Part 2
คเชนทร์ถอนหายใจออกมาหลังจากที่ประตูห้องปิดลง
เขาไม่รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังทำนั้นถูกต้องแค่ไหน เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสิ่งที่ตัวเองทำเป็นเรื่องที่ถูกต้องหรือไม่
หากเขาไม่เคยเห็นด้านที่อ่อนโยนของนิโคไล ความน่าจะเป็นที่เขาจะข้ามน้ำข้ามทะเลเพื่อมาหาเจ้าพ่อมาเฟียอายุน้อยกว่าในประเทศที่ไม่คุ้นเคยคงน้อยกว่าติดลบร้อย
คเชนทร์นึกโทษสาเหตุของเรื่องทั้งหมดนี้กับเพื่อนสนิททั้งสอง และน้องชายของนิโคไลที่เขาเคยคิดว่าเป็นเด็กเรียบร้อยเอาการเอางาน
เขาน่าจะรู้ว่าความเจ้าเล่ห์ของนิโคไลนั้นต้องมีปัจจัยทางพันธุกรรมร่วมด้วยไม่มากก็น้อย
“…อาว่าอาการไม่น่ามีอะไรแล้วล่ะ เดี๋ยวอาให้ยาบำรุงแล้วนัดตรวจอีกทีอีกสามเดือนแล้วกัน”
คเชนทร์บอกหลานชายของตนหลังจากตรวจร่างกายเสร็จ เมฆาพยักหน้าพร้อมยกมือไหว้ขอบคุณอาของตนที่อุตส่าห์เป็นธุระมาตรวจอาการให้ถึงคอนโด
“แล้วแฟนเราไปไหนซะล่ะ?” คเชนทร์ถามหาคนรักของหลานชายที่ปกติมักจะนั่งจดทุกคำพูดของเขาราวกับนักศึกษาแพทย์กำลังฟังเลคเชอร์ เมฆายิ้มออกมาเล็กน้อยเมื่อนึกถึงคนรัก
“อยู่ในครัวครับ สงสัยคงทำอาหารกลางวันให้อาอยู่”
“ไม่ต้องลำบากหรอก วันนี้ไอ้เชษฐ์กับไอ้วีมันชวนไปกินข้างนอก เดี๋ยวอาไปบอกเอง เมฆพักผ่อนเถอะ”
นายแพทย์หนุ่มเอ่ยปรามเมื่อเห็นคนป่วยจะลุกไปหาคนรัก เมฆาพยักหน้าอย่างว่าง่ายแล้วเอนตัวลงนอนอย่างอ่อนเพลีย
คาดว่าคงจะเหนื่อยจริงๆ ไม่อย่างนั้นคงวิ่งแจ้นไปหาแฟนตั้งแต่เขาตรวจเสร็จแล้ว
คเชนทร์ส่ายหน้าขำๆ เดินไปยังห้องครัวขนาดกลางที่เขาคาดว่ามธุวันจะอยู่ภายใน แต่ก่อนที่คเชนทร์จะได้ก้าวเข้าไปในส่วนของครัว เสียงของเลขาร่างโปร่งที่ดังขึ้นก็ทำให้ฝีเท้าของเขาหยุดชะงักเสียก่อน
“…ครับ เมฆหมอกสบายดี คริสต์มาสนี้พวกผมจองตั๋วเครื่องบินไว้แล้ว ไว้เจอกันนะครับ”
“คริสต์มาสเลยเหรอ?นานไปรึเปล่า…”
เสียงที่เขาไม่คิดว่าจะได้ยินอีกครั้งดังลอดลำโพงโทรศัพท์ออกมา คเชนทร์แนบตัวติดกับผนัง บอกตัวเองว่าเป็นเพราะตนไม่อยากรบกวนบทสนทนาของสองพี่น้อง ไม่ใช่เพราะเขาเกิดนึกอยากรู้ถึงความเป็นไปของคนที่ไม่ได้เจอมาหลายเดือนขึ้นมา
“หึ…เหงาเหรอครับ?”
“เหงาสิ ลูกก็ไปเรียน หมอกก็อยู่ไทย ทิ้งคนแก่อยู่บ้านคนเดียว…” ปลายสายงอแง คเชนทร์หลุดยิ้มขำออกมาเมื่อนึกถึงสีหน้าของอีกฝ่าย แต่รีบปรับสีหน้ากลับมาเป็นเหมือนเดิมทันทีที่รู้สึกตัว
“ถ้าเหงาก็หาใครซักคนมาอยู่ด้วยสิครับ” มธุวันตอบด้วยน้ำเสียงขบขัน “ทำตัวเป็นป๋า ถ้าเขาไม่รู้ก็ไม่มีประโยชน์หรอกนะครับ”
คเชนทร์ขมวดคิ้ว ความรู้สึกหงุดหงิดใจที่ได้ยินว่านิโคไลมีเวลาเปย์เด็กที่ไหนไม่รู้จากอีกซีกโลก แต่ไม่คิดแม้แต่จะส่งข้อความมาอธิบายการกระทำของตัวเองกับเขาทำให้ร่างสูงโปร่งคิดจะเดินหนีไปจากบทสนทนาที่ตนกำลังแอบฟัง แต่น้ำเสียงตะกุกตะกักเอียงอายราวสาวน้อยแรกรุ่นกระตุ่นความสงสัยของเขาขึ้นมา
“พี่…พี่ไม่รู้ว่าหมอกพูดเรื่องอะไร”
“คิดว่าผมจะไม่เห็นจริงๆเหรอครับว่ามีคนใช้ชื่อผมซื้อเครื่องมือแพทย์บริจาคโรงพยาบาลที่คุณหมอคเชนทร์ทำงานอยู่”
ชื่อของตัวเองที่โผล่มาในบทสนทนาอย่างไม่ทันตั้งตัวยิ่งทำให้คเชนทร์หวังให้บทสนทนาของสองพี่น้องเร็วขึ้นกว่านี้ ปลายสายเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนที่นิโคไลจะตอบกลับมาด้วยเสียงงึมงัม
“ก็นั่นมันโรงพยาบาลของพี่ พี่จะอยากทำดีกับเขาบ้างไม่เห็นจะแปลก…”
“แล้วโรงพยาบาลอีกสามที่กับโรงพยาบาลของมหาวิทยาลัยที่หมอคเชนทร์ทำงานอยู่ แถมยังแฟรนไชน์ร้านกาแฟร้านโปรดของหมอคเชนทร์ที่พี่ซื้อไปลงไว้ในทุกโรงพยาบาลที่เขาทำงานอยู่นี่ก็เกิดจากความใจบุญด้วยใช่มั้ยครับ?”
เขาว่าแล้วว่ามันแปลกๆที่จู่ๆร้านกาแฟร้านโปรดของเขาก็ผุดสาขาขึ้นมาเป็นดอกเห็ด…
ไม่สิ…สรุปเขาคือคนที่เจ้าเด็กนี่เปย์ให้จากครึ่งซีกโลกงั้นเหรอ?!
“คือพี่…”
“…แล้วที่พี่ฝากของขวัญวันเกิดคุณหมอมาทางคุณเชษฐ์ คิดว่าคนแบบนั้นจะไปรับพัสดุด้วยตัวเองรึไงครับ?” ของขวัญ?
ใช่ว่าคเชนทร์จะจำไม่ได้ว่าวันนี้เป็นวันเกิดของตัวเอง แต่หลังจากที่พ่อแม่ของเขาเสียไปเมื่อหลายสิบปีก่อน เขาไม่เคยคิดจะทำอะไรใน’วันพิเศษ’วันนี้ไปมากกว่าออกไปทานอาหารกับเพื่อนพอเป็นพิธี ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเขาไม่เคยให้ความสำคัญกับวันที่คนอื่นตีโพยตีพายให้เป็นวันสำคัญนี้
สิ่งที่เรียกว่าของขวัญจึงไม่เคยมาคู่กับคำว่าวันเกิดในพจนานุกรมของเขา
“ถ้าไม่รีบกลับมาทำคะแนน ระวังคุณหมอจะถูกงาบไปนะครับ”
“พี่…ไม่คู่ควรกับคนอย่างเขาหรอก”
“ผมว่านั่นเป็นสิ่งที่คุณหมอควรตัดสินใจเอง จริงมั้ยครับ?”
“อาคราม มายืนทำอะไรตรงนี้ครับ?” เสียงทุ้มของเมฆาทำเอาคนมีชนักติดหลังสะดุ้ง คเชนทร์ส่ายหน้า ผละจากตำแหน่งที่ตนยืนเมื่อครู่ด้วยกลัวว่ามธุวันที่อยู่ภายในจะได้ยินตน
“ไม่มีอะไร อาไปก่อนนะ” อาจารย์หมอหนุ่มรีบพูด ใช้จังหวะที่เมฆากำลังสับสนเผ่นแน่บออกมาจากคอนโดของหลานชาย ในหัวเต็มไปด้วยข้อมูลใหม่ที่เขาไม่รู้ว่าควรจะประมวลผลอย่างไร
ให้ตายเถอะ ทำไมชีวิตเขาถึงยังไม่หลุดพ้นจากผู้ชายที่ชื่อนิโคไลคนนี้เสียที?!
“เอ้า หมดแก้วเลยครับพี่คราม เดี๋ยวพวกผมไปส่งเอง”
ของเหลวสีอำพันแก้วใหญ่ถูกวางลงตรงหน้าของคเชนทร์โดยวีรภัทร เพื่อนสนิทที่อายุน้อยกว่าเขาสองปี
หากเป็นเวลาปกติเขาคงจะปฏิเสธความหวังดีของอีกฝ่าย คเชนทร์ไม่ชอบดื่มเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เขาจึงมักจะปล่อยให้คนที่ดูจะชื่นชอบเครื่องดึมมึนเมาพวกนี้มากกว่าอย่างธีรเชษฐ์และวีรภัทรจัดการเป็นส่วนใหญ่
แต่วันนี้เขาอยากเมา
“เฮ้ย!พี่คราม!ผมไม่ได้หมายความว่ารวดเดียวหมดนะครับ!!”
วีรภัทรรีบปรามเจ้าของวันเกิดที่ยกแก้วเหล้าขึ้นกระดกรวดเดียวหมดเหมือนเป็นแก้วช็อตธรรมดา คเชนทร์ไม่ใส่ใจ ยกแก้วขึ้นให้บริกรรินเหล้าเพิ่มในแก้วของตน ก่อนจะสังเกตว่าเพื่อนทั้งสองที่มาพร้อมกับคนรักมีเพียงน้ำเปล่าวางอยู่ตรงหน้า
“พวกมึงไม่กิน?”
“พรุ่งนี้มีนมีเรียนเช้า/ผมจะพาทีมกลับไปเยี่ยมพ่อแม่น่ะครับ”
คำตอบของทั้งสองแม้จะเป็นคนละเรื่องแต่สื่อความหมายเดียวกัน ทั้งแววตาที่เพื่อนของเขามองคนรักของตัวเองยิ่งทำให้คเชนทร์ตระหนักได้ว่าเด็กโข่งทั้งสองที่เขาต้องคอยดูแล ตอนนี้มีคนดูแลของตัวเองอยู่ข้างกายแล้ว
เขายินดีที่เห็นเพื่อนมีความสุข แต่ในขณะเดียวกัน ความว่างเปล่าข้างกายของเขาก็เริ่มยากที่จะเมินเฉย
คเชนทร์ยกแก้วเหล้าขึ้นกระดกรวดเดียวหมดอีกหลายครั้ง เดือดร้อนธีรเชษฐ์ต้องรีบคว้าแก้วใบนั้นไว้ก่อนที่เพื่อนจะได้ดื่มหมดขวดคนเดียว
”จริงสิ พี่คราม พวกผมมีของขวัญเล็กๆน้อยๆมาให้ครับ”
หากเขามีสติมากกว่านี้ คเชนทร์คงจะพยายามแสดงสีหน้าประหลาดใจให้ไม่ผิดสังเกตได้ ชายหนุ่มรับของขวัญมาโดยไม่มีคำถาม รู้ดีว่าของในกล่องสี่เหลี่ยมเรียวยาวนี้ไม่ใช่ของที่เพื่อนทั้งสองซื้อมา
เขาใช้เวลาทั้งมื้ออาหารไปกับการมองดูเพื่อนทั้งสองกับคนรัก ทั้งที่ปกติแล้วคเชนทร์ไม่ใช่คนคิดมากเกี่ยวกับเรื่องแบบนี้ เขารู้สึกว่าตัวเองสามารถอยู่คนเดียวได้ ไม่จำเป็นต้องมีใครอยู่ข้างๆให้ชีวิตวุ่นวาย แต่วันนี้เขากลับเริ่มคิดถึงอนาคตที่ว่างเปล่าของตัวเอง และด้วยเหตุผลบางอย่าง ความคิดนั้นทำให้ท้องของเขาบิดมวนขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
“โห…ไม่เคยเห็นพี่ครามเมาขนาดนี้มาก่อนเลย”
“เป็นอะไรของมัน?”
คเชนทร์ปล่อยให้เพื่อนทั้งสองที่หิ้วปีกเขามาส่งถึงในห้องนอนคิดว่าตัวเองหลับอยู่ เขาไม่อยากเผชิญหน้ากับคำถามด้วยความเป็นห่วงของวีรภัทรหรือสายตาจ้องจับผิดของธีรเชษฐ์ เสียงปิดกระตูหน้าบ้านทำให้ดวงตาสีรัตติกาลลืมขึ้นมองเพดานห้องของตัวเอง แต่ความมืรอบกายทำให้เขามองไม่เห็นอะไรนอกจากเงาสลัวของฝ้าเพดาน…และความว่างเปล่ารอบกาย
ชายหนุ่มชันตัวขึ้น เพิกเฉยต่อความรู้สึกบิดมวนในช่องท้องของตัวเองแล้วโน้มตัวไปเปิดไฟหัวเตียง. คเชนทร์เบิกคิ้วเมื่อ
เห็นของขวัญของนิโคไลวางนิ่งอยู่ไม่ไกลจากโคมไฟนัก
อาจเป็นเพราะความเมาหรือความขาดสติใดๆก็ตาม ชายหนุ่มตัดสินใจว่าการเปิดของขวัญวันเกิดจากเจ้าพ่อมาเฟียที่หายหัวไปจากชีวิตของเขาหลังจากเข้ามาทำให้ชีวิตที่มีแบบแผนของคเชนทร์วุ่นวายอยู่หลายเดือนนั้นเป็นความคิดที่ดี
…แน่นอน ชายหนุ่มรู้ว่าตัวเองคิดผิดเมื่อเห็นปากกาแท่งหนึ่งวางอยู่ภายใน
ปากกาธรรมดาๆ ที่ทำจากทองคำขาวทั้งแท่ง ประดับด้วยเพชรเม็ดเล็กเรียงกันที่ตัวด้าม คเชนทร์ไม่ได้เป็นคนที่รู้สึกว่ามีความจำเป็นที่ตนจะต้องซื้อปากกาแพงๆ แต่การเขียนคำสั่งการรักษาตลอดทั้งวันทุกวันทำให้คเชนทร์พอมีความรู้อยู่บ้างว่าปากกาแพงยี่ห้อดังนั้นราคาอยู่ที่ประมาณเท่าไหร่
และสิ่งที่อยู่ภายในกล่องนั้นก็มีค่ามากกว่าเงินเดือนของเขาทั้งเดือนเสียอีก
ความรู้สึกของปากกาในมือเขาไม่ได้หนักอย่างที่คเชนทร์คิด ชายหนุ่มพลิกหมุนตัวปากกาไปมา จนกระทั่งเขาสังเกตเห็นตัวอักษรตวัดม้วนสวยงามที่สลักอยู่ที่ตัวด้าม
‘Luce mia’
ทีแรก คเชนทร์นึกว่านั่นเป็นชื่อของใครก็ตามที่นิโคไลตั้งใจจะส่งปากกาแท่งนั้นให้จริงๆ ความหงุดหงิดก่อตัวในใจร่างสูงโปร่งอย่างห้ามไม่อยู่ แต่อะไรบางอย่างบอกเขาให้หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาค้นหาความหมายของคำคำนั้น
และโปรแกรมแปลภาษาอัตโนมัติก็เด้งขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่งในผลการค้นหาพร้อมกับคำแปลที่ทำให้สมองของคเชนทร์หยุดทำงานชั่วครู่
‘My light’
‘แสงสว่างของผม’
คเชนทร์บอกตัวเองว่าใบหน้าที่ร้อนผ่าวขึ้นมานั้นเป็นเพียงผลจากฤทธิ์แอลกอฮอล์เท่านั้น แต่สมองของเขารู้ดีเกินกว่าจะตกหลุมพราง
ตั้งแต่เรื่องวุ่นวายทั้งหมดจบลง คเชนทร์ทุ่มเทเวลาทั้งหมดไปกับงานและการดูแลธีรเชษฐ์ที่ต้องทำกายภาพบำบัดอยู่ตลอด เขาไม่เคยรู้สึกผิดที่ขับไล่ไสส่งนิโคไลออกไปจากชีวิตของเขา ถึงแม้หลังได้ฟังความจริงทั้งหมดจากปากของธีรเชษฐ์ คเชนทร์จะเริ่มรู้สึกโหวงๆในอกกับการกระทำของตัวเองก็ตาม
แต่เขาไม่รู้สึกเสียใจกับการตัดสินใจนั้น ชีวิตของเขาเรียบง่ายเกินกว่าที่จะมีพื้นที่ให้เจ้าพ่อมาเฟียอิตาลีที่ใช้ชีวิตอยู่กับความวุ่นวายของโลกมืด
ทั้งที่คิดแบบนั้น แต่มือเรียวกลับกดโทรออกหาน้องชายคนเดียวของเจ้าพ่อมาเฟียคนที่ว่า คเชนทร์ได้แต่หวังว่าฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ทั้งหมดที่เขาโหลดเข้าร่างกายไปในวันนี้จะทำให้ความกล้าของเขาคงอยู่จนจบบทสนทนา
หากจะให้พูดตามความจริง คเชนทร์จำบทสนทนาระหว่างเขากับมธุวันไม่ได้ด้วยซ้ำ
เขาไม่รู้ว่าตัวเองไปพูดอะไรกับเลขาของเพื่อนสนิท แต่รู้ตัวอีกที เขาก็มาถึงสนามบินขนาดเล็กที่มีเครื่องบินเจ็ทส่วนตัวของธีรเชษฐ์รออยู่โดยมีเมฆากับมธุวันรับหน้าที่จัดการอำนวยความสะดวกทุกอย่างให้
“ผมถือวิสาสะใส่ของจำเป็นสองสามอย่างไว้ในกระเป๋าเดินทางของคุณหมอนะครับ” มธุวันยิ้ม ซึ่งเป็นภาพแปลกตาที่หาดูได้ยากสำหรับคเชนทร์ “ผมว่าคุณน่าจะจำเป็นต้องใช้มัน”
ตอนนี้ คเชนทร์กำลังก้มมอง’ของจำเป็น’ที่มธุวันใส่ไว้ในกระเป๋าเดินทางของเขาด้วยสายตาปลงตก
เอาวะ…เป็นไงเป็นกัน!
ทันทีที่คเชนทร์ก้าวเข้ามาในห้องอาหาร ปฏิกิริยาแรกของนิโคไลคือการยืนตะลึงอยู่กับที่ราวกับถูกสาปให้กลายเป็นหิน คุณหมออายุมากกว่าอยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์ที่ไม่ควรจะเป็นอะไรน่าตื่นตาตื่นใจ แต่วิธีที่กางเกงตัวนี้โอบรัดท่อนขาเรียวยาวและก้อนเนื้อกลมกลึงที่เขาไม่เคยคิดอยากอวดใครและวิธีที่เสื้อยืดคอกว้างสีเทาตัวบางจนเขารู้สึกเหมือนไม่ได้ใส่อะไรเผยช่วงคอระหงส์และหัวไหล่ขาวที่โผล่พ้นเนื้อผ้าเป็นบางครั้งทำให้คเชนทร์อดรู้สึกกระดากอายไม่ได้ เขาเลือกที่จะเช็ดผมหมาดๆและปล่อยให้เส้นไหมสีรัตติกาลนุ่มลื่นลู่ติดศีรษะ เขาถึงขั้นวางแว่นสายตาของตัวเองทิ้งไว้ในห้องนอนด้วยรู้ว่านั่นทำให้เขาดูเด็กลงกว่าความเป็นจริง และผลลัพท์ของมันเป็นที่น่าพอใจมากทีเดียว
คเชนทร์นั่งลงตรงข้ามกับชายหนุ่มยังยืนตะลึงค้างอยู่ในเก้าอี้ของตัวเอง แสร้งทำเป็นไม่สังเกตดวงตาสีมรกตที่ไล่ตามหยดน้ำจากเส้นผมที่ไหลลงมาตามลำคอขาวราวกับคนรอนแรมในทะเลทรายที่เพิ่งได้เห็นบ่อน้ำเป็นครั้งแรก
คเชนทร์ค่อนข้างมั่นใจว่าตลอดชีวิตที่ผ่านมา ไม่เคยมีใครมองเขาด้วยสายตาแบบนี้
และเขารู้สึกว่าตัวเองไม่ได้รังเกียจสายตาที่นิโคไลมองเขาเท่าไหร่
“คุณหมอ…”
“มีอะไร?”
“ถ้ายังทำตัวแบบนี้…” ใบหน้าคมของชายชาวต่างชาติเคลื่อนเข้ามาใกล้ สายตาของนิโคไลในตอนนี้บ่งบอกว่าชายหนุ่มกำลังทำทุกอย่างเพื่อสะกดกลั้นความต้องการของตัวเองไว้ “ผมไม่รับประกันนะครับว่าจะเกิดอะไรขึ้น”
คเชนทร์รู้สึกได้ว่านี่เป็นโอกาสสุดท้ายที่เขาจะถอย…
“ทำตัวแบบไหน?”ชายหนุ่มอายุมากกว่าขยับเข้าไปใกล้อีกฝ่ายอย่างไม่ยอมแพ้ เรียกได้ว่าหากมีใครสักคนขยับมากกว่านี้ ริมฝีปากของพวกเขาคงสัมผัสกันไปแล้ว “ผมไม่ได้ทำอะไรผิดซักหน่อย”
คเชนทร์สาบานได้ว่าเขาได้ยินเสียงวินาทีที่เส้นความอดทนสุดท้ายในตัวของนิโคไลขาดผึง ก่อนที่ริมฝีปากแห้งผากจะบดขยี้ลงมา ครอบครองริมฝีปากนุ่มของร่างสูงโปร่งอย่างกระหาย
นี่ไม่ใช่จูบแรกของคเชนทร์ แม้ว่าเขาจะไม่ใช่พวกมักมากอย่างเพื่อนสนิททั้งสอง แต่ตัวเขานั้นห่างไกลจากคำว่าบริสุทธิ์ผุดผ่อง ถึงอย่างนั้นความรู้สึกในตอนนี้กลับไม่มีอะไรเหมือนจูบที่ผ่านมา นิโคไลทั้งดุดัน เร่าร้อน และแสดงเจตจำนงแน่ชัดว่าต้องการครอบครองทุกพื้นที่ที่ตนสัมผัส ขณะเดียวกัน มือใหญ่หยาบกร้านที่กระชากเขาขึ้นมานั่งบนโต๊ะอาหารเมื่อครู่กลับลูบไล้ไปตามเรือนร่างขาวอย่างไร้จุดหมาย ราวกับกลัวว่าหากเผลอแตะต้องผิวกายเนียนละเอียดนั้นนานเกินไปจะทิ้งรอยไว้บนตัวของเขา
คเชนทร์เพิ่งรู้ตัวว่าร่างกายขากออกซิเจนเป็นเวลานานเกินไปเมื่อนิโคไลยอมปล่อยริมฝีปากของเขาให้เป็นอิสระ เพียงเพื่อจะเปลี่ยนเป้าหมายเป็นลำคอขาวเนียนระหงส์ ชายหนุ่มอายุมากกว่าที่ยังมึนเมาจากรสจูบเมื่อครู่เอียงคอให้อีกฝ่ายได้ลิ้มลองอย่างไม่อิดออด สมองลืมความเขินอายไปชั่วครู่ ความรู้สึกวาบหวามและเสียงดูดดุนชื้นแฉะหลังใบหูทำให้คเชนทร์เริ่มรู้สึกร้อนวูบไปทั้งกาย แม้จะเร็วกว่าที่เขาคาดคิดไว้มาก แต่ชายหนุ่มอดรู้สึกหงุดหงิดกับริมฝีปากได้รูปที่ไม่ยอมทำอะไรไปมากกว่านั้นไม่ได้
“คราม…”
เสียงทุ้มที่เอ่ยเรียกชื่อเขาราวกับกำลังสวดมนต์อ้อนวอนยิ่งทำให้คเชนทร์ร้อนรุ่ม ชายหนุ่มดึงมือใหญ่ของอีกฝ่ายให้สอดเข้ามาใต้เสื้อตัวบาง หวังให้สัมผัสของฝ่ามือหยาบกร้านช่วยอะไรความรู้สึกที่เขาไม่เคยมีกับใครนี้ได้บ้าง แต่สิ่งเดียวที่นิโคไลช่วย คือทำให้ความต้องการของเขาทวีคูณเพิ่มมากขึ้น
“นิค…”
เสียงสั่นเครือหลุดเรียกชื่อของอีกฝ่ายออกมาเบาๆเมื่อปลายนิ้วของนิโคไลสะกิดผ่านยอดอกไวต่อสัมผัส นิโคไลคำรามในลำคอ เสียงนั้นทำให้คเชนทร์นึกถึงสัตว์ป่าดุร้ายที่ถูกยั่วยุ…
เพล้ง!!
แก้วน้ำที่วางอยู่บนโต๊ะถูกผลักตกลงบนพื้น เสียงเศษแก้วที่แตกกระจายดึงคนทั้งคู่ออกจากโลกส่วนตัวใบเล็ก โดยเฉพาะนิโคไลที่เบิกตากว้างตัวแข็งทื่อราวกับถูกสาปให้กลายเป็นน้ำแข็ง
“ผม…งาน…ผมมีงาน”
ร่างสูงพึมพำข้ออ้างออกมาส่งๆอย่างรีบร้อน จงใจหลบสายตาเขาอย่างเห็นได้ชัดก่อนจะรีบเดินออกไปจากห้องโดยไม่คิดจะอธิบายอะไรคเชนทร์ไปมากกว่านั้น
มือของคเชนทร์กำแน่นข้างลำตัว ชายหนุ่มกัดริมฝีปากที่ยังคงบวมเล็กน้อยจากสัมผัสของนิโคไลเมื่อครู่
....คำว่าอับอายอาจจะน้อยไปด้วยซ้ำสำหรับความรู้สึกของเขาในตอนนี้
------------------
คิดถึงทุกคนนนน