Fallen and Destined 2
หลังจากนั้น มีพวกในแผนกซึ่งพอรู้ข่าวการโยกย้ายของเขาก็เริ่มเข้ามาไถ่ถามและบ้างก็แสดงความเห็นใจ จนบางครั้งขอบฟ้าชักไม่แน่ใจแล้วว่ามันเป็นเรื่องเลวร้ายถึงขั้นน่าสงสารเลยงั้นหรือ
จู่ๆ เขาก็ได้รับโทรศัพท์จากอักษรระหว่างที่กำลังนั่งทำงานอยู่
“ฟ้ามาหาเราหน่อยสิ เดี๋ยวนี้เลย”
“เรื่องด่วนเหรอ เราทำงานค้างอยู่ ไว้ตอนเที่ยงค่อย...” ยังขอผัดผ่อนไม่เสร็จ ปลายสายก็ว้ากสวน
“ไม่ได้ ต้องเดี๋ยวนี้ เรื่องด่วนมาก ด่วนสุดๆ”
ได้ยินแบบนั้น ขอบฟ้าจึงจำต้องเดินไปหาเพื่อนยังสถานที่นัดหมาย นอกจากอักษรที่ยืนชะเง้อชะแง้มาทางเขาแล้วข้างๆ ยังมีร่างสูงของผู้ชายอีกคนยืนอยู่ด้วย
“ฟ้า มีทางรอดแล้วๆ ได้ยินไหม” เสียงใสๆ กล่าวซ้ำๆ อย่างตื่นเต้นดีใจ “ทำไมฟ้าไม่ดีใจเลย รู้ไหมว่าเราอุตส่าห์ลงทุนไปขอร้องพี่อายเพื่อฟ้าโดยเฉพาะเลยนะ เนอะพี่อาย”
“เออๆ” พี่อายของอักษรรับไหว้เขาแล้วพยักหน้ารับส่งๆ “ฉันเห็นแกเรียกฟ้าอย่างนั้นฟ้าอย่างนี้แล้วคิดว่าเพื่อนแกเป็นผู้หญิงเสียอีก ตกลงว่าเป็นผู้ชายหรอกเหรอ”
“เออสิ ผมไม่เคยบอกว่าเพื่อนผู้หญิงสักหน่อย อ๋อ มิน่า เลยขอมาดูหน้าล่ะสิ ไอ้คนเจ้าชู้ คอยดูเถอะ ผมจะฟ้องพ่อ”
ท่าขู่นอกจากจะไม่น่ากลัวแล้วยังออกแนวน่าเอ็นดูไม่ได้ทำให้ร่างสูงสนใจ “อ้าว ก็ฉันเห็นแกไปนั่งโอดครวญว่าฟ้าไปทำงานต่างจังหวัดไม่ไหว ฉันก็ต้องคิดว่าผู้หญิงสิ แล้วนี่อะไร เป็นผู้ชายแท้ๆ หนักไม่เอา เบาไม่สู้แบบนี้จะไหวเหรอ ถึงจะเป็นเพื่อนแกแต่บริษัทฉันรับแต่คนมีคุณภาพนะ”
กล่าวเป็นชุดโดยแทบไม่ชายตามองเพื่อนของญาติผู้น้องที่ยืนอึ้งอยู่ข้างๆ ด้วยซ้ำ “เห็นแก่ที่แกขอร้อง ฉันจะรับไว้ก่อนก็ได้ แล้วแกอย่าลืมเบอร์น้องดาวสุดสวยตามสัญญา”
“รู้แล้วน่า”
นิ่งฟังบทสนทนามานานจนเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวได้ ในที่สุดขอบฟ้าจึงมีโอกาสเอ่ยเป็นครั้งแรก “ขอบคุณนะครับที่อุตส่าห์จะช่วย แต่ผมคงรับไว้ไม่ได้ ขอบใจโอ้ด้วยที่หวังดี แต่เราคงไปทำงานที่บริษัทพี่นายไม่ได้หรอก”
สองพี่น้องเงียบกันไปทั้งคู่ก่อนอักษรจะได้สติและรีบคว้าแขนขอบฟ้า ลากออกมาด้านหนึ่ง “ทำไมถึงไม่เอา ถึงบริษัทพี่อายจะไม่ใหญ่โตเท่าที่นี่แต่ก็มั่นคงนะ พี่อายกับเพื่อนๆ เขาตั้งบริษัทขึ้นมาตั้งแต่ตอนเรียนจบ ค่อยๆ ขยับขยายกันมาจนตอนนี้มีพนักงานเป็นร้อย พี่เราอาจจะปากไม่ค่อยดีแต่รับรองว่าเรื่องงานนี่เก่งมาก ฟ้าไปทำด้วยรับรองได้เลยว่าอย่างน้อยก็ต้องได้ประสบการณ์เยอะกว่าทำที่นี่แน่”
มองหน้าเพื่อนที่ออกอาการลุ้นเต็มกำลังแล้วขอบฟ้าก็อดหัวเราะเบาๆ ไม่ได้
“เพราะแบบนี้ล่ะ เราถึงไม่อยากให้พี่ชายโอ้ลำบากใจ มันจะกลายเป็นว่ามีแต่เราที่ได้รับประโยชน์ในขณะที่พี่เขาไม่ได้อะไรเลย อีกอย่าง เราก็ไม่ชอบคำว่าเด็กเส้นด้วย เราคุยไม่เก่ง หาเพื่อนไม่ค่อยได้ ถ้าต้องกลายเป็นเด็กเส้นอีกอย่างคงโดนเขม่นหนักขึ้น” เขายิ้มเมื่อเห็นหน้าสีหน้าอักษรหงิกงอขึ้นทุกที “ไม่เอาน่า แค่ออกต่างจังหวัดเอง อย่างน้อยคงได้กลับมากรุงเทพฯ เดือนละครั้ง ไว้เราจะแวะมาหาโอ้นะ สัญญาว่าจะหาของฝากมาให้ด้วย”
“ฟ้าก็เป็นเสียแบบนี้” อักษรพูดปลงๆ “มองโลกในแง่ดีตลอด เพราะฟ้าเป็นคนดีขนาดนี้ถึงได้ชอบโดนคนอื่นเอาเปรียบตลอด รู้ไหม”
“ขอโทษนะที่ทำให้ต้องเป็นห่วงเรื่อย แต่เราไม่เป็นไรหรอก”
เมื่อเดินกลับมาสมทบคนที่ยืนคอยอยู่ ฝ่ายนั้นก็รีบแบมือ “เบอร์น้องดาว ต่อให้เพื่อนแกปฏิเสธแต่ข้อตกลงก็คือข้อตกลง”
“ไม่ให้!” หากเป็นเรื่องของธุรกิจ อักษรอาจโดนฟ้องก็เป็นได้ค่าที่ผิดสัญญาหน้าด้านๆ “เพราะพี่อายพูดจาไม่ดี ฟ้าเลยกลัวจะต้องไปทำงานกับเจ้านายปากจัด เป็นความผิดของพี่อาย ฉะนั้นอด”
“เฮ้ย! อะไรวะ” เสียงโวยวายดังลั่นก็ไม่ได้ทำให้ญาติผู้น้องนึกกลัวเช่นกัน หน้าขาวของอักษรจึงลอยหน้าลอยตาใส่อย่างไม่เกรง
“ทำไม ผมไม่ให้แล้วพี่จะทำอะไรมิทราบ”
ฟังการต่อล้อต่อเถียงแล้วขอบฟ้าก็อมยิ้ม นี่ถ้าเขากับทิวหมอกจะสนิทสนมกันจนถึงขั้นหยอกล้อแบบนี้ได้ก็คงจะดีไม่น้อยทีเดียว
+++++++++
ไหนๆ ก็ตัดสินใจและทำใจแล้ว ขอบฟ้าจึงเดินเข้าไปบอกหัวหน้าก่อนกำหนดขีดเส้นตาย อีกฝ่ายก็ดูจะไม่ได้แปลกใจนักกับการตอบรับของเขา นอกจากสั่งให้เขาจัดการงานที่ค้างอยู่ให้หมด รวมถึงส่งต่องานบางชิ้นให้กับเพื่อนร่วมแผนกทำต่อแทน
นี่คือกลไกของบริษัท ฟันเฟืองตัวเล็กๆ แบบเขาก็ได้แต่หมุนตามด้วยความจำเป็น แม้นโยบายของบริษัทจะสวยหรูให้เกียรติพนักงานทุกคนว่าล้วนเป็นคนสำคัญ แต่ในเมื่อทุกคนล้วนสำคัญ ตัวตนของเขาที่สำคัญน้อยหน่อยจึงเป็นส่วนที่สามารถตัดทิ้งได้ทุกเมื่อ
หลังจากค่อยๆ ทยอยส่งต่องานให้เพื่อนร่วมแผนก กำหนดวันย้ายของเขาก็ออกมาล่วงหน้าเพื่อให้เวลาเตรียมตัว อีกเกือบๆ สองอาทิตย์ ซึ่งน่าจะเกินพอสำหรับการบอกกล่าวคนรู้จักที่มีอยู่น้อยนิด
แต่ถึงจะน้อยนิด ต่างล้วนสร้างความหนักใจให้มากพอดู
คนแรกที่ได้มีโอกาสรับรู้คือน้องสาวที่บังเอิญโทรศัพท์มาหา เมื่อเขาบอกกล่าวง่ายๆ เหมือนเป็นเรื่องทั่วๆ ไปว่าต้องย้ายสายงานออกต่างจังหวัด ปลายฝนก็เงียบอึ้งไปพักใหญ่
“พี่ฟ้าเนี่ยนะจะต้องทำงานเดินสายออกต่างจังหวัด” พอรับฟังคำยืนยัน เสียงแหลมก็แทงทะลุหูจนคนฟังต้องเอาโทรศัพท์ออกห่างๆ “คิดยังไงเนี่ย! แค่ทำอยู่ในกรุงเทพฯ ก็แทบจะเอาตัวไม่รอด แล้วนี่ปีกกล้าขาแข็งจะบินเดี่ยว ระวังเถอะ ฝนว่าพี่ฟ้าต้องปีกหักเป็นสองท่อนแน่”
“เธอพูดเกินไปแล้ว ยังไงพี่ก็เป็นผู้ชายนะ กับเรื่องแค่นี้...”
“แล้วขาพี่ฟ้าจะไหวเหรอ” น้องสาวที่รู้เรื่องอาการบาดเจ็บเรื้อรังจากอุบัติเหตุถามดัก “พี่หมอกรู้หรือเปล่า”
“ช่วงนี้พี่ไม่ค่อยว่าง” อ้อมแอ้มตอบและแทบสะอึกเมื่อปลายฝนตีตรงจุด
“อย่าบอกนะว่ากะจะรอให้ไปก่อนแล้วค่อยบอกทีหลัง เตรียมตัวหูชาได้เลย พี่ฟ้า เพราะฝนจะโทรไปบอกพี่หมอกเดี๋ยวนี้ล่ะ”
ปลายสายวางหูไปทันที ไม่ว่าขอบฟ้าจะพยายามโทรกลับไปหากี่รอบๆ ก็กลายเป็นสายไม่ว่าง เขาเริ่มออกอาการสติแตก เดินวนไปเวียนมาในห้องแคบๆ และกำลังคิดจะปิดโทรศัพท์หนีก็เป็นจังหวะเดียวกับที่มันดันดังขึ้นเสียก่อน เขาตกใจจนผงะเมื่อเห็นชื่อทิวหมอกโชว์หรา
ในเมื่อไม่ว่าจะช้าจะเร็วก็ต้องคุย สู้คุยให้จบๆ ไปเสียตั้งแต่ตอนนี้เลยดีกว่า
“ครับ พี่หมอก” กรอกเสียงกล้าๆ กลัวๆ ลงไปด้วยใจตุ้มๆ ต่อมๆ
“ว่าไง” สองคำสั้นๆ แต่ทำเอาคนฟังขนลุก
“ไม่ว่าไงครับ ผมต้องย้ายสายงานเพราะบริษัทกำลังปรับโครงสร้าง งานนี้มีทั้งคนโดนเลย์ออฟ ทั้งย้ายสาขา ย้ายแผนก ผมก็ด้วย” ตอบตามจริงและรอฟังพี่ชายเทศนาจนเครียด แต่รอแล้วรอเล่า เขากลับได้ยินเพียงแค่เสียงถอนหายใจ
“ฉันพอเข้าใจระบบงานนะ จะถือว่าเป็นการเลื่อนขั้นเล็กๆ ก็คงได้ เพียงแต่ไม่ค่อยจะมีใครเขาอยากได้กัน ถ้าสภาพแกปกติดีร้อยเปอร์เซ็นต์ ฉันก็คงเห็นด้วย แต่บอกตามตรง ฉันไม่คิดว่าร่างกายแกจะทนไหว” ก็ทิวหมอกนี่ล่ะที่เคยแบกเขาไปโรงพยาบาลเมื่อครั้งที่ขอบฟ้ากลับจากการเดินสายสัมภาษณ์งาน ในตอนดึกคืนนั้น เขาปวดขาจนแม้แต่ยาแก้ปวดก็เอาไม่อยู่ นอนกัดฟันจนตัวสั่น เหงื่อแตกพลั่กๆ จนต้องคลานไปโทรศัพท์หาพี่ชายกลางดึก
หมอฉีดยาระงับปวดให้เขาและสั่งห้ามเดินไปอีกวันเต็มๆ หลังจากนั้น ขอบฟ้าก็เข็ดหลาบไม่กล้าฝืนร่างกายอีก
“ถ้าผมไม่ย้าย ก็คงโดนให้ออกอยู่ดี” ขอบฟ้ากล่าว “ผมลำบากแทบตายกว่าจะได้งานนี้ ผมไม่อยากโดนไล่ออก”
“ฉันรู้” รับคำเสียงขรึมแล้วทิวหมอกจึงค่อยๆ เอ่ยว่า “จะลองมาทำที่นี่ไหมล่ะ”
ที่นี่ของทิวหมอกคือบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านส่งออกอุปกรณ์อีเล็คโทรนิกส์ เมื่อครั้งที่เริ่มหางาน ทิวหมอกเคยมานั่งจับเข่าคุยกับเขามาแล้วว่าไม่อยากให้น้องชายทำงานที่เดียวกัน โดยเจ้าตัวบอกเหตุผลว่าสักวันหนึ่งถ้าตนเกิดทำความผิดร้ายแรงขึ้นมา คนที่เป็นญาติอย่างเขาจะพลอยติดร่างแหไปด้วย ขอบฟ้าไม่ค่อยเข้าใจเหตุผลดังกล่าวนัก หากพอเอ่ยถามว่าความผิดร้ายแรงนั้นคืออะไร คนเป็นพี่ชายกลับมีสีหน้าเศร้าหมองและไม่ตอบอะไรอีก
คงเป็นเรื่องลำบากใจเกินกว่าจะบอกคนอื่นได้ ไม่ว่าเมื่อก่อนหรือตอนนี้ เขาไม่เคยคิดจะหักหาญเค้นเอาคำตอบในเรื่องที่พี่ชายไม่อยากพูดถึง แต่มานาทีนี้ ทิวหมอกกลับเป็นฝ่ายเอ่ยปากเอง
“พี่เคยไม่อยากให้ผมไปทำที่นั่นนี่นา”
“ใช่ จนถึงตอนนี้ก็ไม่อยาก แต่ถ้าเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับแก ฉันก็จะทนต่อไปจนกว่าแกจะหาทางอื่นได้”
นี่คือทิวหมอกที่คิดถึงน้องๆ มากกว่าความต้องการของตัวเอง ขอบฟ้าไม่คิดจะสร้างความลำบากใจให้พี่ชายจึงปฏิเสธ “ไม่ล่ะครับ ผมว่าลองดูก่อนก็คงไม่เสียหาย ถ้าไม่ไหวจริงๆ ค่อยลาออกก็คงไม่สาย”
“จะเอาแบบนั้นก็ได้” ทิวหมอกถอนหายใจ กล่าวเสริม “ไม่ใช่ว่าไม่อยากช่วย เพียงแต่ถ้าเกิดฉันพลาดขึ้นมา แกจะพลอยลำบากไปด้วย”
คนฟังแปลกใจนิดหน่อย เพราะผู้เป็นพี่ไม่ได้พูดว่าถ้าน้องชายทำงานพลาด ทิวหมอกที่เป็นคนฝากงานให้จะลำบาก ขอบฟ้าคิดว่าพี่ชายอาจจะพูดผิด แต่ก็ตัดสินใจปล่อยผ่านไปเงียบๆ
ในเมื่อไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่านี้ พวกเขาสองคนจึงคุยต่ออีกสักพักก่อนวางสายไป เขาผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอกเมื่อสามารถผ่านปัญหาไปได้เปลาะหนึ่ง ส่วนอีกเปลาะ...ยังอยู่ต่างประเทศ ไม่รู้ว่ากว่าจะกลับมาอาจไม่ทันเจอเขาแล้วก็ได้
+++++++++++
ขอบฟ้าเริ่มสังเกตเห็นอาการแปลกๆ ของอักษรในวันหนึ่ง เพื่อนของเขาคุยโทรศัพท์บ่อยขึ้นและอารมณ์ดีผิดปกติ แม้จะยังบ่นๆ เรื่องกำหนดย้ายงานของเขาอยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้ออกอาการหัวฟัดหัวเหวี่ยงอะไร อย่างวันนี้ก็เช่นกัน ระหว่างที่กินข้าวกลางวัน โทรศัพท์มือถือของอักษรก็ดังขึ้น
“ครับ” รอยยิ้มสดใสบนใบหน้าผู้เป็นเพื่อนทำให้ขอบฟ้ามองอย่างสนใจ “อื้อ กินข้าวอยู่ ครับ ไม่ต้องห่วง เย็นนี้เหรอ ก็ได้มั้ง”
บทสนทนาดำเนินต่ออีกสักพักก่อนอักษรจะวางสายพร้อมรอยยิ้มกริ่ม ท่าทางน่ารักน่าเอ็นดูจนขอบฟ้าอดทักไม่ได้
“อารมณ์ดีจัง คุยกับแฟนเหรอ”
“ฮื้อ ฟงแฟนอะไร ไม่มี!” ปฏิเสธเสียงสูง ก้มหน้าก้มตาตักข้าวเข้าปากอีกสองสามคำแล้วอักษรก็เอ่ยอ้อมแอ้ม “เพื่อนพี่อายน่ะ แต่แค่คุยกันเฉยๆ จริงๆ นะ ไม่ได้มีอะไรพิเศษ แค่คนรู้จัก”
ยิ้มรับท่าทางแก้ตัวร้อนรนแล้วขอบฟ้าก็ไม่เซ้าซี้ต่อ ทว่าก่อนจะแยกย้ายกลับแผนก อักษรก็เอ่ยชวนขึ้น
“ฟ้า เย็นนี้ไปเป็นเพื่อนเราหน่อยได้ไหม” หน้าคนพูดแดงพร้อมหรุบตามองพื้น “พี่เขาชวนเราไปกินข้าวกับเพื่อนๆ เขาบอกให้เราพาเพื่อนไปด้วยก็ได้ เราไม่อยากไปนั่งเก้อคนเดียว ฟ้าไปเป็นเพื่อนเราหน่อยนะ”
“อ้าว แล้วพี่อายของโอ้ล่ะ ไม่ได้ไปด้วยเหรอ”
“พี่อายไม่รู้หรอกว่าเรา...เอ้อ คุยๆ กับเพื่อนเขาอยู่ ขืนรู้เข้าคงด่าเรายกใหญ่ พี่อายน่ะชอบบอกว่าเพื่อนเขาเจ้าชู้ทุกคน ห้ามเราไปวอแวด้วยเด็ดขาด ทีตัวเองหน้าหม้อพอกันล่ะไม่เห็นพูดถึง ชิ” เมื่อฟังขอบฟ้าตอบรับคำชวน อักษรก็กลืนน้ำลายอีกเอื้อก เหมือนยังมีเรื่องพูดต่อ “เราไม่ได้คบพี่บอสจริงๆ นะ แค่โทรคุยกันบ้าง แต่ก็อย่างที่เห็นพี่เขาเป็น...เป็นผู้ชาย ฟ้าลำบากใจหรือเปล่า รังเกียจเราไหม”
กระพริบตาปริบตีความหมายก่อนจะคลี่ยิ้ม “อ๋อ เราเข้าใจแล้วก็ไม่ได้ลำบากใจหรอก โอ้เป็นเพื่อนเรานะ เราจะรังเกียจได้ยังไง”
“จริงนะ! เรารักฟ้าที่สุดเลย!” ร่างเล็กของเพื่อนโผเข้ากอดจนขอบฟ้าเกือบเสียหลักหงายหลัง “โอ๊ะ! โทษที เราดีใจมากไปหน่อย ไว้เย็นนี้เจอกัน ห้ามเบี้ยวนะ”
ตกเย็น อักษรก็วิ่งหน้าแป้นมารับเขา ระหว่างทางก็พูดจ๋อยๆ ตลอด จนกระทั่งถึงจุดหมายซึ่งเป็นร้านอาหารฝรั่งเศส ขอบฟ้าก็เริ่มเกร็ง ไม่เห็นเพื่อนบอกก่อนเลยว่าจะพามาร้านหรูขนาดนี้ ตัวเขาก็ไม่รู้มารยาทการกินอาหารฝรั่งเศสเสียด้วย
“เอ่อ โอ้นัดพี่เขาที่นี่เหรอ” เขาตะครุบแขนเพื่อนไว้ก่อนเดินเข้าร้าน พอเห็นอาการพยักหน้ารับจึงเอ่ยตะกุกตะกัก “เรากินอาหารหรูๆ แบบนี้ไม่เป็นนะแล้วถ้า...”
“โอ๊ย ไม่เป็นไรหรอก พี่เขาเป็นคนง่ายๆ แต่ติดจะรสนิยมหรูไปบ้างเท่านั้น เขาไม่ถือสาหรอก” อักษรรีบหว่านล้อมเมื่อเห็นเพื่อนทำท่าจะถอย “ไม่มีอะไรมากหรอก ง่ายจะตาย ฟ้าคอยดูเราหรือคอยดูคนอื่นบนโต๊ะก็ได้ มาถึงแล้วทั้งที อย่าบอกนะว่ากลัวจนไม่กล้าเข้าไปน่ะ”
สะอึกนิดหน่อยก่อนจะโดนลากเข้าไปในร้านหรู บริกรนำทางพวกเขาไปยังโต๊ะที่มีคนนั่งรออยู่ก่อนแล้ว
“มานานหรือยังครับ พี่บอส” อักษรรีบขอโทษขอโพยชายหนุ่มคนหนึ่งทันที “พอดีรถติดมาก ผมยังกลัวพวกพี่ๆ จะต้องคอยนาน”
“ไม่หรอก โอ้ พวกพี่เองก็เพิ่งมาถึง” พี่บอสของอักษรเอ่ยอย่างไม่ถือสาและเลิกคิ้วนิดหน่อยเมื่อหันมาเห็นใครอีกคนที่ยืนเก้กังอยู่ใกล้ๆ “แล้วนี่...”
“ฟ้าเป็นเพื่อนผมเองครับ มานี่สิ ฟ้า” คนถูกเรียกเดินตัวลีบเข้าไปหาตามคำบอก “พี่บอสที่เล่าให้ฟังไง ส่วนที่เหลือก็เป็นเพื่อนๆ พี่เขา...”
จบมหกรรมแนะนำตัว ขอบฟ้าก็นั่งตัวเกร็ง ดูท่าอักษรจะไม่มีปัญหากับการเข้ากลุ่มอย่างที่เจ้าตัวกังวลแต่กลับกลายเป็นเขาต่างหากที่รู้สึกว่าอยู่ผิดที่ผิดทางจริงๆ
อักษรหันมาคุยกับเขาเป็นพักๆ พี่บอสนั่นก็ถามเขานานๆ ครั้งว่าอาหารรสชาติเป็นยังไง ถูกปากไหม ส่วนเพื่อนร่วมโต๊ะคนอื่นดูจะไม่ใส่ใจกับการลำบากหาหัวข้อชวนคุยกับเขาให้เสียเวลาด้วยซ้ำในเมื่อมีหัวข้อสนทนาอื่นที่น่าสนใจมากกว่าให้ต้องถกเถียงกันอยู่ก่อนแล้ว
“มันจะได้จังหวะพอดีเกินไปหน่อยมั้ง พอบริษัทแม่มีปัญหากับโรงงานปุ๊บ พ่อก็โผล่มาอย่างกับพระเอกขี่ม้าขาว”
“เขาลือกันให้แซ่ดว่าเจ้าตัวจัดการชงมาเองตั้งแต่ที่ตลาดหุ้น ตีกันไปหลายยก กวาดกำไรไปอื้อซ่า”
“คงหวังจะได้ฐานการผลิตโดยไม่ต้องเสียเวลาสร้างใหม่มั้ง ลงแต่เงินไม่ต้องลงแรงให้เหนื่อย หว่านเงินเซ็นสัญญากับโรงงานผู้ผลิตรายใหญ่ๆ จนหมด เพราะโดนบีบเรื่องสายส่ง ไม่งั้นก็ไม่มีทางไป”
“ดีไม่ดีพอหมดสัญญาปุ๊บ พวกผู้บริหารจะโดนบีบให้ออกปั๊บสิไม่ว่า เล่นเอาเงินเขามาหมุนแบบนี้ ร้อยทั้งร้อยเสร็จเจ้าหนี้ทุกราย”
“ให้ยืนทุนไปสร้างแบรนด์ ฟังดูดีจะตาย ใครหลงฮุบเหยื่อเข้าไป ไอ้ที่คิดว่าหมูสนามมันจะกลายเป็นหมูให้นายทุนเคี้ยวเล่นแทนซะล่ะมั้ง”
บทสนทนาเหล่านั้นผ่านเข้าหูซ้ายทะลุออกหูขวาในขณะที่ขอบฟ้ากำลังนั่งกำมีดกับส้อม มองหาวิธีกินแบบถูกวิธีจากคนอื่นบนโต๊ะ เสียแต่ว่าส่วนใหญ่พวกนั้นจะสนใจกับการคุยมากกว่าจะลงมือรับประทานอาหารแบบจริงจัง เขาจึงลองผิดลองถูกไปจนกระทั่งจบมื้อ ซึ่งพอมาถึงจุดนี้ก็ต้องถอนหายใจเฮือกโตเลยทีเดียว
“เราไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ” ขอบฟ้ากระซิบบอกเพื่อนแล้วลุกขึ้นยืน ทว่าด้วยความซุ่มซ่ามของเขาจึงสะดุดขาเก้าอี้ถลาหัวปักไปชนเข้ากับบริกรนายหนึ่งที่เพิ่งเก็บจานชามเดินสวนมาเข้าพอดี
เสียงจานชามตกแตกดังลั่นเรียกสายตาทุกคู่และหยุดทุกการกระทำ ขอบฟ้ากับพนักงานเคราะห์ร้ายลงไปกองอยู่กับพื้น รอบตัวเต็มไปด้วยเศษจานกระเบื้องแตกกระจายและเศษอาหารเลอะเทอะเปรอะเปื้อน
“ฟ้าเป็นไงบ้าง” อักษรปราดลุกมาช่วยพยุงเขาในขณะที่เพื่อนชายของฝ่ายนั้นหันไปต่อว่าบริกรทันที
“เดินภาษาอะไร! คุณทำเสื้อผ้าเพื่อนผมสกปรกหมดแล้ว ไปเรียกผู้จัดการมาซิ!”
บริกรหน้าซีดเมื่อได้ยินเสียงโวยวายจะเอาเรื่อง หากขอบฟ้ารีบเอ่ยแก้ “ผมเป็นคนผิดเองครับ ผมเสียหลักล้มไปชนเขาเอง ต้องขอโทษด้วย”
เขากุลีกุจอเข้าไปหมายจะช่วยเก็บเศษจานชามโดยไม่สนใจเสียงห้ามปราม โชคดีว่าทางร้านไม่คิดค่าเสียหายเพิ่มเติม ขอบฟ้าจึงเอ่ยขอโทษอีกครั้งแล้วรีบขอตัวจากมาเพราะกลัวว่าเพื่อนจะคอยนาน
หากพอกำลังจะเอ่ยเรียกอักษรที่ยืนอยู่หน้าร้าน เขาก็ต้องชะงักเมื่อเห็นพี่บอสกำลังคุยอะไรบางอย่างอยู่ด้วยหน้าตาเคร่งเครียด ขณะคิดจะก้าวหลบไปก่อนก็บังเอิญได้ยินชื่อเขาอยู่ในนั้นจนเท้าชะงักกึก
“...ฟ้าเขาดูไม่ค่อยรู้เรื่อง พี่ก็ว่าดีแล้วที่อายมันไม่รับเข้ามา ถึงโอ้จะขอร้องพี่ แต่พี่ก็ไม่คิดว่าจะช่วยเรื่องนี้ได้หรอกนะ” เสียงเอ่ยนั้นจริงจังขณะคนพูดส่ายหน้า “บุคลิกไม่ดี เมื่อกี๊พี่ว่าพี่เห็นเขาขาเป๋ด้วย ปกติก็คงมองไม่ค่อยออก แต่พอหกล้มแล้วลุกขึ้นมาอีกครั้งนี่เห็นชัดมาก งานของพวกพี่ต้องใช้แต่คนบุคลิกดีน่าเชื่อถือ อัธยาศัยต้องดี นี่อะไร นั่งเงียบๆ หน้าเศร้า แค่เห็นก็ชวนหม่นหมองแล้ว บริษัทพี่เป็นที่รวมของคนสมัยใหม่ มั่นใจในตัวเองสูง ถึงพี่จะสงสาร รับฟ้าเข้ามาก็คงอยู่ไม่รอดในเมื่อแตกต่างจากเพื่อนร่วมงานมากเกินไป”
มันเป็นความจริง แต่เป็นความจริงที่ทำให้เจ็บปวดได้ทุกครั้งที่ได้ยิน ขอบฟ้าเดินเลี่ยงไปอีกด้านและส่งข้อความสั้นๆ ไปหาเพื่อนว่าขอตัวกลับก่อน อักษรพยายามโทรมาหาแต่เขาก็ไม่ได้รับสาย เพราะไม่รู้จะพูดอะไรดี จะแกล้งทำเป็นไม่รับรู้ได้ยังไงในเมื่อในสมองเขายังอัดแน่นด้วยคำพูดที่แอบได้ยินมา
เขาจัดเก็บเสื้อผ้าข้าวของลงกระเป๋าต่อวันละนิดละหน่อย แต่วันนี้กลับคืบหน้าไปได้ค่อนข้างมาก อาจเพราะเป็นครั้งแรกที่เขาอยากให้กำหนดการมาถึงเร็วๆ ก็เป็นได้
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นในช่วงที่จิตใจเขากำลังห่อเหี่ยวได้ที่ ชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอช่วยเรียกรอยยิ้มขึ้นมาได้เป็นครั้งแรกนับแต่เกิดเรื่อง
“ฮัลโหล”
++++++++++++