หลายวันมานี้คุณอาออกไปต่างจังหวัดบ่อยขึ้น หลายครั้งที่ต้องพักค้างคืน บ้านที่เพิ่งผ่านการตกแต่งสวนไปหมาดๆ ถึงได้เงียบเหงากว่าทุกที เขาเกลียดการอยู่คนเดียว ถึงจะบอกว่าชอบความเงียบ แต่คำว่า ‘บรรยากาศสงบ’ กับ ‘ไม่มีใครเลย’ นั้นมันต่างกัน
วันนี้ก็เป็นเหมือนอย่างหลายๆ วัน... ไม่มีเสียงข่าวภาคค่ำจากโทรทัศน์ ไม่มีเสียงล้างจานในห้องครัว หรือแม้แต่เสียงเรียกให้ไปทำนู่นทำนี่อย่างปกติ เป็นเขาเองที่เดินวนเปิดไฟเสียรอบบ้าน แล้วก็มานั่งกอดหมอนอยู่ในห้องนั่งเล่นคนเดียว
ซานเพิ่งกลับไปเมื่อเย็น หลังเข้ามาก่อกวนเขาจนเจ้าตัวพอใจก็วิ่งลิ่วจากไปพร้อมกับเสียงเครื่องยนต์รถ วันสุขถอนหายใจเฮือก มือไล่กดรีโมตเปลี่ยนช่องโทรทัศน์ไปเรื่อยๆ อย่างเบื่อหน่าย
ผ้าห่มผืนหนาถูกยกขึ้นคลุมหน้าตัก เสียงข้อความเข้าดังเบาๆ แล้วเงียบไป เขาเอื้อมแขนไปหยิบขึ้นมาเปิดดูก็อดยิ้มไม่ได้ เจ้าประจำนั่นแหละที่ส่งมาอย่างเช่นทุกครั้ง...
‘ถ้าฝันร้ายก็โทรมาหาได้นะครับ’
คิดอะไรอยู่กันนะเด็กคนนั้น?
โทรศัพท์ถูกวางลงกับโต๊ะหน้าโซฟา วันสุขเอียงตัวนอนตะแคง สายตาจ้องมองภาพบนจอโทรทัศน์ซึ่งกำลังเคลื่อนไหว สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจหยิบรีโมตขึ้นมาปิดมัน ...ห้องกลับมาเงียบเชียบอีกครั้ง มีเพียงแค่เสียงเบาๆ ของเครื่องปรับอากาศเท่านั้น
เขาหลับตาลง ป่ายมือเปะปะไปที่ด้านล่างของโซฟา ดึงเก๊ะเล็กๆ ออกมาแล้วสอดมือเข้าไปด้านใน ก่อนที่เครื่องเล่นเพลงขนาดเล็กจะถูกหยิบขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะเตี้ยตรงหน้า มือคลำไล่ไปทีละปุ่มและกดไปยังตำแหน่งที่คุ้นเคย
พลันเสียงร้องเพลงหวานนุ่มอบอุ่นก็ดังแผ่วท่ามกลางความเงียบ มุมปากเผลอยกยิ้มขึ้นมาอย่างเช่นทุกครั้ง เมโลดี้เบาๆ ลอยอบอวลชวนให้สบาย
เขายังจำได้เสมอ...ครั้งแรกที่ได้ยินเพลงนี้ก็เพราะมีใครบางคนมาร้องให้ฟัง ทั้งทำนองติดหู ทั้งถ้อยคำภาษาญี่ปุ่นซึ่งแปลไม่ออก... ไม่เข้าใจความหมายด้วยซ้ำ แต่อารมณ์ที่สื่อจากเพลงยามนั้นกลับทำให้เขาไม่เคยลืมมันได้เลย
ยังจำได้ว่าตัวเองเที่ยวไล่เสาะหาที่มาของเพลงจนไปเจอะเข้ากับการ์ตูนเรื่องหนึ่ง ตอนนั้นไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ถึงได้ซื้อติดมือมา เจ้าแผ่นซีดีเล็กๆ นั่นถูกเปิดดูวนซ้ำแล้วซ้ำเล่า สุดท้ายก็พัง... แต่เขาก็ยังเก็บมันไว้อยู่ ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้ชอบเรื่องราวเหล่านั้นนัก โดยเฉพาะเพลงจบ
‘Always with me’
จริงๆ แล้วนั่นคงจะเป็นเหตุผลเดียวที่เขาดูมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า เนื้อเพลงซึ่งไม่เคยเข้าใจความหมาย จนสุดท้ายก็ต้องไปหาบทแปลมานั่งอ่าน ลงทุนสั่งซื้อแผ่นเพลงมาจากญี่ปุ่น แล้วก็เปิดวนซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนคุณอาดุ
“คิดถึงจังเลยนะ...” วันสุขพึมพำขึ้นมาแผ่วเบา เพลงนี่นำช่วงเวลาเก่าๆ มาให้นึกถึงเสมอยามเมื่อได้ฟัง และมันน่าแปลก...ทุกครั้งเมื่อเขาไม่สบายใจ การฟังเพลงนี้กลับช่วยให้จิตใจสับสนเข้าที่เข้าทางมากขึ้น
เสียงร้องเงียบหายไปแล้ว บรรยากาศนิ่งเงียบไป และเสียงเปียโนคุ้นเคยก็ดังขึ้น ทั้งที่เป็นเพลงเดียวกัน แต่วันสุขกลับชอบเสียงเปียโนนี่มากกว่าหลายเท่า... เขายังจำได้ว่าเมื่อหลายปีก่อนเขาเคยขอให้เวย์ช่วยแกะโน้ตเพลงนี้และอัดเสียงเปียโนให้ เจ้าเพื่อนสนิทไม่ยอมท่าเดียว จนเขาตื๊อมากๆ เข้าเจ้าตัวก็รับปากส่งๆ ไป
ผ่านไปเกือบปีจนแทบจะลืมไปแล้ว ในวันเกิดครบรอบยี่สิบหก แผ่นเสียงแผ่นหนึ่งก็ถูกส่งมาให้ถึงบ้าน ไม่ระบุชื่อผู้ส่ง แต่พอเขาเอาไปเปิดกับเครื่องเล่นก็ต้องเผลอยิ้มจนแก้มปริ วันต่อมาเขาก็โผล่หน้าไปเยี่ยมเพื่อนถึงที่ทำงาน ขอบคุณมันอยู่หลายครั้ง จนมันบอกว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรเลย แค่เอาแผ่นเสียงไปหย่อนหน้าบ้านเขาเท่านั้น
เวย์ไม่ยอมบอกว่าใครเป็นคนเล่นเพลงนั่น แต่พอเขาบอกว่าชอบมันมาก เจ้าตัวก็แค่ยกยิ้มอารมณ์ดี ท่าทางดีใจจนเกินเหตุชวนให้สงสัยพิรุธ แต่ซักแทบตาย เพื่อนปากแข็งก็ไม่ยอมคายความลับออกมา จนทุกวันนี้เขาก็ยังไม่รู้ว่าใครที่เป็นคนเล่นมัน...
เสียงเปียโนอุ่นๆ เบาบาง และเงียบเหงาไปในที บางครั้งก็ทิ้งจังหวะยาวเหมือนกำลังทอดถอนหายใจ บางครั้งก็เรียบรื่นราวกับกำลังหัวเราะ และบางครั้งก็นุ่มนวลคล้ายกับยิ้มอ่อนโยนซึ่งเจือแววโศกอยู่ในที
เพลงซึ่งมีเสียงร้องนุ่มหวาน ชวนให้รำลึกถึงเรื่องราวเก่าๆ ที่พาให้หัวใจอบอุ่น
เพลงซึ่งมีเพียงเสียงเปียโน ชวนให้รู้สึกประหลาด และอยากเข้าไปกอดปลอบเจ้าของเสียงเพลงนั่นเหลือเกิน
ไม่รู้ว่าตัวเองหลับตาฟังเพลงเดิมๆ วนไปจนรอบที่เท่าไหร่แล้ว ริมฝีปากพึมพำร้องคลอไปกับท่วงทำนอง ความง่วงงุนถาโถมเข้ามาอย่างช้าๆ จวบจนความฝันสีดำแผ่ขยายครอบครองสติในที่สุด
เขาชอบจริงๆ นั่นแหละช่วงเวลาที่ได้อยู่กับตัวเองแบบนี้...
และก็เกลียดมันที่สุดเช่นกัน...
ดวงตาปรือเปิดขึ้นมาอย่างง่วงงุน แสงทองอ่อนๆ ส่องลอดผ่านทิวไม้เข้ามากระทบใบหน้า ลมเย็นพัดโชยชวนให้หนาวไปในที ตัดกับแสงอุ่นสบาย ลมหายใจทอดถอนยาวเอื่อยเฉื่อย
เสียงกรอบแกรบของฝีเท้าย่ำลงใบไม้แห้งดังเข้ามากระทบโสตประสาท วันสุขชันกายขึ้นนั่งบนม้าหินอ่อนตัวยาวหลังตึกภาควิชา ดวงตาปรือกวาดมองผู้มาใหม่อย่างสงสัย เขาพยักหน้าให้อีกฝ่ายเป็นเชิงทักทาย ทว่าดูเหมือนเธอจะไม่คิดรับไมตรีสักเท่าไหร่
“พี่วันมาทำอะไรตรงนี้คะ?” เสียงหวานใสเอ่ยถาม วันสุขนิ่งไปเล็กน้อย เพราะเพิ่งตื่นจากการงีบหลับ สมองเลยไม่ค่อยจะแล่นนัก
“นอนพักน่ะ” งึมงำตอบไปเบาๆ มือเองก็ล้วงโทรศัพท์ออกมาดูว่าตอนนี้กี่โมงแล้ว
“แถวนี้ไม่มีคนเลยนะคะ” เยลลี่หัวเราะแล้วมองไปรอบๆ ต้นไม้รกครึ้ม ชุดเก้าอี้วางระเกะระกะ ไม่ไกลก็เป็นสระน้ำขนาดใหญ่ที่ถูกขุดเอาไว้แต่นานนม
“อืม...สงบดีนะ พี่ก็เลยชอบหลบมานอนแถวนี้บ่อยๆ ”
“ซานไม่ได้มาด้วยเหรอคะ?” เธอเอียงคอถามยิ้มๆ
“ถ้าหาหมอนั่นอยู่ล่ะก็ พี่ไล่ให้ไปเข้าเรียนแล้วล่ะ” ช่วงสายๆ แมวยักษ์ก็เข้ามาก่อกวนเขาแต่หัววัน โชคดีที่คุณอาอยู่ด้วยเขาเลยไม่โดนทำอะไรรุ่มร่ามใส่นัก
“เยลลี่ไม่ได้มาหาซานหรอกค่ะ”
“งั้นก็...มาหาพี่สินะ?” วันสุขหัวเราะแผ่วแล้วเอ่ยปากถาม เขาคาดไม่ผิดสักเท่าไหร่ว่าวันนี้ต้องมาถึง แต่ก็นั่นแหละ...เป็นใครก็คงทนไม่ได้ แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกผิดสักนิด แบบนี้นี่บาปหรือเปล่านะ?
“พี่กับซาน...ดูสนิทกันจังเลยนะคะ”
มาอีกแล้ว...ประโยคอมตะ ทำไมพักนี้มีแต่คนถามเขาแบบนี้กันนะ? เขากับซานดูสนิทกัน? ความจริงก็ไม่จำเป็นต้องถามด้วยซ้ำ ในเมื่อคนถามก็รู้อยู่แก่ใจดี ตามันเห็นอย่างไร มันก็เป็นอย่างนั้นนั่นแหละ
“ก็สนิทกันครับ” แถมสนิทกันถึงขนาดที่พูดออกสาธารณะไม่ได้เชียว
“สนิทกันมากจริงๆ ค่ะ ขนาดพี่มาทีหลังแท้ๆ ”
“หืม? ดูออกขนาดนั้นเลยหรือครับ?”
“ค่ะ เขาโพสต์รูปพี่ลงในเฟสบุ๊คด้วย ทั้งที่เมื่อก่อนเขาไม่เคยทำอะไรแบบนี้”
อา...เขาจำได้ว่าปรัชญ์ก็เคยพูดถึงเรื่องนี้เหมือนกัน มันแปลกมากขนาดนั้นเลยหรือ? ดูท่าว่าคงต้องไปถามซานเสียแล้วว่าเด็กนั่นเอารูปเทือกไหนของเขาไปโพสต์กันแน่
“พวกผู้หญิงในนั้นก็กรี๊ดกร๊าดกันใหญ่ แต่เยลลี่ไม่เห็นจะชอบเลย” เธอว่าพลางขมวดคิ้วมุ่น ดวงตากลมโตจ้องมาที่เขาอย่างสำรวจไปในที
“ทำไมไม่ชอบล่ะ” วันสุขถามไปตามเรื่อง กลีบปากสีส้มสวยหยักยิ้มสบายอารมณ์ จริงๆ เขาก็รู้อยู่แล้วว่าทำไม นี่ไม่ใช่ครั้งแรกเสียหน่อยที่เขาต้องมาเผชิญกับสถานการณ์เทือกนี้
“มันแปลกออกนี่คะ ผู้ชายสองคน พี่วันไม่คิดว่ามันแปลกบ้างเหรอ”
“แปลกเหรอ?” เลิกคิ้วอย่างสงสัย เขาลืมคิดเรื่องนี้ไปเสียสนิท ก็เพราะไม่ค่อยจะสนใจอยู่แล้วว่าใครจะเข้ามา ส่วนใหญ่เขาก็แค่แหย่เล่นไปตามประสาเท่านั้น ใครๆ เขาก็รู้กัน มีก็แต่ซานคนเดียวนั่นแหละที่ทำให้เขาคิดว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังทำอยู่ดูจะไม่ใช่เรื่องเล่นๆ อีกต่อไป...
“แปลกสิคะ ถึงสมัยนี้เขาจะเปิดกว้างกันแล้ว แต่เยลลี่น่ะไม่ชอบเลย” เธอว่าเสียงสะบัดแล้วก็จ้องมาที่เขาเขม็ง “พี่วันไม่อายตัวเองบ้างเหรอคะที่มาแย่งแฟนคนอื่นเขาแบบนี้”
เข้าเรื่องเร็วกว่าที่คิดหากเทียบกับเคสที่แล้วๆ มา วันสุขนึกว่าเด็กสาวตรงหน้าจะพูดวกไปวนมาจนกว่าจะตะล่อมให้เขารู้ตัวเสียอีก แต่ก็ดี ตรงๆ แบบนี้แหละดี
“ซานกับพี่ยังไม่ได้เป็นแฟนกัน” ว่าไปเอื่อยๆ พลางหาวหวอดบิดขี้เกียจ แต่ดูเหมือนเธอจะไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ นี่เขาก็พูดความจริงออกไปแล้ว จะเอาอะไรอีกนะ?
“เยลลี่ไม่เชื่อหรอก ใครๆ เขาก็รู้กันทั่วว่าพี่กับซานเป็นอะไรกัน”
“แต่พี่กับเขาไม่ได้เป็นแฟนกัน” เด็กนั่นยังไม่เคยออกปากขอเขาให้ได้ยินเลยสักครั้ง “น้องเยลลี่มาสรุปเองแบบนี้ แล้วจะให้พี่ทำยังไงล่ะครับ?”
“เยลลี่อยากให้พี่วันเลิกยุ่งกับเขาค่ะ อย่ามายุ่มย่ามกับเขา คืนเขามาให้เยลลี่เดี๋ยวนี้” เธอว่าเสียงกร้าว เห็นแล้วก็อดขำไม่ได้ คราวก่อนยังเห็นมาเกาะแกะเขาต่อหน้าซานอยู่เลยแท้ๆ และยิ่งได้ฟังประโยคดูเป็นเจ้าเข้าเจ้าของนั่นแล้ว...ข้างในมันก็กรุ่นแปลกๆ
ผู้หญิงเนี่ย...มหัศจรรย์จริงๆ ด้วยสินะ...
“ไม่คืนครับ นี่เรากำลังเล่นขายของกันอยู่เหรอ?”
“อย่ามาพูดล้อเล่นนะ เยลลี่จริงจังค่ะ เยลลี่รักเขา เขาเองก็รักเยลลี่ มีแต่พี่วันนั่นแหละมือที่สาม ทำตัวทุเรศ”
“ทุเรศ? ทุเรศจริงๆ ด้วย” เท้าคางแล้วยกยิ้มอ่อน และท่าทางแบบนั้นก็ทำเอาอีกคนกรุ่นโกรธมากขึ้นไปอีก
“จู่ๆ ก็โผล่มาแล้วก็แย่งของรักของคนอื่นไป ถ้าไม่บอกว่าทุเรศแล้วยังจะให้ใช้คำแบบไหน”
“ ‘แย่ง’ อย่างนั้นเหรอ?” ไม่รู้ว่าเขาควรจะยังดีใจอยู่ไหมที่เด็กสาวตรงหน้ายังถนอมด้วยการไม่ด่ากราดใส่เขาด้วยภาษาหยาบคายเหมือนคนข้างถนน วันสุขหัวเราะแผ่ว คำด่าคล้ายๆ กันนี้เหมือนจะถูกฉายซ้ำขึ้นทับกับภาพในอดีตชอบกล
แย่ง... เขาเกลียดคำคำนี้จริงๆ
“นี่ไม่ใช่ครั้งแรกสินะคะ ท่าทางพี่ก็ดูไม่เบา สนุกหรือเปล่าคะ ทำให้คนเขาแตกคอกัน! หน้าด้าน!! เจ้าของเขาตามมาทวงถึงที่ยังทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น!!!” เสียงหวีดแหวทวีความรุนแรงขึ้นทุกขณะ ใบหน้าสวยบูดบึ้งอย่างยากจะได้เห็น
“หุบปาก...” เขาพึมพำแผ่ว ...ความโกรธกำลังปะทุเดือดขึ้นในใจอย่างยากจะหยุด มือกำแน่นจนสั่นระริกเหมือนคนที่กำลังควบคุมตัวเองไม่อยู่...ไม่สิ จริงๆ เขาก็ควบคุมมันไม่ได้มาตั้งแต่ต้นแล้ว...
“ซานน่ะเขาเป็นของเยลลี่มาตั้งแต่ต้น! พี่นะไม่มีสะ... !!”
เหมือนเสียงแก้วแตกสนั่นอยู่ในหู
ชั่วขณะที่สามัญสำนึกถูกผลักให้หลุดหายไป มือมันก็กระชากต้นแขนบางนั่นให้เข้ามาหาตัว ริมฝีปากกระแทกกันกึกจนสัมผัสได้ถึงรสเลือดเค็มๆ เสียงหวีดร้องตระหนกในลำคอนั่นชวนให้เขาบดริมฝีปากลงไปรุนแรงยิ่งขึ้นกว่าเดิม ยิ่งกลิ่นเลือดเข้มข้นมากขึ้นเท่าไหร่ สติมันก็เตลิดรุนแรงยิ่งขึ้นไปเท่านั้น
“!!”
อกของถูกผลักอย่างแรง เด็กสาวหงายล้มลงไปนั่งกับพื้น ใบหน้าขึ้นสีเพราะความเกรี้ยวโกรธจ้องมาที่เขาอย่างมาดร้าย... วันสุขยกยิ้มเหยียด ดวงตาคมสวยหรี่มองราวกับคนสาแก่ใจ เพลิงเดือดปะทุในใจพานลดฮวบลงอย่างรวดเร็ว ราวกับว่าเมื่อครู่ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น...
“อะไรกัน...พี่ทำตัวเป็น ‘หลอด’ ให้แล้วก็นึกว่าจะดีใจเสียอีก” วันสุขผายมือออกด้านข้างราวกับว่าเสียดายหนักหนา แต่เขารู้ตัวดีว่าตอนนี้นัยน์ตาของตัวเองคงเต้นระริกรี้เหมือนไฟเทียนไม่มีผิด “พี่ก็เห็นวัยรุ่นเขาชอบใช้มุกจูบทางอ้อมกัน เช่น กินน้ำจาก ‘หลอดเดียวกัน’ อะไรแบบนี้”
“!!!”
“ส่วนเรื่องซานน่ะ ไปคุยกับเจ้าตัวเองเถอะนะครับ” ว่าอย่างปัดความรับผิดชอบ โทรศัพท์เครื่องเดิมถูกยกขึ้นมาดูเวลาอีกครั้ง ถ้าเขากลับไปช้าล่ะก็คงถูกคุณอาดุอีกแน่ๆ
“เอ้อจริงสิ...” ตีมือแปะราวกับนึกบางอย่างออก ใบหน้าเข้ารูปละมุนหันไปส่งยิ้มให้คนที่เพิ่งพยุงตัวเองจนลุกขึ้นมาได้ “น้องเยลลี่คงไม่รู้... ตอนแรกพี่ก็ไม่คิดที่จะอะไรหรอกนะครับ แต่เราก็ยัดเยียดข้อหาให้พี่เหลือเกิน จนตอนนี้...” ประโยคถูกเว้นช่วงไปอย่างต้องการจะยั่วโทสะ วันสุขหัวเราะแผ่ว เอียงคอยิ้มน้อยๆ อย่างเคยตัว
“อยาก ‘ได้’ ขึ้นมาจริงๆ ซะแล้วล่ะ”
ไม่มีเสียงกรี๊ดลั่นอย่างที่คิด เธอคนนั้นลุกขึ้นได้ก็จ้องเขม็งทิ้งท้ายแทนคำพูด ก่อนจะเดินฉับๆ จากไปด้วยท่าทีโมโหสุดขีด วันสุขมองตามอย่างสงสัย อดพึมพำออกมาไม่ได้ด้วยความสับสนว่าตนพูดอะไรผิด
“เด็กๆ นี่เอาใจยากจังนะ”
กว่าจะมาสำนึกได้อีกทีก็ตอนกลับมาถึงบ้าน...
เสียงน้ำซาซ่าดังก้องภายในห้องแคบๆ มือเรียววักของเหลวเย็นเฉียบขึ้นลูบใบหน้า เสียงถอนหายใจยาวเหนื่อย ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนมองภาพสะท้อนตัวเองภายในกระจก หัวสมองระลึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเที่ยงอย่างเหนื่อยล้า
เขาทำบ้าอะไรลงไปนะ?
วันสุขอดถามกับตัวเองเช่นนี้ไม่ได้ ชั่ววูบเดียวที่สติระเบิดออก โดยที่สมองยังไม่ทันได้สั่งการ ตัวเขาเองก็เผลอทำเรื่องโง่ๆ ไปเสียได้ ดูอย่างไรก็เกินกว่าเหตุไปไม่น้อย ทั้งที่เขาไม่ใช่คนที่จะทำอะไรแบบนั้นเลยแท้ๆ
แต่สิ่งที่พอจะคิดออกว่าเพราะอะไรก็ผุดวาบขึ้นมาในหัวสมอง มือทั้งสองข้างถูกยกขึ้นมอง... และเขาก็พบว่ามันกำลังสั่นระริก...
เขากำลังกลัว กลัวว่าไอ้ ‘สิ่งนั้น’ มันจะกลับมาอีกครั้ง กลับมาทำลายชีวิตเขา ทำลายความสุขที่ตัวเองค่อยๆ สร้างขึ้นมาอย่างลำบากยากเย็นในรอบหลายปีนี้...
เสียงหัวเราะร้ายกาจดังก้องอยู่ในหัว คล้ายบางสิ่งกำลังตอกย้ำให้ตัวเขาจมลงไปในความเป็นจริงที่มันเคยเกิดขึ้น และวินาทีนั้นเองที่สายตาเผลอมองไปที่แหวนสีดำ จู่ๆ หัวใจก็คล้ายกับจะบีบรัดเข้าหากันจนหายใจลำบาก...
วันสุขปิดตาแน่น ท่องคำพูดวนเวียนซ้ำไปซ้ำมาในหัวสมองเพื่อให้ตัวเองสงบสติอารมณ์ มือกำขอบอ่างล้างหน้าแน่น แน่นจนเขาสัมผัสได้ว่าปลายนิ้วของตัวเองกำลังเจ็บแปลบ
“พี่วัน เปิดประตูให้ผมเข้าไปหน่อย พี่อยู่ในนั้นใช่หรือเปล่า”
พลันเสียงทุ้มนุ่มก็ดังแทรกเข้ามาในช่วงเวลาเหมาะเจาะอย่างเช่นทุกครั้ง วันสุขสะดุ้งเฮือก พยายามปรับลมหายใจตัวเอง วักน้ำเย็นเฉียบสาดใส่ใบหน้าจนเสื้อชุ่ม สาดสายตามองสบกับนายวันสุขในกระจกเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะปลดล็อกกลอนประตูเสียงดังกริ๊ก
“เข้ามาในบ้านพี่ได้ยังไง?” จำได้ว่าพอเขาเลิกงานเสร็จ คนตรงหน้าก็โทรมาบอกว่าจะออกไปสังสรรค์กับเพื่อน แล้วจู่ๆ ทำไมถึงมาโผล่ที่บ้านเขาได้? คิดแล้วก็ไม่อยากจะไปควานหาคำตอบนัก และเลือกที่จะเดินสวนออกไป มือก็คว้าผ้าขนหนูนุ่มนิ่มมาซับหน้าตัวเองพลางๆ
“ตอนแรกก็เรียกพี่ตั้งนาน เห็นไม่ตอบก็เลยเดินเข้ามา” เด็กตัวโตว่า แล้วก็จ้องหน้าเขานิ่งพลางขมวดคิ้วมุ่น “พี่ไปทำอะไรมา ฝันร้ายเหรอครับ?” เอ่ยถามด้วยสีหน้าเป็นห่วง นิ้วยาวนั่นยกขึ้นแตะแก้ม แตะซอกคอเขาเบาๆ
“เปล่า แค่วันนี้ไปเจอเรื่องตกใจมานิดหน่อยน่ะ” ว่าเสียงเบาแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ ทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟา พาดคอไปกับพนักพิง ดวงตาปิดแน่น ใช้เพียงแค่โสตเท่านั้นที่คอยจับการเคลื่อนไหวของใครอีกคน
“อย่างเช่นจู่ๆ ก็กระชากเยลลี่เข้ามาจูบ อะไรเทือกนี้ใช่ไหม?” เสียงเรียบกระซิบข้างหู วันสุขเปิดตาพรึบ จะลุกยืน แต่ไหล่ของเขาก็ถูกกดไว้ด้วยอ้อมแขนที่โอบมาจากด้านหลัง พอเห็นว่าไม่มีทางให้หนี เขาก็ได้แค่ถอนหายใจเฮือก
“พี่ไม่ได้ตั้งใจ”
“แต่ยายนั่นปากเจ่อมาเลยนะ” น้ำเสียงบ่งอารมณ์ไม่ได้ดังขึ้นมาอีกครั้ง ไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วคนคนนี้กำลังโกรธ หรือว่ากำลังแกล้งหยอกเขาเล่นกันแน่ โชคดีหน่อยที่วันนี้คุณอากลับดึก เขาถึงไม่ต้องมาพะวง ถ้าเกิดเด็กนี่คิดทำอะไรแผลงๆ ขึ้นมา
“โกรธเหรอ?” ถามออกไปตรงๆ เขาไม่ชอบบทงอนง้อสักเท่าไหร่ มีอะไรก็บอกไป ซานเองก็ดูท่าจะเป็นประเภทนั้นเช่นกัน
“ไม่เชิง” พอได้คำตอบมาแบบนั้น วันสุขก็เอียงคอนึกอีกสักพัก
“อิจฉาเหรอ?” รอบนี้ซานหัวเราะเย็นๆ ส่งมาให้แทน ดวงตาสีเข้มนั่นฉาบแววบางอย่างที่เขาอธิบายไม่ถูก วันสุขกระตุกยิ้ม เอนศีรษะเข้าหาอีกฝ่ายจนจมูกแทบจะชนกัน
“พี่รู้สึกเหมือนตัวเองจะเป็นบ้า” เขาพูดสิ่งที่อัดอั้นในใจออกไป
พักนี้เวลารู้สึกถึงอะไรบางอย่าง ระดับอารมณ์มันมักจะมีแค่สองแบบเสมอ... พุ่งพล่านจนฉุดไม่อยู่ ไม่ก็ห่อเหี่ยวจนอยากจะตายมันเสียตรงนั้น... เขารู้ดีว่ามันคืออะไร รู้ดีมาตลอด และมันก็ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ จนน่ากลัว
ทั้งที่เมื่อก่อนเขาคุมมันได้ดีแท้ๆ แต่ก็นั่นแหละ... เพราะมีคุณอากับเวย์อยู่ด้วยต่างหาก ทุกอย่างมันถึงผ่านมาได้ด้วยดี และตอนนี้สิ่งที่ทุกคนอุตส่าห์ช่วยกันสร้างก็คล้ายกับจะพังลงมาง่ายๆ เมื่อเจ้าแมวตัวใหญ่นี่กระโดดเข้ามา
“ทำไมถึงจูบเยลลี่?” คนเด็กกว่าเอียงหน้าเข้าหา แล้วถามคำถามที่เขาก็ไม่รู้จะตอบยังไงดี
“พี่ก็ไม่รู้” วันสุขพึมพำเสียงแผ่ว หรุบตาลงอย่างใช้ความคิด “ตอนนั้นโกรธจนนึกอะไรไม่ออก”
“คนอย่างพี่โกรธจนนึกอะไรไม่ออกเป็นด้วยเหรอครับ หืม?” ซานบี้ถามเขาอีกครั้ง
“เป็นสิ... แค่ครั้งนี้พี่ฝืนมันไม่ได้ แต่ว่า...ต่อไปจะพยายาม” ว่าอย่างไม่มั่นใจนัก ยิ่งพักหลังนี้เขายิ่งคุมตัวเองได้น้อยลง...
“เวลาอยู่กับผม พี่ไม่เห็นต้องฝืนตัวเอง” ซานว่า กดจมูกลงกับเปลือกตาเขาเบาๆ “จริงๆ เวลาพี่อาละวาดก็ดูน่ารักดี” พูดเหมือนกับเคยเห็นเขาในสภาพนั้นมาแล้วอย่างนั้นแหละ...
วันสุขหัวเราะแผ่ว ดวงตาสีอ่อนแวววาวหรี่ลงอย่างเคยชิน ริมฝีปากส้มสวยยกยิ้มบางอย่างที่ชอบทำประจำ...
เขาเกลียดเหลือเกินเวลาที่ตัวเองถูกแย่งของสำคัญไป เกลียดทุกครั้งที่รู้ว่าตัวเองจะถูกทิ้งเอาไว้ข้างหลัง เกลียดที่คนอื่นมาทำตัวเป็นเจ้าเข้าเจ้าของในสิ่งที่เขาคิดว่ามันต้องเป็นของเขา... ไม่ว่าสิ่งนั้นมันจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม
เพราะแบบนั้นถึงต้องทำอะไรสักอย่าง...เพื่อย้ำให้ตัวเขาแน่ใจ ว่าสุดท้ายแล้วยังมีคนที่ยังยืนอยู่ข้างๆ ...สุดท้ายแล้วตัวเขาเองยังคงได้รับสิ่งที่ต้องการ ...อย่างที่มันควรเป็น
อย่าฝืนตัวเองอย่างนั้นเหรอ?
เพียงสิ้นความคิด มือที่วางอยู่บนตักก็ยกขึ้นแตะท้ายทอยอีกฝ่าย ไล้นิ้วเข้าไปใต้กลุ่มผมนุ่มนิ่มสีดำเข้ม ซานหัวเราะอีกครั้ง เมื่อริมฝีปากของเขาเผยอออกเพื่อกระซิบถ้อยคำแปลกประหลาด
“จูบพี่”
To be continued...