ตอนที่ 1 มัจฉา
.......
“ปลา เดี๋ยวเย็นนี้เอาของนี่ไปส่งคุณก้อย นะ “เสียงสั่งที่ยังไม่เห็นตัวคนพูดเป็นที่คุ้นชินของปลา เขาทำงานร้านเบ็ดเตล็ด นี่มานานแล้ว ตั้งแต่แรกๆที่เริ่มหางานเองด้วยซ้ำ
“แล้วของที่เหลือนี่ล่ะครับเจ๊ ทำไง “มัจฉานั่งมองของที่เขาช่วยเจ๊นิดเจ้าของร้านแพ็คมาทั้งวัน แต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะเสร็จ
“ไม่เป็นไรเดี๋ยวเจ๊ทำต่อเอง ปลาเอานี่ไปส่งคุณก้อยเขาก่อนนะค่อยกลับมาคิดว่าจะเอาไงกันต่อ “
“ครับ”
เจ๊นิดเดินมาลูบหลังเขาเบาๆราวกับจะปลอบใจ เศรษฐกิจแบบนี้ทำให้ร้านขายของทั่วไปของเจ๊นิดอยู่ไม่ได้
ทุกวันนี้ไหนจะ 7-11 ไหนจะโลตัส บิ้กซี พวกร้านสะดวกซื้อแย่งลูกค้าเจ๊นิดมานานปี จนในที่สุด ก็แบกภาระต่อไปไม่ไหว
วันนี้ทั้งวันมัจฉาช่วยเจ๊นิดเก็บของ เจ๊ประกาศขายร้านที่เป็นตึกแถวนี้ได้แล้ว มีคนมาซื้อต่อ ก็ไอ้เจ้าร้านสะดวกซื้อนั่นแหละ
จะว่าไปร้านเจ๊นิดก็ทำเลดี เพียงแต่เจ๊ไม่มีเงินมากพอที่จะซื้อแฟรนไชน์ร้านสะดวกซื้อ เลยต้องยอมจำนนต่อพิษเศรษฐกิจ
เด็กหนุ่มเดินออกมาขึ้นรถเมล์ พร้อมกับกล่องขนาดกลางที่ต้องหิ้วอย่างระมัดระวัง เขาไม่รู้หรอกว่าในกล่องคืออะไร
ไม่เคยคิดที่จะถามด้วย เพียงแต่เขาจะต้องรักษามันให้ดีจขนถึงมือเจ้าของ
ตลอดทางที่จากร้านเจ๊นิดไปหาคุณก้อยสายตาก็สอดส่ายหาใบปิดประกาศรับสมัครงาน
ความรู้เขามีน้อยนิด ถ้าจะไปสมัครงานตามอ๊อฟฟิศคงไม่มีหวัง อย่างดีก็คงเป็นพนักงานร้านสะดวกซื้อนี่แหละ
แต่คงต้องหาที่ใหม่ เพราะกว่าร้านนั้นจะเปิดก็คงอีกนาน ซึ่งเขาคงรอไม่ได้
“อ้าวน้องปลามาไวเชียว นั่งก่อนสิ “เสียงเจ้าของบ้านเชื้อเชิญแขกผู้คุ้นหน้าคุ้นตากันดีให้นั่ง ที่โซฟารับแขก
“เอ่อ..ไม่เป็นไรครับคุณก้อย ผมเอาของเจ๊มาส่ง เดี๋ยวต้องรีบกลับไปช่วยเจ๊เก็บของครับ”
“แหม ไม่ต้องรีบขนาดนั้นก็ได้จ้ะ พอดีพี่มีเรื่องจะคุยกับเราน่ะนั่งก่อนนะๆ”
เจ้าของบ้านเป็นหญิงวัยกลางคน รูปร่างท้วม ดูสุภาพดีไม่ได้อ้วนเกินไป ใบหน้าที่ติดรอยยิ้มเสมอเหมือนคนอารมณ์ดี
ทำให้มัจฉารู้สึกอุ่นใจทุกครั้งที่คุณก้อยเรียกใช้ เพราะทุกครั้งเขาจะได้ค่าขนมเพิ่ม เวลาที่คุณก้อยไปซื้อของที่ร้าน
เขาจะเป็นคนเอามาส่งให้ประจำ แต่ตอนนี้เขาคงไม่กล้ารับหรอกเพราะเขาก็ไม่ได้เป็นลูกจ้างของเจ๊นิดแล้ว
คุณก้อยเองก็บ่นว่าร้านขายของแบบกันเองแบบนี้จะไม่เหลืออยู่แล้ว เธอไม่ชอบร้านสะดวกซื้อเพราะว่ามันเหมือนหุ่นยนต์เธอว่าอย่างนั้นเขาก็ได้แต่ขำกับความคิดของเธอ
เด็กหนุ่มนั่งรอเจ้าของบ้านที่เอาของเข้าไปเก็บ เขามองสำรวจบ้านหลังที่เขามาส่งของที่นี่บ่อยๆ เขาไม่เห็นใครอื่นเลยนอกจากคุณก้อย
ผู้หญิงตัวคนเดียวที่อยู่คนเดียว กับแมวหนึ่งตัวเพียงลำพัง ทำให้เขานึกถึงตัวเอง เขาเองก็อยากมีเพื่อนอยากเลี้ยงหมาเพราะเขาชอบหมา
เคยให้อาหารพวกหมาจรจัด เพราะนึกถึงตัวเองตอนเป็นคนจรจัดในวัยเพียงสิบสี่ปี ถ้าไม่ได้เจ๊นิดช่วยไว้เขาก็ไม่รู้ชะตากรรมของตัวเองเหมือนกัน
เพราะอย่างนั้นเวลาเห็นหมาน่ารักๆเขาก็อยากจะเลี้ยงไว้เป็นเพื่อน แต่ด้วยกำลังอย่างเขาพอคิดแล้วก็ไม่อยากจะให้หมามันมาลำบากกับเขา ยอมอดคนเดียวดีกว่าพาอีกชีวิตมาอดด้วย
“เอ้า...น้ำเย็น”แก้วน้ำเย็นใบใหญ่ถูกวางลงตรงหน้า พร้อมรอยยิ้มเป็นมิตรของเจ้าของบ้าน
“ขอบคุณครับ”
มัจฉายกมือไหว้ขอบคุณในน้ำใจจากเจ้าของบ้านที่เขาเคารพมาตลอดพร้อมกับยื่นมืออกไปรับแก้วน้ำเย็นมาจิบ ก่อนจะวางลงไว้บนโต๊ะข้างหน้า
“แล้วนี่ปลาได้งานใหม่หรือยังจ๊ะ”เจ้าของบ้านเป็นคนเปิดบทสนทนา เมื่อเห็นว่าแขกของเธอคงจะรีบ
“ยังครับ พอดีผมก็มองๆไว้หลายที่ ส่วนมากคงเป็นพวกร้านสะดวกซื้อแหละครับ เพราะผมก็ไม่มีความรู้อะไรมากพอที่จะได้งานที่มันดีกว่านี้”
“เอางี้ไหม พี่มีงานให้ปลาทำ แต่เป็นงานพี่เลี้ยงเด็กน่ะ รายได้ดีมากเลยนะ ที่สำคัญปลาจะไม่ต้องเสียเงินค่าเช่าบ้านด้วย”
“ เลี้ยงเด็ก..ผมจะเลี้ยงเด็กได้เหรอครับ ผมไม่มีความรู้แบบนั้นและอีกอย่างผมไม่เคยเลี้ยงเด็กเลยนะครับ”
“ไม่ใช่เลี้ยงแบบเด็กอ่อน คือแค่ดูแลน่ะจ้ะ เด็กน่ะอายุแปดขวบแล้วโตแล้ว พอดีพี่เลี้ยงคนเก่าเขาลาออกไปอยู่ต่างจังหวัด และก็พี่รู้จักกับครอบครัวนี้อยู่พอดีเป็นญาติกัน เขาให้ช่วยหาคนที่ไว้ใจได้น่ะ พี่เลยนึกถึงปลา... นะปลา เงินเดือนน่ะดีนะ แล้วก็ เดียวน่ะเขาไม่ค่อยมาวุ่นวายหรอก “
“เดียว?”
“อ๋อ พ่อน้องมาเฟียจ้ะ เดียวเป็นน้องพี่ ลูกพี่ลูกน้องกันน่ะเขางานยุ่งมากจนไม่มีเวลามาดูน้องมาเฟีย เลยต้องจ้างพี่เลี้ยง “
“...........”
เมื่อมองดูท่าทางเด็กหนุ่มจะสนใจงานใหม่ เจ้าของบ้านรีบตัดบททันที เพราะกลัวว่าถ้าให้ปลาคิดนานกว่านี้ อาจจะเปลี่ยนใจ
“เอาเป็นว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้ปลามาหาพี่ที่บ้านนะพี่จะพาไปหา เดียว ไปคุยกันดูก่อน ถ้าปลาติดขัดอะไรค่อยว่ากันอีกที ถือว่าช่วยพี่ก็ได้นะปลานะ “
แม้จะสงสัยว่าทำไมคุณก้อยดูรีบร้อนเกินไปแต่มัจฉาก็ไม่ได้ติดใจอะไร แต่พี่เลี้ยงเด็กเหรอแปดขวบแล้วก็น่าสนไม่น้อย ลองดูก็ไม่เสียหายอะไรนี่นา
“ก็ได้ครับ งั้นเดี๋ยวผมขอตัวกลับเลยนะครับจะได้กลับไปช่วยเจ๊เก็บของ “
“จ้ะๆ ขอบใจมากเดี๋ยวพรุ่งนี้เจอกันนนะน้องปลา”
“ครับ”เด็กหนุ่มยกมือไหว้ลาเจ้าของบ้าน
ก่อนกลับออกมาขึ้นรถเมล์กลับร้านมาช่วยเก็บของ ตลอดทางมัจฉาก็เก็บเอามาคิด ถึงงานใหม่ที่ได้ฟังมา
........................................
“เจ๊.......แล้วเจ๊จะไปอยู่ไหนครับ”
”กลับบ้านที่พิจิตรน่ะ ที่นั่นพอมีอะไรให้ทำอยู่บ้าง พี่ชายเจ๊เขาค้าขายในตลาด เฮียกรุงน่ะบอกว่ายังพอมีที่ทางจะเปิดร้านขายของชำได้อยู่ ปลาจะไปกับเจ๊ก็ได้นะ แรกๆก็ลำบากหน่อยแต่ก็ดีกว่าอยู่เมืองหลวงแบบตัวคนเดียวเจ๊เป็นห่วงแกนะรู้ไหม “
“ผมไม่เป็นไรหรอกเจ๊ คุณก้อยบอกว่ามีงานให้ทำคงไม่ลำบากอะไร อีกอย่างผมกำลังคิดว่าจะลองไปเรียนพวกการศึกษาผู้ใหญ่ดู เผื่อว่าอนาคตตกงานอีกจะได้ไม่ลำบากมากนัก “
“เออๆ ตามใจแกนะ แต่ก็อย่าลืมนะปลาแกยังมีเจ๊ หากแกลำบากหรือเดือดร้อนไปหาเจ๊นะ “
“ขอบคุณครับเจ๊”
“เจ๊ขอโทษนะที่ช่วยอะไรปลาไม่ได้มากกว่านี้ ”
คำขอโทษของคนที่อยู่ด้วยกันมานาน ทำให้ขอบตาร้อนๆเหมือนจะกลั้นไม่อยู่ ทั้งๆที่ไม่ได้เกี่ยวพันกันทางสายเลือดหรือเครือญาติ
ไม่ได้รู้จักมักจี่หรือทำบุญคุณต่อกัน แต่พระคุณที่เจ๊นิดได้ให้ความช่วยเหลือเมื่อตอนที่เขาเข้าตาจน มันก็มากมายจนทดแทนไม่หมด
หญิงวัยกลางคนเขียนที่อยู่ใหม่ ยัดใส่ในมือพร้อมกับซองใส่เงินค่าจ้างงวดสุดท้ายให้กับมัจฉา
เด็กหนุ่มที่เธอเอ็นดูราวกับลูกในไส้ เด็กผู้อับโชคคนนั้น แม้เวลาจะผ่านมานานแล้วแต่มัจฉาก็ยังเป็นเด็กสำหรับเธอเสมอ
ตอนนี้เธอลำบากไม่สามารถที่จะช่วยเหลือเด็กหนุ่มคนนี้ต่อไปได้ แต่เธอก็เชื่อว่า ความเป็นเด็กดีและเป็นคนขยันของมัจฉาจะทำให้เด็กหนุ่มอยู่รอดได้
มัจฉามองรถบรรทุกขนาด 6 ล้อที่มีของเต็มท้ายรถ มีเจ๊นิดนั่งอยู่ข้างหน้าที่กำลังโบกมือลาเขาอยู่อย่างใจหาย
ตลอดเวลา 7 ปี ที่ผ่านมา มันผูกพันอย่างไม่อาจเลือนหายไปได้ มัจฉายิ้มให้กับตัวเองก่อนจะเดินกลับไปยังที่พักเพื่อเตรียมตัวไปหาคุณก้อย ก็ได้แต่หวังว่ามันจะดีขึ้นนะ
............................................
มัจฉามองซ้ายขวาอย่างตื่นๆอาคารใหญ่โตหรูหรา ที่มัจฉาเคยเดินผ่านอยู่หลายรอบนั้น ไม่เคยได้มีโอกาสเข้ามาสัมผัสความหรูหราภายใน
จนวันนี้ เขาเดินตามหลังคุณก้อยไปเงียบๆ ก้มมองตัวเองที่ใส่กางเกงขายาวสีดำ กับเสื้อยืดคอปกสีเทา
แม้ว่าจะเป็นชุดที่ปลาคิดว่ามันดูดีที่สุดที่เขามีแล้ว แต่พอมายืนอยู่ในสถานที่แห่งนี้เขารู้สึกว่า เขามันเหมือนเด็กมอซอหลงทางยังไงไม่รู้
“ปลารอตรงนี้ก่อนนะจ๊ะ “
คุณก้อยบอกให้เขานั่งรอที่เก้าอี้ ห้องเล็กๆ ที่มีพวกเครื่องชงกาแฟกับถ้วยกาแฟถูกจัดวางไว้เป็นระเบียบ ตู้ปลาขนาดใหญ่ มีทีวี
ทั้งชั้นวางหนังสือเอาไว้ให้คนที่เข้ามาเยี่ยมได้นั่งอ่านรอเวลา แต่มัจฉาไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว เพราะรู้สึกอยู่ผิดที่ผิดทางแปลกๆ
สักพักคุณก้อยก็ออกมาเรียกเขาเข้าไปอีกห้อง ทันทีที่เดินเข้ามาอีกห้อง พอพ้นประตูบานใหญ่ความเย็นที่ต่างจากข้างนอกลิบลับ
ทำให้มัจฉาเผลอห่อไหล่ด้วยความหนาว ก่อนจะหันไปมองเบื้องหน้าที่เป็นโต๊ะทำงานขนาดใหญ่
สายตาจากเจ้าของห้องที่ส่งมาทำให้ปลารู้สึกร้อนขึ้นอย่างประหลาด ผู้ชายตัวใหญ่ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวโตหลังโต๊ะทำงาน
ที่กินพื้นที่ของห้องไปอย่างมากดวงตาคมกริบที่มองมาที่เขาทำเอาขาสั่นอย่างไม่รู้สาเหตุ
"สวัสดีครับ"มัจฉายกมือไหว้เจ้าของห้องโดยไม่ต้องรอให้คุณก้อยแนะนำเขาก็รู้ได้ทันทีว่าคนๆนี้จะเป็นนายจ้างคนต่อไปของเขา
“นั่งสิ”
เสียงทุ้มเอ่ยออกมาทำให้มัจฉาขยับเข้าไปนั่งข้างๆคุณก้อยอัตโนมัติ ชายหนุ่มเจ้าของห้องลอบยิ้มมุมปากอย่างนึกขันท่าทางของคนเข้ามาใหม่ หงอเป็นลูกหมาแบบนี้จะเลี้ยงลูกเขาได้ยังไง
“พี่ก้อยมั่นใจเหรอว่าเขาจะดูแลมาเฟียได้”
เสียงที่ดูเหมือนสบประมาททำเอามัจฉาอดไม่ได้ที่จะเชิดหน้าขึ้นนิดๆอย่างขัดใจ อะไรกันยังไม่รู้จักเขาสักหน่อย
มาดูถูกกันอย่างนี้ได้อย่างไร ท่าทางนั่นไม่ได้หลุดไปจากกรอบสายตาของชายหนุ่มอีกคน รอยยิ้มเล็กๆก็ผุดขึ้นแทบจะทันที
“เดียวก็ลองให้น้องทำดูก่อน เราบอกพี่เองนี่ว่าให้หาคนไว้ใจได้น่ะ นอกจากปลาแล้วพี่ว่าพี่ก็ไม่ไว้ใจใครหรอก อีกอย่างปลาเป็นผู้ชายคงไม่มีเรื่องย่องเบาเข้าห้องเดียวอย่างที่แล้วมาแน่ๆ ”
หญิงสาวอดที่จะแขวะญาติผู้น้องไม่ได้ สาเหตุหลักๆของการเปลี่ยนพี่เลี้ยงก็เพราะแบบนี้
เหล่าพี่เลี้ยงสาว หาทางขยับขึ้นไปเป็นแม่เลี้ยงน้องมาเฟียซะส่วนมากแทนที่จะทำหน้าที่พี่เลี้ยง
กลับหาทางอ่อยแต่คนเป็นพ่อซะอย่างนั้น คราวนี้คงหมดปัญหา แม้ว่าคุณสมบัติพี่เลี้ยงจะไม่ผ่าน
แต่ความที่เธอรู้จักกับมัจฉามานาน เธอมั่นใจว่า มัจฉาคนนี้ จะดูแลหลานเธอได้เป็นอย่างดี
“หึหึ ก็ตามใจ “
สงครามอดไม่ได้ที่จะหันไปมองดูเด็กหนุ่มที่นั่งตัวลีบแต่ทำหน้าเชิดอยู่ข้างๆญาติผู้พี่ของเขาก่อนจะค่อยๆพิจจารณาคนตรงหน้าเงียบๆ
เขาไม่ใช่คนพูดมากนัก และงานก็ทำให้เขาเงียบจนเป็นนิสัย ความเงียบบางครั้งก็ดีมันทำให้เขาได้คิดเยอะๆ และมองเห็นอะไรอีกมากกว่าการพูด
“เดี๋ยวพี่คงต้องกลับก่อนนะเดียว มีงานต่อที่บ้านลุงใหญ่ น้องปลาอยู่คุยกับพี่เขาก่อนนะ ถ้ายังไงเดี๋ยวตอนเย็นก็กลับพร้อมพี่เดียวเขาเลยละกัน มีอะไรโทรหาพี่ได้ตลอดนะจ๊ะ ถ้าเดียวมันรังแกก็บอกพี่ได้นะ ว่างๆพี่จะไปเยี่ยมโอเคไหมหืม “
สงครามทำหน้าเบื่อหน่ายเมื่อเห็นญาติผู้พี่ทำเหมือนส่งลูกวัยอนุบาลเข้าเรียนวันแรกยังไงยังงั้น
“ ขอบคุณครับคุณก้อย “
“บอกให้เรียกพี่ก้อยเรานี่นะ เฮ้อ พี่ไปก่อนนะเดียว ฝากน้องปลาด้วย อย่าแกล้งน้องล่ะ ”
หญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวขอตัวก่อนจะฝากมัจฉาไว้กับคนที่พึ่งจะรู้จัก อ้ออีกเดี๋ยวก็เป็นนายจ้างเขาแล้วนี่ จะกลัวอะไร
แค่คิดมัจฉาก็แอบถอนหายใจเงียบๆ เรียกกำลังใจให้ตัวเอง ก่อนจะแนะนำตัวเองสั้นๆหลังจากที่คุณก้อยกลับออกไปแล้ว
“ผมชื่อมัจฉา ครับ เรียกปลาก็ได้ อายุยี่สิบปี ผมจบแค่ ม.ต้น แต่จะพยายามทำหน้าที่ให้ดีที่สุดครับ”
“จบแค่ ม.ต้นเหรอ.ทำไมไม่เรียนต่อล่ะ”
คำถามที่มาพร้อมกับเสียงราบเรียบไม่บอกอารมณ์คนถามทั้งสายตานิ่งๆที่มองมามันทำให้มัจฉาอึดอัด
“ผมไม่มีเงินครับ”คำตอบสั้นๆไม่ต้องขยายความ ทำให้ชายหนุ่มมองหน้าคนพูดอย่างพิจารณาอีกครั้ง
ดวงตากลมโตดูเหมาะเจาะกับดวงหน้าเรียว ปากบางรูปกระจับสีส้มอ่อน ที่ขยับขึ้นลงตามจังหวะที่เข้าตัวกำลังพูดดูน่ามอง
กลุ่มผมสีน้ำตาลอ่อนๆ ตัดสั้นดูเรียบร้อยสะอาดตา จมูกเล็กๆเป็นสันเชิดปลายนิดๆนั่นมันน่าดึงสักหมับเวลาที่เจ้าตัวเชิดหน้าจนดูคล้ายคนอวดดี
แต่เครื่องหน้าที่เหมาะเจาะ ผิวพรรณที่สะอาดสะอ้าน เด็กคนนี้สวยทั้งๆที่เป็นผู้ชาย สงครามคิดอย่างนั้น ท่าทางถือดี เย่อหยิ่งไม่น้อย
“ทำกับข้าวเป็นไหม?”คำถามไม่มีที่มาที่ไปเอ่ยขึ้นเรียบๆ
“..เป็นครับ แต่แค่เมนูทั่วไป ถ้ายากๆก็ต้องลองดูก่อนครับ ถ้าหัดทำคงทำได้”
มัจฉาพูดแบ่งรับแบ่งสู้ เรื่องกับข้าวหรืออาหารทั้งคาวหวานเขาทำได้หมดล่ะ เพราะต้องอยู่คนเดียวตั้งแต่เด็กการทำกับข้าวกินเอง
เลยเป็นเรื่องจำเป็น แต่ถ้าหากเป็นกับข้าวพวกหรูหราตามร้านอาหารเมนูดังๆพวกนั้นเขาเองก็ไม่แน่ใจว่าจะทำได้ไหม
เพราะไม่เคยลองทำ แต่ก็คิดว่าไม่น่าจะยากหากมีวัตถุดิบครบ ไม่รู้ว่าถ้าเขาทำกับข้าวไม่เป็นคนตรงหน้าจะจ้างไหม
แต่ก็ต้องบอกความจริงเพราะเขาทำกับข้าวเป็นแต่ใช่ว่าจะอร่อยถูกปากทุกคน
“ทำงานบ้านเป็นไหม?”สงครามก็ถามไปอย่างนั้น เพราะถ้าพื้นฐานทำงานบ้านเป็นน่าจะเป็นคนที่มีระเบียบพอสมควร
“เป็นครับ” เด็กหนุ่มพยักหน้ารับพลางให้นึกสงสัย นี่สัมภาษณ์พี่เลี้ยงเด็กหรือแม่บ้านกันแน่นะ
“แล้วเคยเลี้ยงเด็กมาก่อนหรือเปล่า”เข้าเรื่องเสียที
“ไม่เคยครับ” สิ้นคำตอบของเด็กหนุ่มสงครามถอนหายใจเฮือกอย่างไม่เกรงใจ
“เอาเถอะ ถ้าพี่ก้อยบอกโอเคก็คงโอเคล่ะนะ เอาล่ะเรามาคุยกันเรื่องงานคร่าวๆก่อนนะ ฉันชื่อสงครามพี่ก้อยน่าจะบอกเธอแล้ว
จริงๆฉันต้องการจ้างพี่เลี้ยงที่จะช่วยสอนหนังสือลูกฉันได้ด้วย ฉันไม่ได้ว่าเธอเรื่องการศึกษาหรอกนะ
แต่พี่เลี้ยงลูกฉันทุกคนจบขั้นต่ำต้องปริญญาตรี แต่เอาถอะ ลองให้เธอทำดูก่อนก็ได้ “
คำพูดและน้ำเสียงไม่ได้ทำให้มัจฉารู้สึกดีขึ้นแต่อย่างใด
“ครับคุณสงคราม”
มัจฉาเอ่ยรับนามของนายจ้างคนใหม่แม้ในใจจะกรุ่นๆที่อีกฝ่ายพูดถึงคุณสมบัติ แต่คิดอีกทีมันก็จริง เพราะเขาเองก็ด้อยทุกอย่าง
ทั้งคุณสมบัติและประสบการณ์ไม่แปลกที่คุณสงครามจะไม่พอใจ แต่คงขัดคุณก้อยไม่ได้จากนี้มันคงขึ้นอยู่กับเขาแล้วล่ะว่าจะทำยังไง ถึงจะทำงานได้ดีสมกับที่คุณก้อยไว้ใจ
“ลูกชายฉันชื่อมาเฟียเรียกน้องเฟียก็ได้ อายุแปดขวบแล้ว ปรกติเฟียจะเป็นเด็กเงียบๆ แต่อารมณ์ค่อนข้างร้อนเวลาไม่ได้ดังใจ
หรือโดนขัดใจมากๆ อาจจะทำเธอเหนื่อยหน่อย ตอนเช้าๆไม่ค่อยชอบโดนปลุกนัก จะงอแง และดื้อเป็นพิเศษ
งานที่เธอจะต้องทำ คือคอยดูเมนูอาหารให้เฟีย คนทำก็ยายกิ่ง กับมะตูม เธอแค่ดูว่าน้องจะกินอะไรก็สั่งยายกิ่งไว้
คอยดูพวกสารอาหารให้ครบอย่าตามใจลูกฉันเวลาที่จะกินพวกขนมไม่มีประโยชน์ แต่ถ้าจะให้ดี เธอทำเองเป็นจะง่ายกว่า
ตอนเช้าคอยปลุกน้องเฟียให้อาบน้ำแต่งตัวและไปส่งที่โรงเรียน หน้าที่ก็ไม่มีอะไรมาก งานบ้านไม่ต้องทำเพราะมะตูมทำอยู่แล้ว ตอนเย็นไปรับเฟียกลับจากโรงเรียน คอยดูให้เฟียทำการบ้านให้เสร็จ ก่อนเข้านอน เรื่องการบ้านของเด็กประถมเธอคงช่วยสอนได้นะ หลักๆก็ดูแลลูกฉัน ..มีอะไรสงสัยไหม”
สงครามร่ายยาวพลางมองดูเด็กหนุ่มที่ล้วงเอาสมุดพกมาจดตั้งแต่ตอนที่เขาร่ายภารกิจหน้าที่ให้ฟังถือว่าเป็นเด็กรอบคอบใช้ได้
“ผมพักที่ไหนครับ”
“ในบ้านสิ มีห้องสำหรับเธออยู่แล้ว จะได้ดูแลน้องได้ตลอดเวลาส่วนค่าจ้าง ฉันให้เธอสามหมื่นก่อนช่วงทดลองงาน สักสองเดือนถ้าโอเคฉันจะปรับให้อีกที”
“สามหมื่น!!”มัจฉาตกใจกับจำนวนเงิน มันมากเกินไปกับค่าจ้างเด็กแบบเขาที่ความรู้น้อยนิด
“ทำไม ?”สงครามขมวดคิ้วกับท่าทางตกใจของมัจฉา
“มันเยอะไปไหมครับ”
สงครามมองหน้าเด็กหนุ่มตรงหน้านิ่งๆ ไม่เคยมีคนปฏิเสธเงินเยอะมีแต่คนเรียกเพิ่ม เขาเองยังคิดว่าน้อยไปด้วยซ้ำกับหน้าที่พี่เลี้ยงของมาเฟีย ลูกชายเขา
“ถ้าเธอรู้จักลูกชายฉันแล้ว เธอจะรู้เองว่าไม่มากไปหรอกและอีกอย่างเธอต้องอยู่กับลูกชายฉันตั้งแต่ตื่นจนเข้านอน มีวันหยุดวันเดียว คือวันอาทิตย์ สามหมื่นน่ะไม่มากไปหรอก “
คำพูดที่ไม่ได้ขยายความนั้นทำให้มัจฉานึกขยาดในใจ สงสัยเป็นเด็กร้ายๆเอาแต่ใจเลยไม่มีใครทนได้แน่ๆเลย แล้วเขาจะทนได้แค่ไหนกันล่ะนี่
“ครับ “มัจฉาไม่เอ่ยอะไรอีก เมื่อคนเป็นนายจ้างว่าแบบนั้น สงสัยลูกชายของคุณสงครามนี่คงเฮี้ยวน่าดู แค่ชื่อก็น่ากลัวทั้งพ่อทั้งลูก
“เอาเป็นว่า เริ่มงานเย็นนี้เลยได้ไหม พอดีฉันมีงานต่อคงไม่ได้กลับบ้านตอนนี้ เดี๋ยวฉันให้คนรถมารับเธอกลับเลย ส่วนข้าวของเธอจะไปขนย้ายเมื่อไหร่ก็บอกป๋องเอาละกัน ที่เหลือหากสงสัยอะไรถามยายกิ่งกับป๋อง ฉันเองก็งานยุ่งคงไม่ได้มาแนะนำอะไรเธออีกหรอกนะ”
คำพูดที่บอกปัดกลายๆว่าหมดหน้าที่ทำให้มัจฉาพยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะลุกขึ้นยืนเมื่อเจ้าของห้องกดอินเตอร์คอม เรียกเลขาหน้าห้องเข้ามาสั่งงาน
“สวัสดีครับ”เสียงรับสายไม่ใช่เลขาหน้าห้องทำให้สงครามแปลกใจ
“อ้าว ยุ้ยไปไหน”
“ท่านประธานให้พี่ยุ้ยออกไปเอาเอกสารที่ร้านรวงข้าวกับพี่ป๋องไงครับ”สงครามทำหน้านึกสักครู่สงสัยเขาจะเบลอจนลืมนั่นนี่ไปหมด
“ท่านจะให้ผมโทรบอกพี่ยุ้ยกลับมาหรือเปล่าครับถ้าท่านมีงานด่วน”
”ไม่เป็นไรเดี๋ยวฉันโทรหายุ้ยเอง”สงครามวางสายจากคนหน้าห้องก่อนจะหยิบเอาโทรศัพท์มือถือต่อสายหาเลขาทันที
(ค่ะท่านประธาน)
“ยุ้ยยังอยู่ที่ร้านหรือเปล่า”
(ค่ะยังอยู่ค่ะรอพี่ป๋องมารับค่ะ )
“ยังไม่ต้องกลับมานะพอดีผมจะเข้าไปหาไอ้ธรมันหน่อย ยุ้ยรอที่ร้านก่อนผมมีเรื่องจะรบกวนหน่อยนะ “
(ได้ค่ะท่าน )
สงครามวางสายจากเลขาพลางถอนหายใจ ต้องหนีบเด็กนี่ไปด้วยสินะ เขาคิดพลางหันไปมองเด็กหนุ่มที่นั่งรอเขาเงียบๆที่โซฟา
หากจะปล่อยให้รอยุ้ยกับป๋องกลับมา เด็กนี่คงหิวและคงรอนาน พาไปไว้ที่ร้านอาหารที่เลขาของเขาอยู่ที่นั่นเลยจะดีกว่า
สงครามคิดพลางลุกขึ้นเก็บเอกสารที่จำเป็นต้องใช้ เข้ากระเป๋าพลางหันไปบอกให้เด็กหนุ่มลุกตามเขาไป
“ไปเถอะ”
สงครามลุกเดินนำหน้ามัจฉาออกจากห้องไป ปลามองแผ่นหลังกว้างของคนที่เดินนำอยู่ข้างหน้าอย่างหมั่นใส้
พอคุณสงครามลุกขึ้นยืนเต็มความสูง มันทำให้ปลาอดที่จะมองอย่างชื่นชมไม่ได้ ก็คุณสงครามตัวสูงใหญ่ดูน่ามองทุกท่วงท่า
จากตอนที่นั่งอยู่ปลาก็พอจะเดาได้ว่าสงครามต้องสูงมากแน่ๆ แต่ไม่คิดว่าเมื่อเทียบกับตัวเองแล้ว เขาเหมือนเด็กน้อยไปเลย
กับส่วนสูงที่เสมอแค่ไหล่ของอีกคน เหอะ น่าหมั่นใส้ ปลาแอบย่นจมูกให้ตัวเองนิดๆอย่างรู้สึกอิจฉารูปร่างคนตรงหน้า
ปั่ก!!!
“อูย..เจ็บ”
เพราะมัวแต่เหม่อเดินตามหลัง นายจ้างคนใหม่มาเรื่อยโดยไม่ทันได้ดูอะไรคนตรงหน้าก็หยุดกระทันหัน ตัวเขาเองที่ไม่ได้ตั้งตัว
ก็ชนเข้าเต็มแผ่นหลังจนต้องยกมือขึ้นกุมจมูก ที่ปลาคิดว่าถ้าเสริมมาล่ะก็มันคงต้องเบี้ยวแน่ๆ ถือว่าโชคดีที่เขาไม่ได้เสริมจมูกน่ะนะ แต่จ็บชะมัดเลย
“ใจลอยไปถึงไหนล่ะฮึ..เจ็บไหมล่ะนั่น “
สงครามทำเสียงดุนิดๆเมื่อคนที่เดินตามหลังมาชนเขาซะเต็มแรง จมูกที่เขามองดูว่าน่าหมั่นเขี้ยวนั่นแดงขึ้นทันที จนเผลอยื่นมือไปจับเบาๆ
พลางหัวเราะให้กับความเซ่อซ่าของพี่เลี้ยงลูกชายคนใหม่ นั่นยิ่งทำให้ปลาหน้ามุ่ยอย่างหงุดหงิด แต่ก็ทำได้เพียงแค่ฮึดฮัดอยู่ข้างใน ขืนเผลอทำหน้าเหวี่ยงได้ตกงานก่อนเริ่มงานน่ะสิ
“ไม่เป็นไรครับ “
เขารีบบอกก่อนจะมองไปที่รถที่เขาทั้งคู่มาหยุดยืน สงครามเปิดประตูรถเข้าไปฝั่งคนขับ ก่อนจะหันมามองเขา
“เอ้าขึ้นมาสิ”
เสียงที่เร่งมาทำให้ปลารู้สึกตัว ก็ไอ้พาหนะคันนี้มันหรูจนเขาไม่กล้าเดินไปไกล้ แต่ก็จำใจต้องเดินเข้าไปนั่งอีกฝั่ง
ท่าทางกล้าๆกลัวของมัจฉาทำให้สงครามยิ้มน้อยๆอย่างเอ็นดู เออแฮะ ปรกติเขาใช่จะเป็นคนอารมณ์ดีแต่พอเจอไอ้เด็กคนนี้
แค่ไม่กี่ชั่วโมง ทำเขาทั้งยิ้มทั้งหัวเราะไปก็หลายหน หวังว่ามาเฟียลูกชายเขาจะไม่อาละวาดใส่พี่เลี้ยงคนนี้นะ
เขาเหนื่อยเต็มทีกับการเปลี่ยนพี่เลี้ยง เดือนนี้ก็สามคนแล้ว ไม่มีใครทนลูกเขาได้ถึงเดือนสักคนไม่ใช่เพราะมาเฟียเกเร
แต่เพราะมาเฟียหวงเขา และไม่ใช่ว่าเขาจะไม่รู้ว่าเหล่าพี่เลี้ยงที่เขาจ้างมาทำท่าอยากจะเลี้ยงเขามากกว่าลูกเขาเสียอีก
หนนี้เป็นผู้ชายเขาได้แต่หวังว่าลูกชายเขาจะไม่คิดมาก เพราะถึงแม้ว่ามัจฉาจะเป็นผู้ชายแต่โครงหน้าที่ดูหวานใบหน้าเรียวเล็ก
ปากจิ้มลิ้มหน้าใสจนเขาอดคิดไม่ได้ว่า เป็นเด็กหนุ่มแน่หรือจะดูกี่มุมก็เหมือนเด็กผู้หญิงซะมากกว่า แต่ก็ดูหล่อในบางมุม
เอ๊ะเขานี่ชักเลอะเทอะ มาคิดอะไรไร้สาระ คนอย่างเขามานั่งพิจจารณาใบหน้าคนอื่นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
สงครามปัดความคิดของเขาให้พ้นจากเรื่องของคนข้างๆ เขานำพาเจ้ารถหรูประจำตัวออกจากที่จอดมุ่งหน้าสู่ที่นัดหมาย โดยไม่พูดอะไรอีก
v
v
v
v
v
ต่อข้างล่างค่า