Chapter 18.
In my head
“เท่านั้นแหละ” พี่ป้อมพูดกระชับ เหวี่ยงแก้วเหล้าที่เหลือเพียงน้ำแข็งเจือวิสกี้ที่ก้นไปมา ที่เขี่ยบุหรี่สุมเถ้าพูนล้น เสียงดนตรีแจ๊ซสดในร้านหายากของพนมเปญบรรเลงเนิบช้า สายตาของเขามองไปยังนักดนตรี ดิ่งแน่วและเคลิบเคลิ้มในที ส่วนผมได้แต่ขมวดคิ้วเข้าหากันเมื่อบรีฟที่ได้รับในการเขียนบทใบ้เพียงว่า อยากทำหนังที่คนเล็กๆ คิดไม่ถึง
สองสัปดาห์หลังจากผมตัดสินใจตัดขาดความสัมพันธ์กับเข็มทิศ การทำเรื่องเข้ามาทำงานในพนมเปญก็เสร็จสิ้น พี่รูญจัดงานเลี้ยงเล็กๆ เป็นปาร์ตี้ไก่เคเอฟซีในกองวันที่ฝนพรำ ปลอบใจกองว่าวเพราะถ่ายทำกันไม่ได้ทั้งที่ก่อนหน้านี้แดดจ้าเหมือนพระอาทิตย์อยู่หน้าบ้าน
ทุกอย่างฉุกละหุกกว่าที่คิด ผมวุ่นวายกับการส่งต่องานให้พี่มะลิ ต่อพาร์สปอร์ต ทำวีซ่าสำหรับเข้าไปทำงานในพนมเปญ แทบไม่มีเวลาคุยหรือสบตากับเข็มทิศจังๆสักครั้ง เขาเองก็ยุ่งๆ หรือบางทีเราอาจต่างพาตัวเองเข้าไปวุ่นวายกับธุระปะปังต่างๆ เพื่อให้ลืมความเจ็บปวดยอกย้ำซ้ำซ้อนนั่นไปอย่างคนโตๆ เขาทำกัน
“งงอะไรเล่า ก็ข้าหาแนวคิดให้ หา Objective ให้ กลุ่มเป้าหมายก็เป็นคนวัยทำงานที่หลงลืมความสำคัญของตัวเองในประเทศที่กำลังพัฒนา เอ็งก็ลองไปทำ Content analysis หาพล็อต ทำทรีตเม้นต์ ปรับปรุงจนได้เขียนบท เราจะได้รู้ว่าทำเลที่นี่โอเคไหม หรือต้องไปดูที่อื่นที่มันส่งอารมณ์ต่อหนังมากกว่า”
“แต่พี่อยากถ่ายที่นี่ใช่ไหมครับ”
“ได้ก็ดี หรือเอ็งคิดยังไง ที่ฟังไกด์ได้ไอเดียอะไรเพิ่มไหม”
“ผมชอบเรื่องที่ทหารผู้ใหญ่ไม่ยอมแจ้งส่วนกลางว่ามีทหารในสังกัดตายนะ” ผมหมายถึงเรื่องที่ไกด์นำเที่ยวชาวกัมพูชาเล่าให้ฟังระหว่างเราเยี่ยมชมสถานที่ต่างๆ เขาเชี่ยวชาญภาษาไทยกว่าคนไทยบางคนที่ใช้นะค่ะ เล่าเรื่องความเหลื่อมล้ำชัดเจน ซึ่งเกิดจากการคอรัปชั่นเต็มรูปแบบของผู้มีอิทธิพลอย่างได้อรรถรส “แล้วก็ที่ครอบครัวทหารยศน้อยยอมรับเงินก้อน ช่องโหว่ตรงนี้น่าสนใจ ถ้าทหารยศเล็กๆ ไม่ตาย ทหารตำแหน่งหัวหน้าก็ไม่มีโอกาสริบเงินเดือนไปชั่วลูกชั่วหลาน”
“เจ๋งใช่ไหม ทหารที่ไม่มีเกษียณและไม่มีวันตาย”
“มันก็น่าเศร้าอยู่นะพี่ ถ้ายศผู้บัญชาการร้อนเงิน ส่งคนไปเก็บลูกน้องแล้วริบเงินส่วนนี้มาล่ะ” ผมขีดประเด็นที่สนใจลงในไอแพด แยกออกมาเป็นหัวข้อที่ยึดโยงเชื่อมต่อกันได้ “ใส่ความเมินเฉยของประชาชน กระทั่งวันหนึ่งกลายเป็นเรื่องของตัวเอง”
“ดูโรม่าหรือยัง”
“ดูแล้วครับ”
“เอาซีนอารมณ์ในเรื่องนั้นมาใช้ได้นะ”
ผมเห็นด้วย ความเจ็บปวด โดดเดี่ยว ท่ามกลางพายุของความขัดแย้งกระทั่งพลัดพรากสูญเสีย “นางเอกเรื่องนั้นพยายามดีนะพี่ อุตส่าห์ตามหาผัวจนเจอเพื่อจะบอกว่าท้อง ทั้งที่น่าจะพอรู้อยู่แล้วว่าแม่งต้องไม่รับผิดชอบแน่ๆ”
“บางคนก็ทำอะไรงี่เง่าแบบนั้นให้มันถึงที่สุดถึงจะยอมรับความจริงล่ะมั้ง” พี่ป้อมว่า ผมหลบเรื่องตรงหน้าไปนึกถึงใครบางคนที่พยายามลืม นึกถึงประโยคที่เขาเคยบอกเมื่อมีความรักแล้วคนมักงี่เง่า และยอมงี่เง่ากว่าที่คิด ยอมเป็นทั้งคนโง่ ปิดหูปิดตา ทั้งหมดเพียงเพราะความหวังว่าสักวันหนึ่งความสัมพันธ์ที่กระท่อนกระแท่นจะไม่พังครืนลงมา
ขณะที่ผมและเข็มทิศ เราจบกันแค่นั้น ไม่มีความพยายามยื้อรั้ง หรือพูดเปิดอก ผมไม่ได้ถามเขาด้วยซ้ำว่าสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเราที่ผ่านมาคืออะไร เขาหมายถึงแค่เพื่อนจริงๆ หรือกำลังหงุดหงิดใจเรื่องอะไรกันแน่ วันนั้นที่ผมและเขาเชือดเฉือนกันและกันด้วยคำพูด สายตา การกระทำ วันเวลาผ่านไปแม้การรบจะสิ้นสุดแล้วผมกลับพบว่าหัวใจที่ผ่านสมรภูมิในคราวนั้นยังไม่มีทีท่าว่าจะฟื้นคืนสักที
ดนตรีแจ๊ซเปลี่ยนจังหวะ เป็นเพลงบทใหม่ เพลงเป็นศิลปะที่หาฟังได้ในทุกประเทศ เชื่อมต่อผู้คนคล้ายๆ กันไว้ด้วยกัน ผมคิดถึงเพลง Peach pit อีกครั้ง แนวที่เรา...ผมและเข็มทิศ ฟังด้วยกัน ไม่ได้หาฟังง่ายนัก ค่อนข้างเฉพาะกลุ่ม ตลกดีที่เราหากันเจอ แล้วก็เป็นปกติดีที่เราไม่สามารถรักษามันไว้ได้ เหตุผลเดียวคงเป็นเพราะไม่รู้ว่าเราจะรักษาความสัมพันธ์นั้นไว้ด้วยนามของอะไร เพื่อน คนรัก คู่นอน
“จริงๆ จะถ่ายทำในไทยก็ได้ แต่รำคาญคน อยากทำหนังเงียบๆ หาทีมงานหน้าใหม่ เอาแบบทนน้ำทนไฟ รับค่าแรงที่มีให้ไหว”
พี่รูญเรียกสติผมให้กลับมาสู่โลกปัจจุบัน ผมเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยจากประโยคนั้น “แล้วทำไมต้องมาพนมเปญวะพี่”
“ค่าแรงถูกกว่า คนทำงานเต็มที่ ที่จริงถ้าไปถ่ายที่พม่าได้ก็อยากไป ข้าชอบคนพม่ามากกว่าเขมร แต่เรื่องชนกลุ่มน้อยยังฮึ่มฮั่ม กลัวได้ถ่ายกันไม่ทันจบ”
“เขมรก็ใช่ย่อย” ผมรู้มาว่าบางทียังมีสถานที่ห้ามเดินผ่าน โดยเฉพาะอาณาเขตรกร้าง มีโอกาสเจอระเบิดบู้มบ้ามได้ตลอดเวลา “แต่จริงนะพี่ หลังๆ ผมเห็นคนไทยตกงานอย่างเยอะ ทั้งที่โรงงานก็ขาดคน”
“ยังข้ามผ่านเรื่องศักดิ์ศรีกันไม่ได้มั้ง คนไทยยังติดภาพว่าคนงานมีค่าความเป็นคนน้อยกว่านายก”
“เออ ก็จริง คนทำธุรกิจส่วนตัวกันเยอะขึ้นด้วยมั้ง”
“อืม พอเป็นคำว่าสตาร์ทอัพแม่งเท่ ต้องเล่นเบอร์แรงไว้ก่อน พอเล่นเบอร์แรง ดูแฮปปี้กับชีวิตคนอื่นก็เอาตาม มีทุนนิดหน่อยก็ไปกู้หนี้ยืมสิน หนี้นอกระบบ สุดท้ายวกกลับมาเล่นงานตัวเอง”
พี่ป้อมสั่งวิสกี้เพิ่ม เขาดื่มราวกับมันเป็นน้ำเปล่า ส่วนผมแค่จิบพอให้ยังทำงานไหว หรือไม่ก็ให้เมาจนหลับไป ไม่อยากคิดถึงเรื่องที่ทิ้งร้างค้างคาไว้ในไทยก่อนจากจร
“ผมชอบเป็นลูกจ้างกว่าเจ้าของบริษัทอีก ถ้าเป็นเของแล้วต้องทำงานทุกวัน”
“จริงของเอ็ง แต่หนังเรื่องนี้เป็นของเอ็งนะ เอ็งต้องทำทุกวัน”
ผมหัวเราะ โบกมือปฏิเสธ “ของผมอะไรเล่า ของพี่นั่นแหละ ผมแค่มาช่วยไง”
“ขอเล่นบทเป็นนายทุนสักเรื่องเถอะว่ะ”
“โห งี้เจ๊งระเนระนาด”
“ข้าเจ๊งเอ็งก็ไม่ได้ค่าจ้าง เอาดิ” เขายักคิ้วไม่ยี่หระ บริกรยกเครื่องดื่มมาเสิร์ฟ ผมนึกอยากกินโมจิโต้ แต่ดื่มเบียร์อยู่ คิดไว้ว่าวันหลังถ้าได้มาร้านนี้ใหม่จะลอง “เวลาที่ทำหนังต้องทรีตเม้นเยอะๆ บทมันจะได้แตกต่าง หาความสมเหตุสมผลให้ตัวละคร บทพูดก็ด้วย รู้ใช่ไหมเราควรใช้เวลาสามในสี่ของหนังเรื่องหนึ่งในการเตรียมบท”
ผมพยักหน้ารับรู้ เรื่องนี้ในมหาวิทยาลัยก็ถูกเน้นนักหนา อย่าให้บทตลกโปกฮา ประมาณว่ารถคว่ำ ยิงกันเปรี้ยงปร้าง พอตื่นมาในโรงพยาบาลแล้วถามว่าที่นี่ที่ไหน ฉันมาทำอะไรที่นี่แม่งโคตรเก่าและโคตรไม่เมคเซนส์ แต่มันเป็นเช่นนั้นเสมอ อย่างว่า จะเล่ายังไงให้คนดูเข้าใจ ชีวิตจริงไม่ได้มีเสียงออกจากความคิด การสื่อสารก็ผิดพลาดกันพัลวันไปหมด
“เอ็งมีสายตาที่อ่อนไหวต่อรายละเอียดในชีวิตจริงมากนะ อย่างเรื่อง Moment ข้ายังทึ่งเลย ว่าทำไมเด็กมหา’ลัยถึงเซนซิทีฟเรื่องความตายได้มากเท่านี้”
“ช่วงปิดเทอมผมถูกส่งไปเป็นเด็กวัดมั้งครับ เห็นคนตาย คนมาเคาะโลงพูดกับคนตายทุกวัน แม่งเซอร์เรียลกว่านางเองถูกพระเอกคร่อมแล้วถามว่าคุณจะทำอะไรฉันเสียอีก”
“บางทีอาจจะมีคนแบบนั้นก็ได้นะ เพียงแค่เราไม่เจอ”
ผมหลิ่วตาแสดงความไม่เห็นด้วย คนแบบนั้นน่ะนะ
“เอ็งคิดว่าเจอคนครบทุกคนบนโลกแล้วหรือไงถึงตอบได้ว่ามันมีหรือไม่มีคนแบบนั้น”
พี่ป้อมพูดก็ถูก แค่ในพารากอนผมยังเจอคนไม่ครบเลยด้วยซ้ำ “แต่จริงนะพี่ คนเรามีอะไรก็น่าจะพูดตอนมีชีวิตอยู่ ไม่ต้องมาถ้ารู้งั้น ถ้ารู้งี้”
“มันก็ต้องมีบ้างแหละน่า เรื่องที่เราทำไปโดยหลงลืมมันไป” ชายวัยกลางคนว่า ทอดสายตาออกนอกร้านที่กั้นด้วยกระจกใส บาร์แบบนี้หายากในพนมเปญ เป็นซอกหลืบของนักดื่มที่เฉพาะนักท่องเที่ยวเท่านั้นจะมา แสวงหาความสุข เพราะเทียบกับค่าครอบชีพแล้วนับว่าแพงหูฉี่
ผมคิดตามคำพูดนั้น ใช่ มันต้องมีบ้างแหละน่า
“ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ข้าคงใส่ใจครอบครัวมากกว่านี้ เอ็งรู้ไหม รางวัลที่ได้มาแม่งไม่สำคัญอะไรเลยเวลาที่เราไม่มีใครให้อวด ลูกจำหน้าไม่ได้ เมียไม่คุยด้วย พ่อแม่ก็ตายหมดแล้ว”
“หว่องเฉย”
“พูดจริงๆ แต่เอ็งยังมีเวลาอีกเยอะ” คนสอนกอดอกพิงกับเบาะหนัง เก้าอี้นั่งทรงหรูหรา แต่มีคราบเก่าเล่าเรื่องราวคล้ายบาดแผล รอยปุบนที่พักแขน กำลังฟ้องว่ามันเองก็ทำงานมาหนักหนาเช่นกัน
“เวลาก็อาจจะมี แต่คนที่มายืนข้างๆ คงไม่มีเหมือนกันมั้งครับ”
ความรู้สึกละเอียดแทรกลึก แม้ผมจะจากมาโดยไม่ร่ำลาอะไรก็ไม่ได้หมายถึงไม่เสียใจ หรือไม่มีเรื่องราวที่อยากฝากบอกเข็มทิศอีก ช่วงเวลาแสนสุขผ่านไปรวดเร็วราวกับหลับไปหนึ่งตื่น วันวานที่ไม่เคยคิดว่าหวานหอม กลับตะล่อมให้ตรอมตรมขมในอก ผมคิดถึงคราวที่เราคลอเคลีย โอบกอดกันและกันอย่างอ่อนโยน ระหว่างผมและเข็มทิศ เรื่องราวที่เป็นจินตนาการของผมเพียงคนเดียว
“เพราะต้องมาทำงานหรือเปล่าวะ ถึงได้เลิกกัน กับแฟนน่ะ” คู่สนทนาถาม เขาไม่เคยซักเรื่องส่วนตัวของผมมาก่อน แม้ว่าเรารู้จักและสนิทสนมมากพอให้กล่าวถึงเรื่องส่วนตัวได้ เขาก็ไม่เคยก้าวเข้ามา เผื่อพื้นที่ปลอดภัยให้ผมระลึกทบทวนตัวเองเสมอๆ
“ไม่รู้ว่าใช้คำว่าแฟนได้หรือเปล่าน่ะครับ”
“เอากันหรือยัง”
“โห อย่าให้นับ ยิ่งเครียดยิ่งทำ ผู้ชายเหมือนกันด้วยไงพี่ ไม่มีใครเบรค แต่จะเรียกว่าแฟนได้ไงถ้าไม่ได้รักกัน”
“เอาเสร็จแล้วทำอะไรต่อล่ะ หลับ? ดูดบุหรี่? อาบน้ำ?”
ผมลองนึกภาพ ไม่ใช่ทั้งหมดที่กล่าวมาโดยสิ้นเชิง อาจมีบ้างที่ผมลุกไปสูบบุหรี่ แต่เข็มทิศจะคอยคลอเคลียไม่ห่าง เรากอดจูบกัน พะเน้าพะนอ สูดดมกลิ่นของเหงื่ออย่างไม่รังเกียจ ก่ายร่างกายของอีกฝ่ายด้วยอวัยวะบางอย่าง แขนบ้าง ขาบ้าง บางทีก็เป็นหัว ซุกไซ้ชวนจั๊กจี้ บางทีก็เป็นการร่วมรักซ้ำเดิมอีกหน
“ถ้ามันมีเยื่อใยต่อจากนั้นมันก็เป็นความผูกพันแล้ว คำว่าแฟน คู่ชีวิต ผัวเมีย พวกนี้มันก็เป็นแค่ชื่อเรียกของความผูกพันไม่ใช่เหรอ หรือเอ็งทำอย่างนี้กับคนอื่น”
“เปล่าพี่ แต่เขาระแวงว่ะ”
“ทำไมเขาถึงระแวง อย่าบอกนะว่าเพราะข้า”
ผมสำลักเบียร์ รีบโบกมือก่อนเรื่องราวเลยเถิดไม่ทันการณ์ พี่ป้อมยักยิ้มอย่างคนช่างเย้า เบี่ยงตัวหยิบซิการ์รุ่นสมัยพ่อยังหนุ่มขึ้นมา ทอดสายตาเชิงเอ็นดูและเปิดโอกาสให้ผมได้เล่า
“ผมก็ไม่ได้ทำอะไรนะ แต่เขามีอดีต ผมว่าเขาไม่ข้ามผ่านอดีตของตัวเองว่ะ กลัวว่าจะเจอเรื่องเดิมทั้งที่ผมกับผู้หญิงคนนั้นก็คนละคนกัน”
ควันสีขาวพ่นฉุย ผมหยิบบุหรี่ของตัวเองออกมาบ้าง จุดขึ้นสูบ ระบบดักจับควันห่วยฉิบเป๋ง คนดูดบุหรี่กันทั้งร้านยังไม่เตือน
“รู้ไหม มีอะไรที่คนเรามักทำพลาดในความสัมพันธ์”
“อะไรฮะ”
“การคิดว่าสิ่งนั้นเป็นความผิดของเขาเพียงผู้เดียว”
เสียงเชลโล่ลากยาน เครื่องดนตรีชนิดอื่นหรี่เสียงลง ห้วงทำนองสุดท้ายสิ้นสุด เสียงปรบมือจากผู้ฟังดังเปาะแปะพอเป็นพิธี ผมพยายามทบทวนอีกครั้ง ถึงคืนวันที่เราเคยมีร่วมกันมา
ผมแม่ง...โคตรรักเข็มทิศเลย
(ต่อด้านล่าง)