ตอนพิเศษ 2: เรื่องเล่าจากคุณปู่
(บอกเล่าวีรกรรมของทีในวัยเด็ก)
วันนี้เจ้าทีตื่นแต่เช้า เพื่อมาบอกผมว่า
“คุณปู่ วันนี้ทีของดเรียนนะ”
“ทำไมล่ะ เดี๋ยวอีกสามวันปู่ก็จะให้งดเรียนยาวอยู่แล้ว”
“ก็ถ้าไม่ทำวันนี้จะให้ไม่ทันนี่หน่า”
ผมลดหนังสือพิมพ์ลง เจ้าทีเดินวนไปวนมา ท่าทางกังวลใจ
“ทำอะไรไม่ทันหือ?”
“ของขวัญปีใหม่ครับ”
ผมขมวดคิ้ว ก็วันนี้พึ่งจะวันที่ยี่สิบสอง มีเวลาอีกเป็นอาทิตย์ “ฟังไม่ขึ้นนะที ถ้าไม่มีเหตุผลมากกว่านี้ ปู่คงโทรไปยกเลิกอาจารย์ให้ไม่ได้”
“คุณปู่อ่ะ”
ถลามานั่งเบียดทีเดียว
“นะๆ ถ้าทีไม่ลงมือทำวันนี้ พรุ่งนี้ทีจะไม่มีของไปให้”
“ต้องให้พรุ่งนี้?”
“อื้ม เพื่อนทีจะไปต่างประเทศพรุ่งนี้ แล้วจะอยู่ทางนู้นยาวเลยปีใหม่ กว่าจะกลับก็วันที่สี่มั้ง”
“รอเพื่อนกลับมาก่อนก็ได้นี่”
“แต่ทีอยากให้ก่อนนี่น่า ถ้าเลยวันปีใหม่มาแล้ว ทีก็ไม่รู้จะให้ตอนไหน มันพิลึกอ่ะ”
ผมเหล่มองหลานชาย “จะเอาไปให้เขาเอง?”
“เปล่านะ พรุ่งนี้เช้าเขาจะมาที่บ้าน”
ก็ว่าอยู่…
ผมพ่นลมหายใจ รู้สึกหนักใจแทน ตั้งแต่เกิดเรื่อง เจ้าทีหมกตัวอยู่แต่ในบ้านตลอด ผ่านมาปีกว่าก็ยังไม่ยอมออกจากบ้าน (ถ้าไม่โดนบังคับ หรือหลอกล่อ)
“คิดหรือยังจะทำอะไรให้”
เจ้าทีพยักหน้าหงึกๆ
“อุปกรณ์ล่ะ มีแล้ว?”
ส่ายหน้าขวับๆ “แต่ทีกำลังจะไปอ้อนลุงนิกต่อ”
อ้อ หวังให้ลูกชายผมออกไปซื้อให้นี่เอง
ผมมองตาเจ้าที หลานส่งแววตาอ้อนวอนมาให้น่าดู ใจอ่อนยวบ แต่ผมเป็นพวกไม่ชอบเสียเปรียบฝ่ายเดียว
“เอางี้ ถ้าทียอมออกไปซื้ออุปกรณ์เอง ปู่จะให้หยุดเรียนหนึ่งวัน”
เจ้าทีทำหน้าเหยเกทันที “ผมขอตัวเลือกอื่น”
“ไม่มี ถ้าไม่เอาก็รอครูมาสอนตามเวลาปกติ”
หลานทำหน้าคิดหนัก ก่อนช้อนตามองผมด้วยสีหน้าเหมือนโดนสั่งให้ไปกระโดดหน้าผาทดสอบความกล้า
“ผมขอพาเพื่อนไปด้วยได้ไหม?”
ผมชูสามนิ้ว “ไม่เกินนี้”
สีหน้าเจ้าทีดูดีขึ้น “งั้นผมเลือกคุณปู่ ลุงนิก เดซี่…”
“พาเดซี่ไปไม่ได้” ผมร้องขัด “บางสถานที่เขาห้ามพาสัตว์เลี้ยงเข้าไป”
เจ้าของชื่อกระดิกหู หันหน้ามาแวบเดียว แต่เจ้าทีถลาไปกอดคอซุกหัวกับอกเจ้าหมาสีขาวพันธุ์ซามอยด์เพศเมีย จนมันสะบัดหัวใส่ท่าทางรำคาญ
“ไม่พาเดซี่ไป ทีก็ไม่ออก!”
…หลานผมเห็นสัตว์เลี้ยงประจำบ้านเป็นพี่เลี้ยงไม่พอ นี่ยกระดับเป็นบอดี้การ์ดเพิ่มอีกตำแหน่งแล้วหรือ
“เดี๋ยวปู่โทรเรียกโฮทากะไปแทน เอาไหม?”
ยอมเงยหน้ามองผมแล้ว โฮทากะหรือเรียกสั้นๆ ว่าทากะ คือชื่ออาจารย์สอนศิลปะการต่อสู้ของเจ้าที ความแข็งแกร่งมีมากแค่ไหน เจ้าทีรู้ดีที่สุด จนถึงขั้นประกาศกลางโต๊ะอาหารเมื่อเดือนก่อนว่า
ถ้าทีจับทากะเซนเซหลังกระแทกพื้นได้เมื่อไหร่ ทีจะยอมออกไปข้างนอกด้วยตัวเอง!
ฟังแล้วผมถึงกับเหลือบมองครูของหลาน โฮทากะเป็นชาวญี่ปุ่นรูปร่างเล็กสูงประมาณเกือบร้อยเจ็ดสิบ แต่เมื่อเอามาเทียบกับที ความสูงก็ห่างกันมากอยู่ดี แล้วเมื่อไหร่หลานผมจะจับครูของเขาทุ่มหลังติดพื้นได้เล่า
กลับสู่ห้วงเวลาปัจจุบัน เจ้าทีพยักหน้ายอมจนได้
“งั้นไปเอาโทรศัพท์มาให้ปู่ แล้วขึ้นไปปลุกลุงนิกไป๊”
เจ้าทีกระโดดลงโซฟา วิ่งพร้อมตะโกนลั่นบ้าน
“คุณย่าฮะ ทีขอโทรศัพท์”
ภรรยาที่นั่งถักไหมพรม เอื้อมมือไปหยิบลงมาให้ เจ้าทีก็วิ่งกลับมาส่งของถึงมือผม
“ไปบอกแม่ครัวประจำบ้านด้วย กลางวันนี้ไม่ทานข้าวที่บ้าน”
“ป้าสายคร้าบบบ คุณปู่ฝากบอกว่ากลางวันนี้ไม่…”
เสียงหลานเบาลงเรื่อยๆ ตามระยะทาง ผมเหลือบมองเวลาที่ยังเช้าอยู่มาก ก่อนเลือกโทรหาครูของหลานก่อน แจ้งยกเลิกการเรียนการสอนวันนี้เรียบร้อย ค่อยโทรหาโฮทากะ
“ใครครับ?”
ผมชะงักยามได้ยินเสียงงัวเงียคุ้นหูกว่าภาษาไทยสำเนียงญี่ปุ่น ดึงมือถือออกมาดูเบอร์ ผมโทรหาถูกคน แต่คนรับกลับไม่ใช่
“…พ่อของแกไง”
“ฮะ!”
ดูเหมือนพ่อลูกชายคนโตจะเริ่มได้สติกลับมาเต็มที่
“พ่อโทรมาทำไมแต่เช้าเนี่ย?”
“พ่อไม่ได้โทรหาแก”
ผมได้ยินเสียงกุกกัก ก่อนตามด้วยเสียงร้องฟังดูท่าจะเจ็บ พร้อมเสียงโวยวายเป็นภาษาญี่ปุ่น พ่อลูกชายก็โต้ญี่ปุ่นกลับไป ผมเคาะนิ้วรอ สักพักก็มาคุยกับผมต่อ
“พ่อโทรหาทากะสินะ คุยกับผมแทนแล้วกัน”
“ก่อนอื่นช่วยตอบก่อน ตอนนี้แกอยู่บ้านหรือไม่ใช่?”
“คุณปู่! ลุงนิกหาย?!”
ดูเหมือนผมจะได้คำตอบแล้ว
“ไม่ต้องวิ่ง! ปู่รู้แล้ว! กำลังคุยกับลุงเราอยู่...ว่าไงเจ้านิก ตอนนี้อยู่ไหน?”
“เอ่อ ผมมาค้างที่คอนโดทากะ”
“พ่อให้เวลาหนึ่งชั่วโมง ลากทากะมาบ้านเราด้วย”
“แต่…”
“เรื่องเจ้าที”
“อ้อ โอเคครับ เอ่อ ขอสักสองชั่วโมงได้ไหม?”
“ชั่วโมงครึ่ง”
“ครับๆ ชั่วโมงครึ่งก็ชั่วโมงครึ่ง…อย่าบอกแม่นะพ่อ”
“ใครจะกล้าบอก!”
ผมกดตัดสายทันที เหลือบมองภรรยากำลังถักหมวกใบจิ๋วให้หลานสาววัยสองขวบ ต้องขอบคุณเจ้าอรรถที่รีบมีหลานให้ภรรยาผมอุ้มชูเลี้ยงดู ไม่งั้นเจ้านิกซวยแน่
-------------
ขึ้นรถออกจากบ้านเจ้าทีก็ยังแฮปปี้ดีอยู่ ลงจากรถก็ยังดี แต่เริ่มกวาดมองระแวดระวังไปทั่วลานจอดรถในห้าง พอเข้าส่วนด้านในก็พยายามเบียดตัวเองให้อยู่กลางวง
อาการแสดงออกจนผมกับลูกชายเหลือบมองกันเอง ก่อนเริ่มเข้าแผนดึงความสนใจเจ้าที ให้ลืมๆ ไปว่าหวาดกลัวเรื่องอะไร มันได้ผลพอสมควร แต่หลานก็ยังจับมือครูของเขาแน่น โดยไม่ได้ดูสีหน้าโฮทากะเลย แถมพ่อลูกชายยังพยายามช่วยแยกครูกับลูกศิษย์ออกจากกันหลายครั้งแบบเนียนๆ
“พ่อช่วยผมหน่อย วันนี้ทากะดูแลทีไม่ไหวหรอกนะ”
“ไปทำอะไรเขามาล่ะ”
ผมกระซิบสวนกลับทันที ก็เมื่อวานยังเห็นดีๆ อยู่เลย
“โธ่พ่อ อย่าถามเรื่องที่รู้อยู่แล้วได้ไหม”
ผมพ่นลมหายใจออกจากปาก “แกควรบอกแม่นะ”
“จะให้บอกอะไรล่ะครับ แค่ไปเกริ่นเรื่องมีแฟน แม่ก็พูดเรื่องแต่งงานแล้ว แถมยังเลยไปเรื่องหลานอีก ผมจะไปหามาให้จากไหนเล่า”
“เลยยึดเจ้าทีเป็นลูกแทนใช่ไหม”
“หลานพ่อคนนี้ ผมเลี้ยงมากับมือ แถมอรรถก็ยกให้ผมแล้ว”
“พ่อขอถามตรงๆ สรุปแกเป็นเกย์ใช่ไหม?”
“ก็…มั้ง”
“มั้ง? ทั้งที่สมัยก่อนแกควงสาวเป็นว่าเล่นเนี่ยนะ?”
“ผมก็บอกไม่ถูก แต่หลังเจอทากะ ผมไม่สนใจใครอีกแล้วนี่น่า”
“…งั้นเรื่องเจ้าทีเคยประกาศจะเป็นเจ้าสาวให้แกล่ะ?”
“พ่ออย่าเอาคำพูดเด็กสามขวบมาคิดจริงจังสิ อีกอย่างเจ้าพีทเป็นคนมาบอก นิสัยเจ้าหนูนั่นเป็นยังไง พ่อก็รู้ โดนอำแน่ๆ”
“ไอ้ที่พ่ออยากรู้คือ เจ้าทีมีแนวโน้มจะเป็นเหมือนแกหรือเปล่าต่างหาก”
“อ้อ…เอ่อ เรื่องนี้ผมไม่รู้แฮะ”
“แล้วยังได้แกเป็นคนเลี้ยงหลัก พอทากะมาก็ยังไปช่วยแกเลี้ยงหลานอีกคน ถึงเจ้าทีซื่อบื้อ แต่น่าจะรับรู้หรือซึมซับไปไม่น้อยเลยล่ะ ถ้าอนาคตเจ้าทีมีแฟนเป็นผู้ชาย พ่อจะโทษเป็นความผิดพวกแก”
“อ้าว”
“ไปดูเมียแกไป๊ เดินพิลึกไม่พอ หน้ายังซีดแล้วซีดอีก ทำอะไรก็หัดเพลาๆ บ้าง”
“ครับๆ ต่อไปจะระวังครับ”
ผมมองเจ้านิกผละไปดูลูกสะใภ้ (แบบไม่เป็นทางการ) แล้วถอนหายใจอีกเฮือก
สงสัยคงต้องค่อยๆ เกริ่นบอกภรรยาทีละนิดแล้วล่ะมั้ง ไม่งั้นตอนรู้ความจริง อาจหัวใจวายเอาได้
เจ้าทีหยิบขวดโหลไปเยอะมาก จนผมต้องถาม
“ซื้อทำไมตั้งเยอะแยะ”
“ก็มีของพ่อแม่หนึ่ง ของปู่ย่าอีกหนึ่ง ของลุงนิกกับเซนเซ…”
“ของลุงกับทากะให้รวมกันได้”
“งั้นก็สามแล้ว ของเพื่อนอีก…” เจ้านับนิ้วแล้วชูเลยเจ็ด
“เจ็ดหรือ? ที่ปู่เห็นมาหาเราบ่อยๆ มีกันแค่หกเองนี่”
“ก็คนที่ฝากขนมมาให้ผมบ่อยๆ ด้วยไงครับ”
อ้อ…ลูกชายเพื่อนหนูอร ผมเห็นคนเป็นแม่แวะมาเยี่ยมเจ้าทีพร้อมหนูอรบ่อยๆ แต่ไม่เห็นคนเป็นลูกเลย มีแต่ส่งขนมทำเองฝากมาประจำ
“รวมกันเป็นสิบพอดี อ๊ะ ของทีด้วยเป็นสิบเอ็ด”
“แล้วซื้อไปใส่อะไร?”
“ใส่ม้วนกระดาษ แต่ทีกะทำให้ขวดเรืองแสงได้”
“ทาสีทั่วทั้งขวด?”
เจ้าทีส่ายหน้า “แต้มจุดให้ทั่วขวดเฉยๆ เอาน่า เดี๋ยวเสร็จแล้วคุณปู่ก็รู้เอง”
ระหว่างที่ผมกำลังคิดภาพตาม เจ้านิกก็สะกิดบ่า แอบคลี่กระดาษแผ่นหนึ่งออกมาให้ผมดู ในนั้นบอกรายละเอียดครบถ้วนดี สรุปหลานผมจะใช้สีเรืองแสงมาแต้มจุดทั่วด้านในขวดโหล เอาไปตากแดดให้แห้งสนิท (ถือเป็นการให้สารเรืองแสงดูดแสงไปเก็บไว้ด้วย) แล้วใส่ม้วนกระดาษผูกริบบิ้นไว้ด้านในหนึ่งม้วน น่าจะใช้สีเรืองแสงเขียนข้อความลงไป
พอได้รู้รายละเอียด ผมก็ช่วยเลือกและแนะนำให้เจ้าทีง่ายขึ้น สีเรืองแสงมีหลายแบบ แต่ผมเลือกสีเพ้นท์เรืองแสงแบบที่เป็นขวดๆ จะใช้ก็เปิดฝาจุ่มพู่กันลงไปก็พอ เลือกพู่กันหัวเล็กหน่อย เอาไปหลายๆ ด้าม แล้วแวะไปดูกระดาษวาดรูปเลือกแบบที่ลงพวกสีน้ำได้ ไปดูริบบิ้นเป็นอย่างสุดท้าย
พอได้ของครบก็แวะไปหาข้าวเที่ยงกินกันก่อน ค่อยพาตัวเจ้าทีกลับบ้าน ไม่กล้าให้อยู่ข้างนอกนาน กลัวอาการกำเริบจนต้องโทรเรียกจิตแพทย์มาดูอาการ
กลับมาถึงบ้าน ภรรยา แม่ศรี แม่สาย เตรียมพร้อมรอรับเต็มที่ เห็นเจ้าทีเดินถือถุงเข้าบ้านท่าทางร่าเริงดี ก็ถอนหายใจโล่งอกเป็นแถว
“สำเร็จใช่ไหมคะ?”
ภรรยากระซิบถาม มีแม่ศรีกับแม่สายอยู่ฟังด้วย
“ถือว่าดี อาจเพราะมัวสนใจของที่ต้องซื้อก็ได้ เจ้าทีเลยไม่ได้สนใจเรื่องผู้ชายตัวใหญ่”
“แบบนี้อนาคตน่าจะกล้าออกจากบ้านบ่อยขึ้น”
“ก็ต้องรอดูใจเจ้าทีว่าพร้อมจะออกไปหรือเปล่า”
ว่าแล้วก็หันมองคนยึดโต๊ะกระจกหน้าโซฟา โดยมีเจ้านิกช่วยปูผ้าคลุมโต๊ะ เพิ่มกระดาษหนังสือพิมพ์ปูอีกชั้นทั้งที่โต๊ะและที่พื้น ขนาดเสื้อผ้ายังให้เปลี่ยนใหม่ คงกะให้เลอะเทอะเต็มที่
หลังจากนั้นเจ้าทีก็อยู่แต่ตรงนั้น จะขยับลุกต่อเมื่อไปกินน้ำ เข้าห้องน้ำ เอาขวดที่ทำเสร็จแล้วไปตากแดดข้างนอก (เจ้าทีทำแค่ขวดเดียว) ก่อนมากะความสูงของกระดาษให้ใส่ขวดปิดฝาได้ แล้วลงมือร่างข้อความด้วยดินสอ แล้วใช้สีเรืองแสงทาทับอีกที
เรื่องหัวศิลปะ เจ้าทีดีกว่าเจ้านิกเยอะ ลูกชายคนโตไม่เอาอ่าวในเรื่องนี้สุดๆ ส่วนลูกคนเล็กพอเอาตัวรอดไปได้ แต่ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่
“คุณปู่”
“หือ?” ผมขานรับ ผละสายตาจากหนังสือในมือมองหน้าเจ้าที
“คุณปู่ว่าการเขียนข้อความถึงคนไม่เคยเห็นหน้านี่ยากไหม?”
“พูดถึงเจ้าหนูที่ส่งขนมบ่อยๆ หรือ? ปู่เห็นหลานเขียนข้อความฝากกลับไปได้ทุกที”
“คุยกันผ่านข้อความนั่นแหละ แต่ทำไมถึงไม่มาหาก็ไม่รู้”
“อยากให้เขามาหา?”
“อื้อ ก็ตอนนี้ทีเหลือเพื่อนแค่เจ็ดคน อีกหกคนยังได้เจอหน้าบ้าง บางครั้งมาค้างมาเล่นด้วย แต่อีกคนมาแต่ขนมกับข้อความสั้นๆ”
“บางทีเขาอาจไม่ว่างมาหาก็ได้”
เจ้าทีพยักหน้า เงียบไปพักใหญ่กว่าจะพูดอีก
“…ปู่คิดว่าแค่ผมทำอาหารแลกเปลี่ยนไปกับขนม มันพอไหม? หรือผมควรทำอย่างอื่นให้เขาอีก”
“ไม่ใช่ว่าที่ฝึกทำอาหาร เพราะอิจฉา หลังแม่เอาแต่ชมเขาทำขนมเก่งอย่างนู้นอร่อยอย่างนี้เรอะ”
“ก็…ก็ใช่ แต่ความคิดมันเปลี่ยนกันได้นี่”
“ดูทีสนใจเพื่อนคนนี้เป็นพิเศษนะ”
“อื้อ ทีรู้สึกว่าเขาเหมือนเดซี่”
ผมเหล่มองสุนัขประจำบ้านที่กำลังนอนอย่างสงบตรงมุมห้อง ผมรู้ว่าเจ้าทีชอบเดซี่มากๆ แต่ไม่นึกว่าชอบมากจนเอาไปเปรียบเทียบกับคน
“คนกับสัตว์จะเหมือนกันได้ยังไง”
“คุณปู่ไม่รู้อะไร คนกับสัตว์มีความรู้สึกเหมือนกัน ผมคุยกับเดซี่ไม่รู้เรื่อง แต่เราสื่อสารความรู้สึกกันได้”
“เจ้าหนูนั่นเหมือนเดซี่ตรงไหน?”
“ใจดี”
“แค่นั้น?”
เจ้าทีเอียงคอใส่ “ก็มากกว่านั้น แต่ทีอธิบายไม่ถูก แต่ความรู้สึกบอกว่าเขาเหมือนเดซี่ จริงๆ นะ”
“เจ้าหนูนี่หรือเปล่าที่จะไปต่างประเทศพรุ่งนี้?”
หลานชายพยักหน้าหงึกๆ
“ที่นั่งทำอยู่นี่คือให้เจ้าหนูนั่นก่อนคนอื่น?”
พยักหน้าอีก
ผมขมวดคิ้ว “ลงสีข้อความเสร็จหรือยัง ขอปู่ดูหน่อย”
“ยังฮะ แต่ปู่เอาไปดูก่อนก็ได้”
เจ้าทีขึ้นต้นประโยคด้วยคำขอบคุณ
‘ขอบคุณขนมที่ส่งมาให้เสมอ
ขอบคุณข้อความที่แนบมาพร้อมกัน
หวังว่าในอนาคตเราจะได้เจอกัน
ที’
อ่านจบผมอดพูดทักท้วง
“ไม่เห็นพูดถึงทั้งวันคริสต์มาสหรือปีใหม่เลยนี่”
“ทีจะเขียนถึงทำไม” เจ้าทีชูริบบิ้นกับเชือกขึ้น “เชือกมีสีเขียวสลับแดงแทนคริสต์มาส ส่วนริบบิ้นสีน้ำเงินก็มีข้อความ Happy New Year อยู่แล้ว”
“อย่างน้อยควรมีคำอวยพรบ้าง”
“งั้นทีเขียนเพิ่มอีกแผ่นก็ได้”
แผ่นต่อมา อวยพรจริงๆ ขึ้นต้น ‘ขอให้…’ ยาวไล่เรียงลงมาเป็นข้อๆ มีตั้งแต่เรื่องทั่วไปอย่างเรื่องเรียน เรื่องสุขภาพ และอื่นๆ จนถึงเรื่องที่ไม่น่าจะเป็นคำอวยพร
“ขอให้น้องสาวน่ารัก?”
“อื้อ มีน้องสาวเหมือนกัน เขาต่างกับผมตรงที่เลี้ยงน้องเอง ผมเลยขอให้น้องสาวเพื่อนน่ารัก จะได้น่ารักไปนานๆ”
ผมก้มอ่านประโยคต่อมากลับอึ้งหนักกว่าเก่า
ขอให้ปีหน้าทำขนมอร่อยขึ้น
ขอให้ปีหน้าทำขนมมาให้กินอีก
ขอให้มีพวกพาย ไม่ก็ทาร์ตผลไม้ต่างๆ บ้างก็ดีนะ
นี่เจ้าทีกำลังอวยพรเขา หรือว่ากำลังขอพรจากเขากันแน่!
ผมเงยหน้ามองหลานที่กำลังทำหน้าฉงนใส่
“ทำไมปู่มองทีอย่างนั้น หรือสิบข้อน้อยไป? อันที่จริงทีก็อยากเขียนเยอะกว่านี้นะ”
ถ้าแววตาไม่วิบวับ ผมคงเชื่อว่าหลานตัวเองใสซื่อ แต่ขอบอกเลยว่า
ในบางเรื่อง เจ้าทีก็แสบเอาเรื่อง
-------------
“เดตคืออะไรฮะ?”
คำถามกะทันหันจากเจ้าทีทำคนร่วมโต๊ะมื้อเย็นสำลักเป็นแถว มีแค่ผมที่ถามกลับเสียงเครียด
“ไปเอาคำนี้มาจากไหน?”
แอบเหล่มองลูกชายคนโต ผู้โดนกล่าวหาทางสายตารีบส่ายหน้าปฏิเสธยกใหญ่
“ในนิตยสาร เขาบอกว่าช่วงคริสต์มาสเป็นโอกาสสำหรับคู่รักออกเดต ทีอ่านแล้วงง”
อ้อ
ผมถึงบางอ้อ ส่วนเจ้านิกถอนหายใจตามประสาผู้รอดพ้นข้อกล่าวหา ผมกวาดมองรอบโต๊ะ ฝ่ายหญิงส่ายหน้าไม่ขอพูด ผมเลยส่งสายตาให้เจ้านิกตอบหลาน
“เอ่อ เดตก็คือ…ไปเที่ยวกับคนที่อยากรู้จักสนิทสนมเป็นพิเศษน่ะ”
“อย่างนั้นเองเหรอ”
เห็นเจ้าทีรับคำง่ายดาย ผมก็ชักไม่แน่ใจว่าเข้าใจจริงไหม เลยย้ำเพิ่ม
“ต้องอยากรู้จักเป็นพิเศษมากๆ ด้วยนะ แล้วก็เรื่องนี้สำหรับคนที่โตแล้วเท่านั้น ไว้โตเมื่อไหร่ค่อยว่ากัน”
“แล้วลุงนิกเคยเดตไหม?”
เจ้านิกสำลักข้าวเลยครับ มีชำเลืองมองภรรยาผม ก่อนลุกพรวด
“อ่า ทากะน่าจะตื่นแล้ว ผมขอเอาข้าวเอายาไปให้ทากะก่อนนะครับ”
ชิ่งอย่างเร็ว ปล่อยเจ้าทีหันมองตามหลังตาปริบๆ
-------------
วันรุ่งขึ้นเจ้าทีก็ตื่นเช้า
ผมลงมาเจอหลานกำลังพยายามผูกม้วนกระดาษอยู่ เห็นผมก็ร้องเรียก
“คุณปู่ มาช่วยทีจับกระดาษหน่อย”
ตรงเข้าไปช่วยจับ ปล่อยเจ้าทีผูกริบบิ้นเป็นโบว์เอาเอง เรียบร้อยก็จับหย่อนใส่ขวดแก้วลายจุดไปทั้งใบ ปิดฝาไม้จับวางลงกล่อง ผูกเชือกสีแดงเขียวอีกที ผมพึงสังเกตว่าเจ้าทีสอดซองจดหมายไว้ด้านบน
“ที่เขียนใส่ขวดยังไม่พออีกหรือ?”
“อันนี้ทีแค่เขียนบอกวิธีใช้ขวดเฉยๆ ทีไม่รู้นี่ว่ากล่องจะถูกเปิดเมื่อไหร่ ถ้าช้าแสงได้หายหมดพอดี”
เลยต้องเขียนบอกต่างหากสินะ
ผมปล่อยเจ้าทีจัดการกล่องของขวัญจนเรียบร้อย ค่อยเอาตัวหลานไปทานข้าวเช้าเร็วกว่าทุกที เสร็จแล้วก็มานั่งรอ เจ้าทีคงตื่นเต้นถึงได้นั่งกระสับกระส่าย แต่หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมงก็หลับผล็อยคาโซฟาแทน
...กลายเป็นผมต้องถือของขวัญไปส่งแทนคนที่ปลุกยังไงก็ไม่ตื่น
“สวัสดีครับ/สวัสดีค่ะ”
“สวัสดี” ผมยกมือไหว้รับ
ครอบครัวนี้มีกันสี่คน ทั้งลูกชายและลูกสาววัยเดียวกับหลานผมเลย
“แล้วทีล่ะคะ?”
“หลับอยู่ข้างใน จะเข้ามาก่อนไหม?”
“เสียดายจังเลยค่ะ เราต้องไปสนามบินกันต่อ” เพื่อนหนูอรพูดอย่างเสียดายมาก ก่อนดุนหลังลูกชายที่ดูมีสีหน้าโล่งใจเล็กๆ มาตรงหน้าผม
“ฝากของไว้ที่คุณปู่แล้วกันนะลูก”
“นี่ครับ”
โหลคุกกี้ผูกริบบิ้นสีเขียวอ่อน คล้องการ์ดไว้คู่กัน ขนาดใหญ่จนครึ่งเดือนก็ยังกินไม่หมด แต่สำหรับเจ้าทีคงหมดภายในหนึ่งอาทิตย์
“ส่วนนี่หลานปู่เตรียมไว้ให้เรา” ผมส่งของที่ถือมาให้ พร้อมเอ่ยเตือน “ถือดีๆ ระวังแตก”
“ขอบคุณครับ”
“หืม? มีซองจดหมายแนบมาซะด้วย ขอพ่อดูหน่อย”
“พ่อ!”
ลูกชายร้องประท้วง แต่คนเป็นพ่อก็คว้ามาเปิดดูอยู่ดี ข้างในเป็นกระดาษเอสี่แบบมีเส้นบรรทัดสองแผ่นแม็กซ์เย็บติดกัน แรกๆ คนอ่านยังยิ้มดี แต่พอพลิกหน้าสองถึงกับชะงัก เหลือบสายตามาสบกับผมที่เลิกคิ้วเป็นเชิงถาม
“เอ่อ คุณปู่ครับ ช่วยดูนี่หน่อย”
คนเป็นพ่อพลิกกระดาษให้ดู เห็นตัวอักษรเขียนกินบรรทัดถึงสี่เส้นปุ๊บ ผมชะงักปั๊บ
‘ไว้โตแล้วเรามาเดตกันนะ’
เจ้าที!?!############