7คนตัวเล็กกลับเข้ามาในห้อง เพื่อเจอกับสายตาคำถามจากรูมเมท พยายามอย่างมากที่จะทำตัวเป็นปกติ และซ่อนพลาสเตอร์บนนิ้วเอาไว้ สาบานได้ว่าถ้ามินเห็นมัน จะต้องโวยวายใหญ่ตามแบบฉบับคนขี้เป็นห่วงอีกแน่
“ทำไมไวจัง?”
“ก็...แบบ...เราง่วงแล้วอะ”
รีบตอบกลับแบบส่งๆ และพาตัวเองขึ้นเตียง ดึงผ้าห่มขึ้นคลุมร่างทั้งร่างไว้ทันที แต่นั่นยิ่งทำให้มินสงสัยมากขึ้นไปอีก คนเด็กกว่าตั้งท่าจะลุกขึ้นจากเตียงเข้ามาตรวจสอบเพื่อนใหม่ให้แน่ใจ ว่าไม่มีอะไรผิดปกติ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ขยับเขยื้อน เมื่อเห็นคนบนเตียงข้างๆ หลับตาพริ้มไปแล้ว ทำได้แค่เก็บคำถามมากมายไว้กับตัวจนถึงเช้าของอีกวันเท่านั้น
ตลอดคืน มินแทบนอนไม่หลับ เพราะท่าทีแปลกๆ จากเพื่อนร่วมห้อง ยิ่งทำเหมือนมีอะไรบางอย่างปิดบัง นั่นยิ่งทำให้เป็นห่วง ถึงขนาดว่าเผลอตื่นขึ้นมาก่อนนาฬิกาจะปลุกซะอีก ตอนนี้เป็นเวลาตีห้ากว่าเท่านั้น ทั้งที่ Café de Sept เปิดให้บริการตั้ง 9 โมง แต่จะให้นอนต่ออีกหน่อย มันก็ดันนอนไม่หลับแล้วเนี่ยสิ
คนตัวใหญ่พยายามคลานลงจากเตียงอย่างเงียบเชียบที่สุด ไม่อยากส่งเสียงรบกวนคนข้างๆ จนตื่นขึ้นมาหรอก นี่ยังเป็นโอกาสเหมาะ ที่เขาจะได้นั่งมองอตินในวินาทีแรกที่ลืมตาตื่นด้วย มินกดหัวแม่เท้าลงกับพื้นห้อง ก่อนจะลงฝ่าเท้าตาม ทำอย่างนั้นไปเรื่อยๆ จนเดินมาหยุดอยู่บริเวณขอบเตียงของอตินด้านหนึ่ง เขาตัดสินใจทิ้งตัวลงนั่งอย่างเชื่องช้า เพื่อให้มั่นใจว่าคนตรงหน้าจะไม่รู้สึกตัว
ปอยผมสีน้ำตาลปรกลงมาบังส่วนหนึ่งของใบหน้าหวาน เสียงลมหายใจดังขึ้นเป็นจังหวะ พร้อมกับร่างบางที่กระเพื่อมขึ้นลงตามระดับ ขนตาเส้นยาวเรียงตัวเป็นแพ ช่างดูงดงามราวกับหลุดออกมาจากหนังสือการ์ตูน แค่เพียงได้มอง หัวใจก็พาลอยากจะสัมผัส จนต้องรีบประสานมือตัวเองไว้ เพื่อรั้งไม่ให้มันเอื้อมออกไปซะก่อน อย่างกับภาพของเจ้าชายตัวน้อยที่นอนหลับอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว มือเล็กๆ คู่นั้นถูกสอดขึ้นมากำชายผ้าห่มไว้แน่นเหมือนเด็กๆ....
เดี๋ยวนะ ทำไมที่นิ้วโป้งด้านซ้ายของอตินถึงมีพลาสเตอร์ยาปิดไว้ด้วยล่ะ เมื่อวานเขายังไม่เห็นเลยนะ ตั้งแต่ตอนไหนกัน? แล้วไปโดนอะไรมา อย่าบอกนะว่า หลังจากไปห้องซัน!
“ชิ...”
มินเผลอส่งเสียงไม่พอใจออกมาจากลำคอ จนคนนอนหลับเริ่มขยับตัวเล็กน้อย เล่นเอาเขาถึงกับใจหวิว อตินส่งเสียงอู้อี้ฟังไม่ได้ศัพท์ออกมา ก่อนจะเริ่มยกแขนขึ้นบิดขี้เกียจ ทั้งที่ยังไม่ยอมลืมตาตื่น จนเมื่อมินลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ก็พอดีกับที่อตินเปิดเปลือกตาหนักอึ้งของตัวเองขึ้น ได้แต่จ้องสีหน้าคำถามของคนตัวใหญ่ที่กำลังยืนค้ำหัวกันอยู่ตาแป๋ว
“มิน...ตื่นแล้วเหรอ”
อตินถามเสียงงัวเงีย พร้อมดันตัวเองลุกขึ้นนั่ง ปากเล็กอ้ากว้างเพื่อหาวหวอด ก่อนจะต้องตกใจ เมื่ออยู่ๆ มินก็ทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงของเขา แถมยังขยับเข้ามาใกล้จนไม่เหลือพื้นที่ว่างระหว่างแขนเลยสักมิลเดียว
“นี่มันอะไร?”
“หือ?”
ส่งเสียงถามกลับ นึกแปลกใจกับการตั้งคำถามแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยของอีกฝ่าย จนเมื่อมินพยักหน้าไปทางนิ้วที่มีพลาสเตอร์พันอยู่จึงเข้าใจ ใบหน้าขาวยิ่งซีดลงไปอีก แม้อยากจะซ่อนตอนนี้ก็คงไม่ทันแล้ว ได้แต่ยิ้มแห้งๆ ส่งให้
“ไปโดนอะไรมา พี่ซันแกล้งหรอ?”
“เปล่าๆ เราไม่ระวังเอง”
“แล้วเป็นอะไรมากไหม?”
“ไม่เลย โดนนิดเดียวเดี๋ยวก็หาย มินไม่ต้องเป็นห่วงนะ”
อตินขยับตัว หันหน้าเข้าหาคนตัวสูง พยายามโบกไม้โบกมือพัลวัน เพื่อแสดงให้เห็นว่าเขาไม่ได้เป็นอะไรมากจริงๆ ไม่รู้พนักงานร้านนี้เป็นอะไรกันไปหมด ทำไมถึงได้ขี้เป็นห่วงมากขนาดนี้ แทบทุกคนเลย โดยเฉพาะคนตรงหน้านี่แหละ เด็กกว่าเขาแท้ๆ ทำตัวเหมือนพี่ชายไปได้
“เลือดออกด้วยใช่ไหม”
มินไม่ได้สนใจความพยายามของอตินเลยสักนิด กลับยิ่งขมวดคิ้วเข้าหากัน พลางตีสีหน้าห่วงใยมากขึ้นอีกเท่าตัว มือใหญ่ทั้งสองข้างเอื้อมเข้ามากุมมือด้านซ้ายของเขาเอาไว้อย่างทะนุถนอม นิ้วเรียวลูบผ่านพลาสเตอร์สีขุ่นหวังช่วยปลอบประโลมความเจ็บ ซึ่งขณะนี้มันแทบไม่เหลืออยู่แล้ว อตินค่อยๆ เผยรอยยิ้มออกมา จำนนต่อความหวังดีของเพื่อนคนนี้จนได้ จึงปล่อยให้มินดูแลนิ้วมือของเขาไปอย่างนั้น และพยายามชวนคุยให้บรรยากาศมันเฮฮาขึ้นไปด้วย
“นิดเดียวเอง แถมพี่ซันก็ห้ามเลือดให้แล้วด้วย”
“ห้ามเลือด?”
“อื้อ! ตลกมากอะ พอเห็นว่าเลือดซึมออกมานะ พี่ซันก็เอานิ้วเราไปดูดเฉยเลย ตกใจมาก ทำอย่างกับเป็นเด็...อึ้ยย”
คนตัวเล็กร้องขึ้นทันทีที่รู้สึกถึงแรงกดหนักหน่วงบริเวณแผล ทั้งที่พยายามเล่าเรื่องเมื่อวานให้ฟังดูตลก แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ขำด้วยสักนิด กลับยิ่งตีสีหน้าหงุดหงิดออกมาอย่างเห็นได้ชัด ความจริง เขาแทบไม่เคยเห็นใบหน้าแบบนี้ของมินเลย มันดูนิ่งเรียบยิ่งกว่าที่เคยเป็น...และที่สำคัญ มันดูน่ากลัวนิดหน่อยด้วย...
“มิน?”
“อะ..โทษที”
พอรู้สึกตัวจากเสียงเรียก จึงรีบคลายแรงบีบที่นิ้วออก ทว่ายังคงสีหน้าแปลไม่ออกนั้นไว้ ไม่นานนัก ทั้งห้องก็เงียบลงจนได้ยินแค่เสียงเครื่องปรับอากาศ กับลมหายใจเป็นจังหวะ มินจ้องเข้าไปในตาของอตินอย่างมีนัยยะ ค่อยๆ ยกมืออีกฝ่ายที่เขากอบกุมอยู่ขึ้นมาถึงระดับอก ก่อนจะกดริมฝีปากอิ่มลงไปบนพลาสเตอร์สีขาว แช่ไว้เพียงวินาที ก็ผละออก ไม่ทันให้อีกฝ่ายได้ตกใจหรือขัดขืนใดๆ
“ต่อไปอย่าให้ใครถึงเนื้อถึงตัวง่ายๆ สิ”
มินเอ่ยปากบอกเป็นเชิงเตือน มือสองข้างยังคงไม่ยอมปล่อยจากมือเล็กของคนตรงหน้า และดูเหมือนว่าทุกอย่างในตอนนี้ จะสะกดให้อตินหลุดเข้าสู่ภวังค์บางอย่างตามไปด้วย เพราะสีหน้าที่ไม่คุ้นเคย กับน้ำเสียงที่ฟังดูคล้ายว่าจะเจ็บปวด คำพูดแสดงความห่วงใยจนแทบจะกลายเป็นความหวงแหน มันส่งให้เขาต้องหลุดบางคำถามในส่วนลึกของความสงสัยออกไป
“มินด้วยหรอ?”
คนถูกถามนั่งนิ่ง ราวกับถูกเข็มจี้ลงไปบนอก เพียงแค่ได้ยินคำพูดนั้น มือที่รั้งอีกฝ่ายไว้ก็ค่อยๆ ไร้เรี่ยวแรงและเริ่มคลายออกอย่างอ้อยอิ่ง ดวงตาที่เคยยิ้มสดใส บัดนี้ กลับหม่นลงจนแทบไม่เหลือเค้าความเป็นมิน คนที่อตินรู้จัก น้ำเสียงราบเรียบตอบกลับออกมาแผ่วเบาจนแทบกลืนหายไปกับอากาศภายในห้อง
“ใช่...เราด้วย...”
ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด
เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นรบกวน แทบจะทันทีหลังจากคำพูดสุดท้ายถูกเปล่งออกไป มินเป็นฝ่ายละสายตาออกจากใบหน้าหวาน เพื่อไปกดปิดนาฬิกาบนโต๊ะ ก่อนจะเดินคว้าผ้าเช็ดตัวเข้าห้องน้ำไปเลย ไม่แม้แต่จะหันกลับมามองคนบนเตียงอีก
“มิน...”
คนตัวเล็กส่งเสียงออกมาแผ่วเบา ในหัวเริ่มคิดไม่ตกกับคำพูดและท่าทางเมื่อครู่ มินเป็นอะไร สีหน้าแบบนั้นเขาแปลไม่ออกเลย และไม่ชอบเอามากๆ ด้วย มันดูแตกต่างจากเพื่อนแสนดี ที่เอาแต่ยิ้มตาหยีทุกวัน ไม่ชอบจริงๆ... มินคนเมื่อกี้ เขาไม่นึกชอบเลยจริงๆ...
พอมินอาบน้ำเสร็จ อตินก็รีบคว้าข้าวของตรงเข้าห้องน้ำต่อทันที ไม่มั่นใจว่าจะสามารถทนกับบรรยากาศคลุมเครือแบบเมื่อกี้ไหว เขาจงใจอาบน้ำนานกว่าปกติ เพราะยังไม่อยากออกไปเจอหน้ามินเลย ถ้าเขาไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเองจนบ้า ท่าทางของมินตอนตื่นนอนนั่นมันเหมือน อาการของคนกำลังหึงหวงชัดๆ แต่จะมาหึงมาหวงอะไรเขาล่ะ เราเป็นเพื่อนกันนี่...ยกเว้นแค่ว่า มินไม่ได้คิดกับเขาแค่เพื่อนน่ะนะ...
“เฮ้ย!”
ส่งเสียงออกมาซะดัง จนต้องรีบยกมือขึ้นปิดปาก เพราะดันคิดเรื่องไม่เป็นเรื่องอยู่ภายในหัว แถมยังดูหลงตัวเองจนน่าจับเฆี่ยนซะอีก อตินเอ๊ย บ้าไปใหญ่แล้วไหมล่ะ อย่างมิน ก็คงแค่เป็นห่วงจนเกินตัวอีกนั่นแหละ ไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้นหรอกน่า!
อตินสะบัดหัวไล่ความคิดแปลกๆ ก่อนจะเดินออกมาแต่งตัวอยู่เงียบๆ ในมุมของเขา มีแค่เพียงหางตาที่คอยเหล่มองอีกคนบนเตียง ไม่มีบทสนทนาใดหลุดลอดออกมาจากปากของทั้งคู่ จนบรรยากาศภายในห้องเริ่มอึดอัดมากขึ้นอีกครั้ง พออตินคิดจะทำตัวตามปกติ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นขัดซะก่อน พอมินลุกไปเปิด ก็ปรากฏเป็นสมาชิกร้านคนอื่นๆ ที่กรูกันเข้ามาอย่างไม่ถือสา ในมือแจนกับน็อตมีถาดซึ่งวางแก้วน้ำไว้ทั้งหมดถึง 7 ใบรวมกัน เบสคือคนแรกที่อธิบายขึ้น
“มิน อติน มาช่วยกันชิมนี่เร็ว”
“อะไรครับ?” มินถาม พลางชะเง้อคอมองเครื่องดื่มในแก้วแต่ละใบด้วยท่าทีสงสัยปนใคร่รู้
“มาร์ชมีความคิดว่าจะเพิ่มเมนูนมเข้าไปในร้าน ก็เลยลองทำนมผสมน้ำผึ้งออกมา 7 สูตร”
“มีนมจืดธรรมดา นมช็อกโกแลต สตรอเบอรี่ กล้วย เมล่อน ชาเขียว แล้วก็ กาแฟ”
น็อตแจง โดยมีซันเป็นคนช่วยชี้นิ้วตาม เพื่อบอกว่าแก้วไหนเป็นรสชาติอะไร มินพยักหน้าแล้วเริ่มยกนมจืดแก้วแรกขึ้นดื่ม ส่วนอตินที่จัดผมพอเรียบร้อยแล้ว ก็รีบเดินเข้าไปรวมกลุ่มเพื่อขอชิมบ้าง ไม่พลาดที่จะแอบยกยิ้มให้คนหัวแดง ซึ่งเอาแต่ยืนหลบมุมอยู่ด้านหลังมาตลอด ไหนบอกว่าเมนูเบสิคไง สุดท้ายก็ทำออกมาจริงๆ จนได้ แบบนี้ต้องยกความดีความชอบให้เขาต่างหากเล่า
“ใช้ได้เลยครับ น่าจะขยายกลุ่มเป้าหมายได้อีก”
มินออกความเห็น ซึ่งเบสก็พยักหน้าเห็นด้วยแทบจะทันที เพราะมันจริงที่คนเข้าร้านกาแฟ ก็ไม่ได้อยากดื่มแต่กาแฟนี่นะ การมีเมนูง่ายๆ ที่เหมาะสำหรับทุกคน โดยเฉพาะผู้หญิงกับเด็ก ซึ่งอาจจะไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายหลักของร้านกาแฟส่วนใหญ่ ก็ทำให้เราสามารถรองรับลูกค้าออกไปได้กว้างขึ้น และถึงจะเป็นเครื่องดื่มเบสิคขนาดไหน การมีอะไรเพิ่มเข้ามาบ้างในรอบหลายเดือน ก็คงทำให้ลูกค้าเดิมเกิดความรู้สึกแปลกใหม่ขึ้นด้วย
“กลมกล่อมมากทุกรสเลยครับ” อตินออกปากชม หลังจากลองชิมตาม รสชาติดียิ่งกว่าคืนนั้นที่มาร์ชชงให้เขาดื่มซะอีก
“ดีล่ะ งั้นมาร์ช ไปเสนอคุณวาโย จะได้เอาเข้าเมนูเลย”
เบสหันไปบอกมือชง ก่อนจะต้อนคนอื่นๆ ออกไปจากห้อง เพื่อเตรียมตัวไปเปิดร้าน มินเองก็รีบสาวเท้าตามพี่ๆ ไปเช่นกัน โดยที่ไม่รอหรือแม้แต่จะหันมาพูดอะไรกับอตินสักคำ นั่นยิ่งทำให้เขารู้สึกไม่ดี กับท่าทางแปลกไปของเพื่อนคนนี้
“พร้อมรึยัง?” ซันเลียบเคียงเข้ามาถาม ขณะที่ทั้งหมดกำลังเดินตามทางถนนตรงไปยังที่ตั้งร้าน อตินได้แต่เอียงคอเป็นเชิงสงสัย จนคนโตกว่าต้องรีบเตือนสติ
“ก็การทดสอบทำขนมวันนี้ไง”
“เฮ้ย!” เผลอร้องออกมาเสียงดัง จนเรียกสายตาทุกคู่ให้หันมามอง คนตัวเล็กก้มหัวขอโทษเล็กน้อย ก่อนจะหันไปกระซิบกับซันเสียงแผ่ว
“ผมลืมไปเลยอะ”
“เอ้า เป็นอะไรหรือเปล่า”
ซันถามแกมเป็นห่วง เพราะรู้ดีว่าอตินไม่ใช่คนที่จะลืมเรื่องสำคัญแบบนี้ ยิ่งนี่เป็นแบบทดสอบสุดท้าย ก่อนที่หมอนี่จะได้รับยูนิฟอร์ม และเข้ามาเป็นหนึ่งในพนักงานเต็มตัวด้วยแล้ว ก็ยิ่งไม่น่าลืมง่ายๆ
“ก็พี่ซันอะแหละ ชอบชวนเล่นอะ ลืมเลย”
“ความผิดฉันซะงั้น”
“แฮะๆ ล้อเล่นครับ ผมไม่ได้ลืมเรื่องการทดสอบหรอก แต่ผมกะว่าจะตื่นมาทวนสูตรขนมตอนเช้า แต่ดันลืมอะ แถมไม่ได้หยิบสมุดติดมือมาด้วย กลัวพลาดจัง”
“เอาน่า จำได้อยู่แล้วนี่” ซันพยายามให้กำลังใจ พลางตบบ่าเล็กไปสองสามที ทำให้อตินยิ้มออก ไม่ว่าเมื่อไรผู้ชายคนนี้ก็จะทำให้เขามีแรงกลับขึ้นมาทุกทีเลยแฮะ
“ว่าแต่ ทำไมถึงลืมซะล่ะ”
ยังคงจี้ถามต่อ เมื่อเห็นว่ามันผิดปกติจากทุกที อยากทำให้แน่ใจว่าไม่ได้มีอะไรมากวนใจเด็กตรงหน้า แต่อติน เมื่อถูกถามอีกครั้ง ก็ได้แต่นิ่งเงียบไป ในหัวพลันนึกย้อนถึงเหตุการณ์เมื่อเช้า ที่มินทำตัวและพูดจาแปลกๆ ใส่ ก่อนจะตัดสินใจตัดบทสนทนานี้ลง เพราะคงไม่ดีแน่ ถ้าซันรู้ว่าเขาลืมทบทวนบทเรียน เพราะเอาแต่คิดมากเรื่องสมาชิกร้านคนอื่น
“ก..ก็ อยู่ๆ พวกพี่ก็เอานมมาให้ชิมอะ ผมเลยลืมเลย”
“อ๋อ”
คุยกันได้ถึงตรงนี้ ก็มาหยุดอยู่หน้าร้านพอดี ต่างฝ่ายต่างก็แยะย้ายกันไปตระเตรียมข้าวของส่วนใครส่วนมัน สาบานได้ว่าตลอดทั้งวัน มินเอาแต่หลบหน้า และหลีกเลี่ยงการพูดคุย หรือแม้แต่เผชิญหน้ากับอตินตลอด จนสมาชิกคนอื่นยังสังเกตได้ เมื่อมินโผล่เข้ามาในครัว แจนเลยถือโอกาสออกปากถาม
“วันนี้เป็นอะไรน่ะ ทะเลาะกับอตินเหรอ?”
“ค..ค่อก..” คนตัวสูงสำลักน้ำเปล่าที่เพิ่งยกขึ้นดื่ม พลางเบิกตาขึ้นเหมือนอยากจะถามว่า รู้ได้ยังไง
“ก็เห็นเอาแต่หลบหน้า ไม่คุยกันทั้งวันเลย”
มินนิ่งไปครู่หนึ่ง ในหัวคิดว่าควรจะปรึกษาแจนเรื่องนี้ดีไหม แต่เมื่อเห็นสายตาห่วงใยที่ส่งมา ก็ทำให้เขาพร้อมจะพูดออกไป ถึงยังไง แจนก็เหมือนก้าวขาลงมาในเรือลำเดียวกับเขา ตั้งแต่ตอนที่เขาเปิดใจบอกเรื่องความรู้สึกต่ออตินคราวก่อนแล้วล่ะนะ
“ผมดันทำตัวหวงอตินออกนอกหน้ามากเกินไป จนตอนนี้แทบมองหน้าไม่ติดแล้ว”
“ยังไง?”
“ก็เมื่อคืน พี่ซันสอนอตินทำตุ๊กตาไม้ แล้วทำอีท่าไหนไม่รู้ถึงได้แผลกลับมา พออตินเล่าว่าพี่ซันเอานิ้วตัวเองไปดูดห้ามเลือด ผมก็ทนไม่ได้อะ”
แจนหัวเราะแห้งๆ ออกมาทันทีที่ได้ยินถึงตรงนี้ ก็วิธีห้ามเลือดแบบนั้น คงมีแต่ซันคนเดียวแหละที่กล้าทำ แต่ก็พอเข้าใจแล้ว ถ้ามินชอบอตินแล้วต้องมาทนรับรู้เรื่องผู้ชายคนอื่น ก็คงหงุดหงิดใจเป็นธรรมดา ถือเป็นเรื่องปกติของคนแอบชอบอยู่แล้ว ที่จะคิดหวงเขา ทั้งๆ ที่ไม่มีสิทธิ์ก็ตาม
“ทนไม่ได้แล้วยังไง?”
“ผมเลยจูบ..”
“หะ??”
“จูบนิ้วเอง! ผ่านพลาสเตอร์ด้วยซ้ำ...” คนตัวสูงรีบโต้เมื่อเห็นแจนตีสีหน้าตกใจ ทั้งที่ยังฟังไม่จบประโยค ถึงแม้คำท้ายๆ จะฟังดูเสียดายยังไงชอบกลก็เถอะ “ล..แล้วก็ บอกอตินว่า อย่าให้ใครแตะตัวง่ายๆ รวมทั้งผมด้วย...”
แจนเหลือบตามองไปรอบห้อง อย่างเป็นเชิงครุ่นคิด สักพักก็พยักหน้าทำท่าเข้าใจกับตัวเอง ก่อนจะเดินไปตบบ่ามินเสียงดัง จนอีกคนสะดุ้ง
“นายเลยกลัวว่า อตินจะรู้ความรู้สึกของนาย กลัวว่าอตินจะรังเกียจหรือกลัวนาย งั้นสิ?”
“ช..ใช่ครับ”
“มินเอ๊ย ฉันไม่มั่นใจหรอกนะว่าอตินจะรู้รึยังว่านายคิดอะไร แต่ฉันมั่นใจว่าอตินไม่ใช่คนที่จะตัดเพื่อนไปด้วยเรื่องใดก็ตาม เขาไม่ใช่คนที่จะมารังเกียจหรือกลัวใครนี่ จริงไหม?”
แจนถามกลับเพื่อกระตุ้นให้มินได้ใช้สมองที่มีอยู่ตรึกตรองเรื่องราวให้ดีขึ้น พอเห็นว่าเริ่มสลดไป เพราะเหมือนจะคิดได้ เขาถึงจี้ต่อ หวังช่วยให้บรรยากาศระหว่างน้องเล็กทั้งสองกลับมาสดใสเหมือนเดิม
“แล้วขืนนายยังทำตัวไม่ปกติแบบนี้นะ ฉันว่าต่อให้อตินไม่รู้ว่านายชอบ ก็คงต้องรู้แล้วล่ะงานนี้”
มินหน้าซีดไปหลังจากได้ยิน เสียงด้านนอกเริ่มดังลอดเข้ามา พอให้รู้ว่าใกล้เวลาปิดร้านเต็มทีแล้ว แจนเลยได้แต่ตบบ่ามินให้กำลังใจไปอีกรอบ ก่อนจะทิ้งคนตัวสูงไว้ในครัว และเดินออกไป แน่นอนว่าเขาต้องไปอธิบายเรื่องนี้ให้อตินเข้าใจ ไม่อย่างนั้นเรื่องราวไร้สาระนี่คงไม่จบง่ายๆ
“อติน” แจนกวักมือเรียกเด็กตัวเล็ก ที่กำลังช่วยรุ่นพี่เช็ดโต๊ะ ไม่ลืมที่จะหันไปส่งสายตาขออนุญาตเบส เพื่อปลีกตัวมาคุยธุระกันสองคน
“มีอะไรหรอครับ?”
“มีเรื่องอะไรกับมิน”
“ผะ..ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน อยู่ๆ มินก็ทำตัวแปลกๆ แถมหลบหน้าผมตลอดเลย” อตินเบิกตากว้างเมื่อได้ยินว่าแจนเองก็รู้ถึงความผิดปกตินี้ ก่อนจะปล่อยคำพูดที่คาใจออกมาจนแทบหมดเปลือก ดวงตากลมโตไม่ค่อยสดใสเหมือนเคย รวมทั้งใบหน้างอเหง้าในตอนนี้ด้วย
“อืม...ความจริง ฉันคุยกับหมอนั่นแล้วล่ะ”
“ว..ว่ายังไงครับ?”
“มินมันก็แค่เป็นห่วงนายเท่านั้นแหละ เป็นห่วงว่าจะมีอันตราย หรือจะโดนใครแกล้ง”
“แต่ผมไม่ใช่เด็กสักหน่อย”
อตินตีหน้ามุ่ยเมื่อทราบสาเหตุ เป็นอย่างที่คิด ว่ามินคงไม่ได้คิดอะไรนอกจากเป็นห่วงเกินไปอย่างทุกที ถ้าแบบนั้นล่ะก็ คนที่สมควรโกรธก็น่าจะเป็นเขาสิ เพราะมินเอาแต่ทำเหมือนเขาเป็นเด็กทารกอยู่เรื่อยเลย แบบนี้มันน่าโมโหนะ ทั้งที่ตัวเองก็เด็กกว่าเขาแท้ๆ
“ก็นะ คงเพราะนายไม่ค่อยระวังตัวเลยมั้ง” แจนว่า ทำให้อตินต้องรีบส่งสายตาคำถามกลับไป
“เพราะว่าอัธยาศัยดี แล้วก็ใจดีมาก ทำให้ตกเป็นเหยื่อให้คนอื่นมาแกล้งมาหลอกเอาได้นะ”
คนโตกว่าพยายามอธิบายให้ดูนิ่มนวลที่สุด พอคิดกลับไปกลับมา รู้สึกว่ามินเองก็พูดถูก เพราะเขาเองก็มองเห็นเป็นแบบนั้นเหมือนกัน อตินที่ไม่ค่อยปฏิเสธใคร และคอยยิ้มรับกับทุกอย่าง ทำให้ยิ่งดูน่ารักน่าหยอกมากขึ้นไปอีก ถ้าจะมีคนมาหลอกจริงๆ ก็คงไม่แปลกใจเลยสักนิด บางที การเป็นคนแบบนี้ ก็น่าเป็นห่วงว่าจะตกเป็นเป้าหมายให้ใครมาใช้ประโยชน์หรือเปล่า
“แต่ว่า...”
คนตัวเล็กยังพยายามจะเถียง แม้ว่าเถียงไม่ค่อยออกแล้ว เมื่อถูกจี้ความจริงเข้าใส่ ก็เลยเริ่มคิดได้ว่ามันจริงอย่างที่ว่า ทำให้แจนต้องรีบหาบทสรุป เพราะดูเหมือนสายตาบางคู่จากสมาชิกร้านคนอื่น จะเริ่มจับจ้องมาที่พวกเขาบ้างแล้ว
“เรื่องนี้ไม่มีใครถูก ไม่มีใครผิดทั้งนั้น แต่ฉันก็อยากให้นายเข้าใจนะ ว่ามินมันก็แค่เป็นห่วงและหวังดี ก็อย่าไปถือสามันมากนักเลย”
“ครับ เรื่องนั้นผมรู้ ผมก็ไม่ได้จะโกรธหรอก แต่เพราะคราวนี้มินเป็นฝ่ายไม่ยอมคุยกับผมเอง ทำให้หงุดหงิดนิดหน่อยนะ ทั้งที่ผมไม่ได้ทำผิดแท้ๆ แล้วพี่ซันก็ไม่ได้มาแกล้งผมด้วย”
“เอ่อ เรื่องนี้นายต้องเข้าใจนะ มินติดภาพซันที่คอยแกล้งคนอื่น แล้วก็เอาแต่ม่อลูกค้า ทำให้เขาห่วงว่าซันจะทำแบบเดียวกันกับนายน่ะ”
“งั้น...ผมควรทำยังไงอะครับ?”
รู้สึกเหมือนว่าจะเริ่มเข้าใจอะไรขึ้นอีกหน่อยแล้ว หลังจากแจนมาอธิบายให้ฟัง กลายเป็นว่าเรื่องที่คิดมาก คือการกลับไปทำตัวเป็นปกติกับมินเนี่ยสิ แต่แจนก็ดูจะเตรียมการไว้แล้ว ถึงได้ฉีกยิ้มกว้างออกมา
“เดี๋ยวจะบอกวิธีดีๆ ให้ละกัน”
อตินได้แต่เก็บความสงสัยนั้นไว้ จนถึงตอนที่เก็บร้านเสร็จแล้ว ทุกคนก็ย้ายมารวมกันในครัว เพื่อดูเขาทดสอบการทำขนม สามเมนูที่แจนเลือกมา ก็คือ สตรอเบอรี่ช็อตเค้ก ช็อกโกแลตลาวา กับ เค้กมองบลังค์ บอกเลยว่าแต่ละเมนูไม่ใช่ง่ายๆ เขานึกว่าแจนจะใจดีกว่านี้ซะอีกนะ ที่ไหนได้ โหดกว่ามาร์ชอีกมั้ง! ส่วนไอ้พวกเมนูเบสิค ที่เขาทำได้ชัวร์เนี่ย ก็ไม่ยอมเอามาให้ทดสอบ เห็นหน้าแบบนี้สงสัยต้องเริ่มมองกันใหม่แล้ว แจนใสใสไม่มีจริง สินะ ฮึ่มม
“เริ่มได้”
เสียงแจนดังขึ้น พร้อมกับสัญญาณนาฬิกาจับเวลาในมือถือ ทำให้อตินต้องรีบร้อนกลับมาสนใจอุปกรณ์และวัตถุดิบทั้งหมดบนโต๊ะ ในหัวก็เอาแต่ทบทวนสูตรเท่าที่จำได้ไปด้วยตลอดทางการทำขนม และเพราะมันยากกว่าเครื่องดื่มมาก ทำให้กินเวลาเยอะพอควร กว่าจะเสร็จฟ้าก็มืดแล้ว ยังดีที่มีเค้กของอตินนี่แหละพอประทังชีวิต ทำให้ไม่มีใครบ่นหิวสักคน ถ้าจะมีก็คงแค่มิน ที่ยังคงวางตัวไม่ถูก เลยได้แต่แทะขนมฝีมืออตินไปแค่อย่างละคำเท่านั้น โชคดีที่อตินจำสูตรได้ถูกต้อง และยังแอบมีภูตพรายคอยกระซิบบอกขั้นตอนเล็กๆ น้อยๆ อยู่ด้านหลังแจนด้วย ทำให้มันเป็นไปอย่างราบรื่นดี และแน่นอนว่าผ่านฉลุย ท่ามกลางความยินดีของสมาชิกทั้งหมด เป็นอันว่าอตินผ่านการทดสอบทั้งหมดจาก Café de Sept แล้ว คิดว่าพรุ่งนี้คงขอเบิกชุดยูนิฟอร์มมาให้ได้ และเตรียมเข้ามาเป็นพนักงานพาร์ทไทม์เต็มตัวได้เลย
แจนหันไปกระซิบบางอย่างกับเบส จากนั้นหัวหน้าพนักงานจึงต้อนทุกคนให้กลับบ้านกันก่อน โดยทิ้งแจนกับอตินไว้ เพื่อเก็บกวาดครัว แม้ว่าซันจะอยากอยู่ช่วย แต่สุดท้ายก็ยอมเดินกลับไปด้วยอย่างเชื่อฟัง พอเหลือกันแค่สองคน แจนจึงเผยถึงวิธี ที่จะทำให้อตินกับมินปรับความเข้าใจกันได้ ซึ่งสูตรง่ายๆ ถูกบอกไว้ว่ามีแค่สองสามวิธี เช่นการเอาของกินเข้าตะล่อม เอาใบหน้าน่ารักๆ เข้าอ้อน และที่สำคัญ คือเอาความจริงใจเข้าสู้ ให้เปิดอกคุยกันตรงๆ ประเด็นคือต้องใจเย็น นั่นแหละ สิ่งที่น่าจะทำให้คนอย่างมินเข้าใจและสงบลง
ทางด้านคนอื่น พอถึงบ้านก็ตั้งโต๊ะ หาอะไรกินกันอีกคนละนิดหน่อย ไม่ลืมที่จะเก็บบางส่วนไว้ให้แจนกับอตินที่จะตามมา และเพราะค่อนข้างดึกแล้ว ทำให้ทุกคนเลือกที่จะกลับเข้าห้องเพื่อพักผ่อน เพราะรู้ว่าแจนมีกุญแจบ้านสำรองอยู่กับตัว จึงไม่ต้องเป็นห่วงมาก
นาฬิกาตีบอกเวลาสี่ทุ่ม เสียงประตูบ้านก็ดังขึ้นพอให้ได้ยินแว่วๆ มินขยับตัวลุกขึ้นจากที่นอน พลางปิดหนังสือที่อ่านค้างไว้ลง ไม่นานนักประตูห้องนอนก็เปิดออก พร้อมร่างบางที่แทรกตัวเข้ามาอย่างระมัดระวัง คงเกรงว่าจะทำให้ใครตื่นตกใจ แต่พอเห็นหน้ามินที่ยืนรออยู่ กลับเป็นเขาเองที่สะดุ้งจนเกือบทำของในมือตก
“อ..อะ อะไรน่ะ?”
มินพยายามอย่างมาก ที่จะรวบรวมความกล้าทักออกไป เมื่ออตินเห็นว่าอีกฝ่ายยอมคุยด้วยแล้ว จึงเริ่มใจชื้นขึ้นหน่อย ก่อนจะเดินไปลากมือมินให้นั่งลงบนพื้นด้วยกัน แล้วค่อยๆ เปิดถุงพลาสติกในมือออกมา เผยให้เห็นกล่องกระดาษที่บรรจุคุ้กกี้รูปทรงง่ายๆ ไม่กี่ชิ้นอยู่ในนั้น
“พี่แจนบอกว่า มินชอบคุ้กกี้ เราเลยทำมา”
“ที่กลับบ้านช้า เพราะอยู่ทำไอ้นี่เนี่ยนะ”
“อื้อ” อตินลากเสียงตอบ แล้วหยิบคุ้กกี้ชิ้นหนึ่งยัดเข้าปากอีกฝ่ายทันที มินตกใจ แต่ก็ยอมกินเข้าไปดีๆ พอไม่มีโอกาสพูดต่อ เพราะของกินเต็มปาก อตินเลยใช้จังหวะนี้พูดขึ้นเอง
“เราโตแล้วนะ...มินไม่ต้องห่วงมากไปก็ได้”
เสียงเคี้ยวคุ้กกี้ดังขึ้น เมื่อทั้งห้องสงบลง มินรีบกลืนของในปาก แล้วลุกขึ้นไปหยิบขวดน้ำมาวางไว้ตรงหน้า พยายามถ่วงเวลาตัวเอง ไม่ให้บ้าพูดอะไรตามใจออกไปอีก ลงรู้สึกว่าใจเย็นมากแล้ว ถึงเริ่มเปิดปาก
“เราขอโทษ เราแค่กลัวอตินเป็นอะไร”
“เราเข้าใจ มินเป็นเพื่อนที่ดีมาก แต่เราก็คิดว่าเราดูแลตัวเองได้นะ จะพี่ซันหรือใครๆ ก็ไม่มีอะไรทั้งนั้น เรารู้ว่าเรากำลังทำอะไร เพราะงั้นมินไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”
อตินร่ายยาวเหมือนคนเก็บกดมานาน ถึงอย่างนั้นก็พยายามรักษาระดับของน้ำเสียงไว้ สายตาของคนตัวเล็กตั้งใจสื่อไปให้ถึงคนตรงหน้า ขณะที่มินยังทำได้แค่ก้มลงมองคุ้กกี้ในกล่อง ไม่มีคำพูดใดหลุดลอดออกมาเลย
“แล้วที่มินเตือนเรา ว่าอย่าให้ใครแตะเนื้อต้องตัวง่ายๆ เราไม่เชื่อนะ เพราะเราคิดว่าการได้สัมผัสกัน ก็คือการถ่ายทอดความรู้สึกอย่างหนึ่ง...”
คนพูดอธิบายเสียงจริงจัง พลางขยับตัวเข้าไปใกล้มินมากขึ้น มือเล็กเอื้อมเข้าจับมืออีกฝ่ายมากุมไว้แน่น ทำเอามินถึงกับสะดุ้ง แต่เพียงไม่นานก็ต้องแปลกใจ เมื่อเขาเริ่มรู้สึกถึงความอบอุ่นที่ถูกส่งผ่านมาทางฝ่ามือนี้ แม้ว่าภายในห้องจะเงียบสงัดเพียงไหน เขากลับรำคาญเสียงบางเสียงจากอกข้างซ้าย ที่เอาแต่ดังโครมครามขึ้นมาเรื่อยๆ
“เข้าใจรึยัง?” อตินเอ่ยปากถามเสียงนุ่ม ส่วนมินก็ค่อยๆ พยักหน้าลงราวกับถูกมนต์สะกด
เข้าใจแล้วว่าเขาต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ให้กับคนตรงหน้าอยู่วันยังค่ำ พ่ายแพ้ให้กับความน่ารัก ความใจดี และความอบอุ่น เรื่องที่เอาแต่คิดมากมาตลอดทั้งวัน แทบจะมลายหายไปเลย ยามที่ถูกกอบกุมเอาไว้แบบนี้ มหัศจรรย์มากจริงๆ อติน แล้วแบบนี้จะให้เขาไม่รักได้ยังไงกัน...
จะไม่ให้หวงได้ยังไงกัน.....
-------------------------------------------------
งื้ออ เรื่องนี้ออกแนวเรื่อยๆ เลยนะคะ
มันอาจจะน่าเบื่อ ;w; ถือว่าเก็บไว้อ่านฆ่าเวลาแล้วกันนะ
คือมันเรื่อยๆ จริงๆ 5555 ตอนนั้นแต่งแบบ เนิบมาก
อยากให้ตัวละครค่อยๆ ผูกพันกันทีละนิดทีละน้อย
ก่อนจะ.... ตู้มมม! เกิดเป็นโกโก้ครัช.... (?)