ตอนพิเศษNC 18+
เต้อกำลังเก็บเสื้อผ้ายัดเข้าไปในกระเป๋าสะพายใบใหญ่ตอนที่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ชื่อคนที่โทรเข้ามาปรากฏบนหน้าจอ ‘พี่มิ้นท์’
“อยู่ไหนแล้ว” ชายหนุ่มเอ่ยถามเสียงเรียบ
“เกือบถึงแล้วอีกนิดเดียว” เสียงอีกฝ่ายตอบกลับมา “แล้วนี่กินอะไรหรือยัง”
“ก็บอกให้รอไม่ใช่เหรอ”
ชายคนนั้นหัวเราะ “เดี๋ยวนี้ว่านอนสอนง่ายนะเรา”
“พูดมากน่า” เต้อว่า ริ้มฝีปากกระตุกยิ้มน้อย ๆ “รีบมาแล้วกันเดี๋ยวเย็นแล้วรถติด”
“ครับผม” พี่มิ้นท์ทำเสียงเข้มเหมือนตอนเป็นทหาร ก่อนที่ทั้งคู่จะวางสายจากกัน
เต้อหันมองไปรอบตัว ห้องนอนของเขายังคงเหมือนเดิม เตียงตั้งอยู่ใต้หน้าต่างบานเกร็ดโดยมีผ้าปูที่นอนเรียบตึงปูทับด้วยผ้าห่มสีเลือดหมูยัดชายเข้าไปด้านใต้ หมอนวางไว้ที่ตำแหน่งหัวนอน ชั้นหนังสือและโต๊ะอ่านหนังสืออยู่ที่ปลายเตียง ตู้เสื้อผ้าที่ด้านในว่างเปล่าตั้งอยู่อีกด้านของห้อง หลังชิดติดกับผนัง ทุกอย่างดูว่างเปล่าและหนักอึ้งอย่างประหลาด เต้อลุกจากพื้นห้องไปทิ้งตัวนอนอยู่บนเตียง จ้องมองดูเพดาลห้องสีขาวและครุ่นคิดถึงสิ่งที่ผ่านมาและกำลังจะเกิดขึ้น
นี่ก็เดือนที่หกแล้วนับตั้งแต่ปลดประจำการมาแต่เต้อกลับรู้สึกเหมือนมันเป็นเมื่อวานนี้เองที่ตัวเขายังนอนอยู่บนโรงนอนในค่ายทหาร ทุกอย่างเลยผ่านไปอย่างรวดเร็ว พี่มิ้นท์ได้งานทำเป็นผู้ช่วยวิศวกรที่ต่างจังหวัดทำให้ทั้งคู่ได้เจอกันแค่เดือนละครั้งหรือสองครั้งซึ่งแต่ละครั้งก็มีเวลาอยู่ด้วยกันแค่ไม่กี่ชั่วโมง ส่วนตัวเขาเองก็วุ่น ๆ อยู่กับการตัดสินใจเรียนต่อ ไป ๆ มา ๆ การสอบเข้ามหาวิทยาลัยทันทีดูเหมือนจะไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก ทั้งสอบนั่นสอบนี่วุ่นวายไปหมดและต้องติวหนังสือเก็งข้อสอบที่เขาเองก็ห่างหายไปนาน ถ้าต้องรื้อฟื้นขึ้นมาใหม่ทั้งหมดคงกินเวลานานอาจจะเป็นปีเลยด้วยซ้ำไป
เต้อจึงตัดสินใจสมัครเรียนปวส.ภาคเสาร์อาทิตย์แทน แบบนี้ดูเหมือนจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เขาสามารถเรียนและมีเวลาทำงานไปด้วยได้ แถมยังมีเวลาว่างติวหนังสือเพื่อเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัยอีกตั้งสองปี ถึงจะไม่ใช่ทางที่เร็วที่สุดแต่เป็นทางที่ดีที่สุดสำหรับเข้าแล้ว
จู่ ๆ เสียงแปลก ๆ คลายอะไรบางอย่างตกลงกระทบพื้นก็ดังมาจากด้านหลังตู้เสื้อผ้า ชายหนุ่มผุดลุกขึ้นนั่งและมองไปจึงเห็นมุมของกรอบรูปโผล่ออกมาให้เห็น ชายหนุ่มจำได้แทบจะในทันทีว่ามันคืออะไร เขาจึงเดินไปที่ตรงนั้นและดึงมันออกมา
กรอบรูปนั้นบรรจุภาพเหมือนของตัวเขาเอง ร่างกายเปลี่ยนเปล่านั่งอยู่บนเก้าอีนวมสีแดงดูหรูหราภายในห้องสีเทาด้วยปูนเปลือย ด้านหลังมีตู้ไม้สูงประมาณหน้าอกตั้งอยู่ บนหลังตู้มีแจกันจีนพื้นสีขาววาดลวดลายสีน้ำเงินวางไว้ ตัวเขาเองนั่งชันขาข้างหนึ่งขึ้นวางที่พนักแขน เท้าวางปิดที่ส่วนนั้น ส่วนขาอีกข้างวางราบอยู่กับพื้น แสงจากหน้าต่างบานเล็กเหนือขึ้นไปสาดมาที่ใบหน้าของเขาพอดี มันทำให้เขาเห็นใบหน้าตัวเองที่เสมองมา...คล้ายกลับว่าเขากำลังมองผ่านหัวไหล่ของผู้ที่มองดูภาพนั้นอยู่ มองผ่านไปยังจิตกรที่กำลังวาดเขาด้วยรอบยิ้มเล็ก ๆ ที่มุมปาก
ร่องรอยของไฟที่ไหม้รูปภาพยังปรากฏอยู่ที่มุมทั้งสีและขอบรอบ ๆ รูปนั้น มารดาของชายคนรักเก่าของเขามอบมันให้กับเต้อในจาปนกิจศพ เธอร้องให้และยื่นมันให้กับเขาด้วยมือที่สั่นเทาและน้ำตา เต้อจำได้ดี จำสีหน้าของเธอที่เจ็บปวดได้ จำได้ว่าบิดาของชายคนนั้นนั่งอยู่ห่างออกไปด้วยสีหน้าอมทุกอย่างคนกรนด่าตัวเอง บางวินาทีเต้อก็อยากรู้ว่าชายกลางคนคนนั้นคิดหรือรู้สึกอย่างไรที่ตัวเองเป็นสาเหตุให้ลูกชายของตัวเองฆ่าตัวตาย...แต่มันไม่สำคัญแล้ว ไม่เลย...เพราะเป้จากไปแล้ว
ชายหนุ่มมองดูภาพนั้นแล้วยิ้ม ไม่รู้สึกเศร้าอีกต่อไป...อย่างน้องก็ไม่มากเท่าก่อนหน้านี้ หลายครั้งเขาคิดถึงชายคนนั้น รอบยิ้มและเสียงหัวเราะ แต่ยิ่งเวลาผ่านไปเขาก็คิดถึงน้อยลงเรื่อย ๆ อาจจะเพราะมีเรื่องมากมายที่ต้องทำ ทั้งเรื่องเรียน ไหนจะงานที่สำนักงานของอาชัยกับอาน้อยที่เขาเริ่มทำงานได้มาสองสามเดือนแล้ว...จนแล้วจนรอดเขาก็ทนเสียงรบเร้าไม่ไหวจนต้องมาช่วยอาทั้งสองทำบัญชีจนได้ ซึ่งจะว่าไปมันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรหรอก แล้วอาของเขาก็ไม่เคยปฏิบัติกับเขาต่างจากลูกจ้างคนอื่น ๆ เลย
เต้อหยิบรูปภาพมาตั้งไว้ที่โต๊ะเขียนหนังสือ ตัวเขาก็นั่งลงที่เก้าอีกพรางจ้องมองภาพนั้น คิดถึงวันนั้นที่เป้จับเขานั่งที่เก้าอี้นวมสีแดง จูบเขาที่หัวเข่าก่อนจะเดินไปที่ด้านหลังผ้าใบและเริ่มต้นวาด เขาจำได้ว่าตัวเองทั้งอายและเขิน แต่อีกฝ่ายก็ทำให้มันกลายเป็นความทรงจำที่มีความสุข ชายหนุ่มจำไม่ได้แล้วว่าระหว่างนั้นพวกเขาคุยอะไรกัน แต่มันก็เป็นช่วงเวลาที่ดีมาก ๆ ที่เขาคงจะจดจำไปอีกนาน
ชายคนนั้นหันมองไปที่มุมหนึ่งของโต๊ะหนังสือก่อนจะหยิบสมุดลายไทยเล่มเก่ามาเปิดดู มันเป็นสมุดที่เขาเขียนจดหมายหาชายคนนั้นระหว่างที่รับใช้ชาติ เรื่องราวมากมายบรรจุอยู่ในนั้น ทั้งเหงา เศร้า สุข เสียงหัวเราะ ทุกเรื่องราวบรรจุอยู่ในนั้น ทุกความทรงจำ ทุกลายละเอียด ยิ่งอ่านไปยิ่งทำให้เต้อหวนคิดถึงเรื่องราวเมื่อปีที่แล้ว...ทั้ง ๆ ที่เวลาผ่านไปไม่นานแต่เขากลับรู้สึกว่ามันช่างห่างไกลเหลือเกิน...ความคิดและความรู้สึกในจดหมายเหล่านั้นช่างห่างไกลจากตัวเขาในตอนนี้ราวกับเป็นคนละคน
เขากำลังเปลี่ยนไปอย่างช้า ๆ ...ซึ่งนั่นก็ดีแล้ว
“ทำอะไรอยู่” เสียงอาชัยดังมาจากทางประตู จนเต้อสะดุ้งตัวน้อย ๆ พรางปิดสมุดลายไทยอย่างเบามือ “เก็บของเสร็จแล้วเหรอ”
“ครับ” ชายหนุ่มตอบ “สักพักพี่มิ้นท์ก็คงมาถึง”
ชายกลางคนพยักหน้าช้า ๆ ก่อนจะเดินมานั่งที่เตียงนอนและหันมองไปรอบ ๆ “ห้องว่างขึ้นมากเลยนะ”
อีกฝ่ายยิ้ม “อะไร? เต้อเก็บไปแค่เสื้อผ้าเอง”
ผู้เป็นอาพ่นลมหายใจปนหัวเราะออกมาก่อนจะเงียบไปพักหนึ่งและว่า “แกแน่ใจแล้วแน่เหรอ”
ชายหนุ่มขมวดคิ้ว “เรื่องอะไรครับ”
“จะเรื่องอะไรล่ะ ก็เรื่องย้ายไปอยู่กับไอ้มิ้นท์ไง...อาว่ามันไม่เร็วไปหน่อยเหรอ”
“อาชัย...ผมก็บอกไปแล้วว่า...”
“รู้ว่าบอกแล้ว...แต่...” อีกฝ่ายยกมือถูหน้าตัวเองแรก ๆ “แต่มันเร็วมากเลยนะ...แป๊บ ๆ แกก็โตขนาดนี้แล้ว ย้ายออกไปอยู่ข้างนอก...มีแฟน...แล้ว...”
แล้วเสียงของชายกลางคนก็ขาดหายไปตอนนั้น ร่างเขาสั่นน้อย ๆ เพราะน้ำตาจนเต้อต้องมานั่งข้าง ๆ และโอบไหล่อีกฝ่ายไว้
“เต้อก็ไม่ได้ไปไหนหนิ ยังไงก็ต้องเจอกันทุกวันที่ออฟฟิสอยู่แล้ว”
“รู้...แต่จะอีกนานแค่ไหนล่ะ เดี๋ยวแกก็ต้องเรียนจบ แล้วก็ต้องหางานทำที่อื่น แต่งงาน หรืออาจจะมีลูก”
“อาชัย” เต้อร้องออกมาพรางหัวเราะ “อาคิดเลยไปไกลแล้วนะ”
“แล้วมันจริงไหมล่ะ”
เต้อเงียบไปหลายวินาทีก่อนว่าต่อ “ก็อาจจะจริงก็ได้...แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเต้อก็จะเป็นลูกอาอยู่ดีนั่นแหละ”
อีกฝ่ายหันมองชายหนุ่มด้วยในตาระเรื่อก่อนจะกอดอีกฝ่ายไว้ ทั้งคู่นั่งกอดกันอยู่แบบนั้นนานหลายนาทีก่อนเสียงเปิดประตูรั้วบ้านจะดังมาพร้อมกับเสียงอาน้อยตะโกนเรียกบอกว่าพี่มิ้นท์มาถึงแล้ว
“ผมต้องไปแล้วนะครับ” เต้อว่าพรางลุกขึ้นและคว้ากระเป๋ามาสะพาย “มาเหอะ ไปส่งเต้อหน่อย”
อีกฝ่ายทำมือทำไม้เป็นเชิงให้เต้อเดินลงไปก่อน “เดี๋ยวตามไป” เขาว่า
เมื่อชายหนุ่มลงมาถึงด้านล่างก็เจอกับอาน้อยและพี่มิ้นท์กำลังนั่งคุยกันอยู่ที่ห้องรับแขก
พี่มิ้นท์อยู่ในชุดทำงานเหมือนอย่างเคย เสื้อคลุมแขนยาวสีกรมท่าทับเสื้อเชิ้ตกับกางเกงแสล็กสีเดียวกัน...มองอีกฝ่ายแบบนี้แล้วเต้อรู้สึกว่าชายคนนั้นดูเท่กว่าตอนอยู่ในเครื่องแบบทหารเสียอีก
ชายคนนั้นหันมายิ้มให้กับเต้อ เขายิ้มตอบ
“มาแล้วเหรอ ทำไมลงมาเร็วจัง นี่อากำลังชวนมิ้นท์เขากินข้าวเย็นด้วยกันอยู่เลย”
“ไม่เป็นไรจริง ๆ ครับ” ชายคนนั้นว่า “ผมกะว่าจะพาเต้อออกไปหาอะไรกินกันข้างนอก”
อาน้อยนิ่วหน้าแต่ก็ยิ้มออกมา “อะไรจะขนาดนั้น” แล้วก็หัวเราะออกมาเป็นจังหวะเดียวกันกับที่อาชัยเดินลงมาจากด้านบน
“ยังไงล่ะ จะไปกันเลยหรือยังไง” เขาว่าทำเสียงเข้ม ซึ่งทำให้เต้อหลุดขำออกมา “ขำอะไร”
“เปล่าครับ” เขาเอ่ยตอบผู้เป็นอาก่อนจะหันมองชายคนรัก “ไปเลยไหม”
มิ้นท์พยักหน้าตอบก่อนจะลุกขึ้น ไหว้ลาอาทั้งสองคน อาน้อยรับไหว้และกอดชายคนนั้นไว้ บอกว่าฝากเต้อด้วยนะ ส่วนอาชัยทำท่าทางรับไหว้แบบขอไปที...ดูท่าว่าคงต้องใช้เวลาอีกนานกว่าอาชัยจะทำญาติดีกับมิ้นท์ได้
เต้อโยนกระเป๋าไว้ที่เบาะหลังก่อนจะเปิดประตูรถไปนั่งข้างคนขับแล้วตัวรถก็แล่นออกไป
การบอกลามันเป็นเรื่องประหลาดสำหรับเต้อ...เขารู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่ยากเหลือเกินจนกระทั้งได้เดินจากไป แล้วมันก็กลายเป็นเรื่องง่ายดายที่สุดในโลก
“แล้วยังไงต่อ” ผ่านไปได้ไม่นานเต้อก็เอ่ยถามชายคนนั้น
“อะไร ‘ยังไงต่อ’”
“ก็จะไปหาข้าวกินก่อนหรือจะเอาของไปเก็บก่อน”
มิ้นท์โครงหัวไปมา “เข้าคอนโดก่อนดีกว่า”
“รีบ ๆ เหอะ หิวจะตายห่าอยู่แล้ว”
“พูดจาให้มันดี ๆ ดิ” มิ้นท์ว่า
“แล้วจะทำไม”
ไม่ทันขาดคำอีกฝ่ายก็ชกเข้าที่แขนของเต้อ
“โอ๊ย ไอ้พี่มิ้นท์ มันเจ็บ” ชายหนุ่มว่าก่อนจะชกคืน “เล่นอะไรเป็นเด็ก ๆ”
ชายคนนั้นหัวเราะออกมาก่อนว่า “ก็เต้อพูดกับพี่ไม่ดีก่อนนะ”
“แล้วจะทำไม ต้องกราบต้องไหว้ทุกวันด้วยเลยไหม”
“ต้องเอาดอกไม้ธูปเทียนมาไหว้พี่ทุกวันพระด้วย” ชายคนนั้นว่าพรางคว่ำปากและพยักหน้า
“ฝันไปเหอะ คิดว่าตัวเองเป็นไร พระถังซำจั๋งหรือไง”
มิ้นท์หัวเราะออกมาอีกก่อนทั้งคู่จะเงียบไป เขาสังเกตเห็นชายคนรักมองเหม่อออกไปนอกหน้าต่าง “คิดอะไรอยู่”
“ฮ๊ะ อ๋อ เปล่าหรอก” เต้อตอบออกมาแค่นั้นก่อนทั้งคู่จะเงียบกันไปตลอดทาง บางครั้งความเงียบของชายคนนั้นก็ทำให้มิ้นท์หวั่น ๆ อยู่ในใจ ตลอดหลายเดือนมานี่ทั้งคู่แทบไม่ได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันเลย ตัวเขาเองก็ต้องไปทำงานต่างจังหวัด เต้อก็วุ่นวายกับเรื่องเรียน ทั้งคู่ต่างหัวหมุนกับชีวิตของตัวเองจนห่างเหินกันไปและมันยิ่งทำให้เขากลัว กลัวว่าชายคนนั้นจะเจอใครคนอื่น ยิ่งได้ออกไปพบเจอผู้คนหลากหลายทั้งเด็กรุ่นน้องที่เรียนด้วย ทั้งคนที่ทำงาน เขากลัวเหลือเกินว่าอีกฝ่ายจะเห็นถึงข้อเสียมากมายในตัวเขาและขอจบความสัมพันธ์นี้ ยิ่งชายคนนั้นช่างดีและงดงามแบบนั้น
เต้ออาจจะไม่ใช่คนที่หล่อเหลาที่สุด แต่รูปลักษณ์ภายนอกของเขาก็น่าถวินหา ในตาสีดำสนิทเหมือนท้องฟ้ายามค่ำคืน จมูกโด่งเป็นสัน ริมผีปากบางมักเผยอออกน้อย ๆ ยามขบคิดอะไรในสมอง แก้มกลมดูน่ารัก อีกทั้งรูปร่างก็ได้สัดส่วนไม่ผอมไม่อ้วน แต่สิ่งเหล่านั้นก็เทียบอะไรไม่ได้กับจิตใจของเขาเลย เต้อเป็นคนจิตใจดีที่สุดเท่าที่มิ้นท์เคยรู้จัก อ่อนไหว แน่วแน่ และไม่เคยเลยที่จะคิดถึงตัวเองก่อนคนอื่น ๆ เพราะแบบนั้นมิ้นท์ถึงได้รักอีกฝ่าย แต่หลายครั้งเขาก็ไม่แน่ใจว่าชายคนนั้นรู้สึกเช่นเดียวกันหรือเปล่า ทุกครั้งที่อีกฝ่ายมองเหม่อ ทุกครั้งที่เขาตัดขาดจากโลกภายนอก มิ้นท์กลัวเหลือเกินว่าชายคนนั้นจะกำลังคิดถึงใครคนอื่นอยู่...อาจจะเป็นใครสักคนจากอดีตหรือใครสักคนที่ไม่ใช่เขา
มิ้นท์สลัดความคิดนั้นออกไปจากสมอง เขารู้ว่าอีกฝ่ายรักเขา เต้อบอกเขาแบบนั้นหลายครั้งแต่ถึงแบบนั้นหลายครั้งมิ้นท์ก็อดรู้สึกว่าตัวเองไม่คู่ควรกับชายคนนั้น ตัวเขาเองมีข้อเสียหลายอย่างที่อีกฝ่ายไม่ชอบใจ ทั้งสูบบุหรี่ กินเหล้า บางครั้งก็ใช้เวลากับเพื่อนมากเกินไปซึ่งเขาก็พยายามปรับเปลี่ยนตัวเองเพื่อให้อีกฝ่ายพอใจ...แต่ถ้าวันหนึ่งมันไม่พอล่ะ ถ้าวันหนึ่งทุกอย่างพังทลายลงและเต้อมองเห็นแต่ข้อเสียของเขาล่ะ ถ้าวันนั้นมาถึงชายคนนั้นจะจากเขาไปหรือเปล่า
ไม่นานหลังจากนั้นตัวรถก็แล่นเจ้ามาจอดในที่จอดรถของคอนโด มิ้นท์เดินนำอีกฝ่ายไปขึ้นลิฟต์ก่อนที่ทั้งคู่จะมาถึงจุดหมาย
“นี่กุญแจ” มิ้นว่าพรางยืนสิ่งนั้นให้อีกฝ่าย “พี่เพิ่งไปปั๊มมา ลองไขดูสิว่าได้หรือเปล่า”
เต้อทำตามคำนั้น เขาไขเปิดประตูห้องเข้าไปในห้องก่อนจะเห็นสิ่งที่อีกฝ่ายเตรียมไว้
มันเป็นห้องสตูดิโอเล็ก ๆ ไม่ใหญ่โตอะไร มีส่วนห้องครัวอยู่ด้านหนึ่ง ห้องนั่งเล่นติดอยู่กับห้องนอนโดยมีผนักกระจกกั้นไว้ ห้องน้ำอยู่ติดกับประตูทางเข้า
มิ้นท์โรยกลีบกุหลายไว้เป็นทางจากทางเข้าห้องไปจนถึงโต๊ะอาหารที่ถูกเอามาวางไว้กลางห้องนั่งเล่น รอบ ๆ ห้องมีเทียนจุดและวางไว้ตามพื้นและบนโต๊ะอาหาร
“ไอ้พี่มิ้นท์ ไอ้บ้า เดี๋ยวไฟไหม้กันพอดี” เต้อร้องออกมาเป็นคำแรกก่อนจะเดินไปเป่าเทียน แต่เป่าอย่างไรมันก็ไม่ดับ
“เป่าให้ตายก็ไม่ดับหรอก เทียนไฟฟ้า” ไอ้พี่มิ้นท์ว่าพรางแทรกตัวเดินนำอีกฝ่ายไปที่โต๊ะอาหาร โยนกระเป๋าเสื้อผ้าของเต้อไว้กับโซฟาก่อนจะผายมือให้อีกฝ่ายมานั่งที่เก้าอี้ “มาดิ พี่ทำข้าวเย็นไว้ให้แล้ว”
เต้อมองดูอีกฝ่าย เขายิ้มออกมาเหมือนคนโง่ที่สุดในโลกแต่เขาไม่ได้รู้สึกแบบนั้น ชายหนุ่มรู้สึกว่าเขาช่างเป็นคนที่โชคดีที่สุดในโลกมากกว่า “ไม่อร่อยไม่กินนะบอกไว้ก่อน”
มื้อเย็นวันนั้นผ่านไปอยากเก้ ๆ กัง ๆ สปาเก็ตตี้ซอสมะเขือเทศที่มิ้นท์ทำเค็มเกินไปแถมเส้นยังแข็ง เต้อบอกอีกฝ่ายตามความจริงแต่เขาก็ฝืนกินจนหมด ทั้งคู่แทบไม่ได้คุยอะไรกันเลย ทุกอย่างเป็นเรื่องใหม่และน่าหวาดหวั่นกำลังทั้งมิ้นและเต้อ
เมื่อทั้งคู่จัดการกับอาหารจนหมด เต้อก็อาสาเก็บของทุกอย่างเข้าที่เพื่อให้มิ้นท์ไปอาบน้ำ อีกฝ่ายใช้เวลาไม่นานก่อนจะเดินออกมา สวมเพียงกางเกงบ๊อกเซอร์ขาสั้นและมีผ้าเช็ดตัวพาดอยู่รอบคอ
ร่างสูงผอมที่มีกล้ามเนื้อให้เห็นชัดเจนนั้นทำให้เต้อรู้สึกหวั่น ๆ ยามมองดูถึงจะเคยเห็นมาแล้วหลายครั้งก็ตาม
“ไอ้อาบน้ำสิ” อีกฝ่ายว่า
“เต้อยังเก็บเสื้อผ้าเข้าตู้ไม่เสร็จเลยพี่”
“ไปเหอะน่า เดี๋ยวพี่เก็บให้” ชายคนนั้นว่าพรางดึงอีกฝ่ายไปที่ห้องน้ำ โยนผ้าเช็ดตัวอีกฝืนให้ “อยากให้อาบให้ด้วยไหม”
“ทะลึ่งว่ะ” เต้อพูดออกมาแบบนั้นด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มก่อนจะปิดประตูใส่หน้าอีกฝ่าย
ชายหนุ่มอ่านน้ำไม่นานนัก เขาใช้เวลาไปราวสิบนาทีก่อนที่จะเปิดประตูออกมาจากห้องน้ำโดยมีผ้าขนหนูพันกายท่อนล่าง แต่ยังไม่ทันที่เขาจะก้าวออกมา มิ้นท์ที่ยืนรอที่หน้าประตูอยู่ก่อนแล้วก็ยกชุดสูทที่แขวนอยู่ในไม้แขวนขึ้นและถาม “นี่อะไร”
“จะอ่ะไรล่ะ ก็ชุดนักเรียนไง” เต้อว่าทำสีหน้างง ๆ
อีกฝ่ายทำตาโตและคว่ำปากนิดหน่อยพรางพยักหน้าช้า ๆ “ไม่เห็นเคยบอกว่ามีเครื่องแบบด้วย”
“อะไรพี่ มันมีด้วยเหรอโรงเรียนที่ไม่มีเครื่องแบบน่ะ ถอยดิ จะไปแต่งตัว”
อีกฝ่ายยิ้มออกมาก่อนว่า “ใส่ให้ดูหน่อย”
“อะไร ไม่เอา” เต้อปฏิเสธ พยายามแทรกตัวออกจากตรงนั้นแต่อีกฝ่ายไม่ยอม “พี่มิ้นท์ ถอยพี่”
“น่า ใส่ให้ดูหน่อย พี่ยังไม่เคยเห็นเต้อใส่เลย”
อีกฝ่ายถอนหายใจและมองหน้าชายคนนั้น มองดูใบหน้าทะเล้นและรอบยิ้มกวน ๆ นั่น มันยากเหลือเกินที่จะปฏิเสธได้ “แค่แป๊บเดียวนะ” จบคำก็คว้าเครื่องแบบมาจากมือมิ้นท์และปิดประตูห้องน้ำอีกครั้ง
มันใช่เวลานานกว่าที่เต้อคิดไว้เป็นเพราะเขายังผูกเนคไทไม่คล่องมากนักเลยเสียเวลาไปนานพอดู แต่เมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยเขาก็เดินออกมาจากห้องน้ำ
“พี่มิ้นท์” ชายหนุ่มเอ่ยเรียกเมื่อไม่เห็นอีกฝ่ายในห้องนั่งเล่น
“เออ” ชายคนนั้นขานรับ เสียงดังมาจากในห้องนอน เต้อจึงเดินเข้าไปหาและเห็นว่ามิ้นท์กำลังจัดเรียงเสื้อผ้าในตู้เสื้อผ้าอยู่ เมื่อชายคนนั้นเงยหน้าขึ้นมาก็เผยอยิ้มกว้าง
“ขำอะไรนักหนา” เต้อเอ่ยเสียงเรียบพรางมองดูอีกฝ่ายที่ตอนนี้สอดส่ายสายตาสำรวจไปทั่วร่างกายของเขา
“ไม่ได้ขำ...แค่คิดว่า...เท่ดี” มิ้นท์ว่าพรางมองดูชายคนรักที่สวมเสื้อผ้าแปลกตาไป มันเป็นสุดสูทสีกรมท่าขลิบขอบด้วยแถบผ้าสีขาวเข้าชุดกับกางเกงแสล็กสีเดียวกัน เนคไทเป็นสีกรมท่าสลับแดงและขาวสวมทับบนเสื้อเชิ้ตสีขาวเรียบ ๆ
ชายหนุ่มจัดเน็คไทให้อีกฝ่ายพรางใช้มือลูบไปตามลำแขนของชายคนนั้น...เขาช่างดูน่าโหยหาและมันยิ่งทำให้มิ้นท์หวั่นใจ มันเป็นความรู้สึกเดียวกันกับที่เคยทำให้เขาระเบิดอารมณ์ใส่อีกฝ่ายไปจนทั้งคู่เกือบเลิกกัน ความกลัวที่ว่าเขาอาจจะไม่ดีพอสำหรับชายคนนั้น ความกลัวที่เกือบทำให้เขาเสียอีกฝ่ายไป...ซึ่งเขาจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นอีกเด็ดขาด
“เต้อ...พี่ถามอะไรตรง ๆ ได้ไหม” มิ้นท์ว่าพรางมองดูอีกฝ่ายตรง ๆ จ้องมองเข้าไปในดวงตาสีดำคู่นั้น “เต้อคิดอะไรอยู่เหรอ”
อีกฝ่ายทำหน้าสงสัย “หมายถึงอะไร”
ชายหนุ่มถอนหายใจยาว “ก็พี่เห็นเต้อเหม่อ ๆ ตั้งแต่ออกมาจากบ้าน ตอนกินข้าวก็ไม่ค่อยพูด...พี่เลย...เต้อคิดถึงเป้หรือใครอยู่หรือเปล่า”
การพูดชื่อชายคนนั้นออกมาเป็นเหมือนยาพิษสำหรับทั้งเขาและเต้อ เขารู้ดี แต่มิ้นท์ก็ไม่อยากให้ความรู้สึกนี้กัดกินใจเขาต่อไปได้ ชายหนุ่มคาดหวังสีหน้าเจ็บปวดของอีกฝ่าย แต่เปล่าเลย เขาคนนั้นแค่ถอนหายใจยาวออกมา
“ไม่ใช่หรอก...เต้อแค่...” และเงียบไปพักหนึ่ง “พี่ไม่คิดว่ามันเร็วไปใช่ไหม”
“เรื่อง?”
“ที่ย้ายมาอยู่ด้วยกัน...เต้อหมายถึงว่า ถ้าวันหนึ่งพี่เกิดเบื่อเต้อขึ้นมาแล้วไล่เต้อออกจากคอนโด...”
“ฮ๊ะ” พี่มิ้นท์ทำสีหน้าจริงจัง “ไอ้บ้า พี่ไม่ทำแบบนั้นหรอก”
อีกฝ่ายไม่ตอบ เขาแค่จ้องมองกลับมา ในตาดูจริงจังไม่แพ้กัน “พี่จะรู้ได้ไง ถ้าวันหนึ่ง...”
“พี่ไม่มีวัน ไม่มีวันเด็ดขาดที่จะหยุดรู้สึกกับเต้อแบบนี้” มิ้นท์ยืนยันหนักแน่นก่อนจะยื่นมือขวาขึ้นช้อนที่คอด้านหลังอีกฝ่ายและชนหน้าผากเข้าหากัน “พี่ต่างหากที่ต้องกลัวว่าเต้อจะไปเจอคนอื่น...”
“คนไหนอีกล่ะ” อีกฝ่ายย้อนมาด้วยสีหน้ายิ้ม ๆ
“ไม่รู้เหมือนกัน ที่โรงเรียน ที่ทำงาน...เต้อเจอคนตั้งเยอะแยะ แล้วเราก็ห่าง ๆ กันไปตั้งหลายเดือน”
ชายหนุ่มหัวเราะออกมา “คิดมากอีกแล้ว...เต้อมีพี่คนเดียว คนเดียวจริง ๆ” เขาว่า “พี่ดีกับเต้อขนาดนี้ เต้อจะไปมีคนอื่นทำไม”
มิ้นท์ยิ้มออกมาในวินาทีนั้นก่อนจะจูบอีกฝ่ายเนิ่นนาน มันเป็นรสจูบที่ทั้งคู่ไม่ได้ลิ้มรสมานานหลายเดือน มือของชายคนนั้นค่อย ๆ เลื่อนลงไปปลดกระดุมสูท ดึงเนคไทให้หลุดจากรอบคอของชายคนนั้น อีกฝ่ายยินยอมอย่างว่างง่าย เขาไม่มีท่าทางต่อต้านได ๆ ยามชายคนนั้นค่อย ๆ ปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตและถอดมันออกจากร่างกายเขา รอบจูบประทับที่หน้าอก เลื้อยลัดลงไปเรื่อย ๆ อย่างเชื่องช้า มือของมิ้นท์ปลดเข็มขัดของอีกฝ่ายอย่างคล่องแคล่ว ถอดตะขอกางเกงและซิปอย่างง่ายดาย เต้อเผลอถอนหายใจเสียงดังออกมายามชายคนนั้นคร่อมปากดูดดื่มส่วนนั้นของเขา มิ้นท์ดันร่างของเต้อให้พิงกับประตูตู้เสื้อผ้าที่เป็นกระจกเงาพรางซุกไซร้ใบหน้ากับส่วนนั้นของอีกฝ่าย เสียงครวญครางอย่างสุขแสนดังจากลำคอของเต้อ มือของเขาประคองศีรษะของมิ้นท์อย่างเบามือ
ไม่นานมิ้นก็จับร่างเต้อให้หันหลังก่อนจะกัดกินบั้นท้ายของชายคนนั้น เสียงครางกระเส่าดังขึ้นอย่างรวยรินยามชายร่างผอมเลื้อยลัดท่อนลิ้นเข้าไปในทุกส่วนเว้าโค้ง เหงื่อกาฬของรสกามเริ่มผุดพรายขึ้นทั่วร่าง เต้อบิดร่างไปมายามมือของอีกฝ่ายเกาะกุมอยู่ที่ความเป็นชายของเขาและขยับขึ้นลงเป็นจังหวะ
“พอก่อนพี่...” เต้อร้องออกมาในวินาทีหนึ่งเมื่อเขารู้สึกเหมือนจะทานทนต่อรสรักไม่ไหว อีกฝ่ายลุกขึ้นยืนอีกครั้ง พลิกเต้อให้หันมาประชันหน้ากับเขา ดันสะโพกของตัวเองให้เบียดบดกับสะโพกของอีกฝ่าย ไอร้อนผ่าวของไฟราคะถ่ายถอดผ่ายริมฝีปากที่ประทับจูบกัน
เต้อดันร่างของมิ้นท์ให้นอนลงบนเตียงนอนก่อนที่เขาจะโถมร่างคร่อมอีกฝ่ายไว้ ลากท่อนลิ้นสากกระด้างของตัวเองไปตามเรือนร่างของชายคนนั้น กัดกินหน้าท้องแข็งด้วยกล้ามเนื้ออย่างโหยหาก่อนจะละเลียดลิ้มรสส่วนนั้นของอีกฝ่ายอย่างเบาบาง มิ้นท์ครางครวญอยู่ในลำคอ มือของเขาเกาะกุมอยู่กับศีรษะของเต้อทั้งสองข้างพรางกระแทกกระทั้นสะโพกของตัวเองอย่างแรกจนเต้อสำลักหลายครั้ง
“พี่ขอโทษ” ชายหนุ่มเอ่ยออกมาพรางช้อนใบหน้าอีกฝ่ายขึ้นมาจูบ
“ไม่เป็นไร เต้อชอบให้พี่ทำแรง ๆ”
อีกฝ่ายยิ้มออกมากับคำตอบนั้น เขาจับร่างของอีกฝ่ายให้นอนคว่ำหน้าช้อนบั้นท้ายให้ลอยเด่นในแสงสลัวก่อนจะละเลียดลิ้มรสมันอีกครั้ง
ความฉ่ำชุ่มถูกละเลงอยู่ทั่วตรงจุดสำคัญ ชายหนุ่มใช้ปลายนิ้วตะเกียกตะกายเข้าไปในร่างของอีกฝ่าย เต้อร้องออกมาอย่างสุขแสน รู้สึกเหมือนร่างกายกำลังถูกแผดเผาแต่กลับไม่เจ็บปวด มิ้นท์ขยับนิ้วมือของตัวเองเข้าออกอยู่นานหลายนาทีก่อนที่จะคร่อมร่างตัวเองแนบชิดกับแผ่นหลังของอีกฝ่าย ชอนไชความเป็นชายของเขาเข้าไปในร่างของเต้อที่แอ่นบั้นท้ายรับ รู้สึกถึงความอุ่นร้อนและรัดแน่นภายในนั้นจนเผลอคลางออกมา
“เจ็บหรือเปล่า” เขาเอ่ยถามอีกฝ่ายที่ตอบรับด้วยการดันร่างขึ้นมาและเอี้ยวศีรษะมาประทับจูบที่ริมฝีปาก
มิ้นท์ขยับสะโพกของตัวเองเข้าออก เต้อครางอย่างสุขสม จากเนิบช้ากลายเป็นแรงอย่างรัวเร็ว เสียงเนื้อกระทบเนื้อดังแทรกเสียงครวญครางของคนทั้งคู่ หยดเหงื่อของมิ้นท์ตกกระทบที่แผ่นหลังของเต้อ เสียงหอบหายใจถี่ดังก้องอยู่ในห้องนั้น
ไม่นานเต้อก็พลิกร่างตัวเองขึ้นทับร่างของอีกฝ่าย เขาบดสะโพกตัวเองลงไปจนแนบชิด โน้มร่างตัวเองนอนลงจูบชายคนรัก ลิ้มรสเค็มปร่าเหงื่อกาฬของอีกฝ่ายที่ริมฝีปาก ส่วนนั้นของเขาเบียดบดอยู่กับหน้าท้องของมิ้นท์ ส่วนนั้นของมิ้นท์แนบชิดอยู่ในร่างของเต้อ
มิ้นท์กระแทกสะโพกของตัวเองเข้าหาบั้นท้ายของเต้ออย่างรัวแรง “ชอบให้พี่ทำแรง ๆ เหรอ”
“ครับพี่มิ้นท์ แรง ๆ เลยพี่” อีกฝ่ายตอบรับพรางซุกตัวลงกอดมิ้นท์ รู้สึกถึงส่วนนั้นของตัวเองที่บดขยี้อยู่กับหน้าท้องของอีกฝ่าย ความเสียวซ่านแผดเผาจนเกือบถึงยอดปลาย “พี่มิ้นท์...เต้อจะออกแล้ว” เขาว่าพรางบดส่วนนั้นของตัวเองให้แนบชิดกับหน้าท้องอีกฝ่าย
“ออกพร้อมพี่นะ” อีกฝ่ายตอบกลับมาพรางเร่งเร้ารัวสะโพก เสียงผิวกระทบกันดังก้องในห้องนอนนั้นก่อนที่ทั้งคู่จะประสานทำนองรักครวญครางออกมาพร้อมกัน เต้อรู้สึกถึงน้ำรักที่อัดแน่นอยู่ในร่างของตัวเองและนำรักของเขาที่ทะลักทะล้นอยู่ที่หน้าท้องของพี่มิ้นท์ ทั้งคู่หอบหายใจถี่พรางประสานใบหน้าเข้าหากัน
“รู้ไหม?” จู่ ๆ มิ้นท์ก็พูดขึ้นเคล้าเสียงหอบหายใจออกมา
“อะไร?”
“นี่ครั้งแรกเลยนะที่มีอะไรกันบนเตียงเหมือนชาวบ้านเขาน่ะ”
แล้วทั้งคู่ก็หัวเราะกันออกมาก่อนที่เต้อจะจูบอีกฝ่ายอย่างเนิ่นนานเนิบช้า “ผมรักพี่นะ”
“พี่รู้” อีกฝ่ายตอบกลับมาและต้องมองในตาคู่นั้น “พี่ก็รักเต้อเหมือนกัน
.............................................................................