07 Death Festival**เนื้อหารุนแรง มีการบรรยายถึงบาดแผล และพฤติกรรมที่ทารุณ อนึ่ง แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ขอความกรุณาใช้วิจารณญาณ**
ดวงตะวันกำลังลาลับขอบฟ้า ค่ำคืนอันหนาวเหน็บกำลังเริ่มต้นขึ้น
ห้าชั่วโมงก่อนงานเทศกาลภูริวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต สับเท้าเปล่าทั้งสองข้างกับพื้นคอนกรีตที่ไม่ได้เรียบเนียนนัก หนังที่เท้าทั้งสองจึงเริ่มถลอกออก ยิ่งวิ่งมากเท่าไหร่ก็ยิ่งถลอกมากเท่านั้น แต่ก็หยุดไม่ได้
“มึงตาย!” เสียงที่ไล่ตามหลังตะโกนมาแบบนั้น ก่อนจะโยนหอกไม้ปลายแหลมเข้าใส่ ดีที่ภูริไวกว่าจึงไม่โดนมันตรง ๆ แต่ปลายแหลมของมันก็เฉียด ๆ ที่เอว จนเสื้อยืดสีขาวตัวนี้ฉีกขาด
ปัง!ต้นเอาปืนมายิงขึ้นฟ้าเพื่อขู่ขวัญ ใช่..เขาทำสำเร็จ ภูริสะดุ้งโหยง แต่เด็กน้อยก็ยังคงวิ่งต่อไป ก่อนจะกระโดดลงคันนา แล้ววิ่งต่อไปโดยอาศัยเงาไม้บดบัง
“ไอ้ผีกระจอก! หนียังไงก็หนีไม่รอดหรอก”
เสียงฝีเท้าดังขึ้นข้างหน้าภูริ ก่อนจะโผล่พรวดออกมาแล้วกระชากหัวพร้อมกับคว้าตัวเขาไว้
ภูริกัดฟันกรอด แต่ไม่ได้ร้องโอดโอยเหมือนครั้งก่อนที่โดนไล่ล่า อย่างน้อยวันนี้ภูริก็ได้รู้แล้วว่ายังมีคนที่รักเขาจริง ๆ และความรักนั้นที่เขาได้ก็ทำให้เขาอยากจะลองเข้มแข็งดู
ภูริศอกใส่ท้องอีกฝ่ายเต็มแรง เมื่อตั้งหลักไว้ก็กระโดดตวัดเท้าฟาดก้านคอของอีกฝ่ายจนมันล้มลง เด็กน้อยหายใจหอบได้ไม่นานก็ต้องวิ่งต่อเมื่อแสงไฟฉายเริ่มเข้ามาใกล้
“เฮ้ย มันอยู่นั่น!!”
พวกของต้นวิ่งไล่ตามกันอย่างเอาเป็นเอาตาย พร้อมด้วยอาวุธนานาชนิดมีทั้งไม้ทั้งลูกปืนนับสิบนัด
ปัง! ปัง! ปัง!ต้นยิงดักตามฝีเท้าของภูริ สองนัดแรกไม่โดนเลย แต่นัดสุดท้ายเหมือนเฉียดข้อเท้า และนั่นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ภูริล้มลง
เด็กน้อยหน้าคะมำจนคางกระแทกคันนา ของเหลวสีสดรินไหล ศีรษะเบาหวิวไปชั่วครู่ แต่เขาก็ไม่ยอมแพ้ ภูริคืบคลานไปได้ไม่กี่ก้าวก็พยุงตัวเองลุก แล้ววิ่งเข้าไปในป่า
“ฉิบหาย! เอาไงดีพี่ต้น ในป่าหาตัวยากแน่ ๆ”
“ยังไงก็ต้องตามมันให้เจอ ไม่งั้นเดี๋ยวมันก็กลับมาอีก คราวนั้นแหละพวกเราจะซวย”
“ลุงต้น.. ลุงต้น!!” โอมวิ่งหอบเข้ามาหา ก่อนจะเสนอไอเดีย “ไม่ต้องวิ่งตามมันแล้ว ให้มันวิ่งกลับมาหาดีกว่า”
“ยังไง”
“มิ้นต์ไง”
“...”
“ถ้าเราขู่ว่าจะฆ่ามิ้นต์ทิ้ง ยังไงมันก็กลับมาแน่”สี่ชั่วโมงครึ่งก่อนงานเทศกาล“ทำไมโอมถึงโกรธแค้นภูริขนาดนั้น แม่โอมตายเพราะภูริจริง ๆ น่ะหรอ” มิ้นต์ถาม ขณะถูกมัดกับเสาทรชนอีกเสาในท่ายืน เธอถูกมัดข้อเท้าข้างหนึ่งไว้ด้วย ส่วนอีกข้างที่แตกเละ ถูกปล่อยให้ห้อยอยู่แบบนั้น
“ก็ใช่น่ะสิ! ไอ้เด็กเหี้ยนั่นนั่นแหละที่ทำแม่โอมตาย พี่รู้มั้ยว่าโอมทรมานแค่ไหนที่ไม่มีแม่”
“ภูริเองก็ไม่มีทั้งพ่อทั้งแม่ แถมไม่มีใครเลยนะ โอมไม่สงสารน้องหรอ..?”
โอมจงใจดึงปลายเชือกที่กำลังมัดให้รัดข้อมือแน่น “น้องหรอพี่..? ใช่สิ สำหรับพี่ภูริมันเป็นเด็กที่น่ารัก สนิทกับพี่มากที่สุด”
“ภูริใจดีกับทุกคน นั่นเป็นนิสัยของภูริอยู่แล้ว”
“ไม่เลยพี่มิ้นต์ พี่ต่างหากที่เอ็นดูมันเกินไป ถึงขนาดพาผีอย่างมันเข้าบ้าน ..มันไม่ปกติแล้ว เหตุการณ์สี่ปีก่อนเป็นยังไงเรายังพูดถึงกันอยู่เลย”
“ใช่ เรายังพูดถึงกันอยู่เลย แล้วโอมก็พูดไว้เหมือนกันว่าสงสารภูริ”
“...”
“แบบไหนเป็นตัวตนของโอมกันแน่? วันนี้โอมน่ากลัวจนพี่ไม่อยากจะมองหน้าหรืออยู่ใกล้ ๆ เลย”
“พี่ไม่ต้องพูดแล้วพี่มิ้นต์ มันไม่มีประโยชน์ ยังไงพี่ก็ต้องเจ็บตัวเพื่อเรียกให้ไอ้ภูริออกมา” โอมกำหมัดแน่น “จำไว้ก็พอว่าภูริมันเป็นต้นเหตุของทุกอย่างในหมู่บ้านนี้ มันต้องถูกกำจัด!”
“ผมดูในป่าจนทั่วแล้ว ไม่เห็นแม้แต่รอยเลยพี่ต้น” คนงานวิ่งมารายงานต้นที่ศาลากลางหมู่บ้าน ต้นจึงตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก
“งั้นก็ถึงเวลาแล้ว” ชายหนุ่มย่างเท้าไปหาเด็กหญิงที่ถูกมัดตรึงกับเสา เธอตอนนี้ดูอ่อนแรงลงมากจนแทบจะสลบเหมือดอยู่ตรงนั้น แต่กลับมิวายที่จะส่งสายตากริ้วโกรธกลับมาให้ต้น
ต้นควักมีดสั้นขึ้นมาในมือก่อนจะเข้าไปลูบหัวเด็กหญิง
“ลุงขอยืมเท้าหนูหน่อยนะ ไหน ๆ มันก็หักไปแล้ว”
“ถุ้ย!” มิ้นต์ถมน้ำลายใส่หน้า ก่อนจะสะบัดตัวแรง ๆ หมายจะสละชีวิตเพื่อให้ต้นโดนหินทับ แต่ก็ไม่เป็นผล
“หินบนเสาต้นนี้ลุงยึดกับเชือกไว้หลายเส้น มันไม่ร่วงมาใส่หนูแน่ ๆ มิ้นต์ หนูไม่ต้องคิดจะฆ่าตัวตายหรอกนะ หนูน่ะยังมีประโยชน์”
ได้ยินแบบนั้นแล้วมิ้นต์ยิ่งคลุ้มคลั่ง เธอดิ้นไม่หยุด ส่วนพวกของต้นที่ยืนดูก็พากันขำ หัวเราะให้กับการกระทำอันไร้ค่า
“เอ้า เอาล่ะ! ออกมาได้แล้วลูกชายของพ่อ!” ต้นแสยะยิ้ม กางแขนทั้งสองข้างออก มองไปยังพื้นที่ป่าเขาที่แห้งเตียนเพราะคืนไฟโหมคืนนั้นอย่างสะใจ
ชาวบ้านทุกบ้านเดินมารวมกันที่ศาลาจนล้นไปบนถนน ทุกคนต่างมีแรงแค้นกันอย่างสามัคคี ความคิดต่างก็วกวนอยู่กับเรื่องราวในอดีตที่ผีป่าบนภูเขาพรากชีวิตบรรพบุรุษไปอย่างโหดเหี้ยม กระทั่งระยะหลังที่คิดว่าอาถรรพ์คงไม่มีแล้ว แต่ก็ไม่เป็นแบบนั้น และชัดเจนขึ้นทันตาเห็นเมื่อมีเด็กสาปให้คนตายได้
ที่พวกเขาเข้าใจคือศพแรก..พรรณี ศพที่สองลุงที่ถูกต้นไม้ทับรถตายคาที่ ศพที่สามคือป้าที่ไปด้วยกัน ตอนแรกบาดเจ็บสาหัส แต่แพทย์ยื้อไว้ไม่ไหว สุดท้ายก็เสียชีวิตที่โรงพยาบาล ศพที่สี่คือแม่ของโอม ตายโดยไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด และศพสุดท้ายคือศพที่ตายในวันนี้
อาถรรพ์ไม่ได้หายไป หากแต่รอคอยวันแก้แค้นต่างหาก
“พ่อรู้น่า ว่าภูริอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้และใกล้พอที่จะได้ยินเสียงพ่อด้วย ถ้าหนูยังไม่ออกมา เท้าของพี่มิ้นต์จะถูกตัดไป ทีละข้าง..ทีละข้าง” เขาเช็ดคมมีดกับผ้าเช็ดหน้า พร้อมกับฮัมเพลงอย่างมีความสุข “ถ้าตัดเท้าไปแล้วภูริยังไม่ออกมา ข้อมือของมิ้นก็จะหายไป
ทีละข้าง..ทีละข้าง”
“...”
“ถ้าตัดหมดแล้วยังซ่อนตัวอยู่อีก แข้งจนถึงหัวเข่าของมิ้นก็จะหายไป
ทีละข้าง..ทีละข้างแขนจนถึงข้อศอกก็
ทีละข้าง..ทีละข้าง แล้วถ้ายังไม่ออกมาอีกก็จะเป็นต้นแขนกับต้นขา”
“...”
“อา..งั้นมิ้นต์ก็จะเหลือแค่หัวกับตัวแล้วสิเนี่ย เอาตรงไหนออกดีล่ะ..?”
“ขยะแขยงความคิดมึงเหลือเกิน!” มิ้นต์กัดฟันกรอด
“อ๋อ...รู้แล้ว
ลิ้นไง มิ้นต์จะได้ปากดีอะไรไม่ได้อีก ถัดจากลิ้นหรอ อืม... ลูกตาแล้วกัน...
ทีละข้าง ทีละข้าง ฮ่า ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ” ต้นหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง แต่ชาวบ้านรอบนอกกลับเห็นด้วยและไม่แม้จะห้ามปราม
แม้แต่ครอบครัวของมิ้นต์เองก็ยืนดูอยู่เฉย ๆ
“งั้นถ้าลูกยังไม่ออกมา พ่อเริ่มแล้วนะ”
สามชั่วโมงครึ่งก่อนงานเทศกาล..คมมีดเงาวับค่อย ๆ เฉือนเนื้อและหนังของเท้าที่ถูกหินบดละเอียด แม้ส่วนนั้นจะชาไปแล้ว แต่มิ้นต์ก็พอรู้สึกถึงความเจ็บปวดอยู่เมื่อผิวหนังขาดออกจากกัน
“!!!!!!!!!!” เธอกรีดร้องเสียงดังลั่นด้วยความเจ็บปวด ขณะที่คนรอบข้างยิ้มแสยะ ภาพตรงหน้าช่างน่าสะอิดสะเอียน กระบวนการคิดทั้งหมดของคนพวกนี้ชวนให้คลื่นไส้จนเวียนหัว
ฉึบ!เท้าของเธอขาดออก ของเหลวสีสดหยดลงพื้นไม่รู้หยุด มิ้นต์ก้มมองสภาพตัวเองสลับกับใบหน้าของทุกคนรอบข้างที่จ้องมองมาที่เธอ ก่อนจะตะโกนลั่นออกไป
“ไม่ว่ายังไงก็ห้ามออกมานะภูริ อย่าสงสารพี่ หนีไปให้ถึงเมือง เริ่มต้นชีวิตใหม่นะภูริ!” มิ้นต์ร้องไห้..เธอร้องไห้อย่างหนัก แต่ก็ไม่ยอมแพ้ “เดี๋ยวคืนนี้ก็จบลงแล้ว พอตะวันขึ้นสู่ฟ้า วันใหม่ที่สดใสก็จะมาหาภูริแล้วนะ..”
ฉึบ!“!!!!!!!!!”เสียงมีดครานี้เป็นคิวของข้อเท้าข้างที่ถูกตรึงกับเสา มันเสียดแทงเข้าไปผ่านเชือกที่มัดอยู่
“มิ้นต์โดนมัดข้อเท้าไว้แบบนี้คงลำบากแย่ เดี๋ยวลุงแก้มัดให้นะ เอ้า! ภูริดูให้ดีนะ พ่อกำลังจะช่วยให้มิ้นต์สบายเท้าแล้ว!” ต้นยิ้มเยาะอย่างสะใจ ก่อนจะงัดมีดขึ้นแล้วขยับไปทางขวาทีซ้ายที คมมีดเสียดสีกับเชือกจนมันค่อย ๆ หลุดออก ขณะเดียวกันเนื้อหนังภายในก็ถูกมันฉีกออกจากกัน จนพื้นที่ตรงนั้นนองไปด้วยเลือด
มิ้นต์ร้องโหยหวน และยิ่งร้องหนักมากขึ้นไปอีกเมื่อสิ้นหวัง
ภูริยืนเกาะอยู่บนกิ่งไม้ฝั่งตรงข้าม
ริมฝีปากเด็กน้อยบิดเบี้ยวเพราะกลั้นเสียงสะอื้น จังหวะที่สบตากันแม้เพียงเสี้ยวเดียวแต่ทั้งสองก็เข้าใจได้ในทุก ๆ อย่าง
‘แม่มาเพื่อปกป้องลูก’
‘ภูริจะไม่ทิ้งคนที่รักภูริให้เขาต้องทรมาน’นั่นคือสิ่งที่ส่งผ่านสายตาลงสู่จิตใจอันแข็งแกร่ง
“นั่นไง ไอ้ภูริมันอยู่นั่น!”
สามชั่วโมงก่อนงานเทศกาลแสงจันทร์ยามค่ำคืนประจักษ์สู่ดวงตาของเด็กน้อยเต็ม ๆ ตา เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นพระจันทร์ดวงกลมโตอยู่กลางท้องฟ้าในองศาที่ตรงกับเขาพอดี
“ทุกคนดูเอาไว้นะ เราทุกคนจะร่วมเป็นสักขีพยานกัน ว่าวันนี้เรากำลังจะกำจัดสิ่งอัปมงคลออกไปจากหมู่บ้าน เรากำลังจะส่งภูตผีวิญญาณตนใดก็ตามที่สิงสู่อยู่ในร่างเด็กที่ตายไปแล้วคนนี้กลับสู่ขุมนรก ซึ่งเป็นที่ที่คู่ควรของพวกมัน”
ชาวบ้านที่ตามมาส่งเสียงประสานกันอย่างกลมเกลียวเมื่อเห็นชัยชนะอยู่ไม่ไกล พวกเขาเชื่อมั่นกันมากกว่าร้อยเปอเซ็นต์ว่าถ้าหากได้ดินอุดช่องจมูกและฝังเด็กคนนี้ไว้ใต้ดิน จะสามารถสิ้นสุดโศกนาฏกรรมอันยาวนานนับร้อยปีลงได้
ชีวิตคนมากมายถูกเซ่นสังเวยเพราะฝ่าฝืนกฎของหมู่บ้านที่ห้ามขึ้นไปบนภูเขาและฆ่าสัตว์บนนั้น ทั้งที่ในความเป็นจริงพื้นที่ตรงนั้นมันเป็นพื้นที่ที่จะใช้ทำมาหากินได้โดยเสรี แต่กลับถูกวิญญาณร้ายในป่าตามเอาชีวิต แม้จะฆ่าเพียงนกตัวเดียว
ไฟโหมเมื่อสี่ปีก่อนอาจจะยังหยุดเรื่องนี้ไม่ได้ เพราะฉะนั้นครั้งนี้...พวกเขาจะต้องทำให้สำเร็จ
“จับมันแก้ผ้า!” ผู้ใหญ่บ้านพูดขึ้นเพียงคำเดียว ผู้คนก็กระโจนเข้าไปรุมทึ้งเด็กที่ถูกมัดปากมัดมือและเท้า กระทั่งเสื้อผ้าขาดวิ่น ไม่มีอะไรปกปิดผิวสีนวลเอาไว้เลย
“ทีนี้ก็โยนมันลงไป!”
พอสิ้นเสียง ร่างภูริก็กระแทกกับพื้นดินก้นหลุมเสียแล้ว ขอบหลุมรอบตัวนั้นสูงจนเขาไม่อาจสู้ปืนขึ้นไปได้ไหว
เมื่อดินก้อนแรกถูกเสียมยกขึ้นมา ภูริจึงทำได้แค่..คลี่ยิ้ม แล้วจำนนต่อโชคชะตา
“ฝังมัน!!!!”หางตาของภูริเห็นเงาคนนับสิบล้อมรอบหลุม พร้อมกับสามัคคีกันตักเอาดินรอบโดยรอบโปรยใส่ในหลุม
ฉึก!..หอกไม้คม ๆ แทงปักกลางท้องภูริ
“มึงจะได้ดิ้นหลบไม่ได้ ฮ่า ๆๆๆๆ!”
พวกเขาหัวเราะราวกับเป็นเรื่องที่น่าเฉลิมฉลอง กับการที่ได้เห็นเด็กที่ถูกตราหน้าว่าเป็นเครื่องมือสังหารกำลังจะถูกทำลาย
ซึ่งความจริงแล้วนั่นไม่ได้ถูกทั้งหมด สิ่งที่พวกเขาคิดไม่ได้ถูกทั้งหมด..
ภูริถูกสาปจากดวงวิญญาณเพราะเป็นเด็กบริสุทธิ์ที่ถูกอุ้มท้องในช่วงนั้นพอดี วิญญาณของคนที่จะมาเกิดถูกยายชรากับตาเฒ่าเลี้ยงดูอย่างทะนุถนอม แม้หลังจากที่เกิดเป็นมนุษย์แล้วท่านก็ยังโอบอุ้มดูแล มีวิญญาณสรรพสัตว์คอยค้ำจุน และป้องกันพยันอันตรายแลรักษาไม่ให้เจ็บหรือป่วยไข้โดยใช้เวลานาน
ชีวิตนี้ก็ยังเป็นของภูริ ภูริเป็นคนควบคุมการกระทำ ควบคุมความคิด การเคลื่อนไหวของตนเอง เว้นแต่ขณะที่ถูกวิญญาณควบคุมร่างเมื่อจะบันดาลสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้ผู้ที่เอ่ยความปรารถนา
ก่อนจะแลกด้วยการริดรอนอายุขัยให้สั้นลงทีละเล็กทีละน้อย โดยแสดงออกมาผ่านอาการ ‘ตายชั่วคราว’ ที่เจ็บปวดเสมือนกับได้สิ้นลมหายใจไปแล้วจริง ๆ แต่ไม่นานนักก็จะรู้สึกตัวขึ้นมาใหม่
นั่นเป็นสิ่งที่ยายชรากับตาเฒ่าสาปเขาเอาไว้ เพื่อใช้เอาคืนกับทุกสิ่งที่ถูกชาวบ้านที่นี่ทำลาย โดยสิ่งที่สาปเอาไว้ก็คือ ‘ก่อนที่ภูริจะเติบโตไปมีชีวิตเป็นของตัวเอง ภูริต้องเซ่นสังเวยพวกเขาด้วยวิญญาณของคนที่อยู่ในหมู่บ้านนี้ทุกคน’และพรรณีเป็นคนเดียวที่รับรู้เรื่องนี้ เธอจึงช็อกตายตอนที่สบตากับลูกน้อยแล้วเห็นวิญญาณนับสิบอยู่รอบข้างกำลังเอื้อมแขนมาละเล่นกับเด็กในอ้อมกอดเธอ
ความจริงเป็นแบบนั้น แต่ชาวบ้านกลับบิดเบือนมันจนกลายเป็นว่าเด็กน้อยที่บริสุทธิ์คนนี้กลายเป็นอมนุษย์
ทั้งที่จริง ๆ พวกที่เรียกตัวเองว่ามนุษย์ต่างหากที่เป็นอมนุษย์ใจคอเหี้ยมโหด
ก้อนดินที่ทับถมกันค่อย ๆ ปิดบังแสงทีละเล็กทีละน้อย ชั่วขณะที่ช่องจมูกถูกอุดด้วยก้อนดินนั้นมันช่างทรมาน
ภูริหายใจไม่ได้ พูดไม่ได้ ขยับไม่ได้เพราะหอกตรึงร่างเอาไว้ ซ้ำมวลของดินที่ถมร่างพอยิ่งเยอะขึ้น น้ำหนักก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับร่างทั้งร่างกำลังจะถูกบด ภูริมองภาพเล็ก ๆ ตรงหน้าด้วยความรู้สึกว่างเปล่า เสียงเฮฮาโห่ร้องดีใจดังแสกเสียงวิ้งในหูให้รู้สึกเจ็บปวด และเสี้ยววินาทีสุดท้าย..ก่อนที่ดินจะปิดแสงจนหมด คำขออันเกิดจากความคึกคะนองก็ดังเข้ามาให้ได้ยิน
“ฮ่า ๆ ไอ้ผีชั้นต่ำ! แค่นี้มึงก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว ไหน! ยังจะเก่งอยู่มั้ย มาสิ มาฆ่าพวกกูให้หมดหมู่บ้านเลยมา!!!”
“เออมาฆ่ากูเลย พวกกูอยากตายกันฉิบหาย!”
...ดวงตาสีนิลเริ่มปรากฎควันสีขาวพาดผ่าน ก่อนที่ดินก้อนสุดท้ายจะถูกถมลงมา เสี้ยวแสงเรไรใด ๆ จึงไม่มีให้ภูริรับรู้อีก
ทว่า..
คนที่ถูกฝังทั้งเป็นกลับยิ้มแสยะ
หนึ่งชั่วโมงครึ่งก่อนงานเทศกาล“มิ้นต์.. มิ้นต์ หนูไหวมั้ย” ต้นเดินเข้ามาโอบร่างของหญิงสาว แก้มัดแล้วพยุงขึ้น “ลุงขอโทษ ลุงแค่ทำเพื่อเรียกให้ภูริออกมา” ส่วนมิ้นต์ตอนนี้เธอแทบจะไม่รู้สึกอะไรแล้ว มีเพียงลมหายใจอ่อน ๆ ที่บ่งบอกว่าเธอยังมีชีวิต
“หนูจะถูกลูกหลานจดจำไปรุ่นต่อรุ่น ว่าวันนี้หนูสละตัวเองให้พวกเราสามารถจับปีศาจอย่างภูริมาลงทัณฑ์” ต้นยิ้มไม่หุบ สิ่งที่เขาพยายามกำจัดมานานถูกทำลายไปแล้ว เป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่ง “ตอนนี้ภูริถูกฝังแล้ว ทุกคนก็แยกย้ายไปฉลองกันแล้ว พรุ่งนี้ก็จะทำบุญใหญ่ล้างสิ่งอัปมงคลออกไป..”
“พี่ต้น” เสียงเบาหวิวดังขึ้นตัดบท น้ำเสียงอันคุ้นหูทำให้เท้าทั้งสองข้างไม่อาจก้าวเดินได้ต่อ “พี่ทำอย่างนั้นกับลูกลงได้ยังไง”
“ม..มิ้นต์ ทำไมเรียกลุงแบบนั้น” เสียงเขาเริ่มสั่น พอก้มดูคนในอ้อมกอดและได้สบสายตากัน “พรรณี..?”
“ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าไหร่.. พี่ก็ไม่เคยเปลี่ยนไปเลย” เธอพูดเสียงหอบ ปล่อยแขนทั้งสองลู่ลงเพราะไม่เหลือเรี่ยวแรงใดแล้ว ปลายเท้าทั้งสองข้างถูกแล่ออกจนมีแต่แผลเหวอะหวะ ทำอย่างกับแล่เนื้อสัตว์ “แม้แต่ฉัน.. แม้แต่ลูก.. พี่ก็ทำร้ายกันได้ลง”
“พ..พี่เปล่านะพรรณี ลูกของเราตายตั้งแต่คลอดแล้ว ที่เห็นมีชีวิตทุกวันนี้มันถูกสิง..”
“เขาคือภูริลูกของเรา เด็กน้อยที่พี่พยายามฆ่าซ้ำแล้วซ้ำเล่าคือลูกของเรา..” ดวงใจที่ปวดร้าวกลั่นกรองความเศร้าโศกออกมาผ่านน้ำตาเม็ดใส มันพรั่งพรูออกมาพร้อมกับเสียงสะอื้นไห้อย่างน่าสังเวช
“แต่ถ้าพี่ไม่ฆ่ามัน มันก็จะฆ่าคนในหมู่บ้านนะ”
“พี่ไม่ได้กลัวภูริจะฆ่าคนอื่นหรอกพี่ต้น”
“...”
“พี่กลัวตัวเองจะถูกฆ่ามากกว่า”เหมือนต้นถูกมีดแหลมปักลงกลางใจ เหงื่อกาฬผุดขึ้นบนใบหน้า สองแขนแกร่งเริ่มสั่นไหว “ตลอดเวลาที่ผ่านมาที่ฉันได้รักกับพี่ ฉันมีความสุขมาก.. ฉันยินดีเหลือเกินที่ได้รู้จักพี่ แต่หากชาติหน้ามีจริง...ฉันขอภาวนาให้เราอย่าได้วนเวียนกลับมาเจอกันอีกเลย”
“...”
“ฉันขอให้พี่มีความสุขกับเส้นทางที่พี่เลือก”
พรรณีทิ้งท้ายไว้แค่นั้น ก่อนที่เปลือกตาสีไข่จะค่อย ๆ ปิดลง คงเหลือแต่เพียงความเงียบงัน กับความคิดที่ตีกันยุ่งเหยิงในหัวของตัวอัปมงคลที่แท้จริงอย่างต้น
“ฮะ..ฮ่า ๆ ฮ่า ๆๆๆๆ พี่ถอยกลับไปไม่ได้แล้วพรรณี ..พี่ถอยไม่ได้แล้ว”
ชายวัยกลางคนพยายามหัวเราะ ขณะที่น้ำตาไหลพรากเสียจนเต็มใบหน้า ภาพในอดีตหวนคืนกลับมาเป็นฉาก ๆ แต่ละภาพประกอบไปด้วยรอยยิ้มและใบหน้าหวานของสตรีผู้เป็นเจ้าของดวงใจตลอดมา
ต้นเขย่าร่างของมิ้นต์เพื่อหวังจะเรียกให้พรรณีกลับมาพูดคุยกับตัวเองอีกครั้ง แต่ก็เปล่าประโยชน์ ร่างที่โชกเลือดตรงหน้าสิ้นสติไปแล้ว
มิ้นต์ไม่รู้สึกตัวแล้ว...อีกฝั่งนึงของหมู่บ้าน พื้นที่รกร้างที่มีฉากหลังเป็นป่า ซึ่งทอดยาวไปจนถึงภูเขาที่แห้งเตียน บริเวณหนึ่งของมันถูกใช้ฝังภูริ ผู้ใหญ่บ้านจัดคนมาเฝ้าบริเวณที่ฝังถึงสองคน หนึ่งในนั้นเป็นเด็กหนุ่มผู้ไม่หวาดหวั่นกับสิ่งใด
“โอม มึงนี่ก็ฉลาดเหมือนกันนะ” อีกคนที่อายุมากกว่าพูดขึ้น “นี่ถ้าไม่ได้มึงพวกคนอื่นก็ไม่มีใครรู้เลยว่าภูริยังไม่ตาย ตรึงมันด้วยหอกแล้วฝังมันทั้งเป็นที่มึงคิดนี่ก็เหมือนกัน ป่านนี้มันคงทรมานอยู่ในนรก”
“โอมเคยลองทำร้ายมันดูแทบทุกวิธีแล้วครับ” เจ้าตัวเกาหัวแก้เก้อ “โอมเลยรู้ว่าไม่ว่าภูริจะบาดเจ็บจากอะไร จะจมน้ำ ถูกไฟเผา ผ่านไปไม่นานมันก็จะกลับมามีชีวิตอีก แถมบนตัวยังไม่มีร่องรอยอะไรเลยซักนิดเดียว”
“เดี๋ยว..มึงไปลองอะไรมาตอนไหนวะ”
“ก็...แกล้งมันสนุกดี” โอมเดินมานั่งตรงหน้าอีกฝ่าย โดยจงใจเหยียบหลุมฝังขณะเดินผ่านให้ตนเองรู้สึกเหนือกว่า
“หมายถึงยังไงวะ..? มึงรู้มานานแล้วหรอว่าภูริยังไม่ตาย แล้วที่ผ่านมามันไปอยู่ไหน ใครช่วยมันวะ”
“ใจเย็นน่าพี่ ตอนนี้ทุกอย่างก็คลี่คลายแล้ว เรื่องพวกนั้นไม่สำคัญแล้วล่ะครับ” โอมยิ้มกว้างก่อนจะเงยหน้ามองดวงดาวยามค่ำคืน ในหัวจินตนาการเพียงอนาคตของตนต่อจากนี้
“ก็จริงของ...”
แซ่กไม่ทันที่จะพูดจบ จู่ ๆ เสียงย่างเท้าเหยียบใบไม้แห้งก็ดังขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่เสียงของพวกเขา ทั้งสองจึงชะงักเงียบทันที ก่อนจะหันไปยังต้นตอของเสียง
สิ่งที่ปรากฏให้เห็นนอกเหนือจากความมืดแล้วนั้นยังมีบางอย่างที่แปลกไป ข้างหลังต้นไม้ใหญ่มีเงาของใครบางคนที่เหมือนจะเป็นเด็ก..
“ใครวะ ยังไม่กลับบ้านไปอีกหรอ” ฝ่ายที่อายุมากกว่าลุกขึ้นยืน ก่อนจะย่างเท้าไปที่ต้นไม้ต้นนั้น
จังหวะที่ระยะห่างไม่ได้ประชั้นชิดเขาไร้ซึ่งความหวาดกลัว ทว่าพอเข้ามาใกล้จนเหลืออีกไม่กี่ก้าวก็จะได้รู้แล้วว่าเจ้าของเงาเมื่อครู่คือใคร ก้อนเนื้อในอกก็ถูกบางอย่างกระตุ้นให้เต้นถี่รัว
“...!” ยิ่งพอมาดูอีกฝั่งของต้นไม้แล้วเขากลับไม่พบใคร หัวใจก็ยิ่งเต้นเร็วขึ้น “ไม่เห็นมีไรเลยว่ะโอม สงสัยพี่ตา..” และที่แปลกไปกว่านั้นพอหันกลับมา เขากลับพบเพียงความว่างเปล่า
..กับหลุมฝังที่ถูกขุด“เฮ้ย” เขาเบิกตาโพลง ไม่รอช้า..สองเท้ารีบวิ่งไปดูหลุมตรงหน้าทันที ก่อนจะต้องผงะจนหงายหลังล้ม เพราะร่างภูริในหลุมฝังหายไป
ศพในหลุมถูกแทนที่ด้วยร่างของโอมที่ถูกหอกแทงจนโชกเลือด ซีกหน้าข้างหนึ่งบวมอืดเหมือนจมน้ำมานาน ส่วนอีกข้างผิวหนังหายไปเผยเพียงผิวกล้ามเนื้อที่ไหม้เกรียม
“!!!!!!!” เสียงกรีดร้องดังลั่นไพรสัณฑ์ หมู่นกแสกต่างตีปีกแหวกอากาศกันออกไปเพราะตกใจ ชายหนุ่มตัวสั่นเพราะความกลัว สองขาอยากจะก้าวเพื่อวิ่งหนีไปแต่มันสั่นจนคุมให้ยืนตรง ๆ ยังยาก
เขายังคงร้องตะโกนต่อไปเพื่อหวังให้ใครสักคนมาช่วยจัดการสถานการณ์ตรงหน้า กระทั่งสัมผัสเย็น ๆ จากผิวมนุษย์เกิดขึ้นที่ไหล่ข้างขวา
ชายหนุ่มหันหลังกลับไปช้า ๆ จังหวะที่เห็นคนตรงหน้าเต็มตา ร่างกายเขาก็ลอยเคว้งกับอากาศ
“ภูริ..” เสียงเบาหวิวลอยจากปากไปตามลม ก่อนที่ร่างของเขาจะถูกโลกดึงลงสู่เบื้องลึกของหลุมฝัง โดยมีหอกแทงกลางอกทะลุหัวใจ
ร่างเล็กยืนมองศพทั้งสองด้วยใบหน้าที่ไร้ซึ่งความรู้สึก ..ตัวตนจริง ๆ ของภูริถูกขังเอาไว้ในความมืดมิด ไม่ว่าจะขยับหรือส่งเสียงยังไงก็ไม่มีผลต่อร่างกายเลย
นัยน์ตาสีดำสนิทที่ปรากฏควันจะเกิดขึ้นตอนที่ถูกแย่งชิงร่างไป ทว่าครั้งนี้รูปลักษณ์ภายนอกไม่ได้เปลี่ยนไปเพียงแค่นั้น ...ตาขาวของภูริเปลี่ยนเป็นสีแดง ฟันทุกซี่ก็เปลี่ยนเป็นฟันเขี้ยวคม ๆ เยี่ยงสัตว์ป่า เล็บยาวขึ้นจนแหลมคมดุจมีด เส้นผมยาวขึ้นจนถึงกลางหลัง ปลิวพลิ้วไปตามลม มีผมเส้นหนึ่งหลุดปลิวไปจนถึงเขตบ้านเรือน
..และตัดคอหญิงสาวคนหนึ่งที่กำลังเต้นรำเฉลิมฉลอง
ภูริยิ้มแสยะให้สองศพในหลุม ก่อนจะเดินลากเท้าเข้าสู่เขตบ้านเรือน
“ดีจังที่เรื่องนี้จบจริง ๆ ซักที”
“เนอะ จะได้มีอิสระ ไม่ต้องกลัวหรือระแวงอะไรกันแล้ว ดีจังที่ภูริตาย”
“ต้องโทษไอ้ต้นหรือเปล่านะที่บุกรุกป่าเขาจนลูกมันเป็นตัวกาลกิณี”
“ไม่หรอก โทษอาถรรพ์บรรลัยนั่นดีกว่าที่ทำพวกเรายากจน ลำบากกันมาหลายชั่วอายุคน”
ชาวบ้านที่เมามายสุราพูดคุยกันอย่างออกรส โดยไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าท้องฟ้าสดใสที่พวกเขาพึ่งได้รับกำลังจะถูกแทนที่ด้วยหมู่เมฆสีเลือด
“ผมไม่ควรมีชีวิตอยู่หรอ” พวกเขาหันไปตามเสียง ก่อนจะพบกับเด็กปีศาจที่ยืนอยู่บนยอดเสาทรชน สีแดงของดวงตาสะท้อนแสงจันทร์ชัดเจน รัศมีสีทะมึนรอบกายคล้ายควันแต่กลับแว่วเสียงกระซิบออกมาจากมันอยู่เรื่อย ๆ
“ผี.. ผี! มันยังไม่ตาย ภูริมันไม่ตาย!!!!” ใครคนหนึ่งแหกปากตะโกนบอกคนรอบข้าง และหวังให้ทุกคนในหมู่บ้านได้ยินด้วย ทว่าพอหันกลับมามองเสาทรชนอีกครั้งภูริก็หายไปแล้ว
..มาอยู่ข้างหลังเขาแทน“แล้วพวกจิตใจอมนุษย์แบบนี้สมควรมีชีวิตอยู่หรือไง” ภูริกระซิบอยู่ข้างหู ก่อนจะอ้าปากแล้วลงคมเขี้ยวเข้าที่คอ กัดกระชากเนื้อจนเส้นเลือดใหญ่ทะลุ เลือดจึงพุ่งกระฉูด กระตุกตามจังหวะหัวใจเรื่อย ๆ จนกระเซ็นไปหมด
“กรี๊ดดดดดดด!!!!”
ขณะที่ชาวบ้านเริ่มแตกตื่น ผู้คนชะโงกหน้าผ่านหน้าต่างออกมาดู พวกผู้ใหญ่บ้านรวมถึงต้นที่ทราบเรื่องกำลังเตรียมตัวรับมือ เด็กที่เขาเรียกว่าปีศาจก็หักคอขี้เมาสี่ห้าคนตรงนั้นจนไร้ลมหายใจกันหมดแล้ว
...ภูริแม้ถูกขังอยู่ในความมืด แต่ก็รู้สึกได้ทุกการกระทำ ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงร้องขอชีวิตเด็กน้อยทำได้แค่เพียงร้องไห้
ปัง!ลูกซองจากผู้ใหญ่บ้านยิงโดนหัวภูริเต็ม ๆ แต่รูกระสุนที่ศีรษะกลับค่อย ๆ ประสานกันจนกลายเป็นผิวหน้าผากเหมือนไม่ได้กระทบอะไร
“ล่าภูริมาตั้งแต่สี่ปีที่แล้ว แต่ก็ไม่เคยฆ่าภูริได้สำเร็จเลยสักครั้ง งั้นคราวนี้เรามาเปลี่ยนกันไหม..” ปีศาจแลบลิ้นเลียริมฝีปาก “ให้ภูริล่าทุกคนแทน เจอใครคนนั้นตาย”
สิ้นเสียงผู้คนก็แตกตื่นวิ่งกันกระจัดกระจาย บ้างก็เตรียมรถเพื่อหนีออกไป หากแต่พวกเขากลับไม่อาจทำเช่นนั้นได้ เพราะรอบอาณาเขตบ้านเรือนที่ล้อมด้วยป่าเขาเต็มไปด้วยเสียงคำรามของสรรพสัตว์ ราวกับกำลังขู่ว่า...ใครออกไปจะถูกฉีกร่างเป็นชิ้น ๆ
..ภูริในความมืดมองเห็นภาพที่ทุกคนวิ่งหนีตัวเองอยู่ชั่วขณะ ความเจ็บปวดที่บีบรัดดวงใจน้อย ๆ เกิดขึ้นอย่างทรมาน
‘ทุกคน...ได้โปรดอย่าไปไหนเลยนะ อย่าหนี...อย่าทิ้งภูริไว้คนเดียวได้มั้ย’ฮ่า ๆ แต่คงไม่ได้แล้วใช่มั้ย
ภูริก็ต่อต้านพวกเขาไม่ได้แล้วเหมือนกัน
ขอโทษ...
ขอโทษ_________________
ใกล้จบพาร์ทอดีตแล้วนะคะ หลังจากนี้จะเล่าสลับระหว่างปัจจุบันกับช่วงที่ภูริเรียนมัธยม แอบสปอยว่าเป็นเรื่องที่ทำให้ภามเปลี่ยนไปจนเป็นแบบ intro เลยล่ะค่ะ
TBC
ps. แฟนตาซีเรื่องยาวดีเทลเยอะมั่ก ติชมได้นะคะ ขอบคุณมากค่า