ตอนพิเศษ
‘Old Friend.’
หนึ่งปีการศึกษาผ่านไป แพทย์ประจำบ้านปีหนึ่งได้เลื่อนชั้นขึ้นเป็นแพทย์ประจำบ้านชั้นปีที่สอง หลักสูตรศัลยศาสตร์ในปีที่ 2 นี้มีข้อกำหนดของการฝึกอบรบและประสบการณ์เรียนรู้เป็นระยะเวลา 24 เดือนหรือโดยรวมคือ 2 ปีเต็ม ซึ่งต้องมีการหมุนเวียนปฏิบัติในสาขาต่างๆของภาควิชาศัลยศาสตร์ทั้งหมดตามที่หลักสูตรกำหนดไว้ให้
แพทย์ประจำบ้านปีสองหมาดๆ นั่งจับกลุ่มคุยกันในเวลาว่างเกี่ยวกับหลักสูตรในปีนี้อย่างออกรส ดูเหมือนว่าอนุวัฒน์จะเป็นคนเดียวที่ดูจะโอดโอยกับหลักสูตรปีนี้มากกว่าคนอื่น
“ศัลยศาสตร์อุบัติเหตุสิบสองเดือน อยู่แต่ OPD กับ OR อันนี้ไม่ต่างจากปีที่แล้วเท่าไหร่...” (OPD=Outpatient Department แผนกผู้ป่วยนอก , OR=Operating room ห้องผ่าตัด)
“แต่ฝึกอบรมสาขาอื่นๆของศัลยศาสตร์แต่ละสาขาเป็นเวลาหนึ่งถึงสามเดือน ซึ่งรวมแล้วต้องได้ 20 เดือน หินมาก!! ฉันอยากฝึกวิชาเลือกจะแย่แล้วววว” อนุวัฒน์ทำหน้าเบื่อเมื่อเห็นหลักสูตรทั้งหมด เขาทิ้งตัวกับพนักเก้าอี้จนเกือบหงายหลัง เป็นเหตุทำให้เกิดเสียงหัวเราะในกลุ่มเพื่อนอย่างตลกขบขัน
“พูดถึงวิชาเลือก อยากฝึกอะไรกันเหรอ?” พระพายถามขึ้นด้วยความสนใจ เพราะที่ผ่านมาก็แทบจะไม่เคยคุยกันเรื่องวิชาเลือกที่ต้องเลือกศึกษาเลย ด้วยเพราะตอนนั้นคิดว่ามันยังไม่ถึงเวลา
“เราอยากศึกษาประสาทศัลยศาสตร์” แพรดาวตอบอย่างมั่นอกมั่นใจ แต่เพื่อนสองคนของเธอกับมีสีหน้าตกใจ ไม่คิดว่าผู้หญิงอย่างแพรดาวจะสนใจเรื่องนี้ มันดูยุ่งยากพอสมควรทีเดียว
“ทำไมล่ะ?”
“เพราะฉันอยากเห็นสมองคนจริงๆน่ะสิ” แพรดาวตอบพระพายด้วยเสียงที่ฟังดูน่าขนลุก แต่สายตาที่แน่วแน่ของเธอนั่นทำให้รู้ว่าเธอชอบและตั้งใจอยากจะศึกษาจริงๆ ในอนาคตข้างหน้าอาจจะได้เห็นแพรดาวเป็นศัลยแพทย์เฉพาะทางประสาทก็ได้
“แกล่ะเอิร์ธ สนใจอะไรจ๊ะ?” หญิงสาวถามอีกฝ่ายอย่างกวนๆ เป็นปกติที่จะเห็นสองคนนี้คอยกวนคอยแกล้งกัน ดูเหมือนจะไม่ลงรอยหากมองคนภายนอก แต่ถ้าได้รู้จักทั้งสองคนสนิทและหวังดีต่อกันมาก
“อายุรศาสตร์ระบบทางเดินอาหาร” พระพายนิ่งไปเมื่อฟังอนุวัฒน์พูดจบ
ระบบทางเดินอาหารมันอดจะทำให้เขานึกถึงพฤติพงศ์ไม่ได้ ผ่านไปหนึ่งปีที่เรื่องร้ายๆนั้นมันจบลง เขาไม่รู้ข่าวของผู้ชายคนนั้นอีกเลยและไม่เคยที่จะนึกถึงมันอีก แต่คำพูดของอนุวัฒน์ก็ทำให้เขานึกถึงมันขึ้นมา
“พาย!” เจ้าของชื่อสะดุ้งเมื่อเสียงเพื่อนที่เรียกเตือนสติดังอยู่ใกล้หู พร้อมกับทำหน้าเหวอจนเพื่อนสองคนทำสีหน้าแปลก
ใจที่อยู่ดีๆก็เหม่อไปเสียอย่างนั้น
“เหม่ออะไร!? เราถามว่าแล้วพายล่ะสนใจสาขาไหน?” แพรดาวถามย้ำอีกครั้ง
“อ๋อ เราเหรอ ยังไม่รู้เลยอะ...คงต้องปรึกษาอาจารย์อีกที” เขาตอบอย่างหนักใจ เพราะเอาเข้าจริงๆเขาเองก็ยังไม่ได้คิดเลยด้วยซ้ำ ด้วยความที่ไม่ได้อยากเรียนหมอตั้งแต่แรกจึงไม่มีอะไรที่สนใจเป็นพิเศษนัก แต่พอได้ซึมซับความเป็นแพทย์มาหลายปีก็พอจะมีอยู่ในใจบ้างแต่ก็ไม่แน่ใจว่ามันจะใช่จริงๆไหม
“ดีเน้อออ มีแฟนเป็นอาจารย์หมอ” อนุวัฒน์แซวเพื่อนด้วยความอิจฉาเล็กๆ พระพายไหวไหล่พร้อมกับเบะปากเล็กน้อยอย่างผู้ชนะ ปกติจะอายและค่อนข้างถ่อมตัวแต่เมื่อถูกแซวบ่อยๆเขาก็เริ่มจะชิน
ทั้งสามคนคุยกันสนุกสนานแม้ว่าเรื่องหลักสูตรของปีนี้จะยากขึ้นกว่าเดิมมาก แต่ก็ไม่อยากจะเก็บเอามาเครียดในเมื่อก็ต้องเจอกับมันอย่างหลีกหนีไม่ได้อยู่ดี อีกอย่างหากว่ามันเป็นสิ่งที่ชอบก็คงไม่มีอะไรจะยากเกินความสามารถของคนเรา...
ช่วงเย็นหลังจากที่เลิกงาน ภูตะวันและพระพายก็กลับคอนโดด้วยกันเหมือนทุกวัน แม้จะมีคนสงสัยมากขึ้นเรื่อยๆว่าทั้งคู่เป็นอะไรกัน พวกเขาก็เริ่มจะไม่ใส่ใจว่าจะรู้หรือไม่รู้ จะคิดว่าเป็นอาจารย์ลูกศิษย์เหมือนเคยหรือจะคิดว่าพัฒนาความสัมพันธ์จนเป็นคนรักยังไงก็ตามแต่ สุดท้ายแล้วก็ไม่สามารถทำลายอะไรได้อยู่ดี เพราะการที่เขาจะรักกันไม่ได้ทำให้มาตรฐานในการรักษาลดน้อยลงแต่อย่างใดหรืออีกแง่หนึ่งคือมันไม่ได้เกี่ยวกันเลย...
“เย็นนี้กินข้าวข้างนอกดีไหม?” ภูตะวันเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาในระหว่างที่ขับรถกลับคอนโด
“หืม? อารมณ์ไหนครับ” พระพายหัวเราะเล็กน้อยถามคนรักด้วยความแปลกใจ ไม่บ่อยนักที่เขาทั้งคู่จะใช้เวลาทานข้าวด้วยกันที่ร้านอาหารข้างนอก
“อืมมม อารมณ์อยากฉลองให้นายแพทย์พระพายที่ได้เป็นแพทย์ประจำบ้านชั้นปีที่สองแล้วไง” เขาพูดเหตุผลของตัวเองพลางเหลือบตามองคนข้างๆที่กำลังนั่งหัวเราะกับเหตุผลของเขา
“เลี้ยงใช่ไหมครับ?”
“แน่นอน อยากกินอะไร?”
“...ข้าวต้มแล้วกันครับ” เขาใช้เวลาคิดแค่เพียงชั่วครู่เท่านั้น ก่อนจะตอบคำถามของอีกฝ่ายออกมาด้วยรอยยิ้มเล็กๆโดยที่ภูตะวันไม่เห็น
“ร้านไหน?”
“เดี๋ยวพายบอกแล้วกันครับ กลับไปอาบน้ำกันก่อนดีกว่าค่อยออกมา”
“ลับลมคมในเยอะนักนะเรา” อาจารย์หมอบ่นอุบ ไม่เคยรู้ว่าแค่การจะเลือกร้านกินข้าวต้มจะต้องเป็นความลับที่บอกตอนนี้ไม่ได้ คนถูกบ่นได้แต่นั่งอมยิ้มหัวเราะอยู่คนเดียวไม่ได้สะทกสะท้านอะไร ทว่าหมอซันกลับมองว่ามันเป็นความน่ารักที่เจ้าตัวทำออกมาอย่างธรรมชาติโดยไม่รู้ตัว
แม้จะเป็นช่วงหัวค่ำแต่กลับเป็นช่วงเวลาที่รถยังคงติดหนักอยู่เหมือนเดิม กว่ารถเบ๊นซ์คันหรูจะพาทั้งสองคนมาถึงก็กินเวลาไปเกือบชั่วโมงทั้งที่ก็ไม่ได้ไกลจากคอนโดเสียเท่าไหร่นัก และเพียงแค่เคลื่อนรถมาจอดก็ทำให้ภูตะวันค่อนข้างจะแปลกใจ เพราะร้านที่พระพายเป็นฝ่ายบอกทางคือร้านที่ขับรถผ่านอยู่ทุกวันแต่ไม่เคยได้สนใจ ที่สำคัญเป็นร้านที่เขาเคยพาอีกฝ่ายมาเมื่อนานมาแล้ว...
“ไม่คิดว่าพายจะจำร้านนี้ได้”
“จำได้สิครับ อาหารมื้อแรกที่เรากินด้วยกัน” พระพายตอบด้วยรอยยิ้ม ทำให้อาจารย์หมอยิ้มตามอย่างรู้สึกดี ดูเหมือนจะเป็นเรื่องเล็กน้อยที่น่าจะลืมไปแล้วเสียด้วยซ้ำเพราะเขาเองก็เกือบลืมมันไป แต่อีกฝ่ายยังจำมันได้ดีแม้เวลาจะผ่านไปนานแล้วทั้งๆที่ตอนนั้นเขายังไม่ได้รู้สึกอะไรต่อกันเลย
“ไปเถอะครับ พายหิวแล้ว” มือเล็กตบท้องตัวเองพร้อมกับทำหน้ายู่ให้รู้ว่าหิวจริง เพราะกว่าจะฝ่ารถติดมาได้นานเกือบชั่วโมง ทำเอาหิวจนท้องไส้ปั่นป่วนไปหมด
ได้โต๊ะนั่งก็สั่งกับข้าวที่อยากกินและไม่ลืมที่จะสั่งข้าวต้มของสำคัญ ภูตะวันอดจะนึกถึงบรรยากาศในวันนั้นไม่ได้ จึงหลุดยิ้มออกมาในระหว่างที่ทบทวนถึงวันนั้น
“ยิ้มอะไรครับ?” พระพายถามอย่างระแวง อยู่ดีๆคนรักก็นั่งยิ้มออกมาคนเดียว
“พายในวันนั้นกับพายในวันนี้ เหมือนคนละคน” เขาพูดพลางมองคนตรงหน้าด้วยแววตาหวานเชื่อม จนอีกฝ่ายออกอาการอายเล็กน้อยแต่ก็สงสัยในคราวเดียวกันว่าเขาในวันนั้นกับวันนี้ต่างกันยังไง
“ยังไงครับ?”
“ตอนนั้นพายเป็นลูกศิษย์พี่ แต่ตอนนี้พายเป็นแฟน...” พระพายกระพริบตาปริบๆกับมุขเสี่ยวของอาจารย์หมอ ถึงแม้ในใจลึกๆจะเขินแต่ก็ต้องเก็บอาการเอาไว้ ก่อนจะคิดอะไรออก
“...พี่ก็เหมือนคนละคนเหมือนกันครับ”
“.............” ภูตะวันเลิกคิ้วขึ้นสูงเป็นเชิงถาม
“ตอนนั้นน่ากลัว ตอนนี้ติ๊งต๊อง” พระพายหัวเราะชอบใจ อาจารย์หมอมองอย่างคาดโทษก่อนจะกระแอมอย่างเก้อเขินพร้อมกับขยับตัวนั่งให้ความมีภูมิฐานของตัวเองกลับคืน ถ้าไม่ติดว่าเป็นคนรักเขาอาจจะไม่ประเมินผ่านให้เด็กคนนี้ก็ได้
แต่สิ่งที่พระพายพูดก็อาจจะถูก เพราะตั้งแต่มีพระพายเข้ามาชีวิตของภูตะวันก็ดูมีสีสันมากขึ้น เขาเองก็ไม่แน่ใจว่าเพราะความรักหรือเพราะพระพายที่ทำให้เขาเปลี่ยนไปได้มากขนาดนี้ เขาสนใจคนรอบข้างมากขึ้น ยิ้มมากขึ้น ใจดีมากขึ้นจนคนไข้ก็เริ่มไม่ค่อยกลัวกันแล้ว แม้กระทั่งบุคลากรในโรงพยาบาลก็กล้าที่จะพูดคุยกับเขามากขึ้น ก็คงนับได้ว่าเป็นเรื่องดีๆที่เกิดขึ้นในชีวิตแม้คนรักจะหาว่าติ๊งต๊องก็ตามที...
“พี่จำได้ว่าตอนนั้นพายแอบมองพี่ คิดอะไรอยู่...บอกได้ไหม?” หมอซันพูดในระหว่างที่กำลังทานข้าว พระพายแทบสำลักข้าวออกมาเมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดถึงเรื่องน่าอายของตัวเองในตอนนั้น
“อยากรู้ทำไมครับ” ดวงตากลมมองล่อกแล่ก หันไปหยิบน้ำขึ้นมาจิบเพราะไม่อยากจะตอบ
“ก็อยากรู้ว่าตอนนั้นพายคิดอะไร” พระพายเม้มปากสูดลมหายใจเข้าลึกๆรวบรวมพลังก่อนจะพ่นออกมาเบาๆ มองคนรักด้วยสายตาแน่วแน่
“...พาย”
“...........” ภูตะวันเงียบไม่พูดอะไรเพราะกำลังรอฟัง
“พายมององค์ประกอบของใบหน้าพี่ พี่หล่อ พายไม่คิดว่าพี่จะแก่แล้ว” แสร้งทำหน้าซื่อ เพราะสุดท้ายแล้วประโยคหลังก็ทำให้เขาได้แก้เผ็ดคนรักที่ขุดเรื่องน่าอายของตนขึ้นมา อาจารย์หมอหุบยิ้มมองคนรักตาเขม็งทว่าพระพายกลับไม่รู้สึกเกรงกลัวสักนิด หากเป็นเมื่อก่อนคงไม่กล้า
“ร้ายขึ้นทุกวัน” บ่นอย่างไม่จริงจังนัก แต่ก็รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายร้ายใช่เล่น ซึ่งจริงๆแล้วเขาเองก็ไม่ได้ไม่ชอบออกจะรู้สึกดีด้วยซ้ำที่เห็นพระพายร่าเริงขี้เล่นไม่ต้องมีเรื่องให้เครียด
“จะไม่รักก็ได้นะครับ” พระพายพูดอย่างผู้ชนะ คนฟังยิ้มมุมปากก่อนจะพูดประโยคที่ทำให้พระพายถึงกับหน้าคว่ำหน้างอ ตวัดตามองค้อนคนรักเล็กน้อย
“ไม่ได้หรอก เดี๋ยวมีคนร้องไห้”
“นิสัย...” อาจารย์หมอหัวเราะหลังจากอีกฝ่ายพูดออกมา เป็นปกติที่มักจะแกล้งกันไปแกล้งกันมาแบบนี้ เพราะรู้กันดีว่าไม่ได้จริงจังอะไร เพราะสุดท้ายแล้วก็กลับมาคุยกันเหมือนเดิม
“แล้วหลักสูตรปีนี้เป็นยังไง หนักเลยล่ะสิ”
“ก็หนักอยู่ครับ พายว่าจะปรึกษาพี่ว่าวิชาเลือกพายจะเลือกอะไรดี”
“ไม่มีที่พายชอบเป็นพิเศษเลยเหรอ?”
“...กุมารศัลยศาสตร์ก็น่าสนใจดีนะครับ” ถึงจะไม่ได้ชอบมาก แต่ก็ดูน่าสนใจมากที่สุดในตอนนี้สำหรับเขา แต่ยังพอมีเวลาอีกนานที่เขาจะตัดสินใจ พรุ่งนี้เขาอาจจะเปลี่ยนไปสนใจสาขาอื่นก็ได้
“ก็ดีนะ พายชอบเด็กน่าจะอยู่กับเด็กได้” ภูตะวันนึกถึงเวลาที่คนรักได้อยู่กับผู้ป่วยเด็ก พระพายจะอ่อนโยนกับเด็กๆเสมอ ผู้ป่วยเด็กในแผนกของเขามีไม่มากนักแม้นานๆจะมีหลุดเข้ามาแต่สุดท้ายเด็กเหล่านั้นก็จะติดใจความใจดีของหมอพายและมักจะร้องหาคนรักของเขาอยู่บ่อยๆ
“เอาไว้พายค่อยคิดอีกทีแล้วกันครับ” พระพายเอ่ยตัดบทยังไม่อยากพูดถึงเท่าไหร่นัก จะทำให้เก็บไปคิดมากเสียเปล่าๆ จึงปล่อยผ่านไปก่อนเดี๋ยวใกล้ถึงเวลาค่อยตัดสินใจ
จนเวลาผ่านไประหว่างที่ขับรถกลับคอนโด ความเงียบอาจจะทำให้มีเวลาได้นึกถึงเรื่องบางอย่างที่อยู่ในใจ จู่ๆพระพายก็นึกถึงเรื่องของพฤติพงศ์ขึ้นมาอีกครั้งอาจเป็นเพราะยังคาใจตั้งแต่เมื่อเช้า ฝ่ายนั้นจะเป็นยังไงบ้างไม่อยากจะยอมรับว่าเหมือนตัวเองจะรู้สึกห่วงและอดจะรู้สึกผิดในใจลึกๆไม่ได้ที่ทำให้พฤติพงศ์ต้องเข้าไปชดใช้ความผิดในเรือนจำทั้งที่ฝ่ายนั้นทำกับครอบครัวเขาไว้จนเกินจะอภัยได้
พระพายพรูลมหายใจออกมาเบาๆ ไม่เข้าใจตัวเองว่าจะต้องเอามาคิดให้ปวดหัวทำไม เมื่อก่อนก็ไม่เคยนึกถึงเลยเสียด้วยซ้ำ เขาเกาหัวตัวเองอย่างรู้สึกหงุดหงิดใจจนหมอซันที่ขับรถอยู่หันมามอง
“เป็นอะไร?”
“...อยู่ๆพายก็คิดเรื่องหมอโจขึ้นมา พี่ว่าเขาจะเป็นยังไงบ้างครับ”
“เขาจะเป็นยังไงก็เรื่องของเขาพายจะสนใจทำไม” ภูตะวันตอบอย่างไม่ใส่ใจ คนเลวๆแบบนั้นสมควรแล้วที่จะได้รับผลตอบแทนที่เหมือนตายทั้งเป็น แม้ครอบครัวของเขาจะเคยสนิทกับพฤติพงศ์แค่ไหนก็ไม่อาจลบล้างความผิดอย่างมหันต์ที่ฝ่ายนั้นสร้างขึ้นมา เห็นใจแต่ก็สมควร
“นั่นสิฮะ” พระพายพูดเสียงแผ่ว ทั้งที่ก็คิดแบบคนรักว่าจะสนใจทำไมแต่ภายในใจก็แย้งกันอยู่ดี
คืนนั้นพระพายเอาแต่คิดเรื่องของพฤติพงศ์ ไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงต้องนึกถึง อาจจะเพราะความรู้สึกผิดในใจอย่างนั้นเหรอเขาเฝ้าแต่ถามตัวเองและปฏิเสธไปในคราวเดียวกันว่ามันไม่ใช่อย่างนั้น ความจริงแล้วอาจจะเพราะเขายังมีความเป็นมนุษย์ที่เห็นใจเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
หลังจากที่ภูตะวันหลับพระพายก็แอบค้นข้อมูลในอินเทอร์เน็ตว่าการเข้าเยี่ยมผู้ต้องขังในเรือนจำว่าต้องทำอย่างไรบ้าง แต่ก็จบตรงที่เขาไม่กล้าพอที่จะไปและคิดในใจว่าควรจะไปหรือไม่ หากไปแล้วฝ่ายนั้นไล่ตะเพิดเขากลับมามันคงจะน่าอายจะไปให้เขาด่าทำไม ทั้งที่อีกใจก็เกลียดเสียจนไม่อยากมองหน้าแต่ก็อยากจะไปให้เห็นกับตาจะได้เลิกคิดสักที...
เช้าวันต่อมาพระพายนั่งอยู่ห้องนั่งเล่นด้านนอกด้วยความตื่นเต้น กังวลและกลัวไปหมด วันนี้เขาจะลาป่วยและจะต้องโกหกคนรักเพราะถ้าบอกความจริงอีกฝ่ายต้องไม่ให้เขาไปแน่ เขาหลับตาพรูลมหายใจออกมาช้าๆราวกับจะให้ตัวเองใจเย็นลง ก่อนจะสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเสียงประตูห้องนอนดังขึ้นพร้อมกับคนตัวสูงที่มองเขาอย่างแปลกใจ
“อ้าว นึกว่าอาบน้ำแล้ว ไปอาบน้ำเดี๋ยวสาย” เขาถามอย่างแปลกใจเพราะปกติหากใครตื่นก่อนก็จะอาบน้ำก่อน ไม่ต้องรอกัน แต่นี่ยังเห็นว่าพระพายยังอยู่ในชุดนอนเมื่อคืนอยู่
“...วันนี้พายลาป่วยน่ะครับ พอดีเพื่อนเก่าสมัยเรียนกลับมาจากต่างประเทศ ไม่ได้เจอกันนานเลย”
“เหรอ? ทำไมกะทันหันขนาดนี้”
“ใช่ครับ! เมื่อตอนดึกเพื่อนโทรฯมาบอกพายยังตกใจเลย” พระพายเอานิ้วชี้และนิ้วกลางไขว้กันที่ด้านหลังอย่างรู้สึกผิดและขอโทษคนรักในใจ หากกลับมาแล้วจะบอกความจริง
“แล้วไปหาเพื่อนที่ไหนล่ะ? พี่ไปส่ง” ปกติแล้วพระพายจะไม่ค่อยไปไหนเอง เพราะไม่ใช่คนกรุงเทพฯ ภูตะวันจึงอาสาจะไปส่งด้วยความเป็นห่วงคนรัก แต่พระพายกลับรีบปฏิเสธซะจนเขาเองรู้สึกว่าจะต้องตกใจอะไรขนาดนั้น
“ไม่ต้องครับ พายนั่งแท็กซี่ไปเองได้ ไม่ต้องเป็นห่วง”
“แน่ใจนะ?” พระพายพยักหน้าหงึกหงัก ภูตะวันมองคนรักอย่างกังวล แต่ด้วยความที่ไม่อยากจะทำตัวเป็นผู้ปกครองให้อีกฝ่ายต้องอึดอัด ก็ได้แต่ปล่อยให้พระพายได้ทำอะไรเองและได้แต่เป็นห่วงอยู่ห่างๆ
“ถึงแล้วโทรฯหาพี่ กลับก็โทรฯบอกด้วยพี่จะได้ไม่เป็นห่วง รู้ไหม?”
“รับทราบครับ!” คนตัวเล็กตะเบ๊ะแบบทหาร จนอาจารย์หมอหัวเราะออกมาเล็กน้อยกับความทะเล้นของคนรัก
พระพายออกจากคอนโดในตอนสาย ระหว่างที่นั่งแท็กซี่เขาบีบมือเข้าหากันแน่นจนมือชื้นเหงื่อ หัวใจเต้นระรัวจนกลัวว่าจะออกมากองข้างนอก ความรู้สึกหลากหลายตีกันไปหมด ทั้งตื่นเต้น ทั้งกลัวจนเหมือนอยากจะร้องไห้ออกมาแต่ก็ยังยืนยันว่าจะไป จนเมื่อแท็กซี่จอดและบอกว่าต้องต่อมอเตอร์ไซค์วินเข้าไปเพราะเขาไม่อนุญาตให้เอารถยนต์ภายนอกเข้าไปภายในนั้น
เขาตัดสินใจที่จะเดินเข้าไปโดยไม่นั่งมอเตอร์ไซค์เพราะมันไม่ไกลมาก ไม่ได้จะประหยัดเงินหรืออะไรเพียงแต่การเดินจะทำให้เขาพอมีเวลาที่จะรวบรวมกำลังใจให้กับตัวเอง จู่ๆก็คิดถึงอาจารย์หมอขึ้นมาเพราะเหมือนกับเป็นกำลังใจที่ดีที่สุดของตน จึงไม่รอช้าที่จะต่อสายไปหาคนรักในทันที
(ถึงแล้วเหรอ?) ปลายสายถามอย่างใจดี จนคนฟังเผลอยิ้มออกมา
“ครับ ตื่นเต้นจัง”
(ไม่ได้เจอเพื่อนนานล่ะสิ เดี๋ยวเจอก็หาย อย่ากังวล) แค่ได้ยินเสียงของคนรัก ก็เหมือนกับอีกฝ่ายมาพูดอยู่ข้างๆหู รู้สึกดีขึ้นอย่างน่าประหลาด
“เดี๋ยวเสร็จแล้วพายไปหานะ”
(ลาป่วยไม่ใช่หรือไง เดี๋ยว HR เห็นว่าไม่ป่วยโดนหักเงินเดือนแน่)
“ไม่กลัวครับ แฟนเป็นลูกหลานเจ้าของโรงพยาบาล” เขาระบายยิ้มบางๆ ได้ยินเสียงหัวเราะจากปลายสายก็ทำให้มีกำลังใจขึ้นมาเป็นกอง ไม่ได้คิดอย่างที่พูดจริงๆเพียงแต่พูดให้บรรยากาศมันดีขึ้นก็เท่านั้น หากจะโดนหักเงินเดือนเขาเองก็พร้อมจะรับผิด
(reply ถัดไป)