[เรื่องสั้น] ยิ่งใกล้…ยิ่งหวั่นไหว(?) 3rd “ ทำไมกูต้องช่วยมึงด้วยฟ่ะ ” ผมเอ่ยอย่างเซ็งๆหลังจากฟังคำของร้องอันหน้าปวดหัวของเจ้าเพื่อนสนิทที่พ่วงตำแหน่งพี่สะใภ้มาด้วย ตั้งแต่คบกันมาแต่ละเรื่องที่มันขอนี่น่าปวดหัวปวดใจผมจริงๆเลย ให้ตายสิ
“ งั้นไม่ต้องก็ได้ ” ไอ้เป้พูดหน้างอ ไอ้นี่ขี้งอนจริงๆอ้อนผมสักนิดก็ไม่ได้
“ เออๆกูรับปาก ” ผมพูดมองใบหน้าที่ส่งยิ้มหวานมาให้ที่อย่างงี้ยิ้มกว้างมาเชียว ผมล่ะไม่เคยปฏิเสธมันได้เลยจริงๆผมมองใบหน้านั้นรอยยิ้มที่ทำให้ผมชุ่มชื่นหัวใจจนต้องหันสายตาหลบภาพนั้น ยิ่งมองมันผมก็ยิ่งเจ็บอย่าลืมซะสิไอ้ลม
“ เป็นอะไรรึเปล่า ” เสียงเอ่ยขึ้นอย่างเป็นห่วงทำให้ผมกลบเกลื่อน
“ เป็นสิวะ โครตลำบากใจแต่เพื่อมึงกูอยู่ได้ไปฮันนีมูนเถอะ ก่อนกลับขอหลานน่ารักๆสักคนมาฝากก็โอเคแล้ว ” ผมปั้นสีหน้าสดใสก่อนจะร่ายยาว ไอ้เป้หน้าเขียวแว้กใส่กลับมา
“ ไอ้เวร กูเป็นผู้ชายนะเว้ยจะมีหลานกลับมาฝากมึงได้ยังไง!!! ” นานๆจะได้เห็นฉากไอ้เป้หลุดโหมดปกติมันเป็นพวกเฉื่อยๆโฉดๆ มาแสดงท่าทางโมโหใส่ผมสักที ผมหลบข้าวของที่เขวี้ยงใส่ด้วยความเขินให้วุ่น อย่างน้อยคนที่พามันไปก็พี่ชายผมคนที่ได้ใจมันไปทั้งดวง ขอแค่เขาทั้งคู่คนที่ผมรักมีความสุขเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว
ผมเดินกลับเข้าบ้านนั่งดูทีวีต่อพอไอ้เด็กนั้นเดินตามเข้ามาเห็นก็หน้าหงิก ผมหันไปมองไอ้เด็กบ้าที่ยืนอยู่หน้าประตูห้องนั่งเล่นก่อนที่มันจะถือวิสาสะทิ้งตัวลงนั่งข้างๆบนโซฟาที่ผมนั่งอยู่ก่อนจะคว้ารีโมตทีวีที่ผมถือไว้ไปหน้าตาเฉย
“ ทำไมถึงยังอยู่นี่อีก ” น้ำเสียงไม่พอใจดังขึ้นหลังจากที่ผมกับไอ้เด็กบ้านี้ยืนส่งเป้ขึ้นรถพี่ไฟไป มันไม่รู้หรอกว่าคู่นี้ไปฮันนีมูนกันโดยเป้อ้างว่าไปดูงานที่ต่างจังหวัดเลยติดรถพี่ไฟไปส่วนผมติดงานที่นี่เลยไม่ได้ไปด้วยไม่ได้ อ้างได้สุดยอดมากมายเพื่อนผม
“ เป้ขอไว้ไม่งั้นให้ตายก็ไม่อยู่หรอ ”
รู้ไว้ซะไอ้เด็กบ้า!
“ หึ อย่างกะอยากให้อยู่ตายเลยล่ะ ” เสียงพูดจากคนข้างๆทำให้ผมทำหน้าเอือม ช่วงนี้พ่อแม่ผมไปหาญาติที่ต่างจังหวัด พี่ชายก็ดันหนีไปเที่ยวกับเพื่อนสนิทผมอีก งานนี้ในฐานะที่อยู่บ้านคนเดียวผมเลยโดนไอ้เพื่อนตัวดีฝากฝัง(ทั้งเป็น)ให้มาอยู่กับไอ้เด็กเก่งอย่างแรกจะได้มีเพื่อนร่วมบ้าน เพื่อนแบบนี้ไม่มีซะยังจะดีกว่า และสองอยู่ด้วยกันหลายคนดูปลอดภัยดี ตรงไหนก็ไม่รู้หวิดจะตีกันตายในบ้านซะมากกว่า ผมเลยได้แต่นั่งเหี่ยวเฉาอยู่ข้างไอ้บ้านี้
“ หิวยัง ” เสียงเอ่ยขึ้นมิทราบว่ามึงจะพูดลอยๆทำไมฟ่ะ ตูหยิ่งไม่เรียกชื่อว่ามึงพูดกับใครตูก็ไม่สน ผมมองภาพที่ฉายในจอทีวีไม่สนใจร่างข้างๆที่หันมามอง จู่ๆเท้าไอ้เด็กบ้าก็เตะผมซะงั้น ผมหันกลับไปหามันที่จ้องผมนิ่งๆ
“ เตะทำไมฟ่ะ ”
“ ถามแล้วไม่ตอบ คิดว่าอยากจะพูดด้วยนักหรือไง ” ชิ! ผมก็ไม่อยากจะสนทนาด้วยหรอกคนอย่างมึงเนี้ย
“ หิวแล้ว ” ผมตอบอย่างไม่พอใจ
“ ……………….. ” และก็เงียบทั้งผมและมันไม่มีใครพูดอะไรต่อ ผมเหลือบมองไอ้บ้านั้นที่มองผมอย่างกดดันมึงต้องการอะไรฟ่ะ แต่ที่แน่ๆผมไม่มีทางทำอาหารให้มันกินแน่ๆ
“ งั้นก็ออกไปกินข้างนอก ” ผมบอก
หลังจากนั้นผมก็ขับรถของไอ้เป้ที่มันทิ้งไว้ให้พาไอ้เด็กเก่งนี่ไปกินข้าวแถวย่านนั้นตอนค่ำร้านอาหารส่วนใหญ่เพิ่งเปิดขายลูกค้ายังไม่ค่อยเยอะผมจอดรถเดินนำมันไปร้านอาหารตามสั่งที่กินประจำ ผมนั่งลงไอ้เด็กนี่ก็เดินเก็กนั่งลงฝั่งตรงข้าม คุณป้าเจ้าของร้านร้านเห็นผมก็ยิ้มทักผมยิ้มตอบกลับไปกินกันจนเป็นลูกค้าประจำไปซะแล้ว
“ เอาผัดซีอิ้วหมูครับ แล้วมึงจะกินอะไร ” ผมหันไปบอกป้าก่อนจะหันมาถามเพื่อนร่วมโต๊ะ
“ ข้าวผัดกุ้งที่นึงครับ ” ไอ้เด็กนี่ไม่ตอบผมมันตะโกนสั่งเลย ชิ ดีจะได้ไม่ต้องตะโกนบอก ผมมองร่างที่นั่งอยู่หน้าที่นั่งเท้าคางมองนู่นมองนี่ ผมเห็นสาวๆหลายโต๊ะที่นั่งแถวนั้นหันมามองโต๊ะเราเป็นระยะดูเหมือนสายตาส่วนใหญ่จะมาหยุดที่ไอ้หมอนี่ ซึ่งมันทำให้ผมคิ้วกระตุกยิกๆเออกูรู้ว่ามึงหน้าตาดีมึงมันหล่อแต่ช่วยไปหล่อไกลๆตูหน่อยได้ไหม ผมหน้าหงิกอยู่ร่วมบ้านกับมันไม่พอโดนมันแย่งสาวๆไปอีก
ที่จริงจะว่าผมชอบผู้ชายก็ไม่เชิงเพียงแต่คนที่ทำให้ผมรู้สึกแบบนั้นมีแค่ไอ้เป้คนเดียวผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ผมยังชอบผู้หญิงเคยมีแฟนแต่ก็เหมือนคบเป็นแค่ตัวแทนของเป้ ผมไม่เข้าใจเลยจริงๆทุกครั้งที่จูบเธอกอดเธอผมถึงได้คิดถึงแต่ไอ้เป้กว่าจะรู้ตัวได้ว่าชอบมันพี่ผมก็ชิงตัดหน้าไปแล้ว ตอนนั้นผมโกรธจนแทบอยากจะชกกับพี่ไฟให้ตายไปสักรอบอยากจะแย่งไอ้เป้คืนมาแต่ผมรู้ดีว่ามันคงไม่มีวันแค่มองตามันผมก็รู้แล้วว่ามันเองก็ชอบพี่ชายผม
“ เหม่ออะไรกินซิ ” ผมทำหน้างงๆเพิ่งสังเกตว่าบนโต๊ะมาจานข้าวเพิ่มขึ้นมาสองจานกับน้ำเปล่าสองแก้ว ร่างของคนตรงหน้าผมตักข้าวเข้าปากกินเอาๆ ผมมองจานตัวเองก่อนจะเริ่มลงมือกิน ผมควรเลิกคิดเรื่องนั้นสักที
“ เฮ้อ พวกนั้นไม่อยู่เหลือแค่ฉันกับแกเลย ” เสียงบ่นของไอ้เทมส์ที่นั่งหน้ามุ่ยอยู่ข้างๆ ก้องมันลาพักร้อนไปแล้วยังไอ้เป้ที่ลาไปเที่ยวกับแฟนมันอีกเหลือก็แต่ผมและมันที่ยังคงมาทำงานเหมือนปกติ
“ อย่าบ่นเลยน่า ” ผมพูดฟังมันบ่นมาประมาณสามรอบพอเพื่อนๆหยุดไปผมกับมันก็ต้องทำงานส่วนที่ขาดไปด้วย ช่วงนี้ผมว่ามันดูเครียดๆยังไงไม่รู้เห็นบางทีมันก็ดูเหม่อลอยพอรู้สึกตัวว่าผมมองอยู่มันก็จะทำเป็นเฮฮากลบเกลื่อน ถึงผมจะสนิทกับมันทีหลังพวกไอ้ก้องหรือเป้แต่ก็คบกับมันมาตั้งหลายปีมีหรือจะไม่รู้
“ ชิๆ ” มันทำหน้างอนใส่ผมค้อนซะ ผมก็ขยี้หัวมันเล่น ผมเองก็เป็นลูกคนเล็กของบ้านเหมือนมันแต่พออยู่กับไอ้เทมส์ทีไรทำไมผมรู้สึกว่ามันเหมือนน้องชายผมทุกที คงเพราะท่าทางน่ารักๆแบบนี้ของมันด้วยล่ะมั้ง
“ เย็นนี้ไปกินข้าวกันไหม ” ผมเอยชวนมัน ผมตกลงกันไอ้เด็กบ้านั้นไว้แล้วว่าจะอยู่กันแบบไม่ยุ่งเกี่ยวต่อกัน ผมกับมันใครจะมาใครจะไปก็ไม่เกี่ยวกันซึ่งผมก็โอเคใครอยากจะอยู่กับมึงไม่ทราบ เย็นนี้ผมเลยกะว่าจะกินข้าวก่อนแล้วก็ค่อยกลับไปหมกตัวอยู่ที่ห้องไอ้เป้ซะ
“ เย็นนี้หรอ เออ… ” ผมมองหน้าเทมส์ที่ทำสีหน้าลำบากใจเลยบอกมันไปว่า
“ ไม่ว่างไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันกลับไปกินที่บ้านก็ได้ ” ผมบอกมันไปแบบนั้น แต่ว่าเย็นนี้บ้านผมไม่มีใครอยู่นิหว่า
ตอนเย็นผมก็เลยขับรถไปส่งมันก่อนที่มันจะเผลอทำตัวเองตายไปซะก่อน ไอ้บ้าเทมส์วันนี้มันใจลอยแล้วลอยอีกอย่างน่าประหลาดผมคิดว่าทำต้องกังวลกับอะไรบ้างอย่างแต่ในเมื่อมันไม่ยอมบอกผมก็ได้แต่เป็นกำลังใจให้มัน
หลังจากไปส่งมันเสร็จสุดท้ายผมก็ลงเอยด้วยการต้มมาม่ากินที่บ้านเพราะไม่รู้จะไปไหนดี ชีวิตไอ้ลมช่างหน้าเศร้ามีพี่กับเขาคนเดียวก็ดันหนีไปสวีตกับแฟน เพื่อนสนิทก็สวีตอยู่กับพี่ชายผมอยู่ไง ไอ้ก้องลาพักร้อนไอ้เทมส์ก็ไม่ว่าง พ่อแม่หนีเที่ยว(?)เอ้ย…ไปหาญาติที่ต่างจังหวัดปล่อยลูกชายคนเล็กอย่างผมไว้ที่บ้านเพื่อนอย่างสบายใจ หลังจากดื่มด่ำกับชีวิตแสนเศร้าและมาม่าจบผมก็เลยคิดว่าคงถึงเวลากลับบ้านได้แล้วมั้ง
ผมขับรถกลับมาบ้านไอ้เป้ระหว่างที่ขับมาก็นึกขึ้นได้ว่าเหมือนโทรศัพท์ดังตอนผมอยู่ที่บ้านพอดีตอนนั้นเข้าห้องน้ำอยู่เลยไม่ได้รับใครโทรมาวะ ผมเอาเบอร์ขึ้นมาดูก็พบว่าไอ้เป้นิหว่า ผมรีบกดหามันทันที
“ ฮัลโหลเป้ แกมีอะไรรึเปล่า? ” ผมถามมัน
“ ลมหรอ ขอโทษทีนะพอดีเก่งบอกว่ามีงานที่คณะดึกรบกวนไปรับมันหน่อยได้ไหม ” เสียงไอ้เป้ผ่านสายมาทำให้ผมอารมณืดีแต่ต้องมาสะดุดที่ ไปรับไอ้เด็กบ้านั้น? ไม่ไปได้ไหมเนี้ย
“ ทำไมอ่ะ ”
“ เออ ลม…อือ ออกไปนะไฟ …….. แกฝากด้วยนะ …….. ” เสียงกุกกักจากปลายสายทำให้ผมพอจะเดาอะไรได้ แล้วไอ้เป้ก็วางสายไป ผมดึงโทรศัพท์ออกมาความรู้สึกหมดแรงก่อนจะปรับทั้งอารมณ์และตั้งสตินี่สรุปแล้วผมต้องไปรับไอ้เด็กบ้านั่นใช่ไหม ผมกดโทรหาไอ้เด็กเก่งนั่นตามเบอร์มือถือที่พี่ชายมันบังคับให้ผมเมมเบอร์เอาไว้ก่อนไป รอสักพักก็มีเสียงรับ
“ ฮัลโหล ” เสียงตอบรับ
“ อยู่ตรงไหน ” ผมถามมันขณะหักเลี้ยวเข้ามหาลัยของเจ้าเด็กบ้านั้น ที่จริงผมเคยเรียนทีนี้เหมือนกันแต่คนละคณะกับมันพอจะจำทางได้อยู่
“ หน้าตึก…… นี่ใครวะ ” ไอ้เก่งตอบมา ไอ้บ้านี้ยังไม่รู้เลยว่าผมเป็นใคร
“ ทำงานเสร็จยัง ” ผมไม่ตอบถามมันกลับ
“ เสร็จแล้วเพิ่งจะเสร็จเนี้ยแหละ ว่าแต่มึงเป็นใครวะ ” มันยังไม่รู้อีกผมก็ไม่อยากบอกปล่อยให้มันเจ็บใจเล่นดีกว่าตอนที่รู้ด้วยตัวเอง หึๆ
“ ออกมาหน้าตึกถ้าอยากรู้ว่าใคร กูจอดรถรอมึงอยู่ ” ผมบอกมันก่อนจะกดวาง ไอ้เรื่องแกล้งชาวบ้านนี่คืองานของผม
นั่งรอสักพักผมก็เห็นร่างไอ้เด็กเก่งนั่นเดินออกมาหน้าตึกร่างสูงๆของมันทำให้ผมเห็นได้ชัดเจนทันทีมันหันซ้ายหันขวาก่อนจะเห็นผมที่อยู่ในรถผมแอบขำเบาๆที่เห็นหน้าไอ้เด็กนั่นผงะไปแป๊ปนึง คงไม่คิดว่าจะเป็นผมล่ะซิ ผมโบกมือให้มันไอ้เด็กเก่งเดินลงมาจากตึกเดินตรงมาที่รถผม ผมกดกระจกลงบอกมันก่อนที่จะถึงตัวรถ
“ ขึ้นรถ ” ไอ้บ้านั้นขมวดคิ้วแต่ก็ก้าวขึ้นรถผมโดยดีทันทีที่ขึ้นรถมันก็หันมามองผม
“ ทำไมมารับ? ” เก่งถาม ผมถอยรถขับออกไปเพื่อกลับบ้านไอ้เป้
“ กูเสือกมั้ง ” ผมกวนมันเลยได้รับเสียงแข็งๆตอบกลับมา
“ กวนวะ นี่กูถามมึงดีๆนะ ” แล้วมึงเคยคุยกับกูดีๆไหมล่ะ ผมอยากจะถามมันจริงๆแต่ก็ไม่ได้พูดมันออกไป
“ เป้ให้มารับ ” ผมบอก ถ้าไอ้เป้ไม่ได้ฝากล่ะก็ไม่มีวันซะหรอก แล้วทั้งผมทั้งมันก็ไม่ได้พูดอะไรต่อบรรยากาศในรถเงียบเชียบวิเวกวังเวงจนถึงบ้าน
ขอบคุณทุกความคิดเห็นนะครับผม