----------------
หลังจากการรอคอยอยู่นาน...ในที่สุดเปลือกตาสีเข้มก็ค่อยปรือขึ้น
ดูเหมือนเขายังจะมีอาการเบลอหลังตื่นนอนอยู่ ส่วนผมก็ใจจดจ่อรอ..รอที่จะยิ้มให้เขาถ้าเขาหันมามอง
“..เทียน?” ...บ้าจริง ถ้าจะเล่นยิ้มสว่างไสวขนาดนั้นตอนที่หันมามองผมล่ะก็...ผมได้สติหลุดกันพอดี...
“ครับ?” เอาเป็นว่าผมฉุดสติกลับมาได้ทัน เพื่อยิ้มรับเขาก็แล้วกัน
คนตัวเล็กยกมือขยี้ตาทั้งยังอมยิ้มอยู่ "อยู่...จริงๆด้วย....”
ผมลุกขึ้นจากเก้าอี้ โดดขึ้นมานั่งข้างเตียงเขาเหมือนเคย "...ก็บอกแล้วไงว่าจะไม่ไปไหน"
“ขอบคุณครับ" “อะไร?”
“...ที่อยู่...ตรงนี้...” เสียงสั่นพร่าของเขาทำให้ผมใจหายแว่บ และได้แต่มานึกโทษตัวเองว่าทำไมเมื่อวานถึงไม่อยู่เฝ้าเป็นเพื่อนเขากันนะ...ถ้าการที่เขาตื่นขึ้นมาแล้วเห็นผมอยู่ข้างๆมันจะทำให้เขาดีใจได้ขนาดนี้...และที่สำคัญ คนที่จะต้องพูดคำนั้นมันคือผมเองต่างหาก!
ผมอยากจะโน้มตัวลงไปจูบหน้าผากเขาอีกสักหน...แต่ก็พึงระลึกได้ก่อนว่าพ่อกับแม่ของอีกฝ่ายก็อยู่ ถึงจะนอกห้องก็เถอะ
...บ้าชะมัด... และความฟุ้งซ่านบ้าๆนั่นก็ทำให้ผมต้องคิดอีกว่าจะเปลี่ยนเรื่องคุยยังไงดี
“...คุณ...ไม่ใส่แว่น..แล้วมองเห็นด้วยเหรอ?”
“บ้าน่ะ!” เขาหัวเราะ "ผมสายตาสั้นนะครับไม่ได้ตาบอด"
“อ้าว คือ...แล้วเมื่อกี้รู้ได้ยังไงน่ะว่าเป็นผม?”
เขายิ้มยิงฟัน “นั่นลองเรียกดูเล่นๆน่ะครับ ถ้าคุณขาน แปลว่าคุณอยู่"
“อะไรนะ?”
“ล้อเล่นหรอก ผมสั้นแค่150เองนะครับ ระยะแค่นั้นน่ะเห็นอยู่แล้วล่ะ"
...คิดไปเองป่าววะ...ว่าแม่งน่าฟัดมาก... แต่ผมก็ทำแค่เอานิ้วจิ้มหน้าผากเขาหนึ่งทีเป็นเชิงตักเตือนนั่นแหละ
อาการที่น่าเป็นห่วงที่สุดของอักษรในตอนนี้คือ...นอนไม่หลับ
แม่ของเขาบอกว่าเป็นอาการไม่อยากนอนเสียมากกว่า ซึ่งผมก็เห็นแล้ว..และตัวเขาก็พูดเอง ส่วนการให้ยานอนหลับก็เหมือนจะส่งผลกระทบกับโรคของอักษรโดยตรงด้วย ถ้าทำได้จึงอยากหลีกเลี่ยง...เมื่อลงความเห็นเช่นนั้นแล้วทุกครั้งที่เขาหลับตา จึงไม่มีใครคิดจะปลุก ซึ่งอันที่จริง..เขาจะตื่นๆหลับๆทุกๆ1-2ชั่วโมงมากกว่า
ร่างกายของเขาเครียด เพียงแต่ตัวเขาเองกลับไม่แสดงอาการที่ว่านั่นออกมา...จนกระทั่งถึงจุดๆหนึ่งที่ร่างกายไม่ไหวเสียเอง ผมนับถือความสามารถในการอดทนของอักษรเสียจริง
ครอบครัวของอักษรตกลงที่จะให้ผมใช้เวลาอยู่กับเขาสองคน แน่ละว่าองศาผู้เป็นน้องถึงกับโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเมื่อรับรู้ถึงการตัดสินใจนั้น เพราะฉะนั้นตอนบ่ายที่เขามาถึงได้เดินมาจ้องหน้าหาเรื่องผม และเมื่อเห็นว่าผมไม่ได้ใส่ใจ..เขาก็เดินกลับไป..ช่างเป็นการโกรธที่พิลึกกึกกือเสียจริง...ส่วนเพื่อนๆของอักษรก็แวะเวียนมาบ้างเป็นระยะ พวกเขาดูแปลกใจถึงการมีอยู่ของผมแต่ก็ไม่ได้พูด...และผมก็หน้าด้านมากพอจะนั่งต่อไปเงียบๆ รอจนกระทั่งพวกนั้นตัดสินใจกลับกันเอง...
อักษรดูดีใจอย่างออกหน้าออกตาที่เห็นว่าผมอยู่กับเขาทั้งวัน
..โอเค ผมยอมรับว่าผมเองก็สุขใจ..เพียงแต่ไม่ได้แสดงออกขนาดนั้น..
เรามีเรื่องคุยกันไม่มาก เพราะปกติแล้วอักษรเป็นคนชวนคุยเอง...แต่เมื่อถึงเวลาที่อักษรเหนื่อย..เราก็ทำเพียงนั่งอยู่ใกล้ๆกันโดยไม่ได้พูดอะไร แล้วเขาก็จะหลับไป ตื่นขึ้นมาใหม่ เจอหน้าผม..แล้วก็ยิ้มเหมือนเคย เป็นลูปแห่งความสุขที่ผมเฝ้ารอคอย
...แต่ที่ผมเป็นกังวลก็คือ...เขากินข้าวได้น้อยเหลือเกิน..
ผมรู้ว่าอาหารที่โรงพยาบาลไม่ได้อร่อยนัก และเมื่อพ่อกับแม่เขาไม่ได้พูดหรือยัดเยียดให้ลูกกินอะไรเละๆนั่น..และพูดตามตรง...เป็นผม ผมก็คงไม่กิน ผมก็เลยไม่ทักเรื่องนั้น..การบีบบังคับให้เขารับประทานต่อมันคงจะส่งผลต่อภาวะความเครียดโดยตรง อย่างน้อยอักษรก็หยิบช้อนบ้าง ไม่ใช่ว่าไม่กินสักทีเดียว
..ซึ่งผมสันนิษฐานไปเองว่าที่เขาฝืนกินทั้งๆที่ทำหน้าอยากจะอาเจียนแบบนี้ เป็นเพราะกลัวคนอื่นจะเป็นห่วง
….กังวลอะไรไม่เข้าท่าจริงๆ... ไม่นานพยาบาลคนเดิมก็เดินเอายาหลังอาหารเย็นมาให้ ผมมีหน้าที่รับเอาไว้ก่อนค่อยส่งต่อให้อักษร
และนั่นเหมือนจะเป็นสัญญาณบอกว่าเวลาได้ล่วงเลยมามากพอแล้ว
อักษรยังไม่นอน จริงๆมันก็ยังไม่ถึงเวลานอนของผมด้วย..เพียงแต่ไอ้นาฬิกาแขวนผนังบ้าๆนั่นมันก็กดดันเกินไปนิดหน่อย ผมมองมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า หันกลับไปมองพ่อกับแม่ของอักษรที่นั่งเช็คอะไรบางอย่างในมือถือ และทำมันสลับกันทุกห้านาที อักษรดูเหมือนจะสังเกตได้ในที่สุด
“...พรุ่งนี้...จะมามั้ยครับ?” คำถามนั้นทำให้ผมต้องหันมาสบตาเขา "มาสิ"
จริงๆแล้วคำตอบเช่นนั้นไม่เห็นต้องคิดอะไรเพิ่มเติมด้วยซ้ำ แต่นั่นเป็นแค่อารัมภบทของอักษร เขามีวาทศิลป์เสมอไม่ว่าจะเรื่องไหนๆ
“งั้นวันนี้กลับไปก่อนก็ได้ครับ ผมไม่เป็นไรหรอก...นี่ก็ดึกมากแล้วด้วย"
..ถ้านั่นเป็นการพูดแบบถนอมน้ำใจ...ก็อย่ายิ้มชวนเศร้าแบบนั้นได้มั้ย... ผมหันกลับไปมองนาฬิกาอีกครั้ง นึกอยากจะถอนหายใจ..แต่การกระทำเช่นนั้นมันจะทำให้ความกล้าหดหายลงไปจนเหลือศูนย์ ผมขยับตัวยืนขึ้นจากเก้าอี้...ตอนที่ตัดสินใจจะทำการใหญ่ก็ดันหันไปเห็นหน้าเขาพอดี มันช่วยไม่ได้ที่มุมปากจะกระตุกขึ้นมายิ้ม และสิ่งต่อมาที่ผมทำคือการเดินไปหาพ่อกับแม่ของเขา
“ขอโทษนะครับ" พวกท่านทั้งสองเงยหน้าขึ้นมามอง ความกดดันกลับเพิ่มทวีมากขึ้นจนผมต้องสูดลมหายใจ...ผมหันกลับไปมองอักษรที่ยังคงทำหน้างงเต้กอยู่..มันไม่ใช่เรื่องที่เขาได้นักหรอก แล้วหันกลับมาอีกครั้ง
ความบริสุทธิ์ใจนี่ช่างน่าอึดอัด และสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดเป็นเรื่องที่ผมไม่เคยคิดมาก่อน
...และให้ตาย...เรื่องน่าอายแบบนี้ผมคงให้ใครไม่ได้อีกแล้ว... “...ขอให้ผมนอนเฝ้าอักษรด้วย...ได้มั้ยครับ?”TBC=====================
ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไร
เพราะปาฏิหาริย์...เกิดขึ้นกับคนที่เชื่อมันเท่านั้น...
http://www.youtube.com/v/GRl3zj0Xb5M