#เจษอย่าร้าย
อารัมภบท
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูหยุดลงพร้อมกับบานประตูที่เปิดเข้ามา ร่างสูงโปร่งในชุดลำลองเดินเข้ามาในห้องทำงานของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นบิดา จิรายุมองข้ามสายตาคุณผู้หญิงของบ้านที่กราดมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างตำหนิติเตียน เพราะถูกเรียกมาอย่างกะทันหันจึงทำให้ชายหนุ่มแต่งตัวไม่เรียบร้อยนัก
เจ้าของร่างสะโอดสะองเดินมานั่งยังเก้าอี้เดี่ยวซึ่งเป็นที่ว่างเดียวที่ยังเหลืออยู่ในห้องนี้ เบื้องหน้าเป็นบิดาที่กำลังนั่งหน้าเครียด ใบหน้าอิดโรยและไหล่ที่งุ้มลงดูแตกต่างจากชายที่เขาเคยรู้จัก นานเท่าไหร่แล้วที่ไม่ได้เผชิญหน้ากันตรงๆ คุณไตรทศในความทรงจำของเขาคือชายผู้มากด้วยอำนาจ ทุกท่วงท่าเต็มไปด้วยความสง่าผ่าเผย ทว่าตอนนี้กลับดูแก่ลงไปหลายปีไร้ซึ่งสง่าราศีอย่างที่เคยเป็นมา
เกิดอะไรขึ้น?
"คุณคะ" แรงเขย่าจากคนที่นั่งเคียงกันเรียกเสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่จากผู้ที่เป็นประมุขของบ้าน นัยต์คมเฉี่ยวยีนส์เด่นเพียงอย่างเดียวที่ถูกถ่ายทอดมาสู่จิรายุตวัดขึ้นมองหน้าลูกชายเพียงคนเดียวที่เกิดจากภรรยาในสมรส ความหนักอึ้งส่งผ่านจนผู้ถูกมองรู้สึกได้
"คุณ.. มีอะไรก็รีบพูดมาเถอะครับ" จิรายุเอ่ยเร่งเมื่อฝ่ายนั้นไม่มีท่าทีว่าจะพูดอะไรออกมาสักที เขาไม่อยากนั่งอยู่ตรงนี้นานนัก สายตาเสียดแทงจากผู้หญิงคนนั้นและลูกของเธอทำให้เขาอึดอัดจนอยากหลบไปให้พ้นจากตรงนี้เสียที
จิรายุไม่เข้าใจว่าทำไมสองแม่ลูกนั่นถึงได้จงเกลียดจงชังกันนักทั้งที่พวกเขาเองก็ได้ทุกสิ่งที่ต้องการไปหมดแล้ว
ด้วยคุณไตรทศเกรงว่าบ้านที่ขาดบ่อน้ำหล่อเลี้ยงอย่างคุณหญิงนฤนาทไปจะไม่กลายเป็นบ้านเหมือนดังเก่า จึงได้รับภรรยาคนนี้เข้ามาทั้งที่แม่ของเขาเพิ่งเสียไปได้ไม่ถึงสองอาทิตย์ จิรายุในตอนนั้นอายุเพียงสิบขวบ เด็กน้อยกอดตุ๊กตาตัวโปรดที่ผู้เป็นมารดาทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้ามองบิดาโอบกอดหญิงสาวแปลกหน้าและเด็กชายที่โตกว่าเขาไม่กี่ปีเดินเข้ามาในบ้านด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม เธอถูกกล่าวแนะนำกับเด็กน้อยว่านี่คือคนที่จะมาเป็นแม่ของเขา ให้เขาเชื่อฟังเธอเหมือนกับที่เคยเชื่อฟังมารดาบังเกิดเกล้า ในใจเด็กชายพลันต่อต้านกับสิ่งที่ถูกยัดเยียดมาให้อย่างไม่ต้องการ ทว่าภายนอกกลับไม่แสดงกิริยาใดอันแสดงให้เห็นว่าเด็กน้อยกำลังไม่พอใจนอกเสียจากการเดินหนีเข้าห้องไปเงียบๆ แต่ใครจะรู้ว่าหลังประตูบานนั้นเด็กชายตัวน้อยนั่งกอดตุ๊กตาร่ำไห้ปานจะขาดใจ
มารดามักบอกกับเขาเสมอว่าการรักษากิริยาเป็นสมบัติของผู้ที่เจริญแล้ว ต่อให้ภายในใจจะโกรธเกลียดหรือไม่พอใจจนอยากกรีดร้องออกมามากสักแค่ไหนก็ควรเก็บมันไว้เพื่อให้เป็นผลดีกับตัวของเขาเอง จิรายุในวัยเด็กไม่ใคร่จะเข้าใจนัก ทว่าเพราะเป็นคำสอนของมารดาเขาถึงได้ยึดมันเป็นเรื่องที่ควรปฏิบัติเสมอมา เขาไม่เคยแสดงท่าทีโกรธเคืองต่อหน้าคนอื่น ไม่เคยร้องไห้ให้ใครเห็นแม้แต่คนในครอบครัว เป็นอย่างนั้นเสมอมาตั้งแต่ครั้นยังเด็กจวบจนกระทั่งปัจจุบัน
"ที่เรียกมาวันนี้เพราะฉันมีเรื่องอยากจะขอร้องแก" นานทีเดียวกว่าประโยคนั้นจะถูกเอ่ยออกมาจากผู้เป็นประมุขของบ้าน จิรายุขมวดคิ้วกับสิ่งที่ได้ยิน คนคนนั้นใช้คำว่าขอร้องกับเขาอย่างนั้นเหรอ
"จะพูดว่าขอร้องก็ไม่ถูกซะทีเดียวหรอกนะ เพราะมันเป็นเรื่องที่ลูกอย่างแกควรจะทำเพื่อตอบแทนบุญคุณบุพการีบ้าง ไม่ใช่สักแต่จะล้างผลาญไม่คิดช่วยอะไร" เพ็ญนีจีบปากจีบคอพูด เธอเกลียดลูกชายคนนี้ของสามีเข้ากระดูกดำ ไม่ว่าจะเป็นหน้าตาที่สวยหวานเหมือนแม่ กระทั่งกิริยามารยาทมาดผู้ดีที่ถูกส่งต่อกันมา ท่วงท่าสง่างามสูงส่งที่ไม่ว่าเธอจะพยายามลอกเลียนแบบเพียงใดก็ไม่อาจเทียบได้กับลูกของนังผู้หญิงคนนั้น
"เรื่องอะไรกันครับ" จิรายุพยายามใจเย็น เขาเมินวาจากระแนะกระแหนเสียดแทงของผู้หญิงคนนั้น สายตาเต็มไปด้วยคำถามส่งไปถึงบิดาที่นั่งหน้าเครียด ซึ่งฝ่ายนั้นก็กำลังมองมาที่เขาด้วยสีหน้าลำบากใจไม่ต่างกัน
ไตรทศรู้ดีว่าตัวเองละเลยลูกชายคนนี้ไปมาก สิบกว่าปีที่ผ่านมาเขามอบหมายเรื่องภายในบ้านให้ภรรยาดูแล เขารู้ว่าเพ็ญนีไม่ใคร่จะชอบใจลูกชายคนนี้นักจึงให้จิรายุย้ายไปอยู่เรือนเล็กทางด้านหลัง และหากไม่มีความจำเป็นอะไรก็ไม่เรียกขึ้นมาให้เป็นที่ขุ่นข้องหมองใจผู้เป็นภรรยา
แต่ถึงจะไม่ได้รับความใส่ใจจากพ่ออย่างเขาเท่าที่ควรจิรายุก็เติบโตมาอย่างดี ชายหนุ่มเรียนจบปริญญาตรีด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่งและกำลังจะได้เข้าทำงานกับบริษัทรับออกแบบภายในที่มีชื่อเสียงติดอันดับประเทศตามที่ฝัน ทว่าในตอนนี้กลับเป็นพ่ออย่างเขาที่กำลังจะฉุดรั้งอนาคตของลูกไว้เพราะความเห็นแก่ตัวของตัวเอง
แต่หากต้องให้เลือกระหว่างลูกชายเพียงคนเดียวที่ไม่ใครจะใส่ใจมาตั้งแต่ต้นกับบริษัทที่เขาลงแรงลงทุนทุ่มเทสร้างมากับมือจนมาถึงทุกวันนี้ได้ไตรทศย่อมรู้ดีว่าสิ่งไหนสำคัญกับเขามากกว่า
"ตอนนี้บริษัทของเรากำลังแย่..."
จิรายุฝืนพาร่างกายที่แทบจะไร้แรงยืนเข้ามาในบ้าน นัยน์ตาคมสวยเหม่อลอยเนื่องมาจากเรื่องที่เพิ่งรับรู้มามันหนักหนาเกินกว่าที่เขาจะรับไหว
เขาเคยวางแผนอนาคตหลังเรียนจบเอาไว้ว่าจะเก็บเงินสักก้อนแล้วย้ายออกไปอยู่ข้างนอกคนเดียว ใช้ชีวิตอิสระโดยไม่ต้องกลัวว่าจะทำให้นามสกุลที่พ่วงท้ายชื่อต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงตามถ้อยวาจาที่ถูกค่อนแคะจากคนในบ้านใหญ่อยู่เนืองๆ
ครืดดดด
แรงสั่นสะเทือนจากโทรศัพท์มือถือเรียกให้คนที่กำลังเหม่อลอยหันมอง รายชื่อเพื่อนสนิทโชว์หรา จิรายุมองมันอยุ่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจกดรับ
/เจียอยู่ไหนแล้วออกมารึยัง เพื่อนๆ มาครบกันหมดแล้วนะ เหลือแค่คุณหนูเจียแล้ว/ เสียงทะเล้นของอัญญา เพื่อนสนิทดังเจื้อยแจ้วออกมาตามสาย
เขาลืมไปเสียสนิทว่าวันนี้มีนัดฉลองวันรับปริญญากับเพื่อนๆ ใช่ วันนี้เป็นวันรับปริญญาของเขา เป็นวันที่จิรายุมีความสุขมากที่สุด เขายิ้มจนเต็มแก้ม หัวเราะจนตาหยีโค้งโดยไร้ความกังวลมาทั้งวันแม้ไร้เงาของญาติหรือครอบครัวไปร่วมแสดงความยินดี จนกระทั่งเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา
'คุณเจษเขาอยากได้แก'
'หมายความว่ายังไงครับ' คิ้วสวยมุ่นลงอย่างไม่เข้าใจ
'เขาต้องการทายาทแล้วฉันก็เสนอแกให้เขาไป แลกกับการที่เขาจะช่วยเทคโอเวอร์บริษัทของเรา แกก็รู้ว่าฉันสร้างบริษัทนี้ขึ้นมาด้วยความยากลำบากขนาดไหน ฉันทนเห็นบริษัทที่สร้างมากับมือถูกรุมทึ้งจากพวกแร้งกาไร้สามัญสำนึกพวกนั้นไม่ได้' คำพูดที่เหมือนโดนไม้หน้าสามตีแสกหน้าทำให้จิรายุอึ้งไป
ผู้ชายคนนี้...ทนเห็นบริษัทที่สร้างมาล้มละลายไม่ได้แต่ทนเห็นลูกชายแท้ๆ ของตัวเองถูกย่ำยีจากใครที่ไหนก็ไม่รู้ได้อย่างนั้นสินะ
'ก็แค่ไปนอนทอดกายให้เขาไม่กี่ครั้งแลกกับความอยู่รอดของคนในครอบครัวจะไปยากอะไรนักหนา ตัวเองก็ใช่ว่าจะสะอาดบริสุทธิ์ซะเมื่อไหร่' เพ็ญนีกระแนะกระแหน แววตาสาแก่ใจจนปิดไม่มิดยามมองใบหน้าสวยหวานเหมือนมารดาของลูกชายนอกไส้ ในเมื่อแม่มันทำให้เธอตกอยุ่ในสถานะเมียน้อยเธอก็จะทำให้มันตกอยู่ในสถานะเดียวกันหรือตำกว่า อย่างการตกเป็นเมียบำเรอนั่นอย่างไร ไร้ศักดิ์ศรียิ่งกว่าเมียน้อยเสียอีกกระมัง
'เพ็ญนี เงียบเสีย' คุณไตรทศเอ่ยปรามเสียงขุ่น ก่อนจะหันมาพูดกับลูกชาย 'ถือเสียว่าตอบแทนบุญคุณที่ฉันเลี้ยงแกมาก็แล้วกัน หลังจากนี้ฉันจะไม่ขออะไรแกอีก ส่วนคอนโดของคุณนาถที่แกเคยขอไว้ฉันจะยกมันให้ถ้าแกตอบตกลง' จิรายุมองผู้เป็นพ่ออย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา แต่ไหนแต่ไรเขาเคยคิดว่าพ่อไม่รักแต่ก็ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะไร้เยื่อใยต่อกันถึงเพียงนี้ อีกฝ่ายรู้ว่าเขาต้องการคอนโดนั่นเพราะมันเป็นสมบัติเพียงไม่กี่ชิ้นที่มารดาเหลือไว้ให้ถึงได้ยกมันมาบีบบังคับเขาให้ไร้ซึ่งหนทางปฏิเสธ
"เราคงไปไม่ได้แล้วล่ะอัญพอดีที่บ้านมีเรื่องน่ะ ฝากขอโทษทุกคนด้วยนะ" เขาพูดเท่านั้นแล้วกดวางสายไม่รอให้เพื่อนสนิทได้ปฏิเสธ
จิรายุปิดเปลือกตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน ปล่อยให้หยาดน้ำตาที่กลั้นเอาไว้ไหลกระทบผิวแก้มนวล ของขวัญวันรับปริญญาจากคนที่ได้ชื่อว่าเป็นครอบครัวเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ของเขา กลับกลายเป็นต้องไปนอนทอดกายให้ใครก็ไม่รู้ย่ำยี
TBC...
ฝากไอ้โบ้อีกคนไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วยนะคะ
#เจษอย่าร้าย