูสองครั้ง” ร่างเล็กอยากจะถามออกไปว่าจะให้เอาปากกามาเขียนไหมว่าแกงจืดเบอร์หนึ่ง ปลาราดพริกเบอร์สอง แล้วผัดผักไม่กินเหรอเสียดายจัง เออลืมไปเลยว่าสองเมืองไม่ชอบกินผัก งั้นป้อนแค่สองอย่างแล้วเก็บผัดผักไว้กินเองดีกว่า
ถึงตอนนี้หนูไมค์จะยังไม่เข้าใจที่สองเมืองบอกแต่ก็จำยอมบีบมือคนร่างสูงสองครั้งเพื่อบอกว่าตัวเองเข้าใจ แต่ที่จริงหนูไมค์ยังงงงวงยกับคำสั่งของสองเมืองอยู่เลยนะ ถ้าไม่เข้าใจที่สองเมืองสั่งหนูไมค์คงโดนดุและโดนโบกหัวเหมือนที่เจ้าตัวเคยพูดไว้แน่ๆ
“เบอร์สอง” เอ๊ะ..เบอร์สองงั้นเหรอ เมื่อกี้สองเมองบอกว่าแกงจืดเบอร์สองรึเปล่านะ หนูไมค์สะกิดแล้วตักแกงจืดพร้อมกับข้าวเข้าปากอีกคน สองเมืองขมวดคิ้วก่อนจะใช้มือทุบโต๊ะดัง ปึง!
“นี่มึงโง่หรือฉลาดน้อยห้ะไอ้ไมค์ กูบอกว่าเบอร์สองปลาราดพริก มึงก็ตักปลาราดพริกสิวะ ตักแกงจืดทำไม แกงจืดมันอยู่เบอร์หนึ่ง!”อ๋อ เป็นแบบนี้นี่เองหนูไมค์เข้าใจแล้ว คนตัวเล็กรีบจับมือหนามาบีบสองครั้งเพื่อให้อีกคนรู้ว่าเค้าเข้าใจเป็นที่เรียบร้อยแล้วนะ
“เบอร์สอง เบอร์สอง แล้วก็เบอร์หนึ่ง”
หนูไมค์คอยป้อนอาหารตามที่ร่างสูงสั่ง เบอร์หนึ่งกับเบอร์ก็สลับกันไปมาอยู่แบบนี้จนเจ้าตัวอิ่ม ส่วนตัวเองก็กินไปด้วยเหมือนกัน พออิ่มก็ต้องรีบประเคนให้คุณชายดื่ม ขนาดน้ำที่จะดื่มยังเรื่องมากได้อีกต้องเป็นน้ำอุณหภูมิห้องเท่านั้น ตอนแรกหนูไมค์เอาน้ำเย็นมาให้สองเมืองก็ปัดแก้วทิ้งจนน้ำหกเรี่ยราดไปหมด ต้องหาน้ำอุณหภูมิห้องมาให้คุณชายแล้วก็ต้องมาเช็ดน้ำหกอีก
หลังจากนั้นหนูไมค์ก็จูงมือร่างสูงเพื่อที่จะไปส่งเข้านอนที่ห้อง คนตัวเล็กเดินกะเผลกๆเนื่องจากได้รับบาดเจ็บที่ขาเมื่อตอนกินข้าว ทำให้ร่างสูงรับรู้ว่าอีกคนมีท่าทีแปลกไป เหมือนกับว่าเจ้าไมค์กำลังพยายามเดินลากขาอีกข้างของตัวเองยังไงอย่างนั้น ทั้งเดินทั้งหยุดแบบนี้มันแปลกไปจริงๆ
“ทำไมมึงเดินแปลกๆ หยุดๆเดินๆ เจ็บขารึไง” หนูไมค์ที่จูงมือร่างสูงอยู่ก็หยุดเดินแล้วบีบมือใหญ่นั้นสองครั้ง
“หกล้ม? ซุ่มซ่ามวะ.. ถ้ามีแผลอาบน้ำเสร็จก็เอายาทาด้วย กล่องปฐมพยาบาลอยู่ห้องครัว กูจำได้” หนูไมค์บีบมือสองเมืองอีกสองครั้งเพื่อให้รู้ว่าเค้ารับทราบแล้ว จากนั้นก็เดินกะเผลกๆไปส่งคนตาบอดที่ห้องนอน
“กูให้เวลามึงไปอาบน้ำแล้วกลับมานอนกับกูที่ห้องนี้ หอบฟูกแล้วก็ผ้าห่มมึงมาด้วย อาการตอนดึกมันหนาว อ๋อ...ที่ให้มานอนกับกูก็เพราะว่าเผื่อกูหิวน้ำตอนดึกๆมึงต้องไปเอามาให้กูกิน ทายาที่ขาด้วยล่ะ เข้าใจไหม?” หนูไมค์บีบมือร่างสูงสองครั้งก่อนจะรีบกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปอาบน้ำที่ห้องตัวเองอย่างรวดเร็ว
หลังจากคนตัวเล็กอาบน้ำเสร็จก็หอบผ้าห่มกับหมอนข้างมาที่ห้องร่างสูง ก่อนที่เข้าห้องก็เดินตรวจเช็คบ้านว่าปิดล็อคเรียบร้อยหมดรึยัง พอไปถึงก็เคาะประตูพอเป็นพิธีแล้วก็เปิดเข้าไป เห็นสองเมืองกำลังนั่งอ่านหนังสือสำหรับคนตาบอดอยู่ นิ้วเรียวยาวของสองเมืองกำลังไล่ไปตามตัวอักษรในหนังสือ เค้าพยายามที่จะอ่านมันแต่ก็ต้องใช้เวลาทำความเข้าใจด้วย ช่างลำบากอะไรขนาดนี้
“มึงมาแล้วเหรอ เอาล่ะปูฟูกลงแล้วนอนข้างเตียงตรงใกล้ๆกู” ฟูกงั้นเหรอ...ฟูกหมายถึงอะไรกันนะ ไมค์ไม่เข้าใจ ฟูกจะเหมือนกับผ้าห่มไหมนะ
ไมค์ค่อยๆปูผ้าห่มลงบนพรมข้างเตียงของเจ้าของห้อง(ห้องนอนสองเมืองมีพื้นที่ปูด้วยพรม)วางหมอนลงนอนล้มตัวนอนกอดหมอนข้าง อาการในฤดูหนาวปีนี้ช่างหนาวเหน็บอะไรขนาดนี้ ผ้าห่มไมค์เอามาแค่ผืนเดียวเองแต่ต้องมาปูเป็นที่นอน ห้องนี้ไม่มีฮีสเตอร์ด้วยสิ หนูไมค์ต้องทนนอนหนาวเหน็บทั้งคืนเหรอเนี่ย
“กูจะปิดไฟแล้วนะ ถึงแม้กูจะมองไม่เห็นรู้สึกถึงความมืดอยู่ตลอดเวลาก็เถอะ ยังไงมึงก็เป็นคนที่มองเห็นคงจะแสบตาสินะ เอาล่ะนอนได้แล้ว กูจะปิดไฟให้”
สองเมืองกดปิดสวิตช์ไฟห้องทั้งห้องเงียบและมืดสนิทลงในทันที ห้องๆนี้อยู่ชั้นล่างถึงจะมีหน้าต่างแต่แสงจันทร์ก็สาดส่องไม่ถึงจึงทำให้มืดสนิท โอเคตอนนี้หนูไมค์รับรู้ถึงความรู้สึกของสองเมืองแล้วล่ะ ว่าโลกที่มืดสนิทมันน่ากลัวแค่ไหน ปกติหนูไมค์เป็นคนกลัวความมืดมากๆจะเปิดไฟนอนทุกที ตอนเป็นเด็กรับใช้อยู่ร้านอาหารมีห้องเช่าเล็กๆให้เค้าอยู่ถึงแม้ป้าเจ้าของร้านจะบอกว่าเปลืองไฟอย่างนั้นอย่างนี้ หนูไมค์ก็แอบเปิดไฟนอนอยู่เหมือนเดิม แต่ตอนนี้สองเมืองปิดไฟไปแล้วจะขัดก็ไม่ได้ เค้าพูดไม่ได้นี่เนาะ ก็คงปล่อยเลยตามเลย พยายามข่มตาหลับกอดหมอนข้างแน่นๆ ความหนาวเริ่มแทรกซึมเข้ามาในร่างกายหนูไมค์ขึ้นมาทุกที เจ้าตัวเริ่มคัวสั่นแล้วนอนขดอยู่อย่างนั้น
กระทั่งตกกลางดึกสองเมืองรู้สึกคอแห้งกระหายน้ำมากๆ เค้าเอื้อมแขนไปหยิบขวดน้ำที่อยู่บนโต๊ะโคมไฟ น้ำในขวดเมื่อโดนอากาศเย็นจนทำให้น้ำเย็นไปด้วย เค้าไม่ชอบดื่มน้ำเย็นเอาซะเลยมันจะทำให้ปวดหัวอยู่บ่อยๆ ร่างสูงลุกขึ้นนั่งก่อนจะหย่อนขาลงไปที่ข้างเตียง ใช้เท้าเขี่ยร่างเล็กนั้นเบาๆ เอ๊ะ...ทำไมเจ้าเปี๊ยกนี่ไม่ยอมห่มผ้าล่ะ ทั้งที่อากาศหนาวเย็นขนาดนี้ สองเมืองใช้เท้าคลำไปมาจนรู้ว่าไอ้เด็กไมค์มันเอาผ้าห่มมาปูเป็นที่นอน แล้วเจ้าตัวก็นอนตัวขดกอดหมอนข้างอยู่นั้นเอง
“ไอ้ไมค์ ทำไมมึงไม่ห่มผ้าวะ...ไอ้ไมค์ ไอ้ไมค์!” ใช้เท้าเขี่ยเท่าไหร่ก็ไม่ตื่น สงสัยจะหลับลึกหน้าดู ร่างสูงค่อยๆโน้มตัวลงก่อนจะใช้มือคลำหาคนตัวเล็ก พอมือเค้าสัมผัสถึงผิวที่เย็นเฉียบของร่างบางถึงกับตกใจ ไอ้เจ้าเปี๊ยกนี่คงหนาวมากสินะ ตัวเย็นเหมือนน้ำแข็งขนาดนั้น ถ้าปล่อยเอาไว้แบบนี้มีหวังไม่สบายเอาแน่ๆ ยิ่งถ้ามันไม่สบายใครจะคอยป้อนข้าวป้อนน้ำสองเมืองล่ะ
ว่าแล้วสองเมืองก็ค่อยๆอุ้มร่างเล็กนั้นขึ้นมา ใช้ขาคลำไปเรื่อยเพื่อหาพิกัดของเตียงจากนั้นก็ค่อยๆวางคนตัวเล็กลงอย่างบรรจง เดี๋ยวถ้าวางแรงมันก็จะตื่นเอา เอ๊ะ..แล้วเค้าจะไปใส่ใจทำไมว่ามันจะตื่น แล้วที่เค้าเอาเด็กนี่ขึ้นมานอนบนเตียงของเค้าก็เพราะว่ากลัวมันจะไม่สบาย เดี๋ยวก็เป็นภาระของเค้าอีกล่ะ ไม่ได้คิดอะไรจริงๆนะ สองเมืองส่ายหน้าเบาๆก่อนจะดึงผ้าห่มหนาๆนุ่มคลุมร่างเล็กเอาไว้ ตัวเค้าเองก็ค่อยๆเดินคลำทางไปนอนอีกฝั่งของเตียงแทน
จากที่ว่าไอ้เด็กไมค์ต้องดูแลเค้า แต่เค้ากลับมาดูแลมันเอง ตลกดีนะคนตาบอดกับคนเป็นใบ้ต้องมาดูแลกันเอง คนพิการมักจะถูกทอดทิ้งแบบนี้หรอกเหรอ ถึงแม่พวกป้าๆแม่บ้านจะได้รับคำสั่งจากหนึ่งสยามให้ดูแลสองเมืองก็ตาม แต่ก็ไม่มีใครอยากอยู่ดูแลเค้าหรอกเพราะสองเมืองเป็นคนอารมณ์ร้ายและเอาแต่ใจแบบสุดๆ ทุกคนจึงปฏิเสธการรับงาน แต่ก็ยังดีที่หนูไมค์เสนอตัวอยากจะช่วยดูแลสองเมือง ทุกคนเอือมระอากับสองเมืองตั้งแต่พ่อแม่ พี่น้อง แม่บ้าน ทุกคนเลยผลัดภาระกันไปมาจนสองเมืองคิดว่าตัวเค้าเองที่ต้องช่วยเหลือตัวเองให้ได้ แม้ในบางเรื่องเค้าจะยังไม่สามารถทำได้ก็ยังดีที่มีหนูไมค์อยู่รับใช้ไม่ไปไหน
บางที...การที่เค้าตาบอดก็ได้รู้อะไรหลายๆอย่างเหมือนกัน
และเค้าก็ได้รู้ว่าคนที่พึ่งเข้ามา กลับอยู่เคียงข้างเค้า ต่างกับคนที่อยู่ด้วยมาทั้งชีวิตต่างก็หมางเมินเกี่ยงไม่เอาเค้า
และบางที...หนูไมค์ก็ไม่ได้เลวร้ายสำหรับเค้าเสมอไป เค้าคงคิดไปเองล่ะมั้ง จริงๆเด็กคนนี้ก็ดีมากเลยทีเดียว
TBC.