ตอน 15 ครึ่งหลัง (2/2)
“มึงจับมือไอ้โซ่???”
“Yeah...”
“เย่พ่อง” แหลมค้างอยู่ท่าถือถุงข้าวเหนียวขณะมองความบาปหนาของคนที่นั่งอยู่ข้างหน้าโดยมีตำซั่วปูปลาร้า ลาบเป็ดโคตรเผ็ดและต้มแซ่บกระดูกหมูเป็นพยาน “อะไรยังไง ทำไมไปจับมือมัน”
“กูอยากจับเฉย ๆ”
“ว้อท?” เด็กลูกครึ่งทำหน้าเหวอ “ไอ้โซ่มันไม่เอ๋อแดกเลยเหรอวะ”
“น่าจะหนักกว่านั้นอะกูว่า” ธีร์เทน้ำอัดลมให้รุ่นน้องแล้วนึกไปถึงวันนั้นที่ทำให้น้องเด๋อเลิ่กลั่กยันขึ้นรถเมล์ รู้ว่าเด็กนั่นคงมีคำถามในใจมากมาย แต่เขาก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรให้เด็กเด๋อ ๆ คนหนึ่งเข้าใจว่าหน้าอกข้างซ้ายของเขาแม่งไม่ได้เต้นแรงเพราะกาแฟแล้ว
“มึงมือไวใจเร็วไปไหมพี่ธีร์ ไอ้ฉิบหาย ไหนบอกจะค่อยเป็นค่อยไป”
“ก็นี่แหละค่อยเป็นค่อยไปของกู” ชายหนุ่มขมวดคิ้วพลางเม้มริมฝีปาก หลายวันมานี้น้องเด๋อไม่ค่อยเล่นเกม อ้างว่าต้องอ่านหนังสือสอบซึ่งเขารู้ได้ทันทีเลยว่าเด็กมันโกหก “แต่คงเร็วไปสำหรับน้องเด๋อ เพราะกูรู้สึกได้ถึงบาเรียป้องกันที่แผ่รอบตัวน้องหลังจากกูปล่อยมือ”
“ก็ควรอยู่อะ ถ้าไอ้โซ่เป็นผู้หญิงก็ว่าไปอย่าง นั่นเด็กผู้ชายนะห่า มึงคิดว่ามันจะเขินตัวบิดแล้วหันไปดูดปากอย่างดูดดื่มเหรอ”
“ถ้าเป็นงั้นกูสู้นะ เรื่องจูบกูไม่เคยแพ้ใครอยู่แล้ว”
“ควาย ชาติหน้าบ่าย ๆ เหอะสัด มีแค่ผู้หญิงกระเดิด ๆ เท่านั้นแหละที่จะตกหลุมผู้ชายแบบมึง”
“อ้าว ด่ากูเฉย มึงเป็นน้องกูไหมเนี่ยไอ้ฉิบหาย นอกจากจะไม่ให้กำลังใจกันแล้วยังด่ากูอย่างแน่น”
“มึงน่าให้กำลังใจตรงไหนเหรอพี่กูถามนิดนึง” แหลมเบ้ปากแล้วกัดข้าวเหนียวคำใหญ่ “ไอ้โซ่น่าจะกลัวมึงไปแล้วอะ ลองคิดดูว่าถ้าอยู่ ๆ มีไอ้เชี่ยที่ไหนไม่รู้มาจับมือมึง มึงจะรู้สึกยังไง”
GOOD JOB กูคือไอ้เชี่ยที่ไหนก็ไม่รู้
“มันคงดูรีบไปสำหรับคนทั่วไป แต่กูอยากรู้ไงว่าถ้าลองจับมือไอ้โซ่แล้วจะออกมาอีท่าไหน และกูก็ได้คำตอบว่ารู้สึกดี กูเลยไม่รู้ว่าจะต้องเสียเวลาไปกับความสับสนทำไมอีก คือกูก็มีคำตอบในใจมาสักพักแล้วแต่กูไม่กล้ายอมรับ พอตอนนั้นอยากแน่ใจก็เลยลั่น”
“มีวิธีร้อยแปดที่เนียนกว่าการขอจับมือ แต่มึงไม่ทำ”
“จังหวะนั้นกูก็อยากจับมือมันอยู่ลึก ๆ อะ กูผิดไร” คนพี่พยายามอธิบาย แต่คนน้องดูจะไม่เห็นด้วย
“ไม่ผิดหรอก แต่ถ้าน้องมันหายไปจากชีวิตมึงก็ให้สำเหนียกไว้เลยนะจ๊ะ”
“...” ใจแป้ว ตั้งแต่เกิดมาผู้ชายอย่างไอ้ธีร์ยังไม่เคยรู้สึกขาดความมั่นใจขนาดนี้มาก่อน เขารีบไปเหรอวะ อาจจะใช่อย่างที่ไอ้แหลมพูด แต่ก็ไม่กล้าโทษสันดานความใจร้อนหน้าด้านหน้าทน เพราะแอบเข้าข้างตัวเองอยู่ประมาณนึงเลยว่ะ
“แล้วพี่เบลอะ ไหนตอนแรกบอกรู้สึกผิด กูก็พอเข้าใจนะ แต่อยู่ดี ๆ กูก็สงสารนางเฉยเลย แบบว่าผัวข่อยกำลังจะเป็นเมียเขาอ่า”
“สัด กูคบกันตั้งหลายปี มึงจะมาสงสารห่าไรเอาตอนนี้ แล้วหมาตัวไหนเป็นคนเซิ้งให้กูไปชิงตัวน้องเด๋อมาจากแพรว”
“กูก็พูดให้ดูหล่อเฉย ๆ เปล่าวะพี่ มึงแยกแยะหน่อยดิ”
“กูรู้สึกผิดกับเบลอยู่แล้วฟายเอ๊ย แต่กูชอบน้องเด๋อไปด้วยไง กูแยกความรู้สึกเก่ง”
“รับไปเลยรางวัลโนเบลสาขาผู้ชายส้นตีนแห่งปี” แหลมชูขาไก่ขึ้นมาระดับใบหน้า
“กูต้องเป็นแบบพระเอกละครที่เลิกกับแฟนแล้วต้องไปแดกเหล้า เสียผู้เสียคนไปเป็นเดือนแล้วค่อยเริ่มต้นใหม่เหรอวะ กูแค่ลุกขึ้นได้เร็วกว่าคนอื่นเพราะไม่อยากเป็นไอ้กากเว้ย ถ้าเป็นก่อนหน้านี้กูก็คงไปนอนเล่นกับมึงที่หอ หรือไม่ก็ซื้อบัตรชั่วโมงร้านพี่ตั้บ กินนอนอยู่หน้าคอมทั้งวันทั้งคืน แต่ปัจจุบันกูมีไอ้โซ่ไงน้องรัก ทุกครั้งที่อยู่ด้วยกันเด็กมันทำให้กูรู้สึกปลอดภัยทั้งจากความคิดตัวเองและคนรอบข้าง กับเบลกูก็ยังรู้สึกผิด มากด้วย กูยังคิดถึงช่วงเวลาเก่า ๆ ที่เคยมีด้วยกัน ผ่านร้านข้าวที่เป็นเดทแรกกูก็คิดถึงเค้า แต่ตอนนี้กูก็ชอบไอ้โซ่ด้วย มันเป็นความรู้สึกใหม่ที่ไม่จำเป็นต้องเอาไปกลบความรู้สึกที่มีต่อเบลอะ กูไม่อยากอยู่เฉย ๆ เพราะกลัวขี้ปากคนอื่น”
ส้มตำคงเซ็งไม่ต่างจากพี่เบลอะแหลมคิดว่า พี่มันระบายออกมาเหมือนท่อแตกและเขาไม่รู้จะพูดอะไร เหมือนขยี้เรื่องที่คุยกันก่อนเข้าโรงหนัง ย้ำคิดย้ำทำเพราะลึก ๆ ไอ้พี่ธีร์ก็กังวล
“กูเชื่อว่าคนอื่นก็เป็นเหมือนกู แต่คนพวกนั้นไม่กล้าแสดงออกเพราะกลัวโดนด่าว่าเป็นไอ้คนเหี้ย ไม่ได้รักแฟนเก่าจริง ๆ พอเลิกไปก็เริ่มต้นใหม่ได้ง่าย ๆ ซึ่งคนด่าก็ไม่ใช่ใครเลยนอกจากคนรอบตัวแฟนเก่า เช่นฝ้ายเป็นต้น แค่เห็นกูสกรีนช็อตสกอร์เกมลงหน้าเฟซแล้วฟลัดเลขห้าอย่างสะใจ นางก็อัพด่ากูยาวเป็นบทความเรื่องสั้น แบบที่คนอื่นผ่านมาเห็นก็คงเข้าใจว่ากูไปฆ่าล้างโคตรนางมาอะ”
“ชาติที่แล้วมึงอาจจะไปเยี่ยวใส่ประตูบ้านพี่ฝ้ายมาชาตินี้เลยจองเวรหนักหน่อย โอ้โหสินกำให้เค้าแล้วกันนะ”
“กูอยากรู้เลยว่าไอ้ส้นตีนที่ไหนเป็นคนต้นคิดว่าถ้าอกหักแล้วห้ามมีความสุขออกนอกหน้านะ ไม่งั้นจะกลายเป็นคนไม่จริงใจ คือกูก็เจ็บเหมือนกันไงแต่กูแค่ไม่แสดงออก กูไม่ชอบให้ใครมาสงสาร มันเป็นเรื่องที่กูสามารถจัดการได้ด้วยตัวเองโดยที่ไม่ต้องประกาศให้คนทั้งโลกรู้”
“แต่พี่เบลทำอะ นี่หลอกด่าแฟนเก่าเหรอ ไอ้พี่ระยำ”
“อ้าว ทีงี้ล่ะเสือกทีมเบลเฉย” ชายหนุ่มง้างมือขึ้นเตรียมจะนวดกะโหลกรุ่นน้องแต่ยั้งมือไว้ได้ก่อน “รายนั้นเค้าเป็นผู้หญิงอ่อนไหวเว้ย บางคนก็รู้สึกดีเวลามีคนเมนต์ให้กำลังใจ แต่สำหรับกูไม่ใช่”
“ทำไมอยู่ดี ๆ เข้าเรื่องดราม่าเฉยเลยวะ กูแค่จะหลอกด่ามึงขำ ๆ” แหลมใช้มือฉีกไก่ย่างให้แล้วรุ่นพี่ก็ก้มลงมากินเพราะมันไม่อยากมือเลอะ บักห่าคั่ว บักคุณชายใหญ่
“กูอิน แล้วกูก็เริ่มเครียดเรื่องไอ้โซ่แล้วด้วย”
“เรียนผูกต้องเรียนแก้อะนะ ลูกเสือเขาไม่จับมือขวา”
“เกี่ยวเชี่ยไร” ธีร์มองคาดโทษรุ่นน้องที่ให้ความสนใจกับส้มตำมากกว่าหนังหน้าเขาแล้วในตอนนี้
“ไหน ๆ ก็หน้าด้านไปแล้ว ก็หน้าด้านให้สุดไปเล้ย กลัวห่าไร” คนน้องเงยหน้าขึ้นสบตากัน ยักคิ้วกวนกระตุ้นความชั่วช้าให้เขาทำในสิ่งที่ไม่เคยทำกับใครมาก่อน
แหลมไม่เคยเห็นรุ่นพี่เครียดขนาดนี้ ใจหนึ่งก็เป็นห่วงกลัวผลจะออกมาไม่ดี แต่อีกใจเขาก็รู้สึกดีที่พี่ธีร์จะได้ลองแก้ปัญหาในแบบที่ไม่เจอเจอมาก่อน
“เป็นถึงหัวหน้าทีมขี้ซุยบราเทอร์ มึงรู้อยู่แล้วปะว่าจะวางแผนแก้สถานการณ์ยังไง”
*
“ไอ้โซ่ มึงเป็นไรเปล่าวะ พักนี้ดูเหม่อ ๆ”
คนถูกทักหลุดออกจากความคิดพลางหันไปมองเพื่อนอีกสองคนที่กำลังอ่านหนังสือกันอยู่ เด็กหนุ่มตัวผอมกลอกตาล่อกแล่ก มองหนังสือของเจมส์ที่เปิดนำไปแล้วสามหน้าแล้วก็รีบเปิดตาม
“ใจลอยบ่อย คิดถึงน้องแพรวเหรอจ๊ะ”
“ไม่ใช่นะ กูไม่ได้คิดอะไรกับแพรวเลย”
“มีอะไรก็พูดกับพวกกูได้นะเว้ย เรามีกันอยู่แค่นี้” อาร์มวางมือลงบนศีรษะไอ้ซื่อบื้อ พยายามตะล่อมหลอกล่อให้มันคายความลับในใจออกมา หลายวันแล้วที่ไอ้โซ่ดูใจลอยจนเดินชนนู่นนี่นั่น พอถามก็บอกว่าไม่มีอะไร
“จริง ถ้าดราม่าเรื่องแพรวกับพี่แหลมก็เล่ามาเลยดีกว่า อย่าเก็บไว้ในใจเลยเพื่อน”
“มึงจะสตรองต่อหน้าพี่ ๆ แค่ไหนก็ได้นะ แต่กับพวกกูอะ จัดเต็มได้”
เขากับไอ้เจมส์พากันไซโค และการที่สีหน้าไอ้โซ่เปลี่ยนไปก็ถือว่าเป็นลางที่ดีขึ้น ทั้งคู่ละสายตาจากหนังสือที่ต้องอ่านเตรียมสอบวันพรุ่งนี้ สละเวลาสักสิบยี่สิบนาทีมาคุยเรื่องปัญหาหัวใจให้เพื่อนมันคงไม่เสียหลายนัก
“อาร์ม”
“ว่ามา”
“ขอจับมือหน่อย”
“หะ?” เจมส์กับอาร์มประสานเสียงกันขณะมองไอ้ซื่อบื้อที่ยื่นมือออกมาเหมือนหมาเชื่อง ๆ
“จับหน่อยนะ จับมือกัน”
“จับเพื่อ?”
“กู... หนาว”
“หนาวพ่อมึง แอร์ห้องกูยังไม่ได้ล้าง ร้อนจนเหงื่อไหลตามร่องตูดละ” อาร์มมองค้อนคนตรงหน้า ก่อนจะผลักหัวมันเบา ๆ จนผมเผ้ากระปลิวปิดหัวคิ้ว ไอ้โซ่เหมือนคนจะร้องไห้ สังเกตได้จากปากและเสียงอึกอักในลำคอ
“จับหน่อย...” ไอ้ซื่อบื้อยังคงตื๊อ เจมส์จึงสะกิดคนข้าง ๆ ด้วยหัวไหล่เพราะความอยากเสือก อาร์มถอนหายใจหน่าย ๆ กับการล้วงความลับ จึงจำใจวางมือลงไป ก่อนห้องสี่เหลี่ยมจะถูกความเงียบกลืนกิน
“อุ่นยังคะพี่โซ่?” จงใจดัดเสียงให้เล็กลง แต่เจ้าของชื่อก็ยังขมวดคิ้วจ้องมือที่จับกันอยู่ ก่อนอาร์มจะสะดุ้งสุดตัวเพราะเรียวนิ้วเริ่มสอดประสานกัน “อะไรของมึงเนี่ย?!”
“ใจเย็นก่อนสิ... แป๊บนึง” โซ่หลับตาแน่นเพื่อเปรียบเทียบว่าความรู้สึกในโรงหนังวันนั้นมันเหมือนกับวันนี้หรือไม่ แปลกจัง มืออาร์มไม่เห็นมีเหงื่อเลย แถมใจก็ไม่ได้เต้นแรงด้วย
“ไอ้โซ่”
“รู้สึกแปลก ๆ ไหม?” เด็กหนุ่มตัวผอมมองเพื่อนอย่างจริงจังหวังขอความเห็น อาร์มกับเจมส์ที่ยังเรียบเรียงสถานการณ์ไม่ถูกจึงหันไปมองหน้ากัน
“แปลก”
“เหรอ เป็นยังไงบ้าง เล่าให้ฟังหน่อย”
“แปลกตรงที่อยู่ดี ๆ มึงมาขอจับมือกูเนี่ย เป็นอะไร?”
“ถ้าอยู่ดี ๆ มาจับมือกันมันก็ต้องแปลกอยู่แล้วถูกไหม กูไม่ได้คิดไปเองใช่หรือเปล่า?” คราวนี้ไอ้โซ่กำมือแน่นขึ้นอีก อาร์มรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงนิ้วตัวเองดังกร๊อบ
“ฟาย เป็นอะไรก็พูดเลยได้ปะล่ะ กูอยากรู้จะแย่แล้ว” เจมส์เป็นคนทนไม่ไหว และระหว่างรอไอ้โซ่ก็เงียบไป ก่อนมันจะเอามือปิดหน้าตัวเอง
“อา... เหมือนจะเป็นบ้าเลย”
“อันนี้กูเห็นด้วย”
“ทำไมเป็นแบบนี้ไปได้ล่ะ มันต้องไม่ใช่แบบนี้สิ”
“จะเล่าแล้วเรียกกูละกัน” อาร์มถอนหายใจแรง ๆ พลางชำเลืองมองเพื่อนสนิทที่ลดมือลงมาปิดปากตัวเองพร้อมทำตาปริบ ๆ
“พี่ธีร์ขอจับมือกูในโรงหนังอะ...”
“หา?!!!” ทั้งคู่ประสานเสียงกันอีกครั้ง คราวนี้เจมส์ปิดหนังสือทันทีพร้อมเคลียร์โต๊ะสำหรับเรื่องเล่าที่คาดว่าน่าจะมีประเด็นร้อนให้ขยี้
“พี่เค้าบอกว่าหนาว แต่กูรู้สึกว่ามันเป็นเหตุผลแปลก ๆ”
“แน่ล่ะ ผู้ชายขอจับมือผู้ชายในโรงหนังแบบนั้น กูกับน้องชายแท้ ๆ ยังไม่ทำเลย”
“กูไม่ได้คิดไปเองใช่ไหม... ดีจังเลยที่พวกมึงเห็นด้วย...” โซ่รู้สึกอุ่นใจหลังจากได้ยินเจมส์ว่าอย่างนั้น อย่างน้อยก็คลายความคาใจไปแล้วหนึ่งอย่าง
“ปกติถ้าพูดกับผู้หญิงมันคือการเนียนขอจับมือไง แต่นี่มึงเป็นน้องพี่เค้า” อาร์มเริ่มวิเคราะห์ และไอ้ซื่อบื้อก็พยักหน้าเห็นด้วย
“แต่พี่เค้าน่าจะหยอกเล่นปะ ปกติพี่ธีร์ก็ชอบแหย่มึงอยู่แล้วไม่ใช่เหรอวะ?” ที่เจมส์พูดก็ถูก แต่โซ่รู้สึกว่าดวงตาคู่นั้นเปลี่ยนไปจากเดิม มันมีความจริงจังแฝงอยู่ถ้าเขาไม่ได้คิดไปเอง
“แล้วจับนานแค่ไหน?”
“ตั้งแต่กลางเรื่องยันจบเลย...”
“เชี่ย นานไปเปล่า เสื้อกันหนงกันหนาวไม่มีเหรอ ทำไมไม่ถอดออกมาคลุม”
“ใส่มาทั้งคู่แต่พี่ธีร์ก็ยังจับอยู่อะ แถมเอานิ้วโป้งลูบนิ้วกูเบา ๆ ด้วย... โอ๊ย...” โซ่ซบลงกับหนังสือ ไล่อาการร้อนผ่าวบนหน้าและใบหูให้จางหายไปเสียที ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยทำแบบนั้นกับใครเลย พอมีครั้งแรกกลับเป็นรุ่นพี่ที่เป็นผู้ชายด้วยกัน แล้วก็ดันรู้สึกแปลก ๆ เสียด้วย
“เกินเหตุละ ไอ้คลึงนิ้วกูว่าไม่ใช่เล่น ๆ” เจมส์ชี้นิ้วย้ำ ๆ พลางหันไปขอความเห็นจากอาร์ม
“เรื่องเหตุผลจับมือนี่เอาไว้ก่อน ตอนนี้กูอยากรู้ว่ามึงคิดยังไง?”
“กูเหรอ...”
“ใช่ ตอนโดนจับมือมึงรู้สึกไงบ้าง เช่นไม่โอเค ไม่ชอบให้เล่นแบบนี้ มันเกินไปกว่าทุกครั้งหรือเปล่า?”
“ไม่รู้สิ กูไม่ได้รู้สึกแย่ แต่เป็นอาการทำตัวไม่ถูกมากกว่า ใจนึงก็คิดว่าพี่ธีร์อาจจะแกล้งเล่นเหมือนทุกครั้ง แต่ที่ผ่านมากูก็รู้นะว่าอันไหนโดนปั่น อันไหนพี่ธีร์จริงจัง แต่แบบหลังมันไม่เคยมีน่ะอาร์ม พี่ธีร์สกินชิพเป็นนิสัย ที่แซ็วเล่นเวลาไลฟ์ก็แค่ขำ ๆ เอนเตอร์เทรนด์แฟนคลับ...”
“แต่คราวนี้?”
“กู...” เจมส์กับอาร์มกำลังรอคำตอบ และไอ้ซื่อบื้อก็เงียบไปครู่หนึ่งระหว่างใช้ความคิด ก่อนทั้งคู่จะพบแก้มสีระเรื่อเมื่อเจ้าตัวเงยหน้าขึ้น สีหน้าแบบที่พวกเขาสองคนไม่เคยเห็นเพื่อนในมุมนี้มาก่อน “กูเขิน...”
“ฉิบหายละ กับพี่ธีร์เนี่ยนะ?”
“พี่ธีร์ที่เป็นผู้ชายด้วย” เจมส์ขยี้ เขาเห็นว่าไอ้โซ่กำมือพร้อมหลับตาแน่น ก่อนจะพยักหน้าอย่างไม่เต็มใจนัก
“อาจจะเป็นเพราะกูไม่เคยจับมือใคร แล้วบรรยากาศในโรงหนังเป็นยังไงกูก็รู้จากพวกมึงสองคนอะ เพราะงั้นที่ออกมาเป็นแบบนี้ก็คงเพราะกูฟังมาเยอะ...”
“...” เด็กหนุ่มทั้งสองไม่รู้จะพูดกับเพื่อนอย่างไร ตลอดเวลาที่คบกันมาไอ้โซ่ก็ไม่เคยมีท่าทีว่าจะชอบผู้ชายเลยนี่หว่า จริงอยู่ที่มันเป็นคนติ๋ม ๆ ดูหน่อมแน้ม แต่เรื่องเขินผู้ชายก็เป็นเรื่องชวนตกใจอยู่
“กูแค่เขินนะ กูไม่ได้อะไรมากกว่านั้นหรอก พี่ธีร์เป็นแฟนเก่ากับพี่เบล กูแคร์พี่เค้ามาก”
นอกจากจะเอาตัวไม่รอดกับความเขินที่เกิดขึ้นเพราะผู้ชายด้วยกันแล้ว ตอนนี้ไอ้ซื่อบื้อยังเอาเรื่องคนอื่นมาวางไว้บนไหล่ตัวเองอีก อาร์มปิดหนังสือเพื่อนพร้อมดึงเข้าหาตัวเอง สบตากันโดยไม่มีใครพูดอะไรซึ่งเขาคาดว่าหลายวันที่ผ่านมาไอ้โซ่คงต่อสู้กับความสับสนในใจอยู่ตลอด
“ที่มึงไม่ค่อยเล่นเกมเพราะเรื่องนี้ด้วยหรือเปล่า?”
“...”
“ที่อ้างว่าอยากได้ท็อปก็เลยติวหนักกับพวกกูนี่เรื่องจริงกี่เปอร์เซ็นต์?” อาร์มชูสิบนิ้วขึ้นตรงหน้า และไอ้โซ่เลือกที่จะเงียบไปพร้อมทำตาปริบ ๆ ขณะมองมา ก่อนจะเอานิ้วชี้กดทีละนิ้วลงจนเหลือแค่นิ้วก้อยข้างขวา “สิบเปอร์เซ็นต์?!”
“อือ”
“เพื่อนเรากลายเป็นคนตอแหลไปแล้วว่ะอาร์ม” เจมส์แสร้งปิดปากร้องไห้น้ำตาแห้ง เหมือนคุณพ่อตอนเห็นว่าลูกชายโตมากพอที่จะโกหกเพื่อออกไปทำเรื่องไม่ดีกับเพื่อน ๆ
“ตอนแรกกูคิดว่าคงไม่มีอะไร แต่พอเล่นเกมด้วยกันแล้วพี่ธีร์พูดว่า ‘พรุ่งนี้โทรปลุกพี่ด้วยสิ’ กูก็เลยถามว่าให้ปลุกตอนไหน กูจะได้ตั้งนาฬิกาไว้เพราะปกติพี่ธีร์ตื่นสายประจำ แล้วพี่เค้าก็บอกว่า ‘ตอนเราตื่น’ กูก็งงอะ... แล้วกูก็สตันท์ไปห้าวิตอนพี่ธีร์บอกว่า ‘อยากลองตื่นพร้อมกัน’”
“อ้าว โดนฮุคเฉย”
“ใช่ไหมล่ะ ปกติพี่เค้าก็ทำแบบนี้ตลอดนั่นแหละ แต่คราวนี้ทำไมไม่หัวเราะตามหลังล่ะ ไม่เห็นตลกเหมือนทุกครั้งเลย”
“มึงคิดว่าพี่เค้าแกล้งปั่นเล่นถูกปะ?”
“อือ ต้องเป็นอย่างนั้นสิ พี่ธีร์ไม่คิดเป็นอย่างอื่นหรอก พี่เค้าไม่มีทางชอบผู้ชายแน่ และถ้าชอบก็คงไม่ใช่กู”
“ตีกับตัวเองหนักนะมึงอะ ใจนึงก็คิดว่าเขาแกล้ง คงไม่ได้ชอบหรอก แต่อีกใจก็สับสน”
“กูสลัดเรื่องนี้ออกจากหัวไม่ได้เลย เศร้าจัง ถ้ากูเคยมีแฟนมาก่อนคงแยกแยะอะไรได้ง่ายกว่านี้เนอะ” โซ่ถอนหายใจ บอกไม่ถูกเลยว่าตอนนี้กำลังรู้สึกอย่างไร แค่คิดว่าตนเองเขินเพราะพี่ธีร์ก็รู้สึกผิดกับพี่เบลจะแย่แล้ว นิสัยไม่ดีเลย
“ลองดูไปก่อน ถ้าพี่เค้าปั่นจริงสักวันมึงต้องรู้สึกได้อะ แต่ถ้าพี่เค้าเสือกจริงจัง งานนี้ทั้งมึงทั้งพี่ธีร์คงต้องเจอความเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ละ”
“...”
“ความเปลี่ยนแปลงที่ว่าคือพวกมึงสองคนไม่ได้มองกันและกันแบบพี่น้องอีกแล้ว นั่นคือสิ่งที่กูจะสื่อ”
*
ต่อข้างล่างนะคะ