สืบครั้งที่ 32
"รัก! ฉันรักนายได้ยินยัง!"
คราวนี้ตะโกนมาเสียงดังฟังชัดจนกันต์กวินต้องผงะออกห่างไปตั้งหลักอย่างตกใจพร้อมโวยวายใส่เสียงดังลั่นห้อง
"ห๊ะ! อะ...อะไรแกล้งฉันหรอ"
"เรื่องแบบนี้มันแกล้งกันได้ที่ไหน"
พลทัพหน้าบึ้งตึงพร้อมมองคนตรงหน้าด้วยสายตาจริงจังทำให้แก้มทั้งสองข้างของคนป่วยเริ่มแดงจนเห็นได้ชัดและทำตัวไม่ถูก
"อ่า~ คือฉัน..."
"ยังไม่ต้องตอบก็ได้ว่านายรู้สึกอย่างไรน่ะ"
พลทัพยื่นหน้าเข้ามาใกล้ก่อนจะพูดเสียงนุ่มทุ้มละมุนข้างใบหูคนตัวเล็กอย่างแผ่วเบา
"แค่รู้ว่าฉันรักนายก็พอ"
"อืมม"
กันต์กวินรับคำในลำคอพร้อมกับหลบสายตาอบอุ่นนั้นด้วยใบหน้าที่เขินอายและใบหูที่เริ่มแดงก่ำมากยิ่งขึ้น ก่อนจะแสร้งเปลี่ยนเรื่องอื่นอย่างรวดเร็ว
"หิวน้ำจัง"
"น้ำหรอ รอแป๊บนึงนะ"
พลทัพรินน้ำใส่แก้วแล้วยื่นมาให้ซึ่งกันต์กวินรีบรับมาดื่มทั้งที่ยังไม่มองหน้าพร้อมตอบกลัยด้วยน้ำเสียงอ้อมแอ้ม
"ขอบใจ"
ก็อก! ก็อก!
เสียงเคาะประตูดังขึ้นทำให้ทั้งสองคนผละออกจากกันเล็กน้อยและไม่กี่วินาทีต่อมาประตูก็เปิดออกพร้อมกับผู้คนที่เดินเข้ามามากมาย
แอ๊ด~
"กันต์~"
รณกรเดิมยิ้มกว้างเข้ามาคนแรกตามมาด้วยรุจรวี เวทิต รวิสรา และปิดท้ายด้วยกิตติธัชที่เดินถือกระเช้าผลไม้ใบใหญ่มาด้วย ก่อนที่รณกรจะกระโจนเข้าไปกอดกอดคนที่นั่งอยู่บนเตียงแน่นพร้อมร้องไห้โฺฮเสียงดังลั่น
"ฮึก! ฟื้นขึ้นมาซักทีรู้ไหมว่าฉันเป็นห่วงนายขนาดไหน ฮือออ~"
"ไม่งอแงน่ะกร"
กันต์กวินลูบผมของคนตรงหน้าที่กำลังร้องไห้ฟูมฟายอย่างอ่อนใจ
"ฮึก! ก็กันต์ดันหลับไปนานขนาดนั้นจะไม่ให้ฉันเป็นห่วงได้ยังไงล่ะ"
รณกรไม่ยอมปล่อยแถมยังกอดแน่นมากขึ้นกว่าเดิมทำให้กันต์กวินเริ่มขมวดคิ้วอย่างรำคาญ
"เฮ่อ~ กรนี่นายกลายเป็นคนขี้แงไปตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย"
"ฮึกฮือออ"
ยิ่งปลอบเหมือนยิ่งยุเพราะเพื่อนสนิทยิ่งร้องไห้เสียงดังกว่าเดิมจนคนโดนกอดเริ่มหงุดหงิด
"เลิกร้องไห้ได้แล้วไม่อายคนอื่นเขารึไง"
"ใช่! ปล่อยให้คนอื่นเยี่ยมบ้างเถอะ เดี๋ยวฉันต้องมีถ่ายแบบตอนบ่ายต่อนะ!"
เสียงโวยวายที่คุ้นหูขัดจังหวะมาจากด้านหลังพร้อมใบหน้าที่คุ้นเคยกำลังหงิกงอยกมือขึ้นมากอดอกอย่างขัดใจ
"ไม่เอาน่ารุจ"
"ก็ฉันอยากเยี่ยมบ้างนี่ทิต"
เวทิตยกมือลูบผมคนตัวเล็กด้วยความเอ็นดูทำให้กันต์กวินขมวดคิ้วมองทั้งสองคนด้วยความสงสัย
"พวกนายยังไม่ตายหรอ หรือว่าฉันตาฝาด"
"เปล่า!" รุจรวีแกล้งทำหน้านิ่งและเบิกตาให้ดูหน้ากลัวที่สุด "ที่นายเห็นอยู่นี่คือวิญญาณต่างหาก~"
"ห๊ะ!"
กันต์กวินทำหน้าตาตกตะลึงพร้อมผงะออกจนติดหัวเตียงด้านหลังสร้างเสียงหัวเราะให้ทุกคนในห้องทำให้คนโดนแกล้งหน้ามุ่ยลงพร้อมโวยวายออกมาเสียงดังลั่นห้อง
"พวกนายหลอกฉันนี่หน่า!"
"คิกคิก หน้านายตอนตกใจนี่ตลกจังเลย~"
รุจรวีหัวเราะเสียงดังกว่าใครทำให้คนป่วยยิ่งโวยวายมากยิ่งขึ้น
"ไม่ต้องหัวเราะเลยนะ!"
"คิกคิก"
รุจรวีหัวเราะอย่างหนักจนเวทิตต้องคอยห้ามปราม
"กันต์กำลังป่วยอยู่นะ ไม่แกล้งเพื่อนซิรุจ"
"ไม่แกล้งแล้วก็ได้" รุจรวีอมยิ้มพร้อมยื่นถุงสีน้ำเงินขนาดเล็กไปให้คนป่วยที่มองมาอย่างงุนงง "อ่ะนี่ของเยี่ยม"
"อะไรน่ะ"
"ลองเปิดดูซิ "
รุจรวียิ้มตาหยีคะยั้นคะยอให้อีกฝ่ายเปิดซึ่งพอเปิดออกมากันต์กวินต้องเบิกตากว้างด้วยความตื่นตะลึงพร้อมรอยยิ้มที่แสดงออกถึงความดีใจจนแทบอยากกรีดร้อง
"นี่มัน...รุจ~"
"ชอบไหมล่ะ" รุจรวียิ้มกว้างก่อนจะอวดสรรพคุณของครีมที่ตนเองซื้อมา "รับรองว่าถ้านายทาแล้วไม่แพ้ง่ายแน่นอนแถมยังเป็นรุ่นคอลเลคชั่นใหม่เลยนะ"
"อื้ม! ชอบมากเลยขอบคุณนะรุจ~"
กันต์กวินโผเข้ากอดคนตัวเล็กด้านหน้าพร้อมกอดแน่นเพราะอีกฝ่ายดันซื้อครีมรุ่นใหม่ที่ตนเองอยากได้แต่สั่งจองไม่ทันมาให้พอดีอีกด้วย แต่รู้สึกจะกอดนานเกินไปจนได้ยินเสียงทุ้มกระแอมกระไอมาจากเวทิตที่ยืนอยู่ด้านหลัง
"อะแฮ่ม!"
"ไม่หึงซิพี่เวทิต~"
รณกรหันไปหยิกแก้มหนาพร้อมทำหน้าตาน่าเอ็นดูใส่คนตัวสูงอย่างออดอ้อน
"หืมมม"
ระหว่างที่กำลังง้องอนอยู่นั้นกันต์กวินกำลังขมวดคิ้วนั่งมองทั้งสองคนที่ยืนอยู่ข้างเตียงคนไข้ด้วยความสงสัยและประหลาดใจ
"พวกนายคืนดีกันแล้วหรอ"
"ตั้งแต่ที่ฟื้นมานี่พลทัพไม่ได้บอกอะไรนายเลยหรอ"
รุจรวีมองอย่างงุนงงก่อนที่จะมีเสียงทุ้มของกิตติธัชขัดขึ้นมาซะก่อน
"หึ! ปากหนักแบบนี้คงจะบอกหรอก"
"เฮ้อ~ หลับไปเป็นเดือนนี่นายตกข่าวไปเยอะเลยนะ"
รุจรวีส่ายหน้าอย่างอ่อนใจแต่สายตาเต็มไปด้วยความแพรวพราวจนกันต์กวินต้องเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัยมากกว่าเดิม
"หือ?"
"ฉันกับทิตเป็นคนรักกัน"
"ห๊ะ!"
กันต์กวินตกใจผงะหงายหลังจนเกือบหัวโขดผนังยังดีที่มีมือหนาของพลทัพรองเอาไว้ได้ทันท่วงที
"พวกนายสองคนเนี่ยนะเป็นคนรักกัน"
"ใช่ซิ" รุจรวีพยักหน้าพร้อมทั้งคล้องแขนเกร่งของเวทิตไว้แน่น "แล้วทำไมนายต้องตกใจขนาดนั้นด้วยล่ะ"
"พวกนายสองคนกัดกันจะตาย"
"มันไม่เห็นจะแปลกเลยเราสองคนผ่านอันตรายมาด้วยกันเยอะเลยเนอะ"
รุจรวีหันไปยิ้มให้อย่างน่ารักทำให้เวทิตลูบผมกลับอย่างเอ็นดู
"ถูกต้อง"
"แล้วใครสารภาพรักก่อนหรอ~"
กันต์กวินแกล้งถามออกมาด้วยใบหน้าเย้าแหย่ ซึ่งเวทิตก็ตอบกลับทันทีแถมชี้ไปยังคนตัวเล็กข้างกาย
"รุจน่ะซิ"
"ไอ้พี่ทิต!!!"
รุจรวีหันไปโวยวายทั้งที่หน้ายังแดงก่ำด้วยความเขินอาย
"นายต่างหากที่สารภาพรักก่อนน่ะอย่ามาโยนแบบนี้นะ!"
"แค่ล้อเล่นเองอย่าเสียงดังซิ"
เวทิตโอบบ่าคนตัวเล็กพร้อมบังคับให้เอนมาซบไหล่ตนเองซึ่งรุจรวีก็เชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยอย่างแง่งอน
"เชอะ"
"คิกคิก"
กิตติธัชหัวเราะเสียงเบาก่อนจะเงยหน้ามองไปทางรวิสราที่แทรกเข้ามาหาตนเองที่เตียงพร้อมรอยยิ้มหวานที่ไม่ได้เห็นมานาน
"กันต์"
"รวิ"
กันต์กวินยิ้มหวานกลับพร้อมทั้งกวาดสายตามองอีกฝ่ายด้วยความเป็นห่วง
"ปลอดภัยใช่ไหมครับ ไม่บาดเจ็บตรงไหนนะ"
"ใช่ค่ะ ที่รอดชีวิตมาได้นี่ต้องขอบคุณกันต์มากและขอโทษด้วยนะคะที่ตอนนั้นรวิช่วยอะไรไม่ได้เลย"
"ไม่เป็นอะไรครับ แค่รวิปลอดภัยก็ดีแล้ว"
ทั้งสองฝ่ายยิ้มหวานให้กันก่อนกันต์กวินจะชะงักเมื่อมีกระเช้าผลไม้ยิ่นมาเกือบทิ่มหน้าด้วยฝีมือของกิตติธัชที่ใบหน้าบึ้งตึงมากกว่าเดิม
"ของเยี่ยมน่ะเอาไปซักทีแล้วเลิกยิ้มหวานให้ว่าที่เจ้าสาวของฉันได้แล้ว"
"ธัช!"
รวิสราหันไปฟาดคนขี้หึงที่ตอนนี้กำลังกอดเอวบางของตนเองแน่นต่อหน้าต่อตาทุกคนในห้อง
"เจ้าสาว!?"
กันต์กวินเบิกตากว้างด้วยความตกใจอีกรอบก่อนจะยิ้มหวานมองทั้งสองคนที่หน้าแดงด้วสายตาล้อเลียน
"แหม~ ปากตรงกับใจกันซักทีนะ"
"ฉันไม่ได้ปากแข็งและขี้กลัวเหมือนใครบางคน"
กิตติธัชเหลือบไปมองพลทัพที่นั่งกอดอกทำหน้าตาบึ้งตึงและรณกรที่รีบหลบสายตาทันที ท่ามกลางใบหน้างุนงงของคนป่วยที่นั่งอยู่ตรงกลาง
"พูดถึงเรื่องอะไรกันหรอ"
"ไม่มีอะไรหรอก"
กิตติธัชตอบกลับอย่างไม่สนใจทำให้กันต์กวินเลิกสงสัยแล้วเปลี่ยนมายิ้มกว้างให้อย่างน่ารัก
"แสดงความยินดีกับทั้งสองคนด้วยนะที่กำลังจะได้แต่งงานกันซักที"
"ขอบคุณค่ะ"
รวิสรายิ้มหวานก่อนที่ทั้งห้องจะพากันชะงักไปเมื่อคนป่วยพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นตอนนั้นด้วยน้ำเสียงและแววตาที่สงสัย
"แล้วใครช่วยเล่าให้ผมฟังได้รึเปล่า พวกเราออกจากที่นั่นได้ยังไงแล้วผู้หญิงคนนั้นที่จับตัวผมกับรวิไปคือใครกันแน่"
กันต์กวินกวาดสายตามองรอบห้องหาอีกสองคนที่หายไปอย่างเป็นห่วง
"รวมถึงต้นหลิวกับหมอภพล่ะหายไปไหนหรือว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกนั้น!!!"
"กันต์" พลทัพวางมือบนผมของคนตัวเล็กที่จ้องตาแป๋วพร้อมพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา "ต้นหลิวกับวรภพพวกเขาน่ะ..."
'แอ๊ด~'
"มาแล้วจ้า ขอโทษที่สายนะครับพอดีรถติดไปหน่อย"
ต้นหลิวเดินยิ้มหวานเข้ามาในห้องคนแรกตามหลังด้วยวรภพที่ถือกาแฟมาหลายถุงก่อนจะยื่นให้รณกรที่เดินมารับไปใส่ถ้วยในครัวซึ่งอยู่อีกมุมหนึ่งของห้องท่ามกลางสายตาของคนป่วยที่มองมาด้วยความดีใจอย่างปิดไม่มิด
"ดีใจจังเลยพวกนายปลอดภัย"
"พวกผมไม่เป็นอะไรหรอกครับ" ต้นหลิวยิ้มหวานก่อนจะหน้าหมองลงเล็กน้อยเมื่อนึกถึงใครบางคน "ผมน่ะเป็นห่วงกันต์มากกว่าที่โดนเวย์กรอกยาไปขนาดนั้นทำให้หลับไปเป็นเดือนเลย"
"เวย์?" กันต์กวินทำท่าทางนึกซักพักก่อนจะทำตาโตใส่ "วิรชาคู่หมั้นของนายน่ะหรอ"
"ครับ" ต้นหลิวพยักหน้าก่อนจะพูดต่อด้วยความลำบากใจ "เวย์เป็นคนที่จับตัวพวกคุณไปรวมถึงฆ่าทุกคนที่เสียชีวิตในป่าด้วยครับ"
"อ่า...ฉันจำได้ละ" กันต์กวินกำมือแน่นพร้อมตบเตียงเสียงดังลั่น "ผู้หญิงคนที่นั่งทานข้าวกับนายบนรถไฟนี่เอง ไม่น่าล่ะถึงรู้จักฉันน่ะ"
"ขอโทษแทนอดีตคู่หมั้นของผมที่สร้างปัญหาด้วยนะครับ"
ต้นหลิวยกมือไหว้แถมโค้งหัวแทบติดเตียงทำให้คนป่วยรีบโบกไม้โบกมือเป็นการใหญ่
"ไม่เป็นอะไรหรอกน่า แค่พวกเรารอดชีวิตออกมาจากป่าพร้อมกันแค่นี้ก็ไม่ต้องคิดอะไรมากแล้วล่ะเนอะ"
โครก!~
เสียงอะไรบางอย่างดังขัดจังหวะทำให้กันต์กวินรีบจับท้องแล้วทั้งที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความเขินอาย
"แต่ตอนนี้ฉันหิวข้าวจังเลยอ่ะ"
"ฮะฮะฮะ"
ทั้งห้องหัวเราะออกมาด้วยความขบขันก่อนจะมีเสียงเคาะประตูดังขึ้นขัดจังหวะทุกคน
ก๊อกก๊อก!
"เดี๋ยวผมไปเปิดประตูให้เอง"
รณกรรีบลุกขึ้นไปเปิดประตูก่อนจะพบกับใครบางคนที่คุ้นเคยอย่างดีและไม่ได้เจอกันมาตั้งนาน
แอ๊ด~
"อ้าว! กร~"
"สวัสดีครับคุณน้า คุณอา อ้าว! น้องวินก็มาด้วยหรอ"
รณกรยกมือไหว้อย่างอ่อนน้อมก่อนจะหันไปทักคนตัวเล็กที่ยืนอยู่ด้านหลังกับผู้จัดการส่วนตัวซึ่งถือของพะรุงพะรังเต็มไปหมด ซึ่งกานต์รวียิ้มกว้างผิดกับกฤตภัทรซึ่งใบหน้าบึ้งตึงและเพียงแค่พยักหน้ารับเท่านั้น ส่วนกันต์กวีไม่ยอมตอบพร้อมทำเมินหันไปคุยกับวาสิตาด้วยน้ำเสียงที่สดใส
"พี่ผึ้งถือของไหวไหม มาเดี๋ยววินช่วยถือ"
"พี่ถือไหวจ๊ะ"
วาสิตาตอบกลับด้วยรอยยิ้มหวานก่อนที่กานต์รวีจะหันมาหยิกลูกชายคนเล็กที่ชอบเสียมารยาท
"นี่แหนะ! ทำไมถึงไม่ยอมทักทายพี่กรเขาล่ะลูก"
"อ้าว! พี่กรอยู่ด้วยหรอครับ"
กันต์กวีทำหน้าตาท่าทางตกใจก่อนจะยกมือไหว้
"สวัสดีครับพี่กร"
"สวัสดี วินกลับมาจากต่างประเทศตั้งแต่เมื่อไหร่ทำไม่ไม่เห็นบอกพี่เลย"
รณกรยิ้มกว้างทักทายน้องชายของเพื่อนสนิทที่เริ่มทำสีหน้าขัดใจ
"วินจะกลับเมื่อไหร่ต้องรายงานพี่กรตลอดเวลาด้วยหรอครับ พี่ชายก็ไม่ใช่เป็นแค่เพื่อนพี่กันต์เองจะมายุ่งอะไรด้วย"
"ทำไมพูดแบบนี้ล่ะเจ้าวิน"
กานต์รวีหันมาเอ็ดลูกชายตัวดีที่ชอบหาเรื่องรณกรทุกครั้งที่เจอหน้า
"ถ้าวินยังพูดจาแบบนี้อีกไม่ต้องกลับไปทำงานที่ต่างประเทศแล้ว"
"ไม่ได้นะคะคุณแม่ขา" วาสิตารีบพูดแทรกขึ้นมาอย่างร้อนใจ "ตารางงานของน้องวินยาวถึงอีกสองเดือนเลยนะคะ"
"แค่ขู่เท่านั้นล่ะค่ะคุณผึ้ง"
กานต์รวีถอนหายใจก่อนจะยิ้มหวานมาให้รณกรอย่างเอ็นดู
"น้องกันต์ฟื้นรึยังจ๊ะ"
"พึ่งฟื้นเมื่อเช้านี้เองครับคุณน้า งั้นเชิญเข้ามาในห้องก่อนดีกว่าครับ"
"จ๊ะ"
รณกรหลีกทางให้ผู้ใหญ่ทั้งสองเดินเข้ามาในห้องพร้อมสบสายตากับกันต์กวีที่เชิดหน้าขึ้นรีบเดินผ่านตนเองอย่างไม่ชอบใจก่อนจะช่วยวาสิตาถือของเข้าไปจัดในห้องครัว กานต์รวีเดินยิ้มหวานเข้าไปหาคนป่วยตัวน้อยที่นั่งอยู่บนเตียง
"น้องกันต์~"
"คุณแม่ คุณพ่อ"
กันต์กวินโผเข้าไปกอดทั้งสองแน่นก่อนที่จะโดนกานต์รวีผู้เป็นแม่หอมแก้มซ้ายขวาด้วยความคิดถึง
ฟอด ฟอด
"พี่กันต์~"
กันต์กวีแทรกตัวเข้ามาอยู่ตรงกลางระหว่างพ่อกับแม่ก่อนจะกอดพี่ชายตัวเองแน่น
"วินคิดถึงพี่กันต์ที่สุดเลย"
"วิน~"
กันต์กวินยิ้มกว้างพร้อมหอมแก้มน้องชายตัวเองอย่างหมั่นเขี้ยว
"กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วจะกลับไปต่างประเทศอีกไหม"
"วินพึ่งกลับมาเมื่อวานนี้เองเดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ต้องบินกลับไปแล้วเพราะมีงานต่อ" กันต์กวีทำท่าทางเสียดาย "แถมมารอบนี้ยังไม่ได้ไปทักทายพี่ธีร์เลย"
"เจ้านั่นคงจะติดดูแลไวน์อยู่นั่นแหละ"
กันต์กวินถอนหายใจก่อนจะลูบผมน้องชายอย่างเอ็นดูเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำหน้าตาหงิกงออย่างน้อยใจ
"คราวหน้าค่อยไปเยี่ยมก็ได้น่ะวิน"
"วินอยากเจอพี่ธีร์"
กันต์กวีตวัดสายตาไปมองทางรณกรด้วยความแง่งอน
"เพราะใครบางคนไม่ยอมไปดูแลน้องชายตัวเอง พี่ธีร์ถึงต้องงานยุ่งอยู่คนเดียว"
"ปากเสียจังเลยลูกคนนี้เนี่ย"
กานต์รวีฟาดลงไปทีแขนลูกตัวเองอย่างห้ามปรามก่อนจะหันมายิ้มหวานให้ลูกชายคนโตแล้วหอมแก้มอีกครั้งด้วยความเอ็นดู
"ฟื้นซักทีนะลูกรู้ไหมพ่อกับแม่น่ะใจหายแทบแย่เลย พอมาเห็นหนูปลอดภัยแบบนี้จะได้หายห่วงเพราะต้องกลับไปดูกิจการที่บ้านต่อแล้วน่ะ น้องกันต์นอนโรงพยาบาลคนเดียวได้ใช่ไหมคะ"
"ไปเถอะครับไม่ต้องเป็นห่วงกันต์หรอก" กันต์กวินยิ้มหวานก่อนจะกวาดสายตามองคนที่ยืนอยู่เต็มห้องพยาบาล "ตอนนี้กันต์มีเพื่อนเยอะแยะเลยนะครับ"
"นั่นซินะ" กานต์รวีหันไปยิ้มหวานให้กับทุกคนในห้อง "วันนี้เพื่อนมาเยี่ยมเยอะแยะเต็มห้องไปหมดเลยนะจ๊ะ"
"สวัสดีครับคุณน้า" รุจรวียกมือไหว้คนแรกก่อนจะยิ้มหวานอย่างประจบ "ผมรู้แล้วว่ากันต์ได้ความสวยมาจากใครก็จากคุณน้านี่เอง"
"ปากหวานนะจ๊ะเนี่ย อุ๊ย!"
กานต์รวียกมือขึ้นมาปิดปากพร้อมแววตาที่เป็นประกาย
"ใช่นายแบบทั้งสองคนที่กำลังเป็นข่าวอยู่รึเปล่าจ๊ะ"
"ใช่แล้วครับ"
รุจรวีตอบรับด้วยรอยยิ้มหวานยิ่งทำให้กานต์รวีแทบกรีดร้องก่อนจะเดินเข้าไปกอดแขนบางของคนตัวเล็กแน่น
"ดีจังเลย~ น้าขอถ่ายรูปคู่ด้วยนะ"
"เอ่อ...ครับ"
รุจรวียิ้มกว้างพร้อมจัดท่าทางถ่ายรูปเต็มที่ผิดกับเวทิตที่ยิ้มแห้งทั้งที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความงุนงงก่อนที่จะถูกกันต์กวีกอดแขนอีกข้างของตนเองแน่นด้วยแววตาที่เปล่งประกาย
"พี่เวทิตนี่ตัวจริงหล่อกว่าในนิตยสารตั้งเยอะเลยแหนะ ผมน่ะเป็นแฟนคลับของพี่เวทิตกับพี่รุจเลยนะครับ"
"อ่า..."
เวทิตประหม่าเมื่อมีคนตัวเล็กน่ารักมากอดแขนก่อนจะมองอีกฝ่ายเหมือนเคยเห็นที่ไหน
"ทำไมถึงดูคุ้นหน้าจังเหมือนเคยเห็นที่ไหนนะ"
"ในนิตยสารนายแบบที่ต่างประเทศไงทิต"
รุจรวีแทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้นและแววตาเปล่งประกายก่อนจะโผเข้ากอดคนตรงหน้าแน่น
"วินเซนต์ นายแบบตัวเล็กที่ดังที่สุดในต่างแดนไงล่ะ"
"ดีใจจังที่พี่รุจรู้จักผม"
กันต์กวีกอดตอบอีกฝ่ายแน่นด้วยรอยยิ้มและท่าทางที่ตื่นเต้นซึ่งท่าทางแบบนั้นทำให้กฤตภัทรหัวเราะในลำคอกับทางของสองแม่ลูกด้วยความเอ็นดูก่อนจะหันไปฟ้องลูกชายที่มองมาอย่างงุนงง
"หึหึ ไม่ต้องงงหรอกกันต์เพราะแม่กับน้องน่ะชื่นชอบนายแบบสองคนนี้มาก พอได้เจอนายแบบที่ถูกใจทั้งทีจะไม่ให้ถ่ายรูปด้วยได้ยังไงล่ะ โดยเฉพาะแม่เราน่ะรู้ไหมว่าถึงอายุปูนนี้แล้วยังมีโปสเตอร์นายแบบทั้งสองคนเต็มห้องนอนเลยนะ แทบจะแปะทับหน้าพ่ออยู่แล้ว"
เพี้ย!
พูดยังไม่ทันจบประโยคฝ่ามือเรียวก็ฟาดเข้ามาตรงหัวไหล่อย่างแรงพร้อมน้ำเสียงแง่งอน
"คุณนี่ก็พูดเกินไปไม่อายเด็กบ้างเลยนะคะ"
"อูย~ คุณนี่มือหนักไม่เปลี่ยนเลยนะ"
กฤตภัทรจับไหล่ตนเองพร้อมแกล้งร้องออกมาด้วยความเจ็บแต่ด้วยความที่อยู่ด้วยกันมานานทำให้กานต์รวีไม่หลงเชื่อเหมือนเมื่อสมัยก่อนนู้น
"เงีบยไปเลยค่ะ"
"งั้นพวกผมขอตัวก่อนนะครับพอดีมีนัดถ่ายแบบเอาไว้น่ะครับ"
รุจรวีขัดจังหวะขึ้นมาด้วยรอยยิ้มหวานยิ่งทำให้กานต์รวีหลงมากกว่าเดิม
"หรอจ๊ะ งั้นน้าจะรอติดตามผลงานนะ"
"ครับ! ถ้าคุณน้ากับน้องวินอุดหนุนล่ะก็พวกผมจะแถมลายเซ็นให้เลยครับ"
พอได้ยินว่ารุจรวีแถมลายเซ็นยิ่งทำให้กานต์รวีอดใจไม่ไหวหยิกแก้มยุ้ยนั้นด้วยความหมั่นเขี้ยว
"น่ารักจังเลย~"
"งั้นหนูขอตัวกลับด้วยเหมือนกันนะคะ"
รวิสรายกมือไหว้อย่างเรียบร้อยยิ่งทำให้กานต์รวีมองทั้งสองคนที่ยืนคู่กันด้วยสายตาเอ็นดูปนไปด้วยความสงสัย
"อ้าว! จะไปไหนกันหรอจ๊ะ"
"ผมจะพาคู่หมั้นไปตัดชุดแต่งงานน่ะครับ"
กิตติธัชชิงพูดขึ้นมาก่อนพร้อมเอื้อมมือไปกอดเอวบางแน่นทำให้รวิสราหน้าแดงด้วยความเขินอายและยิ่งเขินมากขึ้นเมื่อเห็นท่าทางของกานต์รวีที่ดีอกดีใจมาก
"จริงหรอ~ น้าดีใจด้วยนะจ๊ะอย่าลืมส่งการ์ดแต่งงานมาให้น้าด้วยนะจ๊ะ"
"แน่นอนครับ"
กิตติธัชยกมือไหว้ก่อนจะประคองเอวคู่หมั้นออกไปพร้อมกับนายแบบสองคน เมื่อเห็นว่าทุกคนออกไปจากห้องแล้วต้นหลิวจึงหันมายกมือไหว้บ้าง
"ถ้าอย่างนั้นพวกผมสองคนก็ขอตัวกลับด้วยนะครับ"
"จะแต่งงานกันอีกคู่หนึ่งด้วยหรอจ๊ะ"
คำถามของกานต์รวีทำให้ต้นหลิวชะงักแล้วรีบโบกมือไปมาต่างจากวรภพที่ยิ้มมุมปากไม่ยอมแก้ตัวอะไรทั้งนั้น
"ไม่ใช่นะครับ! พอดีพวกผมติดงานสำคัญน่ะครับ"
"จ้า! แต่หน้าแดงเลยนะ"
กานต์กวีหัวเราะคิกคักทำให้กฤตภัทรต้องแตะแขนอย่างห้ามปราม
"อย่าไปแซวเด็กน่ะคุณ"
"งั้นพวกผมลาแล้วนะครับ"
ต้นหลิวรีบยกมือไหว้แล้วเดินออกจากห้องไปพร้อมวรภพด้วยความเขินอาย
"ไปดีมาดีนะจ๊ะ~"
กานต์รวีโบกมือลาก่อนจะหันไปหาลูกชายที่ตอนนี้ยื่นมือกอดเอวตนเองแน่นอย่างออดอ้อน
"คุณแม่~"
"น้องกันต์ลูกแม่ไหนมาให้แม่กอดให้หายคิดถึงหน่อยซิ"
กานต์รวีหันหน้าไปกอดลูกชายโดยมีกฤตภัทรกอดทับสองแม่ลูกอีกทีหนึ่ง
"พ่อด้วย"
"วินด้วยซิ"
กันต์กวีแทรกตัวเข้าไปตรงกลางเบียดกับผู้เป็นแม่เพื่อกอดพี่ชายพร้อมทำเสียงออดอ้อน
"วินคิดถึงพี่กันต์มากเลยนะ"
"งื้อ"
กันต์กวินกอดทั้งสามคนแน่นพร้อมขยับหัวถูไถไปมาด้วยความเอ็นดูทำให้กานต์รวีอดที่จะลูบผมไม่ได้
"ปลอดภัยแล้วนะลูก ต่อไปนี้น้องกันต์ของแม่ไม่ต้องเจอเรื่องอันตรายแบบนั้นแล้วนะ"
"กันต์รักแม่นะครับ"
กันต์กวินหอมแก้มนุ่มนิ่มของผู้เป็นแม่ฟอดใหญ่แล้วกอดต่ออย่างออดอ้อน
"ทำไมถึงอ้อนผิดปกติ"
"สงสัยไข้ขึ้นล่ะมั้ง"
กฤตภัทรลูบผมลูกชายด้วยความเอ็นดู แต่ประโยคนั้นทำให้พลทัพเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย
"ไข้ขึ้น?"
"ใช่แล้ว" กฤตภัทรตอบทั้งที่มือลูบผมลูกคนโตเผื่อแผ่ไปถึงลูกชายคนเล็กอย่างไม่หยุดมือ "ถ้าน้องกันต์ไม่สบายเมื่อไหร่จะอ้อนเหมือนเด็กทุกทีเลยลูกคนนี้เนี่ย~"
"งื้อ~"
กันต์กวินทำเสียงงอแงพร้อมกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้น ซึ่งกานต์รวีก็หันไปฝากฝังกับพลทัพด้วยสายตาที่เอ็นดู
"ฝากพ่อทัพดูแลลูกของแม่ด้วยนะ"
"ครับ"
พลทัพตอบรับก่อนจะหันไปมองกันต์กวีที่ยิ้มกว้างมาให้ด้วยสายเป็นมิตร
"พี่ทัพที่คุณแม่พูดถึงนี่เอง เหมาะสมกับพี่กันต์มากเลย"
"หึหึ"
พลทัพหัวเราะในลำคออย่างเอ็นดูกับกันต์กวีที่เหมือนกับจะสนับสนุนเขามากกว่ารณกรที่ดูไม่ค่อยชอบขี้หน้าเท่าไหร่ ก่อนที่กันต์กวินจะถามแม่ตนเองด้วยความสงสัย
"ทุกคนรู้จักทัพด้วยหรอครับ"
"แม่เคยเจอตอนมาเยี่ยมลูกวันแรกน่ะจ๊ะ"
กานต์รวีตอบคำถามลูกชายก่อนที่รณกรจะขัดขึ้นมาอย่างไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่
"แต่คุณน้าครับผมก็ดูแลกันต์ได้นะครับ"
"กรต้องทำงานไม่ใช่หรอจ๊ะ" กานต์รวีหันไปมองก่อนจะยิ้มมุมปากซึ่งเป็นรอยยิ้มที่รณกรนั้นมองออกเพียงคนเดียว "ได้ข่าวว่ากำลังจะได้เป็นช่างภาพประจำสถานีนี่นะ ไหนจะต้องดูแลส่งเงินไปเป็นค่ารักษาพยาบาลให้ไวน์อีก เพราะฉะนั้นคงต้องให้พลทัพดูแลถึงจะสะดวกกว่านะจ๊ะ"
"อ่า...ครับ"
รณกรยิ้มแห้งพร้อมกับหลบสายตาผู้ใหญ่ทั้งสองคนรวมถึงสายตาเยาะเย้ยของกันต์กวีที่ชอบทำเป็นประจำเวลาที่ตนเองโดนคุณน้าดุ ก่อนที่กานต์รวีจะหันไปยิ้มให้ลูกชายคนโต
"งั้นแม่กับพ่อกลับแล้วนะลูก"
"ดูแลตัวเองให้ดีนะเข้าใจไหม"
กฤตภัทรลูบผมนุ่มนั่นอีกครั้งอย่างเบามือทำให้กันต์กวินพยักหน้าอย่างง่ายดาย
"ครับ"
"วินกลับแล้วนะพี่กันต์" กันต์กวีกอดพี่ชายอีกครั้งก่อนจะหันมาฝากฝังกับพลทัพอีกคน "ฝากพี่กันต์ด้วยนะพี่ทัพ"
"ได้ซิน้องวิน"
พลทัพตอบด้วยรอยยิ้มทำให้รณกรชักสีหน้าไม่พอใจรีบอาสาขึ้นมาทันที
"เดี๋ยวผมเดินไปส่งด้านล่างนะครับ"
"ขอบใจจ้ะ"
รณกรพยักหน้าพร้อมเดินไปเปิดประตูห้องให้ทั้งสี่คน เมื่อไม่มีใครอยู่ในห้องแล้วพลทัพจึงหันมามองกันต์กวินด้วยสายตาเป็นประกาย
"ดูเหมือนครอบครัวนายจะชอบฉันนะ"
"พ่อแม่ฉันก็ใจดีกับทุกคนนั่นแหละ"
กันต์กวินเชิดหน้าขึ้นด้วยความแง่งอนก่อนจะชะงักเมื่อได้ยินคำพูดของคนหลงตัวเอง
"ไม่ใช่เพราะฉันหล่อกว่าเพื่อนนายหรอ?"
"แหวะ! หลงตัวเอง"
กันต์กวินหันไปแลบลิ้นใส่ทำให้พลทัพมองด้วยความหมั่นไส้
"กล้าพูดไหมล่ะว่านายไม่หลงฉันน่ะ"
"เอ่อ...ปวดหัวจัง~"
กันต์กวินเปลี่ยนเรื่องพร้อมยกมือขึ้นมาจับหน้าผากตนเองอย่างแนบเนียนทำให้พลทัพหัวเราะในลำคอ
"หึ!...งั้นนอนพักผ่อนไปเลยไม่อยากหายป่วยรึไง"
"อื้อ!"
กันต์กวินล้มตัวลงนอนโดยที่พลทัพคอยห่มผ้าให้และนั่งตรงนั้นไม่ยอมลุกไปไหนทำให้คนป่วยแอบยิ้มตรงมุมปากก่อนจะหลับตาลงฟังเสียงหัวใจตนเองที่เต้นแรงจนแทบทะลุออกมา
********************