พิมพ์หน้านี้ - ♡♡ ร้านกาแฟแห่งนี้มีความรักอยู่ ♡♡ by「aonair」 UP! บทที่ 27-ส่งท้าย [จบ]

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: aonair13 ที่ 10-04-2016 16:53:14

หัวข้อ: ♡♡ ร้านกาแฟแห่งนี้มีความรักอยู่ ♡♡ by「aonair」 UP! บทที่ 27-ส่งท้าย [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: aonair13 ที่ 10-04-2016 16:53:14
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

--------------------------------------------------------------------------------------

ความจริงเรื่องนี้แอร์โพสไปแล้ว 5-6 ตอนนะคะ
แต่กระทู้หาย อันนี้ก็งงๆ เลยลงใหม่และถือโอกาสเปลี่ยนชื่อเรื่องด้วย

เรื่องก็ไม่มีอะไรมาก อ่านเพลินๆ เนาะ (หรอ)
ยังไงก็ขอฝากเรื่องราวของ น้องอติน ไว้ด้วยน้า
 :hao7:

-------------------------------------------------------------

นิยายเรื่องอื่นๆ ของ aonair

1) The missing piece : ฌาณ-ปลาย (ตีพิมพ์กับ สนพ.Hermit) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37393.0) | จบแล้ว
2) เด็กผู้ชาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลก : ติ-พะภู (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=38440.0) | จบแล้ว

ไปเม้ามอยในแฟนเพจกันได้ด้วยนะคะ เพิ่งรีโนเวทใหม่ >> www.facebook.com/aonair13/ (http://www.facebook.com/aonair13/)
หัวข้อ: Re: ♡♡ ในร้านกาแฟ ♡♡ by「aonair」
เริ่มหัวข้อโดย: aonair13 ที่ 10-04-2016 16:57:43
1

「Cafe' de Sept」

เด็กหนุ่มเจ้าของร่างผอมบาง ในชุดลำลองตัวเก่ง กำลังแหงนมองป้ายหน้าร้านกาแฟชื่อดังตรงหัวมุมถนน ในเวลาเช้าตรู่ของช่วงปิดเทอมใหญ่ ไม่มีวี่แววว่าจะผลักประตูเข้าไปเสียที สองมือก็เอาแต่กำแฟ้มสีใสที่เตรียมไว้แน่นจนเอกสารด้านในเริ่มยับย่นไม่น่าดู หยดเหงื่อซึมออกมาบริเวณขมับทั้งที่อากาศไม่ได้ร้อนนัก แต่ในใจกลับว้าวุ่นจนแทบแย่แล้ว ทั้งที่ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะมาที่นี่ มาหาเขาที่นี่...แต่พอเอาเข้าจริง ขามันกลับไม่ยอมขยับ อวัยวะด้านในอกเอาแต่ส่งเสียงโหวกเหวกยิ่งกว่ากลองสะบัดชัยตอนออกรบเสียอีก บ้าชะมัด แบบนี้กลับบ้านก่อนดีกว่า...

“จะไม่เข้าไปหรอครับ?”

พอคิดจะหันหลังกลับ ดันปะเข้ากับเด็กหนุ่มอีกคน ท่าทางอายุไล่เลี่ยกัน ถึงอย่างนั้นกลับสูงลิ่วจนน่าอิจฉา ค่อยยังชั่วที่รอยยิ้มใจดีกับตาหยีๆ นั่นไม่ได้ทำให้เขากลัวจนวิ่งหนีไปซะก่อน พอสังเกตดีๆ แล้วถึงเห็นว่า คนตรงหน้ากำลังสวมชุดยูนิฟอร์มของร้านกาแฟร้านนี้อยู่

“เอ่อ...ครับ เข้าครับ” คนที่คาดว่าจะเป็นพนักงานร้านยิ้มรับ ก่อนจะเอื้อมมือไปผลักประตูร้านเปิดออก พร้อมผายมือชวนแขกหน้าหวานเข้าไปด้านใน

เสียงกระดิ่งตรงประตูดังขึ้น เรียกสายตาแทบทุกคู่ให้หันมามอง มีผู้ชายสามคนกำลังจัดเก้าอี้เตรียมรับลูกค้า และอีกสองคนกำลังผุดลุกผุดนั่งอยู่หลังเคาน์เตอร์ไม้โอ๊คสีเข้ม พนักงานเจ้าของผมสีเทาอ้าปากค้างเหมือนอยากจะต่อว่าคนที่เพิ่งเปิดประตูเชิญแขก ทั้งที่ยังเตรียมร้านไม่เรียบร้อย แต่ก็ทำได้แค่ตีหน้าสุภาพเดินเข้ามาก้มหัวให้เขาสองสามที ทั้งที่อายุอานามน่าจะมากกว่าเขาด้วยซ้ำ ทำให้คนตัวเล็กต้องรีบก้มหัวกลับไวๆ อย่างช่วยไม่ได้ แอบเห็นว่ามีพนักงานที่ใส่หมวกกำลังอมยิ้มมองมาอย่างไม่วางตาด้วย

“ต้องรบกวนให้คุณลูกค้านั่งรอสักครู่นะครับ”

“อ..เอ่อ...”

ไม่มีใครรอให้เขาพูดอะไร ก็รีบกุลีกุจอหาเก้าอี้สานทรงสวยมาวางไว้ใกล้ๆ พร้อมส่งยิ้มบริการชนิดที่ว่าถ้าเป็นผู้หญิงคงต้องใจเต้นโครมครามเลยทีเดียว คนใส่หมวกเมื่อครู่กำลังเดินกลับไปยังเคาน์เตอร์เพื่อขอน้ำเปล่ามารับรองลูกค้าคนแรกของวัน แต่ก่อนจะได้ทำอย่างนั้น ลูกค้าที่ว่ากลับพรวดพราดลุกขึ้นท่ามกลางความงุนงงของพนักงานในร้าน น้ำเสียงแตกหนุ่มค่อยๆ เปล่งออกมาอย่างยากลำบาก หากก็พอให้คนแถวนั้นได้ยินชัดเจน

“คือว่าผมไม่ใช่ลูกค้าหรอกครับ”

“อ่าว...” ทั้งคนผมเทา ทั้งนายตัวสูง ต่างตีสีหน้าแบบไปต่อไม่ถูก ทุกอย่างราวกับหยุดชะงักไปเสี้ยววินาทีหนึ่ง ก่อนที่พนักงานชายท่าทางเหมือนคุณแม่ (?) จะเดินเข้ามายิ้มให้อย่างใจดี

“งั้นมาหาใครหรือเปล่าครับ?”

“ครับ..ผม...ผมมาหา คุณวาโย เจ้าของร้านนี้อะครับ”

คำตอบของเขาดูเหมือนจะยิ่งทำให้พนักงานหน้าตาดีทั้งหกคนงงงันกันเข้าไปใหญ่ แม้แต่ผู้ชายผมสีแดงเด่นหลังเคาน์เตอร์ที่ดูไม่สนใจนักก็ยังหยุดมือ แล้วเงยหน้ามองเขาอย่างเสียไม่ได้ แต่มันก็น่าตกใจอยู่หรอก เพราะลูกค้าที่เข้าร้านนี้ ก็มีแต่พวกติดใจรสชาติอาหารเครื่องดื่ม กับพวกติดใจพนักงานรูปงามเท่านั้นแหละ คงไม่เคยมีใครเดินเข้ามาเพื่อหาเจ้าของร้านแสนลึกลับ ที่ไม่ค่อยปรากฏตัวออกมาหรอก

“ว่าไง มาหาฉันเหรอ?”

ยังคิดไม่ทันจะจบ คนถูกกล่าวถึงก็เดินลิ่วออกมาจากประตูหลังร้าน แบบไม่ให้ซุ่มให้เสียง รู้ตัวอีกทีก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว ผู้ชายผิวคล้ำท่าทางอาเสี่ยหน่อยๆ ยิ้มกว้าง ก่อนจะยักไหล่เป็นเชิงให้เขาเดินตามขึ้นไปยังชั้นสามของร้าน ซึ่งเป็นส่วนของห้องทำงานรวมถึงห้องพักผ่อนของนายวาโย

“จะมาสมัครงานหรอ?” ทันทีที่ถูกเชิญให้นั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามกัน คำถามที่ราวกับอ่านใจออกก็ถูกส่งมาให้ อย่างไม่มีเวลาตั้งตัว

คนตัวเล็กสะดุ้งเล็กน้อยแต่ก็ทนเก็บอาการตื่นเต้นไว้ ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ สองมือยื่นแฟ้มออกไปบนโต๊ะ ได้แต่ยิ้มแห้งๆ กับความไม่เรียบร้อยของเอกสารภายในซึ่งถูกบีบจนยับไปหมด คนมีอายุรับไปเปิดดูเพียงแค่ไม่กี่วินาที ก็เลิกสนใจ หันกลับมานั่งจ้องเด็กตรงหน้าแทน ในหัวเริ่มคิดแผนต่างๆ นาๆ อย่างสนุกสนาน ทั้งที่อีกฝ่ายน่ะ ลนจนปากมือสั่นไปหมดแล้ว

“ชื่ออติน อายุ 20 ย่าง 21 ปี หน้าตาน่ารัก ท่าทางใช้ได้...” วาโยเริ่มพิจารณาเค้าโครงสัดส่วนของคนตรงข้ามไปเรื่อย จนในที่สุดก็ยิ้มกว้างออกมา พร้อมปรบมือเสียงดัง จนเรียกสติที่เกือบหลุดไปแล้วของอตินให้กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว

“ฉันรับนายเข้ามาเป็นเด็กฝึกหัดก่อนละกัน”

“เด็กฝึกหัด?”

“อื้อ ขอดูลาดเลาสักสองอาทิตย์ก่อนนะ ถ้าใช้ได้ถึงจะให้เป็นพนักงานพาร์ทไทม์ ในนี้เขียนไว้ว่า 6 เดือนใช่ไหม”

“ครับ” อตินตอบกลับเสียงตื่นเต้น แม้แต่ก้นก็แทบไม่ติดเก้าอี้อีกต่อไป

“ก็เดี๋ยวลงไปแนะนำตัวกับคนอื่นๆ”

“ขอบคุณมากเลยครับ! ขอบคุณจริงๆ ครับ”

เลือดในตัวสูบฉีดรัวเร็วด้วยความดีใจระคนตื่นเต้น ความหวังที่ค่อยๆ ลดต่ำลงเมื่อครู่ ถูกจุดขึ้นมาอีกครั้งด้วยคำพูดประโยคเดียวเท่านั้น ไม่อยากเชื่อเลยว่าเขาจะได้งานง่ายๆ แบบนี้ ทั้งที่พนักงานของ Café de Sept น่ะมีแต่พวกเก่งๆ ใครก็รู้ แบบนี้เรื่องที่จะได้อยู่ใกล้ๆ คนคนนั้นก็ไม่ไกลอีกแล้วสิ... ดีใจจัง

ในที่สุดก็ตามมาจนเจอแล้วนะ...

 

“สวัสดีครับ ผมชื่ออตินครับ” คนตัวเล็กยิ้มกว้างจนน่าหมั่นเขี้ยว ระหว่างกำลังแนะนำตัวกับสมาชิกร้าน ในฐานะว่าที่พนักงานคนใหม่ เรียกได้ว่าความสดใสน่ารักมันทะลุออกมา จนคนฟังแทบจะกลั้นยิ้มไว้ไม่อยู่

“ฉันชื่อ เบส นะ เป็นหัวหน้าพนักงานของที่นี่ มีอะไรก็มาปรึกษาได้” คนผมเทาเริ่มแนะนำตัวบ้าง ก่อนจะส่งต่อให้ผู้ชายมีแก้มข้างๆ

“ฉันชื่อ แจน ยินดีที่ได้รู้จักนะ”

“เรียกฉันว่า พี่ซัน ได้เลยนะ อติน~” คนใส่หมวกดูท่าทางตื่นตัวกว่าทุกคน แถมยังเอื้อมมาจับมือของเขาอย่างไม่บอกกล่าวอีกต่างหาก แต่ก็ถูกเบสปรามไว้ทันถ่วงที ก่อนที่พนักงานตัวสูง คนที่เปิดประตูให้เขาเข้ามาจะเป็นฝ่ายพูดบ้าง

“เราชื่อมินนะ”

อตินพยักหน้ารับ รู้สึกถูกชะตากับเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันคนนี้มาก คงเพราะดูใสๆ ซื่อๆ ไม่มีพิษภัยล่ะมั้ง แถมยังเล่นแจกยิ้มตลอดเวลาอีก สาบานได้ว่าถ้าเขาเป็นผู้หญิง คงได้มีตายกันล่ะงานนี้

“ฉันชื่อ น็อต กลายๆ ว่าเป็นคุณแม่ของไอ้พวกนี้ล่ะ” ผู้ชายท่าทางมีวุฒิภาวะหน่อย เอ่ยปากเรียกเสียงฮาจากคนอื่นๆ ดูจากท่าทางอบอุ่นที่แผ่ออกมาแล้ว ก็เดาได้ไม่ยากล่ะนะ ว่าต้องคอยดูแลสมาชิกในร้านขนาดไหน

“เอ่อ แล้ว...” เด็กใหม่ทำใจกล้า หันไปจับจ้องพนักงานคนสุดท้าย เจ้าของผมสีแดงกับใบหน้าเรียวได้รูป ท่าทางลุ้นๆ คงสร้างความกดดันให้อีกฝ่ายต้องยอมเปิดปากอย่างช่วยไม่ได้

“มาร์ช”

“เอาล่ะ เราก็แนะนำตัวกันเสร็จแล้ว ฉันขอเป็นตัวแทนของพวกเราเลยนะ...” เบสกล่าวเสียงดังฟังชัด หันหน้ามองสมาชิกคนอื่นๆ เล็กน้อย ก่อนจะสูดหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ และพ่นออกมาทางปาก พร้อมผายมือสองข้างออกจากกัน ทำท่ายิ่งใหญ่โอเวอร์ซะจนคนฟังถึงกับหลุดขำออกมา

“ยินดีต้อนรับอติน เข้าสู่ร้าน Café de Sept ของเรา!”

 

“อันนี้เป็นบ้านพักพนักงาน คุณวาโยสร้างไว้ให้พวกเราโดยเฉพาะ”

น็อตเดินนำอตินเข้าไปยังตัวบ้านขนาดกลางค่อนไปทางใหญ่ ตั้งอยู่ไม่ไกลจากร้าน โดยมีสมาชิกคนอื่นเดินตามไม่ห่าง นี่คือหนึ่งในข้อตกลงที่เขาเพิ่งทำไว้กับคุณวาโย นั่นก็คือพนักงานทุกคน ไม่เว้นแม้แต่เด็กฝึกหัด จะต้องย้ายมาอยู่ด้วยกันในบ้านหลังนี้ ว่ากันว่าง่ายต่อการจัดการ และเพื่อกระชับความสัมพันธ์น่ะนะ

“มีห้องนอนว่างอยู่ห้องหนึ่งพอดี” เบสชี้ไปทางประตูสีขาวของห้องหนึ่ง แต่ก็โดนน็อตขัดขึ้นทันที ท่ามกลางความสนอกสนใจจากคนอื่นๆ

“ฉันว่าฉันจะย้ายไปนอนห้องนั้นเอง แล้วให้อตินไปนอนกับมิน เพราะอตินเพิ่งย้ายเข้ามาแถมยังเด็กด้วย ก็คงจะเหงา ถ้าให้นอนคนเดียวอีก ใจร้ายแย่”

“พี่น็อตพูดถูกครับ” มินรีบยกมือเห็นด้วย จนซันต้องเดินเข้ามาเตะขาไปทีด้วยว่าหมั่นไส้หรืออะไรก็ไม่ทราบ พอเบสหยุดคิดไปครู่หนึ่งแล้วจึงพยักหน้าเข้าใจ

“จริงด้วย ฉันก็ลืมคิดไป งั้นให้อตินนอนกับมินแล้วกันนะ”

“เดี๋ยวสิ ให้นอนกับผมก็ได้” ซันรีบโวยแล้วเดินเข้ามาโอบไหล่อตินไว้อย่างถือวิสาสะ แต่ก็โดนเบสดักคอเช่นทุกครั้ง

“นายก็นอนกับมาร์ชไปสิ ตกลงแล้ว เอาแบบนี้แหละ”

“เดี๋ยวเราช่วยถือนะ”

มินคนดีรีบขยับเข้าหาเพื่อนใหม่ ออกปากช่วยยกสัมภาระตัดหน้าคนอื่น ซันได้แต่ส่งเสียงไม่พอใจอยู่ในลำคอ พลางมองตามทั้งคู่หายเข้าไปในห้องนอนอย่างเซ็งๆ น็อตกับแจนพากันเข้าครัวเพื่อเตรียมอาหารเย็น ส่วนมาร์ชก็หายวับไปตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ เหลือแต่เบสที่ยืนปั้นหน้าสะใจอยู่ไม่ห่าง

“พี่เบสนะ เข้าข้างไอ้มิน”

“กูเป็นห่วงอตินเขาหรอก”

“หา ว่าไงนะ!?”

ซันถอดหมวกออกมาฟาดกับอากาศ แล้วตะโกนไล่หลังเบสที่กำลังหนีเข้าห้อง รู้สึกหงุดหงิดกว่าปกติที่เคยเป็น ยอมรับเลยว่าเขาชอบเรียกร้องความสนใจเป็นที่สุด และทุกครั้งก็มักได้รับความรักจากลูกค้าหลายๆ ท่าน ผิดก็แต่ครั้งนี้แหละ ทำไมเด็กนั่นไม่เห็นมีท่าทีสนใจเขาเลย เพราะเป็นผู้ชายด้วยกันงั้นเหรอ...แบบนี้ซันไม่ยอมหรอก จะทำให้อตินร้องหาแต่ตัวเองเลยคอยดู

 

“รอก่อนนะ เดี๋ยวจะตามพี่น็อตมาย้ายของ” มินรีบพูดขึ้น เมื่อเห็นว่าบนเตียง โต๊ะ รวมทั้งตู้ ฝั่งของน็อตยังคงเต็มไปด้วยรายการของใช้มากมาย ทำให้คนย้ายมาใหม่เริ่มวางตัวไม่ถูก ภายในห้องสี่เหลี่ยมไม่คุ้นเคยนี้

“ไม่เป็นไรหรอก พี่เขาทำอาหารอยู่ไม่ใช่หรอ เรารอได้”

“อืม...งั้น อยากเดินดูรอบๆ ไหม?”

“เอาสิ”

อตินรีบเด้งตัวออกจากปลายเตียงอย่างสนอกสนใจ เรียกร้อยยิ้มจากอีกฝ่ายได้ไม่ยาก และถือว่าเป็นโชคดีที่ออกไปแล้วไม่เจอซันมารังควาน ทำให้มีเวลาเดินชมห้องหับต่างๆ ไปได้อย่างสบายใจ หลังจากที่แนะนำห้องครัว ห้องทานอาหาร ห้องนั่งเล่น ห้องออกกำลังกาย และอื่นๆ อีกยิบย่อยหมดแล้ว ก็เป็นเวลาของการชมสวน ซึ่งมินมีท่าทีนำเสนอเอาเสียมากๆ

“มินนี่ยิ้มเก่งเนอะ”

“ร..เหรอ”

คนถูกพูดถึงยิ้มเขินพลางยกมือเกาแก้มเบาๆ อยากจะบอกว่าเขาเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงได้เอาแต่ยิ้มเป็นบ้าเป็นหลังมาได้สักพักแล้ว... ความจริง ไอ้สักพักที่ว่า ก็ตั้งแต่ที่เจอกับอตินเป็นต้นมานั่นแหละ

“อื้อ แต่ดีนะ เราชอบ”

มินแทบจะหลบสายตาตรงหน้าแทบไม่ทัน หัวใจมันดันกระตุกขึ้นมาเสียเฉยๆ แค่ได้ยินคำว่า ชอบ ก็ทำเอาไปไม่เป็นแล้ว แก้มขาวๆ เริ่มแดงระเรื่อจนต้องรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาให้ไวที่สุด ไม่อย่างนั้นต้องถูกมองว่าเป็นไอ้บ้าแน่

“สวนนี้เราเป็นคนดูแลเอง”

“จริงเหรอ”

ถามออกไปด้วยน้ำเสียงชื่นชม พลางกวาดตามองไปรอบๆ บริเวณพื้นหญ้าเขียวขจี มีต้นไม้วางเรียงเป็นหย่อม พุ่มไม้ดอกไม้แต่ละชนิดถูกจัดวางอย่างสวยงาม ออกดอกออกผลสะพรั่งซะจนอดตื่นตาตื่นใจไม่ได้ มินคนยิ้มหวาน กับสวนดอกไม้ในอุดมคติ นี่มันผู้ชายแบบไหนกันนะ จะอบอุ่นมุ้งมิ้งเกินไปแล้ว! ทั้งที่อายุเท่าๆ กัน แต่กลับมีเสน่ห์ที่ดูอ่อนโยนอย่างกับผู้ใหญ่ ถึงอย่างนั้นก็ยังเต็มไปด้วยความใสซื่อแบบเด็กๆ ตัวก็สูงชะลูด น่าอิจฉาแฮะ

“อติน มิน กินข้าวได้แล้ว”

เสียงแจนดังออกมาจากตัวบ้าน พอหันไปมองก็เห็นเจ้าตัวกำลังโบกมือเรียกผ่านทางหน้าต่าง สักพักซันก็ชะโงกหน้าออกมาส่งยิ้มให้คนตัวเล็กอีกไม่รู้กี่รอบ ทั้งคู่เลยต้องรีบพากันกลับเข้าไปร่วมวงบนโต๊ะอาหารตัวยาว

แน่นอนว่าอตินถูกซันลากไปนั่งข้างกัน โดยที่มีมินอยู่ตรงข้าม ส่วนตรงข้ามซันเป็นมาร์ช ถัดไปอีกเป็นคู่น็อตกับแจน และมีเบสนั่งอยู่หัวโต๊ะ อาหารน่าตาน่าทาน จนเกือบไม่เชื่อว่าเป็นฝีมือผู้ชายทำ กลิ่นกับรสชาติเองก็เรียกว่าใช้ได้เลยทีเดียว แบบนี้ชักกลัวแล้วว่าจะถูกขุนจนอ้วนหรือเปล่านะ

“ว่าแต่ ทำไมอตินถึงอยากมาทำงานที่ Café de Sept ล่ะ?”

เบสถามขึ้น เป็นการเปิดบทสนทนาแรกระหว่างรับประทานอาหาร ซึ่งคนอื่นๆ ก็ดูจะให้ความสนใจมากเช่นกัน ส่วนคนโดนถามน่ะ เอาแต่อึกอักไม่รู้จะพูดว่ายังไงดี สายตาเหลือบไปมองมาร์ชแว้บหนึ่ง ก่อนจะรีบหันไปตอบคำถามเบสแบบขอไปที

“ผมอยากหาประสบการณ์อะครับ แล้วร้านนี้ก็มีชื่อมากด้วย”

“แต่ก็ไม่ง่ายเลยนะ” แจนเริ่มเอ่ยปากบ้าง ซึ่งเกือบทุกคนบนโต๊ะต่างก็พร้อมใจกันพยักหน้าเห็นด้วย ตามมาด้วยน็อตที่เสริมคำพูดเมื่อครู่ขึ้นทันควัน เหมือนกับจะขู่ให้น้องใหม่กลัวอย่างนั้นแหละ

“รู้ใช่ไหมว่ามาตรฐานร้านเราค่อนข้างสูง เครื่องดื่ม อาหาร ทุกเมนูต้องคงรสชาติที่เหมาะสมที่สุด บรรยากาศและความสะอาดภายในร้านก็ต้องดูแลอยู่ตลอด ส่วนการบริการแน่นอนว่าต้องเป็นเลิศ”

“แต่ที่ยากจริงๆ น่ะ คือวันนั้นของเดือนต่างหาก”

มินพูดขึ้นพร้อมทำท่าสั่นไปด้วย เล่นเอาคนอื่นๆ นอกจากเบสกับซันต่างหน้าซีดกันไปเป็นแถบ วันนั้นของเดือน...พูดซะเห็นเลือดเลย มันคืออะไรหว่า ความจริงอตินไม่ได้รู้เรื่องร้าน Café de Sept มากนักหรอก ถึงจะโด่งดังแต่เขาก็ไม่เคยแวะเวียนไปเลย ส่วนที่จู่ๆ มาขอเข้าทำงาน นั่นมันมีเหตุผลอยู่น่ะสิ...

“เอ่อ...วันนั้นของเดือน?” คนมาใหม่ทำใจกล้าทวนคำพูดเมื่อครู่ออกไป อาจจะดูงี่เง่าที่ไม่รู้ แต่เขาก็ไม่รู้จริงๆ นี่น่า ถึงบางคนบนโต๊ะจะมีสีหน้าแปลกใจอยู่บ้าง แต่ก็ไม่มีใครว่าอะไร และปล่อยให้เบสอธิบายขยายความต่อ

“ร้านเรามีจุดเด่นอยู่อย่าง คือในทุกๆ เดือน จะมีหนึ่งวัน ที่พนักงานต้องแต่งตัว...แบบว่า คอสเพลย์ อะไรแบบนั้นน่ะ”

“ท..ทุกคนเลยหรอครับ?”

“ใช่ ทุกคน”

 แจนตอบเสียงอ่อย พยายามจะตักข้าวเข้าปาก หากก็วางมันกลับลงไปในจาน ดูเหมือนคนที่มีอดีตฝังใจกับเรื่องนี้สักอย่าง ก็แน่ล่ะ ปีก่อนเขาเคยถูกจับใส่ชุดแตงกวาเดินเสิร์ฟชาไปมาน่ะสิ น่าอายจะตาย

พอเห็นแบบนั้น ก็ทำเอาอตินไม่กล้าแม้แต่จะถามต่อ เพราะกลัวไปจี้จุดใครเข้า ผิดกับเบสและซันที่ยังคงเฮฮาต่อไปแบบไม่ยี่หระ แถมดูท่าทางออกจะชอบใจกับกิจกรรมประจำเดือนนี้เสียอีก ก็เข้ากับความเป็นพวกเขาดีล่ะนะ

ทั้งหมดร่วมพูดคุยกันต่ออย่างออกรส จนเริ่มวกกลับเข้าประเด็นเดิมๆ อีกครั้ง

“แล้วผมต้องช่วยงานอะไรบ้างอะครับ?”

“แล้วนายทำอะไรเป็นบ้างล่ะ?” ทั้งโต๊ะเงียบสนิท เมื่อคนสวนกลับดันเป็นชายที่ปิดปากมาตลอด มาร์ช และแน่นอนว่าอตินเองก็สะดุ้งไปเช่นกัน ไม่คิดว่ามาร์ชจะยอมพูดกับเขาบ้าง แต่ก็เป็นคำที่ฟังดูไม่ลื่นหูเอาเสียเลย

“เอ่อ...ผม...”

“ชงกาแฟเป็นไหม? แยกชนิดของกาแฟออกรึเปล่า?”

“เอ่อ...”

“เครื่องดื่มอย่างอื่นล่ะ?”

“เอ่อ...”

“นี่นายตั้งใจมาทำงานจริงรึเปล่า”

คำพูดตรงไปตรงมาของมาร์ชเล่นเอาคนตัวเล็กสะอึก พยายามสะกดความเจ็บจุกในอกให้ย้อนกลับลงไป ได้แต่ก้มหน้าก้มตายอมรับว่าตัวเองทำอะไรไม่เป็น และไม่ได้มีคุณสมบัติในการทำงานร้านกาแฟเลยแม้แต่น้อย คนอื่นเองก็ดูจะตกใจไม่ใช่น้อยที่รู้ความจริงข้อนี้ ถึงอย่างนั้นก็ยังพยายามส่งสายตาเป็นกำลังใจไปให้ ซันซึ่งอยู่ใกล้ที่สุด ค่อยๆ วางมือลงกับไหล่บางพลางบีบปลอบเบาๆ รีบตวัดสายตาดุดันกลับไปทางมาร์ชที่ยังคงไม่ใส่ใจ

“พูดดีๆ ไม่ได้หรือไง? อตินกลัวหมดแล้วเห็นไหม”

“ฉันแค่พูดตามจริง เด็กนี่ทำอะไรไม่เป็น แล้วจะทำงานในร้านได้ยังไง?”

“เรื่องแค่นั้นฝึกเอาก็ได้นี่” ซันยังคงพยายามช่วยคนเป็นน้อง ท่ามกลางสายตาลุ้นๆ ของคนอื่นบนโต๊ะ ในที่สุดอตินก็ยอมเงยหน้าขึ้นสบตามาร์ชอีกครั้ง พร้อมเอ่ยปากเสียงจริงจัง

“ผมจะฝึกอย่างหนักครับ!”

“งั้นเริ่มจากต้มน้ำร้อนให้เป็นก่อนละกัน”

คนหัวแดงทิ้งท้ายด้วยการพูดจาดูถูกเด็กใหม่อย่างที่สุด ก่อนจะลุกขึ้นเอาจานไปเก็บที่ห้องครัวและหายเข้าไปในห้องนอนภายในเวลาอันรวดเร็ว ขนาดเบสที่เป็นหัวหน้าพนักงานก็ยังไม่กล้าแม้แต่จะพูดขัดอะไรออกมา เพราะถึงยังไงมาร์ชก็มีอายุมากที่สุดในทั้งเจ็ดคนตอนนี้ และเพราะนิสัยเจ้าระเบียบจนออกจะเป็นคนขรึมโหด ถึงทำให้ไม่มีใครกล้าหือกับเขานัก ถึงหลายครั้งจะเห็นซันพยายามถกเถียง แต่ก็ไม่เคยมีแววว่าจะชนะ เรียกได้ว่าผู้ชายผมแดงคนนั้นนั่นแหละ ที่กุมอำนาจของ Café de Sept เอาไว้

แล้วการที่อตินถูกมาร์ชหมายหัวตั้งแต่วันแรกแบบนี้ คงทำอะไรไม่ได้นอกจากคอยเป็นกำลังให้อยู่ห่างๆ นึกในใจว่าเด็กนี่มันซวย ซวยจริงๆ...

----------------------------------------------------------------

อ่านแล้วจะรู้สึกน่าเบื่อใช่ปะ
แต่ก็อยากให้อ่านต่อไปค่ะ 5555

หัวข้อ: Re: ♡♡ ในร้านกาแฟ ♡♡ by「aonair」
เริ่มหัวข้อโดย: aonair13 ที่ 11-04-2016 18:34:29
2

“ก่อนจะวางแก้วน้ำ ต้องวางด้วยที่รองก่อน”

น็อตทำทีว่าเดินเข้ามาเสิร์ฟน้ำ โดยทำการวางที่รองแก้วแบบเชือกสานลงบนโต๊ะก่อน แล้วตามด้วยน้ำเปล่าบรรจุในแก้วเหล้า เป็นตัวอย่างให้กับน้องใหม่ซึ่งกำลังเพ่งดูทุกขั้นตอนอย่างไม่ให้ตกหล่น ลูกค้าทุกคนที่เข้าร้านมา จะได้รับเสิร์ฟน้ำเปล่าแบบนี้ก่อนเป็นอันดับแรก แม้จะยังไม่ได้สั่งเมนูใดเลยก็ตาม ถือเป็นหนึ่งในบริการอันน่าชื่นชมของร้านมาตลอด ถึงขนาดว่าบางคนเดินเข้ามาดื่มแต่น้ำเพียวๆ ก็มี

“เวลาถือถาดเสิร์ฟ ก็ไม่ใช่สักแต่จะเดินลิ่วๆ ต้องคอยสังเกตระหว่างทาง อย่าให้ชนโต๊ะหรือลูกค้าท่านอื่นเด็ดขาด”

“ครับ”

“ถ้าต้องขึ้นบันไดไปเสิร์ฟชั้นสอง ต้องเดินชิดขวาเสมอ”

สมุดโน้ตเล่มเล็กที่ได้รับบริจาคมาจากแจน เต็มไปด้วยตัวอักษรขยุกขยิกที่อตินพยายามจดแทบทุกรายละเอียดของการฝึกสอนลงไป ทุกวันนี้เขายังเป็นได้แค่เด็กล้างจานอยู่เลย ตราบใดที่ยังไม่ผ่านการอบรบจากทุกภาคส่วนภายในร้าน ก็ยังไม่ได้แม้แต่จะสวมยูนิฟอร์มเท่ๆ ด้วยซ้ำไป

หลังจากฝึกเรื่องมารยาท การบริการกับน็อตแล้ว ก็ไปฝึกทำขนมกับแจนต่อ แต่ส่วนนี้ค่อนข้างยาก เพราะเขาไม่เคยเข้าครัวมาก่อนเลย แต่แจนก็ใจดีมาก ค่อยๆ สอนไปไม่เคยบ่น สักพักก็จะยอมให้ชิมเค้กได้ด้วย ก็เลยชอบมากเป็นพิเศษ ส่วนเบสกับซัน ร่วมกันติวภาคทฤษฎี ว่าด้วยเรื่องประวัติความเป็นมาของร้าน รวมทั้งการเข้าใจตลาด หรือการวิเคราะห์ลูกค้าแต่ละประเภทในแต่ละช่วงเวลา ดูจริงจังจนไม่คิดว่าสองคนนี้จะสอนได้ แต่กลับอธิบายออกมาได้น่าสนุกกว่าที่คาด ทำให้ข้อมูลถูกประมวลผลได้ง่ายขึ้นเพราะไม่ค่อยน่าเบื่อ แถมยังได้รู้เรื่องสุดยอดอย่างเช่นว่า Café de Sept เคยมีพนักงานหญิงมาก่อนด้วย แต่ตอนนี้ก็กลายมาเป็นคาเฟ่ชายล้วนซะแล้วล่ะนะ

มินก็คอยช่วยเหลือในเรื่องยิบย่อยต่างๆ แต่ส่วนใหญ่จะคอยให้กำลังใจเสียมากกว่า ส่วนหน้าที่หลักของน้องเล็กคนนี้ก็คือการดูแลเรื่องดอกไม้ตกแต่งร้าน อย่างพวกดอกไม้ในแจกันบนโต๊ะ แต่ละอาทิตย์จะไม่เหมือนกัน และทุกดอกก็มาจากฝีมือมินเองล้วนๆ ดูเป็นผู้ชายแบบที่หาตัวจับยากพอควรนะ คิดว่าคงถูกใจผู้หญิงหลายๆ คนแน่ เพราะขนาดเขาเอง ยังอดปลื้มไม่ได้เลย

ส่วนที่โหดสุดน่ะหรอ...แน่นอนว่าเป็นการฝึกชงเครื่องดื่มกับมาร์ช ตั้งแต่ผ่านมาได้สองวัน เขาโดนดุนับครั้งไม่ถ้วน ร้ายหน่อยก็โดนตี แถมไม่ออมแรงสักนิด ทั้งที่หน้าตาหล่อออก ทำไมใจร้ายจัง แต่ก็แปลก...แปลกมากที่เขาเอาแต่นั่งนับชั่วโมงรอช่วงฝึกพิเศษกับผู้ชายคนนี้ตลอดเลย อยากทำให้ยอมรับ ว่าเขาเองก็มีดี ไม่ใช่ว่าทำอะไรไม่เป็นอย่างที่เคยดูถูกไว้

“ขม”

เจ้าของผมสีแดงวางแก้วโกโก้ฝีมือเด็กใหม่ลงอย่างไร้เยื่อใย นี่ก็เป็นโกโก้แก้วที่สามของวันแล้ว ไม่คิดว่าจะพลาดอีก การชงเครื่องดื่มให้ออกมาได้รสชาติกลมกล่อมที่สุด ฟังดูเหมือนไม่ค่อยยากนะ เพราะสูตรมันก็มีอยู่ แต่พอทำจริงๆ แล้ว ดันไม่ง่ายเลยน่ะสิ รู้สึกว่าแค่ตวงอะไรผิดนิดๆ หน่อยๆ ก็ทำให้รสชาติบิดเบือนไป ยิ่งกับร้านนี้ที่มีมาตรฐานสูงแล้วด้วย ความผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว ก็ไม่สามารถยอมรับได้ โดยเฉพาะเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ชายชื่อมาร์ชนี่แหละ

“กาแฟก็ยังไม่รอด พวกช็อคโกแลตก็ยังไม่ได้”

“ผมก็พยายามอยู่นะ”

“แต่ยังไม่พอ”

“คนอื่นไม่เห็นดุแบบนี้เลย...”

อตินเบะปาก แล้วก้มหน้าบ่นอุบ แต่ก็ไม่วาย ได้ยินถึงหูอาจารย์สุดโหด มาร์ชก้มตัวลงมาให้สายตาอยู่ในระดับเดียวกับอีกฝ่าย ก่อนจะดีดนิ้วลงบนหน้าผากมนแรงๆ คนตัวเล็กร้องโอยพลางยกมือขึ้นลูบจุดแดงป้อย

“งั้นก็ให้คนอื่นสอนละกัน”

“มะ..ไม่เอาครับ!”

ยังไม่ทันหายเจ็บ ก็รีบตรงเข้าคว้าแขนของมาร์ช ซึ่งทำท่าจะเดินหันหลังให้เอาไว้ก่อน พอถูกสายตาคมตวัดมามอง ถึงเพิ่งรู้ตัวและค่อยๆ ปล่อยมือออก ดวงตากลมเล็กกลอกซ้ายขวาเหมือนต้องการหาที่พึ่ง แต่ดูเหมือนคนอื่นๆ กำลังวุ่นกับการเก็บร้าน เลยไม่มีใครสนใจทางด้านนี้นัก

มาร์ชถอนหายใจเบาๆ แล้วจงใจผลักหัวอตินไปอีกที ไม่รู้ด้วยว่าเหนื่อยใจหรือหมั่นเขี้ยวกันแน่ สุดท้ายก็กลับมาเริ่มนับหนึ่งการชงโกโก้กันใหม่ ถึงจะยังโดนดุโดนตี แต่ในใจของเด็กน้อยกลับรู้สึกอบอุ่นขึ้นทีละเล็ก ทีละน้อย... ท่วงท่าของมาร์ชยามชงเครื่องดื่มแต่ละชนิด ช่างดูสวยงามจนน่าประทับใจ ใบหน้าหล่อเหลาที่มองดูเคล้าความอ่อนโยน...ใบหน้านี้เขาไม่เคยลืมเลย ทั้งที่เขาไม่ลืม แต่ทำไมอีกฝ่ายถึงได้เย็นชาแบบนี้...

ลืมแล้วเหรอ เรื่องเมื่อก่อน ลืมหมดแล้วเหรอ.....?

 

“เฮ้อ เหนื่อยอะ”

“ค่อยเป็นค่อยไปน่า”

มินพูดปลอบ ทันทีที่อตินล้มตัวลงนอนบนฟูกขาว ปากก็บ่นถึงความไม่เอาไหนของตัวเอง แต่คนตัวสูงกลับมองว่าอีกฝ่ายเก่งมาก ที่สามารถปรับตัวและมีพัฒนาการได้รวดเร็วขนาดนี้ จำได้ว่าตอนที่เขาเข้ามาทำงานในร้านใหม่ๆ ยังเงอะงะยิ่งกว่าอตินซะอีก แต่นี่แค่อาทิตย์เดียว ก็ผ่านการฝึกกับน็อตแล้ว แถมข้อมูลจำเป็นต่างๆ จากเบสกับซันก็จำได้แม่นสุดๆ อีกต่างหาก ไม่นับรวมเรื่องที่อบพายอย่างง่ายเป็นแล้วด้วยนะ ก็ว่าสิ ทำไมคุณวาโยถึงเอะอะรับเข้ามาทำงานง่ายๆ ต้องเป็นเพราะมองเห็นแววอะไรบางอย่างในตัวผู้ชายคนนี้แน่

“อยากสวมยูนิฟอร์มแล้ว อยากรับแขกบ้าง” คนตัวเล็กใช้กำปั้นทุบเตียงเหมือนเด็กที่กำลังงอแง มินหัวเราะน้อยๆ กับท่าทีนั้น ก่อนจะคลานเข้าไปมองหน้าอตินใกล้ๆ

“พูดอย่างกับเป็นโฮสต์”

“ก็คล้ายอยู่นะ”

“ตรงไหน?”

“ก็ที่ต้องเก๊กหน้าหล่อตลอด แล้วก็คอยพูดจาหวานๆ กับลูกค้าสาวๆ ไง”

อตินยกตัวขึ้นพร้อมแซวอีกฝ่ายด้วยอารมณ์สนุก พยายามเลียนแบบท่าทีของมินตอนที่คอยต้อนรับพวกลูกค้าวัยรุ่น จนคนโดนล้อถึงกับหน้าแดงเรื่อ รีบเข้ามาจับข้อมืออตินให้หยุด ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาทั้งคู่

“ไม่ได้ทำแบบนั้นสักหน่อย รู้ได้ไง” เจ้าของร่างสูงพยายามเถียงทั้งที่ยังยิ้มจนตาหยี แต่คำตอบของอีกฝ่ายเนี่ยสิ เล่นเอาเขินจนแทบจะม้วนตัวให้ดูซะตอนนี้เลย

“ก็มองอยู่”

“อ่า...”

“มินอาบน้ำนอนก่อนเลยนะ เราขอไปฝึกชงกาแฟต่ออีกหน่อย” ค่อยยังชั่วที่คนตัวเล็กเปลี่ยนเรื่องขึ้นมาทัน ก่อนจะได้เห็นหน้าสีมะเขือเทศของเขา พอเห็นว่าอตินเตรียมลุกไปฝึกชงกาแฟอย่างที่ว่า ก็ไม่ลืมเสนอตัวเข้าช่วยเหลือ

“เดี๋ยวเราไปช่วยดีกว่า”

อาจจะเพราะว่านิสัยส่วนตัวของเขา เป็นคนมีน้ำใจในระดับหนึ่งอยู่แล้ว แต่พอเป็นคนคนนี้ กลับอยากช่วยยิ่งกว่าปกติ รู้สึกอยากทำดีด้วย อยากอยู่ใกล้ อยากปกป้อง อยาก...ตั้งหลายอย่าง เหมือนถูกชะตาตั้งแต่แรกเห็นแล้ว

ใช่...ตั้งแต่วันแรก ที่เห็นผู้ชายร่างบางมายืนลุกลี้ลุกลนอยู่หน้าร้านกาแฟ สองมือเล็กกำแฟ้มบางอย่างไว้แน่น ท่าทางสับสนในตอนนั้น แค่เห็นไกลๆ ก็อดคิดว่าน่ารักไม่ได้ ยิ่งเข้ามาใกล้กัน...เข้ามารู้จัก ยิ่งรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก เป็นความรู้สึกแบบที่มีต่อคนคนเดียวเท่านั้น...

ความรู้สึกแปลกๆ ที่เขามีต่ออตินเท่านั้น.....

“ไม่เป็นไร”

“ไม่เป็นไรเหมือนกัน”

“เราอยากลองทำให้ได้ด้วยตัวเองก่อน” พอเจอประโยคจริงจังนี้เข้าไป คนอยากช่วยก็ต้องเงียบลงทันที รังจะตื้อต่อก็คงไม่ยอมง่ายๆ ท่าทางทุ่มเทขนาดนี้ สงสัยต้องยอมปล่อยตามใจ

“ก็ได้ แต่อย่าหักโหมมากนะ มีอะไรให้ช่วยก็เรียก”

“ค้าบบ”

เป็นอีกครั้งที่มินเผยยิ้มแก้มแทบปริ ก็ไอ้คำว่า ค้าบ แบบเด็กๆ กับหน้าตาน่ารักๆ นั่น มันทำให้ใจคนฟังสั่นไหวเป็นเจ้าเข้าเลยนะ นึกไม่ออกเลยว่าถ้าไปทำแบบนี้ให้ซันหรือใครเห็นเข้าจะโดนอะไร ไม่ทุบหัวลากเข้าห้อง ก็ต้องอุ้มขึ้นเตียงซะล่ะมั้ง

เฮ้ย...คิดอะไรเนี่ยมิน ทำเหมือนอตินเป็นเด็กผู้หญิงไปได้ แต่เห็นหน้าแบบนั้นแล้วก็อดเป็นห่วงไม่ได้อยู่ดี ยิ่งต้องอยู่ในรัง Café de Sept แล้วเนี่ย...จะต้องเจอกับอะไรบ้างก็ไม่รู้ ทั้งความเจ้าชู้ไม่เลือกหน้าของซัน ทั้งความโหดของมาร์ช ยังต้องรับมือกับลูกค้าตั้งหลายประเภท แถมวาโยเองก็พิสดารไม่เลือกเวลาอีก สาบานได้ว่าครั้งหนึ่งเขาเคยถูกจับคอสเพลย์เป็นขวดน้ำด้วย!

นี่แค่คิดยังเหนื่อยเลย ไม่ไหวๆ ยังไงเขาก็จะขอดูแลอตินเอง ในฐานะ.....เอ่อ เพื่อนร่วมห้องละกัน

 

“วานิลลาไซรัป... 15 มิลฯ พอละกัน”

เด็กฝึกหัดคนเดียวของบ้านพัก ยืนตวงวัตถุดิบสำหรับ คาราเมล มัคคิอาโต้เย็น ซึ่งมาร์ชเพิ่งสอนเขามาหมาดๆ ถ้าจำไม่ผิดเจ้าตัวจะชอบเมนูนี้มากเป็นพิเศษด้วย เพราะงั้นเขาถึงอยากทำมันออกมาให้ดี เผื่อว่าจะทำให้มาร์ชยอมรับได้เร็วขึ้น หลังจากเทไซรัปลงไปในปริมาณที่เหมาะสมแล้ว ก็ต้องตามด้วยชั้นนม มือเล็กยกขวดนมสดที่เพิ่งเอาออกจากตู้เย็นมาพลิกดูวันหมดอายุให้แน่ใจ ก่อนจะบรรจงเทลงไปในถ้วยตวงช้าๆ...เอ กี่ออนซ์นะ จำได้ว่าจดไว้ที่ไหน....

“บอกว่าประมาณ 3 ออนซ์ไม่ใช่หรอ?”

เสียงทุ้มจากอีกคนดังขึ้นด้านหลัง ทำเอาอตินสะดุ้งจนเผลอทำนมหกล้นออกมาเต็มเคาน์เตอร์ ยิ่งส่งให้ผู้มาใหม่รู้สึกไม่พอใจกับความงุ่นง่านของอีกฝ่าย แต่ก็ยังมีน้ำใจจะไปหยิบผ้ามาเช็ดให้ ก่อนจะชักสีหน้าดุๆ ใส่คนตัวเล็กที่ยิ่งดูเล็กลงไปอีก เมื่อมาอยู่ต่อหน้าผู้ชายใจร้ายคนนี้

“ข..ขอโทษครับ พี่มาร์ช”

“ทำไม่ได้ก็ไปนอน ใกล้ดึกแล้ว”

น้ำเสียงเย็นเยียบไร้เยื่อใยอย่างทุกที ถูกส่งออกมา พร้อมกับมือหนาที่เอื้อมหยิบขวดนมไปเก็บเข้าตู้เย็นดังเดิม ตั้งท่าจะเข้ามาเก็บกวาดเครื่องมือฝึกชงกาแฟของอตินให้เรียบ จึงถูกคนเด็กกว่ารั้งเอาไว้ด้วยสายตาอ้อนวอนระคนหวาดกลัว หากแต่สิ่งหนึ่งที่ทอประกายออกมาชัดเจน ก็คือความมุ่งมั่นตั้งใจ ซึ่งมากพอจะทำให้มาร์ชยอมละมือ แล้วย้ายไปลากเก้าอี้ใกล้ๆ มานั่งจ้องเขม็งแทน

อตินใจชื้นขึ้นมาหน่อย ที่ไม่ถูกไล่ให้กลับไป รีบเปิดตู้เย็นหยิบขวดนมสดออกมาอีกครั้ง แล้วเริ่มทดลองใหม่ตั้งแต่ขั้นตอนแรก วานิลลาไซรัป ตามด้วยนมสด น้ำแข็งประมาณครึ่งแก้ว แล้วเทเอสเพรสโซ่ลงไปช้าๆ สัก 2 ออนซ์ ปิดท้ายด้วยการบีบซอสคาราเมลตกแต่งหน้าเป็นภาพตารางอย่างที่เขาชอบทำกัน พอเรียบร้อยดีแล้ว จึงรีบยกมาเสิร์ฟให้มาร์ชพิจารณา

คนผมแดงอ้าปากหาวเล็กน้อย ก่อนจะก้มมองแก้วกาแฟของเด็กข้างๆ คาราเมลมัคคิอาโต้เย็น หน้าตาท่าทางดูไม่เลวเลย กาแฟแบ่งเป็น 3 ชั้นตามเอกลักษณ์ของมัน พอปักหลอดลงดูดเท่านั้นแหละ... ก็ต้องแปลกใจทีเดียว เพราะรสชาติผ่านเกณฑ์แบบฉลุย ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน ยังไม่แม้แต่จะชงนมเป็นด้วยซ้ำ ถึงอย่างนั้นเขาก็เลือกที่จะทำเป็นนิ่งเอาไว้ ถ้าชมมากไปเดี๋ยวจะได้ใจจนเหลิง...แต่ความจริง เขาก็ไม่เคยชมหมอนี่อยู่แล้วอะนะ ไม่รู้สิ แต่พอแกล้งแล้วเห็นหน้ามุ่ยๆ แบบนั้น มันดูสนุกดี

“ก็พอได้”

“พอได้นี่แปลว่าอร่อยไหมอะครับ?”

“ตัวเองชงเอง ก็ชิมเองละกัน” พูดไป พลางเลื่อนกาแฟบนโต๊ะกลับหาเจ้าของ ก่อนจะลุกขึ้นไปอุ่นนมจืดหนึ่งแก้ว พร้อมควานหากระปุกน้ำผึ้งจากตู้อาหารออกมา ชงผสมกันเล่นๆ

ทางด้านอติน ก็ได้แต่นั่งชั่งใจอยู่ครู่ใหญ่ ไม่ใช่ว่ากลัวไม่อร่อย แต่ที่คิดมากคือต้องดูดน้ำจากหลอดเดียวกับมาร์ชน่ะสิ ถึงจะดูเด็กน้อยไปหน่อย แต่นั่นมันหมายถึงจูบทางอ้อมก็ได้ใช่ไหม แบบนี้แปลว่าเขาจะจูบมาร์ชหรอ อะไรอะ ทำยังไงดี

“เป็นยังไง?”

เสียงมาร์ชถามขึ้น ทั้งที่ไม่ได้หันหน้ามา กดดันให้ร่างเล็กต้องกลั้นใจดูดเอาความหอมหวานจากกาแฟเย็นตรงหน้าเข้าปากอย่างช่วยไม่ได้ ใบหูแดงเรื่อขึ้นมาจากความคิดบ้าๆ บอๆ ในหัว แต่ทันทีที่ลิ้นสัมผัสถูกรสชาติ ก็พลันลืมเรื่องน่าอายนั้นไปหมดสิ้น เพราะดูเหมือนว่านี่เป็นเครื่องดื่มแก้วแรกที่เขาทำออกมาอร่อยจริงๆ ! ไม่ใช่แค่ผ่านนะ แต่เขาคิดว่านี่มันดีพอสำหรับการออกเสิร์ฟลูกค้าในร้านเลยแหละ

“อะ...อร่อยครับ!”

“ดื่มนี่แทน แล้วไปอาบน้ำนอนได้แล้ว”

คนโตกว่ายักไหล่เหมือนไม่ใส่ใจนัก ก่อนจะวางแก้วอีกใบที่บรรจุนมสีขาว หอมกลิ่นน้ำผึ้งอ่อนๆ ลงตรงหน้าเขา ท่าท่างกลายๆ ว่าจะเป็นคำสั่ง มืออีกข้างของมาร์ชเลื่อนมาขโมยแก้วกาแฟไปดื่มเอง แล้วเดินถือเข้าห้องนอนไปอย่างหน้าตาเฉย ทิ้งให้เขาได้แต่นั่งงงระคนน้อยใจกับการกระทำเมื่อครู่ แม้แต่คำชมสักนิดก็ไม่มี แบบนี้จะให้เขาเอากำลังใจจากไหนกัน ฮึ!

อึก..อึก..

ตัดสินใจสะบัดหัวไล่ความคิดทั้งหมดออก แล้วยกแก้วนมอุ่นฝีมือมาร์ชขึ้นดื่มรวดเดียวหมด ภายในปากเคล้าไปด้วยความหวานจากน้ำผึ้ง ซึ่งผสานกันดีกับนมสดพาสเจอร์ไรซ์ ถึงจะไม่อยากให้ดูเกินจริง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันเป็นนมผสมน้ำผึ้งที่นุ่มลิ้นดีมากทีเดียว ถึงอย่างนั้น เขาก็คงตอบไม่ได้เต็มปาก ว่าที่รู้สึกแบบนี้ มันเพราะนม หรือเพราะคนกันแน่...

พอจัดการล้างแก้วเรียบร้อยแล้ว อตินก็ค่อยเดินกลับเข้าห้องนอนซึ่งมีมินนอนอ่านหนังสือรออยู่ สีหน้าอิ่มเอมของคนตัวเล็ก ทำให้คนบนเตียงรีบทักขึ้นด้วยความสงสัย

“เป็นยังไง ทำไมดูมีความสุขแบบนั้นล่ะ”

“ก็...คิดว่าทำได้แล้วน่ะสิ”

“ทำได้แล้ว? ชงกาแฟอร่อยแล้วหรอ?”

“ใช่!” ตอบกลับทันควันด้วยดวงตาเปล่งประกาย ความจริงเขาแทบจะกระโดดลงไปดิ้นดีใจบนเตียงซะตอนนี้เลย ถ้าไม่ติดว่ามินอาจจะมองเขาว่าบ้าอะนะ

“โห ทำไมมั่นใจจัง”

“ไม่รู้สิ~”

หนังสือในมือคนตัวสูงถูกพับเก็บอย่างสมบูรณ์แบบ ไม่มีกะจิตกะใจจะหยิบขึ้นอ่านต่อ เมื่อเห็นท่าทีน่าสงสัยของสมาชิกใหม่ตรงหน้า อะไรที่ทำให้ดูมั่นใจและเปรมปรีดิ์ขนาดนี้ มีอะไรเกิดขึ้นข้างนอกเมื่อครู่อย่างนั้นหรือเปล่า เขาพลาดไหมที่ไม่ยอมออกไปช่วยแต่แรก พอถามก็เอาแต่อมยิ้มเลี่ยงๆ แล้วเดินคว้าผ้าเช็ดตัวเข้าห้องน้ำเฉยเลย อะไรเนี่ยย กาแฟใส่อย่าพิษรึเปล่า!

 

“พร้อมไหม?” มินเอ่ยปากถาม หลังจากที่พนักงาน Café de Sept ช่วยกันจัดเก็บร้านเรียบร้อยแล้ว อตินพยักหน้ารับแบบใจดีสู้เสือเห็นๆ มือไม้ยังเกร็งไปทั้งตัวอยู่เลย จะไหวไหมเนี่ย

วันนี้อตินจะต้องทดลองชงเครื่องดื่มเมนูของร้านสามอย่าง ตามโจทย์ที่มาร์ชโยนมาให้ ถ้าใช้ได้ ก็จะถือว่าอตินผ่านด่านเครื่องดื่มสักที หลังจากที่เสร็จสิ้นจากการฝึกมารยาท และการเรียนรู้เรื่องลักษณะของร้านกับการตลาดไปแล้ว ซึ่งเมนูที่ว่าก็ประกอบด้วย เอสเพรสโซ่ มัคคิอาโต้, ช็อกโกแลต มิ้นท์ เฟรปเป้ และ ราสเบอร์รี่ ไอซ์ที

“เริ่มได้” มาร์ชพูดขึ้นพร้อมกดมือถือเพื่อจับเวลา จนคนตัวเล็กรีบร้องเสียงแหลม “จับเวลาด้วยหรอครับ!?”

“เร็ว”

“งื้ออ”

ไม่มีการอ่อนข้อให้สักนิด แม้แต่วันนี้ก็ยังจะดุรึไง แค่นี้ก็กดดันจะแย่แล้วนะ! แต่ช่างเถอะ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ตลอดอาทิตย์กว่าๆ ที่ผ่านมา เขาพยายามฝึกตัวเองมาอย่างหนัก ถ้ามันจะยังไม่ได้อีกก็ให้รู้กันไป อย่างน้อยตอนนี้ เขาก็อยากทำมันให้เต็มที่ อยากพิสูจน์ให้ใครได้เห็น ว่าเขามีสิทธิ์จะทำงานที่นี่

ผ่านไปได้ไม่นาน กาแฟแก้วแรกก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง หน้าตาดีไม่ต่างจากที่พนักงานประจำเคยทำเท่าไร พอให้ทุกคนได้ชิมต่างก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่าใช้ได้ทีเดียว แน่นอนว่านั่นทำให้มาร์ชเลี่ยงไม่ได้ที่จะให้ผ่านอย่างฉลุย ต่อมาคือช็อกโกแลต มิ้นท์ เฟรปเป้ ความจริงถ้าเขาจำสัดส่วนได้แม่นยำ มันก็ออกมารสชาติกลมกล่อมได้ไม่ยากนัก มือเล็กง่วนตวงน้ำเชื่อมกลิ่นมิ้นท์ นมข้น นมสด ช็อกโกแลตผง แล้วนำไปปั่นรวมกับน้ำแข็ง ตกแต่งเพิ่มเติมด้วยวิปครีมกับท้อปปิ้งช็อกโกแลตเหลว พร้อมเสิร์ฟให้สมาชิกคนอื่นๆ ได้ลองชิมอย่างค่อนข้างมั่นใจ

“ต้องปั่นนานกว่านี้อีกหน่อย”

มาร์ชคือคนแรกที่เริ่มติ ทั้งที่ยังไม่มีใครปริปากว่าสักคำ ถึงอย่างนั้นก็ยังให้ผ่านแบบขอไปที เพราะดูเหมือนรสชาติจะออกมาไม่เลวร้ายเลยสักนิด สมกับที่แอบฝึกซ้อมมาหลายคืน กับไม่รู้กี่สิบเมนูเครื่องดื่มของร้านกาแฟชื่อดังนี้

“สุดท้ายแล้ว สู้ๆ นะ”

ซันส่งเสียงเชียร์ออกนอกหน้า แบบไม่เกรงใจสายตาเพื่อนคนอื่น จนมาร์ชต้องรีบเดินเข้ามาล็อคคอบอกให้เงียบปาก ก่อนพยักหน้าเป็นสัญญาณให้อตินเริ่มชงเครื่องดื่มอย่างสุดท้าย ซึ่งเขาคิดว่าน่าจะถนัดน้อยที่สุด เพราะจากการฝึกสอนตลอดมา เมนูชาเป็นอะไรที่ค่อนข้างยาก เด็กนี่ไม่ค่อยเข้าใจถึงการชงชาซองอย่างถูกวิธีเท่าไรนัก พอได้รับโจทย์ก็เห็นชัดๆ ว่าหน้าเสียไปทันที เขานี่ต้องคอยกลั้นขำแทบตาย

“ถ้าไม่ผ่าน ก็ไปลาออกได้เลย เข้าใจใช่ไหม?”

ผู้คุมสุดโหดยังคงออกปากขู่อยู่ตลอดๆ ยิ่งทำให้สติสตังของอตินเริ่มกระเจิดกระเจิง ใจหนึ่งก็อยากจะหนักแน่นในความมุ่งมั่นของตัวเอง แต่อีกใจก็หวั่นกลัวว่าคงทำไม่ได้ แล้วถ้าทำไม่ได้ ก็ต้องไปจากที่นี่...ไปจากคนคนนั้น.....

ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดสมอง หัวคิ้วสองข้างเริ่มขมวดเข้าหากันจนยุ่งเป็นโบ สมาชิกคนอื่นนอกเหนือจากมาร์ช แสดงสีหน้าเป็นห่วงออกมาแทบตลอดระยะเวลาการชงเครื่องดื่มแก้วสุดท้าย แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความเครียดของเขาลดน้อยลงเลย มันเหมือนโดนแกล้ง เพราะมาร์ชรู้อยู่แล้วว่าเขาไม่ถนัดเรื่องนี้ที่สุด ถามจริง ว่าเด็กที่ไม่เคยแม้แต่ชงโอวัลตินดื่มเอง จะอยู่ๆ พัฒนามาเป็นนักชงมืออาชีพในเวลาไม่นานได้ยังไง มันต้องมีสิ่งที่เขายังไม่พร้อมอยู่แล้ว และหนึ่งในนั้นก็คือ ราสเบอร์รี่ ไอซ์ที นี่ไง! บ๊าเอ๊ย!

อตินเริ่มเวียนหัว ทั้งที่มือยังคงจับช้อนคนชาดาร์จีลิ่ง น้ำผึ้ง กับน้ำตาลทรายให้เข้ากัน พอคิดว่าได้ที่แล้ว จึงนำไปเทใส่น้ำแข็ง ตกแต่งด้วยผลราสเบอร์รี่สด กับใบสะระแหน่ ตามที่เคยเห็นบนป้ายเมนูมา คนตัวเล็กสูดหายใจเข้าลึกสุดปอด ก่อนจะเดินยกแก้วทรงสูง บรรจุเครื่องดื่มสีแดงอมส้มออกมาจากหลังเคาน์เตอร์ ตรงไปยังคนหน้าดุที่ยืนรออยู่แล้ว

อนิจจา ก่อนจะเดินไปถึง รองเท้าอตินกลับลื่นน้ำที่หยดลงมาจากก้นแก้ว จนหน้าเกือบคว่ำ โชคดีที่ล้มตัวลงไปเจอแผ่นอกของมาร์ชเข้าพอดิบพอดี แต่ดันโชคร้ายขั้นอัปรีย์ เมื่อน้ำชาราสเบอร์รี่มันราดรดเสื้อเชิ้ตสีขาวครีมของคนตรงหน้าเข้าเต็มๆ !!

“เฮ้ยย!”

ซวยฉิบหายแล้วครับ!!
หัวข้อ: Re: ♡♡ ในร้านกาแฟ ♡♡ by「aonair」
เริ่มหัวข้อโดย: aonair13 ที่ 12-04-2016 20:19:08
3

“ข..ขอโทษครับ ขอโทษจริงๆครับ!”

คนลื่นล้มเมื่อครู่รีบก้มหัวจนแทบติดพื้น ท่ามกลางความตกใจของสมาชิกคนอื่นๆ มาร์ชเอาแต่ตีสีหน้าเรียบเฉย ไม่ร้องโวยวายอะไรสักแอะ โธ่เว้ย เงียบแบบนี้ยิ่งน่ากลัวกว่าเก่าอีก! แบบนี้เขาจะถูกส่งไปเรียนมารยาทกับน็อตใหม่ไหม หรือว่าจะไม่มีโอกาสได้เหยียบร้านนี้แล้ว

“หลบ”

คำพูดสั้นๆ เสียงดังต่ำ ถูกเปล่งออกมาขัดความโกหาหลที่เกิดขึ้น มาร์ชเพียงแค่เดินกระแทกไหล่คนหน้าเสียไปยังห้องน้ำหลังร้าน เพื่อล้างเนื้อล้างตัวเท่านั้น ไม่ดุ ไม่ตี แต่กลับรู้สึกว่านี่มันแย่กว่าปกติสักล้านเท่าได้มั้ง ไหนว่าความซวยไม่เข้าใครออกใคร แต่ทำไมเข้าเขา แล้วถึงไม่ยอมออกไปสักทีล่ะเนี่ย!

“เป็นอะไรไหม?”

มินกับซันรีบรุดเข้าหาอติน ทันทีที่มาร์ชหลุดออกจากเฟรม เบส แจน และน็อต ยังคงยืนนิ่ง อ้าปากค้าง ไม่อยากจะนึกถึงอนาคตของเด็กใหม่คนนี้เลยจริงๆ โดนใครหมายหัว ก็ไม่เท่าโดนนายมาร์ช นี่แหละ

“มะ ไม่เป็นไร”

ซันตรงเข้าประคองร่างที่ดูพร้อมจะล้มลงตลอดเวลาเอาไว้ ขณะที่มินดึงเอาแก้วน้ำในมือเขาออกไปวางบนเคาน์เตอร์ ไม่รู้ทำไม อยู่ดีๆ ขอบตามันก็ร้อนผ่าวขึ้นมา ทั้งที่ไม่ควรแสดงความอ่อนแอออกมาแท้ๆ

ไม่ได้สิ...เขาจะยอมแพ้แค่นี้ไม่ได้

“ไม่เป็นไรหรอก มันแค่อุบัติเหตุ” น็อตพยายามปลอบ แม้ว่าในใจก็อดเป็นห่วงไม่ได้ มาร์ชเป็นคนเข้มงวดและค่อนข้างจุกจิก มาเห็นพนักงานใหม่เป็นอีหรอบนี้ มีหรอจะยอมรับง่ายๆ

“ผมไม่ระวังเองครับ”

“อย่าคิดมากสิ แค่ลื่นล้มเอง นี่ทดสอบเรื่องการชงเครื่องดื่มไม่ใช่รึไง”

เบสรีบเสริม เมื่อยังคงเห็นบรรยากาศไม่ดีขึ้น เขาเองก็ตกใจนะ แต่ไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนั้นหรอก ถ้ามาร์ชจะต่อว่าน้องเพราะเรื่องไม่ตั้งใจแค่นี้ เขาก็จะออกโรงปกป้องในฐานะหัวหน้าพนักงานเอง หลายวันที่ผ่านมา เขาคอยมองพัฒนาการของอตินอยู่ตลอด และยอมรับในระดับหนึ่ง ว่าเด็กนี่มีดีพอตัว ไม่นับเรื่องความมุ่งมั่นตั้งใจที่แทบจะเกินตัวนั่นอีก เพราะงั้น เขาก็อยากให้มาร์ชลดๆ อคติต่อน้องลงบ้าง และลองเปิดใจมองดูดีๆ มั่นใจว่าไม่ว่าใครก็ต้องนึกรัก นึกเอ็นดูเด็กคนนี้แน่นอน

“ทุกคนช่วยกลับไปก่อนได้ไหม?”

คนผมแดงเดินกลับออกมาในชุดสำรอง แต่ละคนมีท่าทีอึกอักเล็กน้อย จนเบสต้องเดินเข้าไปกระซิบอะไรบางอย่างกับมาร์ช ก่อนจะกวักมือเรียกให้ทุกคนเดินตามออกจากร้าน แม้ว่าซันจะแสดงออกว่าไม่พอใจยังไงก็ตาม สุดท้ายก็เหลือเพียงแค่มาร์ช อติน และความเงียบเท่านั้น

บรรยากาศมืดหม่นค่อยๆ โปรยตัวลงปกคลุมไปทั่วบริเวณ ยิ่งกดดันให้คนตัวเล็กรู้สึกแย่ขึ้นไปอีก ไอ้ความเข้มแข็งที่พยายามถืออยู่ ค่อยๆ ร่วงหล่น พร้อมกับหยดน้ำตาซึ่งเริ่มเอ่อคลอขึ้นมาทั้งสองข้าง จนคนมองถึงกับชะงักน้อยๆ แต่ก็ต้องรีบปรับสีหน้ากลับมาเย็นชาเหมือนเดิม

“ผมขอโทษ...”

อตินทำใจกล้าเอ่ยปากขึ้น ทั้งที่น้ำเสียงสั่นเครือ มาร์ชไม่สนใจจะฟัง หรือแม้แต่จะหันหน้ากลับไปมอง สิ่งที่เขาทำคือการเดินไปยกชาราสเบอร์รี่เมื่อครู่ขึ้น ดื่มเอาน้ำสีแดงก้นแก้วเข้าไปในปาก ก่อนจะหยุดพิจารณาอะไรบางอย่างกับตัวเอง ท่ามกลางความไม่เข้าใจ อตินรีบพาตัวเองเข้าไปหยุดอยู่ต่อหน้าอีกฝ่าย พร้อมส่งสายตาอ้อนวอนไปให้ สาบานได้ว่านั่นทำให้หัวใจของคนแถวนี้กระตุกรุนแรงทีเดียว

“ผ่าน”

“ครับ?” คนเด็กกว่าเอียงคอกลับด้วยความไม่เข้าใจ ทำให้มาร์ชต้องยกแก้วในมือขึ้นเขกหัวเขาไปเบาๆ หนึ่งที เจ้าของร่างสูงโปร่งหันไปล้างแก้วตรงซิงค์น้ำ พร้อมขยายความคำพูดเมื่อครู่อีกครั้ง

“นายผ่านการฝึกชงเครื่องดื่มแล้ว ตั้งแต่พรุ่งนี้ให้มาช่วยงานในส่วนนี้ด้วย”

“ว่าไงนะครับ!?”

น้ำตาที่เกือบจะไหลออกมา หายไปแล้ว กลายเป็นรอยยิ้มกว้างซึ่งยากจะหุบลง เสียงร้องดีใจมันดังไปทั่วร้าน จนมาร์ชต้องแสร้งอุดหู ทำเป็นชักสีหน้ารำคาญ ทั้งที่ความจริงก็ยินดีด้วย อตินกระโดดไปมา พร้อมกับที่เลือดในกายสูบฉีดรัวเร็วด้วยความตื่นเต้น แบบนี้แปลว่ามาร์ชยอมรับในตัวเขาแล้วใช่ไหม เขาอยู่ที่นี่ได้ใช่ไหม

ความรู้สึกที่เกือบหมดหวังไปแล้ว อยู่ดีๆ ก็มีหวังเต็มเปี่ยมขึ้นมา มันช่างบ้าชะมัดเลย ดีใจจนหยุดไม่อยู่ เพียงแค่รู้สึกว่าตัวเองทำได้ เขาไม่ได้แย่อย่างที่ใครเคยปรามาสไว้ และแสดงให้เห็นแล้วว่า ความมุ่งมั่น ความพยายาม มันเอาชนะได้จริงๆ อย่างน้อยก็คือการเอาชนะตัวเองแหละนะ

“พี่มาร์ชๆ พูดอีกทีได้ไหมครับ” คนตัวเล็กยื่นหน้าบานเป็นจานกระด้งเข้าไปใกล้ พร้อมส่งสายตาเป็นประกายออกมา

“หูตึงหรือไง”

“ก็ผมอยากได้ยินอีกนี่ ผมดีใจมากเลยอะ”

“กลับกันได้แล้ว” รีบเปลี่ยนประเด็น ก่อนที่เขาจะโดนท่าทางร่าเริงตรงหน้าจู่โจมเอา เด็กบ้าที่เอาแต่ดีอกดีใจจนโอเวอร์ ไม่สมควรรับรู้ว่าเขากำลังคิดยังไงหรอก....

ระหว่างทางเดินกลับบ้านพักของพนักงาน Café de Sept อตินก็ยังเอาแต่ยิ้มแก้มแทบฉีก จนมาร์ชต้องเร่งฝีเท้ามากขึ้นตลอดเวลา เพื่อไม่ให้คนผ่านไปผ่านมารู้ว่า พวกเขารู้จักกัน เด็กบ้าข้างๆ เอาแต่พูดเรื่อง ผ่านการทดสอบอย่างภูมิใจนักหนา ทำให้เขารู้สึกเสียใจที่พูดแบบนั้นออกไปเชียวล่ะ พอเริ่มเห็นรั้วบ้านในระยะสายตา อตินถึงยอมเปลี่ยนไปชวนคุยเรื่องอื่นบ้าง

“จริงสิ! พี่มาร์ช ผมว่าพี่น่าจะเพิ่มเมนูนมเข้าไปในร้านด้วยนะครับ”

“อะไร?”

“ก็นมผสมน้ำผึ้งที่พี่ทำให้คืนนั้นมันอร่อยมากเลย”

“ก็แค่นมน่า” ตอบกลับแบบปัดๆ แม้ว่าในใจจะอุ่นขึ้นมานิดหน่อยอย่างไม่รู้สาเหตุก็เถอะ

“แต่มันอร่อยนี่ ถ้าพี่มาร์ชลองทำเป็นนมรสชาติอื่นๆ ด้วย ก็คงไม่เลวเลยนะครับ” ร่างเล็กแลบลิ้นออกมาเลียริมฝีปากล่าง จินตนาการไปถึงรสชาติหอมละมุนซึ่งเข้ากันดีของนมอุ่นๆ กับน้ำผึ้งแสนหวาน

“เมนูเบสิคแบบนั้น...”

“ผมว่าเด็กๆ กับพวกผู้หญิงน่าจะชอบนะ ลองดูเถอะ”

ไม่รอให้มาร์ชพูดจบ ก็รีบแทรกกลับทันควัน สายตาทอประกายแปลกๆ จนอีกฝ่ายต้องฝืนกลั้นยิ้มแทบแย่ ทั้งสองคนหยุดฝีเท้าลงบนพื้นกระเบื้อง ทางยาวไปสู่ประตูไม้หน้าตัวบ้าน ไม่มั่นใจว่าทำไมถึงไม่ยอมเข้าไป เพราะบทสนทนาในตอนนี้มันน่าสนใจ เพราะบรรยากาศในตอนนี้มันกรุ่นๆ จนใจเต้นไม่เป็นจังหวะ หรือเพราะทุกอย่างที่เป็นอยู่ ณ เวลานี้...

“แล้วนายก็ชอบมาก ใช่ไหม?” มาร์ชส่งเสียงถาม พลางหันมองหน้าอตินนิ่ง หากแต่แววตากลับส่อเค้าสนุกสนานผิดไปจากทุกที พอคนตัวเล็กพยักหน้า มาร์ชก็หลุดหัวเราะในลำคอออกมาอย่างช่วยไม่ได้ จนทำให้อีกฝ่ายค่อยๆ รู้ตัว พร้อมใบหน้าที่เริ่มขึ้นสีระเรื่อ

“ผมไม่ใช่เด็กนะครับ!”

“งั้นก็เหมือนผู้หญิงงั้นสิ”

“มะ ไม่ใช่!”

คนโดนล้อทำแก้มป่องอย่างเคืองๆ ยิ่งดูเหมือนเด็กเข้าไปอีกมากกว่า พอเห็นแบบนั้นแล้วมันก็อดแกล้งไม่ได้ เลยยื่นนิ้วเข้าไปดีดหน้าผากมนสักที จนอตินร้องโอ๊ย ทำให้คนด้านในเริ่มรู้สึกถึงการมาของพวกเขา เสียงฝีเท้าเบื้องหลังประตูบ้านดังชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ มาร์ชจึงต้องรีบปั้นหน้าเครียดเหมือนเก่า ขณะที่อตินก็พยายามเก็บอาการให้เป็นปกติที่สุด

แจนเปิดประตูบ้านออก สายตาคำถามถูกส่งไปให้ทั้งคู่ มาร์ชไม่พูดอะไรแล้วเดินผ่านไปเลย ส่วนอตินก็ยิ้มกลับพร้อมชูนิ้วโป้งขึ้นกลางอากาศ เป็นสัญญาณให้รู้ว่า ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี

“ยินดีด้วยนะ”

“ขอบคุณครับ”

“อติน! เป็นยังไงบ้าง?”

ยังไม่ทันปิดประตูสนิทดี สมาชิกที่เหลือภายในบ้าน ก็รีบวิ่งตรงเข้ามาถามไถ่ด้วยสีหน้าเป็นห่วงไม่แพ้กัน เพราะเมื่อกี้เห็นมาร์ชเดินกลับมาแล้ว จึงรู้แน่ว่าอตินต้องมาด้วย แต่พอเห็นท่าทางยิ้มแย้มแจ่มใสของเด็กน้อยแล้ว ก็ค่อยใจชื้นขึ้นหน่อย ก่อนจะเผยรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า เมื่ออตินยืดอกประกาศเสียงก้อง

“พี่มาร์ชให้ผมผ่านแล้วครับ”

“เฮ้ย จริงปะ”

“ดีใจด้วยนะ”

“อติน!” ซันทำเป็นโอเวอร์กว่าใครเพื่อน กระโดดเข้าไปกอดแสดงความดีใจกับอตินเสียออกนอกหน้า จนน็อตต้องรีบเข้ามาลากตัวออกไป ก่อนที่น้องจะหายใจไม่ออก หรือก่อนที่ไอ้บ้าบางคนจะถูกตำรวจจับ ข้อหาล่อลวงเด็ก!

“ทำดีมาก ไปพักผ่อนเถอะ” เบสเข้ามาตบบ่า แล้วส่งสัญญาณให้ทุกคนกระจายตัว เพื่อส่งอตินเข้าห้อง หลังจากต้องเหนื่อยกับบททดสอบสุดกดดันเมื่อครู่

ทันทีที่ประตูปิดตัวลง มินก็ใช้โอกาสนี้ เข้ามาบีบไหล่เพื่อนร่วมห้อง หวังส่งผ่านความรู้สึกยินดีไปให้ คนตัวสูงเผยรอยยิ้มตาหยีแบบที่มองยังไงก็ไม่เบื่อ ยิ่งทำให้อตินรู้สึกปลื้มใจมากขึ้นไปอีก ในหัวก็ยังมีภาพเหตุการณ์ในร้านจนถึงหน้าบ้านวนเวียนซ้ำไปซ้ำมา พอได้รับการยอมรับจากมาร์ช พอได้พูดคุยกันอย่างผ่อนคลาย มันทำให้ใจของเขาผองโตจนแทบกระเด็นกระดอนออกมา จนถึงตอนนี้ก็ยังหุบยิ้มไม่ลงเลย

“พี่มาร์ชก็ใจดีเหมือนกันเนอะ” มินว่า พลางทำท่าครุ่นคิด อตินจึงรีบพยักหน้าเห็นด้วย แล้วเริ่มร่ายยาวเสียงตื่นเต้น

“ตอนแรกเราก็คิดว่าจะไม่ผ่านแล้ว แต่อยู่ๆ พี่มาร์ชก็มาดื่มชาก้นแก้ว แล้วให้ผ่านเฉยเลย แถมขากลับยังยอมคุยสบายๆ กับเราด้วย แบบนี้แปลว่าพี่เขายอมรับในตัวเราแล้วใช่ไหม มิน เราดีใจมากเลย ทำยังไงดี”

คนตัวเล็กเล่าไป ก็กระโดดดีใจไปด้วย ตลอดเวลาแทบไม่ได้หุบยิ้มลงสักนิดเลย มือสองข้างยกขึ้นแนบใบหน้าสีชมพูระเรื่อ แล้วหัวเราะคิกคักออกมา แม้จะเป็นภาพที่ดูน่ามองสำหรับเขาขนาดไหน ก็อดหงุดหงิดเล็กๆ ในใจไม่ได้ว่า ทำไมถึงต้องดีใจขนาดนี้ มันเป็นเพราะเรื่องร้าน หรือมันเป็นเพราะเรื่องใครหรือเปล่า

“ดีใจขนาดนั้นเลยหรอ?” พยายามทำให้ดูเหมือนเป็นคำถามขำๆ ไม่อยากให้รู้ว่าเขากำลังสงสัยอะไรบางอย่าง ซึ่งดูไร้สาระเอามากๆ และคำตอบที่ได้กลับมา ก็ทำให้เขาโล่งอก

“ดีใจสิ เราจะได้ทำงานร่วมกับพวกมินแล้วไง”

“อ๋อ อื้อ”

ก็แค่นั้น...คิดมากบ้าบออะไรน่ะ มิน...

 

“สตรอเบอร์รี่ มิลค์เชค” มาร์ชหันมาสั่ง หลังจากรับออเดอร์จากลูกค้ามา ตอนนี้อตินได้เลเวลอัพ ขึ้นมาช่วยทำเครื่องดื่มอยู่หลังเคาน์เตอร์แล้ว ถึงแม้จะยังไม่ได้รับมอบยูนิฟอร์มพนักงานก็ตาม

เพิ่งรู้ว่าพอเปิดร้านจริงๆ แล้ว ทุกอย่างจะดำเนินไปไว และวุ่นวายมาก ไม่มีเวลาให้พักเหนื่อย และแน่นอนว่าไม่มีเวลาสำหรับข้อผิดพลาด เขาแทบไม่ได้พูดคุยกับมาร์ชหรือใครเลยตลอดวัน เพราะเอาแต่ง่วนกับการทำตามออเดอร์ ทั้งที่ปกติ เห็นมาร์ชและคนอื่นๆ ทำ ก็ดูไม่ยากเกิน แต่พอถึงตาตัวเองแล้วรู้ซึ้งเลย ว่ามันไม่ง่าย ทุกอย่างต้องแม่น ต้องถูกต้อง ต้องรวดเร็ว ซึ่งเขาเองก็ยังทำได้ไม่ดีเท่าไร ถึงอย่างนั้นก็เต็มที่แล้ว

“เหนื่อยไหม”

ซันรีบดอดเข้ามาหาอตินทันทีที่ลูกค้าเริ่มซา น้ำเปล่าหนึ่งแก้วกับผ้าเช็ดหน้าถูกส่งให้ ท่าทางเป็นห่วง ทำให้เด็กน้อยต้องรีบตีสีหน้าสดใส แล้วปฏิเสธรัวๆ ด้วยไม่อยากทำตัวให้ดูเป็นภาระของใคร โดยเฉพาะของร้านกาแฟมาตรฐานสูงแบบนี้

“นิดหน่อยครับ แต่ไหวอยู่”

“สลับกันเถอะ มาร์ช ให้ฉันทำแทนอตินนะ”

คนโดนเรียก หันมองซัน สลับกับอตินครู่หนึ่ง ก่อนจะยอมพยักหน้าและหันไปดูแลงานตัวเองต่อ ถึงแม้ว่าคนตัวเล็กจะดึงดันว่าไหวแค่ไหน สุดท้ายก็ถูกลากไปนั่งพักตรงครัวด้านในจนได้ ยังดีหน่อยที่เจอแจนกับมิน กำลังจัดการเรื่องขนมกับอาหารเบาๆ อยู่ เลยมีโอกาสเข้าไปช่วยหยิบจับอะไรบ้าง เล็กๆ น้อยๆ

“จริงๆ นายไปพักก็ได้” มินหันมาบอกอตินด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเอาแต่คอยช่วย นู้นนี่นั่น เยอะไปหมด ทั้งที่เพิ่งรับมือกับคลื่นลูกค้าจากเมื่อตอนเที่ยงมาแท้ๆ

“ไม่เป็นไร เราอยากช่วย”

“อตินนี่เป็นเด็กดีจริงๆ นะ”

แจนยิ้มบอก พร้อมยกถาดคุ้กกี้ซึ่งวางรูปเสร็จแล้วเข้าในเตาอบขนาดใหญ่ ผิดกับมินที่ยังคงตีสีหน้าห่วงใย พร้อมส่งกระดาษทิชชู่ให้เด็กมาใหม่คอยซับเหงื่อทุกห้านาที จนตัวแทบจะแห้งเป็นปลากรอบอยู่ร่อมร่อ

“แบบนี้ไม่ได้เรียกเด็กดีหรอกครับ เรียกว่าเด็กดื้อมากกว่า”

“โห มินอ่า ก็เราไม่อยากอยู่นิ่งๆ นี่”

“ทำตัวเป็นลูกลิงไปได้”

“ถ้าเราเป็นลูกลิง มินก็เป็นลูกหมีอะดิ”

อตินหัวเราะขำ ก่อนจะโดนหมีตัวที่ว่า แกล้งเอาครีมเค้กแถวนั้นมาป้ายลงบนปลายจมูกของเขา แถมยังหัวเราะเสียงดังกว่าซะอีก หนอยแน่ะ แซวเล่นแค่นี้ต้องเอาคืนกันเลยหรอ ความจริงมินอายุน้อยกว่าเขาด้วยนะ แต่ถือว่าเป็นรุ่นพี่ในการทำงาน ก็เลยว่าจะเกรงใจสักหน่อย แต่เจอแบบนี้ เขาว่าคงต้องเปลี่ยนใจดีกว่า

“ไอ้หมีมิน”

คนตัวเล็กเอานิ้วตักครีมขึ้นมาป้ายคืนบนแก้มเนียนๆ ของร่างสูงกว่า ก่อนจะยืนหัวเราะสะใจ เล่นกันไปเล่นกันมา แบบไม่สนใจแจนที่ยืนอยู่ด้วยเลยแม้แต่น้อย สุดท้ายก็ต้องหยุด เมื่อน็อตเดินเข้ามาเช็คความเรียบร้อยแล้ววีนแตกขึ้นมาทันที แน่นอนว่าโดนตำหนิกันไปทั้งคู่ตามระเบียบ

“เนี่ย ตีให้มันเข้ากัน” คุณแม่ (?) ของเหล่าพนักงานลากอตินให้มารับผิดชอบ ผสมเนื้อครีมกันใหม่ แล้วไล่มินให้ออกไปเสิร์ฟอาหาร โดยมีตัวเองคอยเป็นลูกมือให้แจนเอง

ทั้งที่โดนน็อตดุ แต่ไม่รู้ทำไม อตินกลับรู้สึกดีอย่างน่าประหลาด ไม่ใช่ว่าเขาเป็นพวกมาโซคิสม์หรืออะไร เพียงแค่รู้สึกสนุก อบอุ่น เหมือนเป็นอีกครอบครัวหนึ่ง แต่ละวินาทีที่ผ่านไป ภายในร้าน Café de Sept ราวกับเป็นสิ่งล้ำค่า ที่ค่อยๆ ผูกพัน ทีละเล็ก ทีละน้อย...

“เสร็จแล้วครับ”

“ดีมาก แล้ววันหลังอย่าเล่นวัตถุดิบอีก เข้าใจไหม?”

“ครับๆ” เด็กน้อยก้มหัวรับผิด ทั้งที่ยังอมยิ้ม น็อตเองแม้ปากจะบ่นจะว่า แต่ในใจก็นึกเอ็นดูคนตรงหน้ามากเช่นกัน ไอ้ที่เขาเรียกว่า ถูกชะตา คงประมาณนี้ล่ะมั้ง

ไม่กี่ชั่วโมงถัดมา ลูกค้าก็ทยอยออกจากร้านจนหมด ได้เวลาเก็บกวาดทุกอย่างเพื่อเตรียมตัวกลับบ้าน พอออกมามาจากครัว เจอคนอื่นๆ ก็ถูกขำ ถูกแซวใหญ่ เรื่องที่เล่นกับมินจนโดนน็อตดุ โดยเฉพาะเบสที่หัวเราะก๊ากจนฟันแทบจะหลุดออกจากปาก ถึงขนาดว่าแจนต้องรีบเข้าไปปราม กลัวใครได้รับอันตรายฟันหน้านั้นซะก่อน

“ก็มินเหมือนหมีจริงๆ นี่ครับ ใช่ไหม?” อตินยังคงยืนยันคำเดิม ทำเอาทุกคนกลั้นขำกันแทบไม่ทัน โดยมีมินยืนตีหน้าบึ้งอยู่ใกล้ๆ

“อตินก็เป็นลิงนั่นแหละ”

“พี่ซัน...” คนโดนล้อ หันไปกระตุกชายเสื้อพี่ชายข้างตัว พลางส่งสายตาแบบเด็กๆ ไปให้ ซันยิ้มจนปากจะฉีก แล้วหยิกแก้มตุ่ยๆ ของอตินไปทีอย่างหมั่นเขี้ยว ก่อนจะหันไปเอาเรื่องมินให้ตามบัญชาจากเจ้าลิงน้อย

“ไอ้มิน พูดดีๆ ถึงเป็นลิง ก็เป็นลิงที่น่ารัก(ของกู)นะโว้ย”

“ฮ่าๆๆ”

สมาชิกร้านแทบทุกคน ระเบิดหัวเราะออกมาอย่างไม่ปิดบัง เมื่อซันชี้นิ้วต่อว่ามินด้วยสีหน้าจริงจัง หากแต่คำที่พูดออกไป กลับดูทะแม่งๆ ฟังยังไง ก็เป็นการย้อนกลับมาหยอกอตินอยู่ดี สุดท้าย ทั้งมินและซัน เลยต้องวิ่งวุ่นไปทั่วร้าน เพราะถูกอตินไล่กวด หวังจะเอาคืน ท่ามกลางสายตารักใคร่จากคนอื่นๆ ไม่เว้นแม้แต่จอมเย็นชาอย่างมาร์ช ซึ่งแอบอมยิ้มตามไปด้วยอยู่ในมุมของเขา

ไม่อยากจะคิดเลยว่า ร้านแสนอบอุ่นนี้ จะยิ่งหอมกรุ่นมากขึ้นไปอีกขนาดไหน หลังจากมีสมาชิกใหม่สุดน่ารักอย่างอตินเข้ามา แล้วความผูกพันที่แน่นแฟ้นขึ้นทุกวันๆ มันจะกลายไปเป็นความสัมพันธ์แบบไหนกันแน่นะ.....
หัวข้อ: Re: ♡♡ ในร้านกาแฟ ♡♡ by「aonair」
เริ่มหัวข้อโดย: EverGreen™ ที่ 12-04-2016 22:46:30
ก็ว่าทำไมคุ้นๆ เคยอ่านแล้วนี่เองงงง  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ♡♡ ในร้านกาแฟ ♡♡ by「aonair」
เริ่มหัวข้อโดย: aonair13 ที่ 13-04-2016 18:28:01
ก็ว่าทำไมคุ้นๆ เคยอ่านแล้วนี่เองงงง  :กอด1:

งุ่ยย อ่านอีกรอบนะคะ 5555
ทำไมกระทู้เก่ามันหายก็ไม่รู้อ่ะ ฮรึก ;w;
นี่ถ้าไม่ติดอะไรหรือไม่ลืม ก็มาอัพได้ทุกวันเลยง่ะ
เพราะแต่งจบแล้ว ถถถถถ
 :hao7:
หัวข้อ: Re: ♡♡ ในร้านกาแฟ ♡♡ by「aonair」
เริ่มหัวข้อโดย: aonair13 ที่ 13-04-2016 18:31:13
4

“เบส เด็กคนนั้นใครน่ะ?” ลูกค้าสาวสวยออกปากทัก หลังจากที่เธอไม่ได้แวะร้านนี้ได้เกือบเดือน อยู่ดีๆ ก็มีสมาชิกใหม่ไม่คุ้นตาเพิ่มเข้ามาซะอย่างนั้น แถมหน้าตาน่ารักน่าชังอีกด้วยสิ

“ชื่ออติน เป็นเด็กฝึกหัดของร้านครับ”

“ร้อยวันพันปีไม่เคยเห็น เดี๋ยวนี้มีรับเด็กฝึกหัดด้วยหรอ?”

“ผมก็เพิ่งเคยเจอเหมือนกัน ไม่รู้คุณวาโยคิดอะไรอยู่”

“แต่ท่าทางใช้ได้เลยนะ น่ารักดี” หญิงสาวยิ้มเอ็นดู

“ครับ คุณวาโยเขาให้ทดลองช่วยงานก่อน ถ้าผ่านก็จะมาทำยาว”

“ยาวนี่ บรรจุเลยหรือเปล่า ท่าทางยังเด็กอยู่เลย”

“เปล่าครับ พาร์ทไทม์น่ะ แต่ก็แปลกแล้วนะ” เบสอธิบายขำ เพราะร้านนี้ไม่มีนโยบายรับพนักงานพาร์ทไทม์มาก่อนเลย การที่อตินยังลอยหน้าลอยตาได้ ก็นับว่าอัศจรรรย์สุดๆ แล้ว

ลูกค้าเองก็ดูจะคิดเหมือนกัน เลยได้แต่หัวเราะน้อยๆ ก่อนจะผละตัวออกจากเบส แล้วเดินไปนั่งที่โต๊ะตัวประจำ ใกล้กับเคาน์เตอร์ไม้โอ๊คอย่างดี น็อตเป็นคนเดินยิ้มแย้มเข้ามาเสิร์ฟน้ำเปล่า และรอรับออเดอร์ พร้อมเรียกชื่อเธอออกมาอย่างสนิทสนม

“สวัสดีครับคุณเกล หายไปนานเลยนะครับ”

“ฉันไปต่างประเทศ ซื้อของมาฝากพวกนายด้วย”

ลูกค้าชื่อเกลว่า พลางยื่นถุงกระดาษท่าทางมีน้ำหนักส่งให้น็อตซึ่งรับไปแบบงงๆ พอแง้มถุงออกก็พบว่าเป็นกล่องน้ำหอมยี่ห้อหรูครบทั้ง 6 ชิ้น สำหรับพนักงานประจำทั้ง 6 คน คนได้รับรีบยื่นคืนให้ด้วยท่าทางเกรงใจขั้นแม็ก แถมยังปฏิเสธเสียงแหลม จนเรียกสายตาคนอื่น ให้หันไปมองกันหมด

“รับไว้ไม่ได้หรอกครับ ของราคาแพงแบบนี้”

“ไม่เห็นเป็นไรเลย ฉันตั้งใจให้ แล้วก็เต็มใจให้ด้วย” เธอยังคงดึงดันไม่แพ้กัน พลางผลักมือของน็อตออก ทำท่าว่าจะไม่ยอมรับถุงในมือคืน แถมยังเหล่มองอตินแล้วพูดลอยๆ แบบไม่ปิดบังขึ้นมาอีก “ไม่คิดว่าจะมีพนักงานใหม่ ไว้พรุ่งนี้จะเอาของมาให้ด้วยละกัน”

“คุณเกล ทำแบบนี้ พวกเราลำบากใจมากเลยนะครับ”

“แต่ฉันจะเสียใจมากนะ ถ้านายไม่รับ”

“โธ่...”

“มีอะไรหรือเปล่า คุณเกลยังไม่สั่งเครื่องดื่มหรอครับ”

เบสที่เพิ่งทักทายกันไปเมื่อครู่ รีบรุดเข้ามาเช็คสถานการณ์ใกล้ๆ เมื่อเห็นท่าทางแปลกไป ว่าน็อตไม่ยอมรับออเดอร์ไปส่งเคาน์เตอร์สักที แน่นอนว่าพนักงานคนอื่น ก็กำลังเหลือบมองเหตุการณ์อยู่เนืองๆ เช่นกัน โชคดีที่ตอนนี้ ร้านคนยังไม่เยอะมาก ก็เลยพอมีเวลาให้เผือกได้เล็กน้อยถึงปานกลาง โดยเฉพาะซัน ที่เอาแต่ชะเง้อมองจนคอแทบหลุดอยู่แล้ว

“ฉันซื้อของมาฝากพวกนาย แต่น็อตไม่ยอมรับ”

“ของอะไร?”

คนผมเทาหันไปถามเพื่อนร่วมงาน พอน็อตยื่นถุงในมือให้ดูเท่านั้นแหละ เขาก็ถึงกับร้องอ๋อ ตาโตขึ้นมาทันที ลูกค้าบางคนก็แปลกชะมัด ไม่รู้หรอกว่ารวยเหลือใช้มาจากไหน แต่ไอ้เรื่องขยันซื้อของมาฝากพนักงานร้านกาแฟแบบนี้ มันออกจะสร้างความอึดอัดให้พวกเขาไม่น้อยเลย

“โห คุณเกล ไม่เห็นต้องลำบากเลยครับ ผมว่าเก็บไว้ให้คนอื่นดีกว่า” พยายามช่วยพูดอีกแรง แต่ยิ่งทำให้ลูกค้าตรงหน้าส่งเสียงไม่พอใจ จนเหงื่อแทบตก ไม่รู้ว่าควรจะรับมือยังไงดีแล้ว จะรับก็รู้สึกไม่ดี แต่ไม่รับก็คงไม่ได้ใช่ไหมเนี่ย

“แต่ฉันตั้งใจซื้อให้พวกนายนี่”

“เอ่อ...อืม...โอเคครับ พวกเรารับไว้ก็ได้ ขอบคุณมากๆนะครับ”

“แต่คราวหน้าไม่ต้องแล้วนะครับ พวกเราเกรงใจจริงๆ” ทั้งสองคนช่วยกันอธิบาย พลางก้มหัวแล้วก้มหัวอีก จนอตินแทบไม่เป็นอันทำงาน เพราะเอาแต่แอบมองว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้น

“ใช่ครับ แค่คุณเกลแวะมาอุดหนุนร้านเราบ่อยๆ ก็ขอบคุณมากแล้วครับ”

“เถอะน่า เอ้า จะรับออเดอร์หรือยัง”

เจ้าของใบหน้าสวยทำเป็นเปลี่ยนเรื่อง ทั้งที่ไม่ยอมรับปาก จนพนักงานทั้งสองถึงกับต้องลอบถอนหายใจออกมา เบสรับถุงน้ำหอมเข้าไปเก็บหลังร้าน ส่วนน็อตก็ยืนจดออเดอร์ที่พอจะเดาได้ไม่ยาก เพราะเธอคนนี้ มีเมนูโปรดอยู่ไม่กี่อย่าง และส่วนใหญ่จะเป็นอะไรเกี่ยวกับชาเขียวทั้งนั้น

“ขอ กรีนที เฟรปเป้ กับ เครปเค้กชาเขียวละกัน”

“ได้ครับ รอสักครู่นะครับ”

“กรีนที เฟรปเป้ ที่นึงอย่างด่วนเลย”

น็อตรีบส่งต่อออเดอร์ให้มาร์ช และเหล่มองไปทางโต๊ะของเกลด้วยหางตา เป็นการส่งสัญญาณให้รู้ว่า เป็นเครื่องดื่มของลูกค้าวีไอพีคนนี้ ต้องขอให้บริการระดับดีพิเศษไว้ก่อน มาร์ชเองก็พอจะเข้าใจอยู่ เพราะเกลก็เป็นลูกค้าประจำมาหลายปี จนทุกคนต่างรู้ดีว่าต้องดูแลเธอยังไง และนี่ก็เป็นหนึ่งในจุดเด่นของ Café de Sept เช่นกัน เรื่องความเอาใจใส่สุดประทับใจ ที่หลายๆ ครั้งก็ออกจะทำให้พวกเขานึกลำบากใจอยู่พอตัวเลยทีเดียว

“กรีนที เฟรปเป้ หรอครับ?” อตินส่งเสียงถาม มาร์ชพยักหน้าแต่ดันผลักเขาออก เหมือนตั้งใจบอกว่าจะเป็นคนลงมือทำเอง เขาเลยอาสาเดินไปยกเครปเค้กออกจากตู้โชว์มาใส่จานให้

หลังจากคอยสังเกตการณ์อยู่สักพัก ถึงเริ่มจับความได้ ว่าผู้หญิงคนนี้คงมีนิสัยเฉพาะตัว ซึ่งพนักงานในร้านต้องคอยเอาอกเอาใจอย่างกับคุณหนู เห็นว่าเธอแอบเหลือบมองมาที่เขาอยู่บ่อยครั้งเหมือนกัน แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เข้ามาพูดอะไร และเดินจากไปอย่างสงบ พร้อมๆ กับที่ลูกค้าในร้านเริ่มซาลงจนบรรยากาศผ่อนคลายขึ้น

อตินโดนเบสสั่งให้ไปพักกินข้าว พร้อมกับแจน แล้วก็ซัน ในขณะที่คนอื่นยังต้องคอยประจำตำแหน่งอยู่ก่อน บนโต๊ะอาหารหลังร้าน มีกับข้าวสองสามอย่างแบบง่ายๆ และผู้ชายสามคน ซึ่งรอคอยเวลานี้มาตั้งแต่ช่วงสาย แน่นอนว่าบทสนทนาแรกต้องไม่พ้นเรื่องของลูกค้าชื่อเกล ซึ่งหลุดออกมาจากปากเด็กใหม่ ผู้ไม่รู้เรื่อง

“ลูกค้าที่ให้ของกับพี่น็อต เขาเป็นใครหรอครับ?”

“คุณเขาชื่อเกล ลูกเศรษฐีด้านอสังหาริมทรัพย์ และเป็นลูกค้าประจำของร้านเรา”

“แล้วคราวนี้เป็นอะไรล่ะ?” ซันถามแจน ที่น่าจะรู้เรื่องมากกว่าเขา เพราะเมื่อกี้เบสเพิ่งเดินเอาของที่ว่าเข้ามาเก็บหลังร้าน แต่ตอนนี้ไม่เห็นแล้วว่าอยู่ตรงไหน

“น้ำหอม ครบทุกคนเลย แถมบอกว่าจะหาของมาให้อตินด้วย”

“ฮะ? แต่ผมไม่เกี่ยวอะไรด้วยเลยนะครับ” คนถูกพูดถึงสะดุ้งน้อยๆ พร้อมตีหน้าเหลอหลา ไม่เห็นเข้าใจลูกค้าท่านนี้เอาซะเลย เขาเพิ่งเคยเจอเธอไม่กี่นาที แถมไม่ได้พูดคุยกันสักคำ จะมาให้ขงให้ของเรื่องอะไร ตลก

“อย่างงี้แหละ คุณเขาใจดี ชอบแจกของ”

แจนว่า ทั้งที่ในใจเองก็นึกจนใจกับเกลเช่นกัน ไม่รู้ว่าถ้าเอามูลค่าของทั้งหมดที่เคยได้รับมาบวกกัน จะเปิดร้าน Café de Sept ได้อีกสักกี่สาขา แต่ดูเหมือนคนที่ไม่คิดจะทน น่าจะเป็นซันมากกว่า เล่นแสดงสีหน้าไม่ชอบใจออกมาชัดเจนขนาดนั้น

“ต้องเติมท้ายว่าผู้ชายด้วยนะ”

“ซัน!”

ใช้ความที่ทำงานมานานกว่า ออกปากดุสมาชิกร้านตรงหน้า พลางเบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อหู รู้อยู่หรอกว่าซันค่อนข้างรำคาญเกลมาก ถึงส่วนตัวจะชอบอ้อล้อเรียกร้องความสนใจจากสาวๆ แต่ถ้าเยอะเกินไปก็จะรำคาญมากเชียวล่ะ แล้วเกลเองก็เป็นพวกตามติดจนน่าคลื่นไส้ซะด้วยสิ

“ก็มันจริงนี่ นายก็รู้ว่ายัยเกลคอยแต่จะจับหนึ่งในพวกเราไปเป็นแฟนให้ได้เลย”

“แต่ถึงยังไง เขาก็เป็นลูกค้านะ อย่าพูดจาแบบนั้น”

ซันเบ้ปากไม่สบอารมณ์ หากก็ยอมไม่ว่ากล่าวอะไรต่อ แจนตักข้าวเข้าปากอีกไม่กี่คำ ก็รวบช้อนส้อม แล้วยกจานไปพักไว้ที่ซิงค์ ก่อนจะย้ายตัวเองไปประจำที่หน้าเคาน์เตอร์เค้ก ทิ้งให้อีกสองหน่อนั่งทานอาหารต่อตามลำพัง แน่นอนว่าคนโตกว่าไม่ยอมปล่อยให้โอกาสดีๆ แบบนี้หลุดลอยไป รีบตักกับข้าวใส่จานของอีกฝ่ายพร้อมระบายยิ้มกว้างอย่างเอาอกเอาใจ

“กินเยอะๆ นะ”

“ขอบคุณครับ”

“ถ้าโดนเกลหรือลูกค้าคนอื่นมาเจ๊าะแจ๊ะ รีบบอกฉันเลยนะ เข้าใจไหม” สุดท้ายก็วกกลับเข้าเรื่องเดิม แต่ที่พูดขึ้นมาอีก เพราะเป็นห่วงอตินต่างหาก ยิ่งหน้าตาน่ารักแบบนี้ มีหวังโดนลูกค้ารุมตายแน่

“คงไม่มีใครมายุ่งกับผมหรอกครับ”

ตอบออกไปแบบซื่อๆ ไม่คิดว่าตัวเองน่าเป็นห่วงแต่อย่างใด เพราะเขาไม่ได้หล่อ หรือมีเสน่ห์อย่างพนักงานคนอื่นสักนิดเลย ไม่มั่นใจว่าจะเรียกลูกค้าได้ด้วยซ้ำ ซันได้ยินแบบนั้นก็ตั้งท่าจะเถียงกลับ แต่อตินก็พูดแทรกขึ้นมาซะก่อน

“ถ้าพี่ซัน หรือคนอื่นๆ ไม่อยากให้ลูกค้ามาวุ่นวาย ทำไมถึงไม่หาแฟนเป็นตัวเป็นตนไปเลยล่ะครับ เอ๊ะ หรือว่ามีแล้ว?”

“ไม่มี ทำงานตลอดแบบนี้ไม่มีเวลาให้ใครหรอก ยกเว้นจะคบกันเองน่ะนะ ฮ่าๆ” พยายามพูดติดตลกในตอนท้าย แม้ว่าลึกๆ แล้วจะแอบคิดจริงจังนิดหน่อยก็เหอะ แต่เด็กตรงหน้าก็คงไม่รู้เรื่องหรอก ว่าที่เขาพูดไปน่ะหมายถึงตัวเองนั่นแหละ

“แล้วถ้าเราคบกันเอง ก็ได้หรอครับ...”

คำพูดตอบกลับของอติน ทำเอาซันสะอึก ไอ้ที่แกล้งทำเป็นตลกเมื่อครู่ หายวูบไปกับตา ไม่อยากเชื่อเลยว่าจะได้ยินแบบนี้ ทั้งที่เขาคิดว่าคงโดนหาว่าบ้าที่พูดเรื่องผู้ชายคบกันแท้ๆ แต่อตินกลับเป็นฝ่ายสุมไฟเพิ่มเข้ามาซะเอง แววตาที่แปลไม่ออกตอนนี้ ทำให้ซันรู้สึกอึดอัด จนต้องรีบแสร้งหัวเราะออกมาอีกครั้ง พลางตบบ่าคนตรงหน้าไปที

“สุดท้ายก็เอาแต่ทำงานจนไม่มีเวลาสนใจเรื่องอื่นอยู่ดีนั่นแหละ รีบกินเถอะ จะได้สลับให้คนอื่นมากินข้าวบ้าง”

“อะ..ครับ”

หลังจากบทสนทนาแปลกๆ จบลง ทั้งคู่ก็ไม่ได้ปริปากพูดคุยอะไรออกมาอีก จนแยกย้ายกลับไปทำงาน อตินได้แต่นึกโทษตัวเองที่ดันพูดจาแปลกๆ ออกไปอย่างไม่ทันคิด ชักกลัวว่าซันจะมองเขาประหลาดแล้วหรือเปล่า ทำไมถึงได้โง่เง่าแบบนี้ รู้ทั้งรู้ว่าอีกฝ่ายแค่ล้อเล่นไปตามประสา แต่ตัวเขากลับเผยอะไรบางอย่างออกไปอย่างนั้น....บ้าชะมัดเลย

ส่วนทางซันเองก็ได้แต่ครุ่นคิดมาตลอดถึงคำพูดของอตินเมื่อครู่ ความจริงเขาไม่ค่อยสนใจเรื่องเพศวิถีบ้าบอที่มนุษย์เป็นผู้กำหนดกฎเกณฑ์เอาเองสักเท่าไรหรอก แต่ประเด็นที่ทำให้เขาคิดหนัก คือการที่เริ่มสงสัยว่า อตินจะรู้สึกถูกใจใครสักคนใน Café de Sept เข้าแล้วต่างหาก และคำถามก็คือ ใครล่ะ ที่ดึงดูดสมาชิกใหม่เอาไว้ได้รวดเร็วขนาดนี้? ถ้าเป็นปกติเขาคงคิดเข้าข้างตัวเองไปแล้ว แต่เพราะมันไม่ปกตินี่แหละถึงยิ่งหงุดหงิด เพราะอตินไม่เคยแสดงท่าทีสนอกสนใจเขาอย่างที่พวกลูกค้าคนอื่นเป็น ทำให้เขาไม่มั่นใจเอาเสียเลย ใครกันแน่ที่เอาชนะคาริสม่าเกินร้อยของนายซันคนนี้ไปได้ ใครกัน...

 

“ขอบคุณมากนะครับ”

เสียงเบสกับน็อตดังขึ้น หลังจากปิดประตูส่งลูกค้าคนสุดท้ายของวันเรียบร้อยแล้ว อตินรีบจัดการล้างแก้วกับจานให้เสร็จ และค่อยๆ เดินเลียบเข้าไปใกล้ซันซึ่งกำลังยกเก้าอี้เก็บ โดยมีสายตาอีกสองคู่คอยสังเกตการณ์อยู่ตลอด

“พี่ซัน...”

“มีอะไรเหรอ?”

“เอ่อ...เมื่อตอนกลางวัน ผม...ผมล้อเล่นเฉยๆ นะครับ”

คนตัวเล็กพูดตะกุกตะกัก ยิ่งเสริมให้ดูน่ารักน่าหยอก จนคนฟังอดยิ้มกว้างตามไม่ได้ จะล้อเล่นหรือพูดจริงเขาไม่สนหรอก ที่แน่ๆ เขาต้องทำให้อตินหันมาสนใจเขาให้ได้ ไม่อย่างนั้นก็อย่ามาเรียกเขาว่า ซัน เลย

“ฉันไม่ได้คิดอะไรสักหน่อย คิดมากไปได้” รีบคว้าโอกาสนี้ ยกมือขึ้นลูบหัวคนตัวเล็กอย่างนึกเอ็นดู พลางโยกศีรษะอตินไปมาเล็กน้อย พอให้อีกฝ่ายเริ่มยิ้มออก

“ก็ผมกลัวพี่ซันจะหาว่าผมแปลก”

“แล้วทำไมฉันต้องว่านายแปลกด้วยล่ะ”

“ก็...ผมพูดเรื่องที่ให้เราคบกันเอง แบบว่า มั...”

“ไม่เห็นแปลกเลย ถ้าเราจะคบกันมันก็ไม่ผิดหนิ”

พอร้านไม่มีลูกค้า เสียงพูดคุยแม้เพียงเล็กน้อย ก็ดังพอให้ใครคนอื่นได้ยิน และดูเหมือนบทสนทนาของซันกับอตินในตอนนี้ จะฟังดูทะแม่งชอบกล จนกลายเป็นว่ากำลังเรียกความสนใจจากพนักงานทั้งหมดมาไว้จุดเดียว พอเริ่มรู้สึกตัว ซันเลยคว้าข้อมือเล็กของอติน ลากขึ้นไปนั่งคุยกันบนชั้นสองของร้าน

มีมุมหนึ่งซึ่งเรียกได้ว่าเป็นมุมโปรดของซัน ก็คือโซนอ่านหนังสือ ซึ่งจะถูกกั้นเป็นห้องขนาดเล็ก แยกเอาไว้ มีเบาะกับโต๊ะ แล้วก็ตู้หนังสือวางไว้ให้บริการแก่ลูกค้า ตามจุดต่างๆ มีการประดับตกแต่งด้วยงานปั้นและงานแกะสลักไม้ ฝีมือเขาเองทั้งนั้น และถึงแม้ว่าคนอื่นๆ จะอยากรู้อยากเห็นแค่ไหน แต่ก็ไม่กล้าแสดงออกขนาดจะตามขึ้นมาฟังถึงตรงนี้ ทำให้เขาได้จังหวะพูดจาเปิดอก บวกทำคะแนนกับเด็กหน้าหวานตรงหน้าอย่างสบายใจ

“พี่ซัน”

“คุยตรงนี้ดีกว่า เอ้า ว่าถึงไหนแล้วนะ”

“พี่บอกว่าถ้าพวกเราพนักงาน จะคบกันเองก็ไม่ผิด...”

“อืม ก็คนเหมือนกันนี่ ถ้ารู้สึกชอบกัน ก็คบกัน แค่นั้นเอง”

“ทั้งที่เป็นผู้ชายทั้งคู่น่ะหรอครับ?”

อตินรีบท้วง ทั้งที่ภายในใจก็กำลังคาดหวังถึงคำตอบบางอย่าง ซึ่งอาจทำให้เขารู้สึกโล่งอกและสบายใจยิ่งกว่าที่เป็น ไม่รู้เพราะสถานการณ์มันพาไปหรืออะไร เขากลับพรั่งพรูทุกอย่างออกมา ต่อหน้าคนที่ไม่คิดว่าจะปรึกษาได้ด้วยซ้ำ

“พูดไปแล้วไง...ว่าก็คนเหมือนกัน” แปลกมาก ที่คำตอบของซันกลับทำให้เขายิ้มกว้างออกมาได้อย่างไม่ทันรู้ตัว ทั้งที่มองว่าเป็นคนลอยไปลอยมา แต่กลับพูดอะไรดีๆ ได้เหมือนกันแฮะ

แน่นอนว่าคนตัวสูงก็กำลังยิ้มกลับมาเช่นกัน รู้สึกโชคดีที่บทสนทนาทั้งหมดมันส่งให้เขากับอตินได้มาพูดคุยจริงจังกันอย่างตอนนี้ เหมือนได้รับความเชื่อใจขึ้นมาอีกนิด และเริ่มสนิทใจขึ้นมาอีกหน่อยแล้ว พอบรรยากาศค่อนข้างผ่อนคลาย ถึงกลับมาว่าติดตลกเหมือนเคย

“แล้วถามแบบนี้ อย่าบอกนะว่าไปชอบใครเข้า?”

“เปล่า! บอกว่าแค่ล้อเล่นไงครับ” รีบปฏิเสธเสียงสูงพลางโบกไม้โบกมือพัลวัน จนอีกฝ่ายต้องยอมพยักหน้าเป็นเชิงเชื่อ แม้จะยังสะกิดใจกับท่าทีในวันนี้ก็ตาม

“หรอ...แต่ฉันไม่ได้ล้อเล่นนะ”

“หือ?”

“ที่ว่าเราคบกันได้...”

“พี่ซัน” อตินร้องออกมาเล็กน้อย เมื่อจู่ๆ ซันก็ดึงตัวเขาเข้าไปใกล้ จนปลายจมูกทั้งคู่แทบจะชนกัน ลมหายใจอุ่นๆ รดอยู่เพียงแค่ตรงหน้าเท่านั้น...

“อติน...”

มือใหญ่รวบรั้งข้อมือบางทั้งสองข้างเอาไว้แน่น ไม่ยอมให้อีกฝ่ายถอยหนีไปไหน ก่อนค่อยๆ เคลื่อนใบหน้าเข้าหาอย่างเป็นจังหวะ ท่ามกลางความตกใจจนพูดไม่ออกของคนตัวเล็ก ที่เอาแต่แข็งทื่ออย่างกับโดนสาป.....

ก็บอกแล้วใช่ไหม ถ้าทำให้หันมาสนใจไม่ได้ ก็อย่ามาเรียกเขาว่า ซัน


-------------------------------------------------------------------------

สุขสันต์วันสงกรานต์นะคะ ^^
ได้ไปไหว้พระแถวสมุทรสาครมาด้วย
แวะเอาบุญมาฝากเน่อ  :3123:

ตอนนี้แอร์เคลียร์เพจใหม่แล้ว
สามารถมาเม้ามอยหรือติดตามกันได้น้า
https://www.facebook.com/aonair13/ (https://www.facebook.com/aonair13/)


 :-[
หัวข้อ: Re: ♡♡ ในร้านกาแฟ ♡♡ by「aonair」
เริ่มหัวข้อโดย: aonair13 ที่ 15-04-2016 23:10:09
5

“ไอ้ซัน ทำอะไรน้อง!?”

เสียงเบสดังขัดขึ้นทันเวลา ทำให้ซันต้องรีบผละตัวออกอย่างไม่สบอารมณ์ สายตาดุดันตวัดกลับไปมองคนเป็นหัวหน้าเหมือนจะต่อว่า แต่กลับถูกตอบกลับด้วยสายตาตำหนิไม่แพ้กัน เลยได้แต่นั่งเงียบ ไม่อาจปริปากออกไป ไม่กี่วินาทีต่อมา มิน แจน กับน็อตก็วิ่งขึ้นมาตามเสียงชวนตกใจเมื่อครู่ พอเห็นร่างแข็งทื่อของอติน มินก็รีบรุดเข้าไปเขย่าตัวเพื่อเรียกสติ พลางส่งสายตาคำถามออกมา

“นี่มันอะไรครับ พี่ซัน?”

“เปล่าสักหน่อย เราก็แค่คุยกัน”

ซันตอบแบบขอไปที ทั้งที่ในใจเริ่มร้อนรนแปลกๆ รู้สึกว่าจะกะจังหวะพลาดไปหน่อย ไม่รู้อตินจะกลัวเขาจนไม่อยากเข้าใกล้แล้วหรือเปล่า บ้าเอ๊ย แต่เมื่อกี้มันห้ามตัวเองไม่อยู่จริงๆ นี่น่า ร่างกายมันก็ขยับไปเอง ทั้งที่ไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำ แค่รู้สึกว่าอยากพูดออกไป...อยากสัมผัส อยากแตะต้อง...

“อติน เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น?”

มินยังคงแสดงท่าทีเป็นห่วงออกนอกหน้า จนเมื่ออตินเริ่มรู้สึกตัว ถึงรีบสะบัดหน้าปฏิเสธ แม้ว่าจะยังตกใจอยู่บ้างก็ตาม แต่ก็ไม่คิดว่าซันทำไปเพราะมีเจตนาร้าย ความจริงเขาเองก็ยังไม่โดนทำอะไรด้วย ถึงเหตุการณ์เมื่อกี้มันเหมือนว่าจะโดนจูบ...ก็เหอะ

“ป..เปล่า ไม่มีอะไร”

“ไม่มีอะไรแล้วทำไมนิ่งไปล่ะ ไอ้ซัน มึงทำอะไรอติน?” เบสคาดคั้นต่อ สีหน้าตึงเครียดกว่าทุกที รังให้บรรยากาศเริ่มมาคุมากขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับที่มาร์ชเดินตามขึ้นมาด้วยท่าทางแสนรำคาญ

“ผมไม่ได้ทำอะไร...”

“พี่เบส พี่ซันไม่ได้ทำอะไรจริงๆ ครับ เราแค่คุยกัน”

คนตัวเล็กช่วยพูดอีกเสียง เบสได้แต่หรี่ตาอย่างพยายามจับผิด แต่สุดท้ายก็ยอมปล่อยๆ ให้ผ่านไปโดยไม่เอาเรื่อง ถึงแม้เขาจะมั่นใจมากว่า ตอนเดินขึ้นมานั้น เขาเห็นซันทำท่าจะเข้าไปจูบอตินก็เถอะ แต่ถ้าทั้งสองคนออกปากปฏิเสธขนาดนั้น เขาเองก็คงต่อว่าอะไรไม่ได้

“กลับบ้านกันเถอะครับ”

แจนเป็นฝ่ายดึงทุกคนกลับออกมาจากบรรยากาศตึงเครียด ก่อนที่เบสกับน็อตจะเดินนำกลับลงไปยังชั้นล่าง เพื่อเตรียมตัวกลับบ้าน มินยังคงเกาะติดอตินแน่น ไม่ออกห่างไปไหน โดยมีแจนคอยสังเกตการณ์อยู่ไม่ห่าง ส่วนคนก่อเรื่องซัน ได้แต่เดินหน้ามุ่ยอยู่ด้านหลังคนเดียว

ชั่ววินาทีหนึ่งที่อตินเดินผ่านใบหน้าเรียบเฉยของมาร์ช เขากลับรู้สึกได้ถึงรังสีแปลกๆ ที่แผ่ออกมา ไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่ทำให้เย็นวาบไปทั้งสันหลังเลยทีเดียว คนตัวเล็กต้องรีบก้าวเท้าให้ไวขึ้น ไม่กล้าหันกลับไปสบตาคู่นั้นอีก มาร์ชจะคิดยังไงนะ เขาจะเข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่า

ระหว่างทางกลับบ้าน มินยังคงซักถามถึงเรื่องเมื่อครู่ต่ออย่างไม่ลดละ จนถึงในห้องนอน แม้ว่าอตินจะยืนยันว่าไม่มีอะไรยังไง เขาก็อดห่วงและสงสัยไม่ได้อยู่ดี และยิ่งเป็นซันนั่นแหละถึงได้ยิ่งไม่ไว้ใจเข้าไปใหญ่ รายนั้น ใครๆ ก็รู้ถึงระดับความเจ้าชู้ ที่มากพอๆ กับความบ้าบิ่น กลัวว่าถ้าคลาดสายตาไปเมื่อไร อตินอาจจะโดนขย้ำเอาได้น่ะสิ

“ไม่มีอะไรจริงๆ นะ?”

“ไม่-มี” ตอบกลับเสียงดังฟังชัด หลังจากได้ยินคำถามแนวนี้เป็นรอบที่ล้าน มินเองก็ได้แต่นิ่งเงียบไป เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเริ่มมีอาการหน่ายใจแล้ว แต่ทำไงได้ล่ะ เขาแค่เป็นห่วงนี่

“อืม...ไม่มีก็ดี ต่อไประวังด้วย”

“ระวัง ทำไมอะ?”

“ก็พี่ซันเจ้าชู้ แถมหื่นกาม ไม่รู้จะโดนลวนลามบ้างรึเปล่า”

คนตัวเล็กหลุดหัวเราะออกมา ไม่คิดว่าจะได้ยินคำต่อว่าออกมาจากปากน้องเล็กผู้ใสซื่อคนนี้ แต่ในใจก็อดปลื้มปริ่มกับความห่วงใยที่มินมีให้ไม่ได้ ถึงอย่างนั้น เขาก็ไม่เคยคิดว่าซันเป็นคนไม่ดีแต่อย่างใด

“ไม่หรอก พี่เขาก็แค่เฟรนลี่มั้ง”

“แล้วชอบคนเฟรนลี่หรอ?”

“ก็ต้องชอบสิ”

ตอบแบบไม่ทันได้คิดอะไร ทำเอาหัวใจอีกคนกระตุกวูบ ใบหน้าขาวชาไปทั้งแถบ รู้สึกอยากตีตัวเองที่ดันตั้งคำถามออกไปแบบนั้น ในเมื่อคำตอบมันออกมากำกวมซะจนร้อนใจ ความจริงคนเราก็ต้องชอบคนอัธยาศัยดีเป็นธรรมดาอยู่แล้ว แต่ตอนนี้พวกเขากำลังคุยถึงซันใช่ไหม แล้วอตินตอบมาแบบนี้ จะแปลว่าชอบซันหรือเปล่า โอ้ย อยากถามตรงๆ แต่ก็คงดูประหลาดอีก จะบ้าตาย ทำไมพนักงานหน้าใหม่นี่ถึงได้หาเรื่องให้เขาร้อนรนได้ตลอดเลยนะ

“เราชอบทุกคนนั่นแหละ พี่ทุกคนใจดีกับเรามาก แล้วมินก็ดีกับเรามากๆ ด้วย” อตินยิ้มแฉ่ง ส่งให้มินใจชื้นขึ้นมาหน่อย ความจริงอตินดูใสซื่อยิ่งกว่าเขาอีก ไม่น่าต้องกังวลอะไรเลยแฮะ เอ่อ...หรือยิ่งซื่อๆ แบบนี้ ยิ่งต้องกังวลมากกว่าก็ไม่รู้สิ

“เราไปอาบน้ำแล้วดีกว่า”

“อือ อาบก่อนเลย”

คนตัวเล็กพยักหน้ารับ แล้วลุกขึ้นถกเสื้อยืดบนตัวขึ้นอย่างโจ่งแจ้ง จนมินต้องรีบร้องพลางหันหน้าหนี พอเหลือบตามองกลับมาก็เห็นแค่ร่างเปลือยอกของอตินแล้ว ไม่ชิน! ให้ตายก็ไม่ชินกับไอ้เรือนร่างบอบบางอย่างกับเด็กผู้หญิงนี่! ถึงจะรู้ว่าเป็นเรื่องปกติของผู้ชายในการถอดเสื้อต่อหน้ากันก็เถอะ แต่กับคนคนนี้ ทำไมมินถึงได้รู้สึกขัดเขินชอบกลก็ไม่รู้ ทุกครั้งที่เห็นเป็นต้องหน้าแดงตลอดเลย ยิ่งไอ้แผ่นอกขาวๆ ที่คอยกระเพื่อมขึ้นลงตามแรงหายใจนั่นแล้ว มองนานๆ เข้า พาลจะทำให้เขาช็อคตายเอา

“ฮ่าๆ มินนี่ ขี้เขินเนอะ”

อตินหัวเราะเป็นเชิงแซว ก่อนจะเดินไม่รู้ร้อนรู้หนาว ไปหยิบผ้าเช็ดตัวแล้วก้าวเท้าหายเข้าไปในห้องน้ำ ทิ้งให้คนตัวใหญ่นั่งสับสนในตัวเองอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งอตินอาบน้ำเสร็จ ก็เดินออกมาด้วยการนุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียวอย่างเช่นทุกที แต่เป็นทุกทีที่เขาเองก็ยังไม่สามารถทำเป็นไม่คิดอะไรได้เลย ซึ่งนั่นแหละคือสิ่งที่กำลังสับสนแทบบ้าอยู่ตอนนี้

จะไม่ให้บ้าได้ยังไง ดูเข้าสิ เป็นผู้ชายจริงหรือเปล่า ทำไมตัวเล็กดูน่าทะนุถนอมแบบนี้ แขนขาก็บางอย่างกับผู้หญิง ยิ่งอกขาวๆ นั่นอีก ขนาดเป็นผู้ชายด้วยกัน ยังใจเต้นไม่เป็นส่ำเชียวนะ

“ไม่อาบน้ำเหรอ?”

“หะ...อ่อ อ..อาบ” มินรีบเด้งตัวออกจากเตียง ตรงไปทางที่ตากผ้าเช็ดตัว สงสัยจะจ้องอตินนานไปหน่อย เลยเหม่อจนได้ น่าอายอีกแล้ว

คนตัวโตยกมือขึ้นเกาศีรษะแก้เก้อ แล้วเริ่มปลดเสื้อบนตัวออกเช่นกัน ในขณะที่คนตัวเล็กก็กำลังแต่งตัวอยู่ที่อีกมุมหนึ่งของห้อง สายตาเหลือบพิจารณาหุ่นของเพื่อนร่วมห้องอย่างอดอิจฉาไม่ได้ ทั้งที่เด็กกว่าเขาแท้ๆ แต่กลับหุ่นดีมีกล้ามน่าหมั่นไส้อะ แถมยังขาวสุดๆ ขาวกว่าเขาเยอะเลยด้วย

มินซึ่งกำลังง่วนหาโฟมล้างหน้าตัวใหม่ที่เพิ่งซื้อมาแทนของเก่าที่หมดไป ไม่ทันรู้สึกตัวว่า อตินได้เดินมาหยุดอยู่เบื้องหลังเขาแล้ว หลังจากสวมชุดนอนเรียบร้อย กว่าจะรู้สึกตัว ก็ตอนที่มือเล็กๆ ฟาดเบาๆ เข้าที่หลังเปลือยเปล่าของเขาซะจนสะดุ้งนั่นแหละ

“เฮ้ย!”

“โห ตัวโตซะเปล่า ขวัญอ่อนไปได้”

“แล้วมาตีทำไมอะ ตกใจหมด”

อะไรกัน เข้ามาใกล้ขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร นี่เขาเกือบเปลือยอยู่นะเข้าใจใช่ไหม แล้วก็ไม่ต้องมาตีหน้าบู้แบบนั้นเลย บ้านไม่มีกระจกหรอถึงไม่รู้ว่ามันดูน่ารักมากขนาดไหน อ๊ากก อยากจะทึ้งหัวตัวเองแรงๆ ทำไมเขาถึงต้องมาหวั่นไหวกับไอ้แค่ผู้ชายอีกคนตรงหน้าด้วยเนี่ย!

“อิจฉาอะ หุ่นดี”

“อตินก็ตัวเล็ก น่ารักออก”

“โดนชมแบบนั้น ไม่ดีใจหรอกนะ” อตินยื่นปากไม่พอใจ ใครจะอยากถูกชมว่าน่ารัก ไม่ใช่ผู้หญิงสักหน่อย แต่เขากลับโดนพูดแบบนี้ใส่มาตลอดทั้งชีวิตเลยเนี่ยสิ เซ็ง

“ทำไมอะ อติน คนน่ารัก”

มินได้ใจยิ่งล้อใหญ่ แถมยังฉวยโอกาสโน้มตัวเข้าไปใกล้ใบหน้ามุ่ย ของอีกฝ่าย พอตั้งใจจะยกมือขึ้นหยิกแก้มตุ่ยๆ ก็ถูกอตินโยกหัวลงมาโขกกับหน้าผากเสียงดังปัก ก่อนจะเดินทำแก้มป่องขึ้นไปนอนเล่นบนเตียง พร้อมโบกมือไล่ให้เขาไปอาบน้ำได้แล้ว

“ไปเลยไอ้หมี”

“ฮ่าๆๆ”

โชคดีจริงๆ นั่นแหละ ที่เขาได้นอนห้องเดียวกับอติน โชคดีของอตินที่ไม่ต้องไปผจญกับอันตรายจากคนอื่น และโชคดีของเขาที่ได้อยู่ใกล้ชิดอตินด้วย ถึงนับตามจริงเขาจะเด็กกว่าอีกฝ่ายก็เหอะ แต่เขากลับมองว่าอตินเหมือนน้อง ที่อยากคอยดูแล อยากปกป้องมากกว่า

ก็หวังว่าเขาจะได้รับสิทธ์นั้นจากเจ้าตัวเช่นกันนะ

 

“ที่หัวแดงๆ นี่ พี่มาร์ชชัวร์”

เด็กใหม่ของร้าน Café de Sept กำลังใช้เวลาว่างช่วงที่ไม่ค่อยมีลูกค้า มานั่งยืดขาอยู่ตรงมุมหนังสือชั้นสอง พร้อมกับเจ้าถิ่นอย่างซัน สายตากำลังกวาดไปรอบ เพื่อชื่นชมตุ๊กตาไม้ผลงานของคนข้างตัวอย่างตื่นเต้น แน่นอนว่าพวกของตกแต่งร้านหลายชิ้นก็เป็นฝีมือของซันเองเช่นกัน นับว่าเป็นอีกหนึ่งในความสามารถอันแสนโดดเด่น นอกเหนือจากการเต๊าะลูกค้าไปวันๆ น่ะนะ

“แล้วนี่ก็ฉันไง” ซันยิ้มกว้าง หยิบตุ๊กตาไม้รูปผู้ชายใส่หมวกขึ้นมาส่งให้อีกฝ่ายดูเล่น อตินท่าทางปลาบปลื้มมากกับงานอดิเรกนี้ เล่นชมไม่หยุดปาก ตั้งแต่ที่เห็นตุ๊กตาน้องหมาขยับขาได้นั่นแล้ว

“พี่ซันเก่งอะ ไม่น่าเชื่อเลย”

“เหมือนจะดีและ”

“ฮ่าๆ ก็ไม่คิดว่าจะทำอะไรแบบนี้ มันดู...เป็นงานละเอียดอ่อนมากๆ”

“พูดงี้แปลว่าอะไร หะ”

คนตัวสูงย่นจมูกเข้าไปใกล้ แล้วแกล้งตีหน้าดุใส่อีกฝ่าย ส่วนอตินแทนที่จะกลัว กลับหลุดหัวเราะออกมา ก่อนจะหันไปสนใจของตกแต่งชิ้นอื่นๆ ที่เริ่มกองกันเยอะกว่าพวกหนังสือที่เอาไว้บริการลูกค้าซะอีก

“เอาเป็นว่าพี่ซันเก่ง โอเคปะ”

“โอเคครับ”

ซันยิ้มกว้าง พลางวาดแขนเข้าไปโอบไหล่อตินไว้อย่างถือวิสาสะ โดยที่คนเด็กกว่าก็ไม่ได้คิดจะต่อว่าอะไร สายตายังคงจับจ้องไปที่ตุ๊กตาหมาในมือ ปล่อยให้ซันนั่งโอบรั้งตัวเองเข้าไปใกล้เรื่อยๆ จนแทบจะเกยขึ้นไปซบบนอก พอเห็นจังหวะเหมาะ ก็เลยแกล้งโน้มลำตัวผ่านหน้าอติน เพื่อไปหยิบกล่องอุปกรณ์บางอย่างบนชั้นหนังสือด้านข้าง สาบานว่ามีวินาทีนึง ที่ใบหน้าของทั้งคู่ห่างกันไม่เกินนิ้วด้วยซ้ำ ก็อย่างงี้แหละ เนียนได้เนียนไป

“อะไรหรอครับ?”

“กล่องอุปกรณ์ เอาไว้ทำของตกแต่งน่ารักๆ แบบนี้ไง”

ซันเปิดกล่องไปพลาง พูดไปพลาง ขณะที่อตินก็ยิ่งสนอกสนใจมากขึ้น พยายามเบียดตัวขึ้นอีกนิด เพื่อจะขอดูว่าด้านในกล่องสีขุ่นขนาดสูงใหญ่มีอุปกรณ์อะไรอยู่บ้าง กลายเป็นลาบลอยของนายซันไปโดยปริยาย อยู่ดีๆ เป้าหมายก็เข้ามาแซะซะเองแบบนี้ อยากจะกรี๊ดเหมือนกัน แต่ก็ต้องทำเป็นเก๊กเข้าไว้

มือใหญ่ค่อยๆ หยิบอุปกรณ์แต่ละชิ้นออกมาให้อีกฝ่ายเชยชมอย่างระวัง เพราะส่วนใหญ่แล้วเป็นของมีคมทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นมีดขนาดเล็ก เลื่อยมือ สิ่วแบบต่างๆ ตะไบ กระดาษทราย กบไสไม้ สว่านไฟฟ้าขนาดพกพา ไม้บรรทัด ดินสอ แผ่นไม้เล็กๆ หลายแผ่น กับพวกวัสดุตกแต่งอื่นๆ เช่นพวกแลกเกอร์ แชลแลก ทินเนอร์ หรือสีทาไม้ ทุกอย่างดูน่าตื่นตาตื่นใจสำหรับอตินมาก จนเผลออุทานออกมาตั้งหลายรอบ ไม่ได้รู้หรอกว่าไอ้ท่าทีที่แสดงอยู่ มันทำให้จิตใจคนแถวนี้กระชุ่มกระชวยมากขนาดไหน จากวันนั้นที่เกือบจะจูบไป...ก็กลัวว่าน้องจะไม่ยอมคุยด้วยแล้ว กลายเป็นว่าอตินไม่ติดใจอะไร แถมยังสนิทกันมากขึ้นอีก โชคดีอะไรของเขากันเนี่ย

“เดี๋ยวฉันจะทำตุ๊กตานายให้ด้วย”

อตินยิ้มกว้างยิ่งกว่ากว้าง แถมดวงตาก็ทอประกายสดใสจนคนเห็นแทบสำลักความสุขตาย เพิ่งรู้สึกดีใจกับงานอดิเรกตัวเองเอามากๆ ก็ตอนนี้นี่แหละ แต่ที่เขาจะทำตุ๊กตาให้อติน ก็ไม่ใช่แค่จะเอาใจส่วนตัวอะไรนะ แต่มันเป็นเหมือนธรรมเนียมอยู่แล้ว ว่าในร้านจะต้องมีตุ๊กตาหน้าพนักงานครบทุกคน เขาเองก็ทำของสมาชิกร้านคนอื่น รวมทั้งคุณวาโยตั้งโชว์เด่นหราไว้ตรงมุมหนังสือนี้เช่นกัน และต่อไปก็คงมีเพิ่มเข้ามาอีกหนึ่งล่ะนะ

“ผมอยากทำบ้างอะ”

“แต่มันอันตรายนะ”

คนโตกว่ารีบเตือน เพราะถ้าไม่เคยทำมาก่อน หรือไม่ชินมือกับอุปกรณ์พวกนี้เลย มั่นใจมากว่าต้องได้แผลกลับไปแน่ เนื่องจากเป็นงานที่ค่อนข้างต้องใช้ทักษะ อะไรที่เกี่ยวข้องกับของมีคม เขาไม่ค่อยอยากให้อตินแตะสักเท่าไรเลย ไม่อยากจะเห็นภาพเนื้อขาวๆ เป็นรอยแผลหรอก

“พี่ซันก็สอนผมก่อนไง”

“ตะ...”

“นะครับ นะ”

ส่งเสียงขอร้องพร้อมทั้งช้อนสายตาขึ้นไปทางอีกฝ่าย ไม่ได้ตั้งใจจะทำเป็นน่ารักนะ แต่บางทีมันก็น่ารักเอง ถึงขนาดว่าซันต้องรีบเสมองไปอีกทางแทบไม่ทัน ไอ้ใบหน้าทะเล้นที่เอาแต่หยอกคนอื่น ตอนนี้มันกลับขึ้นสีชมพูระเรื่อเพราะเด็กผู้ชายคนเดียว กลายเป็นว่าติดกับความบ๊องแบ๊วของอตินเข้าไปอย่างจังซะแล้ว

“อ่าๆ ไว้จะสอนละกัน”

“เย้ พี่ซันใจดีที่สุดเลย” จะไม่ให้ใจดีได้ยังไง เล่นน่ารักซะขนาดนี้ เป็นใครก็ต้องยอมป่าววะ...

“ใจดีที่สุด แล้วก็หล่อที่สุดด้วยใช่ป่าว?”

“เอ่อะ...” คนตัวเล็กผละตัวออกเล็กน้อย พลางจ้องหน้าซันแบบกลั้นขำหน่อยๆ นอกจากจะเป็นคนอัธยาศัยดีเอามากๆ แล้วยังหลงตัวเองด้วยสิ ผู้ชายแบบนี้ก็ตลกดีแฮะ

“ว่าไง ใครหล่อที่สุดในร้าน ตอบสิ”

“อืม.....”

อตินทำเป็นครุ่นคิด ขณะที่ซันก็กำลังยิ้มกว้าง ขี้นิ้วเข้าทางตัวเอง ค่อนข้างมั่นใจว่าเด็กตรงหน้าคงตอบเอาใจกันบ้าง ไหนๆ ช่วงนี้ก็สนิทกันมากขึ้นแล้ว ท่าทางจะทำให้อตินหันมาสนใจได้ไม่ยาก แต่รอยยิ้มบนหน้าก็ต้องหุบลงทันทีที่ได้ยินคำตอบ เมื่อคนตัวเล็กลุกขึ้นจากพื้นไม้แล้วหัวเราะร่า ราวกับจะแกล้ง

“พี่มาร์ชมั้งครับ”

ไม่ทันได้โต้เถียง อตินก็ฉวยโอกาสวิ่งหนีลงบันไดกลับไปยังชั้นล่าง ทิ้งให้เขาได้แต่นั่งนิ่งคนเดียว ไม่ขำ...ไม่ตลกด้วย... ความรู้สึกแปลกๆ บางอย่างมันแล่นวาบเข้ามาในตัว เพียงชั่ววินาทีหนึ่ง ไม่รู้ว่าคือความโกรธหรือน้อยใจ รู้แต่ไม่ชอบเอาเสียเลย

อตินเป็นเหมือนหนูตัวแรกที่ไม่ยอมติดกับดัก นอกจากนั้นยังขโมยชีสก้อนโตไปได้อีกต่างหาก... ทั้งที่ปกติ จะต้องถูกห้อมล้อมด้วยผู้คนมากมาย ไม่ว่าใครก็พากันมาติดพันเสน่ห์ของเขาทั้งนั้น แต่กับคนนี้มันไม่ใช่ และไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น ไม่อยากยอมรับว่าเขากำลังถูกเมิน... การไม่เป็นที่สนใจเหมือนอย่างทุกที ทำให้รู้สึกร้อนรุ่มพิกล ยิ่งเป็นแบบนี้ก็ยิ่งอยากเอาชนะ อยากทำให้อตินหลงเขาซะจนถอนตัวไม่ขึ้น ทำให้มันเป็นเหมือนปกติ อย่างที่ควรจะเป็น

ใช่สิ...เขาจะต้องโดดเด่นที่สุด ในสายตาของทุกคน ไม่เว้นแม้แต่เด็กนั่น

พอคนตัวเล็กปลีกตัวลงมาด้านล่าง ก็พบว่าเริ่มมีลูกค้าเพิ่มขึ้นจากเดิมบ้างแล้ว เขารีบก้มหัวให้น็อตที่เพิ่งสวนกันไป เป็นเชิงขอโทษที่เหลวไหลซะนาน แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้ต่อว่าอะไร เพียงแค่พยักเพยิดไปด้านเคาน์เตอร์ให้รู้ว่า คนที่จะต่อว่าน่ะ อยู่ตรงนั้นต่างหาก

“พี่มาร์ช มีอะไรให้ช่วยไหมครับ?” ทำเป็นใจกล้า เดินบากหน้าเข้าไปมองหาใบออเดอร์แถวนั้น ไม่แม้แต่จะสังเกตเห็นสีหน้าหงุดหงิดจากเจ้าของผมสีแดง จนเมื่อเสียงทุ้มต่ำฟังดูเย็นเยียบดังขึ้น ถึงต้องชะงักฝีเท้าและกลืนคำพูดทั้งหมดกลับลงคอไป

“มาทำงาน ไม่ได้มาเล่น”

“.....ขอโทษครับ”

เป็นอีกครั้งที่ต้องได้ยินน้ำเสียงเย็นชาอย่างที่ไม่ชอบเลย มันฟังดูเจ็บปวดและเคว้งคว้าง ยิ่งออกมาจากปากคนตรงหน้านี้แล้วด้วย...เขายิ่งไม่ต้องการฟัง

“ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้นเลย ไปชงโกโก้”

คนตัวสูงยื่นมือออกไปใกล้ใบหน้าหวาน ตั้งใจว่าจะดีดหน้าผากสั่งสอนไปที แต่พอเห็นแก้มป่องๆ กับท่าทางเซื่องซึมแบบนั้นแล้วก็ต้องเปลี่ยนใจ เลยใช้นิ้วชี้คลึงลงไประหว่างหัวคิ้วซึ่งกำลังขมวดยุ่งแทน อตินเองก็ตกใจเหมือนกัน แต่พอเห็นว่ามาร์ชไม่ได้โกรธอะไรแล้ว ถึงยอมคลายคิ้วที่ผูกเป็นโบเมื่อครู่ออก แล้วยิ้มกว้างเหมือนเคย มือสองข้างรับแก้วขนาดกลาง มีหมึกเขียนกำกับว่าโกโก้ปั่น มาไว้กับตัว แต่ยังไม่วายโดนกำชับเสียงขู่

“ทำดีๆ นะ ถ้าไม่อร่อยนายตายแน่”

“ผมไม่ตายหรอก...” อตินหันกลับไปอมยิ้ม พยายามสื่อบางอย่างผ่านทางสายตาคู่นี้ “...เพราะว่ามีเทวดาคอยปกป้องอยู่”

มาร์ชเองก็กำลังมองกลับมาด้วยสายตาแปลกๆ ไม่แพ้กัน ช่วงเวลาภายในร้านราวกับจะหยุดนิ่ง ความทรงจำบางอย่างไหลเวียนกลับมาภายในหัวสมอง แค่เพียงได้เห็นใบหน้านี้อีกครั้ง ก็รู้ซึ้งเลยว่า เขาไม่เคยลืม... อะไรบางอย่างบังคับให้มาร์ชก้าวขาเข้าไปใกล้อตินมากขึ้น มือข้างหนึ่งยกขึ้นแตะแนวกรามของอีกฝ่ายอย่างทะนุถนอม ตอนนี้กลับเป็นเขาเองที่เอาแต่ขมวดคิ้วมุ่น แม้อยากจะพูดคำบางคำ กลับไม่กล้าแม้แต่จะส่งเสียงใดๆ ออกมาด้วยซ้ำ

ทำไมถึงเป็นแบบนี้นะ...

“โกโก้โต๊ะสาม ได้หรือยัง?” เสียงเบสดังแทรกขึ้นมา ทำให้ทั้งคู่ต้องรีบผละออกจากกันด้วยความตกใจระคนเขินอาย อตินรีบกุลีกุจอไปทางเครื่องปั่นใกล้ซิงค์น้ำ ส่วนมาร์ชก็ปั้นสีหน้ากลับมาเรียบเฉยเหมือนเดิมแทบจะทันที

“โทษที กำลังทำอยู่”

“มีอะไรหรือเปล่า เมื่อกี้...”

“เปล่า”

เบสเลิกคิ้วสงสัยเล็กน้อย แต่ก็ยอมไม่ถามอะไรต่อ แต่จะเปล่าได้ยังไง ในเมื่อเขาเห็นกับตาว่ามาร์ชแตะแก้มอติน แถมยังไอ้สายตาที่แปลไม่ออกนั่นอีก สองคนนั้นมีอะไรกันแน่

มีอะไร ที่พนักงานคนอื่นไม่รู้...
หัวข้อ: Re: ♡♡ ในร้านกาแฟ ♡♡ by「aonair」
เริ่มหัวข้อโดย: aonair13 ที่ 15-04-2016 23:13:08
6

“พี่แจน ถ้าผมพูดอะไรแปลกๆ พี่อย่าว่านะ”

น้องเล็กสุด เงยหน้าขึ้นเปิดบทสนทนากับแจน ในขณะที่ทั้งคู่กำลังง่วนกับการนวดแป้งเพื่อทำขนมสำหรับออกเสิร์ฟช่วงบ่าย ไม่มีใครอื่นอยู่บริเวณครัวแห่งนี้ ทำให้เขากล้าปรึกษาเรื่องที่ค้างคาใจมานาน อย่างน้อยก็กับแจนนี่แหละ ที่ดูเหมาะสมที่สุดในหมู่พี่ๆ ทั้งหลายแล้ว...อืม ถ้าเขาดูไม่ผิดไปอะนะ เพราะเรื่องนี้จะปรึกษากับซันหรือมาร์ช ไม่ได้เด็ดขาด ส่วนเบสเอง ก็สนิทกับซันพอตัว ดีไม่ดีจะเผลอเข้าข้างกันเปล่าๆ แล้วน็อตก็ขี้จุกจิกแบบคุณแม่มากเกินไป มีหวังกลายเป็นเรื่องใหญ่ หรือไม่ก็อาจจะไม่ได้ช่วยอะไรเลย

“พูดอะไร?”

“พี่ว่า อตินเป็นยังไง?”

“ก็เป็นน้องที่น่ารักคนนึง มีความตั้งใจ แล้วก็นิสัยดี” แจนเลิกคิ้วสงสัย แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร และตอบคำถามอย่างตรงไปตรงมา มินเองก็เอาแต่พยักหน้าเห็นด้วยทุกคำ ก่อนจะแทรกคำถามที่สองต่อมาทันที

“แล้วพี่ชอบอตินไหม?”

“ชอบสิ ถามอะไรเนี่ย?”

“ชอบแบบไหน?” มินไม่สนใจ เอาแต่รุกไล่คำถามอื่นต่อ จนแจนต้องวางมือจากชามสีเงินบนโต๊ะ และเงยหน้ามองมินอย่างจริงจัง แต่ละคำที่หลุดออกมาจากปากฟังดูแปลกจริงอย่างที่ว่า

“ก็ชอบแบบน้องไง จะให้ชอบแบบไหน เป็นไรเปล่ามิน?”

“พี่...ผมว่าผมแปลก”

“อะไร? มีอะไรรึเปล่า?”

มินเองก็หยุดมือที่กำลังนวดแป้งแล้ว สองมือใหญ่หยิบผ้าแห้งแถวนั้นขึ้นมาเช็ด ก่อนจะก้มหน้าเอ่ยเสียงต่ำ ทำเอาแจนอดเป็นห่วงขึ้นมาจริงๆ ไม่ได้ เห็นตัวใหญ่แบบนี้ แต่ก็เป็นน้องเล็กนั่นแหละ อารมณ์อ่อนไหวมากกว่าใคร ถึงอย่างนั้นก็พยายามทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรตลอด สงสัยว่าคงถึงจุดที่ทนไม่ไหวแล้วมั้งอีหรอบนี้ น่ากลัวแฮะ

“ผมคิดว่าผมชอบอติน...” คนเด็กกว่าตอบเสียงเรียบ ยังคงหลบสายตาคำถามจากเขาอยู่ แต่นั่นยิ่งทำให้น่าเป็นห่วงมากขึ้นอีกเท่าตัว

“ชอบ? แล้วไงอะ ใครๆ ก็ชอบอตินทั้งนั้น”

“เปล่า...ผม ผมว่าผมไม่ได้คิดกับอติน...แค่ เพื่อนนะ...”

“ว่าไงนะ?”

แจนเผลอขึ้นเสียง จนต้องรีบหันมองประตูห้องครัว กลัวว่าจะมีใครด้านนอกได้ยินหรือเปล่า พอแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครเข้ามาใกล้ ถึงเริ่มคาดคั้นเอาความจากรุ่นน้องตรงหน้าต่อ ท่าทางเคร่งเครียดมากขึ้นกว่าเดิม ไอ้ที่ว่าไม่ได้คิดแค่เพื่อนเนี่ยมันยังไงกันแน่ ชอบแบบคนรักงั้นเหรอ มินเนี่ยนะ? ไม่อยากจะเชื่อเลย

“อยู่ใกล้อตินทีไร ผมก็ใจเต้นทุกทีเลย รู้สึกอยากปกป้อง อยากคุย อยากเจอ...โอ้ย ผมมันบ้า” พูดไปก็จิกทึ้งผมบนหัวไปด้วย ท่าทางกำลังสับสนน่าดู แจนได้แต่ยืนขมวดคิ้วเป็นปม และโบกมือห้ามไม่ให้ทำร้ายตัวเอง สติแตกแบบนี้ น่ากลัวว่าจะเป็นเรื่องจริงซะแล้ว

“ใจเย็นก่อน แบบว่า...อตินน่ารัก นายจะชอบก็ไม่แปลกมั้ง” เอาจริงนะ เขาเองก็ไม่รู้ว่าควรพูดยังไงในสถานการณ์แบบนี้ดีเหมือนกัน แต่ท่าทางมินตอนนี้ดูไม่ดีเลย จะปล่อยไว้ก็ไม่ได้อีก

“ชอบ ทั้งที่เป็นผู้ชายด้วยกันเนี่ยนะ”

“อ..อาจจะชอบ แบบเพื่อนรึเปล่า คิดมากเองมั้ง นายอยู่ที่ร้านไม่เคยเจอเพื่อนรุ่นเดียวกัน อาจจะดีใจมากจนตีความผิดก็ได้”

เขาไม่คิดจะว่าเลยนะเรื่องผู้ชายชอบผู้ชาย แต่อยู่ๆ ให้มาด่วนสรุปแล้วช่วยชงเลยมันก็ไม่ใช่ บางทีมินอาจจะแค่สับสน เพราะไม่เคยมีเพื่อนสนิทรุ่นราวเดียวกันก็ได้ อยู่ในร้านก็มีแต่พวกพี่ๆ จะว่าสนิทก็สนิทไม่สุด แถมยังชอบโดนแกล้งอีก เก็บกดมากไปจนกลายเป็นว่ารู้สึกดีต่ออตินมากเป็นพิเศษหรือเปล่า แต่มาคิดอีกที ถึงหมอนี่จะชอบอตินเกินเพื่อนจริง ก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไรแฮะ เล่นตัวเล็กน่ารักอย่างกับเด็กผู้หญิงแบบนั้น เดาว่าคงมีหลายคนหวั่นไหวกันบ้างแหละ

“มะ...ไม่รู้เหมือนกัน แต่ผมว่าผมชอบอตินมากกว่านั้น มันไม่ใช่ว่าอยากเป็นแค่เพื่อน มัน....”

“มิน...”

แจนเคลื่อนตัวเข้าไปแตะบ่าให้กำลังใจรุ่นน้องซึ่งกำลังตีหน้าเครียด หรือว่าจะชอบอตินแบบคนรักจริงๆ งั้นเหรอเนี่ย แบบนี้จะไม่มีเรื่องกับทางซันหรือไง เพราะเห็นๆ กันอยู่ว่าด้านนั้นเองก็ดูสนใจอตินอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน

“พี่แจน...แล้วถ้า ผู้ชาย...จะชอบผู้ชายได้ไหม?”

มินเงยหน้าถาม ทั้งที่คิ้วสองข้างยังคงขมวดมุ่น ไอ้ความรู้สึกในใจตอนนี้มันกำลังจะฆ่าเขาอยู่แล้ว ให้ตายเถอะ เกิดมาก็ไม่เคยเป็นแบบนี้กับใครมาก่อนเหมือนกัน ไม่รู้ควรทำยังไงดีแล้ว เพราะว่าทั้งห่วง แถมยังหวงอตินแบบนั้น มันทำให้คิดเป็นอื่นไม่ได้เลย นอกจากว่าเขาคงตกหลุมรักเพื่อนใหม่คนนี้เข้าแล้ว ถึงอย่างนั้นก็ยังสับสนเหลือเกิน ไม่รู้ว่ามันดีแล้วหรือเปล่า เพราะเป็นเพศเดียวกันนะ แล้วก็เป็นเพื่อนด้วยนะ รู้สึกแบบนี้ มันได้จริงๆ เหรอ...

คนโดนถามชะงักไปเล็กน้อย ไม่เคยคิดว่าคำถามเมื่อครู่จะฟังดูน่าหงุดหงิดได้ขนาดนี้ เขาไม่รู้หรอกว่ามินเติบโตขึ้นมาในสังคมแบบไหน แต่ตลอดเวลาที่อยู่ใน Café de Sept ด้วยกันมา เขามองออกว่ามินเป็นเด็กดี และพร้อมจะยอมรับในหลายๆ เรื่อง เพราะงั้นถึงไม่ชอบใจ ถ้าคนแบบนั้นจะมาพูดเป็นเชิงว่า คำว่ารักต้องมีกฎเกณฑ์ใดๆ ในเมื่อมันไม่ใช่ แจนถอนหายใจเล็กน้อย ก่อนจะตั้งคำถามกลับด้วยสายตาจริงจังกว่าเคย

“แล้วมีใครกำหนด ไม่ให้คนรักกันด้วยหรือไง?”

นั่นคือทั้งหมดที่เขาพอจะพูดได้ในตอนนี้ ก่อนที่น็อตจะส่งเสียงผ่านเข้ามา เพื่อเรียกให้เขายกขนมบางส่วนออกไปวางโชว์บนเคาน์เตอร์ เมื่อมินถูกทิ้งไว้ลำพัง ถึงเริ่มคิดทบทวนคำพูดทุกคำเมื่อครู่อีกครั้ง จริง...ไม่มีใครเคยกำหนด ไม่ให้คนรักกันสักหน่อย

ถ้าอย่างนั้น เขาขอรักอตินแล้วกัน...แบบนั้น คงถูกแล้วใช่ไหม แม้จากนี้ไปจะต้องเหนื่อยยากหรือเจ็บปวด ก็จะยอมรับได้ใช่ไหม มิน...

 

“มิน เดี๋ยวเราไปห้องพี่ซันนะ”

“หะ ไปทำไมอะ?”

น้องเล็กที่ตัวไม่เล็กรีบตวัดสายตาถามอติน ซึ่งกำลังตั้งท่าจะเปิดประตูออกจากห้อง หลังจากอาบน้ำเสร็จแล้ว จะไม่ว่าอะไรเลยนะถ้าไม่ได้ยินคำว่า ซัน น่ะ ยิ่งเดี๋ยวนี้ตัวติดกันจนน่าหมั่นไส้ ถ้าไม่ติดว่าเขาเป็นน้องล่ะก็ จะโวยวายให้ดู

“พี่ซันจะสอนเราทำตุ๊กตาไม้”

“หือ”

เลิกคิ้วสูงด้วยความสงสัย อย่างซันเนี่ยนะจะสอนใครทำตุ๊กตาไม้ ขนาดลูกค้าสาวๆ ที่เคยคั่วด้วยขอเรียนยังปฏิเสธแล้วปฏิเสธอีก เพราะรู้ดีว่าสำหรับซันแล้ว งานไม้ ไม่ใช่แค่งานอดิเรกธรรมดา แต่มันคือความทรงจำล้ำค่าระหว่างเขากับพ่อที่เสียไปแล้ว เพราะงั้น การจะยอมให้คนอื่นเข้ามามีส่วนร่วมในความทรงจำนั้น มันแทบเป็นไปไม่ได้ แล้วตอนนี้มันอะไรกัน ซันสนใจอตินมากขนาดนี้เชียวเหรอ

“งั้นเราไปนะ”

ไม่ทันให้พูดอะไรต่อ ก็เปิดประตูหนีไปแล้ว ทิ้งให้มินได้แต่นั่งถอนหายใจอยู่ภายในห้องเพียงลำพัง นี่ขนาดนอนด้วยกัน ยังไม่ได้สนิทสนมเท่าคนห้องข้างๆ เลยเหรอเนี่ย ทำไมเขาถึงไม่มีดวงเอาซะเลย ทั้งที่ยอมรับหัวใจตัวเองแล้วแท้ๆ แต่กลับไม่มีโอกาสได้คำคะแนนอย่างคนอื่นเขาบ้าง โดยเฉพาะซันนั่นแหละตัวดี ขี้ม่อแล้วยังมาเต๊าะอตินอีก คอยดูนะ เขาทนไม่ไหวเมื่อไร จะจัดการให้ดู แต่ตอนนี้คงทำได้แค่มองมั้งเนี่ย เฮ้อ...

ทั้งที่ปล่อยเพื่อนร่วมห้องให้เผชิญกับความเซื่องซึม ตัวเองกลับไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วยเลย ตอนนี้ได้แต่ตื่นเต้นกับบทเรียนใหม่ๆ ที่ซันจะสอนให้ (เฮ้ย ทำไมฟังดูอีโรติก 555) อตินยืนเคาะประตูห้องนอนติดกันได้ไม่นาน เจ้าของผมสีน้ำตาลเข้มก็เดินมาเปิดประตูอย่างรู้ทัน พร้อมยิ้มกว้าง และผายมือเชื้อเชิญคนตัวเล็กเข้าสู่ห้องรกๆ ของคนเป็นพี่ทั้งสอง แต่ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ รกอยู่แค่ฝั่งของซันคนเดียวมากกว่า เพราะตั้งแต่เตียงของมาร์ช ไล่ไปจนถึงโต๊ะทำงานกับตู้เสื้อผ้า ก็ดูเรียบร้อย เข้าที่เข้าทางไปหมด ส่วนเจ้าของพื้นที่ก็กำลังนั่งก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือบางอย่าง ไม่สนใจแม้แต่จะเงยหน้ามองผู้มาใหม่ด้วยซ้ำ

“อยากทำอะไรล่ะ?” ซันถามความเห็น เมื่อเขาเองก็ยังไม่รู้ว่าควรจะสอนอะไรดีเหมือนกัน ก็ปกติไม่เคยสอนใครเลยนี่น่า

“เอาน้องหมา”

“หือ....อันนี้หรอ?”

ซันเลิกคิ้วน้อยๆ ก่อนจะเดินไปเปิดกระเป๋าสะพายสีดำบนพื้น แล้วหยิบตุ๊กตาไม้รูปสุนัขออกมา ท่าทางอตินจะปลื้มงานชิ้นนี้มากเป็นพิเศษ คงเพราะเป็นอันเดียวในร้านที่มีกลไกง่ายๆ ให้ขยับขาทั้งสี่ข้างได้

“อ่าว พกกลับมาด้วยหรอครับ ผมนึกว่าเอาไว้แต่งร้านซะอีก”

“อ๋อ เปล่าอะ ชิ้นนี้จะพกไว้ตลอด”

“ทำไมอ่า?”

คนตัวสูงได้แต่ยิ้มเจื่อนเหมือนไม่อยากพูดถึง แต่ก็แพ้ความใสซื่อของเด็กตรงหน้าอยู่ดี สุดท้ายเลยยอมเอ่ยปากออกมา พลางดึงแขนอตินให้นั่งลงบนพื้นด้วยกัน ขณะที่ปากเล่าไป สายตาก็ง่วนอยู่กับการหยิบจับเครื่องไม้เครื่องมือออกมาจากกล่องอุปกรณ์ใบเดิม

“นั่นเป็นงานชิ้นแรก ที่ฉันทำกับพ่อ”

อตินนั่งนิ่ง พยายามมองตรงไปที่ซันอย่างพยายามจะเข้าใจอะไรบางอย่าง เขารู้แน่ว่ามันไม่ปกติ ในเมื่อซันคนขี้เล่นคนนั้น ตอนนี้กลับมีแค่รอยยิ้มฝืนๆ ระบายอยู่บนหน้าตึง แม้แต่ดวงตาที่เคยหยอกล้อตลอดเวลา ก็หมองลงอย่างเห็นได้ชัด คนตัวเล็กขยับตัว ก่อนจะรวบรวมความกล้าตั้งคำถามที่ฟังดูใจร้ายมากออกไป

“แล้วพ่อพี่ซันล่ะครับ?”

“...”

ทั้งห้องเงียบสนิท เสียงสุดท้ายที่ได้ยินก็คือขาเก้าอี้ของมาร์ชซึ่งลากไปกับพื้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซันยังคงก้มหน้าก้มตาหยิบของในกล่องออกมาวางเรียงเป็นชิ้นๆ เกือบคิดว่าไม่ได้ยินคำถามเมื่อครู่ซะแล้ว จนคนตัวสูงได้ฤกษ์เงยหน้าขึ้นมองอตินด้วยสายตาที่ไม่สดใสเอาเสียเลย รอยยิ้มจางๆ ยังคงปรากฏอยู่บนใบหน้าขาวจนเกือบจะซีดในเวลานี้ มือข้างหนึ่งถูกยื่นขึ้นมาลูบแก้มเนียนของเขาอย่างถือวิสาสะ พร้อมน้ำเสียงราบเรียบจนน่าตกใจ ซึ่งถูกเปล่งออกมาอย่างแผ่วเบาเหลือเกิน

“เสียแล้วครับ”

ไม่อยากจะเชื่อว่านี่คือซัน ภาพตรงหน้าตอนนี้เกือบทำให้เขาร้องไห้ออกมาแล้ว คนที่เอาแต่ทำตัวร่าเริงคนนั้น ยามพูดถึงพ่อที่เสียไป ช่างดูบอบช้ำและตัวเล็กลงถนัดตา... มันน่าเศร้าใจ ที่เขาพยายามพูดถึงมันทั้งรอยยิ้ม แม้ว่าต้องฝืนขนาดไหนก็ตาม อติน นายใจร้ายมากเลย ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่ามันมีอะไร แต่ยังถามออกไปแบบนั้น...

“ขอโทษครับ...เสียใจด้วยครับ”

“ไม่เป็นไร มันนานมากแล้ว”

“พี่ซั...”

“เอาล่ะ จะเอาหมาใช่ไหม...”

“ไม่เอา...แล้วครับ มาคิดอีกที มันคงยากไป”

อตินพยายามตีตัวเหมือนปกติ หวังว่าเสียงหัวเราะแห้งๆ คงพอทำให้ซันกลับมาสดใสเหมือนเดิมได้บ้างเช่นกัน และดูเหมือนจะได้ผล เมื่อคนตัวสูงเลือกที่จะสะบัดหัวไล่ความคิดในอดีตออกไป ก่อนจะเผยรอยยิ้มกว้างอย่างเคยออกมา มือข้างเมื่อครู่ยกขึ้นยีผมอตินด้วยความเอ็นดู ส่วนอีกข้างก็หยิบไม้ท่อนเล็กๆ ยื่นให้อีกฝ่าย ตามมาด้วยเครื่องมือแปลกๆ ที่ดูยิ่งใหญ่อลังการมากในสายตาของคนไม่เคยเห็น ซันเอาเครื่องมือนั้นไปต่อปลั๊ก แล้วขยับเข้ามาใกล้อีกนิด พร้อมเริ่มต้นอธิบายท่าทางจริงจัง

“หมามันยากไปจริงๆ เพิ่งลองครั้งแรก เอาแค่นี้ไปก่อน”

“อะไรอะครับ?”

“อันนี้เป็นปากกาไฟฟ้า ไว้แกะสลักพวกงานไม้ เหล็ก แก้ว อะไรแบบเนี้ย เอาไว้วาดลาย ง่ายดี แต่ก็ต้องระวังนะ”

ไม่ลืมย้ำถึงความปลอดภัยของอีกฝ่าย ก่อนจะกดเปิดเครื่อง และสาธิตให้ดูก่อน อตินได้แต่อ้าปากค้าง มองซันกดหัวปากกาสีเงินวาวลงไปในเนื้อไม้ ท่อนสี่เหลี่ยมขนาดพอดีฝ่ามือ เพียงไม่นานก็เริ่มปรากฏเป็นภาพตัวอักษรภาษาอังกฤษ ตัว B ลักษณะหัวตัด มีการลงน้ำหนักให้ลายกดดูมีมิติมากขึ้น มองดูแล้วคล้ายกับเวลาเขียนด้วยปากกาสปีดบอลยังไงยังงั้น แต่บอกเลยว่างานตรงหน้ามันสวยกว่ามาก ทุกท่วงท่าของซันทำราวกับว่ามันเป็นเรื่องง่ายดาย ดูสมกับที่เป็นมืออาชีพด้านนี้จริงๆ

“โห พี่ซัน โคตรเทพอะ!”

“นิดหน่อย”

คนโดนยอหัวเราะ พลางยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ ทำเอาอตินถึงกับหลุดขำพรืดกับท่าทางไม่ถ่อมตัวเอาซะเลยของคนตรงหน้า แต่ก็เถียงไม่ได้นะ เพราะเก่งจริง เซียนจริง แบบนี้ดูถูกไม่ได้แล้วอะ สงสัยไม่ได้มีดีแค่เรื่องอัธยาศัยแล้วมั้ง

“อะ ลองดู ระวังด้วย” ซันยื่นบล็อกไม้อีกชิ้นมาให้ พร้อมส่งปากกาแกะสลักใส่มือคนตัวเล็ก ที่ยังคงเก้ๆ กังๆ หากแต่ดวงตากลับทอประกายด้วยความตื่นเต้น

“วาดอะไรดีอ่า”

“เขียนคำว่า ซัน ก็พอ”

คนตัวสูงยิ้มร่า ทำท่าเหมือนจะเข้ามาจับมืออตินเขียน แต่ยังดีที่อีกฝ่ายเบี่ยงตัวหลบทัน ทำเอาซันได้แต่เบ้ปากอย่างไม่พอใจ ถึงอย่างนั้นก็กลับมายิ้มได้ใหม่ภายในเสี้ยววินาที แค่โดนรอยยิ้มน่ารักๆ ตรงหน้าสะกดเข้าหน่อย ก็ยอมหมดแล้วล่ะ

“เขียนชื่อร้านดีกว่า”

ซันแอบทำแก้มป่องนิดหน่อย ก่อนจะพยักหน้าเป็นเชิงให้อตินเริ่มวาดได้ โดยมีสายตาของเขาคอยจับจ้องอยู่ตลอด ใกล้ชิดระดับว่าแทบจะหายใจรดหัวกัน บอกเลยว่าไม่ได้ตั้งใจฉวยโอกาสเข้าใกล้ แต่เพราะเขาห่วงเรื่องความปลอดภัยมากกว่า ถึงเครื่องมือที่เลือกมาจะใช้ง่ายและสะดวก แต่คนไม่เคยก็น่ากังวลอยู่ดี ยิ่งกับเด็กตรงหน้าแล้วด้วย เขาล่ะกลัวจริงๆ

เสียงปากกาแกะสลักไฟฟ้าดังขึ้นอีกครั้ง หลังจากกดเปิดสวิตช์ ดูเหมือนคนที่ตื่นเต้นไม่แพ้อตินก็เห็นจะเป็นอาจารย์ซันนี่แหละ ทันทีที่มือเล็กกดปลายปากกาลงบนเนื้อไม้ สาบานได้ว่าเขากลั้นหายใจไปวูบนึงทีเดียว ทั้งห่วงทั้งกลัว ถ้าเกิดได้แผลขึ้นมาจะว่ายังไง เริ่มรู้สึกว่าคิดผิดแล้ว ที่ยอมให้เข้ามายุ่งกับงานแบบนี้ ผิดกันกับอตินที่ดูสนุกสนานซะเหลือเกิน เอาแต่ยิ้มแก้มปริ พลางลากอุปกรณ์ในมือไปตามทาง เพื่อให้เกิดเป็นอักษรตัว C พอทำได้แล้วก็ยกมือขึ้นพัก จังหวะนั้นเอง ที่ซันรีบเข้ามากดปิดสวิตช์ แล้วลอบถอนหายใจ

“สนุกอะพี่ซัน”

คนตัวเล็กหันมายิงฟันใส่คนด้านหลัง ซึ่งขยับเข้ามาใกล้จนตัวเขาแทบจะติดไปกับแผงอกกว้างนั้น ตอนนี้ซันถือวิสาสะเข้ามานั่งซ้อนหลังอตินไว้ เพราะกลัวเหลือเกินว่าจะมีอันตรายอะไรหรือเปล่า หัวใจเนี่ยเต้นเร็วยิ่งกว่าตอนเห็นหน้าหวานๆ ของเด็กนี่ซะอีก

“ไม่เป็นไรใช่ไหม เลอะเทอะหมดเลย”

พอเช็คจนเรียบร้อยแล้วว่าไม่มีสิ่งผิดปกติอะไรกับร่างกาย ก็วาดแขนเข้าไปโอบเอวบางไว้ หวังจะปัดเศษไม้บนชุดนอนออกให้ แต่แน่นอนว่าในสายตาคนนอก ย่อมมองเห็นเป็นว่า อตินกำลังโดนซันกอดรัด พลางปัดป่ายมือหนาไปมา ท่าทางสวีทซะยิ่งกว่าเป็นคู่รัก และมันคงไม่มีอะไรหรอก ถ้าไม่ใช่ว่ามาร์ชดันเงยหน้าขึ้นจากหนังสือบนโต๊ะ มาเห็นภาพนั้นเข้าพอดิบพอดี

“อะแฮ่ม”

เจ้าของผมสีแดงกระแอมไออย่างจงใจให้อีกสองชีวิตในห้องได้ยิน พออตินรู้สึกตัว จึงรีบผละออกจากวงแขนของซันแทบจะทันที ก่อนจะจัดวางที่นั่งซะใหม่ ให้ตัวเขาหันหน้าเข้าหาซันแทน ถึงแม้ในใจยังแอบกังวลว่ามาร์ชจะเข้าใจอะไรผิดอีกหรือเปล่า แต่ก็ไม่กล้าหันกลับไปมองแล้ว สายตาเมื่อกี้ดูราวกับจะตำหนิ แบบนั้นน่ะไม่อยากเห็นอีกเป็นครั้งที่สองเลย แต่เขากับซันไม่ได้มีอะไรกันจริงๆ น้า

“จับไม้ไว้แน่นๆ นะ”

ซันย้ำ ก่อนจะยอมให้อตินสร้างสรรค์ผลงานชิ้นแรกของตัวเองต่อไป คนตัวเล็กพยักหน้าเข้าใจและกดเปิดเครื่องอีกครั้ง ดูเหมือนว่าเขาจะเรียนรู้ได้เร็วกว่าที่คิด มันเริ่มง่ายและชินมือมากขึ้นกว่าตอนแรก ถึงแม้ว่าจะยังยากอยู่ดีก็เถอะ พอได้คำว่า Cafe ครบแล้ว ก็เป็นตาของ อักซองเตกู หรือขีดเล็กๆ ด้านบนตัว e ในภาษาฝรั่งเศส เพื่อให้ออกเสียง เอ นั่นแหละ

อตินยืดตัวขึ้นเล็กน้อยเพื่อคลายความเมื่อยบริเวณหลัง ก่อนจะกลับไปก้มหน้าก้มตาจ้องผลงานบนมืออีกครั้งด้วยสายตาจริงจัง จนคนแอบมองอดยิ้มตามไปด้วยไม่ได้ มือเล็กบีบแผ่นไม้สีน้ำตาลเอาไว้แน่นยิ่งขึ้น เมื่อต้องจัดการกับการลากตัวสะกดขนาดเล็กกว่าที่เคยทำผ่านมา เขาต้องตั้งสติให้มากเป็นพิเศษ เพราะลำพังแค่ตัว e ที่วาดเสร็จไป ก็ตัวใหญ่กินพื้นที่แล้ว จะต้องมาเติมขีดด้านบนเพิ่มอีก มันเลยใกล้ขอบไม้เอามากๆ แค่ต้องระวัง...มากอีก นิด...

“โอ้ยย!”

“อติน!!”

ปากกาแกะสลักถูกปัดออกจากมือทันทีที่พลาดไปจี้ถูกปลายนิ้ว ซันรีบตรงเข้าหาคนตรงหน้าด้วยท่าทางตกใจเสียยิ่งกว่าเจ้าตัว ขนาดมาร์ชเองก็รีบหันมามอง ตั้งท่าจะลุกออกจากเก้าอี้เข้ามาช่วย คนเป็นอาจารย์สบถอยู่ในลำคอ นึกโทษตัวเองที่ปล่อยให้อตินเล่นของอันตราย มือข้างหนึ่งเอื้อมเข้าไปกดปิดสวิตช์ ก่อนจะย้ายกลับมาสนใจ นิ้วโป้งด้านซ้ายที่กำลังบวมแดงของอีกฝ่าย

“เป็นอะไรมากไหม?”

ถามทั้งๆ ที่เขายังคงจับมือของอตินไว้แน่น สายตาจับจ้องไปที่ปากแผล ซึ่งเริ่มมีเลือดสีแดงข้นซึมออกมา เมื่อเหลือบตามองก็เห็นอตินส่ายหัวดุ๊กดิ๊ก เชื่อเลยว่าแค่ไม่อยากให้เขาเป็นห่วง ในเมื่อสีหน้ายังเหยเกไปตามความเจ็บปวดแบบนี้ ซันรีบยกนิ้วของอตินเข้าปาก ดูดเอาเลือดที่เริ่มปริ่มออกมาจากแผลอย่างไม่นึกรังเกียจ ทั้งที่คนเจ็บน่ะตกใจแทบตาย พยายามดึงนิ้วในปากของอีกฝ่ายออกมาเร็วๆ พลางร้องเสียงดังยิ่งกว่าเดิม

“พี่ซัน!”

อตินดูตกใจกับการกระทำของซัน มากยิ่งกว่าที่ตัวเองได้รับอุบัติเหตุซะอีก ส่วนเจ้าตัวน่ะ ดันไม่สะทกสะท้านอะไรเลย กลับรีบหันไปควานหาอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเป้สีดำของตัวเอง ปล่อยให้คนเป็นน้องนั่งอึ้ง หน้าแดงฉานด้วยความอาย ไม่กี่วินาที ก็หันกลับมาพร้อมพลาสเตอร์ยาสีขาวขุ่นแบบเรียบๆ ก็ถ้ามีพลาสเตอร์แล้วจะอมแผลเขาทำไมล่ะเฮ้ย ตกใจหมดเลย นี่ไม่ใช่เด็กๆ หรือว่าอยู่ในละครกันนะ!

“เจ็บมากไหม?” ซันช้อนตาถาม ท่าทางเป็นห่วงเป็นใย ทำเอาอตินไม่กล้าต่อว่ากับเรื่องเมื่อครู่ บางทีนั่นอาจจะเป็นวิธีที่ซันคุ้นชินก็ได้...

“ม..ไม่ค่อยแล้วครับ”

“เป็นแผลเลย...ขอโทษนะ”

“ไม่เป็นไร พี่ซัน ไม่เป็นไรจริงๆ”

อตินต้องพูดซ้ำแล้วซ้ำอีก เมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าทำท่าจะไม่เชื่อลูกเดียว แต่เขาหายเจ็บแล้วจริงๆ นะ ไม่ได้หลอกให้ใครสบายใจทั้งนั้น ความจริงเมื่อกี้ก็โดนไปแค่ถากๆ เท่านั้นเอง ที่ร้องเสียงหลงนั่นน่ะ เพราะตกใจมากกว่า

“ฉันไม่ให้นายทำแล้วนะ” คนตัวสูงว่า น้ำเสียงจริงจัง ทำให้อตินไม่กล้าเถียง ถึงแม้ในใจจะอยากโต้กลับไปก็เถอะ “ไปนอนได้แล้ว เดี๋ยวฉันไปส่ง”

ซันดึงแขนอตินให้ลุกขึ้น ก่อนจะเลื่อนมือลงมากุมมืออตินไว้แน่น และพาเดินออกจากห้องทั้งอย่างนั้น ไม่อยากเชื่อว่าแค่เดินมาส่งหน้าประตูบานถัดมา จะฝากความอบอุ่นไว้บนฝ่ามือข้างซ้ายของเขาได้มากขนาดนี้ เขามองซันพลาดไปหน่อยจริงๆ ไม่ใช่แค่ผู้ชายที่ดีแต่อ้อล้อกับลูกค้า หรือเฮฮาไปวันๆ แต่ซันเทียบได้กับพี่ชายที่ดีมากคนหนึ่ง ตั้งแต่เริ่มสนิทกัน และใช้เวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้น เขาถึงได้เห็นอะไรหลายอย่างจากตัวคนคนนี้ ดูเหมือนแทบทุกอย่างที่ซันพยายามแสดงออกให้เห็น มันล้วนแต่เกิดมาจากความหวังดีทั้งสิ้น

“พี่ซัน ขอบคุณนะครับ” คนตัวเล็กดึงแขนเสื้อซันไว้ ก่อนที่เจ้าตัวจะหันหลังให้ แค่อยากจะพูดว่าขอบคุณ แค่รู้สึกว่าต้องพูด แล้วบางทีเขาอาจต้องขอโทษด้วยซ้ำ ที่เอาแต่ทำให้เป็นห่วงตลอดเลย

“ฝันดีครับ”

ซันพยายามยิ้มให้ตามปกติ พลางยกมือขึ้นลูบหัวอติน อย่างที่ชอบทำ ก่อนจะเดินกลับเข้าห้องตัวเองไป หลังจากหันมองให้แน่ใจว่าอตินเองก็เข้าห้องนอนไปแล้ว ภาพแรกหลังจากกลับเข้ามาก็คือ กองอุปกรณ์ที่กระจัดกระจายจากเหตุการณ์เมื่อครู่ รวมทั้งสายตาคาดโทษจากรูทเมทหัวแดงด้วย ก็ถ้าจะตอกย้ำกันขนาดนี้... อย่างกับว่าเขาอยากให้มันเกิดงั้นแหละ นี่ก็รู้สึกผิดจะแย่แล้ว

“ไอ้ซัน ปล่อยให้อตินทำอะไร ไม่ระวังเลย” มาร์ชเปิดปาก ยิ่งจี้ใจดำเขามากขึ้นไปอีก เจอแบบนี้ก็ไม่รู้จะเถียงยังไงเหมือนกัน ทั้งที่ปกติคงต้องโวยวายออกมาแล้ว แต่คราวนี้มันกลับพูดอะไรไม่ออก

“...”

“วันหลังก็ระวังๆ หน่อยล่ะ”

อาจจะฟังดูผิดคาดที่มาร์ชจบบทสนทนาไว้เพียงแค่นั้น ไม่มีการกล่าวตำหนิอะไรเพิ่มอีก ความจริง ถ้าฟังดูดีๆ มันเหมือนกับว่ามาร์ชกำลังอยากให้กำลังใจอีกฝ่ายซะมากกว่า ก็แน่ล่ะ...เพราะตัวเขาเอง ก็ไม่มั่นใจว่าจะดูแลคนอื่นได้ดีเหมือนกัน ถ้าเป็นเขาที่อยู่ตรงนั้น อาจจะทำให้อตินเดือดร้อนยิ่งกว่านี้ก็ได้ แค่ซันปล่อยให้อตินได้แผลเพียงปลายนิ้ว มันเทียบไม่ได้กับความผิดของเขาเลยด้วยซ้ำ...

เพราะงั้นถึงอยากจะต่อว่า ก็ไม่กล้าพูดได้เต็มปาก ในเมื่อคนที่สมควรถูกกล่าวโทษน่ะ มันน่าจะเป็นเขาเอง.....



-----------------------------------------------

เมื่อวานไม่ได้อัพ วันนี้เลยอัพ 2 ตอนเลยเนะ
เอ่อ ถึงจะไม่มีคนอ่านก็ตาม 5555555
แต่เราก็จะลงจนจบอยู่ดี xD
 :z13:
ยังไงก็ขอฝากอตินไว้ในอ้อมใจบ้างนะคะ
มีอะไรไปพูดคุยกันที่เพจได้ด้วยเน่อ

หัวข้อ: Re: ♡♡ ในร้านกาแฟ ♡♡ by「aonair」 UP! บทที่ 6
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 16-04-2016 00:11:33
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♡♡ ในร้านกาแฟ ♡♡ by「aonair」 UP! บทที่ 6
เริ่มหัวข้อโดย: takara ที่ 16-04-2016 14:29:56
ลุ้นๆ ตามอติน
หัวข้อ: Re: ♡♡ ในร้านกาแฟ ♡♡ by「aonair」 UP! บทที่ 6
เริ่มหัวข้อโดย: aonair13 ที่ 16-04-2016 19:34:06
7

คนตัวเล็กกลับเข้ามาในห้อง เพื่อเจอกับสายตาคำถามจากรูมเมท พยายามอย่างมากที่จะทำตัวเป็นปกติ และซ่อนพลาสเตอร์บนนิ้วเอาไว้ สาบานได้ว่าถ้ามินเห็นมัน จะต้องโวยวายใหญ่ตามแบบฉบับคนขี้เป็นห่วงอีกแน่

“ทำไมไวจัง?”

“ก็...แบบ...เราง่วงแล้วอะ”

รีบตอบกลับแบบส่งๆ และพาตัวเองขึ้นเตียง ดึงผ้าห่มขึ้นคลุมร่างทั้งร่างไว้ทันที แต่นั่นยิ่งทำให้มินสงสัยมากขึ้นไปอีก คนเด็กกว่าตั้งท่าจะลุกขึ้นจากเตียงเข้ามาตรวจสอบเพื่อนใหม่ให้แน่ใจ ว่าไม่มีอะไรผิดปกติ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ขยับเขยื้อน เมื่อเห็นคนบนเตียงข้างๆ หลับตาพริ้มไปแล้ว ทำได้แค่เก็บคำถามมากมายไว้กับตัวจนถึงเช้าของอีกวันเท่านั้น

ตลอดคืน มินแทบนอนไม่หลับ เพราะท่าทีแปลกๆ จากเพื่อนร่วมห้อง ยิ่งทำเหมือนมีอะไรบางอย่างปิดบัง นั่นยิ่งทำให้เป็นห่วง ถึงขนาดว่าเผลอตื่นขึ้นมาก่อนนาฬิกาจะปลุกซะอีก ตอนนี้เป็นเวลาตีห้ากว่าเท่านั้น ทั้งที่ Café de Sept เปิดให้บริการตั้ง 9 โมง แต่จะให้นอนต่ออีกหน่อย มันก็ดันนอนไม่หลับแล้วเนี่ยสิ

คนตัวใหญ่พยายามคลานลงจากเตียงอย่างเงียบเชียบที่สุด ไม่อยากส่งเสียงรบกวนคนข้างๆ จนตื่นขึ้นมาหรอก นี่ยังเป็นโอกาสเหมาะ ที่เขาจะได้นั่งมองอตินในวินาทีแรกที่ลืมตาตื่นด้วย มินกดหัวแม่เท้าลงกับพื้นห้อง ก่อนจะลงฝ่าเท้าตาม ทำอย่างนั้นไปเรื่อยๆ จนเดินมาหยุดอยู่บริเวณขอบเตียงของอตินด้านหนึ่ง เขาตัดสินใจทิ้งตัวลงนั่งอย่างเชื่องช้า เพื่อให้มั่นใจว่าคนตรงหน้าจะไม่รู้สึกตัว

ปอยผมสีน้ำตาลปรกลงมาบังส่วนหนึ่งของใบหน้าหวาน เสียงลมหายใจดังขึ้นเป็นจังหวะ พร้อมกับร่างบางที่กระเพื่อมขึ้นลงตามระดับ ขนตาเส้นยาวเรียงตัวเป็นแพ ช่างดูงดงามราวกับหลุดออกมาจากหนังสือการ์ตูน แค่เพียงได้มอง หัวใจก็พาลอยากจะสัมผัส จนต้องรีบประสานมือตัวเองไว้ เพื่อรั้งไม่ให้มันเอื้อมออกไปซะก่อน อย่างกับภาพของเจ้าชายตัวน้อยที่นอนหลับอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว มือเล็กๆ คู่นั้นถูกสอดขึ้นมากำชายผ้าห่มไว้แน่นเหมือนเด็กๆ....

เดี๋ยวนะ ทำไมที่นิ้วโป้งด้านซ้ายของอตินถึงมีพลาสเตอร์ยาปิดไว้ด้วยล่ะ เมื่อวานเขายังไม่เห็นเลยนะ ตั้งแต่ตอนไหนกัน? แล้วไปโดนอะไรมา อย่าบอกนะว่า หลังจากไปห้องซัน!

“ชิ...”

มินเผลอส่งเสียงไม่พอใจออกมาจากลำคอ จนคนนอนหลับเริ่มขยับตัวเล็กน้อย เล่นเอาเขาถึงกับใจหวิว อตินส่งเสียงอู้อี้ฟังไม่ได้ศัพท์ออกมา ก่อนจะเริ่มยกแขนขึ้นบิดขี้เกียจ ทั้งที่ยังไม่ยอมลืมตาตื่น จนเมื่อมินลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ก็พอดีกับที่อตินเปิดเปลือกตาหนักอึ้งของตัวเองขึ้น ได้แต่จ้องสีหน้าคำถามของคนตัวใหญ่ที่กำลังยืนค้ำหัวกันอยู่ตาแป๋ว

“มิน...ตื่นแล้วเหรอ”

อตินถามเสียงงัวเงีย พร้อมดันตัวเองลุกขึ้นนั่ง ปากเล็กอ้ากว้างเพื่อหาวหวอด ก่อนจะต้องตกใจ เมื่ออยู่ๆ มินก็ทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงของเขา แถมยังขยับเข้ามาใกล้จนไม่เหลือพื้นที่ว่างระหว่างแขนเลยสักมิลเดียว

“นี่มันอะไร?”

“หือ?”

ส่งเสียงถามกลับ นึกแปลกใจกับการตั้งคำถามแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยของอีกฝ่าย จนเมื่อมินพยักหน้าไปทางนิ้วที่มีพลาสเตอร์พันอยู่จึงเข้าใจ ใบหน้าขาวยิ่งซีดลงไปอีก แม้อยากจะซ่อนตอนนี้ก็คงไม่ทันแล้ว ได้แต่ยิ้มแห้งๆ ส่งให้

“ไปโดนอะไรมา พี่ซันแกล้งหรอ?”

“เปล่าๆ เราไม่ระวังเอง”

“แล้วเป็นอะไรมากไหม?”

“ไม่เลย โดนนิดเดียวเดี๋ยวก็หาย มินไม่ต้องเป็นห่วงนะ”

อตินขยับตัว หันหน้าเข้าหาคนตัวสูง พยายามโบกไม้โบกมือพัลวัน เพื่อแสดงให้เห็นว่าเขาไม่ได้เป็นอะไรมากจริงๆ ไม่รู้พนักงานร้านนี้เป็นอะไรกันไปหมด ทำไมถึงได้ขี้เป็นห่วงมากขนาดนี้ แทบทุกคนเลย โดยเฉพาะคนตรงหน้านี่แหละ เด็กกว่าเขาแท้ๆ ทำตัวเหมือนพี่ชายไปได้

“เลือดออกด้วยใช่ไหม”

มินไม่ได้สนใจความพยายามของอตินเลยสักนิด กลับยิ่งขมวดคิ้วเข้าหากัน พลางตีสีหน้าห่วงใยมากขึ้นอีกเท่าตัว มือใหญ่ทั้งสองข้างเอื้อมเข้ามากุมมือด้านซ้ายของเขาเอาไว้อย่างทะนุถนอม นิ้วเรียวลูบผ่านพลาสเตอร์สีขุ่นหวังช่วยปลอบประโลมความเจ็บ ซึ่งขณะนี้มันแทบไม่เหลืออยู่แล้ว อตินค่อยๆ เผยรอยยิ้มออกมา จำนนต่อความหวังดีของเพื่อนคนนี้จนได้ จึงปล่อยให้มินดูแลนิ้วมือของเขาไปอย่างนั้น และพยายามชวนคุยให้บรรยากาศมันเฮฮาขึ้นไปด้วย

“นิดเดียวเอง แถมพี่ซันก็ห้ามเลือดให้แล้วด้วย”

“ห้ามเลือด?”

“อื้อ! ตลกมากอะ พอเห็นว่าเลือดซึมออกมานะ พี่ซันก็เอานิ้วเราไปดูดเฉยเลย ตกใจมาก ทำอย่างกับเป็นเด็...อึ้ยย”

คนตัวเล็กร้องขึ้นทันทีที่รู้สึกถึงแรงกดหนักหน่วงบริเวณแผล ทั้งที่พยายามเล่าเรื่องเมื่อวานให้ฟังดูตลก แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ขำด้วยสักนิด กลับยิ่งตีสีหน้าหงุดหงิดออกมาอย่างเห็นได้ชัด ความจริง เขาแทบไม่เคยเห็นใบหน้าแบบนี้ของมินเลย มันดูนิ่งเรียบยิ่งกว่าที่เคยเป็น...และที่สำคัญ มันดูน่ากลัวนิดหน่อยด้วย...

“มิน?”

“อะ..โทษที”

พอรู้สึกตัวจากเสียงเรียก จึงรีบคลายแรงบีบที่นิ้วออก ทว่ายังคงสีหน้าแปลไม่ออกนั้นไว้ ไม่นานนัก ทั้งห้องก็เงียบลงจนได้ยินแค่เสียงเครื่องปรับอากาศ กับลมหายใจเป็นจังหวะ มินจ้องเข้าไปในตาของอตินอย่างมีนัยยะ ค่อยๆ ยกมืออีกฝ่ายที่เขากอบกุมอยู่ขึ้นมาถึงระดับอก ก่อนจะกดริมฝีปากอิ่มลงไปบนพลาสเตอร์สีขาว แช่ไว้เพียงวินาที ก็ผละออก ไม่ทันให้อีกฝ่ายได้ตกใจหรือขัดขืนใดๆ

“ต่อไปอย่าให้ใครถึงเนื้อถึงตัวง่ายๆ สิ”

มินเอ่ยปากบอกเป็นเชิงเตือน มือสองข้างยังคงไม่ยอมปล่อยจากมือเล็กของคนตรงหน้า และดูเหมือนว่าทุกอย่างในตอนนี้ จะสะกดให้อตินหลุดเข้าสู่ภวังค์บางอย่างตามไปด้วย เพราะสีหน้าที่ไม่คุ้นเคย กับน้ำเสียงที่ฟังดูคล้ายว่าจะเจ็บปวด คำพูดแสดงความห่วงใยจนแทบจะกลายเป็นความหวงแหน มันส่งให้เขาต้องหลุดบางคำถามในส่วนลึกของความสงสัยออกไป

“มินด้วยหรอ?”

คนถูกถามนั่งนิ่ง ราวกับถูกเข็มจี้ลงไปบนอก เพียงแค่ได้ยินคำพูดนั้น มือที่รั้งอีกฝ่ายไว้ก็ค่อยๆ ไร้เรี่ยวแรงและเริ่มคลายออกอย่างอ้อยอิ่ง ดวงตาที่เคยยิ้มสดใส บัดนี้ กลับหม่นลงจนแทบไม่เหลือเค้าความเป็นมิน คนที่อตินรู้จัก น้ำเสียงราบเรียบตอบกลับออกมาแผ่วเบาจนแทบกลืนหายไปกับอากาศภายในห้อง

“ใช่...เราด้วย...”

ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด

เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นรบกวน แทบจะทันทีหลังจากคำพูดสุดท้ายถูกเปล่งออกไป มินเป็นฝ่ายละสายตาออกจากใบหน้าหวาน เพื่อไปกดปิดนาฬิกาบนโต๊ะ ก่อนจะเดินคว้าผ้าเช็ดตัวเข้าห้องน้ำไปเลย ไม่แม้แต่จะหันกลับมามองคนบนเตียงอีก

“มิน...”

คนตัวเล็กส่งเสียงออกมาแผ่วเบา ในหัวเริ่มคิดไม่ตกกับคำพูดและท่าทางเมื่อครู่ มินเป็นอะไร สีหน้าแบบนั้นเขาแปลไม่ออกเลย และไม่ชอบเอามากๆ ด้วย มันดูแตกต่างจากเพื่อนแสนดี ที่เอาแต่ยิ้มตาหยีทุกวัน ไม่ชอบจริงๆ... มินคนเมื่อกี้ เขาไม่นึกชอบเลยจริงๆ...

พอมินอาบน้ำเสร็จ อตินก็รีบคว้าข้าวของตรงเข้าห้องน้ำต่อทันที ไม่มั่นใจว่าจะสามารถทนกับบรรยากาศคลุมเครือแบบเมื่อกี้ไหว เขาจงใจอาบน้ำนานกว่าปกติ เพราะยังไม่อยากออกไปเจอหน้ามินเลย ถ้าเขาไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเองจนบ้า ท่าทางของมินตอนตื่นนอนนั่นมันเหมือน อาการของคนกำลังหึงหวงชัดๆ แต่จะมาหึงมาหวงอะไรเขาล่ะ เราเป็นเพื่อนกันนี่...ยกเว้นแค่ว่า มินไม่ได้คิดกับเขาแค่เพื่อนน่ะนะ...

“เฮ้ย!”

ส่งเสียงออกมาซะดัง จนต้องรีบยกมือขึ้นปิดปาก เพราะดันคิดเรื่องไม่เป็นเรื่องอยู่ภายในหัว แถมยังดูหลงตัวเองจนน่าจับเฆี่ยนซะอีก อตินเอ๊ย บ้าไปใหญ่แล้วไหมล่ะ อย่างมิน ก็คงแค่เป็นห่วงจนเกินตัวอีกนั่นแหละ ไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้นหรอกน่า!

อตินสะบัดหัวไล่ความคิดแปลกๆ ก่อนจะเดินออกมาแต่งตัวอยู่เงียบๆ ในมุมของเขา มีแค่เพียงหางตาที่คอยเหล่มองอีกคนบนเตียง ไม่มีบทสนทนาใดหลุดลอดออกมาจากปากของทั้งคู่ จนบรรยากาศภายในห้องเริ่มอึดอัดมากขึ้นอีกครั้ง พออตินคิดจะทำตัวตามปกติ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นขัดซะก่อน พอมินลุกไปเปิด ก็ปรากฏเป็นสมาชิกร้านคนอื่นๆ ที่กรูกันเข้ามาอย่างไม่ถือสา ในมือแจนกับน็อตมีถาดซึ่งวางแก้วน้ำไว้ทั้งหมดถึง 7 ใบรวมกัน เบสคือคนแรกที่อธิบายขึ้น

“มิน อติน มาช่วยกันชิมนี่เร็ว”

“อะไรครับ?” มินถาม พลางชะเง้อคอมองเครื่องดื่มในแก้วแต่ละใบด้วยท่าทีสงสัยปนใคร่รู้

“มาร์ชมีความคิดว่าจะเพิ่มเมนูนมเข้าไปในร้าน ก็เลยลองทำนมผสมน้ำผึ้งออกมา 7 สูตร”

“มีนมจืดธรรมดา นมช็อกโกแลต สตรอเบอรี่ กล้วย เมล่อน ชาเขียว แล้วก็ กาแฟ”

น็อตแจง โดยมีซันเป็นคนช่วยชี้นิ้วตาม เพื่อบอกว่าแก้วไหนเป็นรสชาติอะไร มินพยักหน้าแล้วเริ่มยกนมจืดแก้วแรกขึ้นดื่ม ส่วนอตินที่จัดผมพอเรียบร้อยแล้ว ก็รีบเดินเข้าไปรวมกลุ่มเพื่อขอชิมบ้าง ไม่พลาดที่จะแอบยกยิ้มให้คนหัวแดง ซึ่งเอาแต่ยืนหลบมุมอยู่ด้านหลังมาตลอด ไหนบอกว่าเมนูเบสิคไง สุดท้ายก็ทำออกมาจริงๆ จนได้ แบบนี้ต้องยกความดีความชอบให้เขาต่างหากเล่า

“ใช้ได้เลยครับ น่าจะขยายกลุ่มเป้าหมายได้อีก”

มินออกความเห็น ซึ่งเบสก็พยักหน้าเห็นด้วยแทบจะทันที เพราะมันจริงที่คนเข้าร้านกาแฟ ก็ไม่ได้อยากดื่มแต่กาแฟนี่นะ การมีเมนูง่ายๆ ที่เหมาะสำหรับทุกคน โดยเฉพาะผู้หญิงกับเด็ก ซึ่งอาจจะไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายหลักของร้านกาแฟส่วนใหญ่ ก็ทำให้เราสามารถรองรับลูกค้าออกไปได้กว้างขึ้น และถึงจะเป็นเครื่องดื่มเบสิคขนาดไหน การมีอะไรเพิ่มเข้ามาบ้างในรอบหลายเดือน ก็คงทำให้ลูกค้าเดิมเกิดความรู้สึกแปลกใหม่ขึ้นด้วย

“กลมกล่อมมากทุกรสเลยครับ” อตินออกปากชม หลังจากลองชิมตาม รสชาติดียิ่งกว่าคืนนั้นที่มาร์ชชงให้เขาดื่มซะอีก

“ดีล่ะ งั้นมาร์ช ไปเสนอคุณวาโย จะได้เอาเข้าเมนูเลย”

เบสหันไปบอกมือชง ก่อนจะต้อนคนอื่นๆ ออกไปจากห้อง เพื่อเตรียมตัวไปเปิดร้าน มินเองก็รีบสาวเท้าตามพี่ๆ ไปเช่นกัน โดยที่ไม่รอหรือแม้แต่จะหันมาพูดอะไรกับอตินสักคำ นั่นยิ่งทำให้เขารู้สึกไม่ดี กับท่าทางแปลกไปของเพื่อนคนนี้

“พร้อมรึยัง?” ซันเลียบเคียงเข้ามาถาม ขณะที่ทั้งหมดกำลังเดินตามทางถนนตรงไปยังที่ตั้งร้าน อตินได้แต่เอียงคอเป็นเชิงสงสัย จนคนโตกว่าต้องรีบเตือนสติ

“ก็การทดสอบทำขนมวันนี้ไง”

“เฮ้ย!” เผลอร้องออกมาเสียงดัง จนเรียกสายตาทุกคู่ให้หันมามอง คนตัวเล็กก้มหัวขอโทษเล็กน้อย ก่อนจะหันไปกระซิบกับซันเสียงแผ่ว

“ผมลืมไปเลยอะ”

“เอ้า เป็นอะไรหรือเปล่า”

ซันถามแกมเป็นห่วง เพราะรู้ดีว่าอตินไม่ใช่คนที่จะลืมเรื่องสำคัญแบบนี้ ยิ่งนี่เป็นแบบทดสอบสุดท้าย ก่อนที่หมอนี่จะได้รับยูนิฟอร์ม และเข้ามาเป็นหนึ่งในพนักงานเต็มตัวด้วยแล้ว ก็ยิ่งไม่น่าลืมง่ายๆ

“ก็พี่ซันอะแหละ ชอบชวนเล่นอะ ลืมเลย”

“ความผิดฉันซะงั้น”

“แฮะๆ ล้อเล่นครับ ผมไม่ได้ลืมเรื่องการทดสอบหรอก แต่ผมกะว่าจะตื่นมาทวนสูตรขนมตอนเช้า แต่ดันลืมอะ แถมไม่ได้หยิบสมุดติดมือมาด้วย กลัวพลาดจัง”

“เอาน่า จำได้อยู่แล้วนี่” ซันพยายามให้กำลังใจ พลางตบบ่าเล็กไปสองสามที ทำให้อตินยิ้มออก ไม่ว่าเมื่อไรผู้ชายคนนี้ก็จะทำให้เขามีแรงกลับขึ้นมาทุกทีเลยแฮะ

“ว่าแต่ ทำไมถึงลืมซะล่ะ”

ยังคงจี้ถามต่อ เมื่อเห็นว่ามันผิดปกติจากทุกที อยากทำให้แน่ใจว่าไม่ได้มีอะไรมากวนใจเด็กตรงหน้า แต่อติน เมื่อถูกถามอีกครั้ง ก็ได้แต่นิ่งเงียบไป ในหัวพลันนึกย้อนถึงเหตุการณ์เมื่อเช้า ที่มินทำตัวและพูดจาแปลกๆ ใส่ ก่อนจะตัดสินใจตัดบทสนทนานี้ลง เพราะคงไม่ดีแน่ ถ้าซันรู้ว่าเขาลืมทบทวนบทเรียน เพราะเอาแต่คิดมากเรื่องสมาชิกร้านคนอื่น

“ก..ก็ อยู่ๆ พวกพี่ก็เอานมมาให้ชิมอะ ผมเลยลืมเลย”

“อ๋อ”

คุยกันได้ถึงตรงนี้ ก็มาหยุดอยู่หน้าร้านพอดี ต่างฝ่ายต่างก็แยะย้ายกันไปตระเตรียมข้าวของส่วนใครส่วนมัน สาบานได้ว่าตลอดทั้งวัน มินเอาแต่หลบหน้า และหลีกเลี่ยงการพูดคุย หรือแม้แต่เผชิญหน้ากับอตินตลอด จนสมาชิกคนอื่นยังสังเกตได้ เมื่อมินโผล่เข้ามาในครัว แจนเลยถือโอกาสออกปากถาม

“วันนี้เป็นอะไรน่ะ ทะเลาะกับอตินเหรอ?”

“ค..ค่อก..” คนตัวสูงสำลักน้ำเปล่าที่เพิ่งยกขึ้นดื่ม พลางเบิกตาขึ้นเหมือนอยากจะถามว่า รู้ได้ยังไง

“ก็เห็นเอาแต่หลบหน้า ไม่คุยกันทั้งวันเลย”

มินนิ่งไปครู่หนึ่ง ในหัวคิดว่าควรจะปรึกษาแจนเรื่องนี้ดีไหม แต่เมื่อเห็นสายตาห่วงใยที่ส่งมา ก็ทำให้เขาพร้อมจะพูดออกไป ถึงยังไง แจนก็เหมือนก้าวขาลงมาในเรือลำเดียวกับเขา ตั้งแต่ตอนที่เขาเปิดใจบอกเรื่องความรู้สึกต่ออตินคราวก่อนแล้วล่ะนะ

“ผมดันทำตัวหวงอตินออกนอกหน้ามากเกินไป จนตอนนี้แทบมองหน้าไม่ติดแล้ว”

“ยังไง?”

“ก็เมื่อคืน พี่ซันสอนอตินทำตุ๊กตาไม้ แล้วทำอีท่าไหนไม่รู้ถึงได้แผลกลับมา พออตินเล่าว่าพี่ซันเอานิ้วตัวเองไปดูดห้ามเลือด ผมก็ทนไม่ได้อะ”

แจนหัวเราะแห้งๆ ออกมาทันทีที่ได้ยินถึงตรงนี้ ก็วิธีห้ามเลือดแบบนั้น คงมีแต่ซันคนเดียวแหละที่กล้าทำ แต่ก็พอเข้าใจแล้ว ถ้ามินชอบอตินแล้วต้องมาทนรับรู้เรื่องผู้ชายคนอื่น ก็คงหงุดหงิดใจเป็นธรรมดา ถือเป็นเรื่องปกติของคนแอบชอบอยู่แล้ว ที่จะคิดหวงเขา ทั้งๆ ที่ไม่มีสิทธิ์ก็ตาม

“ทนไม่ได้แล้วยังไง?”

“ผมเลยจูบ..”

“หะ??”

“จูบนิ้วเอง! ผ่านพลาสเตอร์ด้วยซ้ำ...” คนตัวสูงรีบโต้เมื่อเห็นแจนตีสีหน้าตกใจ ทั้งที่ยังฟังไม่จบประโยค ถึงแม้คำท้ายๆ จะฟังดูเสียดายยังไงชอบกลก็เถอะ “ล..แล้วก็ บอกอตินว่า อย่าให้ใครแตะตัวง่ายๆ รวมทั้งผมด้วย...”

แจนเหลือบตามองไปรอบห้อง อย่างเป็นเชิงครุ่นคิด สักพักก็พยักหน้าทำท่าเข้าใจกับตัวเอง ก่อนจะเดินไปตบบ่ามินเสียงดัง จนอีกคนสะดุ้ง

“นายเลยกลัวว่า อตินจะรู้ความรู้สึกของนาย กลัวว่าอตินจะรังเกียจหรือกลัวนาย งั้นสิ?”

“ช..ใช่ครับ”

“มินเอ๊ย ฉันไม่มั่นใจหรอกนะว่าอตินจะรู้รึยังว่านายคิดอะไร แต่ฉันมั่นใจว่าอตินไม่ใช่คนที่จะตัดเพื่อนไปด้วยเรื่องใดก็ตาม เขาไม่ใช่คนที่จะมารังเกียจหรือกลัวใครนี่ จริงไหม?”

แจนถามกลับเพื่อกระตุ้นให้มินได้ใช้สมองที่มีอยู่ตรึกตรองเรื่องราวให้ดีขึ้น พอเห็นว่าเริ่มสลดไป เพราะเหมือนจะคิดได้ เขาถึงจี้ต่อ หวังช่วยให้บรรยากาศระหว่างน้องเล็กทั้งสองกลับมาสดใสเหมือนเดิม

“แล้วขืนนายยังทำตัวไม่ปกติแบบนี้นะ ฉันว่าต่อให้อตินไม่รู้ว่านายชอบ ก็คงต้องรู้แล้วล่ะงานนี้”

มินหน้าซีดไปหลังจากได้ยิน เสียงด้านนอกเริ่มดังลอดเข้ามา พอให้รู้ว่าใกล้เวลาปิดร้านเต็มทีแล้ว แจนเลยได้แต่ตบบ่ามินให้กำลังใจไปอีกรอบ ก่อนจะทิ้งคนตัวสูงไว้ในครัว และเดินออกไป แน่นอนว่าเขาต้องไปอธิบายเรื่องนี้ให้อตินเข้าใจ ไม่อย่างนั้นเรื่องราวไร้สาระนี่คงไม่จบง่ายๆ

“อติน” แจนกวักมือเรียกเด็กตัวเล็ก ที่กำลังช่วยรุ่นพี่เช็ดโต๊ะ ไม่ลืมที่จะหันไปส่งสายตาขออนุญาตเบส เพื่อปลีกตัวมาคุยธุระกันสองคน

“มีอะไรหรอครับ?”

“มีเรื่องอะไรกับมิน”

“ผะ..ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน อยู่ๆ มินก็ทำตัวแปลกๆ แถมหลบหน้าผมตลอดเลย” อตินเบิกตากว้างเมื่อได้ยินว่าแจนเองก็รู้ถึงความผิดปกตินี้ ก่อนจะปล่อยคำพูดที่คาใจออกมาจนแทบหมดเปลือก ดวงตากลมโตไม่ค่อยสดใสเหมือนเคย รวมทั้งใบหน้างอเหง้าในตอนนี้ด้วย

“อืม...ความจริง ฉันคุยกับหมอนั่นแล้วล่ะ”

“ว..ว่ายังไงครับ?”

“มินมันก็แค่เป็นห่วงนายเท่านั้นแหละ เป็นห่วงว่าจะมีอันตราย หรือจะโดนใครแกล้ง”

“แต่ผมไม่ใช่เด็กสักหน่อย”

อตินตีหน้ามุ่ยเมื่อทราบสาเหตุ เป็นอย่างที่คิด ว่ามินคงไม่ได้คิดอะไรนอกจากเป็นห่วงเกินไปอย่างทุกที ถ้าแบบนั้นล่ะก็ คนที่สมควรโกรธก็น่าจะเป็นเขาสิ เพราะมินเอาแต่ทำเหมือนเขาเป็นเด็กทารกอยู่เรื่อยเลย แบบนี้มันน่าโมโหนะ ทั้งที่ตัวเองก็เด็กกว่าเขาแท้ๆ

“ก็นะ คงเพราะนายไม่ค่อยระวังตัวเลยมั้ง” แจนว่า ทำให้อตินต้องรีบส่งสายตาคำถามกลับไป

“เพราะว่าอัธยาศัยดี แล้วก็ใจดีมาก ทำให้ตกเป็นเหยื่อให้คนอื่นมาแกล้งมาหลอกเอาได้นะ”

คนโตกว่าพยายามอธิบายให้ดูนิ่มนวลที่สุด พอคิดกลับไปกลับมา รู้สึกว่ามินเองก็พูดถูก เพราะเขาเองก็มองเห็นเป็นแบบนั้นเหมือนกัน อตินที่ไม่ค่อยปฏิเสธใคร และคอยยิ้มรับกับทุกอย่าง ทำให้ยิ่งดูน่ารักน่าหยอกมากขึ้นไปอีก ถ้าจะมีคนมาหลอกจริงๆ ก็คงไม่แปลกใจเลยสักนิด บางที การเป็นคนแบบนี้ ก็น่าเป็นห่วงว่าจะตกเป็นเป้าหมายให้ใครมาใช้ประโยชน์หรือเปล่า

“แต่ว่า...”

คนตัวเล็กยังพยายามจะเถียง แม้ว่าเถียงไม่ค่อยออกแล้ว เมื่อถูกจี้ความจริงเข้าใส่ ก็เลยเริ่มคิดได้ว่ามันจริงอย่างที่ว่า ทำให้แจนต้องรีบหาบทสรุป เพราะดูเหมือนสายตาบางคู่จากสมาชิกร้านคนอื่น จะเริ่มจับจ้องมาที่พวกเขาบ้างแล้ว

“เรื่องนี้ไม่มีใครถูก ไม่มีใครผิดทั้งนั้น แต่ฉันก็อยากให้นายเข้าใจนะ ว่ามินมันก็แค่เป็นห่วงและหวังดี ก็อย่าไปถือสามันมากนักเลย”

“ครับ เรื่องนั้นผมรู้ ผมก็ไม่ได้จะโกรธหรอก แต่เพราะคราวนี้มินเป็นฝ่ายไม่ยอมคุยกับผมเอง ทำให้หงุดหงิดนิดหน่อยนะ ทั้งที่ผมไม่ได้ทำผิดแท้ๆ แล้วพี่ซันก็ไม่ได้มาแกล้งผมด้วย”

“เอ่อ เรื่องนี้นายต้องเข้าใจนะ มินติดภาพซันที่คอยแกล้งคนอื่น แล้วก็เอาแต่ม่อลูกค้า ทำให้เขาห่วงว่าซันจะทำแบบเดียวกันกับนายน่ะ”

“งั้น...ผมควรทำยังไงอะครับ?”

รู้สึกเหมือนว่าจะเริ่มเข้าใจอะไรขึ้นอีกหน่อยแล้ว หลังจากแจนมาอธิบายให้ฟัง กลายเป็นว่าเรื่องที่คิดมาก คือการกลับไปทำตัวเป็นปกติกับมินเนี่ยสิ แต่แจนก็ดูจะเตรียมการไว้แล้ว ถึงได้ฉีกยิ้มกว้างออกมา

“เดี๋ยวจะบอกวิธีดีๆ ให้ละกัน”

อตินได้แต่เก็บความสงสัยนั้นไว้ จนถึงตอนที่เก็บร้านเสร็จแล้ว ทุกคนก็ย้ายมารวมกันในครัว เพื่อดูเขาทดสอบการทำขนม สามเมนูที่แจนเลือกมา ก็คือ สตรอเบอรี่ช็อตเค้ก ช็อกโกแลตลาวา กับ เค้กมองบลังค์ บอกเลยว่าแต่ละเมนูไม่ใช่ง่ายๆ เขานึกว่าแจนจะใจดีกว่านี้ซะอีกนะ ที่ไหนได้ โหดกว่ามาร์ชอีกมั้ง! ส่วนไอ้พวกเมนูเบสิค ที่เขาทำได้ชัวร์เนี่ย ก็ไม่ยอมเอามาให้ทดสอบ เห็นหน้าแบบนี้สงสัยต้องเริ่มมองกันใหม่แล้ว แจนใสใสไม่มีจริง สินะ ฮึ่มม

“เริ่มได้”

เสียงแจนดังขึ้น พร้อมกับสัญญาณนาฬิกาจับเวลาในมือถือ ทำให้อตินต้องรีบร้อนกลับมาสนใจอุปกรณ์และวัตถุดิบทั้งหมดบนโต๊ะ ในหัวก็เอาแต่ทบทวนสูตรเท่าที่จำได้ไปด้วยตลอดทางการทำขนม และเพราะมันยากกว่าเครื่องดื่มมาก ทำให้กินเวลาเยอะพอควร กว่าจะเสร็จฟ้าก็มืดแล้ว ยังดีที่มีเค้กของอตินนี่แหละพอประทังชีวิต ทำให้ไม่มีใครบ่นหิวสักคน ถ้าจะมีก็คงแค่มิน ที่ยังคงวางตัวไม่ถูก เลยได้แต่แทะขนมฝีมืออตินไปแค่อย่างละคำเท่านั้น โชคดีที่อตินจำสูตรได้ถูกต้อง และยังแอบมีภูตพรายคอยกระซิบบอกขั้นตอนเล็กๆ น้อยๆ อยู่ด้านหลังแจนด้วย ทำให้มันเป็นไปอย่างราบรื่นดี และแน่นอนว่าผ่านฉลุย ท่ามกลางความยินดีของสมาชิกทั้งหมด เป็นอันว่าอตินผ่านการทดสอบทั้งหมดจาก Café de Sept แล้ว คิดว่าพรุ่งนี้คงขอเบิกชุดยูนิฟอร์มมาให้ได้ และเตรียมเข้ามาเป็นพนักงานพาร์ทไทม์เต็มตัวได้เลย

แจนหันไปกระซิบบางอย่างกับเบส จากนั้นหัวหน้าพนักงานจึงต้อนทุกคนให้กลับบ้านกันก่อน โดยทิ้งแจนกับอตินไว้ เพื่อเก็บกวาดครัว แม้ว่าซันจะอยากอยู่ช่วย แต่สุดท้ายก็ยอมเดินกลับไปด้วยอย่างเชื่อฟัง พอเหลือกันแค่สองคน แจนจึงเผยถึงวิธี ที่จะทำให้อตินกับมินปรับความเข้าใจกันได้ ซึ่งสูตรง่ายๆ ถูกบอกไว้ว่ามีแค่สองสามวิธี เช่นการเอาของกินเข้าตะล่อม เอาใบหน้าน่ารักๆ เข้าอ้อน และที่สำคัญ คือเอาความจริงใจเข้าสู้ ให้เปิดอกคุยกันตรงๆ ประเด็นคือต้องใจเย็น นั่นแหละ สิ่งที่น่าจะทำให้คนอย่างมินเข้าใจและสงบลง

ทางด้านคนอื่น พอถึงบ้านก็ตั้งโต๊ะ หาอะไรกินกันอีกคนละนิดหน่อย ไม่ลืมที่จะเก็บบางส่วนไว้ให้แจนกับอตินที่จะตามมา และเพราะค่อนข้างดึกแล้ว ทำให้ทุกคนเลือกที่จะกลับเข้าห้องเพื่อพักผ่อน เพราะรู้ว่าแจนมีกุญแจบ้านสำรองอยู่กับตัว จึงไม่ต้องเป็นห่วงมาก

นาฬิกาตีบอกเวลาสี่ทุ่ม เสียงประตูบ้านก็ดังขึ้นพอให้ได้ยินแว่วๆ มินขยับตัวลุกขึ้นจากที่นอน พลางปิดหนังสือที่อ่านค้างไว้ลง ไม่นานนักประตูห้องนอนก็เปิดออก พร้อมร่างบางที่แทรกตัวเข้ามาอย่างระมัดระวัง คงเกรงว่าจะทำให้ใครตื่นตกใจ แต่พอเห็นหน้ามินที่ยืนรออยู่ กลับเป็นเขาเองที่สะดุ้งจนเกือบทำของในมือตก

“อ..อะ อะไรน่ะ?”

มินพยายามอย่างมาก ที่จะรวบรวมความกล้าทักออกไป เมื่ออตินเห็นว่าอีกฝ่ายยอมคุยด้วยแล้ว จึงเริ่มใจชื้นขึ้นหน่อย ก่อนจะเดินไปลากมือมินให้นั่งลงบนพื้นด้วยกัน แล้วค่อยๆ เปิดถุงพลาสติกในมือออกมา เผยให้เห็นกล่องกระดาษที่บรรจุคุ้กกี้รูปทรงง่ายๆ ไม่กี่ชิ้นอยู่ในนั้น

“พี่แจนบอกว่า มินชอบคุ้กกี้ เราเลยทำมา”

“ที่กลับบ้านช้า เพราะอยู่ทำไอ้นี่เนี่ยนะ”

“อื้อ” อตินลากเสียงตอบ แล้วหยิบคุ้กกี้ชิ้นหนึ่งยัดเข้าปากอีกฝ่ายทันที มินตกใจ แต่ก็ยอมกินเข้าไปดีๆ พอไม่มีโอกาสพูดต่อ เพราะของกินเต็มปาก อตินเลยใช้จังหวะนี้พูดขึ้นเอง

“เราโตแล้วนะ...มินไม่ต้องห่วงมากไปก็ได้”

เสียงเคี้ยวคุ้กกี้ดังขึ้น เมื่อทั้งห้องสงบลง มินรีบกลืนของในปาก แล้วลุกขึ้นไปหยิบขวดน้ำมาวางไว้ตรงหน้า พยายามถ่วงเวลาตัวเอง ไม่ให้บ้าพูดอะไรตามใจออกไปอีก ลงรู้สึกว่าใจเย็นมากแล้ว ถึงเริ่มเปิดปาก

“เราขอโทษ เราแค่กลัวอตินเป็นอะไร”

“เราเข้าใจ มินเป็นเพื่อนที่ดีมาก แต่เราก็คิดว่าเราดูแลตัวเองได้นะ จะพี่ซันหรือใครๆ ก็ไม่มีอะไรทั้งนั้น เรารู้ว่าเรากำลังทำอะไร เพราะงั้นมินไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”

อตินร่ายยาวเหมือนคนเก็บกดมานาน ถึงอย่างนั้นก็พยายามรักษาระดับของน้ำเสียงไว้ สายตาของคนตัวเล็กตั้งใจสื่อไปให้ถึงคนตรงหน้า ขณะที่มินยังทำได้แค่ก้มลงมองคุ้กกี้ในกล่อง ไม่มีคำพูดใดหลุดลอดออกมาเลย

“แล้วที่มินเตือนเรา ว่าอย่าให้ใครแตะเนื้อต้องตัวง่ายๆ เราไม่เชื่อนะ เพราะเราคิดว่าการได้สัมผัสกัน ก็คือการถ่ายทอดความรู้สึกอย่างหนึ่ง...”

คนพูดอธิบายเสียงจริงจัง พลางขยับตัวเข้าไปใกล้มินมากขึ้น มือเล็กเอื้อมเข้าจับมืออีกฝ่ายมากุมไว้แน่น ทำเอามินถึงกับสะดุ้ง แต่เพียงไม่นานก็ต้องแปลกใจ เมื่อเขาเริ่มรู้สึกถึงความอบอุ่นที่ถูกส่งผ่านมาทางฝ่ามือนี้ แม้ว่าภายในห้องจะเงียบสงัดเพียงไหน เขากลับรำคาญเสียงบางเสียงจากอกข้างซ้าย ที่เอาแต่ดังโครมครามขึ้นมาเรื่อยๆ

“เข้าใจรึยัง?” อตินเอ่ยปากถามเสียงนุ่ม ส่วนมินก็ค่อยๆ พยักหน้าลงราวกับถูกมนต์สะกด

เข้าใจแล้วว่าเขาต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ให้กับคนตรงหน้าอยู่วันยังค่ำ พ่ายแพ้ให้กับความน่ารัก ความใจดี และความอบอุ่น เรื่องที่เอาแต่คิดมากมาตลอดทั้งวัน แทบจะมลายหายไปเลย ยามที่ถูกกอบกุมเอาไว้แบบนี้ มหัศจรรย์มากจริงๆ อติน แล้วแบบนี้จะให้เขาไม่รักได้ยังไงกัน...

จะไม่ให้หวงได้ยังไงกัน.....



-------------------------------------------------

งื้ออ เรื่องนี้ออกแนวเรื่อยๆ เลยนะคะ
มันอาจจะน่าเบื่อ ;w; ถือว่าเก็บไว้อ่านฆ่าเวลาแล้วกันนะ
คือมันเรื่อยๆ จริงๆ 5555 ตอนนั้นแต่งแบบ เนิบมาก
อยากให้ตัวละครค่อยๆ ผูกพันกันทีละนิดทีละน้อย
ก่อนจะ.... ตู้มมม! เกิดเป็นโกโก้ครัช.... (?)


 :hao3:
หัวข้อ: Re: ♡♡ ในร้านกาแฟ ♡♡ by「aonair」 UP! บทที่ 7
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 17-04-2016 00:39:36
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♡♡ ในร้านกาแฟ ♡♡ by「aonair」 UP! บทที่ 7
เริ่มหัวข้อโดย: aonair13 ที่ 18-04-2016 18:07:26
8

อตินในชุดยูนิฟอร์มของร้าน ยืนหมุนไปหมุนมาต่อหน้าสมาชิกคนอื่นอยู่นานสองนาน ดูเหมือนจะดีใจมากกับความสำเร็จครั้งนี้ เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวสะอาด กับกางเกงแสล็คสีดำ มีผ้ากันเปื้อนคาดเอวสีครีม สกรีนชื่อร้านเอาไว้อย่างสวยงาม ทุกอย่างดูเข้าและเหมาะกันดีกับอตินจนน่าตกใจ น็อตถึงกับทักออกมาว่า มีสิทธิ์โดนสาวๆ รุมล้อมแน่

หลังจากกลับมาทำตัวปกติกับมิน และไปขอบคุณแจนเรียบร้อยแล้ว ก็มีเรื่องดีๆ ตามมาอีกหลายอย่าง เช่นการที่อตินได้รับยูนิฟอร์ม และถูกแต่งตั้งให้เป็นพนักงานเต็มรูปแบบโดยคุณวาโย ทำให้ช่วงนี้เขาดูจะร่าเริงมากเป็นพิเศษ และแน่นอนว่ารอยยิ้มนั้น ก็ส่งให้บรรยากาศภายในร้านดูสดชื่นขึ้นมากทีเดียว เนื่องจากเป็นการต้อนรับอตินเข้าเป็นพนักงานอย่างเป็นทางการ มินเองก็ถือโอกาสเปลี่ยนดอกไม้ตกแต่งร้านเกือบทั้งหมด ธีมช่วงนี้เห็นว่าจะเป็น ดอกทานตะวัน ยิ่งเสริมให้ร้านดูสดใสขึ้นด้วย ส่วนเมนูนมทั้ง 7 รสชาติที่มาร์ชเสนอวาโยไปเมื่อวาน ก็ผ่านการรับรองแล้ว จึงตั้งใจจะทดลองเปิดขายเป็นครั้งแรก ถือว่าวันนี้เป็นอีกวันที่ทุกคนดูจะมีความสุขไปด้วยกันอย่างพร้อมเพรียง จนถึงเวลาเปิดร้าน...

“ยินดีต้อนรับครับ!” อตินทักทายแขกกลุ่มแรกด้วยเสียงดังฟังชัด เรียกรอยยิ้มจากลูกค้าได้เป็นอย่างดี หนึ่งในนั้นรีบหันมาถามหน้าตาสนใจเป็นพิเศษ

“พนักงานใหม่เหรอ?”

“ครับ ผมชื่ออตินนะครับผม”

“ที่ปกติคอยช่วยมาร์ช อยู่ตรงเคาน์เตอร์ไง” หญิงสาวอีกคนที่เพิ่งนึกได้ หันมาบอกเพื่อน ก่อนจะส่งยิ้มสดใสมาให้เด็กใหม่ในชุดเครื่องแบบของร้าน

“เก่งมาก สู้ๆ นะ” เบสเดินมาตบบ่าอตินเบาๆ พลางออกปากชม ทำให้คนตัวเล็กยิ่งใจชื้น ยิ้มแฉ่งกลับไป จนแม้แต่คนผมเทาเองก็อดใจเต้นไม่ได้

หลังจากนั้นเบสก็ทิ้งให้อตินยืนต้อนรับแขกอยู่กับน็อต ทุกคนดูจะตื่นตาตื่นใจกับสมาชิกใหม่คนนี้มาก ไม่น่าเชื่อว่าจะดึงดูดได้ทั้งลูกค้าผู้หญิง และผู้ชายด้วย! สังเกตได้ง่ายๆ เลย ปกติลูกค้าสาวๆ จะมานั่งแช่ จิบชา กินเค้ก ส่องหน้าพนักงาน แต่พวกผู้ชายมักจะนั่งหลบมุมอยู่กับแล็ปท็อป ไม่ก็ซื้อแล้วกลับ แต่วันนี้มันมาแปลก พวกผู้ชายเองก็พากันจับจองหาที่นั่ง แถมยังชวนอตินคุยอย่างออกหน้าออกตาจนชักเป็นห่วงซะอีก

“อติน มีไลน์ไหมครับ?”

ผู้ชายคนหนึ่งถามขึ้น ท่ามกลางเสียงโห่ฮาจากเพื่อนร่วมโต๊ะ หลังจากสั่งเครื่องดื่มกันไปแล้ว ก็ยังอุตส่าห์หาจังหวะเต๊าะเด็กใหม่ท่าทางน่ารักได้อีก ปกติพวกเขาไม่ค่อยชอบพนักงานร้านนี้หรอก น่าหมั่นไส้ แต่ก็ต้องยอมรับว่าอาหารเครื่องดื่มรสชาติดีจริง ถึงยังอุดหนุนมาตลอด แต่คราวนี้เจอพนักงานใหม่ ยิ่งอยู่ในยูนิฟอร์มร้านยิ่งดูดีมีราศี น่ารักจนถูกชะตาเข้าอย่างจังเลย

“เอ่อ ผมไม่ได้เล่นอะครับ”

“โหว งั้นขอเบอร์ได้ไหมครับ?”

“อ..เอ่อ...”

“อติน มาทางนี้ที”

เสียงซันดังข้ามหัวคนในร้านมากระทบหู ทำให้คนตัวเล็กได้โอกาสปลีกตัวออกไปช่วยซันรับออเดอร์ของกลุ่มพี่สาวอีกทาง โดยมีเสียงจิ๊จ๊ะไม่สบอารมณ์ของพวกผู้ชายเมื่อครู่ไล่หลังมา

“โอ้ พนักงานใหม่นี่”

“ชื่ออะไรนะจ๊ะ?” ก็ไม่รู้ว่าคิดถูกหรือผิดที่เรียกมาด้านนี้ เพราะก็ยังต้องมาผจญกับเหล่าผู้หญิงใกล้สูงวัยอีกอยู่ดี เอาเป็นว่าตอนนี้ ไม่ว่าที่ไหนๆ ในร้าน ก็กลายเป็นดงสัตว์ป่าอันตรายสำหรับอตินไปหมดแล้วล่ะ!

“อตินครับ จะรับอ..”

“อ๊าย น่ารักมากเลย ขอถ่ายรูปด้วยได้ไหม?”

“อะ...ครับ” อตินย่อตัวลงเล็กน้อย เพื่อพาตัวเองเข้าไปในเฟรมของพวกพี่สาวบนโต๊ะ กว่าจะเลือกเมนูกันได้ ก็เสียเวลากรี๊ดกร๊าดอยู่นาน จนแม้แต่เขาเอง ยังแอบเซ็งในใจ

แค่ช่วงเช้าก็มีลูกค้าเข้ามามากแล้ว ขนาดหน้าพนักงานคนอื่น เขายังแทบไม่มีเวลาหันไปมองด้วยซ้ำ ไม่อยากเชื่อว่า การออกมาทำงานจริงจังแบบเต็มรูปแบบ มันจะเหนื่อยขนาดนี้ เรียกว่าพนักงาน Café de Sept ต้องอึดกันมากอะ

ดูเหมือนป้ายหน้าร้านที่ประกาศชัดเจนถึงเมนูนม 7 รสชาติ ก็ทำหน้าที่ของมันได้ดีเช่นกัน ด้วยการต้อนลูกค้าคุณแม่และเด็กๆ เข้ามาได้มากกว่าเดิมเป็นประวัติการณ์ ในช่วงบ่ายของวันเสาร์แบบนี้ ยังมีกลุ่มลูกค้าครอบครัวเข้ามาจับจองที่นั่งชั้นสองจนเต็มพื้นที่ พวกเด็กน้อยใหญ่ค่อนข้างสนใจกับโซนหนังสือมากเป็นพิเศษ คงเพราะตรงนั้นมีพวกตุ๊กตุ๋นตุ๊กตาที่ซันวางทิ้งไว้เยอะแยะด้วยแหละ ส่วนอตินเอง ก็ยังคงทำหน้าที่พนักงานเต็มตัววันแรกอย่างขยันขันแข็ง สองมือเล็กประคองถาดขนมกับเครื่องดื่มขึ้นไปเสิร์ฟลูกค้าชั้นบนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ทั้งที่เหงื่อเริ่มออก แม้จะอยู่ในห้องแอร์ก็ตาม

“จินนี่ อย่าซนนะลูก”

เสียงคุณแม่ท่านหนึ่งตะโกนเตือนลูกสาวตัวเอง ซึ่งกำลังเล่นกับเพื่อนอยู่บริเวณโซนอ่านหนังสือ พออตินหันไปตามสายตาเท่านั้นแหละ ก็พอดีกับที่เด็กน้อยหยิบตุ๊กตาหมาขยับขาได้ของหวงของซันขึ้นมากำไว้แน่น ก่อนจะปาลงพื้นสุดแรง จนได้ยินเสียงหัก แก้มกลมๆ เหมือนซาลาเปาไส้ครีมของเด็กจินนี่ ไม่ได้ทำให้อตินใจเย็นลงได้เมื่อเห็นภาพนั้นต่อหน้าต่อตา พนักงานใหม่รีบรุดเข้าไปดึงแขนของจินนี่ขึ้น พร้อมทำตาขวางอย่างที่ไม่ค่อยได้เห็น

“ทำไมทำแบบนี้?” อตินว่าเสียงแข็ง ก่อนจะก้มลงไปหยิบตุ๊กตาไม้บนพื้นขึ้นมาสำรวจ พบว่าขาข้างหนึ่งหักออกมา แถมหัวยังเบี้ยวไปอีกทาง “ดูสิ หักเลย”

“อ...ฮะ..ฮ” จินนี่มองอตินด้วยสายตาหวาดกลัว พยายามดึงมือเล็กของตัวเองออกจากการเกาะกุม สักพักก็ร้องไห้โหออกมา จนเรียกสติของคนเป็นแม่ที่กำลังนั่งจ้องเหตุการณ์อยู่อย่างช็อคๆ

“ฮืออออ!”

“นี่! ทำอะไรลูกฉัน?”

แม่จินนี่รีบปัดมืออตินออก แล้วอุ้มเด็กน้อยขึ้นมาปลอบใหญ่ ท่ามกลางสายตาหลายคู่ที่กำลังจับจ้องมาอย่างคาดโทษ พวกเด็กคนอื่นที่อยู่บริเวณนั้นเองก็เริ่มมีท่าทางผวา และวิ่งกลับไปกอดคนเป็นพ่อแม่กันหมด ทำเอาอตินรู้สึกเคว้งขึ้นมาทันที เมื่อถูกกดดันโดยลูกค้าแทบทั้งชั้น ดวงตากลมโตที่ยังคงเบิกกว้างกลอกซ้ายขวาอย่างไม่มีจุดโฟกัส รู้สึกได้เลยว่าเริ่มสติหลุดทีละน้อย

ไม่นานนัก เสียงเบสกับน็อตก็ดังขึ้น พร้อมกับร่างทั้งสองที่โผล่ขึ้นมาจากบันได น็อตรีบตรงเข้าไปคุยกับแม่จินนี่ และขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่ ส่วนเบสก็เข้ามาแตะตัวเรียกสติอตินไว้ ก่อนจะพากันเข้าไปขอโทษแม่จินนี่พร้อมๆ กัน กลายเป็นเรื่องใหญ่โตสำหรับวันที่ควรจะดี ลูกค้าหลายรายเริ่มทยอยออกจากร้าน และนั่นก็สื่อถึงลางร้ายซึ่งตั้งท่าจะเล่นงานคนตัวเล็ก ทันทีที่เคลียร์กับลูกค้าได้แล้ว น็อตก็หันมามองอตินตาโต คล้ายว่าจะพ่นคำด่าออกมา แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น อตินย้ายตัวเองมาช่วยแจนในครัวจนถึงเวลาปิดร้าน หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้ากันเรียบร้อยแล้ว เบสถึงเรียกรวมพลหน้าเคาน์เตอร์ เพื่อปรึกษาเรื่องเหตุการณ์เมื่อตอนบ่าย มีอตินเดินหน้าซีดออกมาจากหลังร้านเป็นคนสุดท้าย ซันกับมินไม่พลาดที่จะคอยช่วยเหลือ ด้วยการยืนขนาบข้างทั้งสองด้าน และพยายามส่งสายตาขอร้องไปทางเบสกับน็อต ซึ่งมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก

“ผมขอโทษครับ...” อตินชิงพูดขึ้นก่อน เพราะรู้ดีว่ากำลังจะโดนดุเรื่องอะไร น็อตมองหน้าอตินด้วยสายตาตำหนิอย่างไม่ปิดบัง ถึงอย่างนั้นก็นึกเอ็นดูจนแทบจะโกรธไม่ลง แต่ยังไงก็คงต้องต่อว่าเพื่อให้รู้ถึงเรื่องที่สมควรหรือไม่สมควรทำ

“ในฐานะพนักงาน เราจะไปแสดงกริยาแบบนั้นกับลูกค้าไม่ได้เลยนะ”

“ผมรู้ครับ แต่...”

น็อตจิกตาลงมา เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังอยากจะเถียง ทำให้อตินต้องรีบหรี่เสียงลง จนกลายเป็นแค่การกระซิบกับตัวเองเบาๆ ถึงอย่างนั้นก็ยังดังพอให้ทุกคนได้ยิน ในเมื่อภายในร้านตอนนี้มันเงียบสนิท ไม่มีแม้แต่เสียงเครื่องปรับอากาศด้วยซ้ำ

“น้องเขาทำตุ๊กตาพี่ซันหัก...” พอได้ยินแบบนั้น ซันก็ยกมือขึ้นบีบบ่าให้กำลังใจอตินทันที รู้สึกซาบซึ้งที่อีกฝ่ายใส่ใจเรื่องของตัวเองมากขนาดนี้ และดูเหมือนคนอื่นเองก็เข้าใจดี ถึงความสำคัญของตุ๊กตาไม้ตัวนั้น

“ทำไมถึงเอาของสำคัญของคนอื่นมาเล่นจนพังล่ะ”

อตินยังคงพูดต่อไป น้ำเสียงเริ่มสั่นเครือทีละน้อย ยิ่งกระตุ้นให้ใจคนฟังรู้สึกแย่ตามไปด้วย รู้ทั้งรู้ว่าอตินทำไปเพราะนึกถึงซัน แล้วก็เข้าใจด้วยว่ามันไม่ถูกที่ลูกค้ามาทำของพัง ถึงอย่างนั้น ก็ต้องกลั้นใจตักเตือนอยู่ดี เพราะนี่คือ Café de Sept และเราก็กำลังอยู่ในฐานะของ พนักงาน ที่ต้องมีใจไว้บริการลูกค้า เต็ม 100% สำหรับบทบาทนี้แล้ว เราจะมัวมาแคร์จิตใจกันอย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องคิดถึงผลเสียต่อรายได้และชื่อเสียงที่จะตามมาด้วย

“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ลูกค้าเขาก็ไม่รู้ ยังไงเราก็ไปว่าไม่ได้”

น็อตต้องเป็นฝ่ายสั่งสอนต่อ เมื่อสะกิดเบสแล้วอีกฝ่ายทำเป็นหูทวนลมซะงั้น แบบนี้เขาก็กลายเป็นมารร้ายในสายตาอตินคนเดียวอะสิ ไอ้พวกบ้านี่ เขาไม่ได้อยากจะดุน้องเลยนะ แล้วดูสิ ยิ่งทำหน้างอแบบนั้นยิ่งดูน่าสงสารเข้าไปอีก วันหลังจะขอลาออกจากการเป็นคุณแม่ดูแลพวกพนักงานให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย ไม่เอาแล้ว หน้าที่ปวดใจแบบนี้

“แล้วชื่อเสียงของร้านนับจากนี้ จะกู้คืนมายังไง เห็นไหมว่ามันส่งผลเสียตามมาแค่ไหน เพราะงั้นต่อไปก็ต้องใจเย็นกว่านี้ ไตร่ตรองให้ดีก่อนจะทำหรือพูดอะไรลงไป เข้าใจใช่ไหม?”

“ครับ...เข้าใจครับ”

“เอาเป็นว่า ฉันจะช่วยอธิบายกับคุณวาโยให้ถ้าถูกถาม ครั้งนี้ถือว่าเป็นบทเรียนนะ ครั้งหน้าอย่าให้มีอีกก็แล้วกัน”

“ครับ...”

“เอาล่ะๆ ไม่มีอะไรแล้ว อตินไปซื้อของกับมินละกันนะวันนี้”

น็อตรีบตัดบทก่อนที่จะมีใครสักคนน้ำตาคลอ ไม่อตินก็อาจจะเป็นเขาเองนี่แหละ เสร็จแล้วก็โบ้ยหน้าที่ดูแลต่อให้มิน ซึ่งเป็นเวรไปซื้อของเข้าบ้านพอดี ก่อนจะแยกย้ายกันออกจากร้าน อตินก็เดินไปคุยกับซันก่อน หลังจากเพิ่งมีโอกาสอยู่ด้วยกันสงบๆ

“แล้วน้องหมาล่ะครับ?”

“เดี๋ยวเอาไปซ่อม สบายมาก ไม่ต้องห่วง”

ซันตบกระเป๋าสะพายตัวเองเบาๆ ก่อนจะยกมือขึ้นลูบหัวอตินอย่างนึกเอ็นดูระคนซาบซึ้ง เพราะว่าเรื่องวันนี้ ทำเอาหัวใจเขาเต้นวูบวาบแปลกขึ้นกว่าเดิมซะอีก แค่เห็นหน้าหงิกงอของอตินเพราะว่าคิดเรื่องของเขา ก็ทำให้ปลื้มปริ่มจนแทบอยากจะกระโดดเข้าไปกอดรัดเอาไว้ไม่ปล่อย มันยิ่งมากขึ้นทุกทีแล้ว ไอ้ความรู้สึกสนใจในตัวเด็กคนนี้...

“ไป อติน”

มินส่งเสียงเรียก เจ้าตัวเดินไปเปิดประตูรออยู่ก่อนแล้ว อตินจึงต้องรีบปลีกตัวออกมา แล้วเดินตามเพื่อนตัวสูงไปต้อยๆ สักพักจึงเริ่มชวนคุยเมื่อเห็นว่าบรรยากาศเริ่มเงียบเกินไป แม้จะมีรถราขับผ่านไปมาบ้าง แต่ก็ไม่เยอะเท่าไร คงเพราะแถวนี้ไม่ใช่ถนนใหญ่ หรือเส้นทางหลัก ติดจะเป็นโซนกันดารซะมากกว่า มีแค่ป้ายรถเมล์ ร้านอาหารเล็กๆ คาเฟ่ โรงเรียนไม่กี่แห่ง โรงพยาบาลใหญ่ๆ ก็มีแค่ที่เดียว นอกนั้นก็เป็นตลาดกับซุปเปอร์มาร์เก็ต ถ้าจะเดินห้างหรูๆ ก็ต้องนั่งรถเข้าไปในเมืองมากกว่านี้

“พี่น็อตจะโกรธมากไหมนะ”

“ไม่หรอก อย่าคิดมาก”

“คุณวาโยจะว่าไหม เราจะยังได้ทำงานต่อไหมอะ”

น้ำเสียงที่อุตส่าห์กลับมาเป็นปกติแล้ว เริ่มสั่นไหวอีกครั้ง ยามคิดถึงโอกาสที่อาจจะโดนเด้งออกจากร้าน ทั้งๆ ที่วันนี้เป็นวันแรกที่ได้สวมยูนิฟอร์มแท้ๆ ทั้งที่มันควรจะเป็นวันที่ดี เขากลับพังมันด้วยตัวเอง บ้าชะมัดเลย ดันตั้งอารมณ์อยู่เหนือหน้าที่และความเหมาะสมแบบนี้...

“เฮ้ย อย่าคิดงั้นดิ คุณวาโยไม่ใจร้ายหรอก แล้วก็ไม่มีใครโกรธอตินด้วย พี่น็อตก็แค่เตือนไปตามประสาเท่านั้นเอง”

มินพยายามปลอบ และอตินเองก็กำลังพยายามเข้าใจเหมือนกัน ตลอดทางทั้งคู่ก็ไม่ได้คุยอะไรกันอีก คิดว่าจะปล่อยให้คนตัวเล็กได้ใช้เวลาอยู่กับตัวเองสักพัก เพราะคงมีหลายเรื่องให้คิดในหัว หลังจากเกิดเรื่องขึ้น จนในที่สุดก็เดินมาถึงซุปเปอร์มาร์เก็ต ไม่ไกลจากตัวร้านและบ้านมากนัก คนไม่เยอะเท่าไร เพราะส่วนใหญ่จะมาจับจ่ายกันไปตั้งแต่ช่วงเย็นแล้ว ไม่ใช่หัวค่ำแบบนี้

อตินกำลังจะเดินไปหยิบตะกร้า ทั้งที่ใบหน้ายังคงหงิกงอเพราะเรื่องเมื่อครู่ แสงไฟสว่างวาบจากซุปเปอร์มาร์เก็ตแห่งนี้ ไม่ได้ช่วยจุดความสดใสขึ้นในใจเขาได้เลย แม้แต่มินเอง แค่เห็นก็อดเศร้าตามไม่ได้ คนตัวใหญ่รีบเดินตามหลังแผ่นหลังห่อเหี่ยว แล้วคว้าข้อมือเล็กไว้ ก่อนจะไปถึงตะกร้าสีเงินติดสนิม ใช้ความที่แรงเยอะและตัวสูงใหญ่กว่ามาก ช้อนร่างตรงหน้าขึ้นมา ท่ามกลางสายตาของพนักงานสองสามคนแถวนั้น

“เฮ้ยย!”

อตินร้องลั่น ก่อนจะรีบหุบปากลง เมื่อเห็นว่าเริ่มมีสายตาจับจ้องมามากขึ้น แขนบางทั้งสองข้างเกี่ยวต้นคอหนาของคนแกล้งเอาไว้แน่น กลัวว่าจะตกลงไป พยายามกระซิบลอดไรฟันออกมาอย่างนึกโมโห

“เล่นบ้าอะไร มิน”

“ก็ไม่อยากให้เศร้านี่” คนเด็กกว่าหัวเราะคิกคัก ก่อนจะอุ้มอตินลงไปกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่ภายในรถเข็นคันพอดีตัว

“โอ้ย!”

พอคิดจะลุกขึ้นหนี หัวก็ดันโขกกับที่นั่งพับสำหรับเด็กเสียงดังปัก จนต้องก้มลงไปคุดคู้เหมือนเดิม พอเห็นจังหวะเหมาะ มินเลยเข้ามาเข็นรถออกทันที ไม่ได้สนใจว่าคนด้านในจะตีสีหน้าโวยวายขนาดไหน

“ไอ้บ้ามิน! หยุดนะ”

“อะไรนะ เร็วขึ้นอีกหรอ”

น้องเล็กแสนดีค่อยๆ กลายเป็นปิศาจ แสร้งว่าฟังไม่ถนัด แล้วยิ่งเข็นรถเร็วขึ้น จนอตินไม่กล้าแม้แต่ขยับนิ้ว เอาแต่เกาะขอบรถทั้งสองข้างไว้แน่น ในใจเต้นรัว ไม่รู้ด้วยกลัวหรือเริ่มสนุกขึ้นมากันแน่ แต่ที่แน่ๆ น่ะ อาย! ถึงตอนนี้จะแทบไม่มีคน แต่ที่ยังเหลือ ก็หันมองพวกเขากันเป็นสายตาเดียว บ้างหันไปซุบซิบกับคนที่มาด้วย บ้างก็แค่มองด้วยสายตาแปลกๆ แต่หนักหน่อยก็คือยัยเด็กผู้หญิงในชุดนักเรียนตรงแผนกขนมเมื่อกี้ ที่ถือวิสาสะยกมือถือขึ้นมาถ่ายรูปไว้เฉยเลย บ้าเอ๊ย

“ไอ้หมีบ้า ลงไปได้ นายตายแน่!”

อตินตะโกน ทั้งที่ยังไม่ยอมปล่อยมือ หรือแม้แต่หันหน้าไปอีกทาง นั่นยิ่งทำให้มินหัวเราะร่า ก่อนจะค่อยๆ ชะลอความเร็ว และเดินเลือกซื้อของไปเรื่อย โดยมีอตินที่เริ่มสงบลง (หรือปลงแล้วก็ไม่รู้) คอยบอกรายการสินค้าตามที่น็อตจดใส่กระดาษมาให้ ไม่นานนักก็ได้ของครบ คนตัวสูงเข็นรถเข็นเข้าไปจอดเทียบเคาน์เตอร์ ทั้งที่ยังมีอตินนั่งกอดข้าวของอยู่ข้างใน ทำเอาพนักงานแถวนั้นต้องกลั้นขำกันเป็นแถบ

“เอาเราลงได้แล้ว”

คนในรถเข็นตีแก้มป่องบอกอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงโมโห ติดจะเขินหน่อยๆ หลังจากคิดเงินเรียบร้อยแล้ว มินเลยยอมอุ้มอตินลงมาจากรถเข็นอย่างระวัง พอเท้าแตะพื้นได้เท่านั้นแหละ มือเล็กก็ตรงเข้าฟาดแขนเขาอย่างแรง แบบไม่คิดเกรงใจกันเลย สงสัยจะแค้นมาก แต่มันสนุกดีนี่น่า ถ้ารู้ว่าแกล้งอตินแล้วจะได้เห็นหน้าน่ารักๆ แบบนี้ เขาแกล้งทุกวันไปนานแล้ว แต่ยังไงก็เหอะ เมื่อกี้ที่ทำไป ก็เพื่อให้อตินเลิกคิดมากเรื่องตอนบ่ายเท่านั้นเอง

“จะฟ้องพี่ๆ ให้หมดเลย” อตินยังคงพูดถึงเรื่องที่โดนมินแกล้งในซุปเปอร์มาร์เก็ต ระหว่างเดินกลับไปที่บ้าน แม้ว่าส่วนลึกในใจจะรู้สึกอุ่นๆ เพราะรู้ดีว่า มินทำไปเพื่อช่วยให้ตัวเองร่าเริงขึ้น ส่วนเจ้าตัวน่ะ ไม่คิดจะสำนึกบ้างเลย เอาแต่ยืนยิ้มเหมือนคนบ้าตลอดทาง

ใบหน้าหวานที่บัดนี้กลับบูดบึ้ง แก้มป่องๆ นั่นยิ่งดูน่าหยิกมากขึ้นอีกในยามนี้ ลมเย็นของช่วงเวลาหัวค่ำเริ่มพัดมากระทบผิว บวกกับความเงียบที่ค่อยๆ โปรยตัวลงทั่วบริเวณ ทำเอาปลายนิ้วทั้งสิบเริ่มชาขึ้นทีละน้อย มินที่ยังคงไม่ละสายตาออกจากภาพคนข้างตัว สูดหายใจเข้าลึกสุดปอด ก่อนจะเสี่ยงเอ่ยถามบางอย่างออกมา

“อติน...”

“หือ?”

“เรา....ขอจับมือได้ไหม?”

พอพูดออกไปแล้ว ถึงรีบเบือนหน้าหนี ไม่กล้าสบตาคู่สวยที่กำลังหันมามอง นิ้วเรียวยกขึ้นเกาแก้มตัวเองเบาๆ แก้เขิน ทำเอาอตินอดยิ้มตามไม่ได้ ใครกันเคยเตือนว่าไม่อยากให้เขาแตะเนื้อต้องตัวคนอื่น แต่กลายเป็นว่าหลังจากปรับความเข้าใจกัน ดูเหมือนมินจะติดการจับมือเขาเอาซะมากๆ ซึ่งเขาเองก็ยินดีด้วย เพราะมันทำให้รู้สึกว่าเขาได้เป็นฝ่ายดูแลมินบ้าง ไม่ใช่ปล่อยให้คนเด็กกว่ามาประคบประหงมตลอด

“ไม่เอา”

แกล้งตอบเสียงเรียบ พลางตีหน้าบึ้งเหมือนเก่า ทำเอาคนข้างๆ รีบหันควับกลับมา ใบหน้าซีดจนแทบกลั้นขำไม่อยู่ ดวงตาเป็นประกายหมองลงในทันที ดูแล้วน่าสงสารยังไงบอกไม่ถูก เลยต้องรีบแก้คำ ก่อนจะมีใครเก็บไปร้องไห้คนเดียว

“ล้อเล่นน” อตินลากเสียง ก่อนยิ้มตาหยีเลียนแบบคนตัวสูง ค่อยๆ กระแซะเข้าไปใกล้ แล้วเป็นฝ่ายคว้ามือใหญ่มากุมไว้แน่น สังเกตเห็นใบหน้าที่ขึ้นสีเลือดชัดเจนของอีกฝ่าย

ทั้งสองคนเดินจับมือกันไปตลอดทางจนถึงบ้าน แจนเป็นคนออกมาเปิดประตูให้ พยายามไม่แสดงสีหน้าแซว หลังจากเหลือบลงไปเห็นมือสองขนาดที่กำลังกอบกุมกันอยู่ อตินเดินลากมินเข้าไปจนถึงโซฟากลางบ้าน ก็เห็นซันกำลังนั่งซ่อมตุ๊กตาไม้อยู่พอดี

“น้องหมา!”

อตินร้องเมื่อเห็นตุ๊กตาชิ้นสำคัญที่เพิ่งพังไป กลับมายืนสี่ขาบนโต๊ะได้เหมือนเดิม คนตัวเล็กเผลอปล่อยมือจากมิน แล้วรี่เข้าไปชื่นชมผลงานของซันทันที คงไม่รู้หรอกว่า แค่นั้นก็ทำให้มินน้อยใจแค่ไหน แต่เพราะยังไม่กล้าพอที่จะสูญเสียความเป็นเพื่อนไป จึงยังไม่กล้าพอที่จะแสดงออกมากมายอะไร... ได้แต่เดินเอาของไปเก็บและเข้าห้องนอนอย่างเงียบเชียบ โดยมีสายตาเห็นใจจากแจนมองดูอยู่ไกลๆ เท่านั้น

“ไม่ใช่แค่น้องหมานะ” ซันเกริ่น แล้วหันไปหยิบอะไรบางอย่างข้างตัวขึ้นมาอวดอย่างภูมิใจ ดวงตาใคร่รู้ของอตินเบิกกว้างจนแทบกลิ้งออกมานอกเบ้าเมื่อเห็นว่าของในมือนั้นเป็นอะไร

“มีน้องอตินด้วย”

“เฮ้ย น่ารักอ่า” คนตัวเล็กร้องมีความสุข พลางยื่นมือออกไปยกตุ๊กตารูปตัวเองขึ้นมาพิจารณาใกล้ๆ รอยยิ้มกว้างผุดขึ้นมาอย่างหุบไม่อยู่ โดยไม่ทันสังเกตเลยว่า คนที่หุบยิ้มไม่อยู่จริงๆ คือผู้ชายข้างตัวต่างหาก

“ชอบมากเลย ขอบคุณนะครับ”

“อื้อ เดี๋ยวเอาไปวางรวมกับของทุกคนเลยนะ”

“ครับ”

“ไปอาบน้ำ กินข้าว แล้วพักผ่อนเถอะ” ซันโบกมือไล่ ถึงจะอยากอยู่ด้วยกันนานๆ แต่ก็คิดว่าอตินน่าจะเหนื่อยแล้ว ทั้งเจอเหตุการณ์เมื่อตอนบ่าย เครียดที่โดนน็อตดุ แล้วยังออกไปซื้อของจนเกือบค่ำอีก

หลังจากอยู่รอจนแน่ใจว่าอตินกลับเข้าห้องแล้ว เขาถึงลุกขึ้นเก็บกวาดของกลับห้องนอนตัวเองเหมือนกัน หลังจากเหตุการณ์วันนี้ที่อตินพยายามปกป้องสิ่งสำคัญของเขาไว้ มันทำให้เขายิ่งสับสน ไม่มั่นใจในความรู้สึกของตัวเองที่มีต่ออตินเท่าไรนัก ทั้งที่แค่อยากเอาชนะอย่างทุกที แต่พักหลังมานี้ เขาเริ่มรู้สึกว่ามันไม่ใช่ ไม่ใช่ว่าคอยอยู่ใกล้ เพียงเพื่อต้องการเรียกร้องความสนใจ เขาแค่คิดว่า...อยากดูแล อยากปกป้อง อยากอยู่ข้างๆ แค่มีความสุขเวลาได้เห็นใบหน้านั้น ดีใจทุกครั้งที่อีกฝ่ายส่งยิ้มให้...

 

ไม่ได้ชอบถูกรุมล้อม ถึงอยากให้คนคนนั้นมาสนใจ

แต่อยากได้รับความสนใจ แค่เพราะว่าชอบคนคนนั้น

 

มันใช่ใช่ไหม ซัน? เขาก็แค่ชอบอตินเท่านั้นเองใช่ไหม...?

 

“มาร์ช” คนถือของพะรุงพะรัง เอ่ยเรียกรูมเมทที่กำลังนั่งเช็ดหัวหลังจากสระผมอยู่บนเตียง เดินไปเก็บอุปกรณ์ไม้ให้เรียบร้อย แล้วก็โดดขึ้นเตียงตัวเองบ้าง

“อะไร?”

“มึงว่ากูชอบอตินปะ?” คำถามที่ฟังดูโง่เง่า แต่กลับสะกิดใจคนฟังเข้าเต็มเปา มาร์ชเงยหน้าขึ้นมองซัน ซึ่งกำลังเกาหัวตัวเองอย่างคนสับสน

“กูจะไปรู้มึงหรอ ก็เห็นมึงม่อทุกคน”

“แต่คนนี้มันไม่ใช่นะ กูไม่เคยเป็นแบบนี้...”

“ยังไง?”

“ก็.....ปกติกูเข้าหาคนอื่น เพราะอยากทำให้ตัวเองรู้สึกดี”

ซันพยายามเรียบเรียงความรู้สึกในหัวออกมาเป็นประโยคให้เข้าใจง่ายที่สุด และนี่ก็คือสิ่งที่ชัดเจนในความคิดของเขาตอนนี้ เพราะทุกทีที่คอยใกล้ชิดใครต่อใคร ก็เพียงเพื่อให้ตัวเองได้รับความสนใจ ให้ตัวเองรู้สึกสนุก แต่กับอตินน่ะ มันแตกต่างออกไป และก็เป็นสิ่งที่เขาเพิ่งเข้าใจเมื่อไม่นานมานี้เอง

“แต่กูแค่เข้าหาอติน...เพราะอยากทำให้เขารู้สึกดี นะ”

มาร์ชนิ่งไปหลังจากฟังจบ อะไรบางอย่างกำลังบอกเขาว่า ซันไม่ได้ล้อเล่น และตอนนี้มันไม่เหมือนเดิม เขาคอยนั่งฟังและปรึกษาเรื่องเด็กในเล้าของคนตรงหน้ามาก็มาก ทุกครั้งเอาแต่โอ้อวดความเก่งกาจในการเอาชนะใจของตัวเอง น่าเบื่อจะตาย แต่คราวนี้อย่างกับคนละคน เหมือนลูกหมาที่หาทางออกไม่ได้ เอาแต่ร้องหงิงๆ ขอความช่วยเหลือ สายตามุ่งมั่นของซันไม่มีอยู่ ที่เขาเห็นก็คือสายตาอันแสนสับสนที่เอาแต่กลอกไปมาเหมือนคนคิดหนัก แก้มสีขาวเหลืองนั้น ค่อยๆ ขึ้นสีระเรือทุกครั้งที่ต้องพูดถึงชื่ออติน แม้แต่ซันเองก็คงไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ ว่ากำลังมีท่าทีแปลกไปมากขนาดไหน

ดูเหมือนว่าครั้งนี้ ซันจะไม่ได้แค่เล่นๆ เหมือนเด็กคนอื่นที่ผ่านมาทั้งหมด ไม่ใช่แค่อยากเรียกร้องความสนใจธรรมดา ไม่ใช่การถูกอกถูกใจ ไม่ใช่การเล่นสนุก ไม่ใช่การเอาชนะอีกต่อไปแล้ว แบบนี้น่ะ...เขาเรียกว่า ตกหลุมรัก

“เลี่ยนว่ะ” สุดท้าย เขาก็ทำได้แค่พูดอะไรสักอย่างออกไป เล่นเอาคนคิดมากรีบโวยขึ้นมายกใหญ่ พลางใช้สองมือกุบขมับตัวเองแน่น

“โหมึง กูเครียดอยู่นะเนี่ย”

“ความรู้สึกมึงเอง ก็ถามตัวเองสิวะ”

คนโดนตอกถึงกับเงียบ วินาทีแรกกะว่าจะโต้กลับ แต่ก็คิดได้ว่าอีกฝ่ายพูดจริง เรื่องแบบนี้ปรึกษาไปก็เท่านั้น ยิ่งกับมาร์ชนี่ไม่ต้องพูดถึง ปรึกษาอะไรมากี่ครั้งไม่เคยได้ผล นอกจากได้ระบายเฉยๆ แต่คราวนี้เขาต้องทำมันให้ชัดเจน ด้วยตัวเอง...

ซันเงียบไปหลายนาทีจนผมที่เคยเปียกแฉะของมาร์ชแห้งสนิท เตรียมตัวเข้านอน ขณะกำลังจัดหมอนให้เข้าที่เข้าทาง เสียงราบเรียบของเพื่อนร่วมห้องจอมป่วนที่วันนี้ดูงุนงงกับชีวิต ก็ดังขึ้นขัดซะก่อน

“แล้ว...ถ้ากูจะจริงจังกับอติน จริงๆ ล่ะ?”

เป็นอีกครั้งที่คำถามของซันทำให้เขาต้องชะงัก ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกหน้าชาแปลกๆ ทั้งที่ไม่ควรจะรู้สึกอะไร แต่ทำไมมันถึงปวดหนึบบริเวณอกซ้ายขึ้นมาซะล่ะ ทำไมถึงต้องหงุดหงิดจนแทบเก๊กหน้าไม่อยู่แบบนี้ ไม่ตลกเลยนะ ก็แค่เพื่อนจะชอบพอกับเด็กนั่นแล้วมันยังไง ไม่เห็นต้องใส่ใจสักหน่อย...

“มาร์ช?” ซันเรียกชื่อเขาอีกครั้ง เมื่อเห็นว่านิ่งเงียบไป ทำให้ต้องรีบคิดคำพูดตอบกลับ เพื่อไม่ให้เกิดความแคลงใจขึ้น

“กูก็คงดีใจด้วย...ในที่สุดมึงก็เจอคนที่รักจริงๆ สักที”

“เออ งั้นกูจะจีบอติน จีบจริงๆ”

“เรื่องของมึง...แต่จำไว้ซัน ถ้ามึงรักอตินจริง อย่ามองว่าเป็นของเล่น...อย่าทำให้เขาเสียใจ”

คนเด็กกว่าเงยหน้ามองมาร์ชแวบหนึ่ง ก่อนที่อีกฝ่ายจะรีบหลบสายตาไป น่าแปลกใจที่มาร์ชมาพูดอะไรแบบนี้ ร้อยวันพันปีไม่เคยให้คำแนะนำอะไรสักอย่าง แต่เมื่อกี้มันกลับฟังดูจริงจังจนน่าสงสัย อย่าทำให้อตินเสียใจงั้นเหรอ...เหอะ มาร์ชคนที่เอาแต่ดุตีอติน มีสิทธิ์พูดแบบนี้หรือไงกัน แต่ก็เอาเถอะ ถือว่ายังดีที่มาร์ชช่วยเสนออะไรออกมาบ้าง ดีกว่านั่งเงียบเหมือนทุกที

“กูไม่ใช่มึงนะ กูไม่ทำให้อตินเสียใจแน่”

ซันพยายามพูดติดตลก รู้สึกโล่งใจขึ้นมากหลังจากได้ระบายความรู้สึกออกมาและรับรู้ใจตัวเองเสียที ไม่สังเกตเลยว่าอีกคนในห้องกลับมีสีหน้าไม่ค่อยดี มือใหญ่กำแน่นราวกับกำลังเก็บกั้นบางอย่าง ก่อนจะรีบล้มตัวลงนอนเพื่อซ่อนสีหน้าหงุดหงิดของตัวเองไว้ คำสุดท้ายที่ตอบออกไป พยายามควบคุมน้ำเสียงให้เป็นปกติที่สุด

“อือ...กูเชื่อ”

ใช่...เพราะซันไม่ใช่เขา ที่เอาแต่ทำให้อตินเสียใจ ถ้าเป็นซันคงทำได้ดีกว่า คงดูแลเด็กคนนั้นได้ดีกว่า.....
หัวข้อ: Re: ♡♡ ในร้านกาแฟ ♡♡ by「aonair」 UP! บทที่ 7
เริ่มหัวข้อโดย: aonair13 ที่ 18-04-2016 18:10:24
9

แกร๊ก

เบสยืนงง เมื่อหมุนลูกบิดเข้าร้านได้ง่ายๆ รีบหันมองสมาชิกคนอื่น เพื่อเช็คให้แน่ใจว่าเมื่อคืนไม่ได้มีใครลืมล็อกประตู จนเมื่อแจนเหลือบไปเห็นกระดานเมนูที่ถูกนำออกมาตั้งไว้หน้าร้าน พร้อมข้อความผิดปกติบางอย่าง

“วันนั้นของเดือน!”

สิ้นเสียงตกใจ ทุกคนก็รีบหันไปมองป้ายดังกล่าว เกือบลืมไปว่านี่มันก็หนึ่งเดือนผ่านมาแล้ว ไม่รู้คราวนี้วาโยจะมาไม้ไหนอีก ตัวอักษรสีขาวถูกเขียนไว้ด้วยชอล์ค อ่านได้ว่า ‘Neko de Sept’ เนโกะ ที่แปลว่าแมวน่ะเหรอ?

“แมว?”

“หูแมว?”

หลายคนเริ่มส่งเสียงออกความคิดเห็น ก่อนจะหันมองหน้ากันเลิ่กลั่ก พอได้ยินเสียงกุกกักดังลอดออกมาจากในร้าน จึงรีบปราดเข้าไปหาต้นตอความสงสัยทันที วาโยกำลังยืนยิ้มรออยู่บริเวณเคาน์เตอร์ เหลือบเห็นซองใสทั้งหมด เจ็ดซอง วางอยู่ใกล้ๆ กัน จนมินน้องเล็กถึงกับกลืนน้ำลายหนืดลงคออย่างยากลำบาก

“สวัสดีครับ”

“คุณวาโย สวัสดีครับ”

“สวัสดีทุกคน”

วาโยยกมือขึ้นรับไหว้จากเด็กๆ ที่ค่อยทยอยมายืนเรียงหน้ากระดาน หน้าตาใคร่รู้ระคนหวาดกลัวส่อออกมาให้เห็น ทำเอาเขาหลุดหัวเราะออกมาน้อยๆ ก่อนจะเดินไปหยิบของในซองที่เตรียมไว้ขึ้นมาแจกให้เป็นรายคน พร้อมอธิบายธีมงานสำหรับวันพิเศษของเดือนนี้ให้ฟัง

“เดือนนี้จะเป็นแมว แค่ต้องใส่หูแมวกับหางแมวเท่านั้นเอง”

พยายามปลอบประโลมด้วยน้ำเสียงใจดี แต่ก็ไม่ได้ทำให้มิน แจน มาร์ช กับอตินรู้สึกดีขึ้นเลย ผิดกับสามคนที่เหลือซึ่งดูโล่งใจแถมยังออกจะดี๊ด๊าซะอีก แต่พูดก็พูดเถอะ คราวนี้ถือว่าเบามากแล้วจริงๆ นั่นแหละ คงเพราะว่าเป็นครั้งแรกของอตินด้วยล่ะมั้ง เลยยังไม่กล้าให้ทำอะไรบ้ามากไป

“เบส วันนี้ก็ขอฝากร้านด้วยนะ ฉันจะออกไปทำธุระ”

“ครับ”

หัวหน้าพนักงานรับคำเสียงแข็งขัน จนเมื่อวาโยเดินออกไปพ้นประตูร้าน ทุกคนจึงเริ่มหันมาสนใจซองในมือ ในแต่ละซองจะมีที่คาดผมหูแมว กับตะขอหางแมวไว้เกี่ยวกับกางเกง ลายของแมวแต่ละตัวก็แตกต่างกันออกไป อย่างเช่นของมาร์ช จะเป็นแมวลายเสือ ของเบสเป็นแมวดำ มินเป็นแมวสามสี อะไรแบบนี้ แต่ที่น่าสนใจน่ะคือซองของอตินมากกว่า เพราะนอกจากที่คาดผมกับตะขอหางสีขาวล้วนแล้ว ยังมีของอีกอย่างหนึ่งเพิ่มขึ้นมาจากของคนอื่น ซึ่งนั่นก็ทำเอาคนตัวเล็กอยากกรีดร้องเลยทีเดียว

“ปลอกคอนี่น่า”

น็อตทักขึ้น หลังจากเห็นว่าของชิ้นที่สามคืออะไร ปลอกคอสีครีม ติดกระดิ่งขนาดเท่าลูกตาสีทอง รอบวงน่าจะพอดีสวมคอเล็กๆ ของอตินได้ไม่ยาก คนอื่นเองก็พลอยสนใจไอเทมลับสำหรับเด็กใหม่ชิ้นนี้เหมือนกัน ถ้าสังเกตดีๆ มันจะไม่ได้มีแค่สายตางุนงงสงสัย แต่ยังมีสายตาจากซันกับมิน ซึ่งแฝงไปด้วยประกายแปลกๆ เหมือนยินดีกับปลอกคออันนี้ซะเต็มประดาอีกด้วย

“ทำไมผมมีคนเดียวอ่า” อตินร้องประท้วง รีบชะโงกคอมองซองของคนอื่นๆ ที่ไม่มีความผิดปกติใด

“โดนคุณวาโยแกล้งอะสิ” เบสแกล้งพูด จนอตินต้องหันไปตีแก้มป่องใส่ ไม่ตลกเลยนะเจอแบบนี้ “งั้นพี่เบสเอาไปใส่ไหม?”

“ไม่เอาหรอก อตินใส่แหละ เหมาะสุดแล้ว”

“หมายความว่าไงฮะ”

คนตัวเล็กเริ่มงอแง จนหัวหน้าเบสอดหมั่นเขี้ยวไม่ได้ เดินไปหยิกแก้มป่องๆ ทั้งสองข้างเล่นอย่างนึกเอ็นดู พลางยิ้มร่าจนฟันหน้าแทบจะเฉาะจมูกเด็กน้อย สักพักซันก็เข้ามาแยกทั้งคู่ออก แล้วแกล้งเอาหลังมือเช็ดแก้มอตินให้ เรียกเสียงหัวเราะจากสมาชิกบางคนได้เล็กน้อย

“แล้วเราต้องแต่งกันวันนี้เลยหรอครับ?” อตินถามขึ้น เพราะยังไม่เคยรู้รายละเอียดเกี่ยวกับวันนี้เท่าไรนัก น็อตก็เลยอาสาอธิบายให้เด็กใหม่ฟัง พอดีกับที่ไล่ให้คนอื่นแยกย้ายกันไปเตรียมเปิดร้าน

“เราจะแต่งกันมะรืนนี้ พอได้รับโจทย์แล้วก็จะมีการโปรโมตหน้าร้านกับทาง SNS ทิ้งช่วงสองวัน เพื่อให้คนเข้ามาจองที่นั่งกับเวลา”

“โห จริงจังขนาดนั้นเลยหรอครับ”

“ก็มันพิเศษนี่นะ พวกลูกค้า โดยเฉพาะผู้หญิง จะลุกหือกันมาจองจนวุ่นเชียวล่ะ”

“อย่างงี้ต้องเหนื่อยมากแน่เลย” คนตัวเล็กเริ่มจินตนาการไปถึงบรรยากาศของวันนั้น มันคงวุ่นวายน่าดู ในขณะที่ลูกค้าจะล้นหลามกว่าทุกที เขากลับต้องมาแต่งตัวน่าอายต้อนรับแขกเนี่ยนะ แค่คิดก็เศร้าแล้ว

“มากๆ เลยแหละ แต่เราก็ทำเงินได้มากกว่าปกติถึง 4-5 เท่าเลยนะ”

“จริงหรอครับ ลูกค้ามากขนาดนั้นเชียว”

“ไม่ใช่แค่ลูกค้าเยอะ แต่วันนั้นจะมีบริการพิเศษด้วย ให้ลูกค้าสามารถเรียกเซอร์วิสจากพนักงานได้ในราคา 500 บาทต่อคน ต่อครั้ง”

“เซอร์วิส?” อตินเอียงคอถามกลับอย่างสงสัย ทำให้น็อตต้องรีบขยายความ เล่าไปก็ขนลุกไป นึกไม่ออกว่าคราวนี้ลูกค้าจะขออะไรพิสดารอีกหรือเปล่า

“อืม คือให้ขอหรือสั่งอะไรก็ได้ อย่างเช่นขอถ่ายรูปคู่พนักงาน ขอหอมแก้ม หรือให้พนักงานเล่นกันเอง อย่างให้พวกเราสองคนกินป็อกกี้โชว์อะไรเทือกนั้นอะ”

“โอ้โห แบบนี้จะไม่โดนอะไรแปลกๆ เหรอครับ”

“ก็มีบ้างนะ ถ้าสั่งอะไรพิลึกเกิน เราก็อาจจะพิจารณาขอไม่รับได้”

ทั้งสองคนนั่งปรึกษากันต่ออีกสักพัก พนักงานคนอื่นก็จัดร้านเสร็จเรียบร้อย เตรียมสลับป้าย OPEN ออกได้ ตลอดวันอตินก็ยังคงเอาแต่คิดมากเรื่องวันนั้นของเดือน กับการต้องแต่งตัวอย่างที่ไม่เคยครั้งแรก แถมยังโดนแกล้งให้ใส่ปลอกคอเพิ่มกว่าคนอื่นอีก ไม่ยุติธรรมเลย นี่ต้องใส่จริงๆ ใช่ไหม แล้วจะโดนอะไรบ้างก็ไม่รู้ ฮืออ..

 

“อติน น่ารัก!”

ซันกรีดกรายเข้าไปหยิกแก้มอติน ทันทีที่เจ้าตัวเดินออกมาจากห้องเปลี่ยนเสื้อ ยูนิฟอร์มพนักงาน ที่บัดนี้มีหู หาง และปลอกคอน้องแมวเสริมเข้ามา ยิ่งทำให้คนตรงหน้าดูน่ารักน่าชังไปใหญ่ แม้ว่าอีกฝ่ายจะเอาแต่ทำหน้าบูดบึ้งก็เถอะ

“พี่ซันอ่า” คนตัวเล็กส่งเสียงร้องไม่พอใจ เมื่อจู่ๆ ซันก็ดึงตัวเขาเข้าไปกอดไว้แน่น ปากเอาแต่พูดว่า น่ารักๆ ไม่หยุดสักที ถามสิว่ามีผู้ชายกี่คนชอบที่จะได้ยินคำชมแบบนี้บ้าง!

“อตินนี่น่ารักจริงๆ เลยน้า” เบสเป็นอีกคนที่เอ่ยปากชม พลางส่งสายตามองมาไม่หยุด สักพักน็อตก็เดินมาช่วยดึงซันออกไปให้ แล้วยกมือขึ้นลูบผมเขาอย่างนึกเอ็นดู

“แต่งแบบนี้แล้วน่ารักเชียวนะ”

“โดนชมแบบนั้น ผมไม่ดีใจเลยนะครับ”

“ก็น่ารักจริงๆ นี่”

มินช่วยเสริมขึ้นมา ทำให้อตินรีบตวัดสายตาดุดันไปให้ แต่กลับทำเอาน้องเล็กยิ่งยิ้มร่าเข้าไปอีก พอเห็นท่าไม่ดี เลยลองหันไปหาความช่วยเหลือจากแจน ถึงอย่างนั้นก็ยังได้ยินแต่คำเดิมๆ ซึ่งชวนให้หงุดหงิดเหลือเกิน

“น่ารักดีออก”

“โห ไรอะ”

อตินทำแก้มป่องอีกครั้ง ท่ามกลางเสียงหัวเราะชอบใจของสมาชิกเกือบทุกคน สุดท้ายเลยลองเสี่ยงหันไปหามาร์ช ที่ดูไม่ค่อยสนใจเขาเท่าไรนัก คนหัวแดงมองกลับมานิ่งๆ รู้สึกเหมือนใจกระตุกไปวูบหนึ่งยามเมื่อโดนดวงตากลมโตคู่นั้นจ้องมา รีบตีสีหน้าดุๆ ไม่ให้ใครจับสังเกตได้เรื่องที่เขาเองก็มองว่า เด็กใหม่ในคราบลูกแมวนี่ ก็ดูน่ารักอยู่เหมือนกัน

“มองอะไร คิดว่าทำแบบนั้นแล้วน่ารักมากหรอ”

คนโดนตอกกลับทำปากยื่นไม่พอใจ หลังจากได้ยิน รีบหันหลังหนีไปจัดโต๊ะเตรียมต้อนรับลูกค้าทันที ก็ดีแล้วนี่ที่เขาไม่บอกว่าน่ารักให้รู้สึกแขยงตัวเอง แต่ทำไมถึงรู้สึกหน้าชาๆ แบบนี้ล่ะ ก็รู้ว่าไม่ได้น่ารักในสายตามาร์ชหรอก แล้วทำไมต้องพูดตรงขนาดนั้นด้วย บางทีถ้ามาร์ชเป็นคนชมเขา ไม่ใช่คนอื่นๆ เขาอาจจะรู้สึกดีก็ได้...อาจจะอยากน่ารักขึ้นมาก็ได้...

ไม่นานนัก ลูกค้าก็เริ่มทยอยเข้ามาในร้านตามที่ได้จองเวลาไว้ แอบเห็นว่ามีหลายคนยังคงยืนรออยู่ด้านนอก อาจจะเป็นพวกจองไม่ทัน หรือเป็นลูกค้าที่รอรอบต่อไป โดยลูกค้าโต๊ะหนึ่ง จำเป็นจะต้องจำกัดให้นั่งได้ไม่เกิน 1 ชั่วโมง จากความฮอตฮิตของวันพิเศษประจำเดือนนี้

“ลาเต้สองแก้วจ้า”

“ลาเต้สองแก้วนะครับ” อตินยิ้มให้พี่สาวสองคนที่กำลังนั่งหน้าบานมีความสุขอยู่บนโต๊ะติดกระจก พลางจดออเดอร์ลงบนกระดาษอย่างรวดเร็ว

“อติน น่ารักจังเลย ขอถ่ายรูปด้วยนะจ๊ะ” หนึ่งในสองพูดขึ้น พอดีกับที่แบงค์ห้าร้อยถูกยื่นออกมา

“ครับ”

อตินก้มหัวรับเงินไว้แล้วชะเง้อคอขึ้นมองหามิน พอคนตัวสูงเห็นเข้า จึงรีบวิ่งตรงมาพร้อมกล้องโพลารอยด์ในมือ พี่ผู้หญิงทั้งสองคนลุกขึ้นจัดแจงเสื้อผ้าหน้าผมให้ดี แล้วเข้ามาควงแขนอตินทั้งสองข้าง คนตัวเล็กได้แต่ยิ้มแห้งๆ เพราะเกิดมาก็ไม่เคยเจอแบบนี้ ทันทีที่มินเริ่มนับ เกือบทั้งร้านก็หันมามองเป็นตาเดียว พอยื่นภาพถ่ายต่อให้ลูกค้าแล้ว ก็รีบเอาออเดอร์ไปส่งเคาน์เตอร์ ก่อนจะออกมาดูแลโต๊ะอื่นต่อไป วนลูปอย่างนี้ไปเรื่อยๆ สลับสับเปลี่ยนกันไป ขนาดมาร์ชที่คอยคุมเคาน์เตอร์ตลอดเวลา วันนี้ยังต้องยอมผละออกมาบริการลูกค้าตามโต๊ะเช่นกัน

“พี่ซัน ขอกอดหน่อยน้า”

“อ..อื้อ มาเลยๆ”

ซันกวักมือเรียกผู้หญิงคนหนึ่ง ท่าทางยังเป็นนักเรียนมัธยม หลังจากได้รับเงินค่าเซอร์วิสจากเธอมาแล้ว ถ้าเป็นปกติเขาคงเริงร่า แต่ตอนนี้กลับไม่กล้าทำตัวอ้อล้อเหมือนเก่า สายตาคมเหลือบไปด้านหลัง เพื่อมองหาอติน เด็กใหม่ที่กำลังรอรับเครื่องดื่มจากน็อตเองก็หันมาสบตาซันเข้าพอดี ได้แต่ส่งยิ้มสนับสนุนให้ ดูไม่เดือดร้อนเท่าไร ทั้งที่ตัวเขาน่ะ อยากจะเดินไปบอกซะเดี๋ยวนี้ว่าไม่มีอะไรกับยัยเด็กผู้หญิงนี่นะ

“อติน” เสียงเบสดังขึ้นข้ามร้าน หลังจากที่อตินเพิ่งยกน้ำไปเสิร์ฟที่โต๊ะหนึ่ง พอวิ่งตามเสียงเรียกไปก็พบมินยืนรอถ่ายภาพอยู่ กับผู้หญิงแก๊งใหญ่

“ถ่ายรูปหรอครับ?”

“อื้อ พี่กับอติน”

“ครับ?” ตีสีหน้าคำถามทันทีที่ได้ยินแบบนั้น เบสกับอตินงั้นเหรอ เขานึกว่าพี่ผู้หญิงกลุ่มนี้จะมาขอถ่ายภาพด้วยกันซะอีก จะเอาแค่รูปพนักงานไปทำไม เปลืองเงินอะ เหมือนไม่ได้ฟินอะไรเลยสิ

“ทำรูปหัวใจด้วยน้า”

“จ้าๆ”

เบสพยักหน้าใส่กลุ่มสาวๆ ที่เริ่มหัวเราะคิกคัก ก่อนจะหันมาคว้าคออตินเข้าไปใกล้ อย่างน้อยรอยยิ้มสดใสของหัวหน้าพนักงานคนนี้ก็ทำให้เขาไม่รู้สึกตกใจกลัวเท่าไร มือข้างหนึ่งของเบสยกขึ้นทำเป็นรูปครึ่งหัวใจ ส่วนเขาก็ทำเหมือนกันอีกข้างหนึ่ง พอเอามาต่อกันแล้ว จึงหันหน้าเข้าหาชัตเตอร์ รู้สึกแปลกดีเหมือนกัน ที่ต้องมาทำอะไรแบบนี้ คิดดูสิ ถ้าลูกค้าไม่ขอ ชาตินี้เขาคงไม่ทำท่าหัวใจกับเบสหรือใครๆ หรอก

“นี่ครับ” มินส่งรูปถ่ายให้กับคนหนึ่งบนโต๊ะ ทำท่าจะเดินจากไป แต่ก็ถูกรั้งไว้อีกครั้งด้วยแบงค์สีม่วงอีกใบ

“เดี๋ยวก่อน มิน อติน...กอดกันให้ดูหน่อยสิ”

“หือ?” เอาจริงดิ ขอให้เขากับมินกอดกันให้ดูเนี่ยนะ แม่เจ้า คิดอะไรอยู่ บ้านผลิตเงินเองหรอ เอา 500 บาทมาแลกกับการนั่งดูผู้ชายสองคนกอดกันเพื่ออะไรอะ เขาล่ะงงกับลูกค้าแต่ละคนจริงๆ ให้ตายเหอะ

“กอดกัน...สิบวิ”

“จ่ายมา 500 เอาไป 5 วิพอ”

เบสที่ยังไม่ได้เดินไปไหน เป็นฝ่ายช่วยต่อรองให้ หนึ่งเพราะสงสารเด็กทั้งคู่ และสองยังเป็นการลดทอนการเสียเวลากับลูกค้าโต๊ะนี้ด้วย พวกผู้หญิงหันมองหน้ากันเลิ่กลั่ก สุดท้ายก็ยอมรับข้อตกลง ต่างลุกขึ้นมายืนลุ้นด้วยใบหน้าท่าทางแปลกๆ เหมือนจะมีความสุขกันนักหนา บ้าชะมัดเลย

“กอดๆ เดี๋ยวพวกพี่จะนับ” ผู้หญิงหนึ่งในนั้นบอกเสียงตื่นเต้น เขาเลยต้องจำใจหันไปเผชิญหน้ากับมินที่เพิ่งเอากล้องไปวางเสร็จ คนตัวสูงยิ่งดูสูงขึ้นไปอีกยามที่ต้องขยับเข้ามาใกล้กันขนาดนี้ และเพราะเขาไม่เคยก็เลยไม่รู้ว่าควรจะทำตัวยังไง ได้แต่ยืนนิ่งอยู่ต่อหน้าคนที่กำลังหน้าแดงขึ้นเรื่อยๆ

“ก..กอดสิ” อตินว่าเสียงตะกุกตะกัก รู้สึกกระดากปากชอบกลที่ต้องมาพูดอะไรแบบนี้ มินเองก็เอาแต่เกาหน้าเขินๆ แต่พอเสียงเชียร์ดังขึ้น พร้อมกับสายตาหลายคู่ที่จับจ้องมา ทำให้เขาต้องรีบทำมันให้จบ

ก้าวเข้าไปประชิดร่างตรงหน้ามากยิ่งขึ้น ก่อนจะโน้มตัวเข้าไปโอบรั้งอตินเข้ามาไว้ในอ้อมกอดหลวมๆ ดูเหมือนอีกฝ่ายเองก็ยังเก้ๆ กังๆ จนมีเสียงท้วงให้กอดกันแน่นกว่านี้ ทำให้คนตัวเล็กต้องยอมยกแขนทั้งสองข้างขึ้นโอบตอบ พอรู้สึกถึงความอบอุ่นจากวงแขนบาง มินจึงเริ่มใจชื้น ค่อยๆ กระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นอย่างถือวิสาสะ ถึงออกจะเมื่อยอยู่สักหน่อย เพราะต้องก้มตัวลงไปมาก แต่เขากลับมีความสุขเหลือเกิน สาบานได้ว่าถ้าเขากล้ากว่านี้ล่ะก็ ต้องเผลอซุกจมูกเข้าไปกับลำคอขาวๆ แน่ ก็แค่ใกล้กัน ยังได้กลิ่นหอมอ่อนๆ น่าหลงใหลขนาดนี้เลย ถ้านานกว่านี้มีหวังเขาคงทนไม่ได้

“…4...5!”

“ฮู่ว...” อตินกับมินผละออกจากกัน ท่ามกลางเสียงกรีดร้องพอใจของลูกค้าโต๊ะนี้ แอบเห็นว่ามีสาวๆ จากโต๊ะอื่นแอบจ้องมาไม่ห่าง ไม่นานนักก็ถูกเรียกตัวอีกครั้ง

“น้องอติน~”

พี่สาววัยประมาณมหาวิทยาลัยส่งเสียงหวานเมื่อเขาเดินเข้ามาใกล้ถึงตัว เห็นว่าบนโต๊ะเต็มไปด้วยเค้กและเครื่องดื่ม ก็คงไม่น่าจะเรียกมาสั่งอะไรเพิ่ม ท่าทางต้องเซอร์วิสอะไรบ้าๆ อีกแล้วใช่ไหม สักพักเพื่อนบนโต๊ะก็เดินไปลากซันเข้ามายืนงงเต๊กกันอยู่สองคน ก่อนที่แบงค์ 500 หนึ่งใบจะถูกยื่นออกมา พร้อมดวงตาเป็นประกายของเหล่าคุณพี่สุดสวยทั้งหลาย

“อติน...หอมแก้มซันหน่อย”

“หะ!?” ไม่ใช่แค่เขาที่ตกใจ ขนาดตัวซันเองยังร้องซะเสียงดัง เรียกสายตาทุกคู่ในร้านให้หันมามอง โดยเฉพาะพนักงานด้วยกัน ซึ่งเริ่มเห็นแววไม่ดีเท่าไรแล้ว

“นะ นะ หอมแก้มกัน นิดเดียวเอง”

“จ่ายเพิ่มก็ได้”

“เอ่อ...”

อตินรีบยกมือขึ้นห้าม เมื่อเห็นบางคนตั้งใจจะหยิบเงินออกมายื่นให้อีก รีบส่งสายตาขอความช่วยเหลือไปทางซันที่ดูจะสติหลุดไปนิดหนึ่งเหมือนกัน ไอ้เรื่องแบบนี้ทางเขาไม่เกี่ยงหรอก บอกตรงๆ ว่ามากกว่าหอมแก้มก็ทำมาแล้ว แต่พอเป็นอติน มันก็รู้สึกเขินชอบกลเหมือนกันแฮะ ทั้งที่คนอื่นก็ไม่ได้คิดอะไรแท้ๆ แปลว่าเขาคงชอบเด็กนี่มากจริงๆ นั่นแหละ

“น..นิดเดียว ไม่เป็นไร...มั้ง”

คนตัวเล็กขมวดคิ้วมุ่นเมื่อได้ยินคำพูดจากอีกฝ่าย แต่เดาว่าซันเองก็จนปัญญาจะขัดขืนคำสั่งลูกค้าที่เปรียบเหมือนพระเจ้าเช่นกัน อตินกำผ้ากันเปื้อนสีครีมสกรีนตัวอักษรเป็นชื่อร้านเอาไว้แน่น ก่อนจะฝืนยื่นหน้าเข้าไปใกล้คนข้างๆ มากกว่าเดิม ท่ามกลางสายตาสุดลุ้นหลายสิบคู่ที่กำลังจับจ้องเข้ามา ไม่นับรวมลูกค้าโต๊ะอื่นที่เริ่มสนใจทางนี้มากขึ้น มินที่กำลังจะยกกล้องขึ้นถ่ายภาพลูกค้าโต๊ะอื่น รีบลดมือลงทันทีที่สังเกตเห็นเหตุการณ์ สองขายาวตั้งใจจะตรงเข้าไปห้าม แต่ก็ไม่ทันใครอีกคน

วินาทีหนึ่งก่อนที่ริมฝีปากอิ่มจะตรงเข้าประทับลงบนแก้มเนียนของซัน ร่างบางก็ถูกรั้งกลับมารุนแรงจนตัวแทบกระเด็นไปอีกทาง มือหนาของใครบางคนกำลังจับต้นแขนอตินไว้แน่น พลางส่งสายตาดุดันไปทางฝูงชนทั้งหมดตรงนั้น ไม่ได้สนใจเลยว่าจะเป็นเพื่อนร่วมงาน หรือลูกค้ามาจากไหน

“มาร์ช!”

“ไม่รับครับ” เสียงเรียบถูกกดลงต่ำจนแทบจะฟังดูน่ากลัว พร้อมกับที่มาร์ชหันมาดึงแบงค์สีม่วงในมือซัน ยื่นกลับคืนให้ผู้หญิงตรงหน้าซึ่งกำลังอ้าปากเหวอไป

“พ..พี่มาร์ช”

อตินส่งเสียงออกมาเมื่อตัวถูกกระชากไปทางเคาน์เตอร์ มีเบสคอยลอบมองอยู่ไม่ห่าง ตั้งท่าว่าจะเข้าไปถามความ แต่เห็นสีหน้ามาร์ชตอนนี้แล้ว เขาก็ไม่กล้าแม้แต่จะขยับขาด้วยซ้ำ ถึงจะคิดว่าเซอร์วิสเมื่อครู่ออกจะมากเกินไปหน่อยสำหรับเด็กใหม่อย่างอติน แต่ก็ไม่คิดว่ามาร์ชต้องออกโรงถึงขนาดนั้น แถมน้ำเสียงขู่ๆ ที่พูดใส่ลูกค้านั่น ก็ดูไม่เหมาะสมเอาซะเลยด้วย

“อยู่นี่แหละ เดี๋ยวฉันออกไปดูแลลูกค้าเอง”

“แต่ว่า...”

“อะไร หรืออยากกลับไปหอมแก้มไอ้ซันล่ะ?”

มาร์ชตวัดสายตาดุๆ กลับมาหาอตินที่ดูตัวเล็กลงไปถนัดตา ต้นแขนบางยังคงถูกบีบไว้ด้วยมือหนาตรงหน้า ทำได้แค่ขมวดคิ้วพร้อมตีสีหน้าเหยเก จนคนอารมณ์ไม่ดีค่อยๆ คลายมือออก มาร์ชสูดหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ ก่อนจะปล่อยออกมาทางปาก หวังช่วยบรรเทาความรุ่มร้อนในใจที่โถมเข้ามาอย่างไม่ทันตั้งตัว พอรู้ตัวอีกที ก็ดันเดินเข้าไปคว้าแขนเด็กนี่ออกมาแล้ว

“มาร์ช!” เสียงทุ้มใหญ่ของซันดังขึ้น ก่อนที่ร่างกำยำจะแทรกตัวเข้ามาประจันหน้ากับเจ้าของชื่อเมื่อครู่ ท่าทางหงุดหงิดไม่แพ้กัน ทำเอาสายตาของคนแทบทั้งร้านต้องจับจ้องมาทางนี้เกือบหมด

“อะไร?”

“เมื่อกี้เข้ามาแทรกทำไม?”

“ก็มันเกินไปไม่ใช่เหรอ นี่ร้านกาแฟนะ ไม่ใช่บาร์”

“มึงก็เคยหอมแก้มกูอะ อย่ามาทำเป็นลืม พี่เบส น็อต แจน มิน เคยทำแบบนี้ทั้งนั้น ไม่เห็นเป็นอะไร” ซันพยายามควบคุมอารมณ์พุ่งพล่านเอาไว้ ไม่อยากให้ลูกค้ามองพวกเขาไม่ดี และไม่ต้องการให้ใครรู้ด้วย ว่าลึกๆ แล้วเขาอยากถูกอตินหอมแก้มมากแค่ไหน

“แต่อตินยังเด็ก และยังใหม่ มึงก็เห็นนี่ว่าเขาลำบากใจ” มาร์ชพยักเพยิดไปทางอตินที่เอาแต่ยืนประสานมือนิ่ง สายตาสับสนได้แต่กลอกไปมาระหว่างใบหน้าของรุ่นพี่ทั้งสอง

ซันหันมองตาม เห็นท่าทีไม่สู้ดีของร่างเล็กจึงเริ่มรู้สึกตัว อตินที่พยายามฝืนยิ้มร่าเริงเป็นปกติ หากแต่ดวงตาใสกลับเต็มไปด้วยประกายของความไม่มั่นใจ ถ้ามองในแง่ร้ายสักหน่อย เขาอาจบอกได้ว่า คนตรงหน้ากำลังตื่นกลัว ก็ลืมไปว่าเขาเป็นผู้ชาย และอตินก็เป็นผู้ชายเหมือนกัน อีกทั้งยังเด็กมาก โดยเฉพาะกับงานบริการแปลกประหลาดแบบนี้ บางทีอาจรู้สึกแย่อยู่ก็ได้ หรือว่ารังเกียจกันเลย...ถ้าเป็นอย่างหลังก็คงปวดหัวใจน่าดู แต่ท่าทางลำบากใจที่กำลังส่อออกมาให้เห็นน่ะเป็นเรื่องจริง ซันจึงตัดสินใจไม่ถกเถียงอะไรต่อ ได้แต่ก้มหน้ายอมรับและเดินกลับไปขอโทษขอโพยลูกค้าโต๊ะเมื่อครู่เป็นการใหญ่ เห็นยืนคุยกันต่ออีกพักหนึ่งกว่าจะเข้าใจกันได้ พอสถานการณ์คลี่คลายลงแล้ว บรรยากาศสนุกสนานในร้านถึงค่อยๆ กลับคืนมาอย่างเดิม มีมาร์ชเป็นฝ่ายออกไปต้อนรับลูกค้าบ้าง โดยทิ้งอตินให้เฝ้าเคาน์เตอร์อยู่ตามลำพัง สักพักถึงมีแจนเข้ามาช่วยเสริมอีกแรง เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนถึงเวลาปิดร้าน

มาร์ชกับอตินรับหน้าที่ล้างแก้วจานอยู่หลังร้าน ส่วนคนอื่นๆ คอยเก็บกวาดทำความสะอาดทั่วพื้นที่ด้านนอกทั้งสองชั้น หูกับหางลายเสือถูกถอดทิ้งไว้ใกล้ซิงค์ มีแต่คนตัวเล็กที่ยังสวมใส่มันอยู่อย่างนั้น แม้ใจจะบ่นว่าไม่ชอบก็ตาม

“หลังจากนี้ก็รีบปรับตัวซะ เพราะต่อไปจะไม่ใช่แค่หูแมวแน่ ยิ่งเซอร์วิสที่บ้ามากขึ้นทุกวันนั่นอีก” มาร์ชพยายามแนะนำคนเป็นเด็กใหม่ ทั้งที่ไม่เงยหน้าขึ้นมามอง

“ครับ ผมจะพยายามให้ดีที่สุด”

“อืม แต่ก็ไม่ใช่ว่ายอมไปซะหมด อะไรไม่อยากทำ ก็ไม่ต้องทำ เข้าใจไหม”

“ค..ครับ” ตอบรับเบาๆ แอบคิดเข้าข้างตัวเองว่าอีกฝ่ายอาจกำลังแสดงความห่วงใยผ่านคำพูดเมื่อกี้ แต่พอเริ่มคิดแบบนั้น กลับต้องรีบสะบัดหัวไล่มันออกไป ก่อนที่ใบหน้าขาวจะขึ้นสีให้ใครแถวนี้สงสัย

“รำคาญ”

คนหัวแดงส่งเสียงราบเรียบออกมา หลังจากปิดน้ำจากก๊อก จนอตินต้องหยุดมือขึ้นมองหน้าอีกฝ่ายอย่างตั้งคำถาม เสียงกระดิ่งบริเวณคอดังขึ้นทุกครั้งที่ขยับตัว เริ่มเข้าใจได้ถึงความหมายของคำว่า รำคาญ เมื่อสักครู่

อตินก้มหัวลงเล็กน้อย ตั้งท่าจะถอดปลอกคอน่าอายออก แต่ก็ไม่ทันความเร็วของคนตรงหน้า มาร์ชเอื้อมมือใหญ่ผ่านคอขาวไปหยุดอยู่ที่ท้ายถอย คลำหาตะขออยู่แป๊บเดียวก็เจอ แต่พอเกี่ยวไม่ออก จึงต้องถือวิสาสะโน้มตัวเข้าไปใกล้ เหลือบตามองตะขอสีเงินที่กำลังเล่นแสงอยู่ภายใต้ปลายผมสีน้ำตาล กลิ่นเค้กกับเครื่องดื่มปนกันจนคลุ้งไปหมด ทั้งที่ควรจะเหม็นจมูก แต่เวลานี้กลับนึกอยากสูดดมเข้าปอดซะมากกว่า

“ผมแกะเองก็ได้ครับ”

คนตัวเล็กทำท่าจะถอยออกห่าง มาร์ชจึงรีบปลดตะขอปลอกคอออกทันที เสียงกระดิ่งดังทิ้งท้ายอีกครั้งยามกระทบลงบนพื้นโต๊ะ คนตัวสูงหันกลับมาลูบหูแมวสีขาวเล็กน้อย เห็นเป็นรอยเทาจางๆ จากการถูกไม่รู้กี่นิ้วมือมาถูเล่น ก่อนจะถอดออกไปวางไว้ข้างกระดิ่งให้ ท่ามกลางความเงียบทั่วบริเวณ เสียงหัวใจดวงน้อยค่อยๆ ดังขึ้นอย่างปิดบังไม่อยู่ ต่างฝ่ายต่างไม่เข้าใจถึงการกระทำในขณะนี้ รู้แค่ว่าไม่อยากจะขัด ไม่อยากจะให้มันผ่านไป...

มาร์ชช่วยอตินถอดคอสตูมของวันออก โดยที่ตัวเขาแทบไม่ได้ขยับตัวออกห่างจากคนตรงหน้าเท่าไรเลย แขนสองข้างจงใจโอบผ่านสะโพกมนไปทางด้านหลัง จนคล้ายกับว่ากำลังจะถูกสวมกอดยังไงยังงั้น แต่ไม่ทันได้เขิน ตะขอที่หางแมวก็ถูกปลดออกซะก่อน พร้อมกับที่ร่างโปร่งหันกลับไปจัดการกองเซรามิคในซิงค์ขนาดกว้างต่อ ไม่มีคำพูดใดหลุดลอดออกมาให้เข้าใจในสิ่งที่เพิ่งแสดงออกไปแม้แต่น้อย

เสียงน้ำจากก๊อกดังขึ้นอีกครั้ง ราวกับตั้งใจให้กลบเสียงเต้นจากอวัยวะภายในของใครสักคน...หรือสองคน แถวๆ นี้ เป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ที่ยังคงไม่อาจอธิบายได้ ถึงอย่างนั้นก็รู้สึกอบอุ่นไปทั่วทุกอนู แม้อยากจะปิดบังรอยยิ้มยังไงก็ห้ามไม่ไหว ทั้งที่ชอบดุชอบตีขนาดนั้น แต่บางเวลากลับใจดีมากขนาดนี้...

...ไม่เข้าใจเลย.....



--------------------------------------------

มาอัพทีเดียว 2 ตอน ทบของเมื่อวานด้วยนะคะ
เมื่อคืนไปติ่งเฮโรอีนมา!! ฮืออออ
เอาจริงๆ ก็ดีใจที่ได้โมเม้นจากยัยแมวเยอะ
แต่ก็เศร้ามากค่ะ ถ้าใครได้ติดตามเรื่องนี้จะพอรู้ว่ามีดราม่าโดนจับแยก
TTTT ต่อไปไม่มีเฮโรอีนแล้ว เสียใจ
ตอนนี้มองภาพป๋ากะน้องแล้วน้ำตาซึมตลอด
ฮรึก บ่นเยอะไปละ ;w; ไปดีกั่ว
หัวข้อ: Re: ♡♡ ในร้านกาแฟ ♡♡ by「aonair」 UP! บทที่ 10
เริ่มหัวข้อโดย: aonair13 ที่ 19-04-2016 21:17:43
10


“เอ่อ...แต่ผมเกรงใจจริงๆ นะครับ”

อตินพยายามยกมือห้าม ไม่กล้ารับถุงของขวัญชิ้นโตจากลูกค้าวีไอพีชื่อเกล ทั้งที่เจอกันได้ไม่กี่ครั้ง คุยกันแทบนับคำได้ แต่กลับคอยเอานู้นซื้อนี่มาให้อย่างกับสนิทกันมาสามชาติ เป็นคนแปลกประหลาดแบบหาตัวจับยากจริงๆ

“แต่นายชอบมากไม่ใช่หรอ?”

“ก...ก็ใช่ครับ แต่...”

คนตัวเล็กยังคงไม่ยอมยื่นมือออกไปให้เกลมีโอกาสยัดถุงใส่ตัวง่ายๆ ได้แต่เหลือบตามองกล่องฟิกเกอร์นารูโตะตัวสวย รุ่นหายากสุดๆ ถึงจะชอบมากแต่ก็ใช่ว่าจะรับของฟรีจากคนอื่นง่ายๆ หนิ เป็นใครก็ไม่รู้เอามาให้ทำไม รวยมากเอาเงินไปแจกเด็กยากไร้ยังดีกว่า นี่ก็ไม่ใช่มูลนิธิหรือเล้าที่ไหน แค่ร้านกาแฟเอง ทำตัวแบบนี้ไม่เหมาะสมสักนิดเลย ทั้งที่สวยและรวยแท้ๆ น่าเศร้าใจนะ

“แต่ฉันตั้งใจไปหามาให้เลยนะ รับไปเถอะ ครั้งสุดท้ายแล้ว” ไม่รู้ว่ากี่สุดท้ายแล้วที่เธอพูดมา เห็นสุดท้ายทุกอาทิตย์จนเหมือนอินเซปชั่นหลอกหลอน

“ไม่ดีกว่าครับ ผมรับแค่ความรู้สึกก็พอ”

“อติน รับไป แล้วฉันจะได้กลับ”

เกลลุกขึ้นจากเก้าอี้ สายตาส่อเค้าเอาแต่ใจจนเห็นได้ชัด แขนเรียวกระแทกถุงในมือเข้าใส่ ใกล้จะหลุดร่วงเต็มที ทำให้อตินไม่มีทางเลือกนอกจากรีบคว้าของเอาไว้ก่อนได้รับความเสียหาย ผู้หญิงตรงหน้ายิ้มเจ้าเล่ห์ พร้อมโบกมือลาออกจากร้านไปเร็วยิ่งกว่าแสง ทิ้งให้พนักงานตัวเล็กได้แต่ยืนถอนหายใจหน่ายๆ สักพักซันก็เดินเข้ามาถามไถ่ด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์เท่าไรนัก

“ไม่เป็นไรนะ?”

“จะเป็นอะไรล่ะครับ” ส่งเสียงเหนื่อยใจออกมา หันไปยัดถุงฟิกเกอร์ใส่มือคนถาม ซันแง้มดูของด้านในเล็กน้อย ก่อนจะส่ายหน้ากับตัวเอง มือหนึ่งยกขึ้นยีหัวอตินหวังช่วยให้กลับมาร่าเริงขึ้น

“คุณเกลขี้ตื้อมาก บางทีผมก็เหนื่อย”

“น่ารำคาญด้วย” ซันเสริม ทำเอาอตินสะดุ้งไปเล็กน้อย เพราะอุตส่าห์เลี่ยงไม่พูดคำนั้นออกไป กลัวว่าจะแรงเกิน แต่ดูเหมือนคนข้างตัวไม่ได้สนใจจะรักษาความรู้สึกใครเลย “ระวังไว้ละกัน ยัยนั่นน่ะ โรคจิต”

“พี่ซัน!”

คนเด็กกว่าเรียกชื่ออีกฝ่ายเสียงแหลมสูงด้วยความตกใจ สายตาตำหนิถูกส่งไปให้ ทำเอาซันเบ้ปาก ถึงเกลจะเอาแต่ใจมากและแปลกขนาดไหน ยังไงก็เป็นลูกค้า ที่สำคัญคือเป็นผู้หญิง ไม่คิดว่าสมควรถูกนินทาต่อว่าเสียหายแบบนี้

“ซัน อติน เดี๋ยวส่งลูกค้าแล้วมารวมตัวกันก่อนนะ คุณวาโยมีอะไรจะประกาศ”

เบสแทรกตัวเข้ามาในบทสนทนาของทั้งคู่ นำข่าวคราวของร้านมาทิ้งไว้ ก่อนจะหายไปดูแลลูกค้าอีกไม่กี่โต๊ะที่เหลือต่อ ไม่นานนักก็ถึงเวลาปิดร้าน มินเดินออกไปพลิกป้าย CLOSE ออก แล้วกลับมารวมกลุ่มกันหน้าเคาน์เตอร์ พอดีกับที่วาโยเดินลงมาจากห้องทำงานชั้นสาม ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็เผยประเด็นที่นัดรวมพลทันที

“อีกสองอาทิตย์จะมีงาน National Food & Drink ปีนี้ ร้านเราก็เข้าร่วมเหมือนเคย ฉันเลยจะมาประกาศให้ปิดร้านวันพุธเพื่อขอให้ช่วยกันเตรียมงาน ถ้าใครต้องลาไปเตรียมอะไรก็บอก” อตินลอบถอนหายใจคนเดียว ค่อยยังชั่วที่ไม่ใช่การเล่นพิสดารอะไรของวาโยอีก แค่ปลอกคอแมวเมื่ออาทิตย์ก่อนยังทำเขาหลอนเสียงกระดิ่งไม่หายเลย

“โห เกือบลืม”

“จริงๆ คือลืมนั่นแหละ”

แจนเสริมคำพูดซันที่เริ่มมีท่าทีกระตือรือร้นขึ้นมา หันไปซุบซิบอะไรบางอย่างกับเบสด้วยใบหน้าร้ายกาจอย่างบอกไม่ถูก ส่วนทางน็อตเองก็ดูตกใจไม่ใช่น้อยกับเรื่องนี้ รู้สึกอยากตีตัวเองขึ้นมาที่ดันลืมงานสำคัญไปได้ รีบดึงตัวมินเข้าไปหารือเรื่องดอกไม้ตกแต่งบูธ ขนาดมาร์ชที่ว่านิ่งแล้วก็ยังไม่วายเผยความกังวลออกมาจากใบหน้าขรึม คงมีแต่เด็กใหม่หนึ่งเดียวในนี้ ที่ไม่เคยแม้แต่จะย่างกรายเข้าไปสัมผัสไอ้งาน ฟู้ดแอนด์ดริ๊งค์ที่ว่า ถึงจะเคยได้ยินออกโฆษณาตามทีวีกับบิลบอร์ดทุกปีก็ตาม

“แล้วจริงๆ คุณวาโยก็ลืมมาเตือนพวกเราใช่ไหมครับ” เบสทำใจกล้า หรี่ตามองคนเป็นนายอย่างจับผิด วาโยได้แต่หัวเราะไร้สาระเพื่อเบี่ยงประเด็น ก่อนจะสาวเท้ากลับขึ้นบันไดไปซะอย่างนั้น

“เอ่อ...งานนี้มันสำคัญมากเลยหรอครับ?”

อตินหาจังหวะถามขึ้น เล่นเอาสมาชิกคนอื่นอึ้งไปตามๆ กัน เหมือนจะสงสัยในระดับคอมม่อนเซนส์ของคนถามที่ดูท่าจะต่ำเหลือเกิน เพราะได้ยินอยู่ว่าชื่องาน National Food & Drink มันก็คงไม่ใช่งานง่อยๆ ตามท้ายซอยบ้านอยู่แล้ว ในงานนี้เราจะได้โปรโมทร้านกันอย่างเต็มที่ ไม่ใช่แค่คนในพื้นที่ แต่คนทั่วประเทศจะได้รู้จัก Café de Sept มากยิ่งขึ้น โดยมีกฎนิดหน่อยว่า ร้านที่เข้าร่วมจำเป็นจะต้องคิดเมนูใหม่เอามาเสนอภายในงาน และจะมีการโหวตคะแนนจากผู้ร่วมงานทุกคน ชิงโล่กับเงินรางวัลอีกด้วย ซึ่งนั่นแหละคือความสนุกและความสำคัญของมัน

“สำคัญมากเลยแหละ เพราะจะมีคนจากทั่วประเทศเข้ามาร่วมงาน แล้วจะมีการแข่งโหวตเมนูอาหารกับเครื่องดื่มจากทุกบูธด้วย”

“ใช่! แล้วเราก็จะต้องเอาคืนไอ้พวกคอห่านนั่นด้วย” ซันโวยวายขึ้นมาเสียงดังจนแสบแก้วหู ตามมาด้วยเบสที่เข้ามาเสริมทัพซะจนน่ากลัว นี่มันแข่งโหวตเครื่องดื่มหรือชิงแชมป์ฟุตบอลโลกกันแน่

“เออ ไอ้พวกคอดวก ครั้งนี้ไม่แพ้แน่ว้อย!”

“คอ...อะไรนะครับ?”

“คอเดียน่ะ พวกนี้หมายถึง Cordia Café ตั้งถัดจากร้านเราไป 4 ป้ายรถเมล์ เป็นที่นิยมมากไม่แพ้กันเลยล่ะ เรียกว่าเป็นคู่แข่งคู่กัดกับ Café de Sept มาตลอดเลย” แจนรีบอธิบายคนกำลังตีหน้าสงสัย และพยายามตั้งคำถามที่ฟังไม่ค่อยได้ศัพท์เท่าไรนัก แต่พอรู้ว่ากำลังพูดถึงร้านกาแฟคู่อริกันถึงเริ่มเข้าใจ

“แปลว่า ปีที่แล้วร้าน Cordia ชนะการโหวตใช่ไหมครับ?”

“ใช่ แค้นมากเลยแหละ โดยเฉพาะซันอะนะ”

“ทำไมอะครับ?”

“ก็ศัตรูคู่แค้นของซันตั้งแต่สมัยมัธยมต้น เป็นหนึ่งในพนักงานของ Cordia น่ะสิ”

“เอาล่ะๆ มาแจกแจงงานกันก่อน” เสียงน็อตตะโกนขึ้นเรียกความสนใจจากทุกคน สายตาตำหนิน้อยๆ ถูกส่งไปหาคนเป็นหัวหน้าพนักงานที่เอาแต่ทำตัวโหวกเหวกอยู่กับรุ่นน้อง “ซันแกะไม้เป็นป้ายชื่อร้านแบบตั้งพื้น สูงประมาณหัวเข่านาย”

“รับทราบครับ!” แสร้งยกมือขึ้นตะเบ๊ะอย่างทหารตำรวจ ก่อนจะยิ้มกว้างอย่างตื่นเต้น จิตใจเริ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เมื่อคิดว่ามีเรื่องมากมายให้ทำ โดยเฉพาะเรื่องตอกหน้าไอ้บ้าคอเดีย

“มินเตรียมดอกไม้สดสำหรับตกแต่งบูธทั้งห้าวัน”

“ได้เลยครับ”

“เบสกับแจน ช่วยกันทำการโปรโมทบูธผ่านทุกช่องทาง แล้วก็เตรียมเรื่องขนมด้วย”

“โอเค!/โอเคครับ”

“ฉันจะดูแลเรื่องวัตถุดิบอุปกรณ์ที่ต้องใช้ในงานทั้งหมด...ส่วนมาร์ชกับอติน ช่วยกันคิดเมนูใหม่ที่จะไว้ใช้แข่งโหวตนะ”

“อืม”

มาร์ชตอบรับแค่สั้นๆ ถึงน็อตไม่แจงเขาก็รู้ตัวอยู่แล้วว่าต้องรับผิดชอบเรื่องนี้ ถึงได้เครียดอยู่นี่ไง เพราะแม้แต่เขาเองก็ดันลืมซะได้ว่างานมันอีกไม่ไกลแล้ว กระชั้นชิดแบบนี้ก็ไม่กล้ารับประกันได้ว่าจะคิดเมนูใหม่ที่ดีพอออก ยิ่งเคยแพ้มาแล้วก็ยิ่งกดดันด้วยสิ

“อติน โอเคใช่ไหม?” น็อตถามซ้ำ เมื่อไม่ได้ยินเสียงขานจากเจ้าตัวเลย ดูเหมือนจะยังช็อคอยู่ที่ถูกส่งตัวไปประกบมาร์ช พร้อมกับการรับผิดชอบงานที่ดูสำคัญมากจนเกินตัว

“ค..ครับ!”

 

“หรือว่าจะใช้เมนูนมครับ?” อตินพยายามเสนอความคิดเห็น ภายในพื้นที่ไม่กี่ตารางเมตรหลังเคาน์เตอร์ไม้โอ๊คของร้าน

วันนี้เป็นวันพุธซึ่งถูกกำหนดให้หยุดพิเศษสำหรับเตรียมงานออกบูธ ซันหายหน้าไปตั้งแต่เช้ามืด ตรงเข้าเมืองเพื่อไปรับท่อนไม้ขนาดไม้ไว้แกะสลักป้ายสามมิติ เบสเดินแจกโปสเตอร์โปรโมทบูธตามหัวมุมถนน มีแจนคอยช่วยอีกแรง มินเองก็ลงทุนนั่งรถกลับบ้านเพื่อจัดการเกี่ยวกับพันธุ์ไม้ที่จะใช้ทั้งหมด ได้ข่าวว่าทำสวนขนาดใหญ่เป็นอาชีพอยู่แล้วซะด้วย ส่วนน็อตคงกำลังง่วนอยู่กับการเจรจาเรื่องวัตถุดิบกับผู้ค้าเจ้าประจำ มีเพียงแค่อตินกับมาร์ชที่เข้ามานั่งจุมปุกอยู่ในร้าน พยายามเค้นสมองหาสูตรเครื่องดื่มสำหรับการแข่ง แต่ยิ่งเวลาผ่านไป ก็ยิ่งไม่เห็นแววได้เรื่อง ความเครียดเกาะกุมทุกอนูจนแทบไม่กล้าเงยหน้าขึ้นสบตากับคนหัวแดง ซึ่งบัดนี้ยิ่งดูน่ากลัวคล้ายว่าจะระเบิดโบ้มออกมาได้ทุกเมื่อ

“ได้ยังไงล่ะ เบสิคแบบนั้น แล้วมันก็ไม่ใช่เมนูใหม่ของร้านแล้วด้วย”

“แล้วจะเอาอะไรดี...”

“ก็คิดอยู่นี่ไง”

มาร์ชเผลอกระชากเสียงใส่จนคนตัวเล็กสะดุ้งเฮือก ไม่กล้าปริปากออกความเห็นใดๆ อีก เวลาผ่านไปสักพักจนคนโตกว่าเริ่มใจร่มขึ้นบ้าง เหลือบตาสังเกตเห็นอีกฝ่ายเอาแต่ทำหน้าบูดปิดปากเงียบ เลยแกล้งเดินเฉียดเข้าไปใกล้ แล้วใช้สองนิ้วดีดหน้าผากมนไปที

“โอ๊ย พี่มาร์ช” อตินยกมือขึ้นลูบหัวตัวเองป้อย พลางชักสีหน้าเง้างอดใส่ “เจ็บนะครับ”

“คิดอะไรออกบ้าง?”

“ไม่พูดแล้ว พูดไปก็โดนว่า”

“ยังไม่ได้ว่าเลย ก็คิดให้มันดีๆ สิ”

“ก็มันคิดไม่ออกนี่”

พอพูดจบ ร่างเล็กก็ถูกมือหนารั้งตัวให้ลุกขึ้น ก่อนจะลากออกไปจากร้านพร้อมๆ กัน อตินตกใจจนสมองแทบประมวลผลไม่ทัน กว่าจะสั่งให้ปากส่งเสียงออกไปได้ มาร์ชก็ไขกุญแจล็อกประตูหน้าร้านเรียบร้อยแล้ว

“อ..อะไรครับ จะไปไหน?”

“ออกไปหาแรงบันดาลใจไง”

ได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้ และปล่อยให้มาร์ชลากข้อมือตัวเองไปทั้งอย่างนั้น ไม่นานนักก็มาหยุดลงตรงหน้าป้ายรถเมล์ คนตัวสูงรีบออกแรงกระชากอตินให้วิ่งตาม เมื่อเห็นว่ารถคันที่เล็งไว้ขับผ่านมาพอดี นั่งไปได้ 4 ป้ายก็ลงแล้ว รวดเร็วจนไม่ทันได้ออกปากพูดคุยอะไรกันสักนิด แต่ตอนนี้อตินก็ไม่ได้อยากคุยกับมาร์ชเท่าไร เพราะกำลังตื่นตาตื่นใจไปกับภาพตรงหน้า

ตึกราบ้านช่องขนาดไม่ใหญ่ตั้งเรียงรายไปตามซอยแคบๆ ทั้งที่อยู่ห่างออกไปไม่เท่าไร เขากลับไม่เคยเฉียดเข้ามาใกล้เลยด้วยซ้ำ ถึงได้ไม่รู้ว่าตรงจุดนี้ มีร้านค้าน่าสนใจมากมายขนาดไหน ทั้งซ้ายขวามีทั้งร้านเกม ร้านขายผัก ขายปลา ร้านอาหารหลากสัญชาติ รวมทั้งคาเฟ่ และร้านขนมด้วย

“มันมีที่นี่อยู่ด้วยหรอ” อตินถามขึ้นมาลอยๆ เพราะเขาเองก็เป็นคนแถวนี้มาก่อน ไม่ยักเคยได้ยินเรื่องซอยนี้เลย

“เขาเพิ่งรื้อพื้นที่ แล้วสร้างเป็นซอยนี้ขึ้นมา เกือบๆ สามปีแล้ว”

“อ๋อ ถึงว่าสิ เมื่อก่อนมันเป็..”

“สนามเด็กเล่น”

มาร์ชชิงพูดตัดหน้าขึ้น สองสายตาเผลอหันมาประสานกันเพียงครู่หนึ่ง ก่อนจะรีบเสมองไปอีกทาง แค่ชั่ววินาทีนั้น ราวกับมีอะไรบางอย่างกำลังบีบรัดหัวใจทั้งสองดวงให้รู้สึกปวดหนึบ...อตินแสร้งมองพื้นทั้งที่ไม่น่ามีอะไรชวนให้สนใจ ขณะที่มาร์ชก็ทำได้แค่กัดริมฝีปากตัวเองไว้ หวังสะกดกลั้นทั้งคำพูดและความรู้สึกที่อาจพรั่งพรูออกมา

“ครับ...สนามเด็กเล่น”

“นั่นไง Cordia Café”

คนตัวสูงชี้มือไปทางตึกขนาดกว้างกว่าใครเพื่อน ตั้งอยู่หัวซอยพอดิบพอดี เห็นมีแถวยาวออกมาจนล้นออกันอยู่ด้านหน้า ร้านกาแฟชื่อดังถูกตกแต่งตามสไตล์เมืองผู้ดี กลิ่นหอมอ่อนๆ ของเครื่องดื่มผสมกับเค้กหน้าตาน่าทาน ลอยโชยออกมาถึงข้างนอก ช่างเย้ายวนให้เด็กน้อยอยากลองเข้าไปสัมผัส มือเล็กกระตุกชายเสื้อมาร์ชเบาๆ ก่อนช้อนตามองอีกฝ่ายอย่างออดอ้อน

“เข้านะครับ”

“จะไปอุดหนุนมันทำไ...”

“อยากเข้า” อตินเริ่มตีสีหน้าเอาแต่ใจแบบเด็กๆ ริมฝีปากล่างยื่นออกมาแสดงความไม่สบอารมณ์ สาบานได้ว่าถ้าไม่ใช่เด็กนี่ คงดูน่าหมั่นไส้ไม่น้อยเลย แต่เพราะเป็นคนนี้น่ะสิ ถึงได้มองว่าน่ารักขึ้นมา

“แต่ฉันไม่อยาก”

“งั้นพี่มาร์ชก็รอข้างนอกละกัน”

“เฮ้ย!”

คนหน้านิ่งรีบโวยขึ้นมา เมื่ออยู่ๆ อตินก็เบียดตัวผ่านฝูงชนเข้าไปภายในร้านเรียบร้อยแล้ว ไม่ทันได้คิดอะไรต่อ เขาก็รีบสาวเท้าตามเข้าไป ลูกค้าหลายคนเริ่มแหวกทางออกเมื่อเห็นว่าใครกำลังเดินผ่านมา ส่วนหนึ่งเป็นเพราะกำลังตะลึงในความหล่อเหลาของมาร์ช และหลายส่วนก็คือกลุ่มคนที่รู้ถึงระดับการแข่งขันและชิงชังระหว่างสองคาเฟ่ ต่างก็งุนงงกับการปรากฏตัวของเขาที่นี่ เพราะถ้าเป็นไปได้ ก็ไม่มีพนักงาน Café de Sept คนไหน อยากย่างกรายเข้ามาในถิ่นของคู่อริตัวเป้งอยู่แล้ว

“ที่เดียวหรอครับ?” เสียงใสของพนักงานชายหน้าสวยดังขึ้นกระทบหู พอมองเข้าไปก็เห็นอตินกำลังยืนตื่นอกตื่นใจอยู่ข้างๆ มาร์ชจึงรีบปราดเข้าไปรั้งต้นแขนบางเอาไว้ ท่าทางหงุดหงิดไม่ใช่เล่น

“สองที่”

“พี่มาร์ช!/มาร์ช!”

อตินร้องขึ้นพร้อมกันกับพนักงานตรงหน้า ผมสีดำแสกกลางถูกปัดออกไปให้พ้นตาเพื่อมองให้ชัดเจนว่านี่คือมาร์ชจริงๆ พอมั่นใจในโครงหน้าเข้ารูป กับสีผมแสบตานั้นแล้ว ถึงกับหลุดหัวเราะออกมา เรียกความสนใจจากเพื่อนพนักงานคนอื่นได้เป็นอย่างดี พนักงานอีกคนรีบสาวเท้าเข้ามาใกล้ ก่อนเบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อตัวเอง

“เฮ้ย! ไอ้มาร์ชมา”

“แล้วกูมาไม่ได้หรือไงวะ”

มาร์ชบ่นเสียงหงุดหงิดพลางชักสีหน้าใส่พนักงานร้านคอเดียทุกคนที่กำลังจ้องกลับมา ผู้ชายผิวคล้ำเดินพาทั้งคู่ไปยังโต๊ะนั่ง ก่อนจะยื่นเมนูส่งให้ ทั้งที่ในใจยังคงเต็มไปด้วยคำถามและความฉงนสงสัย เปิดร้านมาจะสามปี ไม่เคยมีคนจาก Café de Sept เหยียดย่างเข้ามาใกล้ แต่วันนี้ดันถ่อมาอุดหนุนถึงนี่ แถมยังพกเด็กหน้าตาน่ารักที่ไหนมาอีกก็ไม่รู้ หรือว่ากำลังเดทกัน แล้วไม่อยากให้เพื่อนรู้อย่างนั้นหรือเปล่า เป็นไปได้ไหม? แต่เนี่ย มันเด็กผู้ชายไม่ใช่หรอ!

“พี่มาร์ชดูสิ น่ากินทั้งนั้นเลย น่าจะให้พี่แจนทำบ้างเนอะ”

“จะบ้าหรอ”

คนตัวเล็กเบ้ปาก เป็นอีกครั้งที่ถูกพูดจาไม่ดีใส่ แต่ก็ช่วยไม่ได้ ตอนนี้มาร์ชกำลังอารมณ์เสียแบบสุดๆ เลยนี่ ถูกลากเข้ามาอุดหนุนร้านศัตรู รายล้อมไปด้วยกลุ่มพนักงานคู่อริ ใครมันจะไปชอบใจได้ คนหัวแดงยกแก้วน้ำเปล่าขึ้นดื่มเพื่อคลายความร้อนในอก ก่อนจะพยักเพยิดหน้าเป็นเชิงให้อตินรีบสั่งรีบกลับซะ

“เอ่อ...งั้นเอา วาฟเฟิลสตรอเบอรี่”

“รับเป็นไอศกรีมรสชาติอะไรดีครับ?”

คนจดออเดอร์ก้มตัวลงเล็กน้อย พอให้สังเกตใบหน้าหวานของอตินได้ชัดเจน รอยยิ้มผุดขึ้นมาอย่างไม่ทันรู้ตัว จากดวงตากลมใสคู่นี้ ไม่ทันที่เด็กน้อยจะตอบคำถาม เสียงจิ๊จ๊ะไม่พอใจจากมาร์ชก็ดังขัดขึ้นเสียก่อน สายตาดุดันตวัดเข้าใส่พนักงานร้าน พลางว่าเสียงเข้ม

“ไทป์ มึงยิ้มทำไม”

“เอ้า กูบริการลูกค้า” ซงไทป์ยืดตัวขึ้นเต็มความสูง ชักยิ่งสงสัยในความสัมพันธ์ของสองคนบนโต๊ะ ปกติมาร์ชเป็นคนน่ากลัวก็จริง แต่ไม่เคยได้ยินว่าเลือดร้อน การเอาแต่ใส่อารมณ์ไปทั่วแบบนี้มันแปลกอยู่นะ

“อ..เอาไอศกรีมวานิลลาครับ” อตินรีบแทรกเสียงขึ้นมาก่อนที่บทสนทนาชวนทะเลาะจะบานปลายไปมากกว่านี้ “แล้วก็ชามะนาวเย็นแก้วนึงด้วยนะครับ”

“ครับ”

ไทป์ก้มหัว รีบเดินผ่านมาร์ชไปทางเคาน์เตอร์ ซึ่งมีพนักงานอีกสองคนยืนรอถามไถ่เอาความอยู่แล้ว เห็นพูดคุยอะไรกันนิดหน่อย ทั้งหมดก็หันมาจ้องทางโต๊ะพวกเขาเป็นตาเดียว อตินชะเง้อคอ กลอกตาสำรวจไปรอบร้านคอเดีย ท่ามกลางเสียงเอะอะจากลูกค้าที่รอต่อคิวเทคโฮม ท่าทางตื่นเต้นจนออกนอกหน้า ทำให้มาร์ชต้องลอบกระแอมไอออกมาอย่างนึกไม่พอใจ จนคนตัวเล็กเริ่มรู้สึกตัว ไม่กล้าแสดงท่าทีอะไรอีก

“ชอบมาก มาทำงานที่นี่เลยไหม?”

มาร์ชแกล้งแซะตาขวาง ส่วนอตินก็ได้แต่ก้มหน้าก้มตาเบ้ปาก ผ่านไปสักพักพนักงานอีกคนก็เดินเข้ามาเสิร์ฟออเดอร์ทั้งสองอย่าง แม้จะแอบหยุดพิจารณาทั้งมาร์ชและอตินครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา และมาร์ชเองก็ไม่ได้คิดจะทักทายเพื่อนร่วมวงการคนนี้เช่นกัน

“โห น่ากินอะ”

คนตัวเล็กกลับมาสดใสได้อย่างรวดเร็ว เพียงแค่ได้กลิ่นหอมๆ ของขนมหวานบนโต๊ะ ปลายจมูกแทบจะฝังลงกับเนื้อครีมที่พูนนูนขึ้นมาจากกรอบวาฟเฟิล รอยน้ำผึ้งกับสตรอเบอรี่แบบอัดเต็ม ทำให้ยิ่งดูน่าทานมากเป็นไหนๆ ไม่รอช้า หยิบส้อมกับมีดขึ้นมาตักเข้าปาก ไม่ลืมที่จะเลื่อนเครื่องมืออีกชุดส่งให้คนตรงข้าม มาร์ชทำท่าชั่งใจ แต่สุดท้ายก็ยอมลิ้มลองรสชาติดูสักหน่อย วาฟเฟิลกึ่งกรอบกึ่งนุ่มแบบเฉพาะตัวเข้ากันดีกับไอศกรีมวานิลลาหวาน แซมด้วยรสติดเปรี้ยวเล็กๆ จากสตรอเบอรี่ชุ่มฉ่ำ มีกลิ่นหอมของน้ำผึ้งลอยเตะจมูก ทำเอาเกือบเคลิ้ม ผิดกับอีกฝ่ายที่ดื่มด่ำเข้าไปในรสชาติของขนมอย่างเต็มรูปซะแล้ว

“อร่อยมากเลย พี่มาร์ช เป็นไงครับ?” อตินออกปากถาม หน้าตาตื่นเต้น มือยังคงตักช้อนเข้าปากไม่หยุด

“เฉยๆ”

“อร่อยจะตาย ไว้ให้พี่แจนทำให้กินบ้างดีกว่า”

คนตัวเล็กไม่สนใจอีกแล้วว่ามาร์ชจะหงุดหงิดไหม ไหนๆ เขาก็ได้มากินของอร่อย ที่ไม่รู้จะมีโอกาสอีกหรือเปล่า เลยขอกอบโกยช่วงเวลานี้ไว้ก่อน หลังจากกินของหวานไปได้ครึ่งจาน ก็ยกแก้วน้ำทรงสูงขึ้นมาดื่มเสียงดัง รสหวานอมเปรี้ยวมาพร้อมกับความเย็นจนแทบขึ้นสมอง ทำเอาเด็กน้อยยิ้มแฉ่งด้วยความรู้สึกสดชื่น มีสายตาคู่ตรงหน้ากำลังจับจ้องเขาอยู่ทุกอิริยาบท แม้ว่าจะเอาแต่ปิดปากเงียบ หากว่าดวงตากลับฉายแววเอ็นดูอย่างซ่อนไม่มิด เพราะมีเด็กบ้าที่ไหนไม่รู้ เอาแต่กินๆ ดื่มๆ ไม่สนใจสิ่งรอบข้าง ทำตัวอย่างกับอดยากมาหลายอาทิตย์ ดูแล้วไม่ต่างกับลูกลิงที่เพิ่งได้กินอาหารอย่างนั้นแหละ

“ชามะนาวที่นี่อร่อยดีนะ พี่มาร์ชดื่มไหม?”

อตินยื่นแก้วให้ คนตัวสูงเหลือบตามองหลอดสีน้ำตาลหลอดหนึ่ง แอบเห็นคราบเล็กๆ เกาะติดขอบ ไม่มั่นใจว่านั่นน่ะน้ำชาหรือน้ำลายกันแน่ พอเห็นคนตัวเล็กทำท่าจะชักมือกลับ จึงรีบคว้าเข้ามาดูดเอาความเย็นชื่นใจลงคอ

“เป็นไงครับ ร้านเราไม่มีเมนูนี้หนิ”

“อืม...ก็ธรรมดาอะ ไว้ฉันทำให้ดื่มก็ได้”

“โห พูดจริงเปล่า”

“เออ รีบๆ กิน จะได้ออกไปซะที”

มาร์ชแสร้งเปลี่ยนเรื่องเสียงดุ ไม่อยากจะเห็นสายตาออดอ้อนของคนตรงหน้านานๆ สักเท่าไร พออตินเคลียร์อาหารเครื่องดื่มหมด มาร์ชก็เรียกไทป์มาเก็บเงิน แน่นอนว่าเป็นฝ่ายออกเงินเลี้ยงน้องตามประสาคนอายุมากกว่า ก่อนจะรีบดึงข้อมือเล็กออกจากร้าน ท่ามกลางความงุนงงและคำถามมากมายในใจของพนักงานคอเดียทุกคน

“แล้วคนไหนคือเพื่อนพี่ซันหรอครับ?” อตินถามเมื่อเดินพ้นประตูไม้ขัดมันออกมา ขาสองคู่ก้าวตามกันไปตามถนนสายครึกครื้น

“ฮึ? อริมันอะนะ?”

“อื้ม”

“ไม่เห็นนะ สงสัยอยู่หลังร้านมั้ง ไม่ต้องไปสนใจหรอก”

มาร์ชวาดมือขึ้นตบไหล่อตินให้ออกตัวเดิน เมื่อเห็นว่ากำลังจะหันกลับไปอาลัยอาวรณ์คาเฟ่คอเดียอีกครั้ง คนตัวเล็กรีบหดคอสะดุ้ง เมื่อรู้สึกถึงแรงโอบเบาๆ เพียงชั่ววินาทีหนึ่ง รีบก้มหน้ามองฝีเท้าตัวเอง หวังซ่อนรอยแดงจางๆ ที่เริ่มเรื่อขึ้นมาบนแก้มทั้งสองข้าง

ราวกับเด็กที่กำลังตื่นเต้นไปกับของเล่นใหม่ อตินเอาแต่ดึงมาร์ชเข้าร้านนู้น ร้านนี้ ที่ไม่เคยพบเห็นในย่านของตัวเอง ขณะที่คนตัวสูงเอาแต่ส่งเสียงรำคาญแทบตลอดทาง แต่ก็ไม่เคยห้าม พยายามเก็บรายละเอียดแต่ละอย่างที่ผ่านตาไปด้วย เผื่อว่าจะคิดเมนูดีๆ ออกบ้าง ทั้งที่เวลาดูผ่านไปอย่างเชื่องช้า แต่พอรู้สึกตัว กลับเป็นว่าผ่านไปกว่าครึ่งค่อนวันแล้ว มาร์ชก้มเช็คนาฬิกาอีกครั้งให้แน่ใจ ก่อนจะสะกิดเรียกอตินที่กำลังเลือกซื้อขนมอยู่ในร้านของชำ

“กลับได้แล้ว”

คนตัวเล็กขมวดคิ้วหน้ามุ่ยแทบจะทันที สายตาหงอยๆ ทำเอามาร์ชต้องดีดหน้าผากไปทีอย่างนึกหมั่นเขี้ยว มืออีกข้างคว้าเอากล่องช็อกโกแลตกับซองมันฝรั่งอบกรอบในมืออตินไปจ่ายเงิน ขณะกำลังนับแบงค์ในกระเป๋า เสียงใสก็ดังขึ้นอีก

“ลุงครับ ผมอยากซื้อไอศกรีมอะ”

อาแปะเจ้าของร้านชะเง้อคอมองไปทางตู้ไอศกรีมสีน้ำเงิน ซึ่งไม่ได้มีใครมาอุดหนุนมากนัก ก่อนจะส่งสายตาเหมือนให้รอก่อน ขณะที่มาร์ชกลับหันควับไปตีหน้าดุๆ ดวงตาคมเบิกกว้างขึ้นอย่างตกใจในความตะกละตะกลามของไอ้เด็กตรงหน้า แต่ดูเหมือนว่าอตินจะไม่ได้สนใจ ยังเอาแต่ยิ้มกว้างยืนรออย่างใจจดใจจ่อ พออาแปะคิดเงินจากมาร์ชเสร็จแล้ว ก็เดินมาทางอติน พร้อมเลื่อนบานกระจกออก ปลดปล่อยละอองความเย็นให้ลอยฟุ้งออกมากระทบใบหน้าหวาน ซึ่งกำลังก้มสำรวจรสชาติต่างๆ จนหน้าแทบคว่ำ

“แต่เมื่อกี้ก็เพิ่งกินไอศกรีมไปนะ” มาร์ชติงขึ้น รู้สึกอิ่มแทนอย่างบอกไม่ถูก สาบานได้ว่าหลังจากวาฟเฟิลกับชามะนาวที่คอเดียแล้ว เด็กนี่ยังเดินกินไม่หยุดปากจนถึงเมื่อครู่ ไม่รู้ไปตายอดตายอยากที่ไหนมา

“เอาช็อกโกแลตกับวานิลลาครับ”

“ใส่อะไรไหม?”

“เอาเกล็ดน้ำตาล กับ...เยลลี่...ราดช็อกโกแลตด้วยนะครับ”

คนโตกว่ายกมือขึ้นตีหน้าผากตัวเองเบาๆ รู้สึกหมดหวังกับการห้ามอตินเรื่องกินแล้ว สุดท้ายก็ยอมปล่อยให้เด็กท่าทางไม่โตยืนตักไอศกรีมเข้าปาก พลางควักกระเป๋าเงินขึ้นมาจ่ายตังค์ให้เป็นรอบที่ล้านของวัน ทั้งคู่ก้มหัวลาอาแปะเล็กน้อย ก่อนจะพากันเดินกลับไปยังป้ายรถเมล์ เตรียมตัวกลับร้าน คงถึงเวลาต้องคิดจริงจังแล้ว ว่าเครื่องดื่มสำหรับแข่งโหวต ควรจะเป็นอะไร

ระหว่างทาง มาร์ชยังคงคิดวนเวียนจนชักปวดหัว การออกมาเที่ยวชมข้างนอกไม่ได้ช่วยให้สมองเขาแล่นขึ้นกว่าเดิมเท่าไร เผลอๆ จะเครียดยิ่งกว่าเดิมซะอีก กับการต้องมาคอยดูแลเด็กข้างตัวตลอด สายตาเหนื่อยใจแอบหันมองเด็กที่ว่า ซึ่งทำท่าผงกหัวคล้ายจะหลับเต็มที ชีวิตดีจริงๆ นะ กินแล้วก็นอนเนี่ย

“เฮ้อ..”

มาร์ชลอบถอนหายใจเบาๆ ก่อนตัดสินใจวาดแขนออกไปโน้มศรีษะเล็กลงมาซบกับบ่าตน ถ้าเป็นปกติก็คงรีบเด้งตัวกลับแทบไม่ทัน แต่เพราะกำลังสะลึมสะลือ เลยปล่อยเนื้อปล่อยตัวไปตามแรงรั้ง ค่อยๆ ขยับเข้าหาอีกฝั่งอย่างลืมตัว ส่วนลึกของหัวใจ นึกภาวนาให้เส้นทางนี้มันยาวขึ้นอีกหน่อย

แต่ก็อย่างว่า ช่วงเวลาแห่งความสุขมักผ่านไปไวเสมอ แค่ไม่นานรถเมล์ก็จอดตัวลง มาร์ชสะกิดอตินให้ตื่น แล้วพากันเดินกลับร้านทั้งที่ไม่มีใครเปิดปากพูดอะไรออกมา คนตัวเล็กกำลังปล่อยสมองครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ตลอดวัน รู้สึกสนุกจนหุบยิ้มไม่อยู่ กับการได้ออกไปเดินเล่นกับมาร์ชสองต่อสอง ได้กินวาฟเฟิลอร่อยๆ กับน้ำชารสดี ไอศกรีมแบบดั่งเดิมกับเยลลี่ลูกกลมๆ อย่างที่ชอบกินตอนเด็ก ก็ชวนให้หัวใจอบอุ่นขึ้นมา...

“พี่มาร์ช! ผมคิดออกแล้ว!” ความคิดบางอย่างแล่นปราดขึ้นมาผ่านทางเส้นประสาท อตินหยุดกึก แล้วร้องออกมาเสียงตื่นเต้น จนอีกฝ่ายถึงกับขมวดคิ้วมุ่น

“อะไร?”

“เมนูเครื่องดื่มที่จะใช้แข่งโหวต ผมคิดออกแล้ว!”



----------------------------------------------------

ขอพื้นที่ให้เด็กกินจุด้วยค่ะ ถถถถ
 :katai5:
หัวข้อ: Re: ♡♡ ในร้านกาแฟ ♡♡ by「aonair」 UP! บทที่ 10
เริ่มหัวข้อโดย: aonair13 ที่ 23-04-2016 18:50:17
11


“ชามะนาว...ใส่ เยลลี่?”

“ใช่ครับ”

มาร์ชยังคงตีสีหน้าไม่แน่ใจ ทั้งที่อตินเอาแต่ทำตาโตเป็นประกายกับไอเดียที่ผุดขึ้นมา เพราะเมนูชาน่ะดื่มง่ายดี คนส่วนใหญ่ที่ไม่ดื่มกาแฟ ก็มักหันมาสนใจชามากกว่า แล้วยังไม่ดูเด็กและเกิร์ลลี่เกินไปอย่างน้ำปั่นหรือนมด้วย จะชายหรือหญิง อายุประมาณไหน ก็ดื่มได้แน่นอน ส่วนการเพิ่มเยลลี่เข้าไปก็ถือว่าเป็นจุดขาย เพราะเจ้าเยลลี่สีสันมากมายที่มักใช้เป็นท็อปปิ้งไอศกรีมข้างทางหรือตามหลังโรงเรียน มันชวนให้นึกคิดถึงช่วงเวลาง่ายๆ หรือสมัยวัยเยาว์ อีกทั้งความหวานของเยลลี่น่าจะช่วยตัดทอนรสชาติเปรี้ยวของตัวชามะนาวได้อย่างกลมกล่อมเชียวล่ะ

“คือจะทำเยลลี่แทนไข่มุก ประมาณนั้นใช่ไหม?”

“ครับ แต่เพราะเยลลี่สำเร็จรูปที่มีขาย จะเป็นลูกใหญ่ไม่สะดวก ผมเลยคิดว่าจะให้พี่แจนทำเยลลี่ของเราเอง ให้อ่อนขึ้น เคี้ยวง่าย และลูกเล็กพอดีช่องหลอด”

“อืม...” คนหัวแดงพยักหน้าเนือยๆ ในหัวก็เริ่มปั้นภาพเครื่องดื่มในความคิดขึ้นมา ชักมองว่าเป็นไอเดียที่ไม่เลวทีเดียว ถึงอย่างนั้นก็ยังสรุปทันทีไม่ได้

“แต่ชามะนาวก็ยังดูธรรมดาอยู่ดี”

“อ่า...ก็ใช่” อตินตั้งท่าจะเถียงในตอนแรก แต่ก็ต้องยอมก้มหน้าเห็นด้วย เมื่อคิดแล้วว่าเป็นจริงอย่างที่ว่า แค่ได้ยินว่า ชามะนาว ก็ดูธรรมดาแล้วใช่ไหมล่ะ “ง..งั้น ลองเป็นชาราสเบอร์รี่ไหมครับ?”

คนตัวเล็กรีบเสนอเมื่อภาพเหตุการณ์ตอนสอบชงเครื่องดื่มกับมาร์ชมันย้อนเข้ามาในหัว ตอนนั้น เขาเองก็ได้ชงชาราสเบอร์รี่เหมือนกัน แถมยังออกมาน่าพอใจอีกต่างหาก แม้ว่ามาร์ชจะจิบไปเพียงเล็กน้อยก็เถอะ

“อืม ก็ดีนะ ฉันอยากลองนี่ด้วย...ชาแอปเปิ้ล”

“ดีครับ งั้นเราลองทำทั้งสองอันเลยนะ” น้ำเสียงดีใจระคนตื่นเต้น บวกกับใบหน้าหวานที่ยื่นเข้ามา ทำเอาคนตัวใหญ่ถึงกับกลั้นหายใจไปเฮือกหนึ่ง ก่อนดีดนิ้วลงกับหน้าผากมน แล้วแสร้งหันหลังให้คนที่กำลังร้องโอย

“ตีอีกและ เวลาแบบนี้มันต้องชมไม่ใช่หรอ...ครับ”

อตินเริ่มโวยวายพลางลูบหัวตัวเองป้อย ฝ่าเท้าเล็กกระทืบเตาะแตะไปกับพื้นไม้บริเวณเคาน์เตอร์อย่างกับเด็กโดนแย่งของเล่น แต่ก็ต้องรีบปรับเสียงให้อ่อนลงทันที เมื่อจู่ๆ มาร์ชก็หันหน้าเคร่งขรึมกลับมา พร้อมยื่นกระปุกชาขึ้นคล้ายจะตั้งคำถาม

“เรามีอะไรบ้างนะครับ?” ยิงคำถามกลับแบบซื่อๆ จนมาร์ชแทบจะเดินเข้ามาเขกหัวไปอีกสักที ทำงานมาตั้งนานแล้ว แค่วัตถุดิบในร้านยังจำไม่ได้ มันน่าตีไหมล่ะ

“ซีลอน ดาร์จีลิ่ง เอิรล์เกรย์ เลือกมา”

“พี่มาร์ชชอบอะไรล่ะ?”

“ฉันให้นายเลือก”

อตินยื่นปากอย่างงอนๆ พลางย่นจมูกขึ้นเล็กน้อย ดวงตากลมโตกลอกไปมาทำท่าครุ่นคิด ไม่รู้ว่าใช้เวลาตัดสินใจนานไปรึเปล่า มาร์ชถึงได้เบิกตากว้างเหมือนอยากจะกินหัวเขาเต็มทีแล้ว

“เอิรล์เกรย์ก็ได้”

“โอเค”

มาร์ชพยักหน้า และหันไปเปิดตู้สีโอ๊คบนหัว ปกติที่ร้านจะชงเครื่องดื่มด้วยชาจาก TWININGS ก็ว่าดูดีแล้ว แต่คราวนี้มาร์ชกลับคว้าเอากระป๋องชาสีเขียวทองออกมาแทน แถบสีเทาสกรีนตัวอักษรภาษาอังกฤษสีขาวว่า EARL GREY อยู่ใต้โลโก้คุ้นตาอย่าง Harrods ช่างดูหรูหรามีราคาจนคนตัวเล็กยังแอบตกใจไม่ได้ ถึงเขาจะไม่ค่อยรู้เรื่องเครื่องดื่มมากนัก แต่แบรนด์ดังแบบนี้แม้แต่เด็กหน้าปากซอยก็ต้องร้องอ๋อ กระป๋องชาอันนี้ไม่ค่อยเห็นมาร์ชหยิบออกมาใช้ คาดว่าคราวนี้คงสำคัญมากจริงๆ

“ชาแฮรอทเอิร์ลเกรย์อันนี้...จะใช้สำหรับเมนูแข่งโหวตจริงๆ เหรอครับ” อตินเอียงคอถาม น้ำเสียงไม่มั่นใจนัก เหตุก็เพราะชาตัวนี้มันราคาสูงนี่น่า จะเอามาชงเครื่องดื่มสำหรับคนทั้งงานตลอดห้าวันได้ยังไง

“ใช่ ทุกอย่างจะต้องดีที่สุด และเราจะไม่แพ้”

“มันสำคัญขนาดนั...”

“มันคือศักดิ์ศรีของฉัน”

พูดไม่ทันจบ ก็ถูกแทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจังยิ่งกว่าเคย ดวงตาสีนิลทอประกายความเคืองแค้นบางอย่างเอาไว้ ทำให้อตินไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยปากเถียง ตลอดมาคิดแค่ว่ามาร์ชเป็นนักชงที่เก่ง แต่ไม่เคยรู้ว่าเขาจริงจังกับมันมากขนาดนี้ ความพ่ายแพ้ครั้งก่อนทำให้มาร์ชผู้สงบนิ่ง ถึงกับเก็บอาการไม่อยู่เชียวเหรอ ถ้าเป็นอย่างนั้น...เขาก็จะทำให้ดีที่สุด จะช่วยทวงคืนศักดิ์ศรีของมาร์ชกลับมา

ระหว่างที่อตินย้ายตัวเองไปต้มน้ำร้อน มาร์ชก็หายเข้าไปหลังร้าน ก่อนจะกลับออกมาพร้อมถ้วยเซรามิคสำหรับชงชาอย่างดี แม้แต่อุปกรณ์ที่ใช้ก็ต้องได้มาตรฐานที่สูงกว่าปกติ ครั้งนี้เขาเลือกถ้วยสีขาวสะอาด แฝงลวดลายเล็กน้อยด้านนอก จากแบรนด์ไทยคุณภาพอย่าง Patra ช่วงที่กำลังตระเตรียมอุปกรณ์ที่เหลือให้พร้อม ก็ชี้นิ้วสั่งเด็กอีกคนในร้าน ให้ล้างลูกบอลกรองชาเอาไว้

หลังจากนั่งจ๋องจนได้ชาดำโชยกลิ่นมะกรูดสูตรตำหรับชาเอิร์ลเกรย์ออกมาเสร็จสรรพแล้ว ช่วงทิ้งให้ชาเย็นตัวลง ก็ย้ายมาล้อมซ้ายล้อมขวา เจ้าเครื่องคั้นน้ำตัวเก่ง ลูกราสเบอร์รี่กับผลแอปเปิ้ลแดงสดใหม่จากตู้แช่ ถูกป้อนเข้าไป ก่อนที่น้ำสีชมพูแดงจะไหลออกมาใส่แก้ว น้ำทั้งสองแก้วให้โทนสีไล่เลี่ยกัน แต่ทางแอปเปิ้ลดูจะอ่อนและใสกว่าในระดับหนึ่ง หลังจากอุณภูมิน้ำชาพอได้ที่แล้ว จึงนำน้ำผลไม้ที่คั้นไว้เทรวมเข้าไป เริ่มคนผสมให้เครื่องดื่มทั้งสองชนิดเจือเข้าด้วยกัน ไม่ลืมเติมน้ำผึ้งเล็กน้อยพอให้ดึงรสชาติและกลิ่นหอมหวานออกมา ปิดท้ายด้วยการเทใส่แก้วน้ำแข็งก้อน ออกมาเป็นชาผลไม้สองแบบ มาร์ชดึงหลอดสีน้ำตาลของร้านออกมาจุ่ม ก่อนเลื่อนแก้วพลาสติกสองใบไปอยู่หน้าอติน ซึ่งกำลังมองผลงานของพวกเขาตาเป็นประกายด้วยความภูมิใจอย่างปิดไม่อยู่

อตินเลือกชิมชาราสเบอร์รี่ก่อน ส่วนมาร์ชก็ยกแก้วชาแอปเปิ้ลขึ้นลิ้มรส สักพักก็สลับแก้วกันจนได้ผลสรุปในใจกันทั้งสองฝ่าย คนหัวแดงพยักเพยิดหน้าเป็นเชิงขอคำตอบ

“เลือกไม่ได้อะ รสชาติดีมากทั้งสองเลยครับ”

“อืม...แต่ชาราสเบอร์รี่มีอยู่ในเมนูแล้วนะ อาจจะดูไม่แตกต่างเท่าไร”

“ก็จริงเนอะ งั้นเอาชาแอปเปิ้ลละกัน”

“แต่ยังไงก็ลองเอาให้คนอื่นชิมทั้งสองอันนั่นแหละ” มาร์ชพูดสรุป ก่อนจะเอี้ยวตัวไปหยิบฝาครอบมาปิดปากแก้วไว้ พร้อมส่งสัญญาณให้อตินช่วยกันเก็บกวาดเคาน์เตอร์ ไม่นานก็เรียบร้อย เป็นเวลาที่พระอาทิตย์จวนเจียนจะตกดินพอดี

พี่ใหญ่กับน้องเกือบเล็กสุด พากันเดินกลับบ้าน ในมือถือแก้วชาผลไม้กันคนละข้าง แสงสีส้มของวันสาดผ่านบ้านช่องแถบนี้เข้ามา กระทบกับไรผมสีแดงสด ยิ่งขับให้ภาพตรงหน้าดูงดงามราวกับเทพนิยาย เล่นเอาคนตัวเล็กไม่อาจละสายตาจากอีกฝ่ายได้เลย มีหลายครั้งที่มาร์ชเองก็เผลอหันกลับมามอง สองสายตาประสานกันได้เพียงครู่หนึ่ง ก็ต้องรีบหันหนีไปอีกทาง หวังว่าแสงอาทิตย์จะช่วยกลบเกลื่อนสีแดงอ่อนๆ ที่เริ่มเรื่อขึ้นมาบนแก้มสองด้าน ริมฝีปากบางที่เคยคงเส้นตรงเอาไว้ กลับยกขึ้นอย่างไม่ทันรู้ตัว เช่นเดียวกับเด็กข้างๆ ซึ่งเอาแต่แย้มยิ้มสดใสมาตลอดทาง ก่อนที่อารมณ์ทั้งหมดทั้งมวลจะถูกสะกดกลับเข้าไปในอก ทันทีที่เท้าเหยียบลงบนพื้นหน้าประตูบ้าน

เป็นแบบนี้อีกแล้ว... กลับไปเป็นมาร์ช คนยิ้มยากอีกแล้ว ทั้งที่นอกสายตาคนอื่น มักแสดงด้านที่ห่วงใย และใจดีออกมามากขนาดนั้น เวลาอยู่ต่อหน้าใครต่อใคร กลับทำเหมือนไม่มีอะไรทุกทีเลย

“กลับมาแล้วเหรอ เป็นไงบ้าง”

ประตูเปิดออกพร้อมเสียงของเบสที่ดังขึ้น ตามมาด้วยแจนที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องครัวทั้งชุดผ้ากันเปื้อน มีรอยแป้งกับครีมติดไปตามเนื้อตัว เห็นได้ชัดว่ากำลังเตรียมการเกี่ยวกับขนมที่จะออกเสิร์ฟในงาน บนโต๊ะหน้าโซฟาตัวเก่ง มีแลปท็อปสีเงินวางอยู่ เห็นหน้าเพจเฟสบุ้คของทางร้านเปิดโชว์หรา ท่าทางว่าหัวหน้าพนักงานเองก็กำลังช่วยโปรโมทบูธอย่างจริงจัง

“โอเคเลยครับ คิดว่าได้ไอเดียดีๆ แล้ว”

“หมายถึงนี่รึเปล่า” เบสชี้ไปที่แก้วสองใบในมือมาร์ชกับอตินอย่างรู้ทัน ก่อนจะพาไปนั่งล้อมวงกันอยู่บนพื้น ชาทั้งสองรสชาติถูกยัดเข้ามาในมือเบสกับแจนเพื่อลองชิม

“ผมกับพี่มาร์ชกะว่าจะเอาชาแอปเปิ้ล พี่สองคนว่ายังไงบ้างครับ?”

“อืม จริงๆ ก็ดีทั้งสองนะ” แจนเสนอความเห็น ก่อนจะก้มลงดูดชาแอปเปิ้ลลงคออีกสองสามอึก “แต่ชาแอปเปิ้ลก็น่าสนใจ เพราะที่ร้านยังไม่เคยทำ”

“แล้วจะมีแค่นี้เหรอ?” เป็นอีกครั้งที่เบสพูดขึ้นราวกับจะรู้ทันไปหมด ทำให้อตินรีบยิ้มกว้างอธิบายเสียงตื่นเต้น

“ผมอยากทำเยลลี่ ให้คล้ายๆ กับไข่มุก ใส่ลงไปด้วยครับ”

“เยลลี่?”

“แบบที่เขาชอบเอามาเป็นท็อปปิ้งไอศกรีมน่ะ”

“อ๋อออ”

แจนร้องเสียงยืดยาว รู้สึกชื่นชมในความคิดของเด็กใหม่คนนี้ ในฐานะที่เขาเองช่ำชองในเรื่องขนม การหยิบเยลลี่แบบนั้นใส่เข้าไปในชาหอมๆ ก็ดูแปลกดีทีเดียว ในหัวเองก็เริ่มมองเห็นภาพต่างๆ นาๆ ชักตื่นเต้นตามไปด้วยอีกคน

“ผมเลยอยากให้พี่แจน ช่วยทำตัวเยลลี่ให้หน่อย ขอลูกเล็กและเนื้อนิ่มกว่าปกติอะครับ”

“ได้เลยๆ น่าสนใจดี”

“แล้วทางนี้เป็นยังไง?” มาร์ชที่คอยปิดปากเงียบ เป็นฝ่ายพูดขึ้นบ้าง สายตากลอกสำรวจหน้าตาอิดโรยของทั้งเบสและแจนด้วยความเป็นห่วง ถึงอย่างนั้น ก็ไม่ได้แสดงออกมากนัก

“ฉันเพิ่งไปรับโบชัวร์โปรโมทบูธมาตอนเช้า แล้วก็เดินแจกอยู่แถวสองสามแยกนี้ เพิ่งกลับมาก่อนพวกนายได้พักเดียวเอง”

“เมื่อเช้าฉันออกไปช่วยพี่เบสนิดหน่อย แล้วก็กลับมาอยู่แต่ในครัวนี่แหละ ลองเมนูแปลกๆ ไปเรื่อย นี่ก็กะว่าจะดึงเอามองบลังค์ที่เคยวางขายตอนเปิดร้านใหม่ กลับมาเสิร์ฟอีกรอบ แต่ก็อยากทำให้มันแตกต่างจากเดิมหน่อย”

“ผมยังไม่เคยกินเลย!”

อตินร้องขึ้น ดวงตาลุกวาวอย่างมีความหวัง จนแจนกับเบสอดหัวเราะกับท่าทีน่ารักนี้ไม่ได้ สุดท้ายจึงเดินหายเข้าไปในครัวด้วยกัน เพราะยังมีชิ้นตัวอย่างเหลืออยู่บ้างพอให้ชิม มีแต่มาร์ชที่นั่งกุมขมับอยู่กับโซฟาตัวยาว นึกไม่ออกว่าไอ้กระเพาะเล็กๆ นั่น มันจุอาหารได้มากแค่ไหนกันแน่ นี่ยังไม่นับรวมอาหารเย็นของวันอีกนะ กินอย่างกับวัวตายควายล้มแบบนี้ ไม่อ้วกให้รู้กันไป...

 

 “อ่อกก...”

“เป็นไงบ้าง ค่อยๆ” มินส่งเสียงเป็นห่วงตลอดเวลา ตั้งแต่ที่อตินเริ่มบ่นพะอืดพะอมในช่วงหัวค่ำ สักพักก็มาจบลงที่หน้าโถส้วม สำรอกเอาอาหารกับขนมมากมายที่ยัดลงท้องเข้าไปออกมา

“สงสัยกินมากไป...อุ...”

หันมาตอบคำถามได้ไม่เท่าไร ก็เริ่มรู้สึกจะอ้วกอีกครั้ง เพื่อนร่วมห้องคนเดียวคอยลูบหลังให้ พลางถามไถ่เรื่อยๆ ทั้งขอบตาและจมูกเริ่มแดงก่ำด้วยความทรมานคอจากการอาเจียน จนมินแทบจะกรีดร้องให้กับความไม่ใส่ใจตัวเองของเพื่อนคนนี้

“สมควร” อดจะดุไม่ได้ เพราะถือว่าอตินไม่ยอมรักษาตัวให้ดี ตอนที่มาร์ชเล่าเรื่องวันนี้ให้ฟังช่วงอาหารเย็น ทุกคนก็ยังตกใจกันอยู่เลย

คนตัวใหญ่คอยอยู่ดูแลอตินอีกราวชั่วโมง จนเจ้าตัวเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติ หลังจากอาเจียนจนแทบหมดไส้หมดพุง ร้องเจ็บคอเป็นวรรคเป็นเวร จนชักสงสัยแล้วว่าใครกันแน่ที่เด็กกว่า พอปล่อยให้งอแงต่อสักพัก ถึงเริ่มหาวหวอด รู้สึกว่าเป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกันขึ้นมา...เพราะอตินที่เป็นแบบนี้ ช่างดูเหมือนเด็กน้อย ซึ่งเขาสามารถออกตัวดูแลปกป้องได้อย่างเต็มที่ ร่างเล็กหันมองหน้าเหมือนอยากจะสื่อว่าง่วงแล้ว ก่อนจะมุดตัวเองเข้าไปใต้ผ้าห่มผืนหนา เขานั่งมองจนแน่ใจว่าอีกฝ่ายเข้าสู่นิทรา และจะไม่สะดุ้งขึ้นมาโวยวายอะไรอีก จึงเดินไปปิดไฟ แล้วกลับขึ้นเตียงเช่นกัน

เวลาผ่านไปจนใกล้เวลาเช้ามืด อตินขยับตัวเล็กน้อย พอให้คลายความหนาวที่จับตัวอยู่บริเวณปลายนิ้ว ค่อยๆ ดันร่างหนักอึ้งให้ลุกขึ้น ขยี้ตามองนาฬิกาบนโต๊ะ เห็นเวลาตีสามกว่า แต่กลับรู้สึกปวดท้องหิวขึ้นมา คงเพราะว่าเมื่อตอนก่อนนอน เล่นอ้วกเอาของที่กินออกมาจนหมด พอหันมองด้านข้าง ก็เห็นแค่ร่างใหญ่ของมิน ที่กำลังกระเพื่อมขึ้นลงตามแรงหายใจ บทจะเข้าไปปลุกก็ไม่กล้าเสียมารยาทขนาดนั้น เลยตัดสินใจเยื้องย่องออกไปจากห้องเพียงลำพัง พยายามจำกัดทุกความเคลื่อนไหว ให้เงียบเชียบที่สุด

“เฮ้ย”

“เฮ้...อุบ” มือปริศนาตรงเข้าปิดปากอตินซึ่งทำท่าจะร้องโวยวายด้วยความตกใจ หลังจากได้ยินเสียง เฮ้ย เบาๆ ดังขึ้นมาผ่านอากาศเย็นในช่วงกลางดึก

“อืออ อื้ออ!”

“หุบปาก”

เสียงทุ้มกระซิบต่ำข้างใบหู พอให้รับรู้ว่านี่คือใคร...มาร์ชค่อยๆ คลายมือออกเมื่อแน่ใจแล้วว่าคนตรงหน้าเริ่มสงบลง ก่อนที่ทั้งคู่จะหันมาเผชิญหน้ากัน ท่ามกลางความมืด มีเพียงแสงสว่างเรืองๆ จากหลอดไฟริมถนนที่แทรกตัวผ่านเข้ามาทางหน้าต่างบ้านเล็กน้อยเท่านั้น

“พี่มาร์ช..”

“ออกมาทำอะไร?” ส่งคำถามออกไปเสียงแผ่วเบา พร้อมลากแขนอีกฝ่ายให้ออกห่างจากหน้าประตูห้องนอน

“ผมหิวอะ”

“ยัดไปทั้งวันแล้ว ยังหิวอะไรอีก”

ทั้งที่พยายามคุมน้ำเสียงให้เงียบเข้าไว้ กลัวใครจะตื่นขึ้นมาซะก่อน แต่พอได้ยินเด็กตรงหน้าบ่นหาของกินเป็นรอบที่ล้าน ก็อดขึ้นเสียงเล็กๆ ไม่ได้ สายตาดุดันจ้องกลับจนอตินต้องตีแก้มป่องแสดงความเง้างอดอย่างเด็กๆ ก่อนจะอธิบายเสียงขัดเขิน พลางเสมองไปทางซ้ายทีขวาที

“ก็เมื่อหัวค่ำ ผมอาเจียน ตอนนี้ท้องเลยว่างอะ...”

นั่นไง! คิดไว้ไม่มีผิดสักนิดเลย ไอ้เด็กนี่ แบบนี้มันถึงน่าตีไงล่ะ มาร์ชดีดหน้าผากอตินไปทีอย่างนึกตำหนิบวกสมน้ำหน้า ก่อนจะกวักมือให้เดินเลาะไปถึงครัวด้วยกัน เปิดตู้เย็นหยิบอัลมอนด์เคลือบช็อกโกแลตหนึ่งชิ้น กับนมสดหนึ่งกล่องให้ ขณะที่คนตัวเล็กยังเอาแต่ชะเง้อคอผ่านร่างของเขาไปทางด้านในตู้ ซึ่งบรรจุนานาขนมของเหล่าสมาชิกเอาไว้

“ให้กินแค่นี้ แล้วไปนอนได้แล้ว ตอนเช้ายังต้องทำงานนะ”

“ก็ได้...แล้วนี่พี่มาร์ช ออกมาทำไมอะครับ”

เจ้าของผมสีแดงไม่ตอบคำถาม เพียงแค่หันกลับไปยกเหยือกน้ำรินใส่แก้วแล้วดื่ม สายตาจับจ้องไปที่อติน ซึ่งยังยืดยาด ไม่ยอมกินอาหารในมือสักที เวลาผ่านไปร่วม 10 นาที กว่าที่นมสดในกล่องจะถูกดูดจนหมด ความจริงแล้ว มันไม่มีความจำเป็นที่มาร์ชต้องมานั่งรอด้วยซ้ำ แต่กลับทำเนียนจิบน้ำแล้วจิบน้ำอีก เพื่อคอยให้แน่ใจว่าเด็กบ้าตรงหน้าจะไม่เถลไถลจนไม่ได้เข้านอน แล้วก็อยากอยู่คุมไม่ให้ไปหยิบขนมกินเพิ่มด้วย ถ้าอาเจียนอีกรอบ จะไม่ให้ใครเข้าไปปลอบแล้ว

“ไปได้แล้ว” มาร์ชดึงกล่องนมเปล่าๆ กับห่อช็อกโกแลตที่ถูกขยุ้มจนยับย่น เอาไปทิ้งถังขยะให้ ก่อนจะผลักหัวไล่คนตัวเล็กให้ออกตัวเดินไปทางห้องนอน อตินยืนชั่งใจอยู่หน้าประตูสักพักหนึ่ง จนมาร์ชนึกหงุดหงิด...

“พี่มาร์ช...เช้าแล้วเจอกันครับ” หันมายิ้มตาหยีให้ แล้วแง้มประตูเข้าไปอย่างเงียบเชียบ ทิ้งให้อีกคนได้แต่ยืนนิ่งอยู่กับที่

ไอ้ใบหน้ายิ้มแย้มแบบนั้น เห็นทีไร เป็นต้องหงุดหงิดใจทุกที.....

 

“ย๊า!”

เจ้าของใบหน้าเรียวยาว ตีมือเล็กของเด็กใกล้ตัวอย่างแรง เมื่อเห็นว่ากำลังจ้องจะหยิบคุ้กกี้หลังเคาน์เตอร์ขึ้นมากิน หลังจากเพิ่งอิ่มของว่างช่วงเย็นมาได้ไม่เท่าไร มืออีกข้างยกขึ้นเสยผมสีแดงที่ตกลงมาปรกหน้าออก เผยให้เห็นคิ้วหนาที่กำลังขมวดมุ่นอย่างดุๆ

“โห่ ชิ้นเดียวเอง”

“อยากอ้วกอีกหรือไง”

“ไม่กินก็ได้ครับ” ยอมถอยเสียงหงอยพลางตีแก้มป่องหันไปอีกทาง เห็นแจนกำลังยืนคุยกับลูกค้าสาวสองคน ท่าทางเป็นเด็กมัธยมปลาย แต่ไม่ทันจะได้ทำตัวเผือก ก็ถูกมาร์ชเรียกกลับไปชงกาแฟซะก่อน ถึงอย่างนั้น ยังพอได้ยินเสียงพูดคุยแว่วมาบ้าง

“เดี๋ยวพอไฟดับแล้ว ให้พี่มาร์ชจุดเทียนแล้วเดินขึ้นไปที่โต๊ะได้ไหมคะ?”

หนึ่งในสองคนเอ่ยปากถาม แจนเหลือบตามองมาร์ชที่กำลังเช็ดแก้วแว้บหนึ่ง ก่อนพยักหน้า เพราะว่าเป็นวันเกิดของเพื่อนในกลุ่ม ก็เลยเตรียมเค้กก้อนใหญ่มาเซอร์ไพรซ์ แอบเตี๊ยมกับซันและมินให้ช่วยกันไล่ปิดไฟในร้านเรียบร้อย

“โอเคครับ”

“ขอบคุณค่า”

ลากเสียงยาวอย่างดีใจระคนตื่นเต้น พากันวิ่งกลับขึ้นไปยังที่นั่งชั้นสอง ปล่อยกล่องเค้กจากร้านชื่อดังไว้ในมือของพนักงาน แจนก้มพิจารณาหน้าเค้กที่ถูกตกแต่งอย่างประณีตหวังว่าจะใช้เป็นแรงบันดาลใจในชิ้นงานของตัวเองต่อไปได้บ้าง สักพักจึงเดินนำไปวางไว้บนเคาน์เตอร์ไม้โอ๊ค พร้อมสะกิดเรียกมาร์ชให้เงยหน้าขึ้นมาสนใจกัน

“เดี๋ยวช่วยจุดเทียน แล้วเดินเอาเค้กขึ้นไปเสิร์ฟชั้นบนด้วยนะ วันเกิดลูกค้าเขาสั่งมา”

“เอ่...”

“คงใกล้แล้วแหละ ก็เดี๋ยวขึ้นไปหลังจากซันกับมินปิดไฟแล้ว”

“ย..แจน”

“ฮึ?”

คนถูกเรียกส่งสายตาคำถามปนสงสัยใส่ ไม่บ่อยนักที่มาร์ชจะมาอึกๆ อักๆ แบบตอนนี้ จะว่ากำลังยุ่งก็คงไม่ใช่ เพราะนี่ก็ใกล้เวลาปิดร้านแล้ว ลูกค้าน้อยเต็มที อย่างบนชั้นสองก็เหลือแค่กลุ่มเด็กเมื่อกี้เท่านั้น หรือถ้าจะบอกว่าไม่อยากทำก็คงยากนะ ปกติมาร์ชไม่ค่อยปฏิเสธเท่าไรหรอก อะไรทำได้ก็ทำไป เป็นคนนิ่งๆ ไม่ค่อยสนใจโลกแบบนั้นแหละ ครั้งนี้ถึงแปลก เพราะนอกจากพูดจาตะกุกตะกักไม่สมเป็นตัวเองแล้ว ยังแสดงใบหน้าที่ซีดลงอย่างเห็นได้ชัดนี่อีก

“คือ...แบบ ว่า..”

มาร์ชพยายามซ่อนสีหน้าลำบากใจ แต่ก็ปิดบังไว้ไม่มิดเลย แจนเริ่มชนหัวคิ้วเข้าหากัน ท่าทางเป็นห่วง เหมือนอยากจะพูดอะไรที่สำคัญ แต่กลับไม่กล้าปริปากออกมาเต็มๆ คำสักที พอเหลือบมองออกไปหลังเคาน์เตอร์ จึงเห็นซันย่องลงมาจากชั้นสอง ชะโงกหน้าเข้าไปทางประตูหลังร้านที่แง้มออกพอให้เห็นมินซึ่งกำลังแสตนบายอยู่ด้ายใน ใกล้กับแผงควบคุมไฟของร้าน จึงพอเดาได้ว่า แผนการวันเกิดจากลูกค้าสาวๆ กำลังจะเริ่มขึ้นในไม่ช้า ถึงอย่างนั้น เขากลับยังไม่ได้คำตอบจากท่าทีแปลกประหลาดของพี่ใหญ่ตรงหน้า และดูเหมือนอตินเองก็พอสังเกตเห็นถึงความผิดปกตินี้ โชคดีที่เขาแอบฟังบทสนทนามาโดยตลอดเลยรู้ว่ากำลังเตรียมอะไรกันอยู่ ทันทีที่เห็นท่าทางกระอักกระอ่วนจนแทบดูไม่ได้ของมาร์ช เขาก็รีบพอตัวเองเข้าแทรกระหว่างทั้งคู่ พร้อมยิ้มกว้าง แย่งเอาไฟแช็คในมือแจนมาถือไว้อย่างรวดเร็ว ท่ามกลางความตกใจของทั้งสองคนตรงนั้น

“พี่มาร์ชครับ ผมชงกาแฟผิด วานแก้ให้หน่อยนะ”

“หะ?” มาร์ชกับแจนหันไปด้านหลังตามคำบอกกล่าวเสียงแห้ง ภายในถ้วยตวงมีกาแฟสีเจือจางลอยอยู่ตรงก้น ถูกผสมทับด้วยมวลมหาประชานม ที่ดูราวกับจงใจเทหกลงไปจนแทบล้นออกมา

“เดี๋ยวผมเป็นคนเอาเค้กขึ้นไปให้เองครับ”

คนตัวเล็กสรุปเองเออเอง แล้วผลักพี่ทั้งสองออกห่าง จัดการเปิดกล่องขึ้นแล้วจุดเทียนที่ถูกปักรอไว้แล้วทันที ไม่เหลือช่องว่างให้แจนได้ออกปากเถียงแต่อย่างใด ถึงแม้ว่าลูกค้าจะขอมาว่าให้มาร์ชเป็นคนเดินไป แต่ดูจากรูปการ สงสัยว่าคงต้องมีอะไรบางอย่างที่เขาไม่รู้ หรืออาจไม่สมควรรู้... สุดท้ายก็ได้แต่ปล่อยเลยตามเลย แล้วให้อตินเป็นฝ่ายยกเค้กขึ้นไป หลังจากไฟในร้านดับลง ท่ามกลางเสียงฮือฮาจากลูกค้าที่เหลือ มองเห็นสายตาวูบไหวแปลกๆ จากมาร์ช ที่พยายามกันตัวเองออกห่างจากแสงเทียนอย่างเห็นได้ชัด สักพักก็รีบหันกลับไปดูแลกาแฟเสียรสที่อตินทำเลอะเทอะไว้

คนไม่รู้เรื่องยอมปลีกตัวกลับเข้าครัว ไม่ขอรับรู้อะไรอีก กระทั่งอตินเดินกลับลงมา แง้มประตูออกบอกว่าขอโทษลูกค้าเรื่องที่มาร์ชไม่ได้เป็นคนขึ้นไปให้แล้ว ก่อนจะเดินยิ้มๆ กลับไปหลังเคาน์เตอร์ มีคนตัวสูงหน้านิ่วคิ้วขมวดพักขารออยู่แล้ว

“ทำไมถึงทำอย่างนั้น?” มาร์ชเอ่ยปากถามเสียงต่ำ แต่คำตอบที่ได้รับกลับยิ่งทำให้หัวคิ้วทั้งสองยุ่งขึ้นกว่าเดิม

“ก็พี่มาร์ชกลัวไฟไม่ใช่หรอครับ”

แววตาคมวูบไหวไปตามคำพูดที่ได้ฟัง หัวใจที่เชื่อว่าแข็งแกร่งกลับกระตุกชาอย่างง่ายดาย รอยยิ้มที่ดูบริสุทธิ์ใจจากอตินยิ่งกระตุ้นให้เลือดในกายสูบฉีดรุนแรงจนยากจะควบคุมตัวเองไว้ ราวกับถูกตอกย้ำด้วยภาพในอดีต แต่ทั้งที่เป็นแบบนั้น คนที่ยังฝังใจกลับมีแค่เขาคนเดียว...

“แล้วนายไม่กลัวหรอ?” เอ่ยปากถามเสียงเบาหวิว จับจ้องใบหน้าหวานที่กำลังส่ายเบาๆ พร้อมเอียงคอยิ้มกว้างอย่างทุกที น้ำเสียงกึ่งเล่นกึ่งจริงจังถูกเปล่งออกมา พอให้หัวใจของเขากระตุกไหวอีกครั้ง

“นอกจากโดนพี่มาร์ชเกลียดแล้ว ผมก็ไม่กลัวอะไรเลย”

คนตัวเล็กหัวเราะแก้เขิน ยังคงเหลือรอยยิ้มสดใสเอาไว้บนใบหน้าที่แดงระเรื่อ เขาไม่รู้จริงๆ ว่าคำพูดเมื่อกี้ เด็กนี่จริงจังมากแค่ไหน แล้วก็ไม่รู้อีกเหมือนกัน ว่าเขาจะรู้สึกหวั่นไหวขึ้นมาทำไม...เหมือนกับว่าร่างกายนี้มันควบคุมไม่ได้ มือข้างหนึ่งยื่นออกไป พร้อมกับสองขาที่ขยับเข้าหาร่างเล็ก ริมฝีปากที่ถูกเม้มสนิทค่อยๆ เผยอออกทีละน้อย สุ้มเสียงแผ่วเบาเปล่งออกไปอยากไม่ทันรู้ตัว...

“...พี่.....”

“??”

มือใหญ่เอื้อมออกไปจนเกือบถึงพวงแก้มชมพูหวาน หากเป็นไปได้ก็อยากรั้งลำคอบางนี้เข้ามาสวมกอดไว้อย่างใจนึก แต่ส่วนหนึ่งในสมองกลับออกคำสั่งว่าไม่ควรทำ ถึงต้องอดกลั้นทุกความรู้สึกไว้ให้ลึกที่สุด... รีบเปลี่ยนเป็นดีดหน้าผากมนไปเบาๆ อย่างทุกที แล้วแสร้งเสมองไปทางอื่น ทิ้งไว้เพียงคำพูดลอยๆ แผ่วเบาเท่านั้น

“ฉันก็ไม่ได้เกลียดสักหน่อย”

 

พี่ไม่ได้เกลียดอตินสักหน่อย.....
หัวข้อ: Re: ♡♡ ในร้านกาแฟ ♡♡ by「aonair」 UP! บทที่ 10
เริ่มหัวข้อโดย: aonair13 ที่ 23-04-2016 18:51:01
12


“เลื่อนซ้ายอีกหน่อย”

น็อตตะโกนบอกซันและเบสที่กำลังยกป้ายไม้แบบตั้งพื้นขนาดใหญ่ ถูกแกะแบบออกมาเป็นตัวอักษรชื่อร้านว่า Café’ de Sept ดูสวยงาม และดึงดูดสายตาผู้พบเห็นได้ดีกว่าบูธอื่นๆ ในละแวกนี้

งาน National Food & Drink กำลังจะถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ภายในบริเวณอารีน่าชั้นนำของประเทศ ทั้งร้านอาหาร ของกิน เครื่องดื่ม หรือขนม ต่างก็มีพื้นที่จับจองเป็นของตัวเอง ตั้งคละกันไปตามแต่ละล็อก นี่คือคืนก่อนวันแรกของงาน ซึ่งทุกคนจะต้องเข้ามาตระเตรียมบูธให้เสร็จสมบูรณ์ และพวกเราเองก็เช่นกัน

“เลื่อนเป็นสิบรอบแล้ว เอายังไงแน่” เบสเริ่มเคืองแล้วค่อยๆ ปล่อยป้ายในมือลงกับพื้นด้วยความหนัก น็อตโดนไล่ออกไปจากเฟรม พร้อมกับที่ซันหันไปเรียกสมาชิกคนอื่นเข้ามาดูให้แทน

“อติน มาช่วยพี่หน่อย”

คนตัวเล็กที่กำลังเช็คจำนวนแก้วพลาสติกรีบหันควับไปตามเสียง ได้ยินคำว่า ‘พี่’ จึงเกิดความคาดหวังเล็กๆ ในใจขึ้นมา ดวงตากลมเบิกขึ้นนิดหน่อยก่อนจะคลายกลับเป็นปกติทันทีที่รู้ว่าคนเรียกคือใคร

“อ้าวพี่ซัน?”

“ฮึ?” รีบส่งเสียงคำถามกลับพร้อมเดินเข้ามาใกล้ เมื่อเห็นสายตาผิดหวังแปลกๆ จากอีกฝ่าย

“ป..เปล่าครับ เห็นเรียกตัวเองว่า ‘พี่’ ผมก็นึกว่าใคร”

“อ๋อ...ฮ่ะๆ ก็อยากลองแทนตัวเองแบบนี้บ้างน่ะ” ซันหัวเราะแห้ง ยกมือขึ้นเกาหัวตัวเองอย่างเขินๆ เขาเพิ่งมาคิดได้ว่าควรแทนตัวเองกับอตินแบบนี้มากกว่า หลังจากที่เริ่มสนิทสนมกันมากขึ้นแล้ว ดูไม่ทางการเกิน หรือว่าห่างเหินด้วย

“แทนแบบนี้ก็ดีครับ ผมชอบ”

อตินยิ้มกว้าง รู้สึกได้ถึงความน่ารักเล็กๆ จากผู้ชายตรงหน้า แทนที่จะใช้คำว่า ‘ฉัน’ ส่วนตัวเขาเองก็อยากให้แทนว่า ‘พี่’ มากกว่าอยู่แล้ว ฟังดูใกล้ชิดดี แล้วก็...อบอุ่นด้วยมั้ง เหมือนกับที่ใครบางคนเคยใช้คำนั้นมาตลอด.....

“งั้นมาช่วยพี่กะตำแหน่งป้ายทางนี้หน่อยสิ”

ไม่รอให้อีกฝ่ายพยักหน้าตกลง ก็ฉวยเอาข้อมือบางมาไว้กับตัว ออกแรงลากมาถึงด้านหน้าบูธ ซึ่งมีเบสยืนคอยยกป้ายอยู่ คนตัวเล็กหันซ้ายแลขวา พยายามกะสเกลให้ป้ายอยู่ในตำแหน่งตรงกลางที่สุด สาบานได้ว่าถ้าไม่มีใครลืมตลับเมตรไว้ มันจะง่ายกว่านี้เยอะเลย

“ขวานิดเดียว แล้ววางได้เลยครับ”

อตินร้องบอก ต้องแข่งกับเสียงเซ็งแซ่จากพนักงานของบูธอื่นๆ ทั่วทั้งฮอลล์ ในที่สุดก็วางป้ายตั้งพื้นลงได้อย่างงดงาม เนื้อไม้อย่างดีกับการแกะสลักชั้นเลิศช่างชวนให้ชื่อร้านของเราดูมีราศียิ่งกว่าใคร ซันเองก็เอาแต่เดินวนอยู่แถวนั้น พลางเช็ดถู คอยเช็คความเรียบร้อยของแท่นไม้แทบตลอดเวลา ท่าทางภูมิใจและหวงแหนในผลงานชิ้นนี้มากทีเดียว

ใช้เวลาอีกกว่าชั่วโมง ถึงเตรียมบูธขั้นแรกจนเสร็จดี โต๊ะเก้าอี้ไม่กี่ชุดถูกจัดวางไว้ที่มุมหนึ่ง มีเคาน์เตอร์ขนมตั้งอยู่ข้างๆ ส่วนอีกด้านเป็นเคาน์เตอร์เครื่องดื่มขนาดกว้างพอสำหรับประมาณ สองสามคนเข้าไปยืนเฝ้า เห็นได้ชัดว่าบูธของร้าน Café de Sept กินพื้นที่ใหญ่กว่าใครเพื่อนในละแวกนี้ นอกจากนั้นก็คงจะเป็นบูธของ Cordia ที่อยู่ถัดไปอีกหลายล็อกนั่นแหละ เรียกว่าเป็นสองคาเฟ่ตัวเก็งของงานก็ว่าได้

“พรุ่งนี้ก็พยายามเข้านะ” เบสเอ่ยในฐานะหัวหน้าพนักงาน ก่อนที่ทุกคนจะเข้ามาล้อมวงแล้วซ้อนมือประสานกันไว้ รอยยิ้มแห่งความมุ่งมั่นเผยออกมาให้เห็น พร้อมเสียงตะโกนแบบไม่นึกเกรงใจชาวบ้าน เป็นสัญญาณที่ดี พร้อมรับกับศึกแห่งศักดิ์ศรีตลอดห้าวันหลังจากนี้

“เฮ้!!”

 

“เชิญเลยค่า!”

“ทางนี้เลยครับ!”

“ยินดีต้อนรับครับ”

เสียงเรียกลูกค้าดังแข่งกันตลอดทั้งงานตั้งแต่เช้า ทั่วฮอลล์คละคลุ้งไปด้วยกลิ่นอาหารนานาชนิด ทั้งคาวหวาน ร้านเครื่องดื่มเองก็หลากหลายละลานตาจนดูน่าตื่นเต้นไปหมด แม้แต่คนเฝ้าบูธอย่างอตินเอง ก็อดรู้สึกสนุกไปกับทุกบูธเท่าที่ตาเห็นไม่ได้ เสียงประกาศแนะนำอาหารเครื่องดื่มของแต่ละบูธดังผ่านลำโพงออกมา ตัดคลอไปกับเสียงดนตรีสดใส ยิ่งเสริมให้บรรยากาศสนุกสนานมากขึ้นไปอีก

บูธ Cefe’ de Sept ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหัวมุมของล็อก G พอดิบพอดี กินพื้นที่พอๆ กับบูธขนาดปกติประมาณ 4-5 บล็อคต่อกัน มีป้ายไม้แกะเป็นชื่อร้านขนาดใหญ่เคลือบมันอย่างดีวางอยู่ตรงกลาง ดึงดูดสายตาของคนผ่านไปมาตลอดช่วงสองชั่วโมง หลังจากเปิดร้านให้คนทั่วไปเข้าชมในเวลา 10 โมงเช้าที่ผ่านมา ถูกตกแต่งด้วยดอกไม้สดส่งตรงจากสวนที่ต่างจังหวัด แต่ละพันธุ์ไม้กับเฉดสีถูกจัดวางและเลือกสรรออกมาอย่างลงตัว เสริมให้บูธยิ่งดูโดดเด่นและสวยงามน่ามอง

พอเข้าช่วงเที่ยงแบบนี้แล้ว คนในงานยิ่งล้นหลามและวุ่นวายมากขึ้นจนแทบลมจับ เหงือกแทบจะแห้งด้วยว่าต้องคอยยิ้มแย้มให้คนในงานตลอดเวลา มือไม้ยุ่งเป็นพัลวัน สองเท้าก้าวบริการไปทั่วแทบไม่เหลือเวลาให้พักหายใจ หากก็รู้สึกมีความสุขกับสิ่งที่กำลังทำและพยายามกันอยู่เหลือเกิน

“มา...Marble…tea?”

“ครับ”

“เป็นอะไรเหรอคะ?” หญิงสาววัยกลางคนส่งเสียงแทรกผู้คนละแวกนั้นเข้ามายังเคาน์เตอร์ สายตาจับจ้องไปยังป้ายกระดาษที่ถูกติดหราอยู่บนแทงค์น้ำชา ว่าด้วยเครื่องดื่มแนะนำสำหรับการแข่งโหวตของทางร้าน

“ตัวนี้เป็นชาแอปเปิ้ลผสมเยลลี่ครับ” อตินทำหน้าที่อธิบาย พร้อมยื่นโบชัวร์โปรโมตเมนูให้ ขณะที่มาร์ชกับน็อตกำลังจะเป็นบ้า เพราะต้องคอยรับมือกับกองทัพลูกค้าจากทั่วทุกทิศ เห็นแถวลากยาวไปจนสุดสายตา แถมยังเบียดไปออกันจนเต็มพื้นที่เดินใกล้ๆ อีกต่างหาก

แน่นอนว่าสินค้าที่ขายดีที่สุดก็ไม่พ้นเมนูใหม่ของทางเรา Marble Tea ที่เขากับมาร์ชช่วยกันเข็นแทบตายกว่าจะได้ชื่อนี้ออกมา สาบานได้ว่าเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีกมามากกว่ายี่สิบรอบ ก่อนจะมาจบลงที่คำนี้ Marble หรือแปลเป็นไทยว่า ลูกแก้ว นั่นเอง เหตุผลมาจากจุดขายเรื่องเยลลี่หลากสี ที่ดูคล้ายกับลูกแก้วสดสวย ลอยวนอยู่ในแก้วน้ำชาสีชมพูใส ให้อารมณ์ของความสดชื่นอย่างมีระดับ ด้วยวัตถุดิบชั้นหนึ่ง กลิ่นน้ำผึ้งอ่อนๆ ที่เติมเข้าไปช่วยดึงความอ่อนละมุนจากเครื่องดื่มออกมา ผนวกเข้ากับความรู้สึกแบบ Nostalgia ซึ่งแอบแฝงไว้ในเยลลี่ท็อปปิ้งที่เคยคุ้นในวัยเด็ก ถือได้ว่าเป็นการผสมผสานระหว่างความเรียบง่ายและความหรูหรา อย่างลงตัวที่สุด

“แจนอ่า”

เบสตะโกนเรียกคนกำลังยุ่งผ่านเสียงเซ็งแซ่ ในมือยังถือถาดขนมไม่ห่างตัว ใบหน้ายิ้มแย้มที่พยายามปั้นขึ้นมาไม่อาจปิดบังความอิดโรยจากภายในได้มิด พอรีบวิ่งไปตามเสียงเรียกเพราะคิดว่ามีออเดอร์เพิ่มเข้ามา กลับต้องหยุดชะงัก เมื่อกลายเป็นว่า เขาถูกมือหนารั้งหัวไหล่เอาไว้แน่น เบสยกทิชชู่ขึ้นซับเหงื่อตามไรผมไล่ลงมาถึงลำคอขาว ท่าทางห่วงใยเหมือนคุณพ่อที่คอยดูแลเด็กๆ อดจะทำให้แจนหน้าแดงเรื่อด้วยความขัดเขินไม่ได้ ก่อนจะเรียกสติตัวเองกลับมาแล้วปล่อยหมัดเบาๆ ไปกับอกกว้างตรงหน้า

“คนกำลังยุ่ง”

“อย่าหักโหมน่า”

“ครับๆ” จ้องตากลับนิ่งๆ ก่อนจะยอมพยักหน้าเข้าใจ แล้วปลีกตัวกลับไปดูแลเค้กล็อตใหม่ ยังมีเสียงเรียกจากลูกค้าดังขึ้นไม่ขาดสายจนชักจะเวียนหัว

ความวุ่นวายดำเนินต่อไปจนถึงช่วงบ่ายสองกว่า สาบานได้ว่าพนักงานทุกคนมีโอกาสผลัดกันออกไปกินขนมปังชิ้นน้อย แค่พอรองท้องตลอดวันเท่านั้น ในที่สุดคนเดินงานก็เริ่มบางตา เบสจึงรีบฉวยจังหวะหนึ่งเรียกรวมพลทุกคน เพื่อมาแบ่งกลุ่มกันไปพัก

“เราแบ่งเป็น สอง/สอง/สาม ละกันนะ น็อตกับแจน...”

“อ่าฮะ”

“มาร์ชกับซัน แล้วก็ ฉัน มิน อติน โอเคไหม?”

“โอเคครับ/ไม่ครับ”

เสียงตอบตกลงมาจากน้องเล็กทั้งสอง ส่วนอีกสองคนดันไม่โอเคด้วย แทบทั้งหมดรีบตวัดสายตามองมาร์ชกับซันอย่างสงสัยระคนจับผิด ต่างฝ่ายต่างตีสีหน้าไม่เป็น ท่าทางอึกอักคล้ายกำลังหาข้ออ้างบางอย่างมาเถียง มินแอบหงุดหงิดอยู่ในใจเพราะมีลางว่าจะถูกพี่สองคนนี้แย่งเพื่อนคนสำคัญไปอีกแล้ว

“ทำไมไม่โอเค มีอะไร?” เบสถามเสียงเร่ง เพราะเห็นลูกค้าบางส่วนเริ่มเข้ามายืนออหน้าบูธอีกครั้ง แม้ว่าจะยังก้มๆ เงยๆ พิจารณาเมนูอยู่ก็ตาม

“เอ่อ...”

ทั้งมาร์ชและซันเอาแต่อ้ำอึ้ง เพราะรู้แก่ใจดีว่าไม่มีคำตอบที่ฟังขึ้นจะอธิบาย แต่ดูเหมือนทางฝั่งเบสเองก็พอรู้ทันอยู่บ้าง เพื่อไม่ให้เสียเวลามากไปจึงยอมตามใจไอ้บ้าสองคนตรงหน้า ได้แต่หวังว่าจะไม่พาน้องไปเถลไถลจนเสียงานเสียการ

“เออๆ งั้นอตินไปกับซันกับมาร์ช เดี๋ยวฉันไปกับไอ้มิน ตามนี้”

มินตีหน้าบึ้งคล้ายจะเถียง แต่เบสไม่อยู่รอรับฟัง รีบสาวเท้าไปสะกิดแจนกับน็อตให้ไปพักก่อนเป็นคู่แรก ก่อนจะย้ายตัวเองไปคุมหน้าเคาน์เตอร์เครื่องดื่ม ซึ่งเริ่มมีลูกค้าสองสามคนเดินเข้ามาสั่ง อตินที่ไม่ได้คิดอะไรอยู่แล้ว พาตัวเองไปประจำเคาน์เตอร์ขนมแทนที่แจน ปล่อยให้อีกสองหน่อยืนอมยิ้มต่ออีกพักใหญ่ ถึงจะหงุดหงิดนิดหน่อยที่มีก้างเพิ่มมาหนึ่ง แต่อย่างน้อยก็ยังได้มีโอกาสอยู่กับอตินแหละนะ

“รับออเดอร์ด้วยครับ”

“มาแล้วครับ” อตินกุลีกุจอนำสมุดเมนูมาส่งให้ลูกค้าผู้ชายที่เพิ่งเดินเข้ามาจับจองที่นั่งเพียงลำพัง รู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตา คิดว่าคงเคยไปที่ร้านอยู่บ่อยครั้ง และถ้าจำไม่ผิดคิดว่าเคยทักทายพูดคุยกันมาก่อนด้วยมั้ง

“อเมริกาโน่เย็น กับคอฟฟี่โรลชิ้นนึงครับ”

“รอสักครู่นะครับ”

อตินยิ้มกว้าง แต่คนที่ยิ้มกว้างกว่าท่าจะเป็นลูกค้าคนนี้ซะเอง ดูเหมือนจะเป็นแฟนบอยของพนักงานชายหน้าหวานแห่งร้านอีกคนซะล่ะมั้ง พอคนตัวเล็กยกเครื่องดื่มกับเค้กมาเสิร์ฟ ก็เป็นจังหวะดีที่อีกสี่คนกำลังง่วนอยู่กับงานของตัวเอง ไม่มีเวลาพอจะหันหน้ามาสนใจด้วยซ้ำ คุณลูกค้าจึงฉวยโอกาสคว้าข้อมือบางไว้ก่อน

“ครับ?”

“ทำงานเหนื่อยไหมครับ?”

“อ..เอ่อ ก็ ไม่หรอกครับ”

ยิ้มแห้งๆ ตอบกลับ พยายามจะดึงมือออกจากการเกาะกุม แต่กลับถูกรั้งไว้แน่นกว่าเดิม พอเงยหน้าหาความช่วยเหลือ กลับเห็นแค่มินกับเบสที่กำลังวุ่นอยู่ตรงเคาน์เตอร์น้ำ รวมทั้งซันที่ยืนอธิบายอะไรบางอย่างกับลูกค้าสาวกลุ่มหนึ่ง

“อติน”

เสียงทุ้มคุ้นเคยดังขึ้นด้านหลัง พร้อมแรงกระชากที่แขนอีกข้าง สายตาเย็นเยียบจากมาร์ชส่งให้ลูกค้าบนเก้าอี้แบบไม่เกรงใจว่าเป็นใครมาจากไหน ไม่รอให้อีกฝ่ายตอกกลับ ก็ดึงตัวอตินออกมาพ้นบริเวณ จับให้ยืนแทนที่มินที่ยังคงงงๆ เมื่อถูกมาร์ชลากตัวออกไปเฝ้าเคาน์เตอร์ขนมด้วยกัน เบสเหลือบตามองโต๊ะลูกค้าดังกล่าวแวบหนึ่ง สลับกับใบหน้าไม่สบอารมณ์ของมาร์ช ก็พอจะเดาเหตุการณ์ออก จึงหันมากำชับคนตัวเล็กให้คอยระวัง

กิจกรรมภายในงานดำเนินไปเรื่อยจนถึงเวลาบ่ายสามครึ่ง ถือเป็นอีกช่วงที่คนบางตาไปมาก เหมาะสมแก่การผ่อนแรงเพื่อเตรียมรับคลื่นลูกค้าในตอนเย็น พนันได้ว่าหลังเลิกงานจนถึงช่วงค่ำ น่าจะมีคนพลุกพล่านยิ่งกว่าตอนเช้าแน่ ที่ยืนข้างกายอตินตอนนี้กลายมาเป็นน็อต แทนเบสที่ปลีกตัวไปเดินงานกับมิน ลูกค้าผู้หญิงสองคนเดินเข้ามาอ่านป้ายหน้าเคาน์เตอร์น้ำ สักพักน็อตก็ร้องทักขึ้นเหมือนเพิ่งจำได้

“น้องม่อน น้องไอซ์”

“โห่ นึกว่าจำกันไม่ได้ซะและ” คนผมสั้นท่าทางลุยๆ ในชุดแซกลายทหารยู่ปาก ก่อนหลุดหัวเราะออกมา อตินเองก็พอจะนึกหน้าออกแล้วเหมือนกัน เพราะสองเพื่อนซี้คู่นี้แวะมาที่ร้านบ่อยครั้ง รวมทั้งSpecial Day เมื่อคราวก่อนด้วย

“จำได้สิ แล้วนี่รับอะไรดีครับ”

“Marble Tea สองแก้วค่า”

“ได้เลย รอแป๊บน้า”

น็อตพยักหน้าเป็นสัญญาณให้อตินรับหน้าที่จัดการกับออเดอร์หนึ่งแก้ว และตัวเขาอีกหนึ่งแก้ว ช่วยกันคนละไม้คนละมือเพื่อย่นเวลา แม้ว่าจะเป็นช่วงที่ไม่มีลูกค้ามากนักก็ตาม ระหว่างที่พนักงานกำลังตักน้ำแข็ง สองสาวก็ไม่ได้ยืนรออยู่เฉยๆ พยายามชวนคุยตามประสาคนอัธยาศัยดี บวกกับความปลื้มส่วนตัว

“ท่าทางขายดีนะเนี่ย พี่มาร์ชเป็นคนคิดเมนูหรอคะ?”

“มาร์ชกับอตินครับ” น็อตยิ้มกว้างพร้อมผายมือไปด้านข้าง ส่งให้คนตัวเล็กได้แต่ยิ้มเขิน ส่วนลูกค้าสองคนพอได้ยินแบบนั้นกลับตาโตเป็นประกาย พร้อมหันมองกันท่าทางกรุ้มกริ่ม ส่งเสียงทวนคำพูดของน็อตขึ้นมาอีกครั้งแบบไม่ได้นัดหมาย

“มาร์ชกับอติน~”

“แล้ว Special Day คราวนี้ เป็นธีมอะไร รู้ยังคะ?”

ผู้หญิงผมหยักศกยาวถึงกลางหลังถามขึ้น หน้าตามีความหวังแปลกๆ เผยออกมาให้เห็น จนน็อตชักสังหรณ์ใจไม่ดี ยัยเด็กพวกนี้ ยิ่งทำตัวสนิทมากเท่าไร ถึงวันนั้นของเดือนทีไร ชอบขออะไรพิสดารมากขึ้นทุกที แต่ท่าทางคนน่าเป็นห่วงจะอยู่ข้างเขาซะมากกว่า ก็ตั้งแต่อตินเข้ามาทำงานที่ร้าน ดูเหมือนความสนใจจากลูกค้าทั้งชายหญิงกว่าครึ่งจำนวนจะตกไปอยู่ที่หมอนี่หมดเลย Special Day ครั้งก่อน ก็อตินนี่แหละที่โดนเยอะสุด

“ยังไม่รู้เลยครับ อีกตั้งอาทิตย์นึงแหนะ รอติดตามหน้าเพจดูละกัน” ถึงปากจะพูดออกไปแบบนั้นแต่ใจกลับอดหวิวตามไม่ได้ อาทิตย์นึงทีว่า เอาเข้าจริงมันผ่านไปไวมากนะ คิดดูสิ ของเดือนที่แล้วผ่านไปไม่ทันไร นี่ก็จะวนครบเดือนอีกแล้ว วาโยเองก็คงคิดอะไรพิเรนท์ไว้อีกแน่

“Marble Tea ได้แล้วครับ” อตินยื่นแก้วชาให้สองสาว บอกลากันนิดหน่อย พวกเธอจึงเดินจากบูธไป ไม่ลืมทิ้งท้ายว่าจะมาเจออีกครั้งในวันนั้นของเดือนแน่นอน

สักพักเบสกับมินก็เดินกลับมา ในมือน้องเล็กเต็มไปด้วยถุงอาหารทั้งคาวหวาน ชวนให้อตินนึกหิวขึ้นมา ท้องเล็กๆ ร้องโครกครากด้วยว่าไม่มีอะไรเข้าปากมานานแล้วตั้งแต่ขนมปังชิ้นเล็กเมื่อช่วงเช้า น้ำลายสองสามอึกถูกกลืนลงคอ ก่อนที่เขาจะรีบตรงเข้าไปเรียกซันกับมาร์ชให้ออกตัวเดิน สมาชิกอีกสี่คนที่เหลือส่งสายตาบอกว่าไม่ต้องเป็นห่วง จึงทำให้ทั้งสามค่อยวางใจ พากันเดินดูงานอย่างไม่กังวลมากนัก ถึงยังไงตอนนี้ก็ไม่ได้มีลูกค้าเยอะอยู่แล้วด้วย

“โห น่ากินไปหมดเลย”

คนตัวเล็กร้อง สายตาเป็นประกายกวาดไปรอบบริเวณ ทั้งซ้ายขวาเรียงรายไปด้วยบูธอาหารและเครื่องดื่มน่าตาดีแทบทุกอย่าง ซันรีบตั้งท่าจะเดินตามอตินที่กำลังพุ่งเข้าหาร้านลูกชิ้นหมู แต่ก็ไม่ทันมาร์ชที่ปราดเข้ามาขนาบข้างคนตัวเล็ก พร้อมออกปากเตือนเสียงเย็น

“อย่ากินจนอ้วกอีกล่ะ”

“ครับๆ”

รับปากแบบขอไปที ก่อนจะตรงเข้าไปสั่งลูกชิ้นกับแม่ค้ารุ่นพี่ มีซันเป็นกระเป๋าเงินให้ชั่วคราว ทั้งสามคนเดินดูงานไปตามแต่ละล็อก คอยแวะบูธนั้นที นี้ที โดยมีอตินเดินอยู่ตรงกลางตลอด บางครั้งจะรู้สึกได้ว่ามีกลุ่มเด็กผู้หญิงคอยแอบมองมาท่าทางกรี๊ดกร๊าด คงเพราะความหน้าตาดีของพวกเขานั่นแหละ แต่ที่ชวนให้หงุดหงิดคือการที่มีผู้ชายบางคนลอบมองอยู่ด้วยน่ะสิ อันนี้คงต้องโทษอตินคนเดียวเลย แต่ถึงจะมองยังไงก็ไม่มีใครกล้าย่างเท้าเข้ามาใกล้ แค่เห็นสายตาคมของทั้งซันกับมาร์ช ก็รู้แล้วว่าไม่ควรแตะต้อง

“ตรงนั้นอะไรอะ?”

คนเด็กกว่าชี้มือไปทางหัวมุมล็อก N ซึ่งมีลูกค้ายืนต่อแถวยาวกว่าจุดอื่น แม้จะเป็นช่วงเวลาที่คนเดินงานบางตาแล้วก็ตาม เมื่อทั้งสามขยับเข้าไปใกล้พอจนเห็นป้ายแขวนคำว่า Cordia จึงร้องอ๋อ ซันส่งเสียงฟึดฟัดทำท่าจะลากอตินออกไปจากตรงนี้ แต่กลับถูกมือเล็กรั้งชายเสื้อเอาไว้ สายตาออดอ้อนถูกส่งมาให้ ราวกับตั้งใจจะฆ่ากัน รู้อยู่แล้วหนิว่าทำแบบนี้เขาก็ต้องยอมทุกทีสิน่า วันก่อนที่มาร์ชเล่าว่าพาอตินไปแวะไอ้ร้านคอดวกมาเขายังนึกหงุดหงิดไม่หาย วันนี้ยังจะเฉียดเข้าใกล้บูธพวกมันอีก พูดจริงๆ เขาไม่ได้เกลียดชังถึงขั้นจะให้ไปตาย แต่ก็ไม่ได้นึกชอบใจมากพอจะนับเป็นเพื่อนได้เหมือนกัน ยิ่งกับไอ้เวรนั่นยิ่งแล้วใหญ่...จำได้ไม่ลืมเลย เพราะคอยแกล้งคอยมีเรื่องกันมาตลอดตั้งแต่ม.ต้น พอม.ปลายยิ่งหนัก เพราะดันมาแย่งผู้หญิงคนเดียวกันอีก สรุปก็คือเพราะเกลียดขี้หน้ามัน ถึงได้พาลเกลียดไอ้ร้านกาแฟน่าหมั่นไส้นี่ไปด้วย

“แวะหน่อยนะครับ” อตินยังคงอ้อนต่อ เมื่อเห็นสีหน้าตึงๆ ของทั้งซันและมาร์ช ยังไม่ทันได้คำตอบอะไร น้ำเสียงแสดงความประหลาดใจก็ดังขึ้น

“เฮ้ย ซันกับมาร์ชมา”

เป็นอีกครั้งที่ได้ยินอะไรเทือกนี้ ซงไทป์ หนึ่งในพนักงานประจำร้านคอเดียร้องส่งสัญญาณให้สมาชิกคนอื่นๆ รับรู้โดยทั่วกัน ไม่ใช่แค่พวกเขาที่รีบเงยหน้าขึ้นมอง แม้แต่ลูกค้าบริเวณนั้นเองก็ยังอดแปลกใจไม่ได้ ไม่รู้ว่าควรจัดเก็บไว้ในประวัติศาสตร์หน้าไหนดี ที่พวก Café de Sept เยื้องย่างเข้ามาหาถิ่นคู่อริถึงสองครั้งสองคราแล้ว

“เด็กคนนั้นอีกแล้ว” นัม ไนล์เดินถือเมนูติดมือออกมาจากบูธเพื่อมองให้แน่ใจ พอดีกับที่เห็นใบหน้าหวานอย่างกับเด็กผู้หญิงของอติน ซึ่งเคยมานั่งจ๋องกับมาร์ชเมื่อคราวโน้น ความสงสัยในความสัมพันธ์ของทั้งคู่ยังคงถูกเก็บงำไว้

“ถามเลยดีกว่า”

“เฮ้ย!”

ไนล์เบิกตากว้าง เมื่อจู่ๆ ไทป์ก็รุดเข้าไปหยุดอยู่ต่อหน้าแขกทั้งสาม สายตาแวววาวของคนผิวคล้ำส่อออกมา จนมาร์ชกับซันชักไม่สบอารมณ์ ขณะที่อตินกลับยิ้มกว้างเป็นการตอบ จำได้ดีถึงหน้าตาของพนักงานคนนี้ที่เคยมารับออเดอร์ในวันนั้น แล้วถ้าจำไม่ผิดไป รู้สึกว่ามาร์ชจะเคยเรียกเขาว่า...

“พี่ไทป์”

“โอ๊ะ!”

คนถูกเรียกร้องขึ้นอย่างตื่นเต้น เมื่ออตินเกิดพูดชื่อของเขาขึ้น ยิ่งเห็นว่าคนตรงหน้าดูน่ารักน่าชังมากกว่าเดิม ผิดกันกับผู้ชายอีกสองหน่อ ที่รีบตวัดสายตาดุดันมาทางเด็กตรงกลางทันที อารมณ์คาดคั้นระคนกดดันถูกแผ่ออกมา ชวนให้รู้สึกอึดอัดจนต้องรีบยกไม้ยกมือแก้ตัวเป็นพัลวัน

“ก็วันนั้นได้ยินพี่มาร์ชเรียก...”

“กลั...” มาร์ชคว้าข้อมือเล็กของคนเด็กกว่าไว้ ทำท่าเหมือนจะรั้งให้ออกตัวเดินไปจากบริเวณนี้ แต่กลับถูกคำถามของไทป์ขัดขึ้นก่อน พอดีกับที่อตินสะบัดมือเขาทิ้งอย่างลืมตัว ท่าทางสนอกสนใจในร้านคอเดียมากซะจนน่าหยิก

“นี่นายชื่ออะไร แล้วเป็นใคร ทำไมถึงอยู่กับไอ้พวกนี้ล่ะ?”

สิ้นสุดคำถาม ซันก็ตั้งท่าเหมือนจะเข้าไปต่อยพนักงานร้านอริตรงหน้า แต่ก็ถูกอตินปรามไว้ด้วยแขนบางๆ คนตัวเล็กพยายามส่งสายตาบอกให้พี่ทั้งสองคนใจเย็น และเลิกทำตัวเหมือนอยากมีเรื่องตลอดเวลาแบบนี้สักที

“ผมชื่ออตินครับ เป็นพนักงานใหม่ของ Café de Sept”

“อ๋อ พนักงานใหม่ที่เขาลือกัน!”

“ลือกัน? ว่ายังไงหรอครับ?” อตินเอียงคอถาม ท่าทางสงสัยแบบเด็กๆ ยิ่งทำให้ไทป์หุบยิ้มไม่อยู่ ก่อนจะตอบกลับเสียงหวานเชิงหยอกหน่อยๆ

“ว่าน่ารักไง”

“เฮ้ย ไนล์ เอาไอ้หมูนี่ไปเก็บดิ๊” พนักงานหน้าสวยกับทรงผมแสกกลาง คนที่คอยต้อนรับอตินเมื่อวันก่อน เดินเอาเมนูในมือมาตีหลังไทป์ไปที แต่ก็ไม่คิดว่าทำไปเพราะซันสั่งหรอก

“ถึงช่วงนี้ไม่ค่อยมีคน แต่ก็ห้ามอู้นะ”

ไนล์เอ็ดคนผิวคล้ำไปนิดหน่อย พยายามเหล่หางตาไปทางบูธ เหมือนต้องการสื่ออะไรบางอย่าง ไทป์มองตามไปถึงด้านใน เห็นแผ่นหลังของเพื่อนร่วมงานจอมเจ้ากี้เจ้าการกำลังก้มหยิบแก้วพลาสติกออกจากลัง เห็นท่าเหมือนจะหันกลับมาที่เคาน์เตอร์ด้านหน้า ทำให้ทั้งเขาและไนล์รีบหมุนตัวกลับไปแอ๊บขยันแทบไม่ทัน ส่วนซันที่พอเดาออกว่าเจ้าของแผ่นหลังนั้นคือใครก็เผลอพ่นคำสบถออกมาเบาๆ เล่นเอาอตินถึงกับสะดุ้ง สงสัยว่านั่นจะใช่เพื่อนคู่แค้นตั้งแต่มัธยมคนนั้นรึเปล่า

“เฉาก๊วยน้ำมะตูม...”

“ให้ตาย...นี่ยังเป็นร้านกาแฟแน่นะ”

มาร์ชกับซันเริ่มส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์เมนูเครื่องดื่มแนะนำของคอเดีย ซึ่งน่าจะใช้สำหรับการแข่งโหวตในงานนี้ด้วย อาจจะฟังดูขัดกันไปหน่อย ด้วยสไตล์ร้านแบบอังกฤษ แต่กลับเลือกขายน้ำสมุนไพรพ่วงของหวานบ้านๆ จนถึงกับต้องขมวดคิ้วให้ แต่อตินมองว่าเป็นไอเดียที่น่าสนใจดีเหมือนกัน แล้วเขาเองก็อยากจะลองชิมด้วยสิ

“ผมขอชิมหน่อยดีกว่า” เปรยขึ้นมาเล็กน้อยพอให้พี่ทั้งสองได้ยิน ก่อนจะรีบออกตัวไปหยุดอยู่หน้าเคาน์เตอร์น้ำสีมะฮอกกานี มีซันกับมาร์ชรุดตามมาติดๆ ไม่รู้ด้วยห่วงหรือหวงกันแน่

“สั่งน้ำหน่อยครับ”

คนตัวเล็กร้องเรียกเสียงใส พอให้คนหันหลังได้ยินชัดเจน พนักงานคอเดียร่างสูงโปร่ง เจ้าของดวงตาตี่แต่ทว่ากลับมีเสน่ห์อย่างไม่น่าเชื่อ ค่อยๆ หันกลับมาพร้อมแก้วพลาสติกในมือหนึ่งแถวยาว แววตาที่เหมือนจะซื่อแต่กลับไม่ซื่อเลยนั้น เพ่งมองเด็กตรงหน้าแทบลืมหายใจ อตินเองก็ผงะจนถอยหลังเมื่อเห็นว่าเพื่อนสุดเกลียดของซันคนนี้คือใคร หลังจากห่างหายจนไม่ได้ติดต่อกันมานาน ก็ไม่คิดว่าจะได้มาเจอกันอีกครั้ง แถมยังบังเอิญโลกกลมจนน่าตกใจขนาดนี้...

“อติน!/พี่เลโอ!”
หัวข้อ: Re: ♡♡ ในร้านกาแฟ ♡♡ by「aonair」 UP! บทที่ 10
เริ่มหัวข้อโดย: aonair13 ที่ 23-04-2016 18:53:55
13


“ทำไมมาอยู่นี่?”

“ทำไมรู้จักไอ้นี่?”

ไม่ทันได้ตอบคำถามเลโอ ซันก็ส่งเสียงโวยออกมาก่อน พร้อมดึงตัวอตินเข้ามาล็อคคอไว้อย่างเป็นห่วง นั่นยิ่งทำให้พนักงานร้านคอเดียรู้สึกไม่พอใจ คิ้วสองข้างขมวดมุ่น ก่อนจะตัดสินใจฝากเคาน์เตอร์ไว้กับคนชื่อจิน แล้วเดินออกมาสุมหัวคุยกันอยู่สี่คน ท่ามกลางความสนใจจากพนักงานคนอื่นๆ

“พี่ก็ต้องถามเหมือนกัน ทำไมถึงอยู่กับสองคนนี้?”

“เอ่อ...” พยายามแงะตัวเองออกจากการเกาะกุม รู้สึกมึนหัวด้วยว่าไม่รู้จะเริ่มอธิบายจากจุดไหนก่อนดี เขาเองก็ไม่ได้คิดมาก่อนเหมือนกันว่าคนรู้จักทั้งสองจน จะกลายมาเป็นอริกันแบบนี้

“แล้วนี่กลับมาตั้งแต่เมื่อไร ไม่ติดต่อพี่มาเลย” เลโอยังคงรัวคำถามใส่คนตัวเล็ก โดยไม่สนใจสายตางุนงงจากอีกสองหน่อเลยแม้แต่น้อย

“ผมทำเบอร์กับอีเมลล์พี่เลโอหายอ่า”

อตินโอดครวญเหมือนเด็กน้อย ก่อนจะผละตัวออกจากซัน ตรงเข้าไปสวมกอดผู้ชายตรงหน้าอย่างลืมอาย ทั้งพนักงานคอเดีย คนเดินงานแถวนั้น รวมทั้งซันกับมาร์ชถึงกับเบิกตากว้าง ไม่เคยมีเด็กบ้าที่ไหนกล้าเดินเข้ามากอดผู้ชายชื่อเลโอมาก่อน แถมเจ้าตัวยังไม่มีท่าทีปฏิเสธเลยสักนิด กลับโน้มตัวลงกอดตอบท่ามกลางสายตาอ้ำอึ้งมากมาย กว่าซันจะเรียกสติกลับคืนมาได้ ทั้งสองคนก็ผละออกจากกันเป็นที่เรียบร้อย ไม่อยากนั้นคงต้องมีใครเจ็บตัวไปแล้วแน่

“นี่มันอะไรเนี่ย อธิบายหน่อยได้ไหม?” ซันพยายามอย่างมากในการไม่ขึ้นเสียงใส่อติน ซึ่งยังคงยืนแนบสนิทกับศัตรูตัวเองอย่างกับรู้จักใกล้ชิดกันมานาน

“พี่ซัน ผมกับพี่เลโอเคยเป็นรูมเมทกันครับ”

“รูมเมท?” คราวนี้เป็นมาร์ชที่ส่งเสียงคำถามขึ้นมาบ้าง

“ก่อนหน้านี้ผมย้ายไปเรียนที่เมือง C พี่เลโอก็อยู่มหาลัยแถวนั้น แล้วบังเอิญมารู้จักกัน พี่เขาเห็นผมยังไม่มีที่อยู่ก็เลยให้หารหอนอกอยู่ด้วยกันอะครับ” พูดถึงตรงนี้ก็เผลอยกมือขึ้นคล้องแขนใหญ่ของเลโอไว้ ทำไปแค่เพราะความเคยชิน ที่เคยเป็นเด็กติดพี่ชายคนนี้มาก แต่นั่นก็ทำให้ซันหงุดหงิดจนต้องแอบกำหมัดแน่น “แต่พี่เลโอย้ายกลับมาที่นี่ก่อน ผมก็ดันทำเบอร์กับเมลล์ติดต่อพี่หายไปอีก ถามใครก็ไม่มีใครรู้ เราเลยไม่ได้คุยกันตั้งแต่ตอนนั้น...”

“สักสองปีได้แล้วเนอะ ตัวโตขึ้นขนาดนี้” เลโอช่วยต่อประโยค พลางก้มมองเด็กที่เหมือนกับน้องชายแท้ๆ ไม่ใช่แค่ส่วนสูงหรือกล้ามเนื้อที่เพิ่มมากขึ้น แต่ไอ้ความน่ารักน่าเอ็นดูเนี่ย ก็เพิ่มตามไปด้วยหรือเปล่า

“อื้อ คิดถึงมาก..มากมากกกเลย”

“อะแฮ่ม!” มาร์ชจงใจกระแอมไอออกมาเสียงดังจนอตินแทบสะดุ้ง ต้องรีบกลั้นความรู้สึกตื่นเต้นดีใจเอาไว้ก่อน

“เอ่อ ส่วนนี่...เพราะผมเข้าทำงานที่ Café de Sept ก็เลยอยู่กับพี่ซัน พี่มาร์ชนี่แหละครับ”

“อะไร? ทำไมถึงไปทำที่นั่น”

“ก็เห็นๆ อยู่ว่าร้านพวกกูดีกว่า” ซันเย้ยเสียงร้ายกาจ รู้สึกได้ถึงความเกลียดชังที่แผ่อยู่รอบๆ ตัวทั้งสองสามคนแถวนี้ ทำเอาอตินนึกอึดอัดอยู่ไม่ใช่น้อย ส่วนพนักงานคนอื่นที่ลอบมองอยู่ตั้งแต่แรก ก็ไม่มีทีท่าว่าจะเข้ามาประโลมศึกที่เริ่มลุกโชนนี้เลยสักนิด เลโอสบถอยู่ในลำคอ ก่อนจงใจโอบไหล่บางของอตินมาไว้ใกล้ตัว

“ออกมาจากร้านเส็งเคร็งนั่นดีกว่ามั้ง”

“พี่เลโอ...” คนตัวเล็กส่งเสียงอ่อน มือสองข้างกำชายเสื้ออีกฝ่ายไว้เหมือนอยากขอร้องให้รับฟัง รวมทั้งให้ใจเย็นลงด้วย “Café de Sept ดีอยู่แล้วครับ”

“หึ”

อตินเหลือบตามองซันเหมือนอยากจะปรามท่าที ไม่ใช่ว่าเขาคิดว่า Café de Sept ดี แล้วแปลว่าคอเดียแย่ ถ้าเป็นไปได้เขาไม่อยากให้สองร้านต้องมีปัญหากัน ถึงส่วนตัวจะไม่รู้เรื่องอะไรมากนัก แต่การที่เห็นพนักงานของคอเดียหลายคนคอยบริการและพูดคุยด้วยอย่างยิ้มแย้ม อีกทั้งยังมีเลโอ คนที่เขาคิดว่ารู้จักดีอยู่ด้วย เขาก็ไม่คิดว่าคนที่นี่ไม่ดีหรอก

“เอามือถือมา”

หยิบโทรศัพท์ส่งให้คนข้างตัว เลโอกดเบอร์ของเขาแล้วโทรออก ก่อนจะตัดสายไป จัดการเมมชื่อตัวเองไว้ในมือถือของคนเด็กกว่าเสร็จสรรพ ไม่ทันได้อยู่คุยอะไรกันต่อ จินก็ตะโกนเรียก เมื่อเห็นว่าเริ่มมีลูกค้าเข้ามามากขึ้นแล้ว ทั้งสองคนล่ำลากันอย่างอ้อยอิ่ง ทั้งที่ในใจมีเรื่องมากมายอยากพูดคุยด้วย สองปีที่หายไปความผูกพันไม่ได้จางลงเลย เลโอยังคงเป็นพี่ชายที่แสนดีของอตินตลอดมา แต่ความจริงข้อนี้คงทำให้มีคนไม่พอใจอยู่มากทีเดียว ซันเอาแต่บ่นอุบตลอดทางกลับบูธถึงเรื่องบังเอิญแบบตลกร้ายนี้ ส่วนมาร์ชเอง ถึงจะไม่ได้ปริปากพูดอะไรออกมา แต่ภายในใจกลับร้อนรุ่มแปลกๆ

“มันกลายเป็นแบบนี้ได้ยังไงวะ” คนกำลังของขึ้นหันไปกระชากเสียงถามมาร์ชที่เอาแต่นิ่ง อตินจึงเงยหน้าขึ้นตอกกลับบ้าง

“ผมก็อยากรู้เหมือนกัน ทำไมพี่ชายทั้งสองคนของผมต้องมาเกลียดกันด้วย”

“แต่นายดูจะเข้าข้างมันมากกว่าพี่อีกนะ”

ซันยื่นปากอย่างงอนๆ พลางยีหัวอตินเล่นอย่างนึกระบายความรู้สึกในอก เขาไม่รู้ว่ามันคืออาการที่เรียกว่าอะไร มันปนกันมัวไปหมดในหัว ทั้งหงุดหงิด ทั้งเสียใจ ทั้งโกรธ แล้วก็น้อยใจด้วย ท่าทางที่อตินมีต่อเลโอเมื่อครู่แสดงให้เห็นว่าทั้งสองคนสนิทกันมาก่อนมากแค่ไหน เทียบกับเขาที่เพิ่งเจออตินแล้ว...มันช่างแตกต่างกันจริงๆ

อตินไม่เคยร้องเรียกด้วยน้ำเสียงดีใจมากขนาดนั้น ไม่เคยเข้ามาอ้อนมากขนาดนั้น ที่ตรงเข้าสวมกอดอย่างไม่ลังเล ที่จ้องมองด้วยแววตาเป็นประกาย... ทั้งหมดนั้นเขายังไม่เคยได้ แล้วก็เป็นมันอีกแล้วใช่ไหม ที่แย่งทุกอย่างไปหมด ได้ทุกอย่างไปหมด ไม่เว้นแม้แต่เด็กคนนี้เหรอ...

นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย.....

“ผมไม่รู้ว่าพวกพี่มีอดีตฝังใจกันยังไง แต่พี่เลโอดีกับผมมากเลยนะ”

“แล้วพี่ไม่ดีกับนายหรือไง”

“พี่ซันอ่า พี่ซันก็ดีจะแย่ ทั้งสองคนเป็นพี่ชายที่ดีมากทั้งคู่เลย ผมไม่ได้เข้าข้างใครสักหน่อย”

คนตัวเล็กพยายามพูดให้ใจร่ม ถึงอย่างนั้นก็เป็นความจริงทุกคำ เพราะไม่ว่าจะซันหรือเลโอ ต่างก็เป็นพี่ที่คอยดูแลและใจดีกับเขามาตลอด ไม่สนใจด้วยว่าจะรู้จักใครมานานกว่าหรืออะไร เขาก็แค่รู้จักทั้งสองคน และเชื่อว่าทั้งสองคนเป็นคนดีเท่านั้นเอง เป็นอีหรอบนี้ก็ยิ่งไม่อยากให้ทั้งสองคาเฟ่มาทะเลาะกันเลยจริงๆ นึกภาพดูแล้ว ถ้า Café de Sept กับ Cordia เป็นพันธมิตรกันได้ คงสนุกเหมือนกันนะ เผลอๆ จะช่วยส่งเสริมยอดขายให้กันและกันมากกว่ารึเปล่า เฮ้ออ แต่คิดไปก็เท่านั้น ในเมื่อใบหน้าซันตอนนี้มีแต่ความบึ้งตึง หรือแม้แต่มาร์ชเองก็ยังดูอารมณ์ไม่ดีอย่างเห็นได้ชัด ไอ้เรื่องจะให้มาปรองดองกันคงยากแฮะ

เจ้าของผมสีน้ำตาลสะบัดหัวไล่อารมณ์เดือดในตัว พยายามจะไม่ปริปากพูดอะไรออกไปตอนนี้ เพราะรู้ดีว่าความใจร้อนของเขาคงส่งผลลัพธ์ไม่สวยนัก เขากลัวว่าถ้าคุยเรื่องนี้ไปเรื่อยๆ แล้วจะหลุดกระชากเสียงใส่อตินเข้า หรือไม่ก็...หลุดพูดคำบางคำออกไป...

 

ตลอดสี่วันที่เหลือของงาน National Food & Drink เลโอกับอตินจะคอยไปมาหาสู่กันตลอด ท่ามกลางความอิจฉาปนหมั่นไส้ของเหล่าแฟนบอยทั้งปวง กลายเป็นที่ลือลั่นไปทั่วกลุ่มลูกค้าสาววายมากมายถึงความสัมพันธ์ระหว่างสองร้านใหญ่ ที่เคยเป็นอริกันมาตลอดสองปีกว่า แต่ไม่น่าเชื่อว่าด้วยเหตุนี้ ทำให้ยอดขายของทั้ง Café de Sept กับ Cordia พุ่งขึ้นกว่าที่คาดการณ์ไว้มากพอตัว หลายคนเข้ามาแวะเวียน บ้างก็นั่งจ๋อง เพื่อคอยจับตาดูอตินกับเลโอ กลายเป็นว่ามีคนเข้าบูธเยอะกว่าเดิม และนี่ก็เป็นช่วงเวลาใกล้ปิดงานของวันสุดท้ายแล้ว แน่นอนว่าส่วนที่สำคัญก็คือการนับคะแนนโหวตจากคนเดินงานตลอดห้าวันที่ผ่านมา

“ตื่นเต้นอะ”

แจนพูดขึ้นเบาๆ ขณะกำลังฟังท่านประธานกล่าวปิดงานผ่านทางลำโพงที่ติดอยู่ทั่วทุกมุม ก่อนหน้านี้แอบมีสายของน็อต (เดาว่าเป็นลูกค้าสาวๆ นั่นแหละ) แอบว่ากระซิบว่าตัวเก็งเครื่องดื่มก็ยังเป็นร้านเรา กับคอเดียเช่นทุกปี ส่วนเฉาก๊วยน้ำมะตูมของทางฝั่งนั้น เลโอเองก็เคยเอามาให้ลองชิมแล้ว เติมไซรัปเข้าไปจนมีรสชาติหวานขึ้นมา แตกต่างยิ่งขึ้นด้วยการเติมกลิ่นมิ้นท์ที่ไม่น่าจะเข้ากันกับก้อนดำๆ ของเฉาก๊วยเนื้อนิ่ม ถึงอย่างนั้นกลับดูน่าสนใจและไม่เลวเลย แต่ข้อเสียก็มี เพราะการใช้เมนูเชิงนี้ จะไม่สามารถเจาะกลุ่มเด็กกับวัยรุ่นได้ดีนัก ต่อให้ทำออกมาน่าตาดูดี แต่ปกติแล้วแค่ได้ยินคำว่าน้ำมะตูม บางรายก็อาจร้องยี้เพราะคิดว่าไม่อร่อยใช่ไหมล่ะ นั่นแหละที่ทำให้เราแอบคิดว่า ทางนั้นค่อนข้างเสียเปรียบอยู่นิดนึง

เสียง MC สาวลอดออกมาตามสาย จากฮอลล์ย่อยใกล้ๆ นี้ ซึ่งเป็นที่กล่าวเปิด-ปิดงาน การประกาศผลโหวตร้านอาหารกำลังถูกไล่เรียงมาตามลำดับ ท่ามกลางเสียงโห่ร้องจากกองเชียร์ตามบูธต่างๆ คราวนี้ผัดไทเผือกชนะไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ โดยนำเส้นผัดไทยเดิมมาแช่สีม่วงซึ่งคั้นเอาจากเผือกแท้ๆ ไม่ใช่แค่สีผสมอาหารธรรมดา บวกกับวัตถุดิบสดใหม่ทุกวัน ทำให้ชนะไปอย่างขาดลอย ก่อนจะมาถึงคิวของเครื่องดื่มบ้าง ปลายนิ้วเย็นเฉียบขึ้นมาด้วยแรงกดดันและตื่นเต้น ซันฉวยโอกาสกำลังลุ้นเข้าไปกอดอตินจากด้านหลังซะแน่น คางมนเชยอยู่บนบ่าคนตัวเล็กพลางหลับตาปี๋ ไม่กล้าฟัง ทางด้านน็อตกับแจนก็จับมือกันจนเห็นเส้นเลือดปูดขึ้นมา มินยกมือสองข้างขึ้นกุมขมับ พอๆ กับเบสที่เอาแต่ยืนกัดเล็บหน้าเครียด แม้แต่มาร์ชเองก็ลุ้นจนตัวเกร็งไม่แพ้กัน

“ที่สามเป็นของร้าน คาเฟ่ลูกไก่ ค่า!”

“เฮฮฮฮ้~”

เสียงร้องดีใจดังมาจากปลายล็อก A หลายคนปรบมือให้กับความสำเร็จ เป็นอันรู้กันในใจว่าชิงที่หนึ่งจะเป็นร้านไหนไม่ได้นอกจาก Café de Sept กับ Cordia สักพักทั้งฮอลก็เงียบสนิทอีกครั้ง พอดีกับที่เสียงหายใจของ MC ดังแผ่วออกมา

“ต่อไปจะขอประกาศที่หนึ่งนะคะ และผู้ชนะในการแข่งโหวตเครื่องดื่มปีนี้ได้แก่....”

“...”

“ได้แก่...”

“...”

ซันกับอตินหันเข้ากอดกันกลมยิ่งกว่าเดิม หัวใจบีบรัดของความลุ้นแบบสุดโต่ง เบสเอาแต่ขบฟันไปมาใบหน้าตึงเครียด และคนอื่นๆ ก็กดดันมากไม่แพ้กัน แน่นอนว่าอารมณ์ความรู้สึกแบบนี้ก็กำลังเกิดขึ้นกับพนักงานจากคอเดียบนพื้นที่ของล็อก N เสียง MC หยุดไปเพียงชั่วอึดใจ ก่อนจะดังขึ้นอีกครั้งสร้างความตื่นเต้นให้กับคนในงานได้มากขึ้นเป็นล้านเท่า

“Café de Sept ค่ะ!!”

“เฮ้ยยย!!!”

“เยสส!!”

“อ๊ากกก!!”

คนเป็นหัวหน้าพนักงานถึงกับแหกปากออกมาหน้าตาเฉยพร้อมวิ่งไปโอบก้อนซันกับอตินมารวมกัน ตามมาด้วยน็อต แจน และมิน ยกเว้นแค่มาร์ชที่ไม่ได้เข้ามาร่วมวงกอดด้วย ถึงอย่างนั้นก็อดยิ้มกว้างกับความสำเร็จอันสวยงามครั้งนี้ไม่ได้ เสียงโห่ร้องดีใจพร้อมเสียงปรบมือมากมายยังดังก้องอยู่ในหัว คนตัวเล็กด้านในสุดของวงล้อมเอาแต่กระโดดหยองแหยงด้วยความตื้นตัน หัวใจเต้นถี่ราวกับจะเด้งออกมาจากอก เขาไม่สงสัยในความสำคัญของรางวัลนี้อีกแล้ว เพราะมันช่างยิ่งใหญ่มากจริงๆ มากจนความรู้สึกดีใจเอ่อล้นออกมาท่วมท้นไปหมด

ลูกค้าพันธุ์แท้ของร้านที่คอยมาให้กำลังใจอยู่รอบๆ บูธเริ่มเข้ามาพูดคุยแสดงความยินดีด้วย ทุกคนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า เมนูของร้านใช้ได้ดีจริงๆ แต่ไม่ใช่แค่นั้น สิ่งที่ประทับใจมากกว่าก็คือการบริการ ซึ่งเป็นอีกปัจจัยหนึ่งให้พวกเธอเลือกโหวต Café de Sept แค่ไม่นาน ข่าววงในก็กระจายตัวไปทั่ว บอกต่อๆ กันมาว่าคะแนนของ คอเดียเองก็ถูกเฉือนไปแค่นิดเดียวเท่านั้น ไม่ต่างกันเท่าไร ซึ่งถือว่าสมศักดิ์ศรีดีแล้ว

น็อตทำท่าเหมือนจะร้องไห้จนเบสกับแจนต้องเข้าไปปลอบแกมขำ แววตาแห่งความสุขสะท้อนออกมาจากพนักงานร้านทุกคน ชั่ววินาทีหนึ่ง อตินมีโอกาสหันไปสบตากับมาร์ช โดยไม่มีคำพูดใดเล็ดลอดให้ได้ยิน แค่รู้ว่ากำลังดีใจกับสิ่งที่ร่วมกันคิดขึ้นมา

“บอกให้คุณวาโยเตรียมตัวได้เลยสิ” แจนเปรย ยังคงน้ำเสียงตื่นเต้นดีใจไม่หาย เพราะการแข่งนี้ไม่ใช่แค่นับสั่วๆ กะโหลกกะลานะ แต่จะมีมอบรางวัลเป็นโล่กับเงินส่วนหนึ่งทีหลังด้วย มีแต่ผลประโยชน์เข้าร้านเห็นๆ มันถึงได้สำคัญมากไง

พูดกันตามจริงเมนูเครื่องดื่มของเราไม่ได้แปลกมาก แต่ข้อดีคือเราฉลาดเลือกจุดขาย และการโปรโมตก็ใช้ได้กว่าร้านอื่น รวมทั้งการบริการระหว่างงานด้วย เพราะทุกอย่างและทุกคนช่วยกัน ถึงประกอบมาเป็นชัยชนะครั้งนี้ได้ล่ะนะ

“รีบกลับไปฉลองกันดีกว่า!”

น็อตที่หายซึ้งแล้ว ลุกพรวดขึ้นมาแล้วตะโกนต้อนทุกคนให้ช่วยกันเก็บของอย่างไว บรรยากาศภายในฮอลค่อยๆ เงียบเหงาลงทีละน้อย ต่างฝ่ายต่างก้มหน้าจัดการบูธตัวเอง กว่าจะเรียบร้อยก็ปาเข้าไปเกือบข้ามวัน สมาชิกทั้งเจ็ดคนเดินลากทั้งกระเป๋า ทั้งกล่องใส่ของที่เหลือ กับพวกอุปกรณ์มากมายออกมายืนออกันอยู่หน้าลิฟต์ตัวใหญ่ ซึ่งจะพาไปยังลานจอดรถ สักพักก็มีเสียงโหวกเหวกฟังดูคุ้นหูชอบกลดังใกล้เข้ามา ก่อนจะปรากฏร่างของเหล่าพนักงานร้านคอเดีย แต่ละคนหน้าตาเหนื่อยอ่อน แต่ก็ยังมีแรงพูดคุยกันได้

สมาชิกจากทั้งสองร้านเหลือบมองกันเล็กน้อย ไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกไป บรรยากาศมาคุเริ่มโปรยตัวเข้าปกคลุม และลิฟต์ก็ดูเหมือนจะจอดค้างนานเหลือเกินจนชักอึดอัด ในที่สุดเลโอก็เป็นฝ่ายก้าวขาข้ามเขตแดนล่องหนเข้ามาลูบหัวอตินซะเฉยๆ พนักงาน Café de Sept คนอื่นมองตามทั้งคู่ตาขวาง แม้จะไม่ได้ขยับตัวสักก้าว แต่ก็พร้อมเข้าไปขวางทุกเมื่อ

“ดีใจด้วยนะ”

“ขอบคุณครับ”

“ไว้พี่จะโทรไปคุยด้วยนะ” อตินพยักหน้ารัวๆ เพราะมีอีกมากมายหลายสิ่งที่อยากเล่าให้ฟังตลอดสองปีที่หายหน้าหายตากันไป ผิดกับพี่ๆ คนอื่นที่เอาแต่เบิกตากว้างเหมือนไม่อยากจะเชื่อหู ให้ตายก็ไม่ชิน กับการเห็นคนของตัวเองมายืนพูดคุยสนิทสนมกับอริตลอดกาลแบบนี้ ยิ่งซันด้วยแล้ว เขาแทบจะคุมตัวเองไม่อยู่เชียว

เลโอเงยหน้ามองซันครู่หนึ่ง สัมผัสได้ถึงความรู้สึกบางอย่างที่ส่งออกมาผ่านทางสายตาดุดัน ไม่ใช่แค่เกลียดแล้วนะ แววตาของไอ้หมาบ้าตัวนี้ มันกำลังหวงกระดูกชิ้นโตอยู่ชัดๆ พอเหลือบไปทางมาร์ชก็ยิ่งต้องแปลกใจมากขึ้นอีกโข เมื่อท่าทางเคร่งขรึมนั้น เวลานี้กลับไม่ใช่ความเย็นยะเยือกอย่างทุกที หากแต่เป็นเหมือนไฟสีฟ้า ที่ดูราวกับว่าจะสงบ แต่แท้จริงแล้วกลับร้อนแผดเผายิ่งกว่า ยังไม่รวมน้องเล็กสุดที่เคยเอาแต่เหนียมนั่นอีก ทำไมวันนี้ถึงได้กล้าทำตาขวางใส่พวกเขาล่ะ ไม่อยากเชื่อเลย...เพราะอตินงั้นเหรอ?

“..หึ...”

คนตัวโตแสยะยิ้มพอใจเหมือนเพิ่งคว้าชัยชนะ นึกอยากจะลองแกล้งลองใจผู้ชายสองสามคนตรงหน้าดูสักหน่อย ทันทีที่เสียงสัญญาณลิฟต์ดังขึ้น เบสก็รีบกวักมือเรียกอตินให้กลับมารวมกลุ่ม พื้นที่ด้านในคงพอแค่ให้พนักงานร้านเดียวเข้าไปก่อน หวังว่าจะไม่ต้องทนเห็นหน้าพวกคอเดียอีกแม้แต่วินาทีเดียว แต่เพียงเสี้ยวเวลาหนึ่ง ก่อนที่เลโอจะยอมปล่อยอตินออกห่าง เขาจงใจโน้มตัวลงมา ฝากรอยจูบบางเบาเอาไว้บนหน้าผากมน โดยไร้วี่แววของการขัดขืนหรือแม้แต่ตกใจ ขณะที่สมาชิกที่เหลือ แทบจะพุ่งเข้าใส่เพื่อนร่วมวงการท่าทางกวนตีนคนนี้

“ดูแลตัวเองนะ”

เลโอยิ้มกว้างพลางยีหัวอตินทิ้งท้าย แม้แต่คนของคอเดียเองก็ดูจะตกใจกับการกระทำเมื่อครู่อยู่เหมือนกัน ส่วนคนตัวเล็กน่ะเหรอ...เอาแต่ยิ้มรับ โบกมือลาหยอยๆ ไม่ออกปากว่าสักนิดเดียว ยิ่งทำให้ใครแถวนี้นึกหมั่นไส้ระคนน้อยใจขึ้นมา

ซันทำท่าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างเมื่อทุกคนเข้ามาอยู่ในลิฟต์ แต่ก็ถูกสายตาของน็อตปรามไว้ก่อน คงรู้ว่าถ้าคุยอะไรกันตอนกำลังเดือด ต้องได้มีเรื่องเข้าใจผิดแน่นอน แล้วพวกเขาเองก็ยังไม่รู้ถึงระดับความสัมพันธ์ที่แน่นอนระหว่างอตินกับเลโอ ถ้าเผลอหยาบคายออกไป มีหวังโดนน้องงอนเข้าพอดี สิ่งที่พอให้เข้าใจได้มีแค่ว่า พวกเขาเคยเป็นรูมเมทกันตอนย้ายไปเรียนที่เมืองอื่น เท่านั้นจริงๆ...

 

“ผมไม่ชอบธีมครั้งนี้เลยจริงๆ นะ!”

อตินร้องขึ้น ก่อนก้มหน้าลงบนฝ่ามือตัวเองอย่างคนสิ้นหวัง ซันได้แต่นั่งมองขำๆ อยู่บนโซฟาตัวเดียวกัน หลังจากจบงาน National Food & Drink ไป ก็ถึงเวลาของวันนั้นของเดือนอีกครั้ง คราวนี้วาโยเล่นแรงด้วยการเสนอธีม ‘ทาซาน’ ให้ ภายในซองเสื้อผ้ามีแค่กางเกงลายเสือกับพวกเครื่องประดับแตกต่างกันไป ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่าจะเกิดการเปลือยอกขึ้น น็อตกับมินก็มีบ่นอยู่บ้าง คิดว่าร่างกายตัวเองยังไม่พร้อมพอ ส่วนแจนน่ะสติหลุดไปแล้ว เพราะช่วงนี้ชิมขนมมากไปหน่อยเลยชักจะเริ่มมีพุงน้อยๆ พอให้สังเกตเห็น

ทางด้านอตินก็เอาแต่โวยวายเหมือนกัน ไม่ใช่เพราะอ้วนนะ แต่บ่นเพราะผอมเกินไปต่างหาก ก็ไม่ได้หุ่นดีมีกล้ามเนื้อเหมือนคนอื่นนี่ ถึงได้อายที่จะต้องโชว์อะไรแบบนี้ ถอดเสื้อออกมาเนี่ย ไม่มีอะไรให้ดูหรอกนะ แย่จะตาย

“ได้ข่าวว่าเปิดโชว์ไอ้มินทุกวัน” ซันแกล้งแซว แม้ในใจจะแอบหมั่นไส้ปนอิจฉาเบาๆ

“ไม่ได้โชว์สักหน่อย”

“เฮ้ยเดี๋ยวนะ งี้แปลว่าตอนอยู่กับไอ้เลโอ นายก็ถอดเสื้อเป็นปกติหรอ?” อยู่ดีๆ ก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ ถ้าเป็นรูมเมทกัน ก็ต้องเคยเห็นเด็กนี่เปลือยอกแน่อยู่แล้ว แถมดูท่าทางสนิทขนาดนั้น ไม่รู้เห็นไปถึงไหนแล้วเนี่ย โว้ย หงุดหงิด!

“ก็ปกติไม่ใช่หรอครับ”

“ไม่ดิ ไม่รู้จริงๆ เหรอว่ามันเป็นเสือ” เริ่มขึ้นเสียงหน่อยๆ อย่างควบคุมไม่อยู่ พร้อมขยับตัวขึ้นมาจ้องหน้าอตินนิ่ง หากแต่โดนสายตาจับผิดจากคนตัวเล็กตอกกลับทำเอาเขาแทบไปต่อไม่เป็น เหมือนกำลังจะบอกว่า ที่นั่งอยู่ตรงหน้าผมก็คือเสืออีกตัวเหมือนกันไม่ใช่หรอ อะไรเทือกนั้น

“พี่ไม่ชอบให้นายไปสนิทกับมันเลยจริงๆ”

“แต่พี่เลโอเขาดีกับผมมากนะ คอยดูแลผมมาตลอดสามปีเลย”

“สามปีเลยเหรอ?”

“ครับ ตอนเด็กๆ ผมย้ายไปนู้นไปนี่บ่อยมาก ตอนแรกผมก็อยู่ที่เมืองนี้นะ แต่ย้ายบ้านและไปต่อม.ต้นที่เมือง B พอม.ปลาย ดันสอบเข้าโรงเรียนของเมือง C ได้ ผมเลยต้องย้ายไปอยู่หอกับพี่เลโอ แต่พอพี่เลโอจบมหาลัยก็ย้ายออก ตอนนี้ผมอยู่คนเดียว พอดีเขาเลื่อนเปิดเทอมให้ตรงกับนานาชาติ เห็นว่างๆ ตั้ง 6 เดือน ผมเลยกลับมาหางานที่เมืองนี้ แล้วได้เจอพี่ซันไง”

อตินเล่าประวัติการเดินทางของตัวเองตั้งแต่เด็กจนโต จนซันอดนึกขำตามไม่ได้ อะไรจะย้ายไปย้ายมาขนาดนั้น แล้วทำไมไม่หางานที่เมือง C หรือกลับไปหาพ่อแม่ที่เมือง B ล่ะ ความคิดเด็กนี่แปลกจนเดาไม่ถูกเลยแฮะ แต่ก็คงดีแล้วแหละ สงสัยชะตาจะลิขิตให้พวกเขาได้มาเจอกันก็ได้

“พี่เลโออาจจะดูเหมือนน่ากลัว แต่จริงๆ ใจดีแล้วก็ตลกมากเลยน้า”

“ดูสนิทกันจริงๆ นะ” น้ำเสียงจิกกัดถูกส่งออกไปพอให้คนตัวเล็กสะอึก แอบรู้ตัวอยู่ว่าซันคงไม่ชอบใจที่เรื่องมันเป็นแบบนี้ แต่ช่วยไม่ได้ เมื่อเลโอเป็นพี่ที่ดีมากสำหรับเขานี่ “ขนาดมันจูบหน้าผากตอนนั้น นายยังไม่ว่าเลย...”

ท่าทางหมั่นไส้เริ่มลดลง ถูกแทนที่ด้วยอาการน้อยใจ น้ำเสียงอ่อนลงจนคนฟังอดสงสัยไม่ได้ ดวงตาแพรวพราวของผู้ชายชื่อซันจางหายไปแล้ว กลับกลายเป็นความหม่นหมองที่ส่อออกมาให้เห็น อตินชั่งใจครู่หนึ่ง ก่อนขยับตัวจนชิดกับอีกฝ่าย หัวไหล่บางกระแซะเข้าไปกับต้นแขนเป็นมัดอย่างหยอกล้อ น้ำเสียงหวานพยายามอ้อนง้ออย่างพยายามที่สุด

“พี่ซันอ่า พี่เลโอเขาก็เหมือนพี่ชายแท้ๆ ของผมเท่านั้นเองน้า”

เขารู้ดีว่าซันคงน้อยใจ ทั้งที่ถูกเปรยว่าเป็นพี่ชายที่แสนดีเหมือนๆ กัน แต่เขาก็ยังไม่เคยยอมให้ซันเข้าใกล้มากถึงขนาดนั้น แค่เพราะว่ายังไม่เคย ก็เลยยังไม่ชินล่ะมั้ง แต่ไอ้การสกินชิพแบบนี้ ปกติเขาทำกับเลโอเป็นกิจวัตรจนลืมอายไปแล้วล่ะ แน่นอนว่าช่วงแรกๆ เขาก็ตกใจและขัดขืนตลอด แต่เล่นโดนกอดโดนหอมทุกวัน มันก็ชาไปเอง

“แล้วพี่ไม่ใช่พี่นายหรอ?” คนตัวสูงปรายตามองท่าทางหยั่งเชิง

“ใช่ซี่!”

“งั้นพี่ก็จูบนายได้เหมือนกันใช่ไหม?”

หันร่างกายครึ่งบนเข้าหา ดวงตาสบตานิ่ง ภายในคำพูดเมื่อครู่ไม่ได้มีความล้อเล่นแอบแฝงอยู่แม้แต่น้อย ทำเอาอตินถึงกับใบ้กิน พยายามก้มหน้าหลบ หากก็ถูกมือใหญ่เชยคางกลับขึ้นมาอีกครั้ง อะไรบางอย่างกำลังตีกันอยู่ในหัวคนเด็กกว่า ใจหนึ่งก็นึกขัดเขินเพราะยังไม่เคยชินกับการถึงเนื้อถึงตัวของซันมากนัก แต่อีกใจก็ห่วงว่าจะถูกงอนอีกยกใหญ่หรือเปล่า

ฮึ่ยย...เอาวะ ก็แค่จูบหน้าผาก เลโอเองก็ทำอยู่บ่อยๆ แค่พี่น้องกันเอง ไม่เป็นไรหรอกมั้ง...

“อ..อือ”

ส่งเสียงตอบรับอย่างยากเย็น พวงแก้มใสเริ่มขึ้นสีระเรื่อ รู้สึกแปลกๆ เมื่ออยู่ดีๆ ก็ต้องเข้าสู่สถานการณ์แบบนี้ แต่ขนาดเขายอมแล้ว ซันก็ยังไม่เผยรอยยิ้มขี้เล่นออกมาให้เห็นเหมือนอย่างเคยจนนึกสงสัย คนตรงหน้าดูจริงจังมากกว่าปกติ...มาก ขนาดที่เขาเดาใจไม่ถูกเลย

สองมือหนาเอื้อมเข้ามาประคองใบหน้าหวานไว้ ค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้าหาอย่างเชื่องช้า พอให้หัวใจของคนตัวเล็กเต้นถี่ เพราะซันไม่เคยเป็นแบบนี้ และพวกเขาไม่เคยแสดงออกกันแบบนี้มาก่อน มันเลยชวนให้หวั่นไหวอยู่นิดนึงเหมือนกันนะ ถึงจะคอยคิดย้ำๆ ว่าทำไปเพราะเป็น พี่-น้อง กันก็เถอะ ยังไงก็น่าอายอยู่ดี

“อติน...”

เสียงทุ้มต่ำแบบที่ไม่คุ้นนักจากผู้ชายชื่อซันดังขึ้นพอให้ตกใจ ไม่รู้ควรทำยังไงดีเลยได้แค่หลับตาลงซะอย่างนั้น เริ่มสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ที่เป่ารดอยู่บนหน้าผาก ขยับใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนเขาเผลอขยุ้มชายเสื้อตัวเองไว้แน่น

ณ วินาทีนั้น ไม่มีอะไรเกิดขึ้น...

จวบจนกระทั่งแรงหายใจของคนตรงหน้าค่อยๆ เลื่อนต่ำลงมาตามแนวสันจมูก ก่อนที่ซันจะตรงเข้าประกบริมฝีปากบางของอีกฝ่ายอย่างไม่ทันให้ตั้งตัว อตินตกใจจนร่างสะดุ้ง พยายามดันอกกว้างออกห่าง หากแต่ไม่เป็นผล ครั้นจะเบิกตาขวางถามว่านี่มันบ้าอะไร กลับทำได้แค่หลับตาปี๋ยิ่งกว่าเก่า ทุกอย่างในขณะนี้ช่างชวนตื่นตระหนก แม้ว่าซันจะทำมันอย่างนุ่มนวลแค่ไหนก็ตาม

“อื้อ..อ!”

คนตัวเล็กพยายามส่งเสียงประท้วงอยู่ในลำคอ หัวคิ้วสองข้างขมวดเป็นโบ ภายในสมองยุ่งเหยิงไปหมด ตลอดระยะเวลาไม่กี่วินาทีที่ซันแช่ริมฝีปากทาบทับไว้ ดูเหมือนกับว่าผ่านไปนานเหลือเกิน สุดท้ายคนโตกว่าจึงยอมผละตัวออก เคลื่อนมือลงมาบีบหัวไหล่เล็กซึ่งเริ่มสั่นเทาด้วยความตกใจกลัวเอาไว้

อตินที่ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะต้องออกปากต่อว่าทันทีที่หลุดออกมาได้ กลับทำได้แค่นั่งเงียบสนิท เมื่อเห็นว่าสีหน้าของซันดูย่ำแย่แค่ไหน แววตาที่ดูเศร้าสร้อย กับคิ้วสองข้างที่ขมวดมุ่นไม่แพ้กัน ยิ่งทำให้เขาไม่เข้าใจเลย กลีบปากบางออกสีแดงชัดเจนจากการเม้มแน่นเมื่อครู่ แสดงออกไปทั้งหมดจากสัญชาตญาณตัวเอง ทั้งที่เห็นอยู่ว่าซันก็ทำแค่เพียงแตะริมฝีปากทาบเอาไว้เฉยๆ เท่านั้น

“พี่ชอ...”

“?”

คนตัวใหญ่ส่งเสียงแผ่วเบาออกมาท่าทางยากลำบาก พูดคำนั้นทั้งๆ ที่ดวงตาสองข้างปิดสนิท ยังคงเห็นร่องรอยของความเครียดจัดบนใบหน้า ซันตัดสินใจสูดอากาศเข้าเต็มปอด ก่อนจะลืมตาขึ้นจ้องอตินนิ่ง บรรยากาศที่เกินคำว่าจริงจังชวนให้คนตัวเล็กรู้สึกขนลุกอย่างบอกไม่ถูก แรงสัมผัสบริเวณหัวไหล่ยิ่งเพิ่มขึ้นอีกตามความกดดันรอบๆ ก่อนที่คำพูดบางอย่างจะหลุดรอดออกมาจากปากสีส้มธรรมชาตินั้น

“พี่ชอบอติน”
หัวข้อ: Re: ♡♡ ในร้านกาแฟ ♡♡ by「aonair」 UP! บทที่ 10
เริ่มหัวข้อโดย: aonair13 ที่ 23-04-2016 18:55:42
14


“พี่ซัน..” คนตัวเล็กเค้นคำพูดออกมา หลังจากปล่อยให้บรรยากาศเงียบกริบได้สักพัก “เป็นอะไรหรือเปล่า?”

“พี่ไม่ได้เป็นอะไร พี่แค่บอกว่าพี่ชอบอติน”

อตินส่ายหน้าเหมือนไม่เชื่อหู ค่อยๆ ลุกขึ้นจากโซฟา พร้อมกับสลัดมือที่เกาะกุมบ่าของเขาไว้ออก ภายในดวงตากลมโตเต็มไปด้วยความสับสนและหลากหลายคำถาม ในขณะที่ซันกลับดูจริงจัง ทว่าแฝงไปด้วยความเจ็บปวด

รู้สึกปวดใจ เพราะเหมือนจะเดาออกว่าคำตอบของเด็กนี่คืออะไร...

คือไม่ยอมรับ...

คือไม่รัก...

“ผมว่าพี่ซันไม่สบาย ไปนอนเถอะครับ ผมก็จะเข้านอนแล้วเหมือนกัน” รีบพูดใส่รัวๆ ทั้งที่ไม่สบตาด้วยสักนิด ก่อนจะจรลีหนีหายกลับห้องนอนไปเลย ทิ้งให้ซันนั่งจมอยู่กับคำพูดตัวเองที่ยังคงดังก้องอยู่ในหัว และคำพูดนั้น มันก็ยังก้องอยู่ในหัวของอตินเช่นกัน

คนตัวเล็กรีบตรงเข้าหาเตียงนอน โดยไม่ปริปากพูดอะไรออกมา มินที่กำลังก้มหน้าอ่านอะไรบางอย่างบนโต๊ะ ได้แค่ปรายตามองอย่างนึกสงสัย หากก็ไม่ได้ถามเอาความ ผ้าห่มผืนใหญ่ถูกดึงขึ้นมาคลุมโปงถึงหัว

บ้าไปแล้ว ซันบ้าไปแล้วหรือไง!?

ที่จูบน่ะคืออะไร ที่บอกว่าชอบน่ะหมายความว่ายังไง เราเป็นพี่น้องกันไม่ใช่เหรอ ทำแบบนั้น...มันไม่ใช่พี่น้องสักหน่อย ต..ตกใจหมดเลย ทำไมถึงได้กลายมาเป็นแบบนี้ แล้วต่อไปเขาควรทำหน้ายังไง ควรทำตัวยังไงล่ะ? โอ้ยย ปวดหัวว้อย!

 

“นี่ ซันกับอติน เป็นอะไรหรือเปล่า?”

น็อตเดินยกถาดอาหารเปล่าเข้ามาถามเบสที่กำลังช่วยมาร์ชอยู่หลังเคาน์เตอร์ ขณะที่อตินขอตัวเข้าไปเป็นลูกมือแจนในครัวแต่เช้า ส่วนซันก็เอาแต่บริการลูกค้างกๆ หลายครั้งจะแอบหมกตัวอยู่แต่ชั้นสอง เถลไถลไม่ยอมลงมาเห็นหาเห็นตาเพื่อนคนอื่นจนชักน่าสงสัย

“ไม่รู้เหมือนกัน แต่ดูท่าไม่ปกติแน่”

“โคตรไม่ปกติเลยแหละ วันนี้ซันแทบไม่เปิดปากพูดเลย อตินก็ไม่ยอมออกมาจากครัว”

“อืม...เหมือนจะพยายามหลบหน้ากันอยู่นะ มาร์ช รู้อะไรบ้างไหม?”

เบสหันไปถามคนที่ทำเป็นเช็ดแก้วไม่สนใจ ทั้งที่แอบฟังบทสนทนาอยู่ห่างๆ มาตั้งแต่ต้น คนผมแดงส่ายหัวเล็กน้อย เขาเองก็ไม่รู้เรื่องเหมือนกัน แต่เมื่อคืน หลังจากซันนั่งเล่นกับอตินเสร็จแล้วกลับเข้ามาในห้อง ก็ดูเครียดๆ ซึมๆ ไปเลย เหมือนจะเป็นครั้งแรกในชีวิตที่หมอนั่นทำหน้าแบบนั้นด้วยสิ

“ไม่ใช่ว่าไอ้ซันไปแกล้งอะไรน้องเข้านะ”

“จะยังไงก็เหอะ ไม่ชอบที่เป็นแบบนี้เลย”

“คุณเกล สวัสดีครับ” ระหว่างกำลังยืนออปรึกษากันแถวเคาน์เตอร์ เสียงมินก็ดังขึ้นจากหน้าประตู หันไปจึงเห็นลูกค้าวีไอพีคนขี้เอาแต่ใจก้าวขาเรียวเข้ามาในร้าน แว่นกันแดดสีชาถูกถอดออก พร้อมสายตาคมเฉี่ยวที่กำลังสอดส่องไปทั่วบริเวณเหมือนกำลังหาใครอยู่ น็อตที่พอจะเดาสถานการณ์ออก จึงรีบสะกิดเบสอย่างไว

“เดี๋ยวฉันจะไปตามอติน นายไปต้อนรับคุณเกลก่อน”

“อ่าวเฮ้ย”

ไม่รอให้เบสทันปฏิเสธ น็อตก็รีบย้ายตัวเองเข้าไปในครัว คนเป็นหัวหน้าจึงต้องยอมฝืนยิ้มออกไปผายมือรับลูกค้าคนสวยเข้าสู่ที่นั่งประจำ เกลก้มหน้ายิ้มๆ พร้อมเอ่ยปากถามทันควัน

“อตินล่ะ?”

“อยู่ในครัว เดี๋ยวคงออกมาครับ แล้ววันนี้คุณเกลจะรับอะไรดีครับ?”

“ฉันรออตินมารับออเดอร์”

“อ่า...ครับ”

เบสผงกหัวรับช้าๆ หน้าชาไปวูบหนึ่ง ก่อนจะขอปลีกตัวกลับมาเฝ้าเคาน์เตอร์กับมาร์ชเหมือนเดิม ตั้งแต่อตินเข้ามาทำงานจริงจัง ดูเหมือนเกลจะถูกอกถูกใจเด็กนั่นมาก กลายเป็นว่าเกาะติดแจ อะไรๆ ก็ต้องอตินตลอด น่าสงสารอยู่เหมือนกัน ต้องมาคอยรับรองและรองรับผู้หญิงคนนี้แทบทุกอย่าง สักพักหนึ่งคนถูกพูดถึงก็เดินตัวเปื้อนแป้งออกมาจากในครัว กำลังจะเดินเข้าไปหาเกลซึ่งนั่งกดมือถือเล่นอยู่ แต่ไม่ทันเบสที่รีบคว้าข้อมือบางเอาไว้ก่อน พร้อมส่งเสียงดุๆ ออกมา

“แต่งตัวให้เรียบร้อยก่อน”

ว่าไป มือก็จับปกเสื้อที่พลิกขึ้นมาระต้นคอให้คนตัวเล็ก อตินรีบก้มสำรวจเสื้อผ้าตัวเองให้เข้าที่ เพราะวันนี้ทั้งวันเอาแต่จมอยู่ในครัว ช่วยนู้นนั่นนี่จนลืมไปว่า ไม่สามารถเดินออกไปบริการลูกค้าทั้งที่อยู่ในสภาพไม่เรียบร้อยได้ เบสปิดท้ายด้วยการปาดนิ้วหัวแม่มือไปตามแก้มเนียน เพื่อเช็ดเอาคราบครีมออกมา พอเห็นว่าโอเคดีแล้ว จึงตบบ่าให้กำลังใจสำหรับการออกไปเผชิญหน้ากับลูกค้ารับมือยากหมายเลขหนึ่ง

“คุณเกล สวัสดีครับ”

“อติน~”

“รับอะไรดีครับ?” พยายามกลั่นยิ้มที่ดูจริงใจที่สุดออกมาส่งให้ มือถือกระดาษเตรียมจดออเดอร์ เกลทำเป็นชวนคุยออกนอกเรื่องได้ครู่หนึ่ง ถึงเริ่มสั่งอาหารและเครื่องดื่ม ยังไม่วายคอยแทะโลมอตินผ่านทางสายตาอยู่ตลอด

เกลยังคงใช้เวลาอยู่ในร้านนานพอตัวอย่างเช่นทุกที ราวกับว่าชีวิตนี้เธอว่างเหลือเกิน มีครั้งหนึ่งที่ซันเดินกลับลงมา แต่พอเห็นอตินเท่านั้นแหละ ก็รีบหลบหน้าอีกครั้ง สมาชิกคนอื่นต่างก็นึกเป็นห่วง อาจมีแค่คนเดียวที่คอยจับตามองด้วยท่าทีสงบนิ่งจนแทบน่ากลัว...

“เดี๋ยวอติน ช่วยยกไปไว้ที่รถฉันด้วยนะ”

“อ..ครับ”

คนตัวเล็กพยักหน้า แล้วหันไปหยิบเอาถุงขนมเค้กมากมายที่เกลสั่งกลับบ้านมาไว้ในมือ เหลือบมองเบสเล็กน้อยเพื่อขอกำลังใจ ก่อนจะก้าวขาตามเกลออกไปจากร้าน รถยนต์คันหรูถูกจอดเลียบถนนอยู่ไม่ไกลนัก พอจัดแจงเอาของทั้งหมดใส่เบาะหลังเรียบร้อยแล้ว ก็ย้ายมายืนยิ้มๆ อยู่ข้างตัวรถ หวังจะรีบล่ำลา แล้วจากกันซะ แต่เกลก็ยังไม่วายชวนคุยอ้อล้อต่อกระซิกไปเรื่อย ค่อยๆ เนียนขยับตัวเข้าหา แถวยังถือวิสาสะจับข้อมือเขาไว้แน่น ไอ้บทจะสะบัดออกก็ทำไม่ได้เสียอีก ได้แต่ส่งยิ้มแห้งๆ พยายามสื่อให้เห็นว่าเขาต้องรีบกลับไปทำงาน

อยู่ดีๆ เกลก็หยุดพูดไป เหมือนจะถึงเวลาอันควรแก่การอำลา แต่ทำไมเขาถึงรู้สึกถึงลางไม่ดียังไงไม่รู้... ผู้หญิงตรงหน้าอมยิ้มกรุ้มกริ่ม จ้องตาเขานิ่งเหมือนกำลังคิดอะไรในหัว เพียงแค่วินาทีต่อมา เกลก็รีบเขย่งตัวขึ้นไปประทับรอยจูบลงบนริมฝีปากบางที่เม้มปิดไม่ทัน อตินเบิกตากว้าง สองมือตั้งใจจะผลักเกลออก แต่กว่าจะตั้งสติได้ เจ้าตัวก็เดินหัวเราะคิกคักขึ้นรถ ก่อนจะขับออกไปอย่างว่องไวแล้ว ทิ้งให้เขาได้แต่ยืนอึ้งกับการกระทำเมื่อครู่อยู่คนเดียว หลังมือยกขึ้นถูริมฝีปากตัวเองเบาๆ ในหัวยังโล่งช็อคอยู่หน่อยๆ ถึงจะแค่แตะโดนกันเพียงเฉียดเดียว แต่มันก็ไม่เหมาะสมเลยนะ! ผู้หญิงประเภทนี้มัน.....บ้า!

“เฮ้ออ!” ถอนหายใจรุนแรงเพื่อระบายอารมณ์หงุดหงิดแปลกๆ ในตัว ก่อนจะพยายามทำใจให้สงบและเดินกลับร้าน ทันทีที่ผลักประตูเปิดออก ก็เจอมินยืนตีหน้าตึงๆ เหมือนกำลังรออยู่แล้ว

“มีอะไรหรอ?”

“มานี่หน่อย”

ไม่ว่าเปล่า กลับเข้ามาคว้ามือเขาไว้แน่น ก่อนจะออกตัวลากผ่านสายตารุ่นพี่คนอื่นไปทางหลังร้าน ผลักประตูห้องน้ำพนักงานออกแล้วเหวี่ยงร่างอตินเข้าไปอย่างใจร้อน คนตัวเล็กรีบทำตาขวางใส่ เมื่อเห็นว่ามินกำลังหันไปกดล็อคกลอนประตู

“ทำบ้าอะไร มิน?”

“เมื่อกี้ยอมให้คุณเกลจูบหนิ”

“อึก...” คำพูดของคนเด็กกว่าทำเอาอตินถึงกับสะอึก ตีสีหน้าไม่ถูกเพราะไม่คิดว่าจะมีใครมาเห็น แต่นั่นไม่ใช่ความผิดเขาสักหน่อย แถมเขายังเป็นฝ่ายโดนแกล้งต่างหาก

“ก็อยู่ดีๆ คุณเขาก็ทำแบบนั้นเองนะ”

“แล้วไม่ขัดขืนเลยหรอ?” มินยิ่งรุกไล่ถามคำถาม พลางขยับตัวเข้ามาใกล้มากขึ้น จนหลังอตินแทบจะติดกับผนังห้องน้ำขนาดไม่ได้กว้างมาก และนั่นก็ทำให้เขารู้สึกไม่ดีเอาซะเลย

“อะไ...”

“ใครจะจูบนายก็ได้งั้นหรอ?”

“มิน”

พยายามควบคุมน้ำเสียงให้เรียบที่สุด ไม่ตะคอก ไม่ตะโกน ไม่งั้นมีหวังพี่ด้านนอกได้ยินกลายเป็นเรื่องใหญ่แน่ แต่ให้ตายเหอะ นี่มันเรื่องบ้าอะไรอีก ไอ้คนเด็กกว่านี่กลายเป็นดาร์คคยอมมี่ไปอีกแล้วเรอะ แบบนี้เขาไม่ชอบเลยนะ แววตาที่เต็มไปด้วยความห่วงหวงบางอย่างทอประกายออกมาให้เห็น รวมทั้งแรงกดดันที่แผ่ออกมาจากไหล่กว้าง เหมือนกับว่าร่างของเขากำลังจะถูกกลืนกินไปทั้งอย่างนี้ สองมือหนาคว้าหมับเข้ากับหัวไหล่บางของเขา กุมเอาไว้แน่นเหมือนกำลังเก็บกลั้นอารมณ์เดือดในใจ ขนาดว่าแสดงสีหน้าเหยเกให้เห็น ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะยอมปล่อย น้ำเสียงคมกริบดังขึ้นอีกครั้ง ราวกับฆ้อนที่กระแทกเข้ามากลางอก พอให้จุกหนักๆ ไปที

“เหมือนที่พี่ซันจูบนายใช่ไหม”

“มิน...” ดวงตากลมเบิกกว้างอย่างไม่เชื่อหู สายตาเริ่มกลอกลน ไม่คิดว่ามินจะรับรู้เรื่องเมื่อคืนด้วย เห็นงั้นเหรอ!? งั้นที่ทำเป็นนิ่งมาตลอดทั้งวันเพราะแบบนี้เองเหรอ

“คือมั...อุบ!”

ไม่ทันได้อธิบายอะไร ร่างเล็กก็ถูกดันเข้าชิดผนังดังปัก พร้อมกับที่มินโน้มตัวลงต่ำ ก่อนเข้าครอบครองริมฝีปากบางอย่างรวดเร็ว อตินได้แต่หลับตาปี๋ ในหัวมีแต่เครื่องหมายอัศเจรีย์ลอยอยู่เต็มไปหมด คนเด็กกว่ายิ่งบดขยี้ริมฝีปากเข้าไปมากขึ้น เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายพยายามดิ้นหนี สองมือใหญ่บีบต้นแขนอตินไว้แน่นกว่าเดิม เขาไม่อยากจะรับรู้เรื่องความผิดชอบชั่วดีในตอนนี้ รู้แค่ว่าความโกรธสะสมตั้งแต่เห็นภาพบนโซฟาเมื่อคืนมันกำลังปะทุออกมา ไม่ยุติธรรมที่ซันจะทำอะไรกับอตินก็ได้ ทั้งที่เขาคือคนที่รักและหวงอตินมากไม่แพ้ใครทั้งนั้น

“อ..อื้อ!!” คนถูกคุมคามได้แต่ร้องประท้วงอยู่ในลำคอ ไม่กล้าแม้แต่จะเผยอริมฝีปากออกแม้เพียงเล็กน้อย มินในตอนนี้น่ากลัวเกินกว่าที่เขาจะไว้วางใจ ทำไมอยู่ดีๆ ก็ทำแบบนี้ แล้วยังรุนแรง...ไม่สมกับที่เป็นนายสักนิด ไอ้เด็กเวร!

ปังง!!

เสียงประตูห้องน้ำเปิดกว้างจากแรงกระแทกบางอย่าง ทำให้ร่างสูงต้องรีบผละตัวออก เปิดโอกาสให้อตินสลัดหลุดจากการเกาะกุม ภาพที่เห็นคือเบสที่กำลังยืนถือกุญแจพวงใหญ่ที่ใช้ไขกลอนประตูเมื่อครู่ พ่วงด้วยซันที่มีสีหน้าน่ากลัวยิ่งกว่าครั้งไหน สายตาดุดันตวัดเข้าหาน้องเล็กสุด ไม่มีความอ่อนโอนใดๆ ก่อนที่หมัดหนักจะถูกส่งเข้าไปปะทะใบหน้าเรียวของมินภายในไม่กี่เสี้ยววินาที ทั้งเบสและอตินเผลอร้องตกใจขึ้นมาดังลั่น จนน็อตที่ยืนเฝ้าด้านนอกอยู่กับมาร์ช อดจะวิ่งเข้ามาดูไม่ได้

“เกิดอะไ..เฮ้ย!”

น็อตร้องพร้อมยกมือขึ้นปิดปากอย่างตกใจ เมื่อเห็นว่ามินกำลังเซจนเหมือนร่างจะล้มลงไปชนกับอ่างล้างมือ มีผู้ชายอีกคนยืนกำหมัดอยู่ใกล้ๆ ท่าทางกำลังเดือดจัด พอเห็นว่าซันขยับเท้าก้าวเข้าหามินอีก อตินจึงปราดเข้าไปโอบห้ามจากด้านหลังเอาไว้ก่อน

“พี่ซันอย่า!”

“แต่มันจูบเรา!”

คนเป็นพี่สะบัดตัวอตินออก ก่อนจะหันกลับมาตะคอกเสียงดัง จนคนตัวเล็กได้แต่เบิกตากว้างค้างเอาไว้หลายวินาที เหมือนอยากจะฟื้นความทรงจำบางอย่างให้กับเจ้าของคำพูดเมื่อครู่ ซันที่เริ่มรู้ตัวค่อยๆ สงบอารมณ์ลงพลางคลายหมัดออกช้าๆ ก็ลืมไปว่าเขาไม่มีสิทธิ์ต่อว่าเรื่องนี้ ในเมื่อเขาเองก็เพิ่งชิงจูบเด็กตรงหน้าไปแล้วเหมือนกัน

“พี่ซันก็จูบอตินเหมือนกัน!” คนที่พูดขึ้นกลับเป็นมินซึ่งกลับมายืนเต็มความสูงอีกครั้ง ที่ตกใจกว่าใครก็คงไม่พ้นเบสกับน็อต ทั้งสองกำลังยืนอ้าปากค้าง ช็อคกับสิ่งที่เห็นและรับรู้ คิดไม่ออกเลยว่าควรจะพูดคำไหนออกไปดี

“นี่มันเรื่องบ้าอะไร?”

น้ำเสียงเย็นเยียบจากใครอีกคนดังขึ้นด้านหลัง พอหันไปดูก็เห็นว่าเป็นมาร์ช ที่ทนเสียงเอะอะโวยวายไม่ไหว ต้องเดินเข้ามาเช็คสถานการณ์ ประจวบกับได้ยินเรื่องน่าสนใจชวนให้โมโหเข้าพอดี สายตาเรียบเฉยแบบที่ไม่อยากเห็นเลยกำลังส่งมาให้อติน สลับกับใบหน้าโกรธๆ ของซันและมิน แค่รู้ว่าไอ้เด็กสองคนนี้มันหาเรื่องใส่ตัวด้วยการไปขโมยจูบน้องใหม่ ไม่รู้ทำไมถึงอยากเดินเข้าไปต่อยหน้าสักคนละทีสองที

“นั่นสิ เรื่องบ้าอะไร ใครก็ได้อธิบายมาหน่อย” น็อตเสริม มือข้างหนึ่งเลื่อนลงมาทาบอก ยังอดใจหายไม่ได้ที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นกับพนักงานชายในดูแลของพวกเขาเอง

“ฉันไม่รู้ว่าพวกนายมีเรื่องอะไรกัน แต่ตอนนี้ให้กลับไปทำงานของตัวเอง แล้วคืนนี้เราค่อยคุยกัน”

สุดท้ายเบสก็ตัดสินใจออกคำสั่งเสียงเด็ดขาด ดูเหมือนเขาเองก็สับสนและหงุดหงิดไม่แพ้คนอื่น ทั้งที่ขึ้นชื่อว่าเป็นหัวหน้าพนักงาน เป็นเหมือนพ่อที่คอยสั่งสอนดูแลสมาชิกร้านทุกคนมาตลอด แต่พอมีอะไรเกิดขึ้น เขากลับไม่รู้เรื่องเลย ทำแบบนี้เหมือนไม่เห็นหัวกัน แล้วยังลากเอาน้องใหม่อย่างอตินเข้าไปพัวพันกับปัญหาความรู้สึกบ้าบอของตัวเองอีก ใช้ไม่ได้!

ทั้งหกคนแยกย้ายออกจากหลังร้าน น็อตรี่เข้าไปในครัวเพื่อเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้แจนฟัง ซันรีบพาตัวเองกลับขึ้นไปบนชั้นสอง เบสเดินไปก้มหัวขอโทษลูกค้าที่เมื่อกี้ อาจมีเสียงไม่พึงประสงค์ดังเล็ดลอดออกมารบกวน มินเลือกที่จะเดินออกจากร้านไปพร้อมกับบัวรดน้ำขนาดพกพา เดาว่าคงไปดูแลพวกดอกไม้ตกแต่งหน้าร้าน ส่วนมาร์ชกับอตินก็กลับมาประจำการณ์ที่ด้านหน้าเคาน์เตอร์ บรรยากาศเงียบสนิทและอึมครึมยิ่งกว่าวันไหน

คนตัวเล็กเอาแต่ก้มหน้าเช็ดแก้วทั้งที่ไม่ได้สกปรกอะไรมากนัก หลายครั้งจะเผลอเม้มปากตัวเองหนักๆ พลันให้ภาพของซันกับมินฉายกลับขึ้นมาในสมองจนรู้สึกปวดจี๊ดขึ้นมาทุกครั้ง เขาไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไร และทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ แต่ที่รู้คือเขาไม่ค่อยสบายใจเอาซะเลย ซันเป็นพี่ที่ดีมาก ในขณะที่มินก็เป็นเพื่อนรัก แต่ความรู้สึกของเขากับสองคนนั้น ดันไม่ตรงกัน....

“เฮ้อ...”

ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นเอาแก้วไปเก็บบนชั้นวาง สายตาปะทะเข้ากับใบหน้าเรียบตึงของผู้ชายอีกคน มาร์ชกำลังมองเขาคล้ายกับจะตั้งคำถาม หากแต่ไม่มีคำพูดใดเล็ดลอดออกมา เขาเองก็เช่นกัน...ทั้งที่อยากเปิดปากอธิบายมากมายหลายเรื่อง กลับส่งเสียงออกไปไม่ได้เลยสักคำ

ไม่มีอะไรจริงๆ นะ

คำง่ายๆ ที่อยากพูดออกไป แต่กลับพูดมันไม่ได้ ยิ่งบีบรัดให้ภายในอกรู้สึกปวดหนึบ ท้องไส้เริ่มปั่นป่วน ไม่ใช่ว่ามีผีเสื้อบินอยู่เป็นร้อย แต่เหมือนโดนบิดลำไส้แรงๆ ซะมากกว่า ไม่นานนัก มาร์ชก็เป็นฝ่ายหลบสายตาไปเอง ทิ้งให้บรรยากาศมาคุแผ่ขยายทั่วร้าน จนแม้แต่ลูกค้าหลายๆ คนยังแอบรู้สึกได้ วันนี้คงเป็นวันแรกที่ไม่สนุกเลย...จวบจนถึงเวลาปิดร้าน ทุกคนทำตามหน้าที่ของตัวเองอย่างเงียบๆ เดินกลับบ้านทั้งที่ไม่มีใครปริปากพูดคุยอะไรออกมา กระทั่งเวลาก่อนเข้านอน ที่เบสเรียกรวมพลตรงโซฟาตัวใหญ่ มินกับซันนั่งกันคนละมุมโต๊ะ มีมาร์ชสังเกตการณ์อยู่ห่างออกไปหน่อย เบสอยู่เกือบตรงกลางโซฟา ขนาบด้วยแจนและอติน โดยมีน็อตคอยโอบไหล่ให้กำลังใจเด็กน้อยอยู่อีกข้างหนึ่ง

“ไหน สรุปเรื่องมันเป็นยังไง?” เบสถามขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัด ทุกคนเอาแต่ส่งสายตาคาดคั้นกันไปมาจนชักไม่ได้เรื่อง จึงต้องลองจี้ถามเป็นรายบุคคลไป

“ว่าไงมิน?”

“.....ก็”

คนเด็กสุดทำท่าอึกอัก เหลือบมองซันแวบหนึ่งด้วยความไม่พอใจ ก่อนจะยอมเปิดปากเผยทุกอย่างที่เขาได้รับรู้มากับตา และก็เป็นสาเหตุที่ทำให้สติของเขาขาดผึ่งลงในคราวนี้ด้วย

“ก็เมื่อคืน ผมเห็นพี่ซันจูบอติน” สายตาตกใจส่งออกมาจากแทบทั้งหมด อตินยิ่งก้มหน้างุดลงไปอีกเมื่อต้องคิดถึงเรื่องนั้น ส่วนซันเองก็เริ่มกัดปากตัวเองด้วยความเครียดที่ตีขึ้นมาในหัว

“ละ..แล้วแกจะจูบอตินด้วยทำไมเล่า”

“ผมหึง!”

“หะ?” เบสขึ้นเสียงเล็กน้อยอย่างไม่อยากจะเชื่อหู ซันเหมือนจะพอเดาออกอยู่แล้วว่ามินรู้สึกยังไงกับอติน เพราะมันคงไม่ต่างจากที่เขารู้สึกเท่าไรหรอก

“ก็ผมชอบอติน...”

“มิน!”

น็อตร้องขึ้นทันที มือหนึ่งยกขึ้นทาบอก ส่วนอีกข้างก็บีบหัวไหล่อตินไว้แน่น ไม่อยากจะเชื่อว่าเด็กที่เขาเห็นมาตั้งแต่ยังไม่กลายเป็นยักษ์ คอยนอบน้อมและสงบปากสงบคำมาตลอด จะเผยความในใจออกมาง่ายถึงขนาดนี้ แถมยังถือเป็นการประกาศสงครามกับรุ่นพี่ตัวเองด้วยสิ ใช่ไหม ในเมื่อเห็นชัดอยู่แล้วว่าซันเองก็...

“แต่กูก็ชอบอตินเหมือนกัน” คิดไม่ทันจบ ซันก็ลุกขึ้นชี้หน้าคนเด็กกว่าอย่างเอาเรื่อง จนเบสต้องรีบเข้ามาผลักให้เขากลับไปนั่งคุยกันดีๆ เหลือบมองคนถูกกล่าวถึง เอาแต่ก้มหน้านิ่ง ท่าทางเหมือนอยากร้องไห้เต็มทีแล้ว

“ไอ้บ้าพวกนี้! เห็นไหมว่าอตินเขาลำบากใจขนาดไหน”

“พี่เบส...ไม่เป็นไรครับ ผมแค่...”

คนตัวเล็กพยายามบังคับน้ำเสียงให้เป็นปกติที่สุด ไม่ต้องการให้ใครมาเดือดร้อนมากไปกว่านี้ หากแต่ก็ซ่อนความสับสนภายในดวงตากลมโตไม่อยู่ อตินเหลือบขึ้นมองหน้ามินที ซันที ในหัวสมองคล้ายกับว่ามีเชือกนับล้านเส้นกำลังพันกันมัวจนหาทางแก้ปมไม่ออก ก่อนค่อยๆ ส่งเสียงแผ่วเบาออกมา

“...แค่ตกใจ”

นั่นไม่ได้ทำให้สถานการณ์ดีขึ้นเลย ทั้งมินกับซัน เหมือนจะเริ่มรู้ตัวว่าได้ทำให้อตินรู้สึกแย่แค่ไหน กลายเป็นว่าทั้งบ้านกลับมาเงียบกริบอีกครั้ง ท่ามกลางบรรยากาศมัวหมองจนแทบคลื่นไส้ ทุกคนตีสีหน้าคร่ำเคร่งไม่ต่างกัน นานหลายนาทีจนอตินทนไม่ไหว ต้องเป็นฝ่ายเปิดปากขึ้น หวังว่าคำพูดของเขาจะช่วยสงบไอ้เรื่องราวบ้าๆ ที่เป็นอยู่ตอนนี้ลงได้บ้าง

“พี่ซัน...มิน...”

ทันทีที่เสียงพูดดังขึ้น สมาชิกทั้งหมดก็หันหน้าเข้าหาอตินเป็นสายตาเดียว น็อตแอบตบบ่าให้กำลังใจอยู่ข้างๆ มีสายตาห่วงใยจากเบสแล้วก็แจนกำลังส่งมา อย่างน้อยก็พอให้เขาใจชื้นขึ้นบ้าง คนตัวเล็กสูดหายใจเข้าสุดปอด ก่อนปล่อยออกมาช้าๆ ค่อยๆ ยืดตัวขึ้นเล็กน้อย แล้วปรับสีหน้าค่าตาเสียใหม่ จะมีแค่ความจริงใจเท่านั้นที่จะหลุดออกไปจากปากนี้ แม้ว่ามันจะยากเหลือเกินในการพูดแต่ละคำออกมา

“ขอบคุณในความรู้สึกดีๆ ของทั้งคู่นะ...” คนตัวเล็กพักสูดหายใจเข้าลึกสุดลึก รู้สึกเหมือนกับว่าหัวใจกำลังถูกบีบรัดด้วยสายตาเว้าวอนของคนสองคนตรงหน้า บ้าชะมัด เขาไม่ได้ใจแข็งสักเท่าไรหรอกนะ เพราะงั้น...

อย่าตีหน้าแบบนั้นเลย

“แต่ว่า...”

แค่ปฏิเสธไปตรงๆ ทำไมถึงยากขนาดนี้ ทำไมต้องให้เขาลงมือทำร้ายคนสำคัญถึงสองคน...

“ผมยังคิดว่าพี่ซันเป็นพี่ที่ดีมาก แล้วมิน นายก็เป็นเพื่อนรักของเราเลย”

ทั้งห้องเงียบกริบ ซันกับมินพากันหลุบตาลงต่ำเมื่อพอจะเดาประโยคต่อมาออก ส่วนเจ้าของคำพูดกลับนิ่งไปหลายวินาที สองมือจิกหน้าขาตัวเองเพื่อระบายอารมณ์ เขาไม่นึกอยากจะเห็นท่าทีปวดใจของซันกับมินเลยแม้แต่น้อย

“แต่ถ้าคิดว่าจะเป็นมากกว่านั้น...” ทั้งความเครียด ทั้งความสับสน ปะปนกับความรู้สึกผิดเต็มอก คนใจไม่แข็งได้แต่กัดริมฝีปากตัวเองแรงๆ เพื่อสะกดกลั้นน้ำตาที่กำลังรื้นขึ้นมา ก่อนค่อยๆ เอื้อนเอ่ยคำปฏิเสธอันโหดร้าย

“...ก็คงตอบรับความรู้สึกของทั้งสองคนไม่ได้หรอก”

“อติน..” ทั้งมินและซันเผลอส่งเสียงออกมาพร้อมกันเบาๆ เหมือนอยากจะโต้กลับ หรือขอโอกาสบางอย่าง แต่ก็ถูกสายตาตำหนิของเพื่อนคนอื่นกดให้เงียบปากลงไป รวมทั้งดวงตาที่คลอเคล้าไปด้วยหยดน้ำของอตินเองด้วย

“ขอโทษจริงๆ แต่หลังจากนี้ก็ยังอยากให้เป็นพี่ เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน อยู่ข้างๆ กันเหมือนเดิมนะ”

“...”

คนถูกกล่าวถึงทั้งสองปิดปากเงียบ แสร้งเสมองไปคนละทางอย่างจนมุม ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรให้อตินสนใจได้อีก ดูเหมือนว่าต้องยอมรับว่าคนคนนี้ไม่ได้มีใจให้สักนิดเลยจริงๆ แต่ถึงจะเจ็บปวดที่ถูกปฏิเสธ อีกด้านหนึ่งกลับเจ็บกว่า ที่ดันไปฝากเรื่องแย่ๆ ไว้ในความทรงจำของอตินเข้าซะแล้ว

“นะ” อตินกดเสียงลงต่ำ ย้ำท้ายประโยคเดิมอีกครั้ง เหมือนต้องการคำตอบรับบางอย่างให้คลายใจสักหน่อย ว่าความสัมพันธ์อันดีระหว่างพวกเขาจะยังคงอยู่ แม้มีเรื่องนี้เกิดขึ้นมาก็ตาม

“อืม/อือ”

ทั้งสองคนตอบกลับเสียงอ่อย พอเห็นว่าบรรยากาศเริ่มผ่อนคลายขึ้น เบสจึงปล่อยให้ทุกคนแยกย้ายไปพักผ่อน ไม่ลืมย้ำเตือนคนก่อเรื่องให้คิดถึงหัวอกอตินไว้ด้วย ถึงจะสงสารอยู่หน่อยๆ ที่โดนปฎิเสธมาก็เถอะ แต่การเอาความรู้สึกตัวเองไปสร้างปัญหาอึดอัดใจให้คนอื่นนี่ก็ไม่ดีเหมือนกัน

อตินเป็นคนแรกที่รีบลุกออกจากบริเวณ เสียงประตูห้องนอนปิดตามมาอย่างรวดเร็ว พร้อมกับร่างเล็กที่โจนขึ้นมานอนคู้อยู่บนเตียง เขาไม่อยากทนเห็นสีหน้ากับแววตาที่ดูเจ็บปวดจากสองคนนั้น ไม่อยากทำให้ทั้งคู่เสียใจ เพราะงั้นถึงต้องรีบหนีออกมา ถ้าขืนอยู่ต่ออีกแค่วินาทีเดียว เขาอาจจะยอมใจอ่อนไปแล้วก็ได้

มินเดินกลับเข้าห้องในเวลาต่อมา ต่างฝ่ายต่างไม่พูดอะไรกัน แม้จะรู้อยู่ว่าอตินคงไม่ได้รู้สึกอะไร แต่พอได้ยินจากปาก กลับเจ็บกว่าที่คิด และแม้จะบอกว่าเข้าใจยังไง...ทุกคนต่างก็รู้ดีว่า...

หลังจากนี้ มันจะไม่เหมือนเดิม.....



-----------------------------------------------

ไม่ได้มาลงตั้งแต่วันที่ 20 เลยลงทีเดียว 4 ตอน เลย
;w; คงเข้ามาทยอยลงเรื่อยๆ จนจบนะคะ
หัวข้อ: Re: ♡♡ ร้านกาแฟแห่งนี้มีความรักอยู่ ♡♡ by「aonair」 UP! บทที่ 11-14
เริ่มหัวข้อโดย: aonair13 ที่ 02-05-2016 21:11:28
15

“แผลเป็นนี่...” แจนเป็นคนแรกที่ทักขึ้น เมื่อเห็นแผลเป็นขนาดกว้างบนแผ่นหลังใกล้ท้ายทอยของอติน คนถูกทักเอี้ยวตัวกลับไปมองแผลที่ว่าเล็กน้อย พลางยิ้มแห้งๆ

“นานแล้วครับ”

“โดนอะไรเหรอ?” ถามเสียงแผ่ว แอบเกรงใจอยู่เหมือนกันว่าจะละลาบละล้วงเกินไปรึเปล่า อตินที่เหมือนจะเดาออกรีบส่ายหน้าให้สัญญาณว่าไม่เป็นไร แล้วตอบกลับ โดยมีสมาชิกร้านคนอื่นๆ ยืนรอฟังอยู่ด้วย

“แผลไฟไหม้น่ะครับ ไม่มีอะไรน่าสนใจหรอก มันนานมากแล้วด้วย”

“อ่า...อืม”

“มิน ไปปรับแอร์หน่อยไป”

พอไม่มีใครกล้าตั้งข้อสงสัยเรื่องแผลของอตินอีก น็อตจึงตะโกนสั่งเด็กตัวสูง ก่อนที่จะเปิดร้านให้ลูกค้ารอบแรกเข้ามา ในวันนั้นของเดือนด้วยธีมสุดโหดอย่างทาซาน มินรีบเดินไปทำตาม เพราะขนาดตัวเขาเองก็ยังรู้สึกว่าอากาศวันนี้มันเย็นกว่าปกติ พอไม่มีเครื่องนุ่งห่มปิดบังท่อนบนของร่างกายแล้ว ต่อให้หุ่นไม่แย่ ก็ต้องเสียความมั่นใจกันบ้างแหละ ที่เห็นจะสนุกสนานก็มีแค่ซันกับเบสเท่านั้น

“โอเคนะ?” เดินเข้าไปถามเพื่อนตัวเล็กที่ยืนกอดอกไม่ยอมปล่อยตั้งแต่เปลี่ยนมาเป็นคอสตูมเข้าธีม อตินส่ายหน้าช้าๆ หน้าตาดูหมดอาลัยตายอยากแปลกๆ

“ไม่...”

“สู้ๆ” ได้แค่หัวเราะนิดน้อยแล้วยกกำปั้นขึ้นให้กำลังใจ ไม่นานนักประตูร้านก็เปิดออก พร้อมลูกค้าชายหญิงหลายกลุ่มที่กรูกันเข้ามายังที่นั่งซึ่งทำการจับจองไว้แล้ว

ภายในเวลาหนึ่งคืนที่ผ่านมา ทั้งเขาและซันเฝ้านอนคิดอะไรมากมาย ต่างรู้ดีว่าไม่อาจเปลี่ยนใจจากอตินได้ทัน หากก็ไม่อยากทำให้อีกฝ่ายต้องลำบากใจไปมากกว่านี้ จึงเลือกที่จะเก็บกลั้นทุกอย่างเอาไว้ให้ลึกสุดลึก แล้วปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินต่อไปตามปกติ...อย่างน้อยก็ทำให้มันเหมือนว่าปกติแหละนะ เพราะถ้าไม่ทำแบบนี้ น่ากลัวว่าทั้งสามคนอาจเข้าหน้ากันไม่ติดอีกเลย ซึ่งนั่นคงเป็นอะไรที่แย่ยิ่งกว่ามาก

“อติน!” กลุ่มพี่สาวสี่ห้าคนพากันเดินเข้ามายังโต๊ะใกล้เคาน์เตอร์ สองมือโบกไปมาพัลวัน แจนที่อยู่ใกล้ๆ หยิบเมนูมายัดใส่มืออติน แล้วตบไหล่ให้เข้าไปต้อนรับลูกค้า

“สวัสดีครับ รับอะไรดีครับ”

“รับพนักงานแทนได้ไหมเนี่ย” หนึ่งในกลุ่มแกล้งแซวพลางหัวเราะคิก มือข้างหนึ่งยกขึ้นหยิกแก้มเขาอย่างไม่ได้รับอนุญาต หากแต่ก็ไม่มีสิทธิ์ต่อว่าอะไร ได้แต่ก้มหน้าก้มตาส่งยิ้มแห้งๆ เท่านั้น

“แก น้องกลัว” เพื่อนอีกคนดักคอให้ แม้จะเป็นการแหย่กันขำๆ แต่เขาก็คิดว่าช่วยได้มากทีเดียว สักพักจึงเริ่มสั่งขนมเครื่องดื่มกันเสร็จสรรพ สาบานได้ว่าแอบเห็นในกลุ่มกำลังระดมหัวคิดเรื่องเซอร์วิสบ้าๆ อยู่

“ถอดเสื้อเถอะน้า” อีกด้านหนึ่งของร้าน ก็ยังมีคนที่ลำบากใจแบบสุดๆ อยู่อีกคน...

“ไม่ครับ”

คนถูกตื้อปฏิเสธทันควันพร้อมส่ายหน้าเหมือนอยากกรีดร้องจนลูกค้าสาวแทบไม่กล้าเถียงต่อ ไม่เคยนึกเกลียดธีมไหนเท่าครั้งนี้มาก่อนเลย ช่วงนี้กินเยอะด้วย แม้จะไม่ถึงขั้นลงพุง แต่ก็ไม่ได้มีกล้ามท้องหรือแบนเรียบอย่างคนอื่นเขา และเพราะโครงสร้างร่างกายที่ทำให้ดูอวบตลอดเวลา ทำให้เขาไม่กล้าเปิดเผยสัดส่วนร่างกายตัวเองต่อหน้าสาธารณชนสักเท่าไร

“แต่ทำแบบนี้มันขี้โกงนี่” เบสที่แอบมองเหตุการณ์อยู่แต่แรก แกล้งเดินเข้ามาแซว พยายามจะถอดเสื้อคลุมที่แจนแอบเอามาใส่ปกปิดตัวเองไว้ออก แต่ก็ถูกตอกกลับด้วยการฟาดแรงๆ ลงไปบนหน้าท้องเป็นคลื่น ทำเอาจุกไปหน่อยนึงเชียว

“ไปไกลๆ เลย”

“อ้าวเดี๋ยวสิ ไหนๆ ก็อยู่ด้วยกันแล้ว นี่!” ผู้หญิงคนเดิมร้องขึ้นเหมือนเพิ่งนึกอะไรออก วินาทีต่อมาก็มีแบงค์ห้าร้อยยัดเข้าใส่มือของเบส พร้อมรอยยิ้มกว้างอย่างมีเลศนัยน่ากลัวที่สุด

“เบสอุ้มแจแจหน่อยน้า เดี๋ยวจะถ่ายรูปด้วย”

“แจแจ?” คนโตกว่าแกล้งล้อชื่อที่ลูกค้าสาวใช้เรียกแจน พร้อมหัวเราะคิกจนถูกฟาดเข้าที่ต้นแขนอีกรอบ

“โอ้ยระดับนี้ อุ้มไม่ไหวหรอก ฮ่าๆ”

“พี่เบสนี่!” คราวนี้กลับเป็นตัวลูกค้าที่เข้ามาตีแขนเบสเบาๆ ทางด้านคนถูกแซวก็เอาแต่ทำหน้าบูด ดูหงุดหงิดเต็มที จนเบสต้องรีบยิ้มกว้างเข้าไปง้อใหญ่

“โห่ ล้อเล่นหรอก ให้อุ้มทั้งคืนเลยก็ได้”

“บ้า!”

รอบนี้ไม่ใช่แค่ตี แต่แจนจัดหมัดหนักๆ เข้าให้ที่หน้าท้องเกร็ง เบสกลั้นเสียงร้องเอาไว้ ก่อนจะย่อตัวลงช้อนร่างคนข้างๆ ขึ้นมาแบบไม่ได้นัดหมาย ท่ามกลางเสียงกรี๊ดกร๊าดจากสาวๆ บริเวณนั้น พอลูกค้าโต๊ะอื่นเห็นก็เลยเกิดไอเดียร่วม รีบลากอตินกับซันมาเจอกัน พร้อมยื่นแบงค์ม่วงออกไปทันที

“ซันอุ้มอตินบ้างดิ”

ทั้งสองคนหันมองหน้ากันนิ่งๆ ไม่รู้ว่าใจจริงคิดอะไรอยู่ แต่แล้วก็ไม่ได้มีใครปฏิเสธออกมา ซันตั้งท่างกๆ เงิ่นๆ ผิดจากทุกทีที่น่าจะเซียนเรื่องนี้ด้วยซ้ำ สักพักร่างบางก็ลอยขึ้นจากพื้น สองแขนเกี่ยวรอบคอซันไว้ท่าทางเกร็งๆ ลูกค้าสาวต่างพากันกรีดร้องชอบใจ พลางควักมือถือออกมากดถ่ายภาพเอาไว้ไม่รู้กี่สิบช็อต แม้จะดูเหมือนไม่มีอะไร แต่สิ่งที่แปลกไปก็คือทั้งสองคนแทบไม่ได้สบตากันเลย จนกระทั่งซันวางอตินลงกับพื้นดังเดิม

ผู้หญิงอีกคนในละแวกนั้นรีบชะเง้อคอหาคนหัวแดง พอเห็นว่ากำลังติดพันกับลูกค้าโต๊ะอื่นจนแทบไม่ได้เงยหน้ามามองทางนี้จึงค่อยโล่งใจ รีบคว้าโอกาสนี้ขอเซอร์วิสที่เคยถูกปฏิเสธมาแล้วครั้งหนึ่ง มีเสียงเชียร์เบาๆ จากคนรอบข้างดังขึ้นด้วย

“อตินหอมแก้มซันหน่อยสิ”

“นะ จุ๊บเดียวเอง”

ทุกคนบริเวณนั้นเหมือนจะช่วยกันพรางพนักงานทั้งสองให้พ้นตาสมาชิกคนอื่น ด้วยกลัวว่าจะถูกขัดขวางเหมือนครั้งก่อน สายตาอ้อนวอนระคนคาดคั้นทำเอาซันกับอตินหนักใจไปตามกัน ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ซันคงไม่อึดอัดอะไร แต่หลังจากสารภาพว่าชอบไป...มันก็ไม่กล้าเหมือนเดิมแล้ว ทางด้านอตินเองก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองโอเคกับเซอร์วิสแนวนี้ แต่ถ้ายิ่งอึกอักมันก็ยิ่งรู้สึกไม่ดี ทั้งที่เป็นคนบอกว่าให้เป็นเหมือนเดิมแท้ๆ...

“นิดเดียวก็ได้ครับ” ในที่สุดคนตัวเล็กก็ตัดสินใจตกลง สาวๆ หลายคนพยายามกลั้นเสียงดีใจไว้ ยิ่งโอบวงล้อมเข้ามามากขึ้น ซันยังคงตกใจกับท่าทีของเด็กข้างตัว ถึงอย่างนั้นก็ยอมก้มหัวลงเล็กน้อย

อตินยืนชั่งใจอยู่ได้แค่ครู่หนึ่ง ก่อนดึงแขนเป็นมัดของอีกฝ่ายเข้าหา ยื่นหน้าเข้าไปใกล้จนซันอดขนลุกซู่ยามลมหายใจเป่ารดผิวกายไม่ได้ ริมฝีปากนุ่มฝังลงกับแก้มเนียน สาบานว่าเหล่าลูกค้าที่ตั้งตารอชมฉากนี้ แทบจะเป็นบ้าเพราะต้องกลั้นเสียงกรี๊ดเอาไว้ มือถือไม่รู้กี่สิบเครื่องถูกยกขึ้นกดชัตเตอร์รัวเร็วแบบไม่ได้นัดหมาย ไม่เกิน 2 วินาที อตินก็ผละตัวออก ก่อนก้มหัวเดินหายไปอีกฝั่งของร้านทันที

สัมผัสเมื่อครู่ยังคงฝากอยู่บนแก้ม หากแต่เขากลับไม่รู้สึกดีใจสักนิด เพราะเห็นชัดเจนว่าอตินต้องฝืนมากแค่ไหน บางทีเด็กนั่นอาจเริ่มกลัวเขาแล้ว ตั้งแต่ที่โดนจูบไปคราวนั้น แม้แต่ความเป็นพี่น้องที่คอยเล่นๆ ด้วยกันมา ก็ดูจางหายไปเยอะเหลือเกิน ถึงจะแอบคิดว่าพลาด แต่อีกใจกลับอยากยอมรับ เพราะไม่ว่ายังไง สักวันเขาก็ต้องพูดมันออกไปอยู่ดี...ในเมื่อความรู้สึกนี้มันล้นทะลักออกมาเรื่อยๆ แล้ว

“อติน มานี่ๆ”

เสียงใสดังเรียกเขาเข้าไปยังโต๊ะที่มีมินยืนหน้าเหรอหราอยู่ก่อน สองสายตาสบกันแวบหนึ่งเหมือนจะพอเดาออกว่ากำลังต้องเผชิญกับอะไร ไม่ทันคิดจบ แบงค์ห้าร้อยหนึ่งใบก็ถูกส่งมาให้ พร้อมป๊อกกี้รสสตรอเบอรี่อีกหนึ่งกล่อง

“กินป๊อกกี้ เฮ้~” ผู้หญิงประมาณหกเจ็ดคนพากันร้องเชียร์เสียงเจี๊ยวจ๊าว ขณะที่อตินยังงงอยู่ มินก็อาสาอธิบายให้ หน้าตาดูไม่ค่อยดีนัก

“หมายถึงให้เรากินป๊อกกี้ด้วยกัน เคยเห็นไหม กัดจากปลายคนละด้านน่ะ”

“อ๋ออ...”

คนตัวเล็กหลุบตาต่ำ พยายามส่งเสียงว่าเข้าใจออกไป ทั้งที่ในหัวเริ่มลนอย่างบอกไม่ถูก นี่มันยิ่งกว่าหอมแก้มอีกมั้ง ถึงจะไม่มีส่วนไหนแตะกัน แต่ให้เอาปากมาใกล้ปากแบบนั้น มันอดคิดถึงเรื่องจูบไม่ได้จริงๆ นะ แบบนี้จะให้เขาทนทำเหมือนไม่มีอะไรได้ไง แต่ให้ทำเป็นรังเกียจก็ดูจะทำร้ายจิตใจเพื่อนตัวโตคนนี้มากเกินไปอีก โอ้ย ปวดหัวจริง

“ก..ก็ เอาดิ” สุดท้ายจึงยอม ทั้งที่ไม่หันไปสบตาอีกฝ่ายเลย สาวๆ ที่ได้ยินต่างพากันอมยิ้มดีใจ แล้วรีบตรงเข้ามาแกะป๊อกกี้ออกให้เสร็จสรรพ หลายคนเตรียมยกมือถือขึ้นเก็บภาพเอาไว้อย่างเตรียมพร้อม

มินจ้องอตินไม่วางตา เหมือนอยากจะถามว่าแน่ใจแล้วเหรอ ถึงอย่างนั้นคนตัวเล็กกลับแค่ยักไหล่ พยายามทำว่าไม่ยี่หระอะไร มือขวาหยิบป๊อกกี้จากผู้หญิงคนหนึ่งขึ้นมากัดไว้ แล้วเงยหน้าขึ้นหาเด็กตัวสูงตรงหน้า มาร์ชที่กำลังถูกล้อมอยู่ไม่ไกลนักกำลังเหลือบมองด้วยหางตา ก่ำๆ กึ่งๆ อยู่ในใจว่าควรเข้าไปห้ามดีไหม

ป๊อกกี้อีกด้านถูกคาบไว้ด้วยปากของอีกคน เมื่อสาวๆ ส่งสัญญาณพร้อมรัวชัตเตอร์แบบไม่กลัวนิ้วล็อก ทั้งอตินกับมินก็ค่อยๆ กัดขนมปังกรอบเข้าไปหาแกนกลาง คนเกิดก่อนเอาแต่มองไปยังแท่งขนม ขณะที่น้องเล็กกลับจงใจมองเข้ามาในตาของเขา เล่นเอากระอักกระอ่วนขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

“อ๊ายยย”

“ไอ้เหี้ยใกล้มากก!”

ผู้หญิงหลายคนเริ่มเก็บอาการไม่อยู่ และวีดร้องกระตู้วู้ออกมาพอให้สะดุ้งหู เสียงกดถ่ายภาพยังดังต่อเนื่อง ต่างพากันยกมือขึ้นปิดปากใบหน้าแดงฉ่า บ้างหันไปทำร้ายร่างกายกันเองเพื่อระบายอารมณ์ฟินบางอย่างในตัว อตินเพิ่งรู้สึกว่าตอนนี้ริมฝีปากของเขากับมินห่างกันเพียงไม่กี่เซนฯ อีกฝ่ายหยุดกัดป๊อกกี้ไปแล้ว และได้แต่นิ่งอยู่อย่างนั้น

มาร์ชพยายามแหวกกลุ่มลูกค้าที่กั้นเขาไว้ออก เพื่อจะเดินเข้ามาสังเกตการณ์ใกล้ๆ ด้วยว่าเริ่มเป็นห่วง ในที่สุด ทั้งสองคนก็ตัดสินใจกัดป๊อกกี้แรงๆ ให้ปลายสองด้านหักออกจากกันโดยไม่ได้นัดหมาย อะไรในใจกำลังตะโกนบอกว่า มันควรหยุดอยู่แค่ตรงนี้

“เดี๋ยวไปทางนั้นก่อนนะ” อตินรีบบอกมินทั้งที่ไม่มองหน้า มือชี้ไปทางเคาน์เตอร์ซึ่งมีน็อตยืนคุมอยู่ นั่นก็เพียงพอให้รู้ได้ว่า ทุกอย่างมันไม่ได้เป็นเหมือนเดิม

คลื่นลูกค้ายังคงถาโถมเข้ามาพร้อมเซอร์วิสเอาแต่ใจตัวเองตลอดทั้งวัน จนถึงเวลาปิดร้านช่วงหัวค่ำ ป้าย CLOSE ถูกสลับออกยังด้านหน้าประตู พนักงานทุกคนได้แต่นั่งเอนหลังไปกับเก้าอี้ไม้ รู้สึกเหมือนเป็น Special Day ที่หนักหนาเอาการกว่าครั้งอื่น แจนพงกหัวสองสามทีเหมือนจะหลับแหล่มิหลับแหล่ ดวงไฟภายในร้านมืดลงเป็นช่วงๆ ตอนแรกคิดว่าเพราะกะพริบตาแต่ดูท่าจะไม่ใช่ เมื่อจู่ๆ ไฟทั้งหมดก็ดับลงหมดทุกชั้น ท่ามกลางเสียงร้องจอแจของผู้ชายทั้ง 6-7 คน

“อ่าวเฮ้ย”

“ไฟตกมั้ง” เบสพยายามส่งเสียงดังออกไป หวังให้ทุกคนสงบไว้ แต่ก็ถูกขัดขึ้นด้วยน็อต ซึ่งดูจะหัวไวกว่านิดหน่อย

“ไฟดับเลยแหละ”

ทุกคนหันซ้ายขวา พยายามไม่ขยับตัวมากเพราะมองไม่ค่อยเห็นอะไรเลย เนื่องจากไฟด้านนอกร้าน หรือตามถนนเองก็ดับไปเหมือนกัน ซึ่งถูกตามที่น็อตว่า อีหรอบนี้สงสัยมีปัญหาที่เสาไฟสักต้นแล้วล่ะ

“มีไฟฉายอยู่ในห้องคุณวาโยนะ” เบสเสนอความเห็น แต่ทุกคนกลับเงียบ จนอตินต้องเป็นฝ่ายอาสา

“เดี๋ยวผมไปหยิบเองครับ”

เสียงเล็กดังไกลออกมาจากบริเวณหน้าห้องครัวซึ่งอยู่ใกล้กับบันไดไปสู่ชั้นบนมากที่สุด ทำให้อตินเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมในเวลานี้ เพราะคนอื่นกระจายตัวอยู่ตามที่นั่งลูกค้า กว่าจะลุกคลำทางไปถึง เผลอๆ จะเสียเวลากว่าเดิม ถึงอย่างนั้นก็คอยส่งเสียงให้กำลังใจเด็กน้อยอยู่ตลอด ให้แน่ใจว่าไม่ได้สะดุดล้มคะม่ำหน้าคว่ำไปเสียก่อน

“โอเคไหม?”

“โอเคครับ ผมอยู่ชั้นสองแล้ว”

อตินตะโกนลงมา มือสองข้างยึดเอาราวบันไดไว้แน่น ก่อนตัดสินใจก้มตัวลงคลานเข่าไปทางบันไดอีกอันอย่างระมัดระวังช้าๆ แอบได้ยินเสียงแว่วมาจากด้านล่าง บอกว่าไม่ต้องรีบเลยยิ่งได้ใจ ค่อยก้าวค่อยขยับ จนใช้เวลากว่าครู่ใหญ่ถึงเข้ามาถึงห้องทำงานของวาโยซึ่งมืดไปหมด โชคดีนิดหน่อยที่หน้าต่างบานกว้างของห้องนี้อยู่ในจุดที่แสงจันทร์สาดเข้ามาถึงพอดี เลยเริ่มปรับสายตามองเห็นอะไรได้บ้าง พยายามมองหาจุดที่คิดว่าไฟฉายควรจะอยู่ นึกอยากตีตัวเองที่ลืมถามเบสว่ามันอยู่ตรงไหน

อากาศที่เคยเย็นตัวค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นอบอ้าว อตินพยายามเปิดไล่ลิ้นชักแต่ละอันบนโต๊ะทำงานแต่ก็ยังไม่เจอ ควานไปสัมผัสได้แต่กองเอกสารเท่านั้น ไม่นานนักก็เริ่มได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้น ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนเขาต้องรีบกลับมายืนเต็มความสูง หรี่สายตามองออกไปทางประตูที่เปิดแง้มไว้

แอ๊ด..ด

“พี่เบส?”

เงียบ...

ไม่มีสัญญาณตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก มาถึงตรงนี้ชักหวั่นๆ แม้รู้ดีว่าต้องเป็นสมาชิกร้านสักคนแน่อยู่แล้ว เพราะถ้าเป็นขโมยขโจรก็คงไม่อาจผ่านด้านล่างมาง่ายขนาดนี้...หรือเป็นผี.....

เฮ้ย!

“ใครครับ? ผมหาไฟฉายไม่เจออะ” คนตัวเล็กเสี่ยงก้าวขาออกไปจากหลังโต๊ะ เงาตรงหน้าเมื่อครู่หายไป... ก่อนที่เสียงลมหายใจเป็นจังหวะจะดังขึ้นด้านหลัง พลันให้ขนลุกซู่ ไม่กล้าแม้แต่ขยับตัว หรือหันกลับไปเผชิญหน้า

วินาทีต่อมา ร่างของเขาก็ถูกบุคคลปริศนาตรงเข้าสวมกอดอย่างเบามือ ความอบอุ่นถูกส่งผ่านมา  ไม่รู้เพราะอากาศมันเริ่มร้อนจากการที่ไฟฟ้าดับหรือเปล่า อตินลองขืนตัวหนี แต่นั่นยิ่งทำให้เงาด้านหลังโอบรัดเข้าไว้แน่นกว่าเดิม ลมหายใจเบาๆ เป่ารดอยู่กับบ่าจนถึงช่วงลำคอ แม้อยากจะกรีดร้องออกไปดังๆ แต่กลับไม่มีสุ้มเสียงใดหลุดลอดออกมาจากปาก ความเงียบถนัดโปรยตัวเข้าปกคลุมทั่วบริเวณภายในห้อง ดำเนินไปอย่างนั้นมากกว่านาที เมื่อไม่เห็นว่าจะถูกทำร้ายหรืออะไร จึงเริ่มเบาใจขึ้นนิดหน่อย บางทีอาจเป็นพี่ๆ ที่นึกอยากแกล้งกันก็ได้

“คนอื่นรอไฟฉายอยู่นะครับ” อตินพูดหยั่งเชิง แอบคิดว่าคงเป็นพนักงานสักคนจริงๆ แต่สิ่งที่ได้ตอบกลับก็ยังคงเป็นความเงียบ และอ้อมกอดอยู่อย่างนั้น จนเขาเองชักเริ่มอึดอัดแถมเหงื่อออกบ้างแล้ว

“เฮ้ย” อยู่ดีๆ คนด้านหลังก็ก้มลงจูบหัวไหล่ที่เปิดโล่งของเขาเสียเฉยๆ พาเอาสะดุ้งสุดตัวและเริ่มออกแรงดิ้นอีกครั้ง หากก็ไม่เป็นผล แม้อยากจะหันหลังกลับไปก่นด่า ดันไม่กล้าขยับศีรษะซะอย่างนั้น

“อะไรเนี่ย!?” ถึงจะขึ้นเสียงก็แล้ว ดูท่าจะไม่ได้ทำให้ร่างปริศนาเกรงกลัวแต่อย่างใด กลับยิ่งละลาบละล้วงเข้ามามากขึ้น ด้วยการไล้ปลายจมูกเรื่อยลงไปจนถึงบริเวณแผลเป็นใต้ท้ายทอย ยิ่งทำให้เขารู้สึกกลัว

“กลับมาทำไม...”

ในที่สุดก็ยอมส่งเสียงออกมาให้รับรู้...เป็นเสียงทุ้มต่ำ ฟังดูเย็นเยียบจนน่ากลัว แฝงไว้ด้วยความเจ็บปวดบางอย่างที่พอจับสัมผัสได้ ถึงตอนนี้ เขาไม่ได้ขืนตัวหนีหรือโวยวายอะไรออกมาอีกแล้ว...

“พี่มาร์ช?”

ไม่ยอมพูดอะไรกลับมาอีก เพียงแต่โอบกอดเขาไว้จากด้านหลังแบบนั้น ปล่อยให้เวลาเดินของมันไปเรื่อยๆ สักพักจึงค่อยผละตัวออกอย่างเชื่องช้า เป็นโอกาสให้เขาหันหลังกลับไปสบตากัน ภาพแรกที่ปรากฏคือใบหน้าที่ดูอ่อนแรง ไม่ใช่ว่าเหนื่อยกายจากงานหรืออะไร หากแต่ดูท่าเหมือนเหนื่อยใจกับบางสิ่ง...บางสิ่งที่ไม่อาจพูดบอก หรือว่าไม่ยอมเผยออกมาเอง

แสงจันทร์สาดเข้ามาเพียงเล็กน้อย บวกกับสายตาที่เริ่มปรับให้ชินกับภาพแวดล้อม ทำให้พอมองเห็นเสี้ยวหน้าของมาร์ชได้ไม่ชัดเจนนัก มือใหญ่ยกขึ้นมาจับต้นแขนทั้งสองด้านของเขาไว้ ริมฝีปากเผยอออกเล็กน้อย พอให้เขาลุ้นที่จะฟังคำบางคำ แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่ยอมปริปากหนักๆ นั่น เปลี่ยนเป็นการโน้มตัวเข้ามาใกล้ จนปลายจมูกแทบจะชนกัน ในเสี้ยววินาทีนั้น เขาเผลอกลั้นหายใจไปวูบหนึ่ง ถึงจะอยากผลักร่างโปร่งออกไป แต่ทั้งกายราวกับถูกสะกดไม่ให้เคลื่อนไหว

สุดท้ายจึงทำได้แค่ยืนนิ่งรับสัมผัสนุ่มหยุ่นที่ค่อยๆ จรดลงมาบนริมฝีปากบาง แช่อยู่อย่างนั้นสักพัก จึงเริ่มขยับตัวอีกครั้ง พร้อมลิ้นอุ่นซึ่งแทรกผ่านกลีบปากบางออกมาลากไล้ไปตามรอยหยัก อตินแทบจะกรีดร้องโวยวาย หากก็ต้องเก็บกลั้นทุกอย่างไว้ภายใน อกด้านซ้ายมีเสียงแปลกๆ เล็ดลอดออกมาไม่เป็นจังหวะ พร้อมกับใบหน้าที่ร้อนผ่าวขึ้นทุกวินาที ต่อให้มาร์ชไม่รั้งแขนเขาไว้ ก็แทบขยับตัวไปไหนไม่รอดอยู่แล้ว จากอาการช็อกที่กำลังเกิดขึ้น

มาร์ชผละริมฝีปากออกไป สีหน้าไม่พอใจฉายออกมาให้เห็น ทั้งสองสายตาจ้องกันอยู่อย่างนั้นราวกับว่าเวลานี้มีเพียงแค่เรา เรื่องไฟฉายกับคนอื่นที่รออยู่แทบจะเลือนหายไปจากสมองเสียเฉยๆ แม้จะไม่เข้าใจอะไรสักอย่างในตอนนี้ หากแต่ดวงตาจริงจังที่ส่งมาก็ทำให้เขาแทบละลายลงไปกองกับพื้น ความพยายามมากมายแทบสูญสิ้นไปเลย ยามที่เห็นหัวคิ้วสองข้างของคนตัวสูงขมวดยุ่งคล้ายกับจะวอนขอ ในหัวเริ่มขาวโพลน... ก่อนที่บางอย่างในตัวจะออกคำสั่งให้เขาหลับตาลงช้าๆ ริมฝีปากบางเม้มแน่นครั้งหนึ่งเหมือนต้องการเตรียมใจ และค่อยๆ เผยอออกรับสัมผัสวาบหวามอีกครั้ง

เจ้าของเส้นผมสีแดงยักยิ้มอย่างมีความหวัง เคลื่อนตัวเข้าหาอตินอย่างไม่พลีพลามนัก เริ่มกดจูบบางเบาลงไปยังมุมปากเพื่อเปิดทาง ก่อนสอดลิ้นหนาเข้าไปควานหาน้ำหวานจากภายใน ดูเหมือนคนตัวเล็กจะยังกลัวไม่มากก็น้อย สองมือยกขึ้นบีบต้นแขนเขาเอาไว้แน่น เล็บบางจิกผ่านเนื้อตัวเปลือยเปล่าเข้ามาพอให้รู้สึกเจ็บนิดๆ แต่นั่นยิ่งทำให้ดูน่ารักน่าหยอกขึ้นอีกสักเท่าตัว

เมื่อเทียบกันแล้ว สิ่งที่ซันกับมินทำ แทบจะเรียกว่าจูบไม่ได้ด้วยซ้ำไป...

 

ตึก..ตึก..

เสียงฝีเท้าหนักๆ ของใครบางคนดังขึ้นด้านนอก มีหนึ่งในสมาชิกกำลังพยายามคลำทางเข้ามาหา ทำให้ทั้งคู่ต้องรีบถอนปากออกจากกัน แล้วหันหน้าหนีแทบจะทันที มาร์ชกัดริมฝีปากล่างของตัวเองหนักๆ เหมือนต้องการบังคับสติให้รู้ว่า ไม่ควรถลำลึกมากเกินกว่านี้ ทั้งที่ย้ำอยู่ทุกวันว่าจะไม่พาตัวเองเข้าไปใกล้เด็กตรงหน้า...จะไม่ทำให้ต้องเดือดร้อนหรือเสียใจอีก

คนที่ฝากรอยแผลไว้ ไม่มีหน้าไปขอรักษาเขาหรอก ไอ้โง่เอ๊ย...

“ลืมมันซะ”

“หะ?” อตินเลิกคิ้วถาม ไม่เข้าใจในเสียงกระซิบที่ดังขึ้นข้างหูเมื่อสักครู่ สองสายตาประสานกันอีกครั้ง ทั้งที่ใบหน้ายังแดงก่ำ มาร์ชได้แต่กำหมัดแน่นจนเส้นเลือดปูดนูน

“ลืมเรื่องเมื่อกี้ซะ”

“อติน!”

ไม่ทันได้โต้แย้งอะไรต่อ เสียงของเบสก็ดังขัดขึ้น ทำให้มาร์ชต้องรีบแทรกตัวออกไปจากรอยแง้มของประตูอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้เสียงฝีเท้าของหัวหน้าพนักงานใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนในที่สุด ก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าของเด็กน้อยที่ยังคงตีหน้าสับสน ด้วยคำพูดทำร้ายจิตใจ

“ทำไมช้าจัง?”

“...”

“อติน?”

“ข..ขอโทษครับ ผมหาไม่เจอ”

เบสพยักหน้า แล้วเดินผ่านเขาไปทางตู้ไม้ติดผนัง ไม่นานแสงสีขาวจากหลอดไฟก็สาดเข้ามา ทำให้ต้องรีบปรับสีหน้ากลับมาเป็นปกติ ไม่ให้ใครต้องสงสัย คืนนั้นทุกคนตัดสินใจอยู่รอจนไฟฟ้าติดจึงกลับบ้าน นาฬิกาบอกเวลาใกล้สี่ทุ่ม เสาไฟข้างถนนส่องสว่างอีกครั้ง หากแต่ภายในสมองของอตินนั้นกลับดับมืดลง ยังคงไม่เข้าใจในตัวมาร์ชเมื่อสักครู่

ทำแบบนั้นแล้วบอกว่าให้ลืม...ได้ยังไงกัน.....



-----------------------------------------

แอบมาเปลี่ยนชื่อเรื่องอีกค่ะ 5555
อาจจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ จนกว่าจะพอใจ xD
หัวข้อ: Re: ♡♡ ร้านกาแฟแห่งนี้มีความรักอยู่ ♡♡ by「aonair」 UP! บทที่ 11-14
เริ่มหัวข้อโดย: aonair13 ที่ 02-05-2016 21:12:08
16

“ไหว้พี่สิลูก” อติน อายุ 10 ปี ก้มหัวอย่างนอบน้อมต่อหน้ารุ่นพี่ ลูกชายของเพื่อนบ้านที่เพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ละแวกเดียวกัน เจ้าของผมสีดำรับไหว้แบบขอไปที สายตาคมดูไร้อัธยาศัยอย่างเห็นได้ชัด

“แถวนี้มีแต่เด็กโต อตินเลยไม่ค่อยมีเพื่อน”

“ไว้ให้มาร์ชมาอยู่เล่นกับน้องดีไหมคะ”

“ยินดีมากเลยค่ะ”

พวกผู้ใหญ่คุยกันไม่ปรึกษาเด็กสักคำ ทางฝ่ายอตินน่ะดีอกดีใจใหญ่ หวังว่าจะมีเพื่อนเล่นด้วย แต่มาร์ชเนี่ยสิ ไม่ค่อยปลาบปลื้มสักเท่าไรเลย ก็ไอ้เด็กตรงหน้าท่าทางแก่นซน พาลจะทำให้เขารำคาญเปล่าๆ

ถึงจะว่าอย่างนั้น...แต่น่าแปลก ที่ส่วนหนึ่งในใจกลับตื่นเต้นขึ้นมา ใบหน้าหวานกับรอยยิ้มสดใสคงพอละลายน้ำแข็งที่เกาะกินความรู้สึกของเขาอยู่ได้บ้างล่ะมั้ง

ไม่รู้เลยจริงๆ ว่าวันนั้น จะกลายมาเป็นจุดเริ่มต้นความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างเด็กสองคน การต้องคอยดูแลอติน ไม่ได้ทำให้เขานึกรำคาญอย่างที่คาดไว้ ถึงจะซนแต่ก็น่ารัก และถึงจะดูบอบบางแค่ไหน เด็กนี่กลับเข้มแข็งจนน่าตกใจเชียวล่ะ ไม่ว่าใครต่อใครต่างไม่อยากเชื่อ ว่ามาร์ชที่เคยเก็บตัวไม่สุงสิงกับใคร จะมาสนิทสนมจนถึงขั้นผูกพันกับเด็กน้อยอตินได้อย่างรวดเร็ว อตินที่คอยเดินตามมาร์ชแจไม่ว่าไปที่ไหนต่อที่ไหน กลายเป็นภาพติดตาของผู้คนในย่านนี้ไปแล้ว

“ไอ้เด็กเวร!”

เสียงเด็กโตจอมกร่าง ฮวาง ชานซอง ดังก้องทั่วสนามเด็กเล่น หลังจากโดนคนเด็กกว่ามากอย่างอตินผลักเข้าที่พุงย้อยๆ นั่น จนเซเกือบล้ม ก็ที่ต้องทำเพราะนายชานซองขี้แกล้ง อยู่ดีๆ ก็เข้ามาเตะสเตเดียมทรายที่เขาอุตส่าห์นั่งปั้นมาตั้งแต่ช่วงบ่ายจนพังไม่เป็นท่า ทั้งที่สัญญากับมาร์ชไว้ดิบดี ว่าจะเอารถของเล่นมาแข่งกันบนเนินทรายวันนี้ แต่กลับไม่มีแล้ว

“โอ้ย!”

คนตัวเล็กร้องลั่นเมื่อชานซองตรงเข้ามาผลักเขาจนล้มคะมำ แถมยังตามเข้ามาบีบข้อมือแน่น ตบศีรษะแรงๆ จนหน้าหันไปอีกทาง ทำได้แค่โวยวายพลางกัดฟันกรอด ไม่ยอมปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาเพื่อแสดงความอ่อนแอง่ายๆ

อตินทำใจกล้าผลักมือชานซองออก ทำท่าจะลุกขึ้น พอดีกับที่เจ้าของร่างใหญ่เงื้อมือคล้ายจะตบเขาอีกรอบ สัญชาตญาณทำให้ต้องรีบหลับตาปี๋พร้อมรับความเจ็บปวด หากแต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เมื่อหรี่ตาขึ้นมองก็เห็นว่ามือหนานั้นกำลังถูกรั้งไว้ด้วยมือของใครอีกคน เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นพอให้ใจของเด็กน้อยพองโตอย่างมีความหวัง

“อย่าเอาแต่แกล้งเด็กสิ”

“พี่มาร์ช!” พอเห็นหน้าที่พึ่งพา จึงรีบได้ใจวิ่งเข้าไปหลบหลังร่างโปร่งทันที พลางชี้นิ้วออกมาฟ้องใหญ่

“พี่ชานซองผลักอติน ตีอตินด้วย”

“ไอ้มาร์ช หลบไป เด็กมันเกรียนก็ต้องสั่งสอน”

“สั่งสอนตัวเองก่อนดีกว่ามั้ง”

“ไอ้มาร์ช!”

ชานซองส่งเสียงดัง ตัวเหมือนจะพองลมด้วยความโกรธเกรี้ยว ยิ่งเห็นใบหน้าขี้เก๊กที่ดูเรียบเฉยตลอดเวลา ทว่ากลับพ่นคำพูดเจ็บแสบมานักต่อนัก ก็ยิ่งทำให้เขาหงุดหงิด มือข้างหนึ่งกำแน่น เงื้อขึ้นสูงเตรียมตัวปล่อยหมัดหนักๆ แต่กลับไม่ทันคนผอมกว่า ซึ่งชิงต่อยเข้าไปที่หน้าของเขาเต็มๆ เห็นร่างเพรียวบางแต่แรงอย่างกับควายยักษ์ โดนไปทีเดียวก็เซจนล้มก้นติดพื้น มาร์ชทำท่าเหมือนจะเข้ามาซ้ำอีก ทำให้ต้องรีบยกแขนขึ้นป้องห้าม กัดฟันส่งเสียงหงิง

“ข..ขอโทษ”

คนตัวเล็กที่หลบอยู่ด้านหลังออกแรงรั้งให้มาร์ชหยุด ก่อนที่ทั้งคู่จะพากันเดินพ้นสนามเด็กเล่น สถานที่นัดหมายประจำทุกวัน อตินนึกเสียดายที่วันนี้จะไม่ได้อยู่เล่นสนุก หากแต่ก็อบอุ่นในเวลาเดียวกัน เพราะมีมือของมาร์ชกุมไว้ไม่ห่าง ระหว่างทางเดินกลับบ้าน คนเป็นพี่ถอนหายใจแล้วหันมายีหัวเขาเล็กน้อย

“อย่าให้โดนแกล้งบ่อยๆ สิ”

“แต่พี่มาร์ชก็มาช่วยทุกครั้งเลยนี่ เหมือนเทวดาประจำตัวเลยนะ” หัวเราะคิกคักพลางยิ้มกว้างยิ่งกว่าเคย ทำเอาอีกฝ่ายไม่กล้าบ่นต่อ คำพูดที่คงดูไม่สมกับเป็นเขาเลยหลุดลอดออกไปราวกับเสียงกระซิบ

“เป็นเทวดาปกป้องอตินเหรอ”

“อื้อ พี่มาร์ชเป็นเทวดาปกป้องอตินไง”

สองมือกอบกุมกันแน่นยิ่งขึ้น ความรู้สึกกรุ่นๆ ในหัวใจไหลผ่านไปถึงฝ่ายตรงข้าม รอยยิ้มสดใสสมวัยผุดขึ้นมาบนใบหน้าของทั้งสอง พร้อมกับเสียงตึกตักจากอกด้านซ้ายที่กำลังตีรัวเหมือนกลองตัวใหญ่ ความผูกพันดังพี่น้องที่ก่อตัวขึ้น ยิ่งประสานเป็นหนึ่งขึ้นทุกวัน...

จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี...จากหนึ่งปี เป็นสองปี และจากสองปี ก็เป็นสามปี...

“เฮ้ย ลืมซื้อเทียน” มาร์ชร้องขึ้นเมื่อนึกถึงเรื่องสำคัญ เด็กน้อยข้างตัวพยายามวิ่งหาตามบ้านแต่ก็ไม่มีเหมือนกัน พอเห็นว่าอตินเริ่มตีหน้ายู่ เหมือนจะร้องไห้อยู่รอมร่อ เขาเลยต้องรีบเข้าไปลูบหัวประโลม

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่ออกไปซื้อเอง”

อตินมองกลับมาเริ่มยิ้มออก วันนี้พ่อกับแม่อตินออกไปข้างนอกทั้งคู่ ไม่รู้เลยว่ามีเด็กสองคนกำลังยึดบ้านเพื่อวางแผนทำเค้กเซอร์ไพรซ์ เนื่องในวันเกิดของคุณแม่ ถึงจะยังเก้ๆ กังๆ และมั่วไปบ้าง แต่สุดท้ายก็ตีส่วนผสมจนเข้ากันดี เหลือแค่เอาเข้าเตาอบไฟฟ้าที่มีอยู่ แล้วตกแต่งด้วยครีมกับน้ำตาลก็คงเสร็จเรียบร้อย

“อตินอยู่บ้านคนเดียวได้ใช่ไหม?” มาร์ชถามอย่างไม่มั่นใจนัก ปกติเวลาเขามาเล่นที่บ้าน จะคอยอยู่กับอตินตลอด แล้วนี่ต้องขี่จักรยานไปที่มินิมาร์ท อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาสัก 10-15 นาที

“ได้ อยู่ได้ พี่มาร์ชรีบไปเร็ว”

“โอเคๆ”

คนโตกว่ายีหัวเด็กตรงหน้าไปอีกที แล้วเดินไปยกเค้กเข้าเตาอบ กดตั้งเวลาทำงานเอาไว้เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ไม่ลืมหันกลับมากำชับคนตัวเล็กเพื่อความปลอดภัย

“นั่งรอเฉยๆ อย่าเพิ่งจับอะไรนะ”

“ครับ”

อตินลากเสียงยาวจนมาร์ชยิ้มพอใจ ก่อนจะหายออกจากประตูบ้าน ทิ้งให้อีกคนนั่งรอเฉยๆ ตามที่ว่า แต่ผ่านไปได้ไม่กี่นาที ก็เกิดรู้สึกปวดท้องหนักขึ้นมา ชักสงสัยว่าที่ชิมครีมเค้กไปเมื่อกี้มันเริ่มเกิดปฏิกิริยาแล้วหรือเปล่า

ขณะที่ยังทำธุระอยู่ในห้องน้ำ ดูเหมือนที่เตาอบด้านนอกจะเริ่มมีปัญหา ประกายไฟเล็กๆ สว่างวาบขึ้นมาเป็นระยะๆ หากไม่มองดูดีๆ ก็จะไม่เห็นเลยว่าตรงสายไฟนั้น มีรอยขาดจากการถูกหนูแทะเล่นอยู่เรื่อย ปริมาณไฟที่กำลังอบเค้กก้อนเล็กดูจะรั่วซึมออกมาจนสายสีดำร้อนจี๋ ไม่กี่วินาทีต่อมาก็เกิดเสียงคล้ายระเบิดขนาดย่อมดังไปทั่วบ้าน พร้อมกับเปลวไฟที่ถูกจุดขึ้นบริเวณที่ช็อต จากดวงไฟเล็กๆ เริ่มลุกลามและขยายวงกว้าง กระดาษทิชชู่ม้วนใหญ่ที่ตั้งอยู่บนเคาน์เตอร์เป็นตัวนำไฟชั้นดี แม้ว่าคนในห้องน้ำจะรู้สึกกังวลกับเสียงเมื่อครู่ แต่ปริมาณข้าศึกที่กำลังบุกกรุง ก็ทำให้เขาไม่อาจละออกจากที่นี่ได้ หวังแค่ว่ามันจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น...

ผ่านไปกว่า 5 นาที ไฟเริ่มลามไปตามผ้าม่าน ลุกเรื่อยมาจนถึงชุดโต๊ะเก้าอี้ไม้ ยิ่งทำเอาสถานการณ์เลวร้ายสุดๆ เพราะถ้าพ้นส่วนของครัวไปแล้ว เฟอร์นิเจอร์เกือบทั้งหมดล้วนทำมาจากชนวนนำไฟชั้นเลิศทั้งสิ้น บ้านละแวกใกล้เคียงกันก็เป็นมนุษย์เงินเดือนไม่ต่างจากพ่อกับแม่ จึงทำให้วันนี้ไม่มีใครอยู่ใกล้จุดเกิดเหตุพอจะสะกิดใจในเสียงดังเมื่อครู่ หรือแม้แต่ควันสีเทาซึ่งเริ่มลอยฉุยออกไปด้านนอก

พักต่อมา เสียงน้ำในอ่างล้างหน้าก็ดังขึ้น ก่อนที่ร่างเล็กจะเปิดประตูห้องน้ำออก พร้อมดวงตาที่เบิกกว้างจนแทบถลน ภาพตัวบ้านที่กำลังท่วมไปด้วยเปลวไฟพาให้ใจสั่นไหวรุนแรงด้วยความตื่นกลัว สองเท้าค่อยๆ ขยับไปใกล้จุดของเตาอบ ซึ่งตอนนี้แทบมองเค้าเดิมไม่ออก เพราะถูกแสงสีส้มกลบหมด ไอร้อนกับควันสีเข้มกระจายตัวไปรอบๆ ทำให้อตินเริ่มมีเหงื่อซึมออกมาตามผิวหนังและหายใจติดขัด เด็กน้อยหลับตาปี๋ด้วยความแสบจากควันไฟที่ลอยเข้ามา พร้อมทั้งน้ำตาที่ไหลลงด้วยทั้งกลัวและอึดอัด ขณะที่เท้าเล็กๆ ยังคงพยายามก้าวเดินเพื่อพาตัวเองออกห่างจากต้นกำเนิดเหตุการณ์เลวร้ายตรงหน้า

“โอ๊ย!” อตินร้องขึ้นเมื่อสะดุดพื้นล้มลงกระทบพื้นครัวดังปัก มือข้างหนึ่งยกขึ้นกุมศีรษะ ขณะพยายามยันตัวเองให้ลุก ทั้งที่ปวดระบมไปหมด

ไม่แม้แต่จะชันเข่าขึ้นนั่งดีๆ ได้ เสียงคล้ายเนื้อไม้แตกก็ดังขึ้นใกล้ๆ อย่างไม่ทันให้ตั้งตัว ชุดโต๊ะไม้ภายในห้องครัวที่ลุกท่วมไปด้วยเปลวไฟ โอนเอนจนในที่สุดก็ล้มฟาดลงมายังแผ่นหลังบางของเด็กตัวเล็ก ที่กำลังกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่อยู่พื้นราบ ความแสบร้อนและเจ็บปวดปะทุขึ้นทันที พร้อมกับเสียงกรีดร้องอย่างน่าหวาดหวั่น

“อ๊ากกก!!!”

ใบหน้าเหยเกบิดเบี้ยวไปตามความเจ็บปวด พร้อมกับน้ำตาที่ไหลอาบแก้มไม่หยุด อตินยังคงส่งเสียงขอความช่วยเหลือดังลั่น แต่กลับไปไม่ถึงหูของเพื่อนบ้านคนไหนเลย เนื่องจากอาคารบ้านเรือนบริเวณนั้นล้วนว่างเปล่าในเวลานี้

ไม่กี่วินาทีต่อมา จักรยานคันสีแดงของรุ่นพี่คนสนิทก็ขี่มาจอดลงอย่างลวกๆ สายตาตื่นตกใจของมาร์ชเผยออกทันทีที่เห็นตัวบ้านของอติน กำลังลุกท่วมไปด้วยประกายสีแดงส้มน่ากลัว ถุงเทียนวันเกิดในมือถูกปล่อยลงพื้น ก่อนที่ขายาวจะรีบวิ่งไปกระชากลูกบิดประตู

“เวรเอ๊ย!”

เสียงสบถดังขึ้นเมื่อประตูไม่เปิดออก มาร์ชลนลานควานหากุญแจจากกระเป๋ากางเกง ก่อนลุกลี้ลุกลนสอดเข้าไปในช่องลูกบิด สองมือที่สั่นระริกกับหัวใจที่เต้นรัวทำให้การปลดล็อกประตูเป็นไปได้ช้ากว่าที่ควร แต่ทันทีที่เสียงคลิกดังขึ้น มาร์ชก็รีบกระชากประตูออก พร้อมดวงตาที่เบิกกว้าง

ภาพตรงหน้าคือโซนรับแขกที่เต็มไปด้วยควันสีเทากระจายตัวขึ้นไปตามเพดาน ถัดไปด้านในคือเคาน์เตอร์ครัวขนาดกลางซึ่งเต็มไปด้วยเปลวไฟร้อนระอุ กวาดตาซ้ายขวาไม่เห็นเจ้าตัวเล็ก ทั้งที่เมื่อครู่ยังได้ยินเสียงหวีดร้องออกไปถึงด้านนอก

“อติน!” มาร์ชตะโกนเรียกทั้งที่สองเท้ายังคงเก้ๆ กังๆ ไม่กล้าก้าวเข้าไปเหยียบตัวบ้าน เม็ดเหงื่อผุดขึ้นบริเวณขมับทั้งสองข้าง พร้อมภาพความทรงจำบางอย่างที่กำลังย้อนกลับเข้ามาซ้ำเติมในหัวสมอง

“ฮ..ฮืออ...พี่...”

เสียงครางอย่างเจ็บปวดแว่วขึ้นจากโซนครัว มือสองข้างกำแน่นด้วยความหวาดกลัวไม่แพ้กัน ขาที่ควรจะรีบก้าวเข้าไปช่วยอีกหนึ่งชีวิตด้านใน กลับสั่นสะท้านจนแทบขยับไม่ออก ขณะเดียวกันอตินก็ยังคงพยายามเปล่งเสียงเรียกชื่อเขาอย่างยากลำบากจากภายในบ้านที่เริ่มจะไม่มีพื้นที่ให้เดินสะดวกอีกแล้ว

มาร์ชกลั้นใจเฮือกใหญ่ ก่อนพาตัวเองเข้าไปยังบริเวณห้องครัว สองมือยึดจับเฟอร์นิเจอร์ที่ยังไม่โดนไฟไปด้วยตลอดทางเพื่อเป็นหลักไม่ให้ตัวเขาล้มลงไปอีกคน ในที่สุดภาพของน้องชายก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นสู่สายตา ทำเอาหัวใจกระตุกรุนแรงด้วยความตกใจและหวาดกลัว อตินกำลังนอนนิ่งบนพื้น มีเศษไม้จากเก้าอี้ที่พังลงมาล้มทับใส่แผ่นหลัง รอบตัวถูกคลอกไปด้วยเปลวไฟที่เริ่มสูงและกว้างขึ้นทุกขณะ

“พี่...มาร์..ค...”

เสียงทรมานขาดห้วงดังขึ้นแผ่วเบา ใบหน้าที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อแลดูไม่ดีเอาเสียเลย น้ำตาก็อาบแก้มสองข้างไม่มาทีท่าว่าจะหยุด ถึงอย่างนั้นมาร์ชกลับชะงักและขยับตัวไม่ได้ไปเสียเฉยๆ แม้อยากจะรีบดึงร่างเล็กออกมา ส่วนหนึ่งในใจกลับกรีดร้องดังยิ่งกว่า...

...ไม่กล้าเข้าไป...

ภาพของแม่ที่ถูกไฟคลอกทั้งร่างจากอุบัติเหตรถยนต์เมื่อปีกลายยังคงติดแน่นในความรู้สึก อีกแล้วเหรอ...จะเป็นแบบนั้นอีกแล้ว คนที่รักมากต้องมาเจอสถานการณ์เดียวกัน ต่อหน้าต่อตาเขาอีกแล้ว ทำยังไงดี ขามันก้าวไม่ออกเลย แต่ว่าอตินกำลังจะแย่...

ปึง!

เสียงกระแทกประตูบ้านดังขึ้นด้านหลัง มาร์ชที่ดูเหมือนจะช็อคไปแล้ว ได้แต่ยืนนิ่งไม่ได้หันไปมอง จนในที่สุดร่างของผู้ชายในชุดยามก็วิ่งเข้ามายืนข้างๆ เขาหน้าตาตื่น มือใหญ่ตรงเข้าเขย่าแขนเขาเหมือนต้องการเรียกสติที่ดูจะล่องลอยไปไกล เมื่อไม่ได้รับการตอบรับ จึงรีบตรงไปช่วยเด็กบนพื้นก่อนตามเท่าที่ประเมิณสถานการณ์เอาเอง เพราะเมื่อครู่ที่กำลังขี่จักรยานตรวจตรารอบๆ ตามปกติ ก็เห็นกลุ่มควันลอยฟุ้งออกมาจากบ้านหลังหนึ่ง จึงรีบติดต่อดับเพลิง ก่อนจะปั่นมาช่วยอย่างรวดเร็ว และเป็นไปตามที่คาด ไฟไหม้สูงขึ้นเรื่อยๆ จนน่าตกใจ แถมยังมีเด็กติดอยู่ด้านในอีก

ยามหนุ่มพยายามตั้งสติไว้ให้มากที่สุด ค่อยๆ แทรกตัวผ่านกลุ่มเปลวเพลิงเข้าไปถึงห้องที่คาดว่าเป็นห้องน้ำ คว้าถังมากรอกน้ำจากก๊อกแล้ววิ่งกลับมาราดใส่ตัวของเด็กบนพื้นซึ่งเอาแต่ร้องครางแผ่วลงเรื่อยๆ ทันทีที่ไฟซึ่งลุกอยู่บนแผ่นหลังดับลง ก็รีบช้อนร่างเล็กขึ้นไว้ในอ้อมแขนข้างหนึ่ง มืออีกข้างดึงต้นแขนของมาร์ชให้ออกเดิน จนในที่สุด ทั้งสามก็มาถึงด้านนอกตัวบ้าน ไม่นานนัก รถดับเพลิงที่แดงก็ขับเข้ามาในซอย ช่วยกันดับไฟที่ลุกลามลงได้ในเวลาต่อมา

พูดตรงๆ ว่าตอนนั้นเขาแทบจำอะไรไม่ได้ มันเลือนลางจนเหมือนจะหายไปเลย มีแค่สิ่งเดียวที่ติดตาติดใจจนแกะยังไงก็เอาไม่ออก คือภาพและเสียงอันแสนเจ็บปวดทรมานของเด็กที่ขึ้นชื่อว่าเป็นน้องรัก...กรีดร้องครวญครางอยู่ต่อหน้าตัวเอง กับความรู้สึกผิดที่เอ่อล้นออกมาชัดเจนจนไม่มีหน้ากลับไปสบตากันได้อีก เพราะเขาเอาแต่ยืนนิ่ง...แค่สองมือที่จะเอื้อมเข้าไปช่วยอติน เขายังทำไม่ได้เลย

หลังจากอตินเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลจนหายดี เขาก็ได้ข่าวว่าครอบครัวของหมอนั่นตั้งใจจะย้ายบ้านไปที่เมืองอื่น พอดีกับที่อตินกำลังขึ้นชั้นม.ต้นพอดี พ่อพยายามจะลากตัวเขาออกจากห้องเพื่อไปล่ำลา แต่สุดท้ายก็ต้องเลิกล้ม เพราะเขาเอาแต่ยืนกรานว่าจะไม่ไปพบเด็กคนนั้นอีก ในเมื่อความผิดมันติดตัว แล้วเขาจะกล้ากลับไปเจอได้ยังไง ยิ่งถ้าต้องเผชิญกับสายตาเกลียดชังหรือคาดโทษแบบนั้นล่ะ...เขาทนไม่ได้หรอก เขาทำร้ายอตินไปแล้ว ไม่มีหน้าแม้แต่จะขอให้ใครยกโทษด้วยซ้ำ.....

ขอโทษนะ แต่พี่ไม่มีหน้าไปอยู่ข้างๆ นายอีกแล้วล่ะ....

 

ดวงตาเหนื่อยอ่อนปรือขึ้น เมื่อแสงแดดยามเช้าสาดเข้ามาในห้อง เสียงน้ำจากฝักบัวดังออกมาพอให้รู้ว่าซันกำลังอาบน้ำอยู่ มาร์ชค่อยๆ ยันร่างตัวเองขึ้นนั่ง และพยายามทบทวนเรื่องราวเมื่อครู่...ฝันสินะ...เป็นความฝันที่ไม่น่าจดจำเอาเสียเลย

“เฮ้อ”

เขาเอาแต่นั่งจ้องฝ่ามือตัวเองนิ่งๆ จนซันเดินออกมาจากห้องน้ำ จึงได้ฤกษ์สะบัดหัวไล่ความคิดบ้าๆ ออกจากหัว ผ่านไปสักพัก ก็อาบน้ำแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย ออกมาเจอคนอื่นที่กำลังยืนล้อมวงปรึกษาบางอย่างกันอยู่แถวโซฟา ใบหน้าแต่ละคนท่าทางเป็นกังวล

“มีอะไรเหรอ?”

“อตินไข้ขึ้น วันนี้คงไปทำงานไม่ไหว” น็อตเอ่ยขึ้น ทั้งซันและมาร์ชดูจะตกใจไม่น้อย

“เอาเป็นว่า ฉันขอคนนึง ช่วยอยู่ดูแลอตินวันนี้หน่อย...” เบสพูดพร้อมกวาดตามองสมาชิกทั้งหมด แจนนี่ไม่รู้จะไหวหรือเปล่า เอาตัวเองยังไม่ค่อยรอด น็อตเองก็เป็นพนักงานตัวหลักที่ขาดไม่ได้จริงๆ เขาเองก็ไม่ได้เหมือนกัน ส่วนซันกับมินไม่ต้องพูดถึง ถ้าเกิดเลือกคนใดคนหนึ่งขึ้นมา มีหวังสงครามขนาดหย่อมได้ปะทุขึ้นอีก ก็คงเหลือแค่...

“มาร์ชแล้วกันนะ โอเคใช่ไหม?”

“เอ่อ...”

“ตามนี้แล้วกัน คนอื่นเตรียมตัวไปเปิดร้านได้แล้ว” เบสชิงตัดบทขึ้นก่อน ทั้งที่มาร์ชยังไม่ได้ตกปากรับคำด้วยซ้ำ ซันท่าทางลุกลี้ลุกลนเหมือนอยากจะเข้าไปดูอาการของอตินให้แน่ใจ แต่ก็ถูกน็อตมาแตะไหล่ไล่ให้เดินออกจากบ้าน

ไม่กี่นาทีต่อมา บ้านทั้งหลังก็เงียบสนิท หลงเหลือเพียงแค่มาร์ชที่ย้ายตัวเองมาหยุดลงตรงหน้าประตูห้องนอนของคนป่วย ลังเลได้แค่ครู่เดียว ก็ตัดสินใจบิดลูกบิดให้เปิดออก ภาพเด็กน้อยมุดตัวเข้าในผ้าห่มผืนหนา สองคิ้วขมวดมุ่นเข้าหากันทั้งที่ยังหลับตาปี๋ ปรากฏขึ้นพอให้เขาใจหาย เพราะว่าเมื่อวานต้องถอดเสื้อตากแอร์ทำงานทั้งวัน เลยไม่สบายงั้นเหรอ

“นี่”

ส่งเสียงเรียกพร้อมกับสะกิดร่างดักแด้บนเตียง แต่กลับไม่มีสัญญาณตอบรับใดๆ จึงจัดการนั่งลงข้างๆ แล้วเขย่าแขนคนตัวร้อนจัด พอให้อตินเริ่มรู้สึกตัว และค่อยปรือตาเยิ้มด้วยพิษไข้ขึ้นมองหน้าผู้มาเยือน แต่พอเห็นว่าเป็นมาร์ช เปลือกตาหนักอึ้งสองข้างก็รีบปิดตัวลงอีกครั้ง ตั้งใจจะหันตัวหนี แต่ก็ไม่ทันมือใหญ่ที่รั้งเอาไว้ก่อน

“ตื่นก่อน เดี๋ยวทำข้าวเช้ามาให้ แล้วจะได้กินยา”

คนตัวเล็กส่ายหน้าช้าๆ จึงถูกมาร์ชส่งสายตาตำหนิกลับมา พี่ใหญ่ตบผ้าห่มที่ห่อหุ้มร่างเล็กไว้เบาๆ เหมือนต้องการจะบอกว่าให้เชื่อฟัง ก่อนลุกขึ้นเดินไปที่ห้องครัว ทำข้าวต้มอย่างง่ายด้วยเนื้อกับผักที่เหลืออยู่ในตู้เย็นมาเสิร์ฟให้ถึงบนเตียง อตินงอแงนิดหน่อยกว่าจะยอมลุกขึ้นนั่งดีๆ ทุกครั้งที่เผลอสบตากับมาร์ช ใบหน้าที่แดงอยู่แล้วก็ยิ่งแดงจัดขึ้นไปอีก ถ้าบอกว่าเขาคิดมากเรื่องเมื่อวานจนล้มป่วยก็คงจะได้อยู่หรอก เพราะคนตรงหน้าแท้ๆ จูบเขา...แล้วบอกให้ลืมแบบนั้น หมายความว่ายังไง มาตอนนี้ยังทำเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นอีก

พี่มาร์ชนะ....ใจร้ายชะมัดเลย

“เอามานี่ มา” ชามข้าวต้มในมือถูกมาร์ชคว้ากลับไปอย่างไม่ทันตั้งตัว คนโตกว่าท่าทางหงุดหงิดกับความอ้อยอิ่งของเขา จึงจัดการตักข้าวขึ้นมาเป่าสองสามที แล้วยื่นมาหยุดอยู่ตรงหน้า สายตาดุๆ ทำให้เขาต้องยอมอ้าปากรับการป้อนจากคนที่ไม่คิดว่าจะทำอะไรแบบนี้ได้

การทานข้าวเช้าวันนี้ดูเหมือนว่าผ่านไปนานกว่าปกติ ต่างฝ่ายต่างไม่พูดจาอะไรกันเลย นอกจากเสียงของช้อนกระทบชามเท่านั้นที่ดังขึ้นให้ได้ยิน สายตาอ่อนเพลียแอบเหลือบมองใบหน้าขรึมของอีกฝ่ายทุกครั้งที่มีโอกาส ในหัวพาลคิดไปถึงหลากหลายเรื่องราวที่ยังติดค้างในใจ สุดท้ายจึงเป็นฝ่ายรวบรวมความกล้า ทำลายความเงียบชวนอึดอัดนี้ลง

“พี่มาร์ช”

“ฮึ?”

“เมื่อคืนผมฝัน...” ช้อนที่กำลังตักหมูชิ้นสุดท้ายหยุดลง พร้อมกับสายตานิ่งเรียบที่เหลือบขึ้นมองคนจับไข้ตรงหน้า แล้วก็ไม่รู้ว่าด้วยพิษไข้หรืออะไร อตินถึงได้ยื่นมือมาแตะข้อมือเขา ขณะที่ตัวเริ่มสั่นเทาด้วยความรู้สึกบางอย่างซึ่งกำลังเอ่อล้นออกมา ดวงตาคู่หวานทอประกายความปวดร้าวจากความไม่เข้าใจ

“...ฝันถึงเรื่องในอดีต...”

“...”

“ของเรา...”

ราวกับเวลาในห้องนี้หยุดหมุนลงกะทันหัน ทุกคำพูดของเด็กตรงหน้ายังคงดังห้องอยู่ในหัวสมอง มือขวากำช้อนข้าวต้มแน่นจนเห็นเส้นเลือด มีมือเล็กร้อนผ่าววางทาบอยู่ด้านบน เหมือนกับจะส่งผ่านความรู้สึกโหยหามาให้ มาร์ชหลับตาลงนิ่งๆ ไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าของอีกฝ่าย พอสักที...อย่าทำให้เขาสับสนไปมากกว่านี้เลย

แค่นี้ก็รู้สึกผิดจะแย่แล้ว เพราะเขาดันไปห่วงทั้งที่ไม่มีสิทธิ์ ดันไปหวงทั้งที่ไม่ควรคิด...

ดันไปคิดถึงอะไรต่อมิอะไร ทั้งที่ความจริงแล้ว เขาไม่ควรแม้แต่จะกลับมาเจอเด็กคนนี้อีกครั้งด้วยซ้ำ อย่างที่บอกนั่นแหละ...เขาทำร้ายเด็กคนนี้ไว้ขนาดไหน ก็ไม่อยากให้ต้องมาเจอเรื่องแบบนั้นอีกซ้ำสอง อย่ามาเข้าใกล้คนไม่ได้เรื่องเลย อติน...อย่ามาคาดหวังอะไรจากคนที่ดูแลนายไม่ได้เลย

“ถ้าอิ่มแล้วก็กินยา จะได้นอน”

มือหนาจำใจปัดมือเล็กออกจากตัว ก่อนลุกขึ้นเอาชามข้าวไปวางไว้บนโต๊ะ หยิบถาดยาลดไข้มายื่นให้เด็กที่เอาแต่ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้เต็มทีแล้ว

“..พี่มาร์ช...”

เสียงครางด้วยความน้อยใจดังขึ้นทิ้งท้าย หลังจากที่มาร์ชหันหลังออกจากห้อง เขาอาจดูเหมือนใจร้าย...แต่ความจริงแล้วข้างในก็เจ็บไม่แพ้กัน เพราะต้องฝืนผลักไสเขาออกไป ทั้งที่ใจมันรักนี่น่า...

เพราะพี่รักนาย พี่ถึงต้องปล่อยนายไป

ไปหาคนที่ปกป้องนายได้ดีกว่า...ดีกว่าคนที่ชื่อมาร์ชคนนี้
หัวข้อ: Re: ♡♡ ร้านกาแฟแห่งนี้มีความรักอยู่ ♡♡ by「aonair」 UP! บทที่ 11-14
เริ่มหัวข้อโดย: aonair13 ที่ 02-05-2016 21:14:09
17


“พี่เลโอ อยู่ตรงไหนอ่า?” อตินกรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์เครื่องบาง สองสายตากวาดมองไปทั่วร้านเหล้าบรรยากาศสบายๆ นาฬิกาเรือนเล็กติดอยู่ที่ข้างฝาตีบอกเวลาเกือบเที่ยงคืน

เขานอนไม่หลับมาหลายคืนแล้ว ตั้งแต่หายจากอาการไข้หวัด...ดูเหมือนจะถูกโจมตีต่อด้วยอาการไข้ใจ จนต้องแอบหลบออกมาจากบ้านพักในเวลากลางค่ำกลางคืนแบบนี้ ก็คืนยังปล่อยมันต่อไป เขาต้องกัดลิ้นตัวเองตายก่อนแน่ ยังไงวันนี้ก็ต้องได้ระบายเรื่องที่มันอัดอั้นออกมาให้ใครสักคนได้ฟังบ้างแหละ แต่ที่คิดไม่ถึงก็คือ การที่คนคนนั้นดันนัดเขาออกมาเจอในสถานที่เอะอะขนาดนี้เนี่ยสิ

“เดินตรงมาเลย พี่เห็นอตินแล้ว เห็นพี่ไหม” เลโอตะโกนแข่งกับเสียงดนตรีภายในร้าน อตินหรี่ตามองช่องประตูที่เปิดทิ้งไว้ เห็นเงาของใครสักคนกำลังลุกขึ้นโบกไม้โบกมือตรงมาทางเขา จึงมั่นใจว่าใช่เลโอแน่ ค่อยก้าวขาตรงไปยังโต๊ะเป้าหมาย

“พี่ๆ สวัสดีครับ”

คนตัวเล็กยกมือไหว้ทุกคนบนโต๊ะซึ่งต่างคุ้นหน้ากันดี เพราะล้วนแล้วแต่เป็นสมาชิกจากร้านคอเดียทั้งสิ้น ไนล์ท่าทางกึ่มๆ เต็มที เอาแต่เอนตัวซบไหล่ไทป์ที่เหมือนจะทรงตัวไม่ค่อยจะอยู่ บนเก้าอี้ไม้ตัวเล็กของร้านด้านบนตึกขนาดสองชั้น ขณะที่มิกกี้ กั๊ก กับนอสยังโฟ่แตกเรื่องสาวๆ โต๊ะใกล้เคียง และเคฟกับจินก็กำลังดวลเหล้ากันอย่างเมามัน มีแค่เลโอที่เหมือนจะปลีกตัวออกมาอยู่ในโลกส่วนตัวคนเดียว เก้าอี้ตัวหนึ่งถูกเลื่อนมาอยู่ข้างๆ เลโอ ก่อนที่เคฟจะกวักมือเรียก เป็นสัญญาณให้เขาเดินเข้าไปนั่ง

เพิ่งรู้สึกว่าโต๊ะตรงนี้เป็นจุดที่โหวกเหวกน้อยสุดแล้ว เพราะตั้งไกลออกมาจากเวทีของวงดนตรีประจำร้าน อากาศก็กำลังดี ไม่ค่อยหนาวเกินไปเพราะอยู่ใกล้กับประตูทางออกซึ่งถูกเปิดทิ้งไว้ตลอด เพื่อให้พนักงานเดินเข้าออกไปบริการลูกค้าด้านนอกได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว ถึงอย่างนั้นการพูดคุยกันแต่ละครั้ง ก็ยังต้องใช้สกิลตะโกนอยู่ดี

“ว่าไงเรา?” เลโอเข้าเรื่องทันที ท่าทางของเด็กตรงหน้าดูไม่สบายใจจนเห็นได้ชัด

“พี่เลโอสนิทกับพี่มาร์ชหรือเปล่า?” เขาเลิกคิ้วเล็กน้อยเมื่อถูกถามกลับแบบนี้

“ก็ไม่ค่อยนะ ทำไมเหรอ มันทำอะไรเราหรือเปล่า”

อตินชั่งใจครู่หนึ่ง ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันโดยยังไม่กล้าพูดอะไร ทั้งที่ในใจอยากจะตะโกนดังๆว่า ใช่! ไอ้พี่มาร์ชมันทำเขาว้าวุ่นไปหมดแล้ว

“พี่เลโอ ตั้งใจฟังดีๆ นะ...”

ในที่สุด ปากเล็กก็เปิดออกอีกครั้ง เตรียมพร้อมที่จะเล่าทุกเรื่องราวในอดีตออกไป เลโอรับฟังทุกอย่างด้วยใบหน้าหลากหลายอารมณ์ ตั้งแต่เรื่องที่ว่ามาร์ชกับอตินเคยสนิทกันมาก่อนตอนเด็กๆ เรื่องที่อตินแอบปลื้มพี่ชายคนนี้มากขนาดไหน อุบัติเหตุไฟไหม้วันนั้น การแยกจากและการกลับมาพบกัน มาร์ชที่เปลี่ยนไปเป็นคนละคน รวมทั้งไอ้ท่าทีบ้าๆ ที่เอาแต่ทำให้อตินสับสนและยังหวั่นไหว

“นี่มันเรื่องบ้าอะไรเนี่ย”

นั่นคือคำพูดแรกหลังจากฟังจบ เพื่อนคนอื่นบนโต๊ะดูจะเริ่มมึนๆ กันหมดแล้ว มีแค่เขาที่กลับมาตาสว่างอย่างช่วยไม่ได้ เด็กตรงหน้าเล่าไปน้ำตาก็พาลจะไหล เขาเริ่มรีบลูบศีรษะปลอบทั้งที่ยังคิดคำพูดดีๆ ไม่ออกสักคำ มันช็อกอยู่เหมือนกันที่จู่ๆ ได้มารับรู้เรื่องราวทั้งหมด

“ผมงง ผมไม่เข้าใจ”

“พี่ฟังแล้วก็งงเหมือนกัน ไอ้เวรนั่นทำเหมือนชอบนายเลยนะ แม้ปากจะไล่ให้นายออกไปก็เถอะ”

“ผมไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเอง...”

“แต่มาร์ชคงไม่จูบใคร ถ้าไม่รู้สึกอะไรหรอกจริงไหม”

ดวงหน้าใสเริ่มแดงก่ำ เมื่อเลโอสะกิดเหตุการณ์ในวันที่ไฟดับขึ้นมา ก็...นั่นสิ หลายครั้งมาร์ชดูเย็นชามาก แต่หลายครั้งก็ดูอบอุ่น แม้จะไล่เขาไปไกลๆ แต่อีกใจกลับเหมือนต้องการรั้งไว้ยังไงไม่รู้ แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งดูเข้าข้างตัวเองจนน่าอาย เขาเลยไม่กล้าที่จะคิดอะไร...

กลัว...กลัวว่าทั้งหมด มันจะเป็นแค่ความหวังเล็กๆ ที่เขาคิดไปเอง

“แต่นายน่ะ ชอบมาร์ชล่ะสิ”

“หะ..หา”

“ไม่ต้องมาหง มาหาเลย แค่ดูก็รู้แล้ว แบบนี้เหนื่อยหน่อยนะ สงสัยทางนู้นจะเป็นพวกปากแข็ง” เลโอแกล้งแซว แต่อตินกลับไม่นึกขำด้วย ถ้ามาร์ชแค่ปากแข็งอย่างที่ว่าก็ดีหรอก แต่นี่มันดูยากกว่านั้นอีก บางครั้งทำเหมือนลืมเรื่องราวระหว่างกันไปแล้ว แต่บางคราวก็ราวกับจะโหยหาช่วงเวลานั้น...

แย่จริง ตอนที่เขาสองคนแยกกัน ก็ไม่ได้ปรับความเข้าใจใดๆ ทั้งสิ้น เลยยังไม่รู้ความรู้สึกของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย ไม่รู้ว่ามาร์ชเกลียดเขาหรืออะไร ทำไมถึงปล่อยเขาไปง่ายดายนักนะ แล้วพอกลับมาเจอกัน ยังเย็นชาใส่จนแทบไม่เหมือนมาร์ชที่เขารู้จักอีก

“เอาเป็นว่าไม่ต้องคิดมาก มีอะไรก็โทรมา ถ้าพี่ช่วยได้จะช่วย”

อตินพยักหน้าหงึกหงัก ไม่ได้ต้องการให้เลโอยื่นมือเข้ามาช่วยอะไร เพราะก็ไม่รู้ว่าต้องช่วยยังไงเหมือนกัน เขาแค่อยากหาใครสักคนไว้คอยระบายเรื่องปวดหัวในใจ และเลโอก็ทำหน้าที่นั้นได้ดีเกินคาด แค่นั่งฟังเงียบๆ จับมือเขาไว้แล้วส่งสายตาแห่งกำลังใจมาให้ แค่นั้นมันก็มากมายเหลือเกินแล้ว

“ขอบคุณจริงๆ นะครับ” คนตัวเล็กบอกเสียงหวาน ท่าทางจะรู้สึกโล่งขึ้นบ้างแล้วสิท่า

“ไม่เป็นไร มาหาพี่ได้เสมอนะ”

เลโอพูดแค่นั้นแล้วก็ลุกขึ้น ส่งสัญญาณบอกเพื่อนบนโต๊ะ (ที่อาจจะไม่รู้เรื่องแล้ว) ว่าจะออกไปส่งอตินด้านนอก ก่อนที่สองร่างขนาดต่างกันจะเดินออกมาจนพ้นบริเวณเสียงอึกทึก

“ให้พี่ไปส่งที่บ้านพักไหม?”

“ไม่เป็นไรครับ”

เพราะว่าอีกฝ่ายส่ายหน้าเกรงใจจนกลัวว่าหัวเล็กๆ นั้นจะหลุดออกจากบ่า เขาเลยต้องตกลงแล้วดึงน้องรักเข้ามาจูบหน้าผากเพื่อปลอบขวัญไปทีอย่างที่เคยทำบ่อยๆ ตอนเป็นรูมเมทกัน อตินยิ้มกว้างแล้วกอดเขาเป็นการบอกลา ก่อนจะเรียกแท็กซี่กลับไปที่บ้าน ในหัวเริ่มสบายขึ้นกว่าก่อนหน้านี้เยอะเลย แค่ได้ระบายออกไปบ้าง อะไรๆ ก็ดีขึ้น

“นี่ครับ” อตินยื่นเงินค่าโดยสารให้พี่แท็กซี่ ก่อนจะแอบย่องผ่านรั้วบ้านเข้าไปช้าๆ “โอ้ย”

คนตัวเล็กร้องขึ้นมาเมื่อรู้สึกถึงแรงกัดจากแมลงบางชนิดตรงบริเวณต้นคอ เขารีบลูบๆ คลำๆ แถวนั้นแล้วเกาอยู่สี่ห้าที ไม่รู้ว่ายุงหรือมดเหมือนกัน

“อติน ไปไหนมา?”

“อุ้ย!”  คนโดนเรียกชื่อสะดุ้งทันที เมื่อแง้มประตูห้องนอนแล้วเจอกับเพื่อนตัวโต กำลังยืนกอดอกมองมาด้วยสายตาคำถามระคนเป็นห่วง ไฟบนหัวเตียงถูกเปิดทิ้งไว้พอให้เห็นหน้าตาเป็นกังวลของคนด้านใน

“คือ...เรา แบบว่า...”

“ทำไมออกไปข้างนอกมืดๆ ไม่บอกใครเลยแบบนี้ มีอะไรหรือเปล่า” นั่นไง โดนรัวคำถามใส่ไม่ยั้งแบบนี้ นายมินเข้าโหมดคุณพ่อห่วงลูกสาวอีกแล้วตามเคย

“ก็...ไม่มีอะไรหรอกมิน”

“เล่ามาเลย”

“อืม...” อตินชั่งใจ แต่ในที่สุดก็ยอมเผยความจริงบางส่วน “เราไปหาพี่เลโอมา”

“ว่าไงนะ?”

“เราไปหาพี่เลโอ คุยกันนิดหน่อยเอง ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ”

พยายามตัดจบบทสนทนาด้วยการผลักตัวมินให้หันหลัง แล้วดันร่างใหญ่ๆ กลับไปที่เตียง แต่ยังไม่ถึงดี ไอ้หมีก็หันกลับมาเอาเรื่องต่อ ท่าทางเคร่งเครียดกว่าเก่าซะอีก ก็คำว่าเลโอ มันไม่ใช่สัญญาณที่ดีเท่าไรสำหรับพวกเขานี่ เพราะคนของคอเดียเป็นคู่แข่งกับเรามาตั้งนานแล้ว การเห็นอตินไปสนิทกับพวกนั้น ย่อมเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้เท่าไร

“ไปหาน่ะคุยอะไรกัน....บ้าง” คนตัวใหญ่ถามเสียงเรียบ สายตาเจ้ากรรมดันเหลือบไปเห็นรอยแดงๆ ที่ต้นคอของคนตรงหน้า

“ไม่มีอะไรหรอกกก”

“...”

มินเงียบไปแล้ว สายตาตื่นๆ เมื่อครู่กลับกลายเป็นเรียบเฉย อตินเลิกคิ้วสงสัยเมื่ออยู่ดีๆ เห็นร่วมห้องก็ดันชักสีหน้าไม่พอใจอะไรบางอย่างทั้งที่ปกติเขาจะไม่แสดงด้านนี้ออกมา อะไร เขาพูดอะไรผิดตรงไหนหรือเปล่า

“มิน?....โอ๊ยย”

ร่างเล็กของอตินถูกมือหนาโยนลงกับเตียง ก่อนที่ร่างของมินจะตามขึ้นมาคร่อมทับไว้ไม่ให้หนี อตินตกใจรีบชักสีหน้ากลับ พยายามไม่ตะโกนโหวกเหวกเพราะกลัวคนอื่นจะตื่นแล้วกลายเป็นเรื่องใหญ่ แต่ดูเหมือนว่าสถานการณ์ตอนนี้ ก็เป็นเรื่องใหญ่พอตัวอยู่เหมือนกัน

“จะทำอะไร?” ถามเสียงแข็ง เมื่อมินเข้ามารั้งข้อมือทั้งสองข้างเอาไว้ให้ราบติดกับเตียง

“ไปหาพี่เลโอ แค่คุย...หรือทำอะไรกันแน่”

คนตัวใหญ่กระชากเสียงเล็กน้อย ยิ่งทำให้ร่างด้านใต้ไม่เข้าใจ พยายามดิ้นหนีการเกาะกุมบ้าบอแต่กลับไม่เป็นผล เมื่อเรี่ยวแรงของเขาไม่ได้มีมากพอจะต่อกรกับไอ้หมีตกมันตรงหน้า

“พูดบ้าอะไร? ปล่อย!”

นอกจากไม่ปล่อยและไม่ตอบคำถามแล้ว ยังลามปามไปอีกขั้นด้วยการซุกใบหน้าเข้ากับซอกคอเนียนอย่างไม่ทันให้อีกฝ่ายตั้งตัว อตินเบิกตากว้างด้วยความตกใจ พยายามดิ้นหนีสุดแรงมากกว่าเดิม แต่ยิ่งทำแบบนั้น มินก็ยิ่งบีบรัดข้อมือเขาแน่นขึ้น สองขาแกร่งพาดทับขาเรียวของคนผอมกว่าเอาไว้เพื่อไม่ให้ยกขึ้นถีบ ก่อนที่ริมฝีปากนุ่มหยุ่นจะลากต่ำลงเรื่อยๆ

“มิน หยุดเดี๋ยวนี้!!” อตินกัดฟันพูด ท่าทางกระโชกโฮกฮากแต่ก็ไม่ใช่การตะโกน

คนตัวเล็กยิ่งขืนตัวหนีเมื่อรู้สึกได้ว่าเสื้อยืดที่ใส่อยู่ถูกเลิกขึ้นจนเผยให้เห็นแผงอกบาง มินไม่สนการประท้วงใดๆ ในหัวมีแต่คำว่าโกรธ หลังจากได้เห็นรอยปื้นสีแดงที่คาดเดาว่าเลโอคงฝากเอาไว้บนคอขาว อตินไม่เคยระวังตัวเลย ทั้งที่รู้อยู่ว่าพี่ชายคนนั้นเป็นเสือแท้ๆ !

ถ้าคนอื่นแตะต้องนายได้ง่ายขนาดนั้น...เขาก็คงทำได้เหมือนกันใช่ไหม?

“อื้ออ!”

อตินดิ้นพล่านเมื่อลิ้นอุ่นตรงเข้าหาจุกสีชมพูหวาน น้ำใสๆ รื้นขึ้นมายังขอบตาทั้งสองข้าง ในใจตื่นกลัวกับทุกการกระทำของเพื่อนสนิท ทั้งที่เขาเชื่อใจมินที่สุดแล้ว...

ทำไมถึงเป็นแบบนี้.....

“ฮ..ฮือ...”

แรงบีบบริเวณข้อมือคลายออกเล็กน้อยเมื่อเสียงสะอื้นไห้ของร่างด้านใต้ดังขัดขึ้น มินเงยหน้าขึ้นมองหยดน้ำตากำลังไหลผ่านแก้มใส พาลให้หัวใจกระตุกรุนแรงด้วยความรู้สึกผิดชอบชั่วดีที่ตีขึ้นมาจุกอก เขาค่อยๆ ผละตัวออกทั้งที่อ้าปากค้าง ได้แต่ทบทวนการกระทำไม่น่าให้อภัยของตัวเองเมื่อครู่

ทันทีที่ร่างใหญ่ออกไปพ้นตัว อตินก็รีบหดขาเข้ามาแล้วพลิกกายคุดคู้ ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาอย่างยากจะห้าม ความจริงถ้าโดนทำแบบนี้ เขาคงอยากวิ่งหนีออกไปเลยด้วยซ้ำ แต่เพราะเป็นมิน เพื่อนที่แสนดีมาโดยตลอด คนที่ห่วงเขามากกว่าใครๆ....เขาถึงยิ่งเสียใจ มากจนก้าวขาไม่ออก...

“ระ...เรา อติน...เราขอโทษ” มินพูดออกมายากลำบาก เขาพยายามไม่เข้าไปใกล้ร่างที่ยังกระเพื่อมขึ้นลงด้วยความตื่นกลัว

คืนนั้น ไม่มีคำพูดใดเล็ดลอดออกมาจากปากบางอีก...

มินนั่งสำนึกผิดอยู่ในห้องน้ำนานเป็นชั่วโมง สุดท้าย เขาเลือกที่จะแบกหมอนออกไปจากห้อง ทั้งที่ยังเป็นห่วงร่างเล็กบนเตียงแทบขาดใจ แต่ตอนนี้ความผิดติดตัวทำให้เขาไม่กล้าแม้แต่จะสบตาคู่นั้นอีกครั้ง...

น็อตเปิดประตูต้อนรับผู้มาเยือนกลางดึก เห็นขอบตาแดงก่ำของมินแล้วก็ได้แต่ร้องตกใจ แต่คนเป็นน้องกลับไม่ยอมเปิดปากพูดอะไรเลยจนถึงเช้า และทันทีที่ได้เห็นดวงตาปูดโปนของอตินบนโต๊ะอาหาร ก็ทำให้เขาเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวได้อย่างง่ายดาย

เด็กสองคนนี่...ทะเลาะอะไรกัน รุนแรงขนาดนั้นเหรอ?

“เอ่อ...” เบสพยายามส่งเสียงบางอย่างเพื่อทำลายความเงียบชวนอึดอัด “มินกับอติน เป็นอะไรหรือเปล่า?”

แน่นอนว่าทุกคนสังเกตเห็นถึงสีหน้าไม่สู้ดีของทั้งคู่ รวมทั้งพฤติกรรมที่แปลกไปด้วย อตินกับมินไม่มองหน้ากันเลยตั้งแต่ตื่นนอน ไม่พูดคุยหรือแม้กระทั่งทักทายด้วยซ้ำ หรือจะพูดให้ถูกก็คือ...อตินเหมือนกำลังหลบเลี่ยงมินทุกทางมากกว่า

“เปล่าครับ” อตินพูดขึ้นเสียงเย็น ขณะที่มินกำลังเหล่ตามองเพื่อนคนนี้ด้วยสีหน้าเว้าวอนแปลกๆ

ตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมา อตินยังคงเฉยชาใส่มินแทบตลอด พวกเขาไม่ได้นอนด้วยกัน หรือแม้กระทั่งมองหน้ากัน...และนั่นก็ทำให้มินรู้สึกตัวว่า เขาได้ทำเรื่องที่ผิดพลาดมหาศาลไปแล้ว บางที เขาก็ไม่มีหน้าจะอยู่ที่นี่ เพื่อมองดูคนที่เขารักมากที่สุดมาหมางเมินกันแบบนี้

อติน...ถ้าเกิดว่าเขาอยู่ แล้วทำให้นายรู้สึกไม่ดี.....

ถ้าเป็นอย่างนั้น เขาก็...



 

(บทที่ 17 มีต่อด้านล่างค่ะ)
หัวข้อ: Re: ♡♡ ร้านกาแฟแห่งนี้มีความรักอยู่ ♡♡ by「aonair」 UP! บทที่ 11-14
เริ่มหัวข้อโดย: aonair13 ที่ 02-05-2016 21:14:40
(ต่อ)



“จะไป...ครับ” พนักงานร่างสูงยืนกุมมืออยู่ต่อหน้านายวาโย เขาก้มมองซองจดหมายสีขาวบนโต๊ะทำงานอีกครั้งพลางถอนหายใจ

“ฉันไม่รู้ว่านายมีปัญหาอะไร แต่ฉันจะยังไม่อนุมัติ”

“แต่ว่า...”

“เอาเป็นว่าฉันให้นายลางานสักหนึ่งอาทิตย์ แล้วค่อยกลับมาคุยเรื่องนี้กันใหม่ ไปได้แล้ว”

“...ครับ”

มินเดินคอตกไปบิดลูกบิดประตู ห้องชั้นสามของคุณวาโยออก เอาแต่ก้มหน้ามองพื้นจนไม่ทันสังเกตว่ามีใครอีกคนยืนอยู่แถวนั้น พอเขาเงยหน้าขึ้นมาก็ต้องสะดุ้งเมื่อเห็นน็อตกำลังยืนถือเอกสารสรุปรายรับ-รายจ่าย หน้าตาดูตกใจไม่น้อย สงสัยว่าคงได้ยินเรื่องในห้องหมดแล้ว

“มิน...นี่นาย”

“ผมขอตัวก่อนนะครับ”

“นี่!”

น็อตไม่ทันได้ซักไซ้ คนเด็กกว่าก็รีบก้มตัวเดินผ่านเขาไปเลย มินตรงเข้าไปหาเบสขอกลับบ้านก่อน ซึ่งหัวหน้าก็ยอมให้แต่โดยดี เพราะเห็นว่าเขาท่าทางย่ำแย่มาหลายวันมากแล้ว แต่สิ่งที่ทุกคนไม่ได้คาดเดาไว้ก็คือ การที่กลับมาในตอนค่ำแล้วไม่เจอข้าวของของสมาชิกน้องเล็กหลงเหลืออยู่แล้ว

“มินหายไปไหน เสื้อผ้า ของใช้หายไปหมดเลย” แจนรีบถามหน้าตาเป็นกังวลไม่แพ้ทุกคนในบ้าน ต่างฝ่ายต่างออกตามหาเบาะแสแต่ก็ไม่พบ มือถือก็ติดต่อไม่ได้มาตั้งแต่ช่วงเย็นแล้วด้วย

“ทุกคน...” ในขณะที่กำลังแพนิค น็อตก็เสี่ยงเอ่ยขึ้นมากลางปล้อง สีหน้าไม่ค่อยดีนัก เบสรีบเข้ามาจับแขนน็อตไว้พลางถามแทนคนที่เหลือ ซึ่งกำลังยืนฟังอย่างเป็นห่วง

“นายรู้อะไรใช่ไหม?”

“คือ...ก่อนที่มินจะขอกลับบ้านตอนเย็น ฉันเห็นเขาเข้าไปหาคุณวาโย...”

“ไปทำไม?”

“ไป....เอ่อ...ไป...”

“...”

“...ยื่นใบลาออก!”

ในที่สุดก็ยอมปริปากออกมารัวเร็ว ทั้งที่ไม่อยากพูดคำนี้สักเท่าไร เพราะในใจเขาเองก็ยังไม่อยากเชื่อว่าคนอย่างมินจะเป็นได้ถึงขนาดนี้ ทั้งที่ร้านของเรา บ้านของเรา เป็นสถานที่ที่เด็กคนนั้นเคยบอกว่าสุขใจมาก แต่กลับ...

“ว่าไงนะ!”

“บ้าไปแล้ว!”

ทุกคนยิ่งแตกตื่นหลังจากรู้ความจริง อตินเป็นคนเดียวที่หน้าซีดจนเห็นได้ชัด...หมอนั่นหายไปแบบนี้เป็นเพราะเขางั้นเหรอ...เป็นเพราะเรื่องของเขาหรือเปล่า...

ไอ้บ้ามิน...ทำแบบนี้ได้ไง...

“ทำไมมินต้องลาออกด้วย” แจนยังคงโวยวายอย่างไม่เข้าใจ แต่ก็ต้องสงบลงเมื่อสายตาหลายคู่กำลังจับจ้องไปทางอตินซึ่งดูจะรู้คำตอบของคำถามนี้ดีที่สุด

เบสโบกมือไล่ให้ทุกคนแยกย้ายกันเข้าห้อง ก่อนที่ตัวเขาเองจะกลับเข้าห้องเหมือนกัน ไม่ลืมหันมาส่งกำลังใจให้น็อต ซึ่งยังคงยืนอยู่จุดเดิม พร้อมกันกับเด็กที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตามาได้สักพัก ภายในห้องนั่งเล่นนั้นเงียบสนิทจนแทบได้ยินเสียงหายใจชัดเจน น็อตก้าวเข้าไปรั้งข้อมืออตินให้เดินมานั่งตรงโซฟา

“บอกฉันได้ไหม ว่ามันเกิดอะไรขึ้น?” คนเป็นพี่ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล พลางกุมมืออตินเอาไว้ อีกฝ่ายนิ่งไปนานแต่ในที่สุดก็ยอมเล่าเหตุการณ์เมื่อคืนนั้น ทำเอาน็อตตกใจจนต้องยกมืออีกข้างขึ้นป้องปากอย่างไม่อยากเชื่อ

“ทำไมมินถึง...”

“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน อยู่ดีๆ เขาก็...”

“ไม่นะอติน ใจเย็นก่อน ฉันว่ามินต้องเข้าใจผิดอะไรสักอย่าง”

คนตัวเล็กส่ายหน้าเหมือนหาคำตอบไม่ได้ แต่อีกใจกลับสับสนเพราะเป็นห่วงเพื่อนคนนี้มากเช่นกัน การที่มินยื่นใบลาออกมันเกินความคาดหมายของเขามาก ไม่คิดว่าไอ้หมีบ้านั่นจะเครียดขนาดนั้น อาจเป็นเพราะเขาของคอยหลบหน้ามาตลอดหนึ่งอาทิตย์ก็ได้

บางที...เขาก็ควรให้โอกาสหมอนั่นได้อธิบายบ้าง

“พี่น็อต...แล้วผมควรจะทำยังไงดี?”

“พี่ว่า...เรา...”

“?”

“ไปหามินกันเถอะ”

 

“โหหหห” อตินร้องเสียงหลง เมื่อรถกระเป๊าะที่จ้างเข้ามาส่งแถวบ้านมินขับผ่านสวนดอกไม้กว้างสุดลูกหูลูกตา ภายในพื้นที่อุดมสมบูรณ์ของจังหวัดทางฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือ

“สวนดอกไม้ทั้งหมดนี้ เป็นของครอบครัวมินหมดเลยนะ”

“สุดยอดอะครับ!”

อดสงสัยไม่ได้ว่าลูกชายเจ้าของสวนดอกไม้ขนาดใหญ่จะเข้าเมือง ไปเป็นลูกจ้างร้านกาแฟทำไมไม่ทราบ

“แล้ว...เรามาไม่บอกแบบนี้ จะไม่เป็นไรหรอครับ?”

“ไม่เป็นไรหรอก พ่อแม่หมอนั่นใจดีน่ะ”

คนตัวเล็กหันกลับมาจ้องหน้าน็อตที่ดูไม่เดือดร้อนอะไร ว่าแต่ ประเด็นมันไม่ได้อยู่ตรงนั้นสักหน่อย ถึงเขาจะใจดี แต่เราควรมีความเกรงใจนะ...อยากบอกแบบนี้เหมือนกัน แต่ท่าทางน็อตคงไม่สนใจเท่าไร เอาแต่ยกมือถือขึ้นถ่ายรูปวิวอย่างกะนี่กำลังมาเที่ยวเฉยเลย

น็อตเป็นคนจัดการลางานให้พวกเขามาหามินกันถึงต่างจังหวัด โดยคุณวาโยก็ดูจะเข้าใจหัวอกกันมาก เขาไม่ได้ถามสักคำว่าเพราะอะไร เพียงแค่บอกให้ทั้งคู่พาตัวเด็กดื้อตัวโตกลับมาให้ได้ก็พอ ส่วนสมาชิกร้านคนอื่น แม้จะใคร่รู้ขนาดไหนก็ไม่ได้ซักไซ้อะไรเลย ทุกคนน่าจะเข้าใจว่าไม่ใช่เวลามาพูดเรื่องนี้ และอาจไม่อยากพูดถึงอีกแล้วด้วย มันจึงยังเป็นเรื่องราวระหว่างอติน มิน และน็อต สามคนเท่านั้น

ไม่นานนัก รถยนต์สีน้ำเงินท่าทางบุโรทั่งก็หยุดลงตรงหน้าบ้านไม้หลังใหญ่ ถูกตกแต่งไปด้วยดอกไม้สด เรียงรายไปทั่วอย่างน่าดูชม คนที่เปิดประตูออกมาต้อนรับพวกเขาคือชายวัยกลางคน กับรอยยิ้มกว้างแบบคนใจดี

“คุณลุง สวัสดีครับ”

“อ้าว น็อตไม่ใช่เหรอนั่น!”

คุณลุงคนนั้นขยับแว่นบนใบหน้าแล้วรีบวิ่งลงบันไดมาด้วยท่าทางตื่นเต้น รอยยิ้มกว้างยิ่งกว่ากว้างปรากฏบนใบหน้าสื่อถึงอายุที่มากแล้ว น็อตยิ้มรับแล้วเข้าไปกอดทักทายอย่างอบอุ่น

“เป็นยังไงมายังไง แล้วนี่ใครล่ะเนี่ย”

“หมอนี่ชื่ออติน เป็นพนักงานใหม่ของร้านครับ”

“อติน...อ่า ยินดีที่ได้รู้จักนะ” คุณลุงหันมองหน้าเด็กใหม่ก่อนหยุดพิจารณาสักพัก เขาทำท่าเหมือนนึกอะไรออก แต่ก็ไม่พูด เพียงแค่ยิ้มรับทักทายเป็นปกติเท่านั้น

จริงสิ...มิน เคยเล่าเรื่องเขาให้คนที่บ้านฟังบ้างหรือเปล่า

แล้วบอกหรือเปล่า ว่าทำไมถึงต้องกลับมา?

“ฉันเป็นพ่อของมินเองนะ เข้ามาก่อนสิ”

“อ้ะ ครับ”

“คุณป้าล่ะครับ?” น็อตถามเมื่อเข้ามาถึงในตัวบ้านท่าทางอบอุ่นและโปร่งสบาย

“ออกไปซื้อของน่ะ ตอนเย็นคงกลับ”

“อ๋อครับ แล้ว...มินอยู่ไหนครับ?”

“ในห้องน่ะ” พ่อมินเหล่ตามองไปทางบันได น็อตเพียงแค่ส่งสายตาขออนุญาต คนแก่กว่าก็ยอมพยักหน้าเข้าใจทันที

อตินเดินตามรุ่นพี่ขึ้นไปยังชั้นสองของบ้าน ประตูไม้บานหนึ่งถูกเคาะแค่สองสามที น็อตก็บิดลูกบิดเข้าไปเลยซะงั้น นี่ห้องใครไม่ต้องเดาเลย มินไม่ค่อยจะชอบล็อคห้องเท่าไรหรอก โดยเฉพาะเวลาเข้าห้องน้ำ ทำให้เขาเผลอเปิดเข้าไปป๊ะกันตั้งไม่รู้กี่รอบ

“มิน” เสียงน็อตดังขึ้นก่อนตัว น้องเล็กตัวใหญ่รีบลุกขึ้นจากเตียงแล้วปามือถือทิ้งด้วยความตกใจ ใบหน้าของน็อตคงไม่ได้ทำให้เขาช็อคเท่ากับใบหน้าของเพื่อนร่วมห้องอีกคนด้านหลัง

“มะ...มาได้ไง?”

“นั่งรถมา”

“แล้วมาทำไมครับ?” เด็กตัวสูงรีบยืนขึ้นแล้วเลื่อนเก้าอี้มาให้แขกทั้งสองนั่ง ตัวเขาแทบจะหนีไปติดกำแพงห้อง ด้วยต้องการจะเว้นระยะกับใครบางคน ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าที่มาเนี่ยเพราะอะไร แล้วยังโกรธอยู่หรือเปล่า...อตินน่ะ

“ก็มาตามนายกลับไปน่ะสิ ที่ร้านงานยุ่งมากนะ กล้าหนีมาแบบนี้ได้ไง”

“โอ้ย”

มินร้องแล้วลูบแขนตัวเองป้อยหลังจากโดนฝ่ามือหนักๆ ของน็อตฟาดลงเสียงดัง จนอตินยังแอบสะดุ้ง ท่าทางน็อตจะหงุดหงิดจริงๆ กับการแก้ปัญหาแบบไม่คิดหน้าคิดหลังของเด็กตรงหน้า และแน่นอนว่าในความโกรธเล็กน้อยนั้น มีความเป็นห่วงแฝงตัวอยู่มากมายเหลือเกิน

อย่างที่เคยบอกไปว่าน็อตเองก็เหมือนแม่ที่คอยดูแลสมาชิกทุกคน ไม้เว้นแม้กระทั่งหัวหน้าพนักงาน ส่วนมินก็เปรียบได้กับลูกชายคนเล็กนั่นแหละ พอลูกชายทำตัวแบบนี้ เขาก็ต้องนึกกังวลเป็นธรรมดา

“มีอะไรทำไมไม่พูด ไม่ปรึกษา ไม่เห็นหัวพวกพี่ๆ แล้วหรือไง”

“ขอโทษครับ...”

“พี่น็อต อย่าว่ามินเลยครับ” อตินรีบปรามเมื่อเห็นคนด้านข้างเริ่มชี้นิ้วขึ้นกลางอากาศ คล้ายจะต่อว่าอะไรออกมาอีก บางทีมันก็ไม่ใช่ความผิดของมินคนเดียว เขาต่างหากที่ผิด ทำให้มินรู้สึกไม่ดีจนต้องกลับมา

“พี่ก็จะว่าเราด้วยเหมือนกัน”

“อ้าว”

“มีเรื่องอะไรทำไมไม่เคลียร์กันดีๆ ยิ่งไม่คุยกัน ก็ยิ่งเข้าใจผิด ไม่รู้เหรอ”

“ขอโทษครับ...” ก้มหน้างุดด้วยว่าสำนึกผิดอีกคน

สุดท้ายทั้งมินและอตินก็ได้แต่นั่งนิ่ง ฟังน็อตเทศน์ยาวเป็นกิโล บางครั้งก็แอบเหลือบตามองกันทั้งที่ยังไม่กล้าเอ่ยคำใดออกมา รู้แค่ว่าในใจของทั้งคู่ อยากพูดอยู่แค่คำเดียวกันเท่านั้น...

“เอ้า เคลียร์กันให้จบ แล้วกลับไปทำงาน” คนเป็นพี่ลุกขึ้น ท่าทางเหนื่อยใจ เขายืนคุมอยู่สักพักหนึ่งถึงปลีกตัวออกจากห้อง ทิ้งเด็กสองคนเอาไว้ให้ตีหน้าไม่ถูกเล่นๆ

ไม่มีใครเงยหน้าขึ้นก่อน...

เสียงนาฬิกาภายในห้องดังสลับกับเสียงลมจากหน้าต่างบานใหญ่ ห้องนอนถูกตกแต่งอย่างเรียบๆ มีกลิ่นอายของความเป็นต่างจังหวัด แต่ก็ถูกสร้างออกมาในสไตล์โมเดิร์น ตุ๊กตาหมีสีน้ำตาลเข้มนอนแอ้งแม้งอยู่แถวหัวเตียง ตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นแชมพูประจำตัวของเจ้าของห้อง

กลิ่นของมิน...เพื่อนรัก.....

“เอ่อ...” อตินสูดหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ ก่อนเป็นฝ่ายทำลายความเงียบชวนอึดอัดขึ้น มินสะดุ้งเล็กน้อยแล้วเผยอปากออกบ้าง

“อติน/มิน”

ความเงียบตรงเข้าจู่โจมอีกครั้งเมื่อสองเสียงดังขึ้นพร้อมกันอย่างไม่ตั้งใจ คนตัวเล็กเงยหน้ามองอีกฝ่ายนิ่งๆ เหมือนกำลังเปิดทางให้พูดก่อน มินกลืนน้ำลายเหนียวลงคอ...

“เรา...ขอโทษ”

พูดได้แค่นั้นจริงๆ...

แค่นั้น...ก็พอให้เพื่อนคนนี้นึกหายโกรธทุกเรื่องราวที่ผ่านมา

“เราก็ขอโทษเหมือนกัน ที่เย็นชาใส่”

“ไม่ อตินไม่ต้องขอโทษ เรามันเลวเอง เรา...”

อ้าว พูดไปพูดมาเหมือนคนตัวโตจะร้องไห้เต็มที เขาเลยต้องรีบตรงเข้าตบบ่าเป็นเชิงปลอบ พูดตรงๆ เขาเลิกคิดเรื่องคืนนั้นไปแล้วล่ะ แน่นอนว่าคนจิตใจดีอย่างมินต้องไม่ตั้งใจให้มันเกิด คงเข้าใจผิดบางอย่างแล้วพรั้งพลาดไปเพราะความเป็นห่วงอีกแล้วล่ะสิ

“เฮ้ย ไม่เอาดิ ไม่เป็นไรจริงๆ เราไม่ได้โกรธแล้ว มาคุยกันดีๆ เหอะ”

“อ..อืม”

“ถามจริง วันนั้นเป็นบ้าอะไร?” สาบานนะว่าเขาพยายามคุยดีๆ แล้ว

“ก็...ที่คอ...”

“หะ?” เผลอยื่นหน้าเข้าไปใกล้เพราะอีกฝ่ายเอาแต่พูดอ้ำๆ อึ้งๆ แต่กลับทำให้มินสะดุ้งเกือบตกเก้าอี้

“วันนั้นนายบอกว่าไปหาพี่เลโอ...แล้วกลับมา มีรอยแดงที่คอนี่ จะให้คิดยังไงล่ะ”

“หา?”

คนตัวเล็กอ้าปากหวอ งงกับสีหน้าเคืองๆ ของมินที่กำลังมองมา รอยแดงไหน!? ไม่เห็นมี...เอ๊ะ หรือมี...อย่าบอกนะว่า รอยแมลงกัดตอนก่อนเข้าห้องนั่นน่ะ! บ้าละมิน เข้าใจผิดมหันต์เลย แถมหน้ามืดไปเพราะเรื่องนั้นเนี่ยนะ ไม่ใช่ห่วงแล้วเว้ยแบบนี้!

ไอ้เพื่อนบ้า ไอ้ขี้หวง!

ทั้งที่...รู้อยู่แล้วว่า คิดได้แค่เพื่อนแท้ๆ...

มิน....

“ไอ้บ้า”

“อะ..”

“นั่นมันรอยแมลงกัดโว้ย!” อตินลุกขึ้นเขกหัวเพื่อนสนิทอย่างหงุดหงิด ถูกเข้าใจผิดด้วยเรื่องเล็กน้อย แล้วบานปลายมาจนถึงขั้นลาออก ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าไร้สาระชะมัดเลย

“โอ้ย..มะ ไม่ใช่พี่ฮัน...”

“ไม่ใช่!”

ปลายนิ้วชี้จ่อเกือบจะชนจมูกโด่งๆ ตรงหน้า เป็นสัญญาณให้รู้ว่าไม่ควรพูดอะไรต่อไปอีกแล้ว ไม่งั้นได้มีคนวีนแตกแล้วฆ่าเขาหมกห้องนอนตัวเองแน่

“นายนี่มันบ้า 100% เลย”

“ขอโทษ...” นึกถึงตอนนี้ เขาเองก็ชักอยากจะด่าตัวเองเหมือนกัน เข้าใจผิดไม่เข้าเรื่อง แล้วดันทำแบบนั้นลงไป...เออนะ บ้าจริงๆ ด้วย

“เฮ้อ...ช่างเหอะ เข้าใจแล้วก็กลับกันเถอะ ที่ร้านยุ่งมากอย่างที่พี่น็อตว่านั่นแหละ”

“...”

เจ้าของบ้านหลุบตาต่ำเหมือนคนลังเล ในขณะที่อตินลุกขึ้นเตรียมกลับกรุงเทพเรียบร้อย ความจริงมินไม่ได้ลังเลอะไรหรอก ก็แค่อยากทบทวนทุกเรื่องบ้าๆ ตลอดอาทิตย์ในหัว ทำให้มันจบตรงนี้แน่ๆ แล้วจะได้กลับไปทำงานต่อเหมือนเดิม กลับไปเป็นรูมเมทคนเดียวของอตินเหมือนเดิม...

หึ...เหมือนเดิมงั้นเหรอ...

“ว่าไง จะไปไหม?” เสียงใสเอ่ยถาม พร้อมมือเล็กที่ยื่นเข้ามา มินได้แต่ส่ายหน้ากับตัวเองอย่างเหนื่อยอ่อน ก่อนฉีกยิ้มกว้างและกุมมือนั้นไว้แน่น

“อื้อ”

รอยยิ้มของอตินปรากฏขึ้นอีกครั้ง พร้อมมือทั้งสองข้างที่กระชับขึ้นกว่าเดิม เขาทั้งคู่เปิดประตูห้องนอนออกไปร่ำลาคุณพ่อมิน แล้วก้มหัวขอโทษน็อตอีกรอบด้วยทำให้สถานการณ์ทางร้านวุ่นวาย หลังจากจัดการข้าวของเสร็จสรรพแล้ว รถกระเป๊าะคันเก่าก็ขับเข้ามารับถึงหน้าบ้านไม้

หลังจากจัดการความรู้สึกไม่ดีในหัวออกไปได้แล้ว คนตัวเล็กถึงเริ่มคุยจ้อ ตลอดทางเอาแต่ชี้สวนดอกไม้กว้างสุดลูกหูลูกตา แล้วพร่ำพรรณนาถึงความไม่สมเห็นสมผลนานัปการ ว่าทำไมลูกชายเศรษฐีต่างจังหวัดถึงต้องตรากตรำไปรับงานร้านกาแฟถึงเมืองหลวงด้วย

นั่นสินะ...เขาเองก็จำไม่ได้แล้วเหมือนกัน ว่าตอนนั้นน่ะไปทำไม แล้วเข้าไปทำงานที่นั่นทำไม

แต่ถ้าลองถามใหม่ว่า ทุกวันนี้เขายังอยู่ที่นั่นทำไม...น่าจะให้คำตอบได้ง่ายกว่า

 

อติน...เขาเข้าใจแล้วว่า เขาไม่มีสิทธ์ที่จะหวงนาย ไม่มีสิทธิ์ที่จะไปคิดอะไรแบบนั้น...แต่ว่า ตราบใดที่เรายังขึ้นชื่อว่าเป็นเพื่อนรักกัน เขาคงมีสิทธิ์ที่จะห่วงนายใช่ไหม?

 

ถ้างั้น มินขอห่วงอตินละกันนะ...
หัวข้อ: Re: ♡♡ ร้านกาแฟแห่งนี้มีความรักอยู่ ♡♡ by「aonair」 UP! บทที่ 11-14
เริ่มหัวข้อโดย: aonair13 ที่ 02-05-2016 21:15:48
18

“หนักกก” อตินร้องโวยวายเมื่อมินลากขาลงจากเตียง แล้วมายืนพิงหลังเขาจนหน้าแทบคว่ำพื้น นี่ทำไรไม่ดูสารร่างตัวเองเลยใช่ไหม

“ง่วง~”

“ไม่ได้ จะสายแล้ว”

คนตัวเล็กพยายามเบี่ยงตัวหลบแล้วเปลี่ยนมาดึงตัวมินให้ยืนดีๆ ก่อนไล่เพื่อนคนนี้เข้าไปอาบน้ำอย่างด่วน ก่อนที่เบสหรือน็อตจะตามมาแห้วใส่อีก หลังจากเคลียร์ปัญหาคาใจกับมินเรียบร้อยแล้ว ดูเหมือนความสัมพันธ์ของพวกเขาจะพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้นกว่าเหมือนก่อนเยอะมาก

ที่แน่ๆ พวกเขาเปิดใจต่อกันมากขึ้น มีอะไรก็พูดไม่เก็บเงียบอีก แถมมินยังดูจะเจียมเนื้อเจียมตัวแล้วว่าเป็นได้แค่เพื่อนเท่านั้น เลยลดบรรยากาศอึดอัดเวลาอยู่สองต่อสองลงไปได้โข

พอมินอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อย ก็รีบพากันวิ่งผ่านโต๊ะกินข้าว โฉบเอาขนมปังมาไว้ในมือคนละแผ่นแล้วไปหยุดรอหน้าบ้านทันที ไม่เหลือเวลาให้พี่ๆ ได้ดุที่ตื่นสายเลยสักนิด สุดท้ายก็กลายเป็นเสียงหัวเราะกับท่าทีเด็กๆ ของน้องเล็กทั้งสอง

“ทำไมวันนี้ตื่นสายล่ะ” แจนเอ่ยปากถามระหว่างเดินไปที่ร้าน มินได้แต่เกาหัวแล้วหัวเราะแห้ง

“เมื่อคืนดวลเกมกันดึกไปหน่อยอะครับ”

“อย่าเหลวไหลล่ะ” คนโตกว่ายื่นมือขึ้นไปผลักหัวมินเบาๆ ทีหนึ่ง ตามมาด้วยเสียงขำคิกคักของอติน บางทีเขาก็ดีใจนะที่เห็นสองคนนี้กลับมาเป็นเพื่อนสนิทกันเหมือนเดิมได้

แบบนี้แหละดีแล้ว...เพราะความเป็นเพื่อน ไม่มีวันเลิกราไง

“สองคนนั้นกลับมาดีกันแล้ว ค่อยยังชั่ว” เบสเหล่ตามองคู่หูด้านหลังที่ยังแกล้งกันไม่เลิก ไม่ทันสังเกตว่าคนที่คุยอยู่ด้วยกำลังตีหน้าซึมขนาดไหน

“ก็ดี...มั้ง”

“เฮ้ย เป็นไร” กระซิบถามซันขณะที่น็อตกำลังไขกุญแจเข้าร้าน

“เปล่า”

“อิจฉาเขาเรอะ”

“เปล่าาา”

โอ้ย ไอ้ขี้อิจฉา! อิจฉาน้องนุ่งหน้าด้านๆ เลยนะซัน แถมยังมาทำปากแข็งอีก เห็นตั้งแต่มินกลับมาสนิทกับอตินล่ะหงอยเป็นหมาถูกทิ้งแล้วทิ้งอีก คิดแล้วก็น่าสงสารเหมือนกัน เห็นชัดๆ ว่าอตินก็คิดกับซันแค่พี่คนหนึ่ง แต่พี่คนที่ว่าดันคิดไม่ซื่อ ก็ต้องนั่งเสียใจแบบนี้แหละนะ

“ตั้งใจทำงานเหอะ” เบสตบไหล่ซันเหมือนอยากให้กำลังใจ แต่ก็ไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกดีขึ้นสักเท่าไร

แต่การที่มินกลับมาก็ทำให้งานในร้านราบรื่นขึ้น บอกตรงๆ Café de Sept จะขาดพนักงานคนไหนไปไม่ได้เลย ทั้งเจ็ดคนสำคัญเท่ากันหมด มีหน้าที่ที่คอยช่วยเหลือกันและกัน ประคับประคองให้ร้านเป็นไปได้ด้วยดี นั่นถึงเป็นเหตุผลที่เบสเครียดจนผมหงอกขึ้น และน็อตโกรธควันออกหูตอนรู้ว่ามินหนีกลับบ้านแค่เพราะทะเลาะเรื่องไม่เป็นเรื่อง

“มินอ่า กลับมาตั้งแต่เมื่อไรเนี่ย” พี่สาวคนหนึ่งรีบทักเมื่อเดินเข้ามาในร้าน เธอเป็นหนึ่งในลูกค้าประจำที่บ้านอยู่ใกล้ๆ นี้ แต่เห็นหายหน้าไปตั้งแต่วันที่มินเริ่มลางาน

“เกือบอาทิตย์แล้วครับ ขอโทษด้วยนะครับ”

“คนเป็นห่วงนายเยอะมากเลยนะ”

“ขอโทษจริงๆ ครับ แล้ววันนี้รับอะไรดีครับ?”

“ชาเขียวปั่นเหมือนเดิมจ้ะ”

พนักงานคนสุดท้องยิ้มรับแล้วพาลูกค้าสาวไปนั่งที่โต๊ะ ก่อนจดออเดอร์ใส่กระดาษปักไว้ให้มาร์ชตรงเคาน์เตอร์ อตินลูกมือ เป็นคนเดินมาหยิบกระดาษแผ่นนั้นดูแล้วขานต่อ

“ชาเขียวปั่นที่นึงครับ”

“อ่า”

มาร์ชตอบรับแล้วหันไปจัดการเครื่องดื่มตามสั่ง อตินยกแก้วที่น็อตเพิ่งเก็บมาวางไปล้างตรงซิงค์ ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า ตั้งแต่วันที่เขาป่วยและมีมาร์ชคอยดูแล พวกเขาทั้งคู่พูดคุยกันน้อยลง...อาจเพราะมาร์ชเอาแต่หลีกเลี่ยงการสนทนาหรือแม้แต่สบตากับเขาอยู่บ่อยๆ ทั้งที่แอบคิดว่าอาจเข้าใกล้มาร์ชมากขึ้นอีกก้าวแล้ว กลับถูกดึงมาที่จุดเดิมเสมอเลย

“นี่”

“โอ้ะ” อตินเผลอร้องเมื่อสัมผัสถึงแรงตบเบาๆ ตรงช่วงหลัง อากาศเริ่มเย็นตัวลงแล้ว ทำให้รอยแผลไฟไหม้ตรงนั้นกลับมามีความรู้สึกอีกครั้ง

ทั้งที่ไม่ควรจะเจ็บแล้วแท้ๆ...

“เป็นอะไรหรือเปล่า?” มาร์ชเข้ามาจับตัวอตินให้หันไปหา แล้วถามเสียงเครียด

“ปะ เปล่าครับ”

“ทำไมถึงร้อง เจ็บเหรอ?”

“ป...”

“ยังเจ็บอยู่อีกเหรอ..”

“ไม่ครับ ไม่เจ็บแล้ว ผมแค่ตกใจเพราะพี่มาร์ชมือเย็น” คนตัวเล็กรีบโบกไม้โบกมือปฏิเสธพลางอธิบายรัวเร็ว เขาทนไม่ได้ที่ต้องเห็นมาร์ชตีสีหน้าห่วงใยแบบนี้

ก็อยากจะดีใจอยู่หรอก ที่อีกฝ่ายดูสนใจ แต่อย่าทำหน้าเหมือนรู้สึกผิดแบบนั้น...ไม่ชอบเลย

มาร์ชดูเหมือนไม่อยากเชื่อคำพูดของเขา ยังเอาแต่ส่งสายตาจับผิด ท่าทางดูชั่งใจว่าควรทำยังไงดี มีความสับสนและเจ็บปวดเคลื่อนตัวอยู่ในแววตาสีนิลตรงหน้า พอเห็นท่าไม่ดีเพราะพนักงานคนอื่นเริ่มมองมาอย่างสงสัย อตินจึงต้องแสร้งยิ้มกว้างและเปลี่ยนเรื่อง

“ชาเขียวปั่นเสร็จแล้วนี่ครับ เดี๋ยวผมเอาไปเสิร์ฟนะ”

แก้วเครื่องดื่มบนเคาน์เตอร์ถูกย้ายมาไว้บนถาด น็อตที่รอรับออเดอร์ยอมให้อตินเป็นคนเดินไปเสิร์ฟลูกค้าแทน เหมือนเขาจะเดาอะไรบางอย่างได้ ส่วนมาร์ชก็พยายามควบคุมอารมณ์บ้าๆ ในตัว แล้วหันกลับไปจัดการงานต่อ

ทั้งที่ยังอยากถาม แต่ก็รู้สึกว่าไม่ควรถาม...

ความผิดนั้นดูเหมือนจะต้องติดตัวเขาไปตลอดชีวิตเลยนะ อติน

พี่ขอโทษ.....

 

“พี่มาร์ช ยังไม่กลับมาอีกนะครับ” อตินยืนชะเง้อคออยู่แถวประตู เมื่อไม่เห็นวี่แววพี่ใหญ่สักที ทั้งที่คนอื่นทานข้าวเย็นกันเสร็จจนจะเข้านอนอยู่แล้ว

“มันบอกว่าจะออกไปหาเพื่อนอะ ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”

ซันเดินมาล็อกคออตินกลับไปนั่งบนโซฟาตัวเดียวกัน บนพื้นมีแจนกับน็อตกำลังหารือเรื่องของหวานเมนูใหม่ พอเห็นว่าทุกคนทำตัวปกติดี อตินถึงเริ่มสงบใจลงได้บ้าง เขาคงเป็นห่วงมากไป...ก็เพราะตั้งแต่ย้ายเข้ามาที่บ้านพักนี้ ยังไม่เคยมีวันไหนที่ไม่เห็นหน้ามาร์ชก่อนเข้านอนเลยนี่ แล้วยิ่งเมื่อเช้ายังเกิดเรื่องนั้นอีก...

เขากลัวว่ามาร์ชจะคิดมาก แต่ก็ไม่มั่นใจ ว่าคนคนนั้นกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ แค่เป็นห่วงเหรอ? หรือมากกว่านั้น...สีหน้ามาร์ชที่มองเขา ที่พูดถึงเรื่องแผลของเขา มันแปลกมาก ดูย่ำแย่เหมือนกำลังโดนบีบหัวใจ แต่ว่าเพราะอะไรล่ะ

เหตุผลลึกๆ ในใจของมาร์ช คืออะไร

มันแย่นะ ที่ต้องมานั่งปวดหัวเพราะเขาไม่รู้อะไรสักอย่าง ทั้งความคิดของมาร์ชในตอนนี้ ทั้งเหตุผลในตอนนั้น ตอนที่ทิ้งเขาไป.....

อตินนั่งคิดอะไรวนไปวนมาในหัว แทบไม่ได้ยินเสียงทีวีที่เปิดอยู่ กว่าจะรู้ตัว น็อตกับแจนก็อพยพไปอยู่ในครัวเพื่อลองทำขนมสูตรใหม่ ส่วนซันก็จมดิ่งเข้าไปในหนังแอ็คชั่นตรงหน้า มีเบสมาร่วมแจมตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ ส่วนมินคงนั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้อง

และมาร์ช...ยังไม่กลับมา

“นี่ ใครว่างออกไปซื้อน้ำตาลมาให้หน่อยสิ” น็อตส่งเสียงออกมาจากครัว ก่อนเจ้าตัวจะเดินหน้าเครียดตามมา

“น้ำตาลหมดแล้วเหรอ”

“อือ อยากลองทำเฟรนช์โทสต์อะ ออกไปซื้อให้หน่อยสิ”

เบสรีบหุบปากแล้วหันกลับมามองหน้าซันเหมือนจะโยนๆ แต่ซันที่ยังติดพันพนังแสร้งทำเป็นไม่มองและจงใจกดเปิดเสียงทีวีให้ดังขึ้น จนน็อตอดชักสีหน้าไม่ได้ สุดท้ายอตินเลยต้องยกมืออาสาก่อนที่ใครแถวนี้จะโมโหจนก่ออาชญากรรมหย่อมๆ ได้

“เดี๋ยวผมไปซื้อให้เองครับ”

“เอาน้ำตาลทรายมาถุงนึง แล้วก็สตรอเบอรี่ลูกเล็กๆ นะ”

“ได้ครับ”

รับคำเสร็จก็รับเงินแล้วลุกผ่านหน้าพวกติดหนังออกไปออกบ้าน ท้องฟ้ามืดแล้ว มีไฟสองข้างถนนเป็นตัวช่วยนำทางเท่านั้น ซุปเปอร์มาร์เก็ตร้านประจำเปิดถึงเที่ยงคืนยังคงส่องสว่าง แม้จะไม่มีลูกค้ามากนัก คนได้รับมอบหมายรีบเข้าไปหาของที่น็อตต้องการแล้วจ่ายเงิน ใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีก็เสร็จเรียบร้อย เตรียมกลับบ้าน

ใช่ คงได้กลับบ้านเอาน้ำตาลกับสตรอเบอรี่ไปส่งถึงมือคนรอนานแล้ว ถ้าหูสองข้างไม่เผลอไปได้ยินเสียงคุ้นหูตรงลานจอดรถข้างซุปเปอร์ฯ เข้าให้ แถมยังไม่ใช่เสียงเดียวอีกด้วย

“เข้าเรื่องสักที”

“อ่า...กูว่ามึงน่าจะเดาออกนะ”

“...”

“กูเป็นห่วงอติน”

ชื่อตัวเองดังขึ้นมาแว่วๆ ทำให้อตินต้องรีบขยับเข้าไปใกล้เพื่อลอบฟัง เขาเลือกหลบตรงมุมกำแพง ใกล้กับประตูรถเข้า ถึงแม้แสงไฟจะสลัวขนาดไหน แต่ก็มองเห็นชัดเจน สองคนที่ยืนคุยกันอยู่ท่าทางเคร่งเครียด...

เลโอ กับ มาร์ช !

“แล้วเกี่ยวอะไรกับกู”

“พูดมาได้นะว่าไม่เกี่ยว”

คนตัวเล็กรีบยกมือขึ้นปิดปากเพื่อป้องกันเสียงร้องที่อาจหลุดลอดออกไป เมื่อกี้ตกใจแทบแย่ อยู่ดีๆ เลโอก็พุ่งเข้าไปกระชากคอเสื้อมาร์ชไว้ซะแรง ทำไมสองคนนี้ต้องนัดออกมาคุยกันเรื่องเขาเอาเวลาแบบนี้ด้วย หรือนี่คือสิ่งที่เลโอเคยบอกว่าจะช่วยงั้นเหรอ บ้าละ

“ทำไมต้องเย็นชากับอติน” เลโอยอมปล่อยมือจากมาร์ช หลังจากเล่นจ้องตากันอยู่นาน

“เปล่า...กูก็เป็นอย่างนี้อยู่แล้ว”

“อตินรักและเคารพมึงมากนะ มึงเคยเป็นพี่ชายที่ดีมากของเขา”

“...”

“และก็ยังคงเป็นอยู่”

“...หึ” มาร์ชแค่นยิ้มให้ตัวเองก่อนจะหลบตาเลโอเล็กน้อย เขาดูเหมือนไม่เชื่อคำพูดนั้น จนอีกฝ่ายต้องเน้น

“อตินบอกกูมาอย่างนี้”

“งั้นฝากไปบอกเขาด้วย ว่ากูไม่ใช่”

“ไอ้มาร์ช!” เลโอขึ้นเสียง ตั้งท่าจะเข้าไปต่อยคนอมทุกข์ตรงหน้าแต่ก็พยายามรั้งตัวเองไว้ ยังไงวันนี้เขาก็ต้องได้ต่อยหน้ามันแน่นอนอยู่แล้ว แต่ก่อนหน้านั้น ขอคุยให้เคลียร์ก่อนเถอะ

“ถ้าหมอนั่นอยากได้พี่ชายที่แสนดี ก็ยังมีมึง มีไอ้ซัน และคนอื่นๆ”

“...”

“ไม่เห็นต้องมายุ่งกับกูเลย”

“มึงนี่มันน่าโมโหจริงๆ รู้ตัวบ้างไหมว่าทำให้อตินเสียใจแค่ไหน”

มาร์ชกำหมัดแน่นพร้อมหลุบตาลงอีกครั้ง ทำไมจะไม่รู้ล่ะว่าเขาเอาแต่ทำให้เด็กนั่นเสียใจ ถึงไม่อยากให้มายุ่งด้วยไง ไม่ต้องมาใกล้ ไม่ควรจะกลับมาตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ ทั้งที่ทุกอย่างควรจบไปแล้ว รวมทั้งความรู้สึกบ้าๆ ในอกนี่ด้วย แต่เพราะอตินกลับมา...ทุกอย่างมันถึงยังอยู่

และรุนแรงขึ้นทุกวันแล้ว

“มาร์ช...มึงเกลียดอตินเหรอ?”

คำถามนี้ทำเอาคนแอบฟังถึงกับสะดุ้งไปด้วย หัวใจที่เต้นแรงเพราะกลัวว่าจะถูกเห็น ยิ่งสูบฉีดหนักขึ้นอีก ลุ้นไปกับคำตอบที่กำลังจะได้ยิน มาร์ชดูจะช็อคมากจากคำถามนั้น เขาเอาแต่กัดฟันแน่นและเริ่มจิกเนื้อตัวเอง

อยากจะพูด...อยากจะบอก

ความรู้สึกที่ต้องอัดอั้นมานาน

“.....เปล่า...กูไม่ได้เกลียดอติน”

อย่ามาทำเป็นรู้ดี...ทั้งที่เขารักเด็กนั่นยิ่งกว่าใคร

“...”

เลโอตั้งท่าจะจี้คำถามต่อไป แต่ก็เลือกที่จะปิดปากเงียบ เมื่อมองเห็นว่ามาร์ชกำลังเริ่มสั่น ท่าทางของเจ้าชายเย็นชาตรงหน้าดูไม่ต่างอะไรกับภูเขาไฟที่พร้อมระเบิด อย่างกับว่าไม่ใช่มาร์ช

ดูท่าทาง คนที่เจ็บปวด จะไม่ใช่แค่อตินซะแล้วล่ะมั้ง

“กูไม่เคยเกลียด...อติน ยังอยากเป็นพี่ชายที่ดีให้เขา...”

“...”

“แต่กู...กู.....รู้สึกผิดทุกครั้งที่เห็นหน้าเขา” มาร์ชพยายามควบคุมน้ำเสียงให้เป็นปกติ แม้ว่าดวงตาจะเต็มไปด้วยความสับสนและว้าวุ่น

“รู้สึกผิด...เรื่องไฟไหม้อะนะ?”

“ใช่...กูดูแลเขาไม่ดี กูทำให้เขาต้องเจ็บ ต้องเจ็บมาถึงทุกวันนี้”

“แต่อตินไม่เคยโทษมึงเลยนะ อีกอย่าง เรื่องนั้นมันเป็นอุบัติเหตุ ไม่มีใครอยากให้เกิด”

“แต่ถ้ากูรอบคอบกว่านี้ มันก็ไม่เกิดใช่ไหมล่ะ!”

ท่าท่างกระโชกโฮกฮากดูไม่สมเป็นมาร์ชจริงๆ นั่นแหละ ทำเอาคนที่คิดอยากจะต่อยหน้าได้แต่ยืนนิ่ง รู้สึกเห็นใจคนตรงข้ามขึ้นมา ก็ใครจะไปรู้ล่ะ ว่าภายใต้ใบหน้าเรียบเฉยกับคำพูดโหดร้ายทั้งหลายนั้น ซ่อนอดีตที่ฝังใจไม่แพ้กันเอาไว้ แต่ดูเหมือนความเจ็บปวดของมาร์ชกำลังจะปะทุออกมาในเวลานี้แล้ว

“กูมันไม่ดี กูมันดูแลอตินไม่ได้...”

“...”

“เพราะงั้น...ให้อยู่ห่างๆ กันดีกว่า...”

เขารับประกันไม่ได้หรอกนะ ว่าเด็กคนนั้นจะมีความสุข ว่าจะปลอดภัย ในเมื่ออ้อมกอดของเขามันช่างอ่อนแรง...เพราะงั้น ก็อย่ามายุ่งกับเขาอีกเลย ใช่ นั่นแหละดีแล้ว อย่ามาใกล้ อย่ามาตอกย้ำความผิดของเขา อย่ามาตอกย้ำ...ความรู้สึกในใจของเขา

อย่าทำให้เขา ยิ่งไม่อยากปล่อยมือ...

ทั้งที่ควรจะปล่อยเลย...

“มึงนี่มัน...”

เลโอยกมือขึ้นนวดขมับตัวเองแรงๆ รู้สึกเหมือนประสาทจะกินหลังจากได้ยินความรู้สึกที่แท้ของไอ้คนปากแข็ง สุดท้ายก็เรื่องบ้าๆ ไม่คิดเลยว่าหน้าตาดีแต่สมองไม่มีแบบนี้ นี่ทนอยู่กับความรู้สึกผิดปัญญาอ่อนมาตลอดเลยเหรอ และเพราะแค่นั้นถึงต้องกันตัวเองออกห่างจากอติน ทั้งที่ดูก็รู้ว่ารักเขาเนี่ยนะ เหมือนว่ามาร์ชเพิ่งทำให้เขาเข้าใจว่า ความรู้สึกของแต่ละคนนั้นช่างซับซ้อน และยากลึกหยั่งถึง

“พี่มาร์ช!!”

เสียงใสดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ ทำให้สองคนตรงนั้นต่างสะดุ้งและหันไปหาต้นเสียงแทบจะพร้อมกัน อตินกำลังกำมือแน่นจนถุงพลาสติกในมือสั่นไหว...แต่ความจริงก็คือ ร่างทั้งร่างของเขากำลังสั่นเทา พร้อมกับน้ำตาที่ไหลพรั่งพรูจนน่าตกใจ

“พี่มาร์ชบ้า! บ้าที่สุด!” ถุงน้ำตาลกับสตรอเบอรี่ถูกปล่อยทิ้งไว้บนพื้น ก่อนที่อตินจะวิ่งเข้าไปทุบตีมาร์ชนับครั้งไม่ได้ เสียงประท้วงอู้อี้ยังคงดังขึ้นต่อเนื่อง ท่ามกลางความตกใจ

“ที่เฉยชาใส่เพราะเรื่องแค่นั้นเนี่ยนะ!”

“...ฉัน...”

“งี่เง่า!”

ทั้งมาร์ชและเลโอต่างผงะไปคนละก้าว ไม่คิดว่าเด็กว่านอนสอนง่ายอย่างอตินจะกล้าต่อว่ารุ่นพี่ด้วยเสียงกึ่งตะคอกแบบนี้ ไม่ว่าเปล่า ยังออกแรงผลักอกกว้างตรงหน้าแรงๆ เหมือนอัดอั้น และรีบพูดต่อโดยไม่ทันให้มาร์ชเถียงอะไรกลับ น้ำตาก็ยังคงไหลออกมาไม่หยุด

“ถ้ารู้สึกผิดขนาดนั้นก็กลับมารับผิดชอบสิ! ไม่ใช่หนีหน้ากันแบบนั้น!!”

เสียงตะโกนอย่างเหลืออดทำให้มาร์ชหน้าชา ในหัวใจเหมือนมีใครเอาเข็มนับพันเล่มมาทิ่มแทง เขาไม่ได้ปรารถนาที่จะเห็นอตินร้องไห้หนักหนาเพราะตัวเองเลย ไม่ต้องการ...ไม่อยากให้เด็กคนนี้เสียใจ...

“ถ้าอยากไถ่โทษ ก็กลับมาอยู่ข้างๆ กันสิ...ฮึก...”

“...”

“กลับมา..ฮืออ...มาเป็นเทวดาของอตินนะ”

คนตัวเล็กยกหลังมือปาดน้ำตาออกเหมือนเด็กๆ ก่อนขยับเข้าไปพิงศีรษะกับแผ่นอกของมาร์ชอย่างลืมอาย เสียงสะอื้นยังคงดังอยู่ พร้อมกับเสียงหัวใจที่สูบฉีดรัวแรงขึ้น มาร์ชเหมือนถูกสาปด้วยคำพูดทะลักทะลายเมื่อครู่ เขาได้แค่หยุดนิ่ง มีเลโอเฝ้าสังเกตการณ์เงียบๆ

ดวงตาสีดำสนิทสั่นไหวด้วยความรู้สึกมากมาย ทั้งอึ้ง ทั้งตกใจ ดีใจ ตีกันมั่วในหัว สุดท้ายจึงค่อยๆ ยกมือขึ้นจับหัวไหล่เล็กทั้งสองข้างเหมือนต้องการปลอบประโลม ก่อนตัดสินใจรวบร่างบางมาไว้ในอ้อมแขนแน่น เสียงกระซิบดังขึ้นแผ่วๆ

“พี่ขอโทษ...”

เลโอยืนถอนหายใจเหยียดยาว แต่ก็อดจะหลุดยิ้มออกมาไม่ได้ อตินเป็นเหมือนน้องชายแท้ๆ ของเขา การที่เห็นน้องมีความสุข นั่นคือสิ่งที่คนเป็นพี่หวัง และถ้าผู้ชายชื่อมาร์ช สามารถคืนรอยยิ้มให้อตินได้ เขาก็อยากให้เป็นอย่างนั้น

 

หลังจากมาร์ชปลอบอตินจนหยุดร้องได้แล้ว ทั้งสองคนก็โบกมือลาเลโอ ไม่ลืมขอบคุณที่ช่วยเรื่องวันนี้ สตรอเบอรี่ที่ไม่ค่อยสวยแล้วเพราะแรงกระแทกเมื่อครู่ ถูกมาร์ชยัดเข้าปากอตินอย่างจงใจแกล้ง ก่อนจะเป็นฝ่ายเดินเข้าซุปเปอร์ฯ ซื้อแพคใหม่ออกมาแทน ไม่งั้นขืนเอาผลไม้เน่าๆ ไปให้แจนเห็นคงถูกวีนกลับมาแน่ รายนั้นน่ะเห็นวัตถุดิบขนมสำคัญยิ่งชีพเชียวนะ

“พี่...ขอโทษจริงๆ นะ” คนตัวสูงพูดทั้งที่ไม่มองหน้า ระหว่างทางเดินกลับบ้านพัก

“ผมไม่เคยโทษพี่มาร์ชเลย ถ้าจะโกรธมีแค่เรื่องเดียว คือที่จู่ๆ พี่มาร์ชก็หายเงียบไป แล้วไม่คิดจะรั้งผมไว้สักนิด”

เขากำลังพูดถึงเหตุการณ์หลังจากอุบัติเหตุไฟไหม้ มาร์ชไม่แม้แต่จะมาเยี่ยมที่โรงพยาบาล ติดต่อทางไหนไม่ได้เลย เหมือนโดนหลบหน้าอยู่ตลอด พอครอบครัวของเขาจะย้ายบ้าน ก็ไม่มีการร่ำลาใดๆ ด้วยซ้ำ มันน่าเศร้าจริงๆ นะ

“ก็พี่...ไม่กล้าไปเจอเรา” คิ้วเข้มสองข้างขมวดเข้าหากันอีกครั้ง จนคนตัวเล็กต้องรีบเปลี่ยนบรรยากาศพร้อมตรงเข้าเกาะแขนแกร่ง

“ไม่เป็นไร ผมดีใจที่ได้ยินพี่มาร์ชพูดตรงๆ นะ หลังจากนี้เรากลับมาเป็นเหมือนเดิมเถอะ”

“อือ...แต่ยังไงก็ต้องขอโทษ พี่มันบ้า คิดไปเองว่าไม่ควรเข้าใกล้อติน”

“ใช่ บ้ามาก ทำให้ผมนึกว่าโดนพี่มาร์ชเกลียดแล้ว”

“เปล่าสักหน่อย” คนตัวเล็กยิ้มกว้างเมื่อได้ยินคำตอบพึมพำ

“พี่อาจจะรู้สึกโทษตัวเอง และคิดว่าดูแลผมไม่ได้ แต่พี่มาร์ชรู้อะไรไหม...คนที่ผมอยากให้มาดูแลที่สุด คือพี่คนเดียว”

“อติน...”

“เพราะงั้นก็ไม่ต้องรู้สึกผิดอีกแล้ว เพราะผมไม่เป็นอะไรจริงๆ เรื่องเดียวที่ผมจะขอต่อจากนี้ คือให้พี่มาร์ชกลับมาอยู่ข้างๆ ผมได้ไหม”

มาร์ชนิ่งไป ไม่ใช่ลังเลว่าจะปฏิเสธ แต่กำลังดีใจจนไปต่อไม่ถูกต่างหาก ความจริงถ้าเขาเลิกยึดติดกับความรู้สึกบ้าบอ และเปิดใจคุยกันดีๆ ตั้งแต่แรก เรื่องราวอาจจบไปนานแล้ว นี่เขาต้องให้อตินทนกับความเฉยชาที่เขาพยายามสร้างขึ้นมาเป็นเดือนๆ เลยเหรอ พอคิดได้แบบนั้นแล้วมันน่าต่อยตัวเองจริงๆ ให้ตาย

“นะ พี่มาร์ช ผมคงรู้สึกเสียใจมากกว่า ถ้าพี่มาร์ชยังพยายามตีตัวออกห่างแบบนี้ เพราะงั้น...กลับมาเป็นพี่ชายที่แสนดีให้ผมนะ”

อตินหยุดเดินกะทันหันแล้วเอียงคอรอคำตอบ แววตาสดใสมีความคาดหวังแฝงตัวอยู่อย่างปิดไม่มิด เขาขอให้มาร์ชกลับมาเป็นพี่ชายนั่นก็มากมายเท่าไรแล้ว หวังว่าคงไม่เฟลตั้งแต่ขั้นนี้หรอกนะ ในเมื่อเพิ่งเปิดใจกันไปโต้งๆ มาร์ชคงเข้าใจว่าเขาไม่เคยนึกโทษมาร์ชเลย กลับกัน...เขาคอยแต่จะคิดถึง คิดถึงมากมายจนกลายเป็นความรักแล้วนะ ยังไม่รู้ตัวอีก

บ้าชะมัดเลย...เพราะงั้น ถึงไม่กล้าขอมากไปกว่านี้ไง ตอนนี้แค่ได้กลับไปอยู่ข้างกันเหมือนเดิม ก็ดีเท่าไรแล้วอติน

“อื้อ”

มาร์ชตอบสั้นๆ แล้วดึงมืออตินมากุมไว้ ไม่น่าเชื่อว่าความกังวลตลอดหลายปีจะถูกทำลายลงง่ายๆ ด้วยคำพูดไม่กี่คำของเด็กข้างตัว บางที ที่พวกเขาไม่เข้าใจกันและยังต้องทนแบกรับกับความรู้สึกบ้าๆ อาจเป็นเพราะไม่ยอมพูดกันตรงๆ แค่นั้นเอง แต่วันนี้ได้ปรับความเข้าใจกันแล้ว ได้ระบายทุกอย่างออกมากันหมดแล้ว ถึงได้รู้ว่าต่อไปนี้ควรทำตัวยังไง

เมื่อกี้เหมือนได้ระบายทุกอย่างในใจ รวมทั้งได้รับฟังความรู้สึกของอีกฝ่าย ทำให้สมองปลอดโปร่งขึ้นเยอะเลย เขาที่เอาแต่วิ่งหนีดูเหมือนคนขี้ขลาดและงี่เงา แต่คำพูดและหยดน้ำตาของอตินก็ทำให้คิดได้วันนี้เอง ว่าไม่ควรยึดติดอยู่กับอดีตที่ไม่มีวันแก้ไขให้อะไรดีขึ้น สิ่งที่เขาต้องทำไม่ใช่การตรอมใจไปกับความผิดที่เกิด แต่นั่นคือการดูแลเด็กคนนี้ให้ดีกว่าเดิมให้ได้

นั่นสินะ เขาคิดผิดมาตลอดเองแหละ เอาแต่คิดว่าตัวเองย่ำแย่ และไม่สามารถปกป้องอตินได้ ทั้งที่ความจริง เขาอยากทำหน้าที่นั้นมากที่สุด

‘ถ้ารู้สึกผิดขนาดนั้นก็กลับมารับผิดชอบสิ กลับมาอยู่ข้างๆ กัน กลับมาเป็นเทวดาของอตินนะ’

อืม...ขอให้เขาได้กลับไปนะ กลับไปเป็นเทวดาของนาย

เพราะว่าไม่อยากเห็นนายร้องไห้แบบนั้นอีก...ไม่อยากผลักไสตัวเองอีกแล้ว ไม่อยากวิ่งหนีและได้แต่เจ็บปวดอีกแล้ว...อติน หลังจากนี้ เขาจะไถ่โทษด้วยการไม่ปล่อยมือนายละกัน ขอแก้ตัวเรื่องแผลที่หลัง การหนีหน้าตลอดหลายปี กับที่เคยเย็นชาใส่ ด้วยการดูแลนาย ไม่ให้เกิดเรื่องไม่ดีอีกเป็นครั้งที่สอง

จะไม่หนีอีกแล้วนะ...

คนตัวเล็กยังคงฉีกยิ้มกว้างไปตลอดทาง ดูเป็นภาพที่สวยงามมากของวัน เขาเผลอมองรอยยิ้มนั้นจนแทบไม่ได้มองถนนอีกเลย ดวงตาที่ทอประกายแข่งกันกับแสงจันทร์ดูน่ารักเหมือนกับตอนเด็กๆ ไม่มีผิด และความอบอุ่นจากฝ่ามือ ก็ยังเหมือนเดิมด้วย

อติน...ทั้งที่ตอนนี้เขามีความสุขมาก แต่ทำไมเสี้ยวหนึ่งในใจถึงเกิดร่ำร้อง

เพราะนายพูดว่าให้เรากลับไปเป็นเหมือนเดิม แต่ความรู้สึกของพี่ที่มีต่อนาย...มันไม่ได้เหมือนเดิมแล้วนะ
หัวข้อ: Re: ♡♡ ร้านกาแฟแห่งนี้มีความรักอยู่ ♡♡ by「aonair」 UP! บทที่ 11-14
เริ่มหัวข้อโดย: aonair13 ที่ 02-05-2016 21:19:42
19


“ทำไมช้าจัง อ้าว” น็อตเดินออกมาเปิดประตูให้ พร้อมส่งเสียงประหลาดใจเมื่อเห็นอตินเดินคู่มากับมาร์ช ท่าทางชื่นมื่นทั้งสองคน แถมยังจับมือกันมาอีก แปลกสุดๆ !

“พอดีผมหาน้ำตาลไม่เจออะครับ”

โกหกหน้าตายแล้วเป็นฝ่ายจูงมือมาร์ชผ่านหน้าน็อตเข้าไปในครัว ทิ้งความสงสัยบางอย่างไว้ตรงนั้น อตินส่งวัตถุดิบให้แจนซึ่งทำท่ารออยู่ บนเคาน์เตอร์เต็มไปด้วยของสำหรับลองทำขนมเมนูใหม่

“กลับมาด้วยกันเหรอเนี่ย” รีบถามขึ้นเมื่อสายตาเหลือบเห็นมือสองข้างที่กำลังกอบกุมกันอยู่ แต่ก็เลือกจะหันมาสนใจสตรอเบอรี่ในถุงแก้วมากกว่า

“ครับ พอดีบังเอิญเจอกัน”

“อ๋อ อืม ขอบใจนะที่ออกไปซื้อของมาให้”

“ไม่เป็นไรครับ” อตินยิ้มและตั้งท่าจะเดินออกจากครัว แต่แจนรีบรั้งเขาไว้ก่อน แม้ไม่รู้ว่าควรยุ่งดีไหม แต่ถ้าปล่อยไปแบบนี้ ได้เกิดเรื่องยุ่งกว่าแน่

“เดี๋ยว”

“ครับ?”

“ถ้าจะออกไป...ปล่อยมือก่อน”

คนได้ยินค่อยๆ เลื่อนสายตาลงมองมือตัวเอง ก่อนจะรีบผละออกจากมาร์ชด้วยท่าทีขัดเขิน เขาคงดีใจเกินไปที่ได้ปรับความเข้าใจกัน เลยเผลอทำตัวเหมือนตอนเป็นเด็ก สาบานว่าไม่รู้ตัวเลยว่าจับมือมาร์ชมาตลอดจนถึงในบ้าน

ทั้งสองคนยืนทำหน้าไม่ถูกอยู่สักพัก จนแจนต้องเป็นฝ่ายทำลายความอึดอัดด้วยการยิ้มให้ แล้วโบกมือไล่ขำๆ

“ออกไปเรียกพี่น็อตให้ด้วยนะ”

“อะ ครับ”

มาร์ชปล่อยให้อตินเดินออกไปก่อน สักพักจึงปลีกตัวกลับเข้าห้องนอน แจนพยายามไล่ความคิดแปลกๆ ในหัวออกไป แล้วเริ่มหยิบขนมปังออกมาจัดวางลงในชาม มีน็อตตามเข้ามาสมทบทีหลัง

“สองคนนั้นดูแปลกๆ นะ”

น็อตทักขึ้น ทั้งที่แจนว่าจะไม่พูดแล้วเชียว แต่มันแปลกจริงๆ นี่นา มาร์ชกับอติน ถึงจะทำงานใกล้ชิดกันบ่อย แต่ไม่คิดว่าสนิทกันขนาดนั้น อย่างน้อย คนแบบมาร์ชก็ไม่น่าจะเดินจับมือใคร ท่าทางขี้รำคาญจะตาย

“ผมว่า...ดูแปลกๆ มาตั้งนานแล้วนะครับ”

แจนอ้ำอึ้งพูดออกไป ไม่ค่อยมั่นใจนัก แต่จากการสังเกตของเขาตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา บวกกับคำบอกเล่าจากเบส ดูเหมือนสองคนนั้นกำลังมีความลับบางอย่างที่พนักงานคนอื่นไม่รู้

“ก็จริงนะ”

“พวกเราเอาแต่จับตาดูซันกับมิน จนมองข้ามบางคนไป”

“นายกำลังจะบอกว่า ดูเหมือนมาร์ชชอบอติน อย่างนั้นเหรอ?” คนโตกว่าเลิกคิ้วสูงอย่างประหลาดใจ ในหัวพยายามประมวลเหตุการณ์ทั้งหมดตั้งแต่วันแรกที่อตินย่างเท้าเข้ามาในร้าน อาจจะจริงที่พวกเขาลืมมาร์ชไป...แต่ข้อสันนิฐานนี้ยังไม่น่าตกใจเท่ากับคำที่แจนตอบกลับมา

เขาส่ายหน้าน้อยๆ ก่อนหันมองออกไปทางประตูห้องครัว น้ำเสียงเรียบนิ่งทำเอาน็อตต้องรีบยกมือขึ้นปิดปาก

“ผมกำลังจะบอกว่า…ดูเหมือนพวกเขาชอบกัน”

 

[ATIN: ขอบคุณอีกทีนะครับ]

[Leo Beer: ไม่เป็นไร]

อตินเอนหลังลงกับหมอน สองมือกดแป้นพิมพ์บนโทรศัพท์เครื่องบาง เพื่อคุยตอบโต้กับเลโอสำหรับเรื่องวันนี้ มีมินแอบเล่มองห่างๆ จากโต๊ะหนังสือ

[Leo Beer: ว่าแต่ ทำไมไม่บอกชอบมันไปเลยล่ะ]

[ATIN: ไม่เอา ผมกลัว]

[Leo Beer: กลัวไร มันชอบนายเห็นๆ]

ใบหน้าขาวอมเหลือง แดงก่ำขึ้นมาทันทีที่เห็นข้อความล่าสุด นิ้วเรียวรีบพิมพ์กลับอย่างลนลาน พยายามจะไม่คาดหวัง หรือให้ความหวังอะไรกับตัวเองแล้วแท้ๆ เชียว ถึงแม้มาร์ชจะชอบทำตัวประหลาด แล้วยังจูบวันนั้นอีก...แต่ให้เขาปักใจเชื่อว่าอีกฝ่ายคิดอะไรด้วยน่ะ ทำไม่ได้หรอก เพราะถ้ามันไม่เป็นไปอย่างที่คิดขึ้นมา คงเจ็บน่าดูเลยใช่ไหมล่ะ เพรางั้นก็ไม่ต้องคิดเลยดีกว่า.....

[ATIN: บ้า!]

[ATIN: แล้วถ้าไม่ใช่ล่ะครับ]

[ATIN: ผมไม่กล้าเสี่ยง]

[ATIN: เพิ่งได้พี่มาร์ชคืนมา ผมไม่อยากเสียเขาไป]

คนตัวเล็กเลื่อนหน้าจอขึ้นลงหลายรอบ อ่านทวนข้อความที่พิมพ์ส่งไปแล้วหลายครั้ง เลโอก็ยังไม่มีทีท่าจะตอบกลับแม้ว่ามันจะขึ้นว่า Read แล้วก็ตาม ในสายตาของเลโอเป็นยังไงเขาไม่รู้ แต่ในฐานะของเขา...เขาไม่กล้าคิดไปไกลเกินกว่านี้ แค่ได้ปรับความเข้าใจในเรื่องที่สั่งสมและค้างคามาตลอดหลายปี และกลับมาคุยดีๆ เหมือนพี่น้องคนสนิทได้เหมือนเก่า มันก็มากพอให้หัวใจเขาพองโตจนแทบหลุดออกมานอกอกอยู่แล้ว

[Leo Beer: ตามใจ :P]

เหอะ ยังจะมาแลบลิ้นใส่อีกนะ

[Leo Beer: นอนได้ละ ฝันดี <3]

[ATIN: ราตรีสวัสดิ์ครับ :)]

อตินปิดหน้าจอมือถือทิ้ง พอดีกับที่มินผละตัวจากหนังสือบนโต๊ะไปทางสวิชต์ไฟ คนตัวสูงหันมาส่งสายตาคำถามประมาณว่า ‘จะนอนหรือยัง’ และเมื่ออตินพยักหน้าตอบกลับ ทั้งห้องก็มืดสนิท เตรียมพร้อมให้เด็กสองคนจมเข้าสู่ห้วงนิทรา โดยที่ยังมีเรื่องราวมากมายให้คิดวนไปวนมาอยู่ในหัว

 

นอนไม่หลับแฮะ...

สงสัยเพราะข้อสันนิษฐานน่าอายของเลโอ ทำเอาอตินคิดมากตลอดทั้งคืน ที่สุดแล้วก็ต้องลุกออกจากเตียง ค่อยๆ ย่องผ่านประตูไปทางตู้เย็นด้านนอก ในหัวยังคงมีใบหน้าของมาร์ชวนเวียนอยู่ไม่หาย แถมยังหลอนจนเหมือนได้ยินเสียงเจ้าตัวแว่วๆ ด้วยสิ

“ทำไมยังไม่นอน”

เดี๋ยวนะ

“พี่มาร์ช!”

คนโดนเรียกรีบทำท่าจุ๊ปาก แล้วดึงแขนอตินเข้ามาในห้องครัว ไฟดวงหนึ่งถูกเปิดขึ้นพอให้เห็นนาฬิกาแขวนบนพนัง กำลังบอกเวลาเกือบตีหนึ่ง มาร์ชปล่อยให้อตินเดินไปนั่งรอบนโต๊ะพับใกล้ๆ ส่วนเขาก็เริ่มชงนมช็อกโกแลตสำหรับสองแก้ว

“ว่าไง ทำไมยังไม่นอน” คงไม่ใช่ว่าหิว เลยแอบออกมาหาของกินอีกนะ เดี๋ยวจะตีซะให้เข็ดเลย คราวก่อนโน้นยัดเข้าไปจนอ้วกยังไม่เจียมกระเพาะตัวเองอีก

“นอนไม่หลับอะครับ”

“แล้วเป็นไร นอนไม่หลับ”

จะให้บอกได้ไงว่าคิดถึงเรื่องของมาร์ชอยู่นั่นแหละ

“ไม่รู้อ่า...หิวมั้ง”

สายตาคาดโทษถูกส่งมาให้ทันทีที่ได้ยินคนตัวเล็กบ่นว่าหิว ไม่รู้ตั้งแต่กลับมาเจอกัน เขาได้ยินคำนี้เป็นรอบที่เท่าไรแล้ว แต่ก็นะ คืออตินจริงๆ แหละ กินเก่งมาตั้งแต่ยังเด็กแล้วนี่ แต่ไม่คิดว่าจะยังไม่เลิก

“งั้นรอแป๊บนึง” มาร์ชทิ้งท้าย แล้วหันกลับมากดน้ำร้อนใส่แก้ว ยกมาเสิร์ฟให้ถึงที่

“ขอบคุณครับ”

คนตัวเล็กก้มลงสูดเอาความหอมของโกโก้ แล้วค่อยๆ ยกขึ้นดื่ม ไม่ลืมเป่าก่อนตามคำสั่งคนเป็นพี่ ความอุ่นในโพรงปากดูเหมือนจะช่วยคลายเรื่องสับสนในสมองลงไปในมากทีเดียว สายตาหวานเหลือบขึ้นมองอีกฝ่ายนิ่งๆ เหมือนอยากจะถามกลับว่าแล้วทำไมมาร์ชยังไม่นอนล่ะ และดูท่าว่าเจ้าตัวจะเข้าใจซะด้วย

“นอนไม่ค่อยหลับ”

“เป็นอะไรถึงนอนไม่หลับครับ” แกล้งย้อนถามคำเดียวกันพลางกลั้นยิ้ม ทำให้มาร์ชนึกอยากจะเข็กหัวแรงๆ สักทีอย่างหมั่นเขี้ยว คนโตกว่ายกยิ้มแล้วแสร้งตอบกลับแบบกวนประสาท

“ไม่รู้สิ...หิวมั้ง”

อตินย่นจมูกไม่พอใจ แต่กลับทำให้มาร์ชหลุดขำ สักพักเด็กน้อยก็ขำออกมาอีกคน ท่ามกลางความเงียบสงัดในเวลาค่ำมืด มีเสียงหัวเราะของเขาทั้งคู่ ค่อยๆ ดังประสานกัน ไม่รู้ว่าการใช้เวลาอยู่ด้วยกันมันสนุกขนาดนั้น หรือกำลังพยายามกลบเสียงหัวใจที่ดังขึ้นเรื่อยๆ ของตัวเองกันแน่

 

พี่ชอบอติน...

 

ผมชอบพี่...

 

ทั้งที่ง่ายนิดเดียว แต่กลับพูดไม่ออก

และไม่รู้จริงๆ ว่าจะมีโอกาสได้บอกอีกไหม.....

 

“วันนี้สั่งกลับบ้านเยอะเลยนะครับ” อตินทัก ขณะหิ้วถุงขนมนับสิบของลูกค้าขาประจำอย่างเกล ไปทางรถของเธอ

ดูเหมือนช่วงนี้ลูกค้าจะขับรถมาจอดขวางทางถนนเยอะขึ้น ทำให้เกลต้องแอบไปจอดไกลออกไปจนเขาเริ่มเมื่อยขา สงสัยต้องลองปรึกษาเรื่องนี้กับเบสดูสักหน่อย ว่าจะพอให้คุณวาโยขยับขยายลานจอดรถส่วนตัวของร้านไว้ได้บ้างไหม

“ถึงแล้ว” เกลเปรย เมื่อเดินมาหยุดอยู่หน้ารถแวนสีขาว มีบอกี้การ์ดของเธอก้าวลงมาช่วยรับของไป แต่แทนที่เขาจะได้เดินกลับร้าน กลับถูกรั้งไว้ด้วยบทสนทนาไร้สาระตามเคย

“แล้วสรุปเรื่องนั้นว่ายังไง?”

“เรื่องอะไรเหรอครับ?”

“ก็ที่ฉันชวนนายมาทำงานที่บ้านไง”

“อ้อ...เอ่อ...”

“ทั้งค่าจ้าง ทั้งสวัสดิการ ดีกว่า Café de Sept แน่นอน”

“ผมไม่ได้สนใจเรื่องนั้น...”

“อยากได้อะไร ฉันก็ให้ได้หมดนะ จะพักก็ได้ ทำงานที่นี่ไม่มีวันหยุดเลยไม่ใช่เหรอ”

“ขอโทษจริงๆ ครับ จะยังไงก็ตาม ผมก็ยังอยากทำงานที่นี่”

อตินก้มหัวลงจนแทบติดเข่า ทั้งเกรงใจ ทั้งกลัว เพราะใครก็รู้ว่าเกลเอาแต่ใจมากแค่ไหน เธออยากได้อะไรต้องได้ นั่นแหละคำนิยามของผู้หญิงคนนี้ แต่การมาชวนเขาไปทำงานด้วยมันไม่ใช่เรื่องเลย เขาไม่ได้เดือดร้อนมากมาย แล้วก็ไม่อยากด้วย

“เหรอ..”

เกลหลุบตาลงต่ำ เธอดูไม่พอใจทั้งที่พยักหน้าเหมือนว่ายอมจบ...อตินโค้งตัวอีกครั้งและตั้งท่าจะหันหลังให้ แต่วินาทีนั้นเอง ที่พวกบอดี้การ์ดสองสามคนตรงเข้ามารวบแขนเขาไว้!

“เฮ้ย!”

บอดี้การ์ดตัวใหญ่ในชุดสีดำสนิท ยัดอตินเข้าไปในรถแวนพร้อมมัดมือมัดเท้าด้วยเทปกาวเส้นหนา ก่อนที่เขาจะได้โวยวายเอาคำอธิบาย เทปแผ่นสุดท้ายก็ตรงเข้าปิดปากซะก่อน สายตามาดร้ายจับจ้องไปยังใบหน้าเรียบเฉยของเกล ที่เพิ่งตามขึ้นมานั่งด้านหน้า

“ออกรถ”

และนั่นคือคำพูดสุดท้ายก่อนที่อตินจะรู้สึกสะลึมสะลือ เพราะถูกบอดี้การ์ดข้างๆ ป้ายยาสลบใส่ ถึงจะอยากขัดขืน แต่ก็ดูเหมือนจะไม่เป็นผล ทั้งไม่มีแรง ทั้งถูกรัดแน่นหนา แถมไม่รู้จะรอดจากรถที่กำลังเคลื่อนที่ยังไงด้วย

ซวยแล้วไหมล่ะ อติน

“อติน!”

นี่เขาเบลอจนเผลอได้ยินเสียงซันแว่วเข้ามาถึงในรถเชียวหรอ แล้วทำไมจู่ๆ บอดี้การ์ดหน้าโหดถึงต้องรีบรุดไปปิดผ้าม่านรถด้วย แบบนี้บรรยากาศก็ยิ่งชวน...ให้...หลับ...น่ะสิ.......

 

“อื..อ...”

หนังตาหนักอึ้งค่อยๆ ปรือขึ้นอย่างยากลำบาก แสงไฟภายในห้องขนาดกว้างใหญ่ไม่คุ้นตาทำให้คนบนเก้าอี้ต้องปิดหลับตาปี๋ พยายามทำตัวให้ชินและลืมตาขึ้นอีกครั้ง ในห้องที่เหมือนห้องนอน ตกแต่งด้วยเครื่องประดับประดาหลากหลาย และหรูหรา ตัวเขาถูกมัดแน่นติดกับเก้าอี้พิงหลังตัวใหญ่ มีบอกี้ดาร์ดท่าทางไม่น่าไว้ใจสองคนยืนคุมไม่ห่างจากบานประตู ยังไม่เห็นวี่แววของเกลแถวนี้

นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน ทำไมต้องจับตัวเขามาด้วย

แต่ยังไงก็ทำได้แค่โวยวายในใจ ในเมื่อเขายังถูกจับปิดปากอยู่เลย ไม่นานนักเสียงประตูก็ดังขึ้น พร้อมร่างเพรียวของเกลที่ก้าวเข้ามา ในมือเธอถือกระดาษใบหนึ่งไว้ด้วย รู้สึกถึงลางไม่ดีแบบสุดๆ

“อติน~”

“...”

“ขอโทษนะที่ต้องจับนายมัดไว้แบบนี้ แต่ช่วยไม่ได้ นายอยากปฏิเสธฉันทำไม”

เธอกดเสียงต่ำในท้ายประโยค ส่งให้ภาพตรงหน้ายิ่งดูน่ากลัวกว่าภาพมารร้ายในการ์ตูนตอนเด็กๆ ซะอีก แย่ละ เขารู้อยู่ว่าเกลเป็นคุณหนูที่ถูกสั่งสอนมาไม่ค่อยดีนัก แต่ไม่คิดว่าจะเลยเถิดถึงขั้น โรคจิตกลายๆ แบบนี้!

“อื้ออ! อื้อ!” อตินพยายามเขย่าตัวเองแรงๆ แต่ก็แค่ทำให้เขาหมดแรงไวขึ้นเท่านั้น

“อย่าเล่นเก้าอี้สิ”

ไม่ได้เล่น!!

“เอ้า อติน เดี๋ยวเซนต์อันนี้หน่อยนะ” กระดาษปริศนาถูกยื่นออกมาตรงเขาแวบหนึ่ง ก็โดนชักกลับไป เขาพยายามตีหน้าคำถาม และเหมือนอีกฝ่ายจะเดาถูกเผง

“นี่คืออะไรงั้นเหรอ...ก็ สัญญาว่าจ้างไง ฉันจะให้นายมาทำงานกับฉัน แล้วก็ต้องอยู่แต่กับฉันด้วยนะ” เกลยิ้มร่าเริงและเริ่มร่ายรำ....เดี๋ยวนะ ไม่ได้พูดเล่น แต่เธอเริ่มกระโดนโลดเต้นไปทั่วห้องจริงๆ ตายละหว่า สงสัยเขาจะเดาถูก ยัยเกลเป็นบ้าของแท้!

ซวย! ซวยยิ่งกว่าซวยอีก เกลเป็นลูกค้า Café de Sept มานานเท่าไร แอบปลื้มพวกพนักงานอีกหกคนมานานแค่ไหน ทำไมไม่เคยมีใครเจออะไรแบบนี้ พอเขามาทำงานได้ไม่ทันไร ก็ถูกจับขังในคฤหาสน์เฉยเลย ทำเป็นละครไปได้!

“เอาปากกามาสิ”

“นี่ครับคุณหนู” หนึ่งในบอดี้การ์ดเฝ้าประตู กุลีกุจอหยิบปากกาด้ามหนึ่งจากกระเป๋าเสื้อมายื่นให้

“อะ อติน เซนต์เลย”

กระดาษใบนั้นถูกวางลงบนตักเขา และปากกาก็ถูกยัดเยียมมาไว้ในมือ ทั้งที่ตั้งแต่ช่วงแขนขึ้นมายังถูกล็อกไว้ อตินส่ายหน้าหลายที แล้วจงใจปล่อยปากกาหล่นพื้น เกลตวัดมองภาพนั้นด้วยท่าทางมุ่งร้ายจนเขาขนลุก

“อย่าให้ฉันต้องบังคับนะ!”

แล้วที่ทำอยู่ตอนนี้ไม่เรียกว่าบังคับหรือไง! นี่มันบังคับตั้งแต่พาเขาขึ้นรถตู้แล้วว้อยยย

“ไปเอาหมึกมา” เกลหันไปสั่งลูกน้องคนหนึ่ง ก่อนที่หมอนั่นจะรีบวิ่งออกไปจากห้อง

หมึกงั้นเหรอ? อย่าบอกนะว่าจะบังคับให้เขาประทับรอยนิ้วมือแทน โธ่เว้ย แบบนี้จะทำยังไงดี ที่นี่คือที่ไหนบนโลกยังไม่รู้เลย แล้วป่านนี้พี่ๆ คงเป็นห่วงกันแย่แล้ว ตายๆ ชีวิตเหมือนจะดีแล้ว กลับถูกดึงลงเหวซะง่ายดาย...ทำไมนะ

โครกก...

กรรม ท้องดันมาร้องเอาตอนนี้อีก สงสัยเขาจะหลับไปนาน แถมเกลยังจะหูดีได้ยิน รีบเดินหน้าตั้งเข้ามาถามอย่างเป็นห่วงจนโอเวอร์

“หิวเหรอ ขอโทษนะ”

โคร่กก...

“ไปหาของกินมาให้อตินหน่อย เร็วๆ ล่ะ”

“ครับ”

ลูกน้องคนที่เหลือรับคำเสียงเข้มแล้ววิ่งออกไป หลงเหลือไว้เพียงแค่เขากับเกลสองคน เธอหยิกแก้มเขาไปทีอย่างนึกหมั่นเขี้ยว ก่อนจะเดินกลับไปนอนฮัมเพลงอยู่บนเตียงขนาดใหญ่ ตอนนี้คงทำได้แค่รอความพินาศของชีวิตช้าๆ...เท่านั้น

กุก กัก

ซุ่มเสียงประหลาดดังขึ้นจากหน้าประตูที่ปิดไม่สนิท อตินพยายามเหล่ตามองโดยไม่ให้เกลจับสังเกตได้ เธอยังคงร้องเพลงและจมเข้าสู่ภวังค์ของตัวเองไปเรื่อย ส่วนปลายนิ้วมือค่อยๆ โผล่ออกมาทางช่องประตู ทำให้หัวใจของเขาสูบฉีดถี่รัวด้วยความตื่นเต้น ไม่รู้ว่าควรจะกลัว หรือควรจะหวัง...

เส้นผมสีน้ำตาลเข้มลอดผ่านเข้ามาพร้อมกับใบหน้าขาวซีดที่คุ้นเคย หัวใจเต้นแรงขึ้นทุกขณะจนน่ากลัวว่าจะหลุดออกมาจากอกเมื่อไร มันเหมือนความฝันเลย การที่ถูกจับมาในที่ที่ไม่รู้จัก แต่กลับได้มีโอกาสเห็นหน้าของพี่ที่รักอีกครั้ง

ซันเผยยิ้มบางเพื่อปลอบให้เขาสงบ นิ้วชี้ถูกยกขึ้นแตะริมฝีปากสีส้มธรรมชาติ ส่งสัญญาณบอกให้เขาเงียบเอาไว้ แต่ถึงไม่บอกเขาก็ส่งเสียงอะไรออกไปไม่ได้อยู่แล้วล่ะ

ดวงตากลมเบิกกว้างขึ้นเมื่อซันพยายามจะแง้มประตูออกแล้วดันเกิดเสียงดัง จนเกลสะดุ้งพรวดขึ้นมาจากเตียง รีบขานถามพร้อมกับขืนตัวลุกขึ้นยืน

“เอาหมึกมาแล้วเหรอ?”

“...”

ตายแล้ว...

“จ..ซัน!!?”

“อื้ออ!!”

อตินกรีดร้องแต่ก็ไม่มีเสียง เขาพยายามเขย่าเก้าอี้รุนแรงเผื่อว่าจะหลุดจากการเกาะกุม เพราะคนเป็นพี่ดันบ้าบิ่นถึงขนาดพุ่งตัวเข้ามาล็อกคอผู้หญิงคนเดียวในห้องไว้แน่น มือข้างหนึ่งปิดปากเกลไว้ไม่ให้เธอส่งเสียงร้องอีก ท่าทางซันดูลังเลครู่หนึ่ง แต่ก็ตัดสินใจกระแทกสันมือลงไปกับต้นคอระหง ก่อนจะผลักร่างไร้เรี่ยวแรงของเกลล้มลงกับพื้น

เขารีบตรงเข้าไปแก้เชือกกับเทปออกจากตัวของอติน และฉุดร่างบางให้วิ่งตามออกไปนอกห้อง แบบไม่เหลือเวลาให้หายใจหายคอสักนิด ได้ยินเสียงของหนึ่งในบอกี้การ์ดเมื่อครู่ไล่หลังมาจากชั้นบน

“เฮ้ย! ดักมันไว้”

นายคนที่วิ่งไปเอาหมึกจากชั้นบนรีบตะโกนบอกเพื่อนอีกคนที่ลงไปเอาอาหารจากชั้นล่าง แถมเสียงยังดังก้องไปทั่ว เพราะอยู่ตรงเวิ้งบันไดวนพอดี เห็นแม่บ้านสองคนวิ่งหน้าตั้งออกมา ทำท่าเหมือนจะเข้ามาช่วยจับ แต่แค่เห็นสายตาดุร้ายของซันก็ต้องหลีกทางให้

หลังจากวิ่งลงบันไดมาไม่รู้กี่สิบขั้น อตินก็มาสะดุดขาตัวเองล้มลงตรงหน้าประตูบานใหญ่ ซึ่งคาดว่าเป็นประตูทางออกจากตัวบ้าน น่าจะเพราะว่าเขายังคงมึนๆ จากฤทธิ์ยาสลบ แถมซันยังวิ่งเร็วยิ่งกว่านักกีฬาโอลิมปิก คนถูกดึงตามเลยพัลวันขนาดนี้

“อติน!” ซันร้องทั้งที่ยังไม่ปล่อยมือ แม้ว่าร่างด้านหลังจะล้มก้นฟาดพื้นไปแล้ว

“อย่าคิดหนีนะ”

เสียงคำรามดังขึ้นด้านข้างพวกเขาทั้งคู่ บอดี้การ์ดหน้าโหดคนหนึ่งกำลังยัดถาดขนมปังใส่มือแม่บ้านที่เอาแต่ยืนหน้าซีด ใช้งานไม่ได้ มืออีกข้างก็ชักปืนพกขึ้นมาจ่อหน้าแบบไม่มีความเกรงใจ อย่างน้อยก็พอเดาได้ว่ามันจะไม่ลั่นไก ตราบใดที่เกลยังไม่ออกคำสั่ง เพราะเกลดูจะคลั่งใคล้อตินมาก ถ้าเกิดทำให้เป็นอันตรายคงไม่ดีแน่

ผลัวะ!

“เฮ้ยย!”

คนตัวเล็กร้องตกใจขณะกำลังยันตัวเองลุกขึ้น ก็ซัน...อยู่ๆ ก็ยกขาขึ้นเตะปืนออกจากมือคนตรงหน้าง่ายๆ เลย แล้วยังปล่อยหมัดหนักๆ กระแทกโหนกนูนของอีกฝ่ายจนเซ ลูกน้องของเกลยกมือขึ้นปาดเลือดออกจากจมูก สายตามาดร้ายพุ่งตรงมายังเขาทั้งคู่ แต่ก็ไม่ไวเท่าซันที่ตามไปถีบเข้าอีกทีจนล้มคะมำ

มือใหญ่คว้าข้อมืออตินให้ออกตัววิ่งอีกครั้ง เพราะบอดี้การ์ดอีกนายเริ่มไล่ตามหลังมาจากชั้นบนทันแล้ว พวกเขาลัดเลาะมาจนถึงบริเวณลานจอดรถ ด้านหน้าเป็นประตูอัลลอยสูงเกือบสามเมตร

“แล้วเราจะออกไปได้ยังไงครับ?”

อตินถามหน้าตื่น แต่ซันกลับยกยิ้มอย่างมีชัย นิ้วเรียวเกี่ยวพวงกุญแจสีเงินออกมาจากกระเป๋ากางเกง เผยให้เห็นกุญแจสองดอกที่ถูกร้อยเข้าไว้ด้วยกัน อันหนึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นกุญแจรถสักคันตรงนี้ ส่วนอีกอันเป็นอะไรไม่แน่ใจ แต่มีลักษณะคล้ายรีโมท...เอ๊ะ รีโมทเหรอ

ติ๊ด

ซันกดปุ่มที่มีตัวอักษร Open พาดกำกับอยู่ ก่อนที่ประตูบานใหญ่จะค่อยๆ มีปฏิกิริยาตอบสนอง ค่อยๆ เลื่อนเปิดออกโดยอัตโนมัติ สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับเด็กข้างๆ เป็นอย่างมาก

“ไปเอามาได้ไงครับเนี่ย!”

“ก็ขโมยน่ะสิ” ตอบกลับหน้าด้านๆ พร้อมกดปุ่มเปิดรถ สีเสียงและแสงสีส้มแวบออกมาจากรถเก๋งสีดำวาวคันเกือบริมสุด พอดีกับเสียงแว่วๆ ของบอดี้การ์ดสองคน

รวมทั้งเสียงกรีดร้องน่ากลัวของเกลด้วย!

“หยุดนะ!!”

ฆ่าไม่ตายจริงๆ ผู้หญิงคนนี้!!

“ขึ้นรถเร็ว” ซันกวักมือไล่ แล้วพาตัวเองเข้าไปนั่งบนเบาะคนขับ เครื่องยนต์ถูกสตาร์ทขึ้นท่ามกลางเสียงโวยวายด้านนอกซึ่งใกล้เข้ามาทุกขณะ นอกจากปืนพกในมือลูกน้องสองคนแล้ว ยังเห็นไม้เบสบอลท่าทางหนักอึ้งในมือเกลอีกต่างหาก

“พี่ซัน ออกรถ!” อตินร้องเสียงหลง ทันทีที่ประตูอัลลอยเริ่มมีการเคลื่อนไหวอีกครั้งหลังจากเปิดกว้างไปแล้วครั้งหนึ่ง สงสัยว่าเกลต้องใช้รีโมทอีกอันบังคับให้ปิดอยู่แน่ๆ

ซันไม่รอช้ารีบเหยียบคันเร่งสุดขา แต่กลับต้องเบรกกะทันหันทั้งที่ทางออกอยู่ใกล้แค่เอื้อม เพราะจู่ๆ ก็มีผู้หญิงหน้าตาสะสวยพุ่งออกมาขวางทางไว้แบบไม่กลัวตาย ใบหน้าขาวกับลิปสติกสีแดงสดไม่ได้น่ามองเท่าไรแล้วในตอนนี้

“ซัน!!” เกลหวีดร้องพร้อมย่างเท้าเข้ามาใกล้ขอบกระโปรงรถ “ห้ามแย่งอตินไปนะ!!”

เพล้งงง!

ดวงตาทั้งสองคู่ภายในรถเบิกกว้างเมื่อเกลเงื้อไม้เบสบอลในมือขึ้น และฟาดมันลงมาอย่างแรงจนกระจกด้านหน้าร้าวแตก อตินไม่ทันได้ส่งเสียงอะไรออกมา ก็ถูกมือใหญ่ของซันกดหัวลงจนติดคอนโซล เขาถูกบังคับไม่ให้รับรู้อะไรนอกจากเสียงกรี๊ดแสบแก้วหูของเกล เสียงไม้เบสบอลกระแทกพื้น เสียงกระจกรถแตก และเสียงร้องอย่างอดกลั้นของคนข้างตัว...

“อ๊ากก!!”

ชิ้นส่วนของกระจกสีใสที่โปรยตัวลงมาบาดแผ่นหลัง ไม่ได้รู้สึกบาดลึกมากเท่ากับการได้ยินเสียงร้องเจ็บปวดของเขาสักนิด

พี่ซัน เกิดอะไรขึ้น!!?

แววตาสั่นไหวพยายามเหล่มองซันที่เริ่มเหยียบคันเร่งอีกครั้งโดยไม่สนใจว่าจะชนถูกเกลหรือเปล่า แต่ถ้าไม่ออกไปตอนนี้ ประตูได้ปิดสนิทจนไม่มีโอกาสหนีแน่

“พี่ซัน!!” ทันทีที่รถคันหรูที่บัดนี้พังไม่เป็นท่าขับพ้นออกมาจากรั้วบ้านคุณหนูโรคจิต อตินก็รีบปัดมือซันบนหัวออกแล้วหันไปดูอาการ

คนตัวสูงไม่ตอบอะไรกลับ เพียงแต่ชะลอรถเข้าข้างทางและเริ่มกุมเบ้าตาทั้งสองข้างของตัวเองด้วยสีหน้าเหยเก อตินพยายามหยิบเศษกระจกชิ้นพอดีมือออกจากบริเวณที่นั่ง สายตาเป็นห่วงอาจส่งไปไม่ถึงซันในเวลานี้...

“พี่ซันเป็นอะไร?” ถามออกไปเสียงสั่น ขอบตาสองข้างเริ่มรื้นไปด้วยน้ำใส

ในใจนึกกลัว...

“พี่...”

อตินพยายามประคองร่างซันให้พิงเบาะ เมื่อเขาเอาแต่งอตัวจนหัวแทบชนพวงมาลัย สีหน้าท่าทางดูเจ็บปวด เอาแต่หลับตาปี๋ตั้งแต่เมื่อครู่ แทบไม่เหลือเค้าความเป็นผู้ชายขี้เล่นหลงเหลือเลย การทนมองคนที่ยิ้มร่าตลอดเวลา ตีสีหน้าบอกบุญไม่รับแบบนี้ ทั้งที่ตัวเองก็ทำอะไรไม่ได้ มันยิ่งกว่าฝันร้ายเสียอีก...

“อติน...”

“พี่ซัน” มือเล็กรีบสอดประสานมือใหญ่ไว้ เพื่อส่งผ่านกำลังใจและความรู้สึก น้ำตารินไหลทั้งที่เขายังไม่ทันได้รู้ตัว

“พี่ลืมตาไม่ได้”

หัวคิ้วสองข้างขมวดยุ่ง พร้อมกับมือบางที่ยิ่งกอบกุมอีกฝ่ายแน่นขึ้น เส้นเลือดปูดโปนคงพออธิบายระดับความเครียดของร่างเล็กได้ดี

จะทำยังไง...

ต้องทำยังไงดี...

~It feels like nobody ever knew me until you knew me~~

คนเด็กกว่าสะดุ้งสุดตัว เมื่อเสียงโทรศัพท์ของซันดังขึ้น เร็วกว่าความคิด อตินรีบควานหามือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกงอีกฝ่าย กดรับสายทันทีที่เห็นชื่อหัวหน้าพนักงานปรากฏอยู่บนนั้น

“พี่เบส..พี่เบส ช่วยพี่ซันด้วย”



---------------------------------------------------

กรีดร้งงง นี่น่าจะเป็นคนเดียว และนิยายเรื่องเดียว ที่มาอัพรวดเดียวเยอะขนาดนี้
และน่าจะเป็นเรื่องเดียวที่มีจำนวนตอนเยอะกว่าจำนวนเม้นมากมายขนาดนี้
และก็น่าจะเป็นคนเดียวที่คุยกับตัวเองได้ขนาดนี้เช่นกัน 5555555
คือก็อย่างที่บอกว่าเรื่องนี้แต่งจบแล้ว จะอัพรวดเดียวจนจบก็ยังได้
แต่ก็อย่าเลย ว่างเมื่อไรค่อยมาอัพทีนึงละกัน นี่ก็เลยครึ่งเรื่องมาสักพักแล้วค่ะ
จริงๆ เรื่องนี้แต่งยาวมากเลยนะ คือยืดนั่นเอง ถถถถถ ใครแวะผ่านมาก็ลองเม้นให้เก๊าบ้างจิ
ที่ไม่พูดไม่ใช่ไม่รู้สึกนะ 555555 TT

 :hao5:
หัวข้อ: Re: ♡♡ ร้านกาแฟแห่งนี้มีความรักอยู่ ♡♡ by「aonair」 UP! บทที่ 15-19
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 06-05-2016 00:53:03
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♡♡ ร้านกาแฟแห่งนี้มีความรักอยู่ ♡♡ by「aonair」 UP! บทที่ 15-19
เริ่มหัวข้อโดย: aonair13 ที่ 08-05-2016 22:14:48
20

“หมอรักษาเบื้องต้นให้แล้ว ช่วงนี้ก็ต้องปิดตาแล้วก็หยอดยาดูอาการไปก่อน อาทิตย์หน้าค่อยมาเปิดตาดูอีกที”

เบสพยายามอธิบายให้พนักงานคนอื่นฟังอย่างใจเย็นที่สุด หลังจากติดต่อซันกับอตินได้เมื่อช่วงเย็น เขาก็รีบเรียกรถพยาบาลไปหาสองคนนั้น แม้จะทุลักทุเลไปบ้าง เพราะอตินไม่สามารถระบุสถานที่ให้ชัดเจน และซันก็เอาแต่ร้องครวญคราง แต่ในที่สุดความช่วยเหลือก็ไปถึงทันเวลาแบบเฉียดฉิว

เศษกระจกเข้าตา นั่นคือสิ่งที่เขาได้ยินจากปากพนักงานพาร์ทไทม์คนเดียวของร้าน ตั้งแต่ส่งซันเข้าโรงพยาบาล อตินก็เอาแต่ร้องไห้และโทษตัวเอง ไม่ว่าใครจะปลอบเท่าไรก็ไม่มีทีท่าดีขึ้น เพิ่งมาสงบลงตอนที่มาร์ชเข้ามาโอบไหล่ไว้เมื่อกี้นี้เอง

“นายบอกให้พี่เลิกโทษตัวเองไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมถึงเอาแต่โทษตัวเองแบบนี้ล่ะ”

“แต่ว่า นี่มั...”

“นี่ก็ไม่ใช่ความผิดอตินสักหน่อย ความผิดยัยเกลต่างหาก”

“..ฮึก...”

“เลิกร้องได้แล้ว ไอ้ซันคงไม่สบายใจ”

มาร์ชปาดน้ำตาออกให้อย่างเบามือ พยายามส่งผ่านความเข้มแข็งไปให้ทางฝ่ามืออุ่น อตินดูลังเลแต่ในที่สุดก็ยอมพงกหัวเข้าใจ แล้วหันไปซุกหน้าลงกับอกกว้างของมาร์ชแบบไม่เกรงสายตาคนอื่น ตอนนี้เขาต้องการที่พึ่งพา และมาร์ชคือคนนั้น

สมาชิกคนอื่นได้แต่หันมองภาพนั้นด้วยความรู้สึกสงสัยในใจ ช่วงหลังมานี้ มาร์ชกับอตินดูตัวติดกันจนเกินกว่าคำว่าปกติ แถมมาร์ชยังใจดีกับอตินแบบไม่น่าเชื่ออีกต่างหาก คิดดูง่ายๆ คนที่ไม่ค่อยยิ้มเลยคนนั้น เดี๋ยวนี้แค่เห็นหน้าอตินก็ยิ้มแล้ว มันหมายความว่ายังไงก็ยังคงเป็นปริศนา ถึงอย่างนั้น...ก็ไม่มีใครกล้าคิด หรือกล้าพูดออกไป เพราะอย่างน้อยการที่มาร์ชเป็นแบบนี้ก็ดีกับตัวอติน และดีกับบรรยากาศรอบข้างด้วย

กึก..ก...

เสียงประตูเปิดออกพร้อมกับนางพยาบาลที่กำลังเข็นรถเข็นออกมา ซันนั่งนิ่งอยู่บนนั้น ดวงตาสองข้างถูกปิดไว้ด้วยผ้าก๊อซ ท่าทางเขาดูแย่มากกับสภาพในตอนนี้ อตินคือคนแรกที่รีบรุดเข้าไปทรุดตัวลงข้างรถเข็น มือเล็กรีบคว้ามือเย็นเยียบของซันมาไว้แนบแก้มด้วยความเป็นห่วง

“พี่ซัน เป็นยังไงมั่ง ยังเจ็บอยู่ไหม?” คำถามมากมายถูกปล่อยรัวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ พนักงานคนอื่นตามเข้ามาล้อมวงสบทบ ต่างห่วงซันไม่แพ้กัน

“ไม่ค่อยแล้วล่ะ”

บีบมือตอบ พยายามคลี่ยิ้มบางออกมา ทั้งที่ในใจกำลังวุ่นวายและร้อนรุ่ม เขาไม่เคยนึกเสียใจที่ตามไปช่วยอตินไว้ แต่เขาแค่กลัว...กลัวว่าจะไม่มีโอกาสเห็นใบหน้านั้นอีก

 “เพราะไปช่วย...ฮึก...ผมไว้..แท้ๆ” น้ำตาที่หยุดไหลไปแล้ว กลับพรั่งพรูออกมาอีกยามเห็นสภาพของคนบนรถ

“อย่าร้องไห้สิ ไม่ใช่ความผิดเราสักหน่อย”

พนักงานคนอื่นแอบพยักหน้าเห็นด้วยอยู่ด้านหลัง คอยสังเกตการณ์ใกล้ๆ โดยไม่ส่งเสียงขัดจังหวะออกไป รู้ดีว่าเวลานี้ ซันคงอยากได้กำลังใจจากคนตัวเล็กมากที่สุด

“ต..แต่ผมตอบแทนอะไรพี่ซัน..ไม่ได้ แล้วยัง...”

ทำร้ายพี่อีก...

“ฮ่ะๆ ถ้าอยากตอบแทน...” ซันแสร้งทำตัวตลกเหมือนทุกที หวังเพียงช่วยปลอบใจเด็กตรงหน้าไม่ให้เศร้ามากกว่านี้

“...มาเป็นแฟนพี่ดิ”

คนโดนปิดตายังคงปล่อยขำ โดยไม่ทันได้เห็นว่าคนอื่นรอบบริเวณกำลังตีสีหน้าเอือมระอากับมุกไม่รู้กาลเทศะ เบสเหลือบมองมิน ในขณะที่น็อตกับแจนรีบหันขวับไปทางมาร์ช แต่แน่นอนว่าทั้งคู่เก็บความรู้สึกได้อย่าง...ค่อนข้างแยบยล ถึงแม้จะตกใจกับประโยคเมื่อครู่ของซัน แต่ก็รู้ว่าเขาพูดไปเพื่อช่วยทำลายบรรยากาศมาคุเท่านั้น

กลับกัน...สิ่งที่น่าตกใจของจริง น่าจะเป็นคำพูดต่อมาของอตินมากว่า.....

“ได้ครับ ผมจะคบกับพี่ซัน”

“อติน!” น็อตร้องขึ้นมาเป็นคนแรก รีบก้มลงไปเขย่าร่างเล็กเพื่อเรียกสติ

“ผมพูดจริงนะ”

“แต่ซันมันแค่ล้อเล่นน่า” เบสพยายามช่วยพูดอีกแรง

ทุกคนเริ่มตีสีหน้าเคร่งเครียด รวมทั้งซันด้วย...เขารู้ดีว่าอตินกำลังรู้สึกผิดและสับสน และรู้ดีด้วยว่าถ้าไม่ใช่เพราะเหตุการณ์นี้ เด็กนี่ก็ไม่มีวันพูดคำเมื่อกี้ออกมา ไม่มีวัน...

หลายคนอาจยังไม่รู้ ว่าเขาไม่ใช่คนดี.....

“แล้วถ้าผมพูดจริงล่ะ”

“ซัน!”

เบสคำรามพร้อมตวัดสายตาตำหนิไปทางรุ่นน้องบนรถเข็น ในบรรดาพนักงาน Café de Sept ทั้งหมด ถ้าไม่นับน็อตที่เป็นรุ่นบุกเบิกมาด้วยกัน เขาก็สนิทกับซันมากที่สุด คิดว่ารู้สันดารกันและกันมากกว่าใคร และนี่แหละคือสิ่งที่เขากำลังกลัว...

เพราะรู้แก่ใจดีกว่า ซันจะไม่ยอม...ให้โอกาสครั้งเดียวในชีวิต หลุดรอดไป...

“งั้นต่อไปนี้ ผมกับพี่ซันเป็นแฟนกัน”

อตินตัดบทแล้วลุกขึ้นยืน เขาจงใจหลบเลี่ยงสายตาของทุกคน แล้วอ้อมไปจับแฮนด์รถเข็น พาตัวซันออกไปด้านนอก โดยไม่สนใจรอสมาชิกที่เหลือ

ก็นี่อาจเป็นสิ่งเดียว...ที่พอจะตอบแทนกันได้อย่างสาสม

เพราะเขานึกไม่ออกจริงๆ ว่าถ้าซันไม่พาตัวเองเข้าไปเสี่ยงช่วยเขาออกมา จนประสบอุบัติเหตุขนาดนี้ อนาคตของเขาจะเกิดอะไรขึ้น และไม่รู้จริงๆ ว่าจะชดใช้กับดวงตาอันแสนสดใสทั้งสองข้างนั้นยังไงดี

ถ้านี่คือสิ่งที่ซันขอ...เขาก็จะยอม

 

บางที อตินอาจพอเข้าใจความรู้สึกและเหตุผลของมาร์ชมากขึ้นแล้ว รู้แล้วว่าทำไมถึงต้องโทษตัวเอง ก็เพราะเป็นห่วงมากไง เพราะเป็นหนึ่งในคนที่สำคัญ เลยยิ่งรู้สึกผิดมาก สำหรับมาร์ช...เขาเลือกที่จะหนี แต่สำหรับอตินคนที่เอาแต่บอกว่าไม่ให้หนี...จึงทำได้แค่อยู่และตอบแทน

เรื่องของเขากับเรื่องของมาร์ชอาจคล้ายกัน สุดท้ายมันจบจงตรงที่ ไม่มีใครสามารถลบความรู้สึกผิดในใจได้หมด 100% การที่มาร์ชยอมกลับมาเป็นพี่ชายคนเดิม อาจเพราะเขาขอร้องให้ทำ และนั่นคือการไถ่โทษแบบฉบับของมาร์ช ครั้งนี้ก็เหมือนกัน ถ้าเขาอยากตอบแทน อยากชดใช้การช่วยเหลือครั้งใหญ่นี้ เขาก็ต้องมอบความรักให้ซัน นั่นแหละ...ถูกต้องแล้ว

“อิ่มแล้ว”

“อ่า ไม่ได้นะครับ กินอีกหน่อยเถอะ” อตินบ่นแล้วยื่นช้อนไปจ่อปากซัน ข้าวต้มหมูในชามยังเหลืออีกตั้งครึ่ง

อีกฝ่ายเบะปาก แต่ก็ยอมกินต่ออย่างว่าง่าย ตอนนี้เป็นช่วงพักกลางวันของที่ร้าน อตินรับอาสามาดูแลเรื่องอาหารสำหรับซันในแต่ละวัน ส่วนเบสกับมินคอยช่วยเหลือตอนอาบน้ำ ที่เหลือก็รับหน้าที่ดูแลยิบย่อย แล้วซันยังถูกย้ายให้มานอนกับน็อตแทนด้วย เพราะคิดว่าคนที่เหมือนแม่อย่างเขาน่าจะดูแลคนอื่นได้ดีในเวลากลางคืน เผื่อมีเหตุฉุกเฉินเกิดขึ้น ก็คงรับมือได้ทันท่วงทีกว่า

“พี่ซันต้องกินเยอะๆ นะครับ ถ้าท้องว่างก็แย่สิ” อตินคะยั้นคะยอต่อ เหลือบมองซองยาฆ่าเชื้อตัวแรง ขืนปล่อยให้ท้องว่างแล้วกินยาเข้าไป ต้องอ้วกออกมาแน่

“ก็ไม่อยากกินข้าวต้มนี่”

“แล้วอยากกินอะไรอ่า”

ซันอมยิ้มขี้เล่น แล้วเลื่อนมือออกมาควานหาบางอย่าง พออตินยื่นมือเข้าไปก็ถูกตะครุบไว้อย่างรวดเร็ว เขาเอาแต่ทำหน้ามีเลศนัยจนคนตัวเล็กแก้มแดงซ่านทันทีที่เข้าใจ ไอ้พี่ซัน ให้กินข้าวต้มทุกมื้อเลยดีไหมแบบนี้!

“อยากกินอตินอะ อยากกินอติน” คนตัวโตเริ่มงอแงเหมือนเด็ก จนอตินต้องรีบยัดข้าวเข้าปากเพื่อปิดเสียงที่อาจดังออกไปนอกบ้าน น่าอายชะมัด

“หุบปากไปเลยครับ”

หลังจากป้อนข้าวป้อนยาเรียบร้อยแล้ว อตินก็ประคองร่างซันมานั่งพักตรงโซฟาตัวโปรด เขาหย่อนก้มลงข้างกัน โดยไม่ปล่อยมือไปไหน ดูเหมือนยังมีเวลากว่าจะเริ่มงานในช่วงบ่าย เพราะเบสให้เวลาเขาตั้งสองชั่วโมง

“ทำไมพี่ซันถึงตามไปช่วยผมได้นะ” เริ่มต้นบทสนทนา ซึ่งยังคงเป็นข้อสงสัยในใจตั้งแต่เมื่อวาน

“ก็รถตู้ของยัยเกลขับผ่านหน้าร้าน ตอนที่พี่เอาขยะออกไปทิ้งพอดีน่ะสิ”

“อ่า..จริงด้วย ตอนนั้นผมโดยยาสลบ แต่ก็เหมือนได้ยินเสียงพี่ซันแว่วๆ”

“อื้อ เพราะเห็นนาย ก็เลยรีบโบกมอเตอร์ไซค์ตามไป”

อตินเงียบเสียงลงจนทั้งห้องสงบ เขาได้แต่หันมองหน้าซันที่ยังดูงงๆ ว่าทำไมอีกฝ่ายไม่พูดอะไรตอบกลับ แต่เพระอตินกำลังซาบซึ้งใจอยู่ต่างหาก ขนาดตอนเล่าเรื่องเมื่อกี้ ซันยังพูดทุกคำออกมาได้อย่างแน่วแน่ ราวกับไม่มีความลังเลอยู่ในเหตุการณ์นั้นเลย เหมือนกับว่า...ยังไงก็ต้องไปช่วย

“พี่ซัน...” คนตัวเล็กเคลื่อนตัวเข้าไปโอบกอดร่างหนาไว้ ก่อนพิงศีรษะลงกับหัวไหล่ “ขอบคุณนะครับ”

ซันคลี่ยิ้มบาง แล้วค่อยๆ เอนศีรษะของเขาลงกับหัวเล็กๆ ของอีกฝ่ายบ้าง ทั้งสองคนนั่งอยู่ท่านั้นเป็นเวลานาน พยายามเก็บเกี่ยวความอบอุ่นในตอนนี้ไว้ให้มากที่สุด แม้ว่าในความอบอุ่นนั้น จะแฝงตัวไว้ด้วยยาพิษก็ตาม

พี่ดูเลวมากใช่ไหม ที่ใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างเพื่อเหนี่ยวรั้งนายไว้

แต่ว่าอติน...พี่ทำทุกอย่าง เพราะพี่รักนายนะ...

 

“คุ้กกี้ลาเต้” มาร์ชอ่านเมนูจากกระดาษแผ่นบนสุด อตินตั้งท่าจะออกปากถามต่อแต่ก็ไม่ทันอีกฝ่ายที่รู้ทันซะหมด

“ร้อน”

โอเค คุ้กกี้ลาเต้ร้อน 1 แก้ว

“ระวังด้วย” ไม่ลืมหันไปเตือนคนชอบซุ่มซ่าม ยังคงเหล่ตามองตลอด อตินแค่พยักหน้ารับและเริ่มกดน้ำร้อนใส่ภาชนะ

และพูดไม่ทันขาดคำจริงๆ เมื่อน้ำร้อนกระเด็นโดนนิ้ว เนื่องจากยกแก้วต่ำไป

“โอ้ย”

“บอกให้ระวังไง”

“งื้ออ” คนตัวเล็กทำปากยื่นเมื่อถูกดุ ขณะกำลังก้มหน้าก้มตา ก็ถูกมาร์ชดึงนิ้วเข้าไปเป่าลมใส่ ความเย็นจากปากค่อยๆ บรรเทาให้ความร้อนบนเนื้อจางหาย

กลายเป็นว่าใบหน้าแดงเริ่มร้อนผ่าวขึ้นมาแทนซะงั้น

“แดงเลย ไม่ต้องทำแล้ว” มาร์ชลูบนิ้วเขาอีกสองสามที ก่อนจะผลักให้ไปยืนเช็ดแก้ว ตัวเองย้ายมาอยู่หน้าเครื่องชงกาแฟ และรับผิดชอบออเดอร์เอง

บรรยากาศภายในร้านยังคงเป็นไปอย่างเรื่อยๆ ลูกค้าหลายคนพูดคุยกันถึงเรื่องของซันด้วยท่าทีเป็นห่วงและนึกเสียดาย เพราะพรุ่งนี้ก็จะถึงวันนั้นของเดือนอีกแล้ว แถมยังมาในธีม เทวดา ที่หลายคนรอคอยอีกต่างหาก ทุกอย่างก็ดำเนินไปเรื่อยๆ แค่นั้น ถ้าไม่ใช่ว่ามาร์ชเอ่ยถามถึงเรื่องซันขึ้นมาให้ปวดใจเล่น

“แล้ววันนี้ไอ้ซันเป็นไง?”

“ก็ปกติครับ แต่ไม่ยอมกินข้าว สงสัยพรุ่งนี้ต้องทำอย่างอื่น อะไรดี” พอมาร์ชสะกิดเรื่องนี้ เขาก็เลยนึกขึ้นได้ เผลอยืนคิดเมนูอาหารอยู่ในหัว และลืมสนใจคู่สนทนาไปแวบหนึ่ง จนมาร์ชต้องแสร้งแซวเสียงดัง

“มันนี่โชคดีจริงๆ นะ ได้น้องพี่ไป ไม่เห็นมาขออนุญาตสักคำ” พยายามพูดติดตลกทั้งที่ในใจบอบช้ำแทบแย่ และนั่นก็ดูจะไม่ขำสักนิดสำหรับอตินเช่นกัน

บริเวณเคาน์เตอร์ถูกความมาคุตรงเข้าจู่โจมทันที ก่อนที่ทั้งมาร์ชและอตินจะหันไปสนใจงานตรงหน้า ไม่เปิดปากพูดคุยกันอีก

ตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงเวลาปิดร้าน มาร์ชเอาแต่แอบมองเสี้ยวหน้าที่ดูตั้งใจทำงานของอติน ในหัวคิดถึงความบิดเบี้ยวอันเลวร้ายของเหตุการณ์บ้าๆ ทั้งหมด ถ้าตอนนี้มีเครื่องย้อนเวลาก็คงดี แต่จะย้อนไปตอนไหนนะ...ย้อนไปช่วยอตินจากไฟไหม้ ย้อนไปรั้งตัวเขาไว้ ย้อนไปทำดีด้วย หรือย้อนไปตอนที่ซันยังไม่เจออติน.....

ก่อนหน้านี้เขาอาจจะเคยผลักไสอตินให้ใครต่อใคร แต่ตอนนี้รู้แล้วว่าทำไม่ได้ และจะไม่ทำ มันไม่ยุติธรรมเลยนะ กับการที่อยู่ๆ ซันก็ชนะง่ายดาย ถ้าตอนนั้นเป็นคนอื่นที่ไปช่วยอติน เรื่องก็คงไม่จบแบบนี้จริงไหม

คนอาจจะเห็นว่ามาร์ชเงียบๆ มาตลอด แต่ความจริงเขารู้ดีว่าตัวเองน่ะขี้หวงยิ่งกว่าใคร ถึงปากจะเคยบ่นไล่อตินขนาดไหน แต่ทุกครั้งที่เห็นเด็กนั่นใกล้ชิดคนอื่น เขาก็มักจะหงุดหงิดอยู่เรื่อย ยิ่งตอนที่รู้ว่ามินกับซันจูบอติน เขาแทบทนไม่ได้...ยอมรับว่าโกรธมาก จนเผลอฉวยโอกาสไปด้วยเหมือนกัน

และคราวนี้ก็ด้วย เขากำลังโกรธมาก...

ทั้งที่ความรู้สึกหนักอึ้งในใจมันเบาบางลงได้แล้ว ทั้งที่คิดว่าเรื่องราวจะจบลงอย่างมีความสุข ทั้งที่คิดว่าเพิ่งได้เด็กคนนั้นกลับคืนมา...แต่กลับถูกฉกเอาไปดื้อๆ

ไม่ยุติธรรมเลย ซัน...ไม่ยุติธรรม

 

“ซันไม่อยู่แล้วเงียบเหงาขึ้นจมเลยเนอะ”

หนึ่งในลูกค้าประจำทักขึ้น พร้อมเสียงเห็นด้วยของคนอื่นรอบบริเวณ แม้ว่าจะเป็น Special Day แต่ดูเหมือนครั้งนี้ คนจะน้อยกว่าปกติ ยอดจองเต็มอยู่หรอก แต่ไม่ได้แย่งกันบ้าระห่ำเหมือนทุกที แถมบรรยากาศก็หมองลงอย่างเห็นได้ชัดด้วย

“งั้นเรามาหาอะไรเล่นกันดีไหม?” เพื่อนข้างๆ แสยะยิ้มแล้วควักแบงค์ 500 ออกมาท่ามกลางความสงสัยระคนตื่นเต้น

ผู้หญิงในชุดกระโปรงลุกขึ้นยืนท้าทายสายตาทั่วทั้งร้าน เธอจงใจตะโกนเสียงดังให้รู้กันทั่ว ก่อนจะตามมาด้วยใบหน้าซีดเผือดของเหล่าพนักงาน กับเสียงโห่ฮาชอบใจของลูกค้าหลายคน

“มาร์ช! ช่วยเลือกหอมแก้มพนักงานคนใดคนหนึ่งทีสิ”

โห เล่นงี้เลย...

น็อตพยายามส่งสัญญาณหาเบสว่าควรจะปฏิเสธไหม แต่บรรยากาศในร้านราวกับเพิ่งถูกปลูกระดมครั้งใหญ่ ลูกค้าแทบทุกคนหันมองทางมาร์ชเป็นตาเดียว ท่าทางว่าจะต้องยอมอย่างจำนนซะแล้วล่ะ

“อ่า” คนหลังเคาน์เตอร์ขานตอบสั้นๆ แล้วเดินมุ่งตรงไปทางโต๊ะริมหน้าต่าง

อตินซึ่งกำลังยืนให้ลูกค้าสาวจับปีกบนเสื้อเล่นดูตกใจเล็กน้อยถึงมาก เมื่อเห็นมาร์ชย่างสามขุมเข้ามาใกล้ คนบนโต๊ะหันมากระซิบกระซาบกันใหญ่ แถมยังส่งเสียงกรี๊ดชอบใจ เตรียมควักโทรศัพท์มือถือออกมาอย่างพร้อมเพรียง คนตัวเล็กเห็นท่าไม่ดีเลยจงใจหันหลัง ตั้งท่าจะเดินหนี แต่ก็ไม่ทันมือหนาที่ตรงเข้ามาคว้าตัวเขาไว้ก่อน

“จะไปไหน” มาร์ชว่าเสียงขุ่น ทำเอาอตินหน้าซีด ค่อยๆ หันกลับมาเผชิญสายตาคมทั้งที่ในใจเต้นรัว เสียงเชียร์เริ่มดังขึ้นจากทั่วทุกทิศ จนพนักงานคนอื่นชักเป็นห่วง

“หอมเลย หอมเลย!”

“ต้องหอมแก้มนะ” คนตัวสูงขยับเข้ามาใกล้ ยิ่งทำให้ก้อนเนื้อในอกด้านซ้ายเขาทำงานหนักขึ้นอีกเท่าตัว ทั้งที่เขินจะตาย แต่กลับละสายตาจากคนตรงหน้าไม่ได้ ราวกับถูกมนต์สะกด

“งื้ออ ไปหอมคนอื่นสิครับ”

มาร์ชไม่ฟังและไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น เขาแค่รั้งหัวไหล่ของอตินไว้ด้วยสองมือ ก่อนจะโน้มตัวเข้าไปจนสัมผัสถึงลมหายใจของกันและกัน ดวงตาสีดำจ้องเข้ามาอย่างมีความหมาย ค่อยๆ เอียงคอทำมุมพอดี แล้วกดริมฝีปากลงไปบนแก้มนุ่ม อตินเอาแต่หลับตาแน่นสนิท ร่างทั้งร่างเกร็งจนแข็งเป็นหิน ในขณะที่สมาชิกคนอื่นต่างเป็นห่วง ลูกค้ามากมายกลับชอบพอและโห่ร้องกันใหญ่

ทันทีที่มาร์ชผละตัวออกไป อตินก็รีบจรลีไปหลบหลังน็อต พยายามปิดซ่อนใบหน้าแดงฉ่าของตัวเองเอาไว้ แต่หลักฐานมัดตัวก็ยังคงอยู่ในมือถือของลูกค้านับสิบตรงนั้น

“พะ..พี่น็อต เดี๋ยวผมไปหาพี่ซันก่อนนะครับ”

“อ..อือ รีบไปเถอะ”

เมื่อคิดอะไรไม่ออก เลยกะหนีซะเลย พอดีใกล้เที่ยงแล้วด้วย สงสัยซันคงนั่งบ่นอยู่แน่ๆ วันนี้อุตส่าห์ขอให้แจนทำผัดหมี่สูตรพิเศษให้ด้วย หวังว่าจะยอมกินมากกว่าเมื่อวานนะ

อตินใช้เวลาไม่กี่นาทีก็เดินมาถึงบ้านพัก ในมือมีถุงอาหารกับกุญแจเข้าบ้าน ทันทีที่ไขประตูออก เสียงคุ้นเคยก็ดังขึ้นอย่างสดใส ท่าทางรอคอยของซันทำให้อตินอดยิ้มตามไม่ได้ พอซันกลายเป็นแบบนี้ก็ไม่ต่างจากเด็กน้อยตัวเล็กๆ เลย เพราะช่วยเหลือตัวเองไม่ค่อยได้ ถึงต้องรอคอยแต่ใครสักคน และใครสักคนนั้นก็คงมีแค่เขาที่ซันต้องการ

น่าเห็นใจ...

“อตินมม~”

“มาแล้วครับๆ”

เขารีบเดินเข้ามาจับมือซันที่ทำท่าจะลุกออกจากโซฟา ดันไหล่คนโตกว่าให้กลับไปนั่งดีๆ ก่อนเปิดกล่องข้าวจากแจนออก กลิ่นหอมโชยออกมาจนเตะจมูก ว่าแล้วว่าต้องน่ากิน เลยสั่งพี่แจนไปเยอะกว่าปกติ เพราะเขาจะได้กินด้วย แฮ่ๆ

“หิวยัง?”

“อือ แต่คิดถึงนายมากกว่า”

อตินยิ้มตอบรอยยิ้มจริงใจของซัน เขาไม่พูดอะไร เพียงแค่ใช้ส้อมตักเส้นหมี่สีเหลืองนวลพร้อมชิ้นเนื้อขึ้นมาเป่าสองสามที แล้วยื่นไปจ่อใกล้ๆ ปากของอีกฝ่าย ซันขยับเข้ามาแบบเก้ๆ กังๆ ก่อนอ้าปากรับอาหารรสชาติดีเข้าไป เคี้ยวหนุบหนับอยู่สักพักก็ยิ้มกว้าง

“อร่อย”

“ต้องไปขอบคุณพี่แจนนะครับ”

ซันพยักหน้าเข้าใจแล้วเริ่มกินข้าวต่อ อตินตักให้ซันคำ ตัวเองคำ สลับกันไปเรื่อยจนกล่องเริ่มสะอาด ความจริงวันนี้อยากอยู่กับซันนานๆ จะได้ไม่ต้องกลับไปเจอเซอร์วิสแปลกๆ อีก...โอย นึกถึงตอนมาร์ชหอมแก้มเขาเมื่อกี้แล้วเขินชะมัด ให้ตายเถอะ แก้มสองข้างเริ่มร้อนผ่าวขึ้นมาอีกแล้ว บ้าๆๆๆ

“เอ้อ” เสียงซันดังขึ้นขัดจังหวะความคิด

“ครับ?”

“วันนี้พี่เดินไปหยิบยาในห้องได้ด้วยแหละ”

“หืออ” อตินเลิกคิ้วประหลาดใจ เหลือบตามองขวดยาหยอดตาบนโต๊ะ จริงสิ ตอนแรกมันอยู่ในห้องนอนพี่น็อตหนิ นี่แสดงว่าซันหัดคลำทางได้แล้วสิ ดีจัง

เขาเพิ่งคุยกับซันเรื่องนี้ไปเมื่อคืนเอง ว่าถึงจะปิดตาอยู่แต่ก็น่าจะจำทางได้ เพราะถ้าปล่อยให้ซันนั่งนอนอยู่ที่เดิมตลอดเวลาคงต้องเป็นบ้าตายแน่ แต่ถึงจะคลำทางถูก มันก็น่าเป็นห่วงเหมือนกันแฮะ ก็มองไม่เห็นนี่...

“ไม่ชนอะไรแน่นะครับ?”

“แน่นอน พี่เก่งออก”

“งั้นทดสอบหน่อยดีไหม” อตินขำน้อยๆ แล้วลุกไปหยุดอยู่หน้าประตูห้องครัว จากโซฟามาถึงนี่ก็ไม่ได้ไกลนัก คนตัวเล็กตะโกนกลับไปหาซันที่ยังคงงุนงง

“พี่ซัน ผมอยู่หน้าห้องครัวนะ เดินมาหาเร็ว”

คนตัวสูงกระตุกยิ้ม นี่คิดจะหยามกันหรือเปล่า เดี๋ยวเถอะ อย่าคิดว่าปิดตาอยู่แล้วจะทำอะไรซันคนนี้ได้ เขาน่ะแกร่งยิ่งกว่าหินผา รู้ไว้ซะด้วย

ซันค่อยๆ ยันตัวเองลุกขึ้น มีเซเล็กน้อยเพราะเข่ากระแทกถูกโต๊ะกระจก แต่ก็ไม่เป็นอะไร รีบแทรกตัวพ้นบริเวณที่นั่ง ต่อจากนี้ก็ไม่ยากแล้ว เพราะจากโซฟาไปถึงหน้าห้องครัวมันใกล้นิดเดียว แถมไม่ค่อยมีเฟอร์นิเจอร์ขวางกั้นด้วย เขาค่อยๆ เดินอย่างระวัง สองแขนยื่นออกไปด้านข้างเพื่อช่วยทรงตัว เท้าขวาเป็นตัวนำจนมาถึงพื้นต่างระดับ อตินที่ยืนรออยู่ดูลุ้นมากจนตัวโก่ง เขาห่วงว่าจะล้มไหม แต่ซันก็ไม่เคยทำให้ผิดหวัง ยกเท้าผ่านพื้นบริเวณนั้นมาได้อย่างง่ายดาย ต่อจากนั้นก็แค่เดินตรงไปเรื่อยๆ...

ก็จะถึงหน้าห้องครัว

“เย้!” คนตัวเล็กกระโดดตัวลอย รู้สึกภูมิใจเหมือนแม่เห็นลูกชายเดินได้

“เก่งปะ?”

“เก่งมากเลยครับ แต่ก็ต้องระวังด้วยน้า” อตินไม่ลืมห่วงเรื่องความปลอดภัย ยิ่งส่งให้คนฟังใจชื้น ซันแสร้งโน้มหน้าเข้ามาใกล้ จนเขาต้องรีบคว้าร่างหนาเอาไว้เพราะกลัวล้ม

“งั้นขอรางวัลได้เปล่า” คนตัวสูงยกยิ้มมีเลศนัย มือใหญ่ค่อยๆ คลำขึ้นมาลูบแก้มเนียนสองสามทีคล้ายจะถูหวย

คนแก้มแดงลังเลครู่หนึ่งแต่ก็ยอมตกลงในที่สุด ก็รางวัลให้กับความพยายามของซันนี่น่า ไม่ได้มีอะไรสักหน่อย อีกอย่าง...พวกเขาเป็นแฟนกันแล้วไม่ใช่เหรอ...

ซันค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้าใกล้อย่างระวัง เขาใช้มือตัวเองประคองใบหน้าเรียวไว้ ใช้นิ้วกดแก้มป่องๆ นั่นเพื่อช่วยนำทาง ก่อนที่ริมฝีปากหยุ่นจะทาบทับลงไปบนนั้นอย่างแผ่วเบา ซันจงใจแช่ริมฝีปากไว้นานพอตัว ก่อนจะถอนออกอย่างอ้อยอิ่ง อตินเพียงแค่ยิ้มบาง และเดินพาซันกลับไปนั่งบนโซฟาตัวเดิมด้วยกัน

“อยากหายไวๆ จัง” ซันเผลอบ่นไปตามประสา แต่กลับเข้าหูของอีกฝ่ายเข้าเต็มเปา “อยากกลับไปทำตุ๊กตา”

“อืม...คิดถึงตุ๊กตาฝีมือพี่ซันจัง”

อตินเอ่ยเสียงแผ่ว แล้วก้มตัวหยิบมือถือตัวเองขึ้นมาจากโต๊ะ เพิ่งสังเกตเมื่อกี้เองว่าซันเอาตุ๊กตาไม้น้องหมาของคุณพ่อมาตั้งไว้ด้วยตลอด นั่นยิ่งทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดใจ...

เขาทิ้งผู้ชายคนนี้ไม่ได้.....

“พี่ซัน มาฟังเพลงกัน”

“อื้อ”

หูฟังด้านหนึ่งถูกเสียบเข้าไปในหูด้านซ้ายของซัน ขณะที่อีกข้างอยู่ในหูด้านขวาของอติน คนตัวเล็กกดเลือกเพลงในมือถือตัวเอง พลางเองศีรษะลงพิงไหล่คนด้านข้างเหมือนอย่างเคย สักพัก เสียงดนตรีคุ้นหูก็ดังขึ้นเรียกรอยยิ้มจากทั้งสองฝ่าย

นี่คือเพลงเดียวกับริงโทนมือถือของซัน เป็นเพลงโปรดของเขาเลยล่ะ

“รู้ไหม เพลงนี้พี่ชอบมาก”

“รู้สิ ผมถึงเปิดให้ฟังไง”

“แล้วรู้ไหมว่า มันอธิบายความรู้สึกของพี่ที่มีต่อนายได้มากแค่ไหน”

“เหรอครับ...” อตินเปรยเสียงอ่อน ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีก จนเริ่มจมหายเข้าไปในเสียงเพลง


Baby, life was good to me, but you just made it better.

I love the way you stand by me through any kind of weather.

I don't wanna run away, just wanna make your day.

When you feel the world is on your shoulders

I don't wanna make it worse, just wanna make us work.

Baby, tell me I will do whatever.

 

It feels like nobody ever knew me until you knew me.

Feels like nobody ever loved me until you loved me.

Feels like nobody ever touched me until you touched me.

Baby, nobody, nobody until you.

 

นี่เหรอความรู้สึกของซันที่มีต่อเขา ทำไมพอมานั่งฟังเพลงนี้ดีๆ แล้ว...ได้ยินคำพูดแบบนั้น ก็ยิ่งทำให้เขาติดบ่วงบางอย่าง ไปไหนไม่รอดน่ะสิ ซัน...หลายคนอาจมองไม่เห็น แต่เขาสัมผัสได้ตั้งแต่แรกพบ ว่าผู้ชายคนนี้ไม่ได้สนุกสนานอย่างที่เห็นภายนอก กลับกัน เขาดูน่าสงสาร...เป็นคนที่โหยหาความรักและความอบอุ่นมากยิ่งกว่าใครเชียวล่ะ นั่นน่ะ...ถึงทำให้ลำบากใจในการปล่อยมือคนคนนี้ไป

“พี่รักอตินมากนะ ทั้งชีวิตพี่ก็ให้อตินได้...” ซันส่งเสียงแทรกขึ้นมาพร้อมกุมมือเขาแน่นขึ้น มันอาจจะฟังดูเวอร์ แต่ก็ได้พิสูจน์มาแล้วว่าไม่ได้มากเกินไปเลย ผู้ชายข้างๆ ทำให้เขาเชื่อว่ายอมมอบชีวิตให้ได้จริงๆ

มือข้างที่ว่างถูกกำแน่นจนเห็นเส้นเลือดปูดโปน อตินค่อยๆ หลับตาลงและปล่อยให้สมองเดินทางผ่านความทรงจำช้าๆ

            ก่อนหน้านี้ เขาเคยปฏิเสธความรู้สึกของซันกับมินมาแล้วครั้งหนึ่ง รู้ไหมว่านั่นต้องใช้ความพยายามมากขนาดไหน ทุกครั้งที่เห็นสองคนนั้นส่งสายตาเจ็บปวดมาให้ หัวใจของเขาก็เจ็บไปด้วย เพราะเขามันคนใจอ่อน...ผิดเองที่แสนใจอ่อน.....

ใจอ่อนมากเกินไป จนไม่กล้าปฏิเสธใครอีกเป็นครั้งที่สอง

ใจอ่อนมากเกินไป จนทนเห็นคนที่ยิ้มตลอดเวลา มีน้ำตาไม่ได้จริงๆ...

 

See it was enough to know, if I ever let you go, I would be no one.

'Cause I never thought I'd feel all the things you made me feel

Wasn't looking for someone, oh, until you...
หัวข้อ: Re: ♡♡ ร้านกาแฟแห่งนี้มีความรักอยู่ ♡♡ by「aonair」 UP! บทที่ 20
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 08-05-2016 22:54:23
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♡♡ ร้านกาแฟแห่งนี้มีความรักอยู่ ♡♡ by「aonair」 UP! บทที่ 20
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 09-05-2016 00:54:26
ฮือออออ

เป็นเพราะอตินไม่หนักแน่นป่ะคะ มันถึงเลยเถิดมาขนาดนี้

แต่ซันรักอติณขนาดนี้เลยนะ

รักหลายเศร้าจริงๆ T T
หัวข้อ: Re: ♡♡ ร้านกาแฟแห่งนี้มีความรักอยู่ ♡♡ by「aonair」 UP! บทที่ 20
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 09-05-2016 07:57:24
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♡♡ ร้านกาแฟแห่งนี้มีความรักอยู่ ♡♡ by「aonair」 UP! บทที่ 20
เริ่มหัวข้อโดย: aonair13 ที่ 17-06-2016 23:33:58
21



“พี่ซัน เงยหน้าอีกนิดนึงครับ” อตินว่าพลางช่วยเชยคางคนเป็นพี่ขึ้น พักศีรษะไว้บนขอบโซฟา ขณะที่เบสกำลังเตรียมบีบยาหยอดตา

คนเจ็บนอนพักอยู่ครู่หนึ่ง เพื่อให้เบสกับอตินเปลี่ยนผ้าก็อซ สาบานว่าตั้งแต่กลับมาจากร้าน อตินกับซันยังจับมือกันแทบไม่ได้ปล่อยเลย และเริ่มจะกลายเป็นภาพชินตาของคนอื่นไปแล้วซะด้วย ยกเว้นก็แต่บางคนที่อาจจะไม่อยากมองน่ะนะ

ขณะที่กำลังล้อมวงกินผลไม้ที่น็อตปอกมาให้ มินก็เดินหน้าเครียดเข้ามาขวางหน้าจอโทรทัศน์ เรียกเสียงประท้วงจากพี่ทุกคน

“เฮ้ย มีไร”

“เป็นไรหน้าเครียด”

“พอดีญาติผมเสียอะครับ อาจจะต้องขอลางานสัก 4-5 วันไปช่วยงาน” มินตอบกลับ ทำให้บรรยากาศหม่นลงแทบจะทันที

“เสียใจด้วยนะ”

“ขอบคุณครับ แต่ก็เป็นญาติห่างๆ”

“จะไปพรุ่งนี้เลยเปล่า เดี๋ยวฉันคุยกับคุณวาโยให้เอง”

เบสรับอาสา พยายามตบบ่าปลอบใจคนเป็นน้อง มินก้มหัวเล็กน้อย แล้วเดินเข้าไปจัดกระเป๋าในห้องนอน ทิ้งให้คนที่เหลือนั่งมองหน้ากันปริบๆ ในที่สุดมาร์ชก็เป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้น

“งั้นช่วงที่มินไม่อยู่ ให้อตินมานอนกับฉันก็ได้”

อตินถึงกับสะดุ้ง ส่วนคนอื่นก็พากันตกอกตกใจแต่ไม่กล้าแสดงออกมากนัก แอบเห็นซันขมวดคิ้วเป็นปม ก่อนจะรีบคลายออกและปรับสีหน้าให้เป็นปกติ น็อตกับแจนแอบส่งสายตาปรึกษาหาเบส แต่ทันทีที่มาร์ชถามย้ำ กลับไม่มีใครกล้าขัดได้

“เอ้อ อย่างงั้นก็ได้”

“ได้ไหมอติน?” แจนถาม ทำให้ทุกสายตาหันไปรวมกันที่เจ้าของชื่อ

“เอ่อ ก..ก็ ก็ได้ครับ”

มาร์ชยกยิ้มพอใจ ขณะที่คนตัวเล็กหน้าขึ้นสีระเรื่อ ยิ่งเร่งเร้าความสงสัยในใจของสมาชิกที่เหลือให้เพิ่มพูน พวกเขาว่าจะไม่คิดแล้วนะ แต่ทุกอย่างในช่วงนี้กลับทำให้ต้องคิด...ความสัมพันธ์ของสองคนนี้มันยังไงกันแน่ แล้วถ้าเป็นอย่างที่คาดเดา การที่อตินยอมคบกับซัน จะไม่ยิ่งทำให้เรื่องมันยุ่งเหยิงหรอกเหรอ?

น่าเป็นห่วงจริงๆ

สามคนนี้.....

 

“วันนี้พ่อกับแม่ของคุณเกลมาที่ร้านด้วยล่ะ” อตินนั่งกอดเข่าอยู่ข้างซันบนเตียง ข้างๆ กันมีน็อตกำลังทาครีมในห้องนอนของตัวเอง

“จริงเหรอ แล้วมีอะไรหรือเปล่า?” รีบถามกลับด้วยความเป็นห่วง จนคนตัวเล็กอดยิ้มขอบคุณไม่ได้

“ไม่เป็นไร เขาเพิ่งกลับมาจากต่างประเทศ แล้วรู้เรื่องวีรกรรมของลูกสาว เลยมาขอโทษ”

“ค่อยโล่งอก พี่นึกว่าเขาจะมาขออตินซะอีก”

“ฮ่าๆ บ้าเหรอ” อตินหัวเราะตาหยี ตีแขนซันไปที คนตัวใหญ่ยิ้มขำแล้วยื่นมือออกมาด้านหน้า เขารู้ดีว่าซันต้องการอะไร จึงรีบเอื้อมมือเข้าไปจับมืออีกฝ่ายไว้หลวมๆ

“ถึงขอก็ไม่ให้”

“อื้อ...ไม่ไปอยู่แล้ว”

ซันยิ้มกว้าง ยิ้มแบบที่เคยมีมาตลอด เขาดีใจนะที่เห็นพี่ชายคนนี้กลับมาร่าเริงอีกครั้ง อย่างน้อยในตอนนี้...เขาอยากลืมหัวใจตัวเอง แล้วทำหน้าที่ตรงหน้าให้ดีที่สุด ตอนนี้เขาเป็นแฟนซัน นั่นคือเรื่องจริง

“ซัน ไปอาบน้ำได้แล้ว” เบสเปิดประตูผ่างเข้ามา แล้วปีนขึ้นเตียงอย่างถือวิสาสะ พยายามดึงคนบ้าที่เอาแต่เกาะแขนอตินไม่ปล่อย

สักพักก็พากันเดินออกไปอาบน้ำที่ห้องของเบส อตินไม่มีเหตุผลอยู่ต่อเลยตั้งท่าจะเดินออกจากห้อง แต่ก็ถูกรั้งไว้ด้วยน้ำเสียงจริงจังของน็อต เขาหันกลับมานั่งบนปลายเตียง เอียงคอหาคนเป็นพี่อย่างตั้งคำถาม

“อติน”

“ครับ?”

“เราจะคบกับซันต่อไปแบบนี้จริงๆ เหรอ?”

“....ทำไมละครับ”

“นายน่ะใจอ่อนมากเกินไป” ทั้งคำพูดและสายตา ราวกับจะมองทะลุจิตใจเขาไปซะหมด แถมยังดูเหมือนว่าน็อตรู้อะไรมากกว่าที่คิดอีกด้วย

“อย่างมิน หมอนั่นยังเด็กและเข้าใจอะไรง่าย เรื่องมันถึงจบด้วยดี แต่ซันน่ะไม่ใช่นะ”

อตินหลุบตาลงต่ำ ไม่กล้ามองหน้าน็อตตรงๆ ด้วยว่าเขารู้ดี ทุกสิ่งที่ได้ยินมันคือเรื่องจริงที่เขารู้แก่ใจดี...เพราะเขาใจอ่อนมากจนไม่อาจเห็นคนสำคัญเสียใจได้ แม้สักคนเดียว แต่แย่หน่อยที่หัวใจของเขามีให้ได้แค่คนเดียว...เพราะงั้นมันถึงเจ็บปวดไงล่ะ

ถ้าเรื่องของมินยังยืดยาวมาถึงตอนนี้ ถ้าเด็กนั่นเอาแต่งอแงและตีหน้ารวดร้าวใส่ทุกวันๆ เขาก็อาจใจอ่อน ยอมรับความรู้สึกมาบ้างก็ได้ แต่เพราะมันจบแล้ว หมอนั่นยอมรับอะไรๆ ง่ายกว่าที่คิด ซึ่งก็ทำให้เขาสบายใจขึ้นหลายเปราะ ส่วนที่ยังติดค้างก็คือซัน ความรัก ความทุ่มเท ที่ซันให้มา มันมากมายจนเขาไม่อาจปฏิเสธได้ลงคอ ยิ่งมาเจอเรื่องของเกล ก็ยิ่งพิสูจน์ให้เห็นว่าคนคนนั้นยอมเสี่ยงเพื่อเขาได้มากแค่ไหน และยอมเสียสละได้มากเพียงใด...

ทำขนาดนั้น แล้วจะให้เขาทิ้งไปอีก...

จะไม่ดูใจร้ายไปหน่อยเหรอ...

“หมอนั่นกำลังเอาเปรียบจากจุดอ่อนของนาย” อตินเงยหน้าขึ้นสบตาน็อตนิ่งๆ เขาไม่นึกอยากได้ยินคนที่คลุกคลีอยู่กับซันมาเนิ่นนาน กล่าวหาว่าร้ายซันแบบนั้น ไม่ว่าจะจริงหรือไม่ ก็ไม่อยากให้พูดแบบนี้

“ไม่หรอกครับ...พี่น็อตไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”

“แต่...”

“ผมเลือกแล้ว...และผมเป็นคนเลือกเอง”

เขาพูดทิ้งท้ายแค่นั้น ก่อนปลีกตัวออกจากห้องอย่างด่วนจี๋ ไม่รอต่อล้อต่อเถียงให้ยืดยาว ก็เขาเป็นคนตัดสินใจเรื่องนี้เองนี่นะ เลือกแล้ว ตัดสินใจแล้ว ไม่รู้ว่ามันถูกหรือผิด ดีหรือไม่ดี แต่นั่นก็คือสิ่งที่เขากำหนดเอง อะไรที่ตามมา เขาก็ขอรับผลของมันเอง

ไม่เป็นไรหรอก ให้มันเป็นแบบนี้แหละ ดีซะอีก เขาได้ตอบแทนความรักของซันให้มากเท่าที่จะมากได้...ทำให้ซันกลับมายิ้มกว้างๆ ได้อีกครั้ง บางทีเนื้อเพลงของเพลงนั้นอาจจะมีความหมายลึกซึ้งกว่าที่คิดก็ได้

ผู้ชายคนนั้นจะยอมทำทุกอย่างได้เพื่อเขาเชียวนะ แถมยังน่าสงสารขนาดไหน คนที่ราวกับว่าไม่เคยถูกเข้าใจ ไม่เคยถูกรัก...วันนี้ซันอาจรอแค่เขาคนเดียว ที่จะสามารถเติมเต็มช่องว่างในจิตใจเหล่านั้นได้ อืม...ถ้ามีแค่เขาที่จะทำได้ เขาก็จะยอมทำ

จะเป็นคนที่เข้าใจ จะเป็นคนที่รักซันเอง...

แบบนี้ไม่ดีเหรอ กับมินเขาก็เคลียร์ได้แล้ว กลายมาเป็นเพื่อนรักที่ซี้กันยิ่งกว่าเดิม กับมาร์ชก็ปรับความเข้าใจกันแล้ว ได้กลับมาเป็นพี่น้องที่ผูกพันกันเหมือนเดิม แถมนี่ยังได้รับความรักล้นปรี่จากพี่ชายอีกคน

ต้องเรียกว่าโชคดีต่างหาก

แล้วเรื่องนี้ก็จะจบลงอย่างมีความสุขใช่ไหม...

ใช่ไหม.....

 

ประตูห้องนอนถูกเปิดออก พร้อมภาพของมาร์ชที่กำลังนอนเล่นมือถืออยู่บนเตียง รู้สึกไม่ชินเลยแฮะ ต้องย้ายมานอนห้องนี้แทนที่ซันงั้นเหรอ แล้ว...ต้องอยู่กับมาร์ชสองต่อสองกี่คืนล่ะ

อตินส่ายหัวแล้วตบแก้มตัวเองเบาๆ ถึงเขาจะแอบชอบมาร์ช แล้วยังรู้สึกว่ามาร์ชมีท่าทีแปลกๆ กับตัวเองขนาดไหน ยังไงปัจจุบันเขาก็เป็นแฟนซัน ไม่ควรคิดเกินเลยอะไรอีกแล้ว เฮ้อ...ก็เลือกไปแล้วนี่ เลือกที่จะดูแลซันแล้ว ก็ต้องตัดใจจากมาร์ชนะ จะปล่อยให้ตัวเองมีความสุข แล้วทิ้งให้ซันซึมเศร้าตลอดไป ได้ยังไง

คนตัวเล็กโดดขึ้นเตียงมาซุกหน้าลงกับหมอนของซัน แล้วสูดเอากลิ่นกายที่คุ้นเคย ใช่แล้ว ตัดใจจากมาร์ชซะเถอะ คนที่ควรจะรัก คือคนที่เพิ่งไปช่วยนายออกมาจากยัยโรคจิต แถมยังยอมเสี่ยงตาบอดเพื่อปกป้องนายเลยนะ ซันคนดีที่อยู่ข้างนายตลอดไง

กล้าทรยศความรักของคนคนนั้นได้ลงคอเหรอ...

ไม่หรอก...ไม่กล้าหรอก...

มันมหาศาลเกินไป...

อุตส่าห์ได้รับมาทั้งใจ เขาคงไม่กล้าขว้างมันทิ้งง่ายๆ หรอก...

“อาบน้ำก่อน แล้วค่อยขึ้นเตียงสิ” เสียงมาร์ชเอ็ดขึ้น ทำให้อตินยู่หน้าเป็นเด็ก แต่ก็ยอมลากสังขารเข้าห้องน้ำไปอย่างว่าง่าย ไม่นานนักจึงกลับออกมาพร้อมกลิ่นสบู่หอมฟุ้ง

“ผมกลิ่นเหมือนพี่มาร์ชแล้วอ่า” อตินแซวแล้วก้มลงดมตัวเองฟุดฟิด เพราะสบู่ที่ใช้มันของมาร์ชนี่น่า

คนตัวสูงกวักมือเรียก เขาเลยปีนขึ้นไปนอนข้างๆ แอบชะโงกหน้ามองจอโทรศัพท์ที่กำลังเปิดหน้าแอพพลิเคชั่น LINE หน่ะ แชทกับใครแต่หัวค่ำ ทำไมดิสเพลย์เป็นรูปผู้หญิงสวย

“คุยกับใครครับ”

“เพื่อน”

มาร์ชตอบสั้นๆ แล้วรั้งคออตินเข้ามาซบไหล่ตัวเอง มือซ้ายกดล็อกหน้าจอโทรศัพท์ก่อนวางทิ้งไว้บนหัวเตียง ปล่อยให้เพื่อนที่ว่ากลายเป็นปริศนาอยู่อย่างนั้น

“ช่วงนี้ที่ร้านเงียบขึ้นเยอะเลยนะครับ” คนตัวเล็กชวนคุยเรื่อยเปื่อย พลางดึงหนังข้างเล็บเล่น

“ก็ไอ้ซันไม่อยู่นี่”

“นั่นสิ อยากให้พี่ซันดีขึ้นไวๆ จัง”

“แล้วเราเหนื่อยหรือเปล่า ต้องคอยไปๆ มาๆ ดูแลมัน” คงพูดถึงเรื่องที่เขาต้องรับผิดชอบป้อนอาหารกลางวัน แต่เขาก็เอาแต่ส่ายหน้า

“ไม่เลย ผมเต็มใจ”

มาร์ชพยักหน้าแล้วลุกขึ้นนั่งเต็มตัว ส่งสายตาบอกให้อตินเข้านอนได้แล้ว คนตัวเล็กก็ว่าง่ายแสนง่าย รีบย้ายตัวเองกลับไปที่เตียงด้านข้าง แทรกร่างเข้าไปในผ้าห่มผืนใหญ่ทันที มาร์ชยิ้มพอใจแล้วชะโงกหน้าตามมา จนสายตาสองคู่ประสานกันแค่เอื้อมมือ

“ราตรีสวัสดิ์” คนเป็นพี่ลูบปอยผมสีน้ำตาลด้านข้าง แล้วค่อยๆ โน้มตัวลงมา ฝากรอยจูบบางเบาไว้บนหน้าผากมน กลิ่นกายหอมฟุ้งโชยขึ้นเตะจมูกจนไม่อยากผละออกไปไหน

“พี่มาร์ช ร้องเพลงให้ฟังหน่อย”

“หือ” เลิกคิ้วสูง แต่กลับถูกสายตาอ้อนๆ ช้อนใส่

ให้ตาย...ยอมแพ้เลย

คนถูกขอเพียงแค่ยิ้มๆ แล้วลุกไปปิดสวิชต์ไฟ ทันทีที่ห้องมืดและเงียบ เด็กน้อยจึงค่อยๆ งัวเงียจนใกล้จะหลับมิหลับแหล่ รออยู่นานกว่าที่เสียงแหบๆ ของคนข้างตัวจะดังขึ้นแผ่วเบา ราวกับต้องการเพียงแค่กระซิบให้ได้ยิน

“I shouldn't love you but I want to, I just can't turn away.”

มาร์ชไม่ได้ร้องตรงจังหวะสักเท่าไร แต่เขากลับค่อยๆ เปล่งแต่ละประโยค แต่ละคำ ออกมาช้าๆ ชัดๆ สายตาอ่อนโยนระคนปวดใจจับจ้องอยู่บนใบหน้าหวาน ไล่ตั้งแต่เส้นผม ผ่านเปลือกตาที่ปิดสนิท จมูกโด่งรั้น จนถึงริมฝีปากอิ่ม

“Just so you know...this feeling's takin' control of me and I can't help it. I won't sit around. I can't let him win now.”

เสียงเพลงจากปากของมาร์ชดูลึกซึ้งและแฝงความหมายมากมาย แม้แต่คนที่กำลังจะหลับก็ยังอดอดสัมผัสถึงมันไม่ได้ อตินพยายามข่มตาไม่ให้ลืมขึ้น และปล่อยให้สมองซึบซับเสียงแหบพร่านั้นอย่างตั้งใจ ได้แต่คิดว่ามาร์ชกำลังร้องเพลงนี้ด้วยความรู้สึกแบบไหนกันแน่ มันเป็นแค่เพลงเพลงหนึ่ง หรือกำลังจะบอกอะไร?

“Just so you know...”

จุมพิตบางเบาจรดลงบนแก้มเนียนอีกครั้ง ก่อนที่ห้องทั้งห้องจะเงียบลงจนน่ากลัว...

น่ากลัวว่าจะมีใครได้ยินเสียงโครมครามจากหัวใจถึงสองดวง

 

“อติน ตื่น” เสียงตำหนิดังขึ้นข้างหู สร้างความรำคาญให้ร่างเล็กบนเตียง เขารีบกระชับผ้าห่มไว้แล้วงอตัวเป็นกุ้ง

“ตื่นเร็ว”

“อื้ออ” งอแงเหมือนเด็ก แถมยังยกมือขึ้นปิดหูอีกต่างหาก

มาร์ชมองร่างดักแด้บนเตียงอย่างหน่ายใจ แล้วใช้สองมือช่วยดึงหมอนออกจากหัว ได้ยินเสียงศีรษะกระแทกเตียงดังโปก แต่อตินก็ยังมีความพยายามที่จะนอนต่อ แถมยังหันมากระชากหมอนในมือเขากลับไปอีกต่างหาก เออ เจริญ

งั้นลองเจอมุกนี้เป็นไง?

“อติน...” คนตัวสูงนั่งลงบนเตียง เอี้ยวตัวเข้าหาร่างบางที่เอาแต่คุดคู้ อีกฝ่ายไม่ตอบอะไรแล้วยกขาก่ายหมอนข้างแน่น

มาร์ชยกยิ้มมีเลศนัย แล้วค่อยๆ โน้มหน้าลงไปใกล้ใบหูเล็ก...ลมเย็นๆ ถูกเป่าออกจากปากแผ่วเบา พอให้อีกฝ่ายระคายเคืองจนถึงยกมือขึ้นปัดแทบไม่ทัน นี่ กลายเป็นเด็กขี้เซาแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร อยากให้เขาเล่นแรงๆ ใช่ไหมฮะ

งั่บ..

“โอ้ย!” ดวงตากลมโตเบิกโพล่ง รีบเด้งตัวลุกขึ้น แล้วคลานหนีออกห่าง สายตาขัดเขินจ้องใบหน้ากรุ้มกริ่มของมาร์ชอย่างนึกคาดโทษ มือเล็กยกขึ้นลูบใบหูแดงฉ่าของตัวเองหลายๆ ที พวงแก้มขึ้นสีระเรื่อจนปิดไม่มิด

คนบ้าประเภทไหนที่เข้ามากัดหูคนอื่นตอนนอนแบบนั้น แถมยังไม่สำนึกอีก โอ้ยย ไอ้พี่มาร์ช อยากให้เขาหัวใจวายตายงั้นเหรอ!

“พี่มาร์ชบ้า”

“ก็ไม่ยอมตื่นนี่ ไป ไปอาบน้ำได้แล้ว”

คนตัวเล็กรีบวิ่งเข้าห้องน้ำทั้งที่ยังปิดหูอยู่อย่างนั้น เรียกเสียงหัวเราะของรูมเมทคนใหม่ได้เป็นอย่างดี อยากจะบ้า! เพราะใครกันล่ะทำให้เขาตื่นยากแบบนี้ ก็เมื่อคืนต้องนอนใกล้กัน แถมยังโดนลอบหอมแก้มกลางดึก เล่นเอานอนไม่หลับเกือบทั้งคืน นี่ยังง่วงอยู่เลย

ผ่านไปพักหนึ่ง อตินกับมาร์ชถึงได้ฤกษ์ปรากฏตัวบนโต๊ะอาหาร มีแจนช่วยป้อนอาหารซันอยู่ อตินเห็นแบบนั้นเลยรีบขอสลับที่แล้วจัดการต่อเอง คนปิดตาจากที่เอาแต่ตีหน้าบึ้ง เลยยิ้มปริ่ม แก้มแทบฉีกออกจากหู

“ทำไมวันนี้ช้าจัง”

“ผมตื่นสายอ่า” อตินหัวเราะแห้งๆ แล้วตักซุปเข้าปากคนเป็นแฟน

“ทำไมตื่นสาย” เบสถามเสียงต่ำ เหลือบมองมาร์ชแวบหนึ่งไม่ให้จับได้

“ผมลืมตั้งนาฬิกาปลุกน่ะครับ”

“อ่า รีบๆ กินเถอะ เดี๋ยวจะสายกันไปหมด”

ทุกคนพยักหน้าแล้วรีบตักอาหารเข้าปาก ภาพที่อตินคอยดูแลและเอาใจซัน เริ่มกลายเป็นความเคยชินของพี่ๆ ดูเหมือนตั้งแต่เกิดเรื่องเกล ความสัมพันธ์คลุมเครือของสองคนนี้จะพัฒนาไปไวยิ่งกว่าแสง พวกเขาได้แต่เฝ้ามองสองคนนี้ด้วยความเป็นห่วง เพราะเดาไม่ออกจริงๆ ว่าในใจของอติน รู้สึกยังไงกันแน่ ที่ยอมซันขนาดนี้...เพราะรัก หรือเพราะเหตุผลอะไร

คนที่กินข้าวเสร็จแล้ว พากันทยอยออกไปรอนอกบ้าน สุดท้ายก็เหลือแค่อตินคนเดียว ซึ่งยังต้องจัดการกับพี่ชายสุดดื้อ

“ต้องไปแล้วเหรอ”

“ครับ เดี๋ยวกลางวันก็กลับมาแล้ว”

“ไม่อยากให้ไปเลย” ซันอ้อน รั้งข้อมือบางเอาไว้แน่น จนอตินหลุดหัวเราะในท่าทีเด็กน้อยของเขา

“ต้องไปจริงๆ แล้วครับ”

คนตัวเล็กค่อยๆ แกะมือซันออกจากตัว แล้วโน้มหน้าเข้าไปใกล้จนจมูกทั้งสองคนชนกันผะแผ่ว ซันดูพอใจกับท่าทีนั้น และยอมโบกมือลาแต่โดยดี อตินโบกมือตอบ ไม่ลืมกล่าวคำล่ำลาครั้งสุดท้าย เพราะรู้ดีว่าซันคงมองไม่เห็นมือที่ยกขึ้นกลางอากาศนั้น

“จะลุกจะเดินระวังด้วยนะครับ ผมไปละ”

อตินลดมือลงแล้วเดินตรงไปยังประตูหน้าบ้าน เขาคงไม่สะกิดใจอะไรแล้ว ถ้าหากว่าไม่ได้ยินเสียงตะโกนติดตลกของคนในบ้านดังแว่วมาให้ปวดใจเล่น

“อย่านอกใจล่ะ”

ครับ...ไม่นอกใจหรอก

 

“สตรอเบอรี่เฟรนช์โทสต์ของพี่แจนขายหมดไวมากเลย” อตินกำลังโฟ่เรื่องขนมเมนูใหม่ของร้าน ที่เพิ่งได้รับการอนุมัติให้วางขายจากคุณวาโยเมื่อไม่กี่วันมานี้ มีซันนั่งฟังอย่างตั้งใจอยู่บนเตียง หลังจากเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ส่วนน็อตกำลังนั่งดูทีวีอยู่ตรงโซนนั่งเล่นด้านนอก

“แล้วเราได้ชิมหรือยัง”

“แล้ว อร่อยมากกกก”

“ขนาดนั้นเลยหรอ”

“ใช่ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะจิ๊กมาให้พี่ซันกินนะ” ทั้งสองคนหลุดขำออกมาพร้อมกัน ไอ้เรื่องแผนชั่วนี่เหมือนจะเข้ากันดีเป็นปี่เป็นขลุ่ยยังไงไม่รู้ สาบานได้ว่าถ้าน็อตหรือแจนได้ยินเข้า ต้องถูกวีนไปสามวันเจ็ดวันแน่ๆ

“แล้วมินเป็นไงบ้าง”

“ก็โทรมาหาเมื่อช่วงบ่าย บอกว่างานดูยุ่งๆ คงอีกสักสองสามวันถึงจะกลับ”

“เราก็ต้องนอนกับมาร์ช..” ซันพูดเสียงอ่อยแปลกๆ อตินพอจะดูออกเลยรีบเข้าไปเกาะแขนคนตัวใหญ่ให้หายคิดมาก รีบทำเป็นออดอ้อนใส่อย่างติดตลก

“ทำไม หึงหรอครับ”

“หึงสิ”

“โอ๋ ไม่หึงน้า~”

คนตัวเล็กไถแก้มไปกับต้นแขนแกร่ง เรียกรอยยิ้มคืนกลับมาบนใบหน้าบึ้งตึงอีกครั้ง ซันรีบดันหัวกลมออกห่างเพราะจั๊กจี้ ก่อนจะคลำหามือนุ่มมากอบกุมไว้แน่น ราวกับกลัวว่าคนข้างกายจะหายไปไหน

“พี่รักอตินนะ รักมากเลย”

กี่ครั้งแล้วที่ได้ยินแบบนี้ เขาเอาแต่ย้ำซ้ำๆ เหมือนกำลังกลัวบางอย่าง...

“ครับ รักพี่ซันครับ” อตินตอบกลับเสียงราบเรียบ บีบมือใหญ่เป็นการตอบรับ อย่างน้อยซันก็มองไม่เห็น สีหน้ากระอักกระอ่วนใจที่เป็นอยู่ในตอนนี้

“กี่โมงแล้ว ง่วงหรือยัง?” ซันรีบเปลี่ยนเรื่องเมื่อห้องทั้งห้องดูเงียบลงจนชวนอึดอัด

“ก็ง่วงนิดหน่อยนะ สามทุ่มแล้วอะครับ”

เพราะต้องตื่นเช้าไปเปิดร้าน พวกเขาเลยมีวิสัยการนอนที่ไม่ดึกนัก ส่วนใหญ่ไม่เกินสี่ห้าทุ่มก็ต้องคลุมโปงแล้ว ยกเว้นบางคืนที่มีเรื่องให้คิดจนนอนไม่หลับเท่านั้น ซันกอดอตินอีกครั้ง ก่อนจะปล่อยให้คนตัวเล็กกลับห้อง

ประตูไม้ถูกเปิดขึ้น พอดีกับเสียงมือถือของเขาที่ดังเอะอะ จนมาร์ชต้องยกมือขึ้นปิดหูอย่างรำคาญ อตินก้มหัวเกรงใจแล้วรีบคว้ามือถือบนเตียงขึ้นมากดรับสายทั้งที่ยังไม่ทันได้มองหน้าจอ

(ฮัลโหล)

“พี่เลโอ!” น้ำเสียงตื่นเต้น เรียกให้สายตาคมเหลือบขึ้นมองเขาแวบหนึ่ง ก่อนหันกลับไปสนใจหนังสือเล่มหนาในมือ

(เป็นไงบ้าง สบายดีนะ?)

“ก็...ดีมั้งครับ”

(พี่รู้เรื่องซันแล้ว ไม่เป็นไรแน่เหรอ)

อตินคลานขึ้นไปนอนพิงหมอนบนเตียงตัวเอง พยายามไม่หันไปสบตากับคนบนเตียงข้างๆ แอบแปลกใจเล็กน้อยที่ข่าวความเคลื่อนไหวฝั่งนี้ กระจายไปถึงหูเลโอรวดเร็ว แต่ก็นะ เรื่องนี้มันเรื่องใหญ่ ลูกค้าก็คุยกันปากต่อปากไปเรื่อยแหละ

“พี่ซันเหรอครับ ไม่เป็นไรหรอก หมอรักษาให้แล้ว อีกไม่กี่วันก็ไปเปิดตาได้ครับ”

(เรื่องนั้นพี่รู้ หมายถึงเราน่ะ คบกับซันไม่เป็นไรเหรอ)

เสียงเลโอไม่ค่อยได้เข้าหัวอตินนัก เพราะอยู่ดีๆ มาร์ชก็หันมาสะกิดเรียก แล้วตบมือลงกับเตียงด้านหน้าตัว เหมือนจะบอกให้เขาย้ายไปนั่งใกล้ๆ ไม่รู้ว่าจะปฏิเสธยังไงก็เลยเลื่อนตัวเองไปนั่งคุยโทรศัพท์อยู่หน้ามาร์ชตามนั้น ทำไปทำมาก็เลยใช้อกกว้างแทนพนักพิงหลังซะเลย

“หะ พี่เลโอว่าไงนะครับ?”

(พี่ถามว่า เรื่องที่เรายอมคบกับซันน่ะ ไม่เป็นไรแน่เหรอ?)

“อ้าว รู้ด้วย”

(รู้สิ เรื่องพวกนายมันกระจายไปทั่วแล้วไหมล่ะ)

พวกลูกค้าแฟนคลับทั้งหลายนี่บางทีก็รู้ดีรู้ไวจนน่ากลัวเลยแฮะ แต่เลโอรู้แล้วก็ดีเหมือนกัน เพราะถึงยังไงเขาก็ต้องบอกให้รู้อยู่วันยังค่ำ

“ก็ไม่เป็นไรนี่ครับ ผมกับพี่ซันไม่เข้ากันตรงไหน”

อตินเสร้งพูดให้ดูตลก ทั้งที่ในใจก็ไม่ได้ตลกด้วยเลย และคนด้านหลังก็คงไม่ตลกเหมือนกัน ถึงได้สอดแขนแกร่งเข้ามาล็อกเอวเขาไว้ซะแน่น คางแหลมวางเกยอยู่บนไหล่ เล่นเอาบ่าเขาทรุดไปข้างหนึ่ง ตัวไม่ใช่เบาๆ นะ ยังจะกล้า

(เอ้า ก็นายชอ..)

“พี่ฮันบิ๊นน” คนตัวเล็กรีบแทรกขึ้นเสียงแหลม แอบเหล่ตามองด้านหลัง กลัวว่าจะทันได้ยิน

(อย่าบอกนะว่าอยู่ด้วยกัน)

“ครับ”

(งั้นจะพูดดังๆ เลย) คนปลายสายแกล้งหยอกพร้อมหัวเราะชอบใจ จนอตินเริ่มลนลานอยู่ไม่สุข แต่ถึงงั้นก็ขยับมากไม่ได้อยู่แล้ว เพราะมีไอ้บ้ากำลังโถมตัวเข้าใส่

“ไม่เอา~ ความลับดิ”

มาร์ชนิ่วหน้าเมื่อได้ยินคำนั้น ยิ่งท่าท่างดีใจตลอดเวลาเมื่อได้คุยกับพี่คนสนิทยิ่งทำให้เขานึกหมั่นไส้ วงแขนแข็งแรงเกี่ยวรัดเอวบางเข้าหาตัวยิ่งขึ้น ก่อนจงใจขบเบาๆ ไปที่หูขวาอย่างหยอกล้อ เล่นเอาคนด้านหน้าสะดุ้งจนเกือบทำมือถือหล่น

“อ้ะ!”

(หือ?)

“ปะ..เปล่าครับ ไม่มีอะไร”

(มะกี้ร้อง?)

“ยุงกัด...อึ๊!” ยังพูดไม่ทันจบ ก็โดนยุงตัวที่ว่าหาเรื่องอีกรอบ มาร์ชแกล้งใช้ปลายลิ้นแหย่เข้าไปในรูหูที่กำลังขึ้นสีแดงจัด เสียงหัวเราะไม่ค่อยเป็นมิตรดังขึ้นในลำคอ ชวนให้คนตัวเล็กขนลุกซู่ด้วยความหวาดผวา

อตินรีบเบี่ยงตัวหลบทันทีที่สัมผัสถึงความเปียกชื้น มือข้างหนึ่งยกขึ้นถูหูตัวเองแรงๆ พร้อมหันขวับไปถลึงตาใส่ แต่ดูเหมือนคนซ้อนหลังจะไม่ได้เกรงกลัวเลยสักนิด กลับยิ้มกริ่มแล้วโอบร่างเขาไว้แน่นกว่าเดิมจนชักหายใจไม่ออก มาร์ชส่งสายตาเป็นเชิงให้วางโทรศัพท์ แต่อตินยังส่ายหน้าและพยายามคุยต่อ

(มีอะไรหรือเปล่า?)

“เปล่าครับ แล้วนี่พี่เลโอทำอะไรอยู่”

(ชงโกโก้ให้พี่จินน่ะ เห็นบ่นอยากดื่ม)

มือเล็กค่อยๆ แกะแขนหนาออกไปอย่างยากลำบาก แต่สุดท้ายก็หลุดรอดออกมาจากการเกาะกุมจนได้ นี่รัดจนเอวเขาจะคอดอยู่แล้ว ยังมาตีหน้าดุใส่อีก

อตินแลบลิ้นใส่มาร์ชไปทีแล้วกรอกเสียงอ้อนลงไปในมือถือ “คิดถึงโกโก้ของพี่เลโอจัง ไว้ทำให้ผมอีกน้า”

มาร์ชขมวดคิ้วแล้วส่งสัญญาณมือให้เขาวางโทรศัพท์อีกรอบ เขาก็ส่ายหน้าอีกรอบ จนทางนู้นสงบไป แต่นิ่งได้แค่แป๊บเดียวก็เริ่มต้นปริศนาใบ้อันใหม่ คนตัวสูงขยับเข้ามาใกล้จนใบหน้าของพวกเขาห่างกันเพียงระยะแขน มาร์ชใช้มือแตะที่หู ก่อนทำท่ากากบาท จากนั้นจึงแตะนิ้วลงกับปากตัวเอง แล้วยื่นมาแตะริมฝีปากของเขาแผ่วๆ เหมือนต้องการจะสื่อว่าถ้ายังไม่ยอมวางสายอีก จะไม่ได้โดนแกล้งแค่ที่หู แต่คราวนี้จะสอดเข้าไป..ใน..ปาก!

“พ..พี่เลโอ”

รอยยิ้มมีเลศนัยผุดขึ้นมาบนใบหน้าเรียว พร้อมกับร่างหนาที่ค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้าประชิด จนเขาเผลอหลับตาหนี รู้สึกถึงความร้อนที่แล่นขึ้นมาบนแก้มทั้งสองด้าน

(อะไรเหรอ?)

“คือ..ผม ผมง่วงแล้วอะ ไว้คุยกันวันหลังนะครับ”

(อ้อ อื...)

ไม่รอให้อีกฝ่ายล่ำลาจบก็รีบกดตัดสายทิ้ง ก่อนจะผลักอกกว้างตรงหน้าออกห่างอย่างแรง แล้วรีบอพยพตัวเองกลับมาบนเตียงของซัน รีบดึงผ้าห่มขึ้นคลุมโปง หวังช่วยปิดบังสีแดงเรื่อบนหน้า

ถ้ามาร์ชยังเอาแต่เล่นแบบนี้

สักวัน...เขาคงต้องกลายเป็นคนทรยศ
หัวข้อ: Re: ♡♡ ร้านกาแฟแห่งนี้มีความรักอยู่ ♡♡ by「aonair」 UP! บทที่ 20
เริ่มหัวข้อโดย: aonair13 ที่ 17-06-2016 23:35:25
22



“นอนหลับสบายดีรึเปล่า?”

ซันถาม ขณะนั่งอยู่บนเตียงตัวเอง เพราะว่าวันนี้น็อตเป็นเวรไปซุปเปอร์ ซันก็เลยดอดมาอยู่กับอตินในห้องก่อน ถึงแม้จะมีมาร์ชเป็นมารผจญอยู่ไม่ห่างก็ตามเถอะ

“สบายดีครับ แล้วพี่ซันล่ะ?”

“ก็...ดีมั้ง”

“ทำไมอะ”

“ก็พี่น็อตกรนเสียงดังนี่”

คนตัวเล็กขำแล้วลูบผมซันเป็นเชิงปลอบ เอ...วันนี้เบสสระผมให้ด้วยนี่น่า หอมฟุ้งเชียว เป็นกลิ่นแชมพูแบบเดียวกับเบสเป๊ะเลย แปลกดี

“สระผมแล้ว”

“อื้อ พี่เบสเกือบทำแชมพูเข้าตา”

“หะ จริงเหรอครับ อะไรเนี่ย”

อตินส่งเสียงตกใจจนอีกฝ่ายต้องรีบกลั้นขำ เขารีบวางมือลงบนผ้าก็อซเหมือนอยากจะเช็คความเรียบร้อย ดูเหมือนเบสไม่ดูแลซันให้ดีเลย แบบนี้ไม่ได้นะ ใกล้จะเปิดตาเต็มทีแล้ว เขาอยากให้มั่นใจว่าซันจะดีขึ้นและปลอดภัยจริงๆ

“พี่เบสใช้ไม่ได้เลย มินก็ไม่อยู่ ไว้ผมอาบน้ำให้พี่ซันเองดีกว่าไหม”

“ดี” ตอบแบบไม่ต้องคิดเลย

ใบหน้าแดงเรื่อของเพื่อนสนิท ทำให้มาร์ชรู้ทัน รีบพาตัวเองไปนั่งลงข้างซัน ก่อนจะฟาดหัวจอมหื่นไปทีไม่แรงนัก คนโดนตีร้องโอยแล้วยกมือขึ้นลูบจุดนั้นป้อย พยายามหันซ้ายขวาหาตัวตนเหตุ

“ไอ้มาร์ช”

“ไม่ต้องเลยมึง จะใช้งานอตินมากเกินไปละ”

“แต่พี่เบสโหดกับกูอะ” สาบานว่าเขาโดนถูหลังเหมือนเอากระบองเพชรมาขูดเนื้อ ไม่มีการออมแรง หรือความอ่อนโยนใดๆ ทั้งสิ้น

“งั้นเดี๋ยวกูอาบให้มึงเอง”

“ไม่เอาอะ สยอง” ซันทำท่าขนลุกแล้วขยับตัวออกห่าง

“หา ว่าไงนะ”

มาร์ชถามกลับเสียงเข้ม ก่อนพุ่งเข้าไปจี้เอวคนเป็นเพื่อนอย่างจงใจแกล้ง ซันขำตัวงอ พยายามทุบตีไปตามแผ่นหลังแข็งแรง อตินได้แต่นั่งอมยิ้มกับภาพผู้ชายร่างใหญ่สองคนกำลังตะลุมบอนกันแบบไม่ยุติธรรมนัก ก็ซันมองไม่เห็นนี่ มาร์ชเลยได้เปรียบเลย แต่ถึงจะแกล้งกัน ปากทั้งคู่ก็ยังหัวเราะ

“เฮ้ย!” ทั้งสามคนเผลอร้องพร้อมกัน เมื่อร่างของซันเซจนเกือบตกเตียง แต่มาร์ชก็คว้าแขนไว้ทัน ก่อนที่ทั้งคู่จะลงมานอนแผ่บนเตียงพลางหอบเหนื่อย

สรุปเมื่อกี้เล่นอะไรกัน แล้วปกติคนห้องนี่เล่นกันงี้เรอะ

ก๊อก ก๊อก

ประตูถูกเคาะสองสามครั้ง ก่อนจะเปิดออก พร้อมร่างของน็อตที่แทรกตัวเข้ามา ซันตีหน้าบูดแล้วรีบควานหามืออุ่นของคนรัก พยายามแสดงให้เห็นว่ายังไม่อยากจากไปไหน

“ไป ซัน นอนได้แล้ว”

“ยังไม่ง่วงอ่า”

“แต่อตินง่วงแล้ว ให้น้องนอน เร็ว” คนถูกอ้างถึงตีหน้าเหลอหลา

“อตินง่วงแล้วหรอ?”

ซันเขย่ามือเล็กแล้วถามเสียงอ่อย อตินที่ยังงุนงงรีบหันมองน็อตเพื่อขอคำตอบ อีกฝ่ายรีบขยับปากโดยไม่มีเสียง ให้เขาตอบรับ เพื่อจะได้ลากซันกลับเข้าห้องสักที คนตัวเล็กตีหน้าลำบากใจแต่ก็คงต้องทำ ไม่งั้นซันก็ยังเอาแต่ดื้อไม่เลิก สงสารน็อต ท่าทางเหนื่อยมากแล้วด้วย

“ค..ครับ ง่วงแล้วล่ะ พี่ซันก็ไปนอนเถอะ”

คนตัวใหญ่ยื่นปากเป็นเด็ก จนอตินต้องรีบโถมตัวเข้าไปกอดปลอบหลวมๆ สุดท้ายก็ต้องเป็นฝ่ายเดินไปส่งถึงเตียงนอนในห้องน็อต ซันถึงยอม ทำไปทำมาเหมือนไม่ได้เป็นแฟนกัน น่าจะเรียกว่าพ่อลูกซะมากกว่ามั้ง ยิ่งซันอ่อนแอ ก็ยิ่งทำตัวเหมือนเด็ก

แล้วเขาก็เป็นพี่เลี้ยง ที่ต้องรับผิดชอบชีวิตกับหัวใจของเด็กคนนี้

เวลาผ่านไปอีกพักใหญ่กว่าอตินจะเริ่มหาวครั้งแรก มาร์ชที่หันมาเห็นก็เลยถือโอกาสเอ่ยปากชวน เขาคิดว่านี่อาจเป็นโอกาสเดียวที่จะได้ทำแบบนี้

“จะนอนแล้วเหรอ?”

“เปล่าครับ”

“งั้น...ออกไปข้างนอกเป็นเพื่อนพี่หน่อยได้ไหม?”

“หะ ตอนนี้?”

“อือ ตอนนี้แหละ”

ไม่รอคำตอบ มาร์ชก็ลุกมาดึงมืออตินขึ้น ก่อนหันไปคว้าเสื้อคลุมบนเก้าอี้ แล้วค่อยๆ พากันเปิดประตูแต่ละชั้นออกไปอย่างเงียบเชียบ มั่นใจว่ายังไม่มีใครได้ยินหรือจับได้ นาฬิกาข้อมือบอกเวลาเกือบห้าทุ่มแล้ว

พอออกมายืนตรงถนนหน้าบ้านได้ ถึงเพิ่งรู้สึกขนลุกจากลมเย็น อตินหลับตาปี๋แล้วใช้สองแขนโอบกอดตัวเอง ขนาดสวมเสื้อคลุมแล้วก็ยังหนาวแฮะ อากาศตอนกลางคืนนี่ไม่ใช่เล่นๆ เลย แถมมาร์ชยังเอาแต่พาเขาเดินไปเรื่อยราวกับไม่มีจุดหมาย พอถามว่าไปไหนก็ไม่ตอบ ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ไม่ชอบหรอกนะ...ได้มีเวลาอยู่กับมาร์ชแบบนี้ ต่อให้อากาศหนาวแค่ไหน เขาก็ยังสัมผัสได้ถึงความอบอุ่น

พวกเขาพากันเดินเลาะตามซอยบ้าน ทิศทางตรงกันข้ามกับตัวร้าน ผ่านไปพักหนึ่งก็มาถึงซอยแคบๆ ที่ดูเหมือนทางลัดไปสู่สถานที่บางแห่ง และเขาก็เดาถูก ทันทีที่สองขาก้าวพ้นจากซอยนั้น ภาพแม่น้ำสายหนึ่งก็ปรากฎอยู่ต่อหน้า ตลอดสองฝั่งถูกถมเป็นเนินหญ้าสำหรับชมวิวหรือปิกนิก ประกายระยิบระยับบนพื้นน้ำดูงดงามราวกับคลื่นอัญมณี

“สวยจังเลยครับ” อตินร้องเสียงตื่นเต้น ลืมความหนาวเย็นของลมที่พัดผ่านไปชั่วขณะ

มาร์ชค่อยๆ ประคองมือเขาเดินผ่านถนนเส้นเล็กลงไปเหยียบบนเนินหญ้า แล้วพากันนั่งมองคลื่นน้ำที่กำลังไหลอย่างเนิบช้า จุดนี้สงบมาก แทบไม่มีคนเดินไปมาเลย น้ำตรงนี้ก็ใสแถมไม่ส่งกลิ่น มีแสงไฟสีส้มนวลประดับประดาอยู่รอบๆ

“พี่มาร์ชรู้จักที่นี่ได้ยังไง”

“มีคนแนะนำมา”

“หือ?”

“เพื่อนน่ะ พอดีบ้านเขาอยู่แถวนั้น”

นิ้วเรียวชี้ออกไปด้านหน้า ฝั่งตรงข้าม ถัดจากเนินหญ้าด้านนู้นไป ก็มีบรรดาตึกราบ้านช่องตั้งเรียงรายไม่ต่างกัน สงสัยว่านี่อาจเป็นพื้นที่ของชุมชนสองฝั่งแม่น้ำที่เขาไม่เคยรู้จัก แต่ก็คงไม่แปลกนัก เพราะมันไกลจากบ้านพักและร้านอยู่เหมือนกัน กว่าจะเดินมาถึงนี่บ่นในใจไปไม่รู้กี่สิบรอบ แต่ต้องยอมรับเลยว่าคุ้มค่ากับความเมื่อยจริงๆ

“สวยแล้วก็สงบด้วย ชอบมากเลยครับ” คนตัวเล็กส่งยิ้มหวานให้ เล่นเอาหัวใจอีกฝ่ายกระตุกวูบ มาร์ชยิ้มกว้างรับแล้วเอ่ยปาก

“อือ แต่ที่อยากให้ดูน่ะ อยู่บนนู้นต่างหาก”

อตินเอียงคอสงสัยเมื่อมาร์ชชูนิ้วขึ้นกลางอากาศ พร้อมเงยหน้ามองฟ้า พอเขาเงยหน้าขึ้นบ้างถึงเข้าใจ ประกายดาวนับล้านกำลังทอแสงแข่งกันอยู่บนนั้น ชัดเจนกว่าจุดไหนๆ แสงสีขาวมากมายตัดกันดีกับผืนกำมะหยี่สีดำสนิทเบื้องหลัง

“โห...”

สวยงามมาก มากจนไม่รู้จะบรรยายยังไงเลย

มาร์ชเอนหลังลงกับพื้นหญ้าแบบไม่กลัวเลอะ ตามมาด้วยอตินที่คงลืมกังวลเรื่องอื่นไปแล้วเหมือนกัน สองมือของพี่น้องยังคงกอบกุมกันอยู่ไม่หลุด สายตาสองคู่หันมองฟ้าเบื้องบน พวกเขาต่างพากันชี้โบ้ชี้เบ้แล้วหัวเราะมีความสุข หลายครั้งก็จะพากันยกนิ้วขึ้นจุ๊ปาก เมื่อรู้สึกว่าพูดเสียงดังไป ก่อนหลุดขำอีกรอบ

เข็มนาฬิกาเดินผ่านไปรวดเร็วกว่าใจหลายเท่านัก กว่าจะรู้ตัวก็ปาเข้าไปตีหนึ่งกว่าแล้ว มาร์ชยันตัวเองขึ้นยืนโดยที่ยังไม่ปล่อยมือ เขาก้าวเข้ามาบังวิสัยทัศน์อยู่ตรงหน้าคนตัวเล็กที่ดูท่าไม่อยากกลับทั้งที่ดึกมากแล้ว

“กลับได้แล้วนะ”

“โหย ยังไม่อยากกลับเลย อยู่ต่ออีกแป๊บนึงน้า”

อตินงอแง แล้วเขย่ามือข้างที่จับกันไว้แรงๆ และไม่รู้ว่ามันแรงไปหรือพลาดตรงไหน ถึงทำให้ร่างสูงคว้ำหัวล้มตึงลงทับตัวเขาจนจุก

“โอยยย” หนักชิบ หนักมาก!

มาร์ชตกใจ รีบยันตัวเองขึ้นด้วยสองมือ สายตาเป็นห่วงถูกส่งไปให้ร่างแบนด้านใต้ อตินพยายามไม่แสดงว่าเจ็บ แล้วหัวเราะแห้งๆ ดวงตากลมจ้องมาร์ชเหมือนต้องการจะสื่อให้ลุกออกไป หากแต่เขากลับไม่ยอมขยับ...เหมือนถูกสะกดด้วยใบหน้าหวานด้านล่าง เสี้ยวหน้ากระทบแสงสีส้มจากหลอดไฟข้างถนน ยิ่งเสริมให้ภาพต่อหน้าดูสวยงามยิ่งกว่าอะไร น่ามองมากกว่าผืนน้ำ น่าจับจ้องมากกว่าผืนฟ้า

โครงหน้าเรียวของมาร์ชค่อยๆ เคลื่อนตัวลงอย่างเนิบช้า สายตาคมสีนิลแฝงไว้ด้วยเสน่ห์เล่ห์กลบางอย่างที่ทำให้อตินไม่อาจละออกไปได้ สุดท้ายคนตัวเล็กจึงเลือกหลับตาลงพร้อมกับใบหน้าที่เริ่มขึ้นสีชัดเจน เสียงลมหายใจของคนด้านบนดังใกล้แค่คืบ

เสียงก้อนเนื้อในอกด้านซ้ายดังโครมครามจนน่าอาย มันคงไม่ดีที่ทำแบบนี้...

มันคงไม่ดีแน่...

อตินขมวดคิ้วมุ่นแล้วรีบพลิกตัวหลบในวินาทีฉิวเฉียด พยายามจับจ้องไปยังภาพเบื้องหน้ามากกว่าจะสนใจร่างสูงที่กำลังคร่อมเขาอยู่ ไม่รู้ว่ามาร์ชกำลังตีสีหน้าแบบไหน

โกรธ...ผิดหวัง...หรือ เสียใจ...

บริเวณรอบข้างเงียบตัวลงยิ่งกว่าเคย เงียบ...จนเขานึกกลัว

“พี่ขอโทษ” ในที่สุดมาร์ชก็ยอมเปิดปาก ก่อนจะลุกขึ้นยืนปัดเอาเศษดินเศษหญ้าออกจากตัว พยายามอย่างมากที่จะปัดเอาเหตุการณ์เมื่อครู่ออกจากสมองไปพร้อมๆ กันด้วย

เจ้าของใบหน้าแดงก่ำรีบลุกขึ้นตามแล้วออกตัวเดินกลับไปยังทางที่ผ่านมา ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีกเลยตลอดทั้งคืนนั้น...

รวมทั้งตลอดทั้งวันรุ่งขึ้นด้วย

มาร์ชเข้าใจดีว่าตัวเขาไม่ได้มีสิทธิ์ทำแบบนั้น แต่มันก็อดไม่ได้ ในเมื่อหัวใจเขาร่ำร้องหาเด็กนั่นแทบทุกเวลา แต่ความรู้สึกของมาร์ชก็คงเทียบไม่ได้กับที่อตินกำลังรู้สึก...รู้สึกผิดต่อซัน เขาเกือบปล่อยใจไปกับบรรยากาศเมื่อคืนแล้ว และคงแย่มากถ้าเขาไม่หยุดมันไว้ทัน

“พรุ่งนี้มินก็กลับแล้วนี่” เสียงของซันดังขึ้นในโสตประสาท เรียกสติของอตินให้กลับมาเข้าตัว พยายามส่ายหน้าเพื่อไล่ความคิดแย่ๆ ในหัวออก

“ครับ น่าจะช่วงเย็น”

“อืม แล้ววันนี้ที่ร้านเป็นไงบ้าง”

“ก็เหมือนปกติอะครับ” ปกติหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน เพราะรู้สึกวันนี้บรรยากาศแถวเคาน์เตอน์จะดูมืดมนยังไงชอบกล

อตินหยิบแอปเปิ้ลชิ้นที่สามป้อนใส่ปากคนตรงหน้าอย่างใจดี ตอนนี้เขาแค่นั่งคุยเป็นเพื่อนซันเหมือนทุกวันบนโซฟาตัวประจำ พี่คนอื่นเข้าห้องนอนกันหมดแล้ว แถมทีวีก็ไม่มีอะไรจะดู ภายในบ้านก็เลยเงียบเป็นพิเศษ

“แอปเปิ้ลหวานดีนะ”

“ครับ พี่น็อตเลือกเองเลย”

ซันยิ้มกริ่มแล้วเอื้อมมือออกไปแตะๆ อากาศตรงหน้า จนปลายนิ้วสัมผัสถูกแก้มเนียน ก่อนหยอดคำหวานน่าอาย

“แต่อันนี้ท่าจะหวานกว่า”

“บ้า” อตินรีบผละตัวออกแล้วว่าเสียงดุ ใบหน้าขึ้นสีไปกับมุกเมื่อครู่ ซันหัวเราะน้อยๆ ก่อนกลับมาตีสีหน้าจริงจัง เพราะถึงจะเป็นแค่การหยอกเย้า แต่เขาก็เห็นแล้วว่าอตินไม่เคยคล้อยตามเลยสักครั้งเดียว

“อติน...” น้ำเสียงราบเรียบดังขึ้นพอให้เจ้าของชื่อนึกหวั่น

“ครับ?”

“ถ้าพี่ต้องเป็นแบบนี้ตลอดไป อตินจะทิ้งพี่หรือเปล่า?”

คำถามชวนจุกกระแทกเข้าอกเขาดังปัก ภาพใบหน้าของมาร์ชที่ยื่นเข้ามาใกล้เมื่อคืนกลับวนเข้ามาหลอกหลอน ยิ่งทำให้เขารู้สึกเสียใจต่อคนตรงน้า จานแอปเปิ้ลถูกวางทิ้งไว้บนโต๊ะกระจก ก่อนหันมาจ้องมองคนที่ไม่สามารถสบตาเขาตอบในเวลานี้

“ไม่ทิ้งหรอกครับ”

ซันยิ้มบางก่อนถามต่อ ยิ่งบีบคั้นเขามากขึ้นอีกหลายเท่าตัว

“แล้วถ้าพี่หายแล้ว ก็จะเลิกกันหรือเปล่า?”

หัวคิ้วสองข้างย่นเข้าหากันทันทีที่ได้ยินคำถาม เป็นอย่างที่เขาคาดเดาไว้ ซันกำลังกลัว...กลัวอยู่ตลอดว่าจะสูญเสียเขาไป แล้วแบบนี้จะให้เขาใจร้ายขนาดปล่อยคนอ่อนแอคนนี้ไว้เชียวเหรอ

“ไม่เลิกหรอกครับ” ถ้าจะโทษก็โทษความใจอ่อนของเขานี่แหละ ผิดเองที่ไม่กล้าทำร้ายจิตใจคนตรงหน้าได้อีก

“เหรอ...”

ซันเว้นช่วง สองมือกำหมัดแน่นจนเห็นเส้นเลือดปูดโปน ร่างหนาตรงหน้าไม่ได้ดูแข็งแรงอย่างที่เห็นเลยสักนิด แม้ตัวใหญ่แค่ไหน แต่อตินรู้ดีว่าความจริงแล้ว ซันตัวเล็กนิดเดียว...เปราะบาง นิดเดียว...

“ต่อให้อตินมีคนอื่นที่รักอยู่ ก็จะไม่ทิ้งพี่เหรอ?”

คนตัวเล็กหน้าชา ดวงตาก้มหลุบต่ำทั้งที่รู้อยู่ว่าอีกฝ่ายคงมองไม่เห็น อะไรคือเหตุผลที่ทำให้ซันถามคำถามนี้ออกมา ในใจดวงน้อยนึกกลัว...คราวนี้กลับเป็นเขาเองที่กำมือแน่น การเว้นช่วงไปนานทำให้ซันเริ่มขมวดคิ้วยุ่ง คนโตกว่าเม้มปากสนิทจนอตินต้องรีบตอบรับให้อีกฝ่ายใจชื้น

“ไม่หรอกครับ ยังไงก็ไม่ทิ้งหรอก”

คนถามดูพอใจกับคำตอบ คิ้วที่ขมวดเข้าหากันถูกคลายออก พร้อมรอยยิ้มที่เผยขึ้นบนใบหน้าสดใส อตินเผลอยิ้มตามออกมาเมื่อเห็นว่าซันสบายใจขึ้นแล้ว มือใหญ่พยายามเอื้อมมาแตะพวงแก้มนุ่ม แต่ก็ดูสะเปะสะปะเหลือเกินจนเขาทนไม่ได้ ต้องเป็นฝ่ายลดแขนซันลง และขยับตัวเข้าไปหาเอง เขาเดาออกว่าซันกำลังต้องการจะทำอะไร...

อตินพักมือทั้งสองข้างไว้บนบ่าแข็งแรง ค่อยๆ เคลื่อนใบหน้าเข้าหาอีกฝ่ายอย่างเชื่องช้า ลมหายใจอุ่นเป่ารดอยู่เพียงแค่ตรงปลายจมูก ก่อนที่ริมฝีปากของทั้งคู่จะประกบเข้าหากัน อย่างน้อยก็ให้สิ่งนี้เป็นเครื่องยืนยัน ว่าเขาจะยังคอยอยู่ข้างๆ ดูแลซันต่อไป

ตึก...

เสียงคล้ายฝีเท้าของใครสักคนดังขึ้นใกล้ๆ ทำให้อตินต้องรีบผละตัวออก และกวาดสายตาไปทั่วบริเวณอย่างหวาดๆ มันคงไม่เลวร้ายเท่าไรเลยถ้าคนที่ส่งเสียงดังออกมาเมื่อครู่ไม่ใช่รูมเมทคนปัจจุบันของเขาในตอนนี้

“พี่..มาร์ช...”

“มาร์ชเหรอ?” ซันตะโกนถาม ทำให้มาร์ชกล้าเดินออกมาจากเงามืด ใบหน้าเรียบเฉยจับจ้องไปที่อตินไม่วางตา

“อือ”

“มีอะไรรึเปล่า?”

“ไม่มีอะไร กูแค่จะออกไปซื้อของ” มาร์ชตอบกลับแค่นั้น แล้วหันหลังให้ ไม่ลืมทิ้งท้ายไว้อย่างเจ็บแสบ “ขอโทษที่มาขัดจังหวะ”

ไม่ใช่นะ...ไม่ได้อยากให้เห็นสักหน่อย...
หัวข้อ: Re: ♡♡ ร้านกาแฟแห่งนี้มีความรักอยู่ ♡♡ by「aonair」 UP! บทที่ 20
เริ่มหัวข้อโดย: aonair13 ที่ 17-06-2016 23:37:49
23



ซันอ้อนให้อตินอยู่คุยด้วยต่ออีกนาน จนปาเข้าไปดึกดื่นแล้วถึงยอมปล่อย จำได้ว่าเกือบสองชั่วโมงที่แล้วเห็นมาร์ชกลับเข้ามาพร้อมเบียร์เป็นลัง ท่าทางน่าเป็นห่วง พอล่ำลากับซันเรียบร้อยเขาก็รีบพุ่งกลับห้องนอนปัจจุบันทันที

ประตูเปิดออก เผยให้เห็นภาพมาร์ชกำลังนั่งกระดกเบียร์อยู่บนพื้น หลังเอนติดกับฟูกเตียงนอน สองขายืดสะเปะสะปะ มีกระป๋องเบียร์เปล่าวางเรี่ยราดไปทั่ว ดูเป็นภาพที่น่าอเนจอนาจยิ่งนัก

“พี่มาร์ช ทำไมดื่มขนาดนี้”

รีบก้มเก็บกระป๋องลงถังขยะ แล้วพาตัวเองไปนั่งลงข้างๆ ตั้งใจจะแย่งเบียร์ในมืออีกฝ่ายมาแต่กลับถูกปัดออก แถมด้วยหางตามาดร้ายแบบที่เขานึกกลัว

“พอได้แล้ว พรุ่งนี้ต้องทำงานนะครับ”

“อย่ามายุ่ง” เขาถูกมาร์ชปัดมือออกอีกครั้งจนขีดความอดทนเริ่มพุ่งลงต่ำ

“นี่ผมเป็นห่วงนะ”

“ไปห่วงแฟนนายเถอะ”

“พี่มาร์ช! พาลแล้ว” คราวนี้อตินไม่ยอม รีบฉกเอากระป๋องเบียร์ในมือมาร์ชมาถือไว้ คนโตกว่าดูหงุดหงิดและพยายามเข้ามาแย่ง แต่ก็ดูยากลำบากเพราะเริ่มไม่มีสติแล้ว

พอเห็นว่าแย่งกลับมาไม่ได้ ก็เลยเลิกสนใจแล้วหันไปเปิดกระป๋องใหม่หน้าตาเฉย อตินต้องยื้อยุดอยู่อีกนานจนเขาชักเหนื่อยเหมือนกัน สุดท้ายก็ปล่อยให้มาร์ชดื่มต่อ ในขณะที่เขาทำได้แค่มองด้วยสายตาเวทนาระคนเสียใจ

อตินหันมองกระป๋องเบียร์ที่เหลือ ก่อนจะคว้ามาเปิดออกแล้วกรอกน้ำสีอำพันเข้าปากบ้าง เล่นเอามาร์ชทั้งอึ้งทั้งงง รีบป่ายมือเข้ามาหวังจะห้าม แต่อตินไม่ยอม ส่งสายตาท้าทายให้พร้อมกระดกน้ำขมอึกสุดท้ายลงคอ

“ถ้าพี่มาร์ชดื่ม ผมก็จะดื่ม”

คนตัวเล็กใช้แขนเช็ดปาก สองสายตาฟาดฟันกันอยู่ครู่ใหญ่ จนมาร์ชยอมส่ายหน้าเหมือนไม่ต้องการใส่ใจ ในหัวเขายังเดือดๆ เพราะภาพที่เห็นเมื่อตอนหัวค่ำอยู่เลย กะว่าจะออกไปซื้อยาสีฟันเพราะใกล้จะหมด กลัวพรุ่งนี้ไม่มีเวลา ดันไปเห็นภาพบาดตาที่อตินจูบซันเข้าให้ และคงไม่เจ็บขนาดนี้ถ้าคนที่เริ่มไม่ใช่ไอ้เด็กบ้าข้างๆ นี่!

สรุปเลยกลายเป็นว่าต่างฝ่ายต่างดื่มเบียร์โดยไม่มีใครพูดอะไรออกมาเป็นเวลานาน มาร์ชน่ะคอแข็งอยู่แล้ว แต่วันนี้อาจจะมึนมากหน่อยเพราะดันโหมดื่มคนเดียวซะเยอะ ส่วนอติน...รายนั้นไม่ต้องพูดถึง หน้าแดงแจ๋ตั้งแต่กระป๋องที่สอง

“อติน...” คนโตกว่าหันหน้าเข้าหาเจ้าของชื่อที่ดูงงๆ “อตินมาที่ Café de Sept เพื่อเจอพี่ใช่ไหม?”

ดวงตาปรือเบิกกว้างขึ้นอีกครั้ง รู้สึกเหมือนสติสตังเด้งกลับเข้าหาตัวแทบจะทันทีที่ได้ยินคำถาม ตอนนี้คงเดาไม่ออกแล้วว่าแก้มที่แดงเรื่อเป็นเพราะฤทธิ์แอลกอฮอลหรือฤทธิ์คนกันแน่

“ทะ..ทำไม”

“อติน ชอบพี่หรือเปล่า?”

“ห..หะ”

คนตัวเล็กเริ่มลนลาน ไม่คิดว่ามาร์ชจะยิงคำถามสุดเถรตรงขนาดนี้ หรือว่าเมาแล้ว อะไร ยังไง ทำไมถึงถามแบบนั้น แล้วคาดหวังคำตอบแบบไหน !?

“ว่าไง” มาร์ชเริ่มจี้ พร้อมขยับตัวเข้าหา

“คือ...ผ..ผม...”

“...”

“...”

ตอบไม่ได้...จะให้ตอบว่าอะไร

ถ้าตอบตามหัวใจ ก็เท่ากับทรยศใครอีกคนนะ...

มาร์ชดูผิดหวังที่ไม่ได้ยินคำตอบเนิ่นนาน เขาลอบถอนหายใจเบาๆ แล้วจ้องนิ่งเข้าไปในดวงตาสับสนของอีกฝ่าย ยิ่งมาร์ชขยับเข้าไปใกล้ อตินก็ยิ่งต้องการถอยห่าง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากเมื่อแผ่นหลังของเขามันติดขอบเตียง ขาสองข้างชันเข่าขึ้นประชิดตัว พยายามไม่สบตาด้วย

คนเป็นพี่คลานเข้าไปจนได้ยินเสียงหายใจชัดเจน สองแขนแข็งแรงยันขอบเตียงเอาไว้เพื่อล็อกไม่ให้คนตัวเล็กมีทางหนี เสียงทุ้มดังขึ้นอีกครั้ง พร้อมคำถามที่จุกอกยิ่งกว่าเดิม

“แล้วอตินชอบซันจริงๆ เหรอ?”

“...”

...ไม่ได้...

นี่ก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน...

“อติน”

“ไม่รู้...” คนตัวเล็กเอาแต่หลบตา ในหัวปวดจี๊ด ไม่รู้เพราะเบียร์ที่ดื่มไปหรือเพราะอะไรกันแน่ “ผมไม่รู้”

มาร์ชกัดปากตัวเองทีหนึ่งเหมือนเจ็บใจ เขาเหมือนจะเดาออกแต่ก็เดาไม่ออกจริงๆ...ความจริงในใจของเด็กตรงหน้าน่ะ

แขนข้างหนึ่งปลดออกจากการกักกัน เปลี่ยนมาเชยคางมนให้หันมองหน้ากันตรงๆ ความสับสนมหาศาลกำลังเคลื่อนไหวปะปนอยู่กับหยดน้ำภายในดวงตากลม ยิ่งบีบรัดให้เขาทนไม่ไหว...ต้องสะกดกลั้นความรู้สึกที่รุนแรงนี้ไปอีกนานแค่ไหน ต้องทนอยู่กับสภาพแบบนี้ไปอีกนานไหม

เขาทนไม่ได้...ทนเห็นคนอื่นได้นายไป ไม่ได้...

“พี่มา..”

ซุ่มเสียงทั้งหมดถูกกลืนหายไปทันทีที่ริมฝีปากอุ่นประกบลงมา อตินรีบขืนตัวหนีแต่ก็ถูกมาร์ชกดไหล่บางเอาไว้ ลิ้นร้อนแทรกตัวเข้าไปควานหาความหวานปนขมด้านในอย่างชำนิชำนาญ เป็นอีกครั้งที่พวกเขาจูบกันแบบนี้...และเป็นอีกครั้งที่อตินไม่สามารถฝืนร่างกายตัวเองให้ขัดขืนได้

“อืมม..”

มาร์ชพยายามเป็นผู้นำที่ดี ในขณะที่อตินกลับตอบรับอย่างง่กๆ เงิ่นๆ ดูเหมือนฤทธิ์แอลกอฮอลจะส่งผลให้สมองของเขาขาวโพลนและโล่งเปล่า มันคิดอะไรไม่ออก และไม่อยากคิดด้วย...แค่ตอนนี้เท่านั้น...

ไม่ขอคิดอะไรเลยได้ไหม?

“ฮ..แฮ่ก...” คนตัวเล็กหอบน้อยๆ เมื่ออีกฝ่ายถอนริมฝีปากออก มาร์ชยังคงตามมากดจูบลงกับพวงแก้มอุ่น ไล่ไปจนถึงซอกคอขาว จงใจทิ้งร่องรอยไว้บนเนื้อเนียน แทบทุกจุดที่เขาสามารถลากผ่าน

“พี่มาร์..ช”

อตินร้องห้าม แต่อีกฝ่ายก็ไม่ฟังสักเท่าไร ถึงจะไม่ค่อยมีสติแต่ก็ยังพอรู้สึกตัว ถ้าเกิดมีรอยไปอวดชาวบ้านพรุ่งนี้ มีหวังกลายเป็นเรื่องใหญ่โตจนแก้ไม่ตกแน่

“ถ้านายตอบคำถามเมื่อกี้ได้ พี่ก็จะหยุด”

มาร์ชว่าเสียงเด็ดขาด แล้วเปลี่ยนมาช้อนร่างบางขึ้นไปนอนราบบนเตียงนอน เขารีบขึ้นคร่อมอตินไว้ไม่ให้หนี ก่อนกดจูบหนักๆ ลงกับไหปลาร้าที่โผล่พ้นคอเสื้อ คนตัวเล็กเม้มปากแน่นเหมือนกำลังโกรธแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะเขาไม่สามารถหาคำตอบที่ดีพอสำหรับคำถามนั้น

ความมึนงงตรงเข้าจู่โจมทีละเล็กทีละน้อย อตินไม่อาจขัดขืนการกระทำของมาร์ชได้เลย ด้วยว่าไร้เรี่ยวแรงจะต้าน จึงทำได้แค่นอนแผ่หรา ปล่อยให้อีกฝ่ายปลดเปลื้องอาภรณ์ของตนออกจากกายชิ้นแล้วชิ้นเล่า

“อื้ออ..”

ลิ้นอุ่นจงใจหยอกล้อไปกับยอดอกสีทับทิม พอที่จะกระตุ้นความรู้สึกแปลกประหลาดในร่างให้กับอตินได้บ้าง มาร์ชป่ายมือไปมาแทบทุกส่วนของร่างด้านใต้ ก่อนจบลงด้วยการขบติ่งไตข้างหนึ่งเบาๆ

“อ๊ะ”

เจ้าของดวงตาคมเหลือบมองปฏิกิริยาของเด็กน้อยอย่างพอใจ เขาค่อยๆ ดึงกางเกงในชั้นสุดท้ายออก แล้วเริ่มต้นบทเรียนความเป็นผู้ใหญ่ให้กับส่วนสงวนที่กำลังแข็งขืนขึ้นตามอารมณ์ ร่างเล็กครางฮือไม่หยุดตลอดการปรนนิบัติอย่างเชี่ยวชาญ

“อ๊ะ..อ๊า”

สองมือขยุ้มกลุ่มผมสีแดงบริเวณกลางลำตัว พยายามอย่างมากที่จะไม่ร้องเสียงดังให้คนด้านนอกได้ยิน แต่ก็ยากเหลือเกิน เมื่อภายในตัวมันรุ่มร้อนจนแทบระเบิดออก

“พี่มาร์ช...ออก..ไป” อตินผลักหัวมาร์ชซ้ำๆ จนคนโตกว่ายอมถอนปากออก มือใหญ่ช่วยรูดรั้งส่วนนั้นอีกสองสามครั้ง น้ำสีขุ่นก็พวยพุ่งออกมา พร้อมร่างบนเตียงที่กระตุกเกร็ง

คนตัวเล็กนอนหอบหนักๆ แต่กลับไม่มีเวลาให้เขาได้พักเลย เมื่อมาร์ชเริ่มปลดเสื้อผ้าของตัวเองออก และเดินไปหยิบถุงยางในกระเป๋าตังค์ออกมาสวมอย่างว่องไว แก่นกายขนาดใหญ่โตปรากฏอยู่ต่อหน้าจนอตินต้องรีบหลบตา ใบหน้าร้อนผ่าว

เขากำลังจะถูกเทวดาลงโทษใช่ไหม?

“อึ๊!”

“ไม่ต้องเกร็งนะ” มาร์ชจูบปลอบตรงขมับ เมื่อคนตัวเล็กเริ่มตกใจกับการแทรกแซง

“เจ็บ...”

“เดี๋ยวก็ไม่เจ็บแล้ว”

ปอยผมสีน้ำตาลถูกปัดออกจากโครงหน้าหวาน ก่อนที่มาร์ชจะบดจูบลงไปบนริมฝีปากอิ่มอีกครั้งเพื่อกลั้นซุ่มเสียงและช่วยคลายความเจ็บจากส่วนล่าง ไม่นานนัก จุดแข็งขืนก็สอดผ่านเข้าไปได้เกินครึ่ง อตินเอาแต่ตีสีหน้าเหยเกแล้วจิกเล็บลงกับกล้ามแขนของเขาจนเป็นรอย

มาร์ชไล่พรมจูบลงไปตามใบหน้าและลำตัวของเด็กน้อย กลับไปหยอกเย้ากับยอดอกชูชันอีกครั้งให้หายเกร็ง เมื่อเห็นว่าอตินเริ่มผ่อนคลอยจึงค่อยๆ ขยับร่างกายเข้าออกเนิบช้า ความรู้สึกเจ็บปวดเมื่อครู่ แปรเปลี่ยนเป็นความวาบหวามทีละนิด อาจจะเป็นเพราะฤทธิ์แอลกอฮอลก็ได้ ที่ทำให้คนตัวเล็กไม่นึกรังเกียจการกระทำของคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นพี่ชายเลยแม้แต่น้อย

“อ้ะ..อ๊ะ”

มาร์ชเร่งจังหวะพลางสูดปาก เมื่อร่างด้านใต้เริ่มตอบรับเขาด้วยการตอดรัดรุนแรง อตินดูทรมานหากแต่ก็สุขสม แขนเรียวเลื่อนขึ้นไปโอบรอบคอหนา แล้วน้าวลงมาแลกลิ้นกันอีกไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง

“อื้ม..มม”

“ฮ้า...”

คนด้านบนถอนจูบออก แล้วกัดเบาๆ ไปตรงปลายจมูกโด่งรั้น อตินยู่หน้าก่อนจะรู้สึกตัวว่ากำลังถูกจ้องมองมาด้วยสายตาแบบไหน... แววตาของมาร์ชดูสื่อความหมายมากมาย เหมือนว่ากำลังดีใจและเสียใจในเวลาเดียวกัน

อตินวางแขนลงระดับข้างศีรษะ ให้หลังมือราบไปกับพื้นเตียง ก่อนที่คนด้านบนจะเลื่อนมือมาสอดประสานไว้กับมือของเขา มันดูอบอุ่นยิ่งกว่าการกระทำไหนๆ และก็พอจะทำให้ใครบางคนเลิกส่งสายตาแฝงความเศร้าสร้อยมาให้ได้บ้าง มาร์ชกุมมืออตินไว้แน่น ก่อนกระแทกร่างกายเข้าไปรุนแรงกว่าเดิม

“อ๊ะ...อ๊าา”

“พ..พี่มาร์ช..” คนถูกเรียกโน้มหน้าลงไปซุกไซ้อยู่กับใบหูแดงแจ๋ ทั้งขบทั้งแหย่อย่างไม่สนใจเสียงทักท้วงเท่าไร

“หือ?”

“อย่าแรง..นักสิ...”

คนตัวเล็กพูดไปหอบไป หยดน้ำใสเริ่มซึมออกมาจากขอบตาทั้งสองข้าง มาร์ชต้องรีบสะกดอารมณ์ที่กำลังพุ่งพล่านในตัว แล้วปรับความเร็วให้อ่อนลงตามลำดับ ค่อยๆ จูบซับน้ำตาให้ร่างข้างใต้อย่างอ่อนโยน

“ขอโทษที พี่ทนไม่ไหว” มาร์ชยกยิ้ม แล้วหอมฟอดเข้ากับแก้มใส “ก็เราน่ารัก”

อตินรู้สึกเหมือนร่างทั้งร่างแดงซ่านไปหมด ยิ่งได้ยินซุ่มเสียงแปลกๆ รวมทั้งสภาพเปลือยเปล่าของพวกเขาทั้งคู่ มีหยดเหงื่อเกาะไปต่ามส่วนต่างๆ ก็ยิ่งดูน่าอายจนแทบอยากหายตัวไปเสียเดี๋ยวนั้น

“มาทำมันให้จบไปพร้อมกันเถอะ” มาร์ชเอ่ยปากหลังจากเล้าโลมคนด้านล่างต่อจนพอใจ อตินหลุบตาแล้วพยักหน้าช้าๆ ท่าทีขัดเขินยิ่งทำให้ภาพตรงหน้าดูน่ารักจนเขาเกือบถึงซะเดี๋ยวนั้น

ภายในห้องนอนของมาร์ชกับซัน บัดนี้เต็มไปด้วยเสียงครวญครางด้วยแรงอารมณ์พุ่งพล่านจากหนึ่งเจ้าของห้อง และหนึ่งผู้เยี่ยมเยียน ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีทั้งหลายทั้งปวงที่ยึดถือมาตลอดระยะเวลาหลายวัน ถูกปลดเปลื้องออกไปในเสี้ยววินาทีเดียว ก่อนจะปล่อยใจให้จมลงไปในเหวลึกสุดลึกที่เรียกกันว่า ความต้องการ

แล้วมันจะผิดมากไหม ถ้านี่คือความต้องการ ที่แฝงไว้ด้วยความรัก...

 

เจ้าของร่างกำยำกระพริบตาถี่ทั้งที่ไม่ได้ลืมตาภายใต้ผ้าก็อซสีขาวสะอาด รู้สึกแสบตาขึ้นมาเอากลางดึก เสียงกรนแบบหลับลึกสุดๆ ของน็อตยังคงดังน่ารำคาญมาหลายชั่วโมงแล้ว ซันยันตัวเองให้ลุกขึ้น แล้วค่อยๆ คลำทางไปจนถึงประตู เขาเกรงใจเกินกว่าจะปลุกน็อตที่เหนื่อยมาทั้งวัน และคิดว่าควรช่วยตัวเองบ้าง

ดูเหมือนว่าเมื่อตอนหัวค่ำจะลืมขวดน้ำยาหยอดตาไว้แถวโซฟา เพราะดันหยิบไปอ้อนให้อตินหยอดให้ จากห้องน็อตไปถึงห้องนั่งเล่นก็ไม่ไกลมาก แค่ต้องเดินผ่านห้องของมาร์ชกับมินแล้วเลาะออกด้านซ้ายนิดหน่อย อืม บ้านนี้อยู่มากี่ปีแล้ว แค่ปิดตาเดินน่ะสบายมาก

มือใหญ่คลำทางไปตามพนังบ้าน ไล่ไปเรื่อยๆ จนเข้าใกล้ประตูห้องนอนที่เขาพักพิงมาตลอดระยะเวลาการทำงาน ได้ยินเสียงกุกกักประหลาดดังแว่วออกมาพอให้เขาสงสัย นี่มันก็น่าจะดึกมากแล้ว ทำไมสองคนนั้นยังไม่นอนอีก เขาวางสองมือไว้กับบานประตู แล้วแนบหูลงไปเพื่อฟังเสียงนั้นให้ถนัดอีกครั้ง

“อื้อ..ออ”

เสียงของเตียงเอี๊ยดอ๊าดน่ารำคาญ ดังปะปนกับเสียงครางฮือของสองคนที่เขาคุ้นเคยดี ก้อนเนื้อในตัวเริ่มสูบฉีดรัวแรง พร้อมกับความหวาดหวั่นที่กำลังตีรวนขึ้นมาจุกอก สาบานว่าถ้าไม่มีผ้าก็อซกดอยู่ ตอนนี้เขาคงกำลังเบิกตากว้างค้างเติ่งอยู่เป็นแน่

“พี่มาร์ช...พี่มาร์ช..”

ชื่อของเพื่อนสนิทดังออกจากปากของคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นแฟน เสียงครางหวานยังคงดังระงมราวกับมีความสุขกันนักหนา ไม่ต้องเดาเลย ว่าทั้งคู่กำลังทำอะไรอยู่ใต้จมูกสมาชิกคนอื่นแบบนี้...

ทั้งที่เป็นอย่างนั้น เขากลับไม่อยากเชื่อ...ปวดหัวคล้ายว่าอยากปฏิเสธสิ่งที่ได้ยินและรับรู้ มือข้างหนึ่งลดลงมาทาบกับอกซ้าย หัวใจที่เคยเต้นเป็นบ้า บัดนี้ ค่อยๆ สงบจนแทบจะหยุดไปเลยด้วยซ้ำ ทุกเสียงที่ได้ฟัง ราวกับเข็มนับพันที่ทิ่มเข้ามาอย่างไม่คิดปราณี

ซันทรุดตัวลงกับพื้นช้าๆ ดวงตาสองข้างปิดสนิท แต่กลับมีหยดน้ำไหลรินออกมา ริมฝีปากเม้มแน่นเพื่อเก็บกลั้นเสียงคร่ำครวญที่อาจหลุดลอด ได้แต่ตะโกนอยู่ในหัวสมองตัวเองคล้ายคนบ้า...บ้า...ที่เชื่อ...

เชื่อคำพูดที่บอกว่าจะไม่ทิ้งกัน

บ้า...ที่เชื่อซะสนิทใจ...

“อึ่ก..ก” คนตัวสูงขมวดคิ้วยุ่งยิ่งกว่ายุ่ง พยายามอย่างมากแล้วที่จะไม่ส่งเสียงใดๆ

แม้อยากหนีไปให้ห่างจากตรงนี้ แต่สองขากลับไร้เรี่ยวแรงแม้แต่จะประคองตัวเองให้ลุกขึ้น มือสองข้างย้ายขึ้นมาปิดหูเพื่อไม่ให้ได้ยินเสียงจากภายนอก ปล่อยให้เสียงร่ำร้องในหัวเป็นเสียงเดียวที่ดังที่สุด ร่างหนาคดงออยู่กับพื้นเย็นเฉียบเพียงลำพัง น้ำตาที่ไม่คิดว่าจะไหลออกมาง่ายๆ กลับหยุดไม่ได้เอาเสียดื้อๆ

ดูไม่ได้เลย...ซัน...ดูไม่ได้เลย

ภาพรอยยิ้มของเด็กคนนั้นยังคงฉายขึ้นมาในหัวชวนให้คิดถึง คำพูดจริงใจกับแววตาสดใสนั้น เขานึกหลงรักมาตั้งแต่แรกจนถึงวินาทีนี้ คิดแต่ว่าจะทำยังไงถึงจะปกป้องสิ่งสวยงามนั้นไว้ให้ได้ด้วยตัวเขาเอง แต่ดูเหมือนว่าเจ้าตัว...ไม่ได้ต้องการให้เขาอยู่เคียงข้างเพื่อปกป้อง

เหมือนว่าไม่ได้ต้องการเขาเลย...ด้วยซ้ำ

คงต้องรีบไปเอายาหยอดตาแล้ว...เพราะอยู่ดีๆ มันก็แสบไปหมด ร้อนผ่าวไปหมด...ถ้าหูไม่ได้ยินแทนก็คงจะดีใช่ไหม จะได้ไม่ต้องรับรู้เรื่องราวด้านหลังประตู

ไม่ต้องรับรู้เรื่องที่อตินกำลังจะกลายเป็นของใครคนอื่น

ซันกัดปากตัวเองแน่นแล้วค่อยๆ ยันตัวเองให้ลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล หลังมือปาดน้ำตาออกจากใบหน้าแล้วคลำทางออกไปด้านอื่น เส้นเลือดปูดโปนปรากฏบนขมับและกำปั้น แสดงให้เห็นถึงระดับความเครียดยิ่งกว่าปกติ แม้ว่าคืนนี้จะเงียบสงบขนาดไหน ในหัวของเขาก็ยังคงเต็มไปด้วยสุ้มเสียงน่ารังเกียจเมื่อครู่ เล่นซ้ำไปซ้ำมาให้รู้สึกเจ็บปวดไม่รู้จบ

ใครจะหาว่าเขาขี้โกงเรื่องอตินยังไง แต่เขาขอบอกเลยว่า...


ผู้ชายชื่อมาร์ชคนนั้น...


ขี้โกงกว่ามาก
หัวข้อ: Re: ♡♡ ร้านกาแฟแห่งนี้มีความรักอยู่ ♡♡ by「aonair」 UP! บทที่ 23
เริ่มหัวข้อโดย: เป็ดอนุบาล ที่ 18-06-2016 01:24:07
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :mew1:
หัวข้อ: Re: ♡♡ ร้านกาแฟแห่งนี้มีความรักอยู่ ♡♡ by「aonair」 UP! บทที่ 23
เริ่มหัวข้อโดย: Sirada_T ที่ 20-06-2016 00:40:49
ฮืออออ กำลังมาม่าเลย มารอนะคะ จะร้องไห้แล้ววววว
หัวข้อ: Re: ♡♡ ร้านกาแฟแห่งนี้มีความรักอยู่ ♡♡ by「aonair」 UP! บทที่ 23
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 21-06-2016 19:47:09
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♡♡ ร้านกาแฟแห่งนี้มีความรักอยู่ ♡♡ by「aonair」 UP! บทที่ 23
เริ่มหัวข้อโดย: aonair13 ที่ 21-06-2016 20:34:17
24


เจ้าของผมสีแดงขยี้ตาตัวเองสองสามที เขาเผลอตื่นขึ้นตั้งแต่เช้ามืดเพราะเสียงสะอึกสะอื้นข้างตัว ร่างบางสั่นไหวอยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนเดียวกันชวนให้เขานึกเป็นห่วง แขนแกร่งวาดเข้าไปโอบรั้งร่างนั้นเข้ามากอดปลอบ พร้อมกดจูบหนักๆ ลงกับหัวไหล่มน

“ฮึ..ก”

“อติน ร้องไห้ทำไม?”

“ผม..ทำผิด...” อตินตอบกลับเสียงสั่น ขณะที่มาร์ชเลิกคิ้วสงสัย

“ทำผิดอะไร?”

“ทำผิด..ต่อพี่ซัน...”

คนตัวเล็กเฉลยพร้อมปล่อยน้ำตาออกมาอีกระลอกใหญ่ เขาเพิ่งจะงัวเงียตื่นขึ้นก่อนมาร์ชไม่เท่าไร ฤทธิ์แอลกอฮอลในร่างกายลดลงพร้อมกับสติที่กลับคืนมา เพิ่งได้ทบทวนทุกสิ่งอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ยิ่งอยากจะทุบอกตัวเองให้แหลกละเอียด

ทั้งที่เตือนตัวเองอยู่ตลอดว่าจะไม่เผลอใจอีกแล้ว ทั้งที่บอกว่าจะต้องรับผิดชอบความรักของซัน แต่ตอนนี้เขากลับทำลายมันอย่างโหดเหี้ยม นึกไม่ออกเลยว่าจะมีหน้าไปเจอกันได้ยังไงดี

แค่เพราะอารมณ์ชั่ววูบเดียว...ทำลายความพยายามทั้งหมดลงง่ายดาย

“ผม..เกลียดตัวเอง...พี่มาร์ช ผมเกลียดตัวเอง...” อตินยกมือขึ้นกุมหัวแล้วยิ่งงอตัวเหมือนเด็กเก็บกด มาร์ชได้แต่มองคนในอ้อมกอดด้วยสายตาเย็นชา...

ราวกับว่าเรื่องเมื่อคืนเป็นฝันดี ที่แค่ตื่นมาก็หายไป...

“พี่ผิดเองอะ พี่เป็นคนเริ่ม”

“ฮือ..อ”

“แต่ที่พี่ทำไป เพราะพี่รักเรานะ”

เสียงสะอื้นหยุดไปทันทีที่ได้ยิน อตินรีบพลิกตัวกลับมาประสานสายตากับมาร์ช ใบหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยรอยน้ำตาที่ยังไม่แห้งดี

“พี่มาร์ช...ว่าไงนะครับ?”

“พี่บอกว่าพี่รักอติน” มือใหญ่เช็ดน้ำตาออกให้อย่างอ่อนโยน ถึงแม้ว่าภายในเขาจะนึกโกรธอยู่หน่อยๆ เพราะตื่นมาก็เอาแต่พูดถึงซันเลย แถมยังทำเหมือนว่าเรื่องเมื่อคืนมันเป็นเรื่องผิดพลาดมากจนรับไม่ได้ขนาดนั้นอีก

“ร..รัก?”

“ใช่ รัก แบบคนรักคนหนึ่ง”

ดวงตากลมสั่นไหวด้วยความสับสน เขาอยากจะดีใจที่ได้ยินแบบนี้ ในเมื่อความจริงเขาเองก็รักมาร์ชมากเหมือนกัน แต่ยิ่งได้รู้ เขาก็ยิ่งเสียใจ เพราะสถานการณ์ที่เป็นอยู่...คงไม่สามารถทำให้เขาทั้งคู่รักกันได้ ที่สำคัญ เขาไม่สามารถทรยศความรักของซัน...

ยังไงก็ทำไม่ได้จริงๆ

ก่อนที่จะรู้สึกผิดบาปมากไปกว่านี้ เขาคิดว่าเขาควรหยุดมัน...ได้แล้ว...

“แต่ว่า...ผมมีพี่ซันอยู่นะ” อตินรีบผลักอกกว้างออกห่าง เมื่อมาร์ชตั้งท่าจะโน้มตัวเข้ามาใกล้

“แต่อตินไม่ได้รักซันไม่ใช่เหรอ?”

คำพูดจุกอกทำเอาคนตัวเล็กหน้าชา เขาเม้มปากแน่นแล้วจ้องมาร์ชเขม็ง ต่อให้เขาจะรู้สึกดีกับมาร์ชมาก หรือต่อให้มาร์ชจะรักเขายังไง เขาก็ไม่ได้ต้องการได้ยินคำพูดโจมตีแบบเมื่อครู่ อย่างน้อยมาร์ชควรนึกถึงจิตใจซันด้วย โดยเฉพาะในเวลาแบบนี้

“ผมจะรักพี่ซันหรือไม่ก็เรื่องของผม” อตินผละออกจากอ้อมกอด แล้วลุกขึ้นนั่งจนเผยให้เห็นแผ่นอกเปลือยเปล่า “แต่ความจริงคือเขายังเป็นคนรักของผมอยู่ และเราไม่ควรทำแบบนี้”

“อตินจะปกป้องมันไปถึงเมื่อไร?” มาร์ชลุกขึ้นมาบ้าง สายตาโกรธเคืองถูกส่งออกมาสู้กัน

“...”

“พี่ไม่สนใจว่าอตินจะรู้สึกผิดบ้าบออะไรกับมัน แต่พี่รักอติน และพี่จะไม่ถอย”

น้ำเสียงจริงจังถูกเปล่งออกมาอย่างกระแทกกระทั้น มาร์ชไม่รอให้อตินเถียงกลับ ก็ลุกออกจากเตียงแล้วคว้าผ้าเช็ดตัวเข้าไปในห้องน้ำทันที คนตัวเล็กนั่งขยุ้มผ้าห่มแน่นพร้อมน้ำตาที่ไหลออกมาอีกรอบ

การที่เรื่องราวดำเนินมาเป็นแบบนี้ บางทีอาจเป็นการกลั่นแกล้งครั้งใหญ่ของโชคชะตา เพราะต่อให้ย้อนเวลากลับไปได้ เขาก็คงยังตอบรับซันแบบนั้นอยู่ดี หรือบางที...อาจจะต้องโทษหัวใจที่หวั่นไหวของตัวเขาเอง...

ความหวั่นไหวที่ไม่อาจตัดใจเลือกแค่ทางใดทางหนึ่งและปล่อยให้แค่ใครสักคนเจ็บปวด...

สุดท้าย มันก็กลายมาเป็นบทลงโทษ ที่ทำให้ทุกคนเจ็บช้ำเท่าๆ กันแทน...

 

“ทำไมพี่ซันทานน้อยจัง”

อตินรีบทักเมื่อก้าวมาถึงโต๊ะอาหารและเห็นข้าวผัดไข่ยังพูนจาน วันนี้ดูเหมือนทุกคนจะพากันตื่นเช้ากว่าปกติโดยมิได้นัดหมาย เบสกับน็อตกินข้าวเสร็จแล้วก็ไปนั่งดูทีวีรอตรงโซนนั่งเล่น เหลือแจนที่พยายามป้อนข้าวคนหัวรั้น

“อ้าว แล้วนี่ไปโดนอะไรมาครับ” น้ำเสียงตกใจดังขึ้นเมื่อเขาเลื่อนเก้าอี้ข้างซันออก แล้วเพิ่งสังเกตเห็นพลาสเตอร์บนหน้าผากอีกฝ่าย แจนวางช้อนในมือแล้วเป็นคนช่วยอธิบาย

“เมื่อคืนพี่ซันเดินออกมาหยิบยาหยอดตาคนเดียวน่ะสิ เลยพลาดหัวกระแทกพาทิชั่นตรงห้องนั่งเล่น พี่น็อตต้องตื่นมาทำแผลให้กลางดึก ตกใจแทบแย่”

คนตัวเล็กฟังแจนเล่าไป ทั้งที่ใจเริ่มเต้นรัวด้วยความกลัวบางอย่าง ซันออกมาข้างนอกเมื่อคืนนี้เหรอ แล้วไปห้องนั่งเล่น ก็ต้องเดินผ่านของพวกเขาน่ะสิ แล้ว...ได้ยินอะไรไหม...ทำยังไงดี...หรือว่าได้ยินแล้ว รู้แล้วเหรอ...

“อติน!” เสียงแจนตะโกนเรียกให้เขาหลุดออกจากภวังค์

“ค..ครับ?”

“พี่บอกว่าช่วยป้อนข้าวซันต่อหน่อย พี่จะไปคุยโทรศัพท์”

“อ๋อ...ได้ครับ”

“ขอบใจนะ”

แจนเดินออกไปจากโต๊ะอาหาร สวนกับมาร์ชที่เพิ่งได้ฤกษ์แงะตัวเองออกจากห้องพอดี คนหัวแดงเหลือบมองซันครั้งหนึ่งก่อนจะเลื่อนเก้าอี้มานั่งข้างๆ อติน ซึ่งทำเป็นไม่สนใจเขาอยู่

“พี่ซัน...ทานอีกหน่อยนะครับ” ช้อนข้าวผัดถูกตักไปจ่อตรงหน้า แต่คนตัวใหญ่ก็ไม่มีทีท่าจะอ้าปากออกจนอตินต้องกล่อมซ้ำ

“เดี๋ยวหิวนะครับ”

คราวนี้เขาเอาช้อนเข้าไปแตะริมฝีปากอีกฝ่าย แต่ซันกลับนิ่งแถมยังเบือนหน้าหนี ไม่พูดไม่จาจนน่าสงสัย คนตัวเล็กหน้าซีดลงเรื่อยๆ กลัวว่าสิ่งที่กลัว...จะเป็นจริง

“ข้าวผัดไข่ฝีมือพี่น็อตน่ากินออก ทำไมพี่ซันไม่อยากกินน้า” ถึงอย่างนั้นก็ยังพยายามทำตัวร่าเริงให้เป็นปกติเข้าไว้ อย่าร้อนตัว...

เขาเริ่มตักข้าวในจานตัวเองเข้าปากบ้างระหว่างรอให้จอมดื้อยอมอ่อนข้อ ส่วนมาร์ชก็นั่งกินข้าวส่วนของตัวเองไปเงียบๆ ค่อยดีหน่อยที่ยอมไม่ปริปากพูดอะไร ถึงแม้บางครั้งจะชอบเหลือบตามองคนเป็นเพื่อนด้วยสายตาเหนือกว่าจนน่าหมั่นไส้ขนาดไหนก็ตาม

“ผมไปหยิบน้ำมาให้พี่ซันดีกว่า”

อตินผละออกจากโต๊ะกินข้าวไปทางตู้เย็น มีมาร์ชเดินตามมาติดๆ คนตัวสูงโอบรั้งสะโพกมนเข้าหาจนอีกฝ่ายเกือบหลุดเสียงร้อง รีบตวัดสายตากลับไปทางซันบนโต๊ะ แม้รู้ดีว่าคงมองไม่เห็น แต่ก็อดระแวงไม่ได้เมื่ออยู่ใกล้แค่ปลายจมูกเช่นนี้

“วันนี้ไม่ต้องไปทำงานหรอก” มาร์ชพูดเองเออเอง ไม่สนใจสายตาถมึงทึงที่ส่งมาเหมือนต้องการให้ปล่อยมือจากตัวด้วยกลัวใครมาเห็น

“ไม่ได้เป็นไรสักหน่อย”

“ตอนออกจากห้องยังเห็นจะล้มอยู่เลย”

“เปล่า....งุ่ยย” อตินยู่หน้าเมื่อมาร์ชก้มลงมากัดปลายจมูกเขาเบาๆ

“อย่าดื้อ”

เสียงทุ้มดังทิ้งท้ายก่อนที่เจ้าตัวจะเดินออกไปหาสมาชิกคนอื่นตรงห้องนั่งเล่น ปล่อยให้เด็กดื้อที่ว่ายืนนิ่งหน้าขึ้นสี ทั้งที่ความรู้สึกผิดเริ่มตีขึ้นมาจุกอกอีกครั้ง อตินรีบสะบัดหัวไล่เหตุการณ์เมื่อครู่ออก แล้วยกแก้วน้ำอุ่นกลับไปหาคนบนโต๊ะ ตอนนี้มีแค่เขาสองคนอยู่ในบริเวณนี้

“พี่ซันดื่มน้ำสักหน่อยนะครับ” พยายามยกแก้วน้ำจ่อปาก แต่ซันก็ยังเฉยและไม่โต้ตอบใดๆ จนเขาชักเป็นห่วง

“ถ้าพี่ซันยังไม่ยอมกินอะไรเลย งั้นผมก็จะไม่กินเหมือนกัน”

เสียงรวบช้อนดังขึ้นเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าคนตัวเล็กพูดจริง ซันยังคงนิ่งไม่ยอมปริปากพูดอะไรเลยจนผ่านไปหลายนาที อตินเองก็ไม่ขยับช้อนตักข้าวเข้าปากเหมือนกันทั้งที่ท้องว่างจนเริ่มปั่นป่วน ก็เมื่อกี้เขากินไปได้แค่สามคำเองมั้ง แต่ช่างปะไร ถ้าซันยังดื้อด้าน เขาก็ดื้อได้ แล้วมาดูกันว่าใครจะยอมก่อน

“อติน เห็นมาร์ชบอกว่าไม่ค่อยสบาย วันนี้ก็อยู่บ้านละกันนะ” น็อตเดินกลับมาลูบหัวคนตัวเล็กสังเกตเห็นจานข้าวที่ยังไม่ลดลงเลยบนโต๊ะ

“รีบๆ กินข้าวสิ แล้วจะได้พักผ่อน เดี๋ยวก็ปวดท้องหรอก พวกพี่ไปละ”

“ฝากดูแลไอ้ซันด้วยนะอติน แล้วก็ดูแลตัวเองด้วย” เบสเดินผ่านมาสั่งเสีย แล้วจึงก้าวขาออกจากบ้าน

คนที่เหลือทยอยตามออกไป จนทั้งบ้านเงียบสงบ เขาและซันยังคงปั้นหน้าตึงใส่กันโดยไม่มีใครพูดอะไรราวกับกำลังแข่งขันอะไรบางอย่างผ่านทางโทรจิต ทุกครั้งที่อตินพยายามยื่นช้อนเข้าไปไปใกล้ ซันก็จะเบือนหน้าหลบไม่ยอมแม้แต่เผยอปากออก

โคร่ก...

ในที่สุดเสียงท้องร้องก็ดังขึ้นพอให้คนตัวเล็กเขินอาย อตินรีบก้มลงลูบหน้าท้องตัวเองหวังให้มันสงบ แต่กลับไม่เป็นผล แน่ล่ะ คนกินจุแบบเขา อยู่ดีๆ ให้มานั่งมองข้าวตาแป๋วโดยไม่ได้แตะมันยิ่งกว่าทรมานซะอีก แต่จะทำได้ไง...เขาคงไม่มีหน้านั่งกินข้าวสบายใจคนเดียว ทั้งที่คนข้างๆ ยังงอนอะไรอยู่ไม่รู้ ถึงเขาจะหิว แต่ซันก็คงหิวเหมือนกัน...มั้ง

โครกก...

ซันเผลอขมวดคิ้วไปตามเสียงร้องจากท้องอีกฝ่าย นี่เด็กนั่นคิดจะไม่กินข้าวตามเขาจริงดิ ทั้งที่ตัวเองหิวจนปิดไม่มิดเนี่ยนะ บ้าหรือบ้ากัน...อติน ทำไมชอบทำให้เขาเป็นห่วงตลอด แม้แต่ในเวลาที่เขาสมควรเป็นห่วงตัวเองมากที่สุดก็ตาม ทำไมถึงเป็นแบบนี้นะ ทั้งที่ในอกน่ะยังเหมือนโดนไฟสุม ทั้งที่ในหัวสมองยังเต็มไปด้วยสุ้มเสียงน่าเจ็บปวดเมื่อคืน แต่ทำไมถึงต้องใจอ่อนกับเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ด้วย

“กินข้าวเถอะ” เสียงทุ้มเปล่งออกมาในท้ายที่สุด อตินฉีกยิ้มกว้างแล้วรีบตักข้าวผัดคำใหญ่ป้อนให้ ก่อนที่จะตักเข้าปากตัวเองซะอีก

พวกเขานั่งกินข้าวกันต่อเงียบๆ ซันถามคำตอบคำจนน่าสงสัย แต่อตินกลับไม่กล้าถามออกไปตามตรง เหมือนกับว่าลึกข้างในใจของเขากำลังกลัวบางสิ่ง...กลัว จากความผิดที่ติดตัว

“แล้วที่ไม่สบายน่ะ เป็นอะไร” คำถามแรกจากซันถูกส่งมาให้ พอให้เขาโล่งใจนิดหน่อยที่อย่างน้อยก็ยอมคุยด้วยดีๆ แต่อีกใจกลับไม่นึกอยากได้ยินคำถามนั้นเลย เพราะนั่นแปลว่าเขาต้องเริ่มโกหกคำโตอีกครั้งหนึ่งแล้ว

“เอ่อ...ปว..ปวดหัวนิดหน่อยครับ”

“ทำอะไรถึงปวดหัว”

“ม..ไม่รู้เหมือนกันครับ ไม่เป็นอะไรมากหรอก พี่ซันไม่ต้องห่วงนะ”

“พักผ่อนน้อยหรือเปล่า เมื่อคืนไม่ได้นอนเหรอ?” ซันเริ่มจี้ ในใจร้อนรุ่มด้วยนึกไปถึงเหตุการณ์ในห้องเมื่อคืน สองมือลอบกำหมัดแน่นเพื่อสะกดกลั้นความโกรธที่กำลังไหลเวียน

“เปล่า...เปล่านี่ครับ ก็นอน...ปกติ”

“อืม...แต่เมื่อคืนพี่นอนไม่ค่อยหลับ พาพี่ไปพักหน่อยสิ” อตินแอบถอนหายใจเบาๆ ค่อยโล่งอกที่ซันเลิกซักไซ้ เขายืนขึ้นแล้วยื่นมือออกไปให้ซันพึ่งพิง

“ครับ ไปนอนที่ห้องพี่น็อตเนอะ”

“ไม่ล่ะ” ซันรั้งมือบางไว้ก่อน แล้วเอ่ยเสียงราบเรียบ ชวนให้คนได้ยินใจหล่นลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม “พี่อยากกลับไปนอนที่ห้องตัวเอง”

จะเข้าไปได้ยังไง เขากับมาร์ชเพิ่ง...พ..เพิ่ง...แบบว่า เพิ่งมีเรื่องแบบนั้น แล้วเมื่อเช้าก็รีบร้อนออกมากินข้าว เขาไม่รู้ว่ามาร์ชที่ตามออกมาทีหลัง ได้จัดการห้องให้เรียบร้อยหรือยัง มันไม่ใช่คราบไคลที่อาจหลงเหลือนะ แต่นั่นรวมถึงกลิ่นคาวประหลาดที่คลุ้งอยู่ด้านในด้วย และเขาก็ไม่คิดว่าซันจะไม่รู้ว่ามันคืออะไร!

“เอ่อ...แต่ห้องมันรกนะพี่ซัน งั้นผมขอไปจัดเตียงให้พี่ซันก่อนดีกว่า รอแป๊...”

“จะไปปกปิดร่องรอยอะไรหรือเปล่า อติน” มือใหญ่ไม่ยอมปล่อยออกจากข้อมือเขา ทำให้อตินไม่สามารถผละตัวกลับไปที่ห้องได้ ซันค่อยๆ ลุกจากเก้าอี้กินข้าว ยิ่งออกแรงบีบมากขึ้นจนคนตัวเล็กรู้สึกเจ็บ

“หมายความว่าไงครับ”

คนตัวเล็กพูดตะกุกตะกัก ดวงตากลมโตกลอกไปมาด้วยความหวาดหวั่น หัวใจเต้นแรงจนแทบจะกระดอนออกมานอกอก เขาไม่เคยนึกกลัวอะไรเท่าวันนี้เลย ราวกับว่ามียมทูตลอยมาหยุดตรงหน้า แล้วเอาเคียวสีดำจ่ออยู่ตรงลำคอ ป่าวประกาศว่าเขากำลังจะต้องตาย...

“อตินรักพี่ไหม จะไม่ทิ้งพี่ใช่ไหม?” ซันเปลี่ยนคำถามปุบปับ น้ำเสียงเริ่มสั่นเครือตามอารมณ์ในตัวที่พุ่งพล่าน

อตินเลิกหนีแล้วเปลี่ยนมาเกาะกุมมือของอีกฝ่ายแน่น พยายามจะส่งความรู้สึกบางอย่างไปให้ผ่านความอบอุ่นจนเกือบจะร้อนผ่าว มีหยดเหงื่อผุดขึ้นมาบนขมับทั้งสองฝั่ง

“รักสิ จะไม่ทิ้งด้วย ทำไมพี่ซันถามแบบนี้” คนตัวเล็กประท้วงเสียงอ่อน น้ำตาเอ่อคลอขึ้นมาพร้อมกับหัวใจที่ปวดหนึบ

คงไม่รู้ว่าซันเองก็ปวดใจไม่แพ้กัน ในเมื่อคำพูดของคนตรงหน้า มันสวนทางกับการกระทำที่ปิดซ่อนกันอยู่...แล้วจะให้เขาคิดยังไง จะให้ยิ้มแล้วเชื่อได้ยังไง...

“แล้วอตินนอนกับมาร์ชทำไม...”

คำพูดที่หลุดออกมาพร้อมน้ำตาที่ร่วงหล่น ราวกับเคียวสีดำอันเมื่อครู่ ที่จู่ๆ ก็ฟาดฟันลงมาหวังเอาชีวิต ต่างฝ่ายต่างยืนบีบมืออีกคนแน่นยิ่งกว่าแน่น ร่างกายสั่นเทิ้มไม่แพ้กัน เสียงสั่นเครือของซันยังดังชัดเจนในโสตประสาท เป็นยิ่งกว่าตะปูที่ตอกลงมากลางอก ท้องไส้ถูกบีบรัดจากความเครียดที่กำลังตีขึ้นมาเรื่อยๆ

“อตินทำได้ยังไง” คนตัวใหญ่ค่อยๆ ทรุดลงกับพื้น ไม่หลงเหลือมาดของพนักงานซันที่คอยแต่จะเก๊กหน้าหว่านเสน่ห์

ตอนนี้ก็เป็นแค่นายซัน คนที่ถูกทรยศ...

ร่างเล็กรีบก้มลงไปกอดซันไว้ด้วยสองแขน อยากที่จะอธิบายแต่กลับไม่มีซุ่มเสียงใดๆ หลุดลอดออกจากปาก น้ำตายังคงไหลไม่หยุด พอๆ กับเสียงสะอื้นของทั้งคู่

“ฮืออ..พี่ซัน...”

“ฮึ..ก...”

“พี่ซัน...ผม..ขอโทษ”

อตินกระชับกอดให้แน่นขึ้น พยายามเปล่งเสียงออกไปอย่างยากลำบาก ความผิดทั้งหมดทั้งมวล ไหลมากองรวมกันที่อกด้านซ้าย ถูกตอกย้ำด้วยภาพที่กำลังฉายซ้ำในหัว เป็นเหตุการณ์น่าทุเรศตัวเองเมื่อคืน สลับกับใบหน้าเจ็บปวดที่เต็มไปด้วยรอยน้ำตาของคนที่เขาสัญญาว่าจะอยู่ข้างๆ

แม้จะรู้ดีว่าไม่มีน่าขอให้ยกโทษให้...แต่ก็ต้องขอโทษอย่างไม่มีวันสิ้นสุด

ทั้งที่บอกแล้วว่าจะรัก ทั้งที่บอกแล้วว่าจะไม่ทอดทิ้งไม่ว่ายังไงก็ตาม...แต่เขากลับปล่อยตัวปล่อยใจ เพียงเสี้ยววินาที...ทุกอย่างก็พังทลายลงมา

รวมทั้งความรู้สึกดีๆ จากผู้ชายที่รักเขา หมดใจ...

“..อติน...” ซันส่ายหน้าช้าๆ เขาไม่อยากยอมรับสิ่งที่ได้ยินเมื่อคืน ไม่อยากเชื่อว่าเจ้าของอ้อมกอดแสนอบอุ่นนี้ มีหัวใจเยือกเย็นขนาดไหนถึงหักหลังกันได้

ไม่อยากยอมรับความจริง.....

“ผม..ขอโทษ...”

น้ำตาที่ไหล เหมือนลำธารที่ไม่มีทางหยุด สองร่างกอดกุมกันอยู่บนพื้นบ้านเย็นเฉียบ ต่างฝ่ายต่างปลดปล่อยความรู้สึกทั้งหมดออกมาโดยไม่สนใจสิ่งอื่นใดอีก มันเหมือนเรื่องตลกร้ายของโชคชะตา ที่นำพาให้พวกเขากลายมาเป็นแบบนี้ น่าหัวเราะเมื่อคนหนึ่งต้องทนเจ็บช้ำจากการไม่ถูกรัก ในขณะที่อีกฝ่ายกลับปวดร้าวจากการถูกรักมากเกินไป...

ช่างน่าหัวเราะจริงๆ

หัวใจสองดวงเต้นเป็นจังหวะเนิบช้าอยู่ใกล้ๆ กัน หากแต่ก็ไม่ได้ประสานกัน ซันคงได้แต่เกลียดตัวเอง เกลียดที่ยังพยายามรั้งเขาไว้ทั้งที่เขาไม่เคยมอบความรู้สึกนั้นให้ เกลียดที่ยอมปล่อยไปไม่ได้ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม...เกลียดที่เขาต้องการเป็นเจ้าของแต่เพียงผู้เดียว แม้จะทำให้อีกฝ่ายลำบาก

เกลียด...ที่ยอมรับไม่ได้

อตินเองก็เกลียด เกลียดตัวเองขึ้นมา...ทั้งที่เหตุการณ์เมื่อคืนคือความสุขที่เขาไม่คิดว่าจะได้รับ จากผู้ชายที่เขาเฝ้ารอและตามหา แต่ความสุขเหล่านั้นกลับแปรเปลี่ยนเป็นร่องรอยที่ทำให้เขานึกรังเกียจตัวเอง รังเกียจความหวั่นไหวของใจตัวเอง ที่พัดไปนั่น พัดมานี่ เขากลายเป็นคนทรยศทั้งที่ไม่อยากและคิดว่าจะไม่เป็น ทุกคำพูด ทุกหยดน้ำตาของคนตรงหน้า เป็นเหมือนมีดที่เสียดแทงเข้ามาซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนร่างกายเขาเต็มไปด้วยแผล

ปล่อยให้คนที่รักตัวเองมาก ต้องเสียใจมาก...

มันน่ารังเกียจ อติน...

เขากำลังเจ็บปวดจากการทำตามหัวใจตัวเอง หากแต่เป็นการทรยศความรู้สึกของอีกหนึ่งคนสำคัญ ซึ่งเขารับไม่ได้ เขาปล่อยให้คนตรงหน้าอ่อนแอและแตกสลายไปยิ่งกว่านี้อีกไม่ได้...

เขาต้องหยุด

เพื่อที่จะไม่ต้องเห็นซันร้องไห้...เขาจะหยุดเอง

“พี่ซัน...ผมขอโทษ”

 

หลังจากการร้องไห้อันเหน็ดเหนื่อย ซันกับอตินก็มาหยุดลงบนโซฟาตัวประจำ คนตัวเล็กซบศีรษะลงกับไหล่กว้าง ขณะที่ซันยังคงนั่งนิ่ง มือสองข้างจับกันไว้แน่นเหมือนกลัวอีกฝ่ายจะหายไป พวกเขาอ่อนเพลียจากเหตุการณ์เมื่อครู่ รวมทั้งอ่อนล้ากับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ ขอบตาแดงก่ำของทั้งสองคนคงทำให้สมาชิกที่เหลือตกใจเมื่อกลับมาเป็นแน่

“พี่ซัน...” อตินผละตัวออกเล็กน้อยเพื่อมองหน้าซันให้ชัดเจน คนตัวเล็กสูดหายใจเข้าลึกสุดปอด เตรียมพร้อมสำหรับการไถ่บาปครั้งใหญ่

“ผมขออธิบายเรื่องเมื่อคืน”

“...”

“ผมกับพี่มาร์ช...” คนตัวเล็กกัดปากแรงๆ ก่อนจะพูดประโยคถัดไป “เรามีอะไรกันจริงๆ”

ซันขยับตัว เห็นได้ชัดว่ากำลังเก็บกลั้นความโกรธในหัวอยู่ แต่ก่อนจะปล่อยให้ซันต้องเสียใจอีก อตินก็รีบพูดต่อพร้อมกุมมือที่กำลังกำหมัดเอาไว้

“แต่เพราะว่าผมเมา”

“ว่าไงนะ?”

“เมื่อคืนผมเมา เพราะว่าดื่มเบียร์...มันก็เลย...”

 “ไอ้มาร์ช มอมเราเหรอ?” คราวนี้ยิ่งดูเดือดกว่าเมื่อครู่ซะอีก คนตัวใหญ่คลายหมัดออก แล้วเปลี่ยนมาเขย่าข้อมือบางแรงๆ อย่างต้องการคำตอบ น้ำเสียงดุดันดังลอดไรฟันออกมาจนอตินต้องเผลอกลืนน้ำลายลงคอด้วยหัวใจสั่นกลัว

“ปะ..เปล่าครับ พี่มาร์ชไม่ได้มอมนะ พี่มาร์ชเองก็เมามากเหมือนกัน”

“นี่พวกนาย...” ซันขมวดคิ้วยุ่ง เพิ่มแรงบีบที่มือขึ้นอีกจนร่างเล็กเริ่มตีสีหน้าเหยเก

เขาไม่อยากจะคิดเลยว่าคนที่รักมาก กับเพื่อนที่รักมาก จะเมา...แล้วปล่อยให้เรื่องบ้าๆ แบบนั้นเกิดขึ้น ถ้าที่อตินพูดมาคือเรื่องจริง ถ้าสิ่งที่เกิดเป็นเพราะฤทธิ์แอลกอฮอลร้อยเปอร์เซ็นต์จริง...แล้วเขาควรจะโกรธ หรือโทษใครล่ะทีนี้

“มันเป็นอุบัติเหตุ...จริงๆ นะ” อตินพยายามย้ำ ทั้งที่ไม่กล้ามองหน้าซันตรงๆ

ก็เขารู้แก่ใจดี...ว่ามันไม่ใช่แค่เพราะว่า เมา น่ะสิ

“คงเป็นอุบัติเหตุที่บัดซบที่สุดเลย” ซันพึมพำ

อตินเม้มปากสนิทก่อนค่อยๆ คลายออก แล้วตรงเข้าสวมกอดร่างใหญ่ ซันสะดุ้งนิดหน่อยก่อนจะกอดตอบ เขาเริ่มลูบมือขึ้นลงกับแผ่นหลังบาง อยากจะช่วยปลอบประโลมจิตใจของเด็กตรงหน้า ถึงแม้ว่าหัวใจของเขาก็ไม่ได้แข็งแรงสักเท่าไรนักเลย

บางที...เขาก็อยากจะเชื่อคำพูดเมื่อครู่

ก็แค่เชื่อ...แล้วปล่อยให้เรื่องมันจบ

“พี่ซันลืมมันไปได้ไหม...” ร่างเล็กจ้องนิ่งจนแทบจะทะลุเข้าไปในผ้าก็อซสีขาว ริมฝีปากอิ่มเผยอออกอีกครั้ง พร้อมคำพูดแผ่วเบา

“..เพราะผมก็จะลืมเหมือนกัน...”
หัวข้อ: Re: ♡♡ ร้านกาแฟแห่งนี้มีความรักอยู่ ♡♡ by「aonair」 UP! บทที่ 23
เริ่มหัวข้อโดย: aonair13 ที่ 21-06-2016 20:35:23
25



“วันนี้มินคงกลับมาแล้ว” ซันเปรยขึ้นขณะกำลังนั่งรออตินไปหยิบของว่างช่วงบ่าย พวกเขานั่งปรับความเข้าใจกันครึ่งค่อนวัน กว่าจะกลับมาคุยเป็นปกติเหมือนเดิมได้

“ครับ น่าจะถึงบ้านประมาณหัวค่ำ”

เสียงใสขานกลับพร้อมยกจานคุ้กกี้ที่แจนทำเผื่อไว้ออกมาตั้งโต๊ะ หยิบชิ้นหนึ่งเข้าปากแล้วเคี้ยวกรุบกรับ ซันดูพอใจเรื่องที่มินจะกลับมา รีบควานหามือเล็กเข้าไปกุมไว้เหมือนเก่า

“ดี อตินจะได้ไม่ต้องอยู่กับมัน”

คนตัวเล็กยิ้มบาง...แค่ยิ้มบางๆ กับคำว่ามันของซัน นั่นคงหมายถึงมาร์ชอย่างไม่ต้องสงสัย ดูเหมือนหลังจากนี้ซันคงเพ่งเล็งมาร์ชยิ่งกว่าเคย ทั้งที่ปกติแทบไม่สนใจ แต่ใครจะรู้ว่าเพื่อนสนิทที่สุดคนนี้นี่แหละ ที่ทำให้ใจของเขาสั่นคลอน...

“ครับ”

คุ้กกี้ช็อกโกแลตถูกส่งเข้าปากซัน ผลัดกับตัวเองคนละชิ้น สองมือกุมกันไว้ไม่ปล่อย เวลาภายในบ้านผ่านไปเรื่อยๆ จนถึงเวลาเลิกงาน พวกพี่คนอื่นกลับเข้ามาพร้อมอาหารเย็น ไม่นานนักมินก็ตามมาสมทบ แถมของฝากจากทางบ้านอีกถุงใหญ่ หลังจากถามไถ่เรื่องญาติเสร็จแล้วก็มานั่งล้อมวงกันบนพื้น คอยเบสผ่าแตงโมผลโต

หัวหน้าพนักงานคว้ามีดแล้วจัดแจงแบ่งแตงโมออกเป็นชิ้นๆ ขนาดเท่ากัน ดูเชี่ยวชาญจนอดชื่นชมไม่ได้ เสียงหัวเราะดังลั่นหลังจากที่น็อตแย้งไม่ให้ไปชมมาก เพราะเดี๋ยวเบสจะเหลิง จนคนเป็นพี่ต้องไล่ตีหัวน้องคนสนิทไปทั่วห้องนั่งเล่น

“หวานมากอะ” แจนร้องหลังจากกัดคำแรก พาเอาคนหิ้วกลับมายิ้มหน้าบาน

“แม่เลือกเองกับมือเลยครับ”

“ฝากขอบคุณพ่อกับแม่ด้วยนะ”

อตินใช้ส้อมแคะเม็ดออกจากเนื้อสีแดงช่ำ ก่อนสะกิดร่างสูงข้างตัวให้หันมา ซันอ้าปากรอเหมือนรู้ แต่อตินกลับยื่นหน้าเข้าไปใกล้ แล้วจงใจกัดแตงโมดังๆ ใส่หู จนคนรอหน้าเสีย ท่ามกลางเสียงหัวเราะขำของคนอื่นๆ

“เอ้า นึกว่าจะป้อน”

“ฮ่าๆ ป้อนๆ” อตินรีบโอบไหล่ซันเข้าหาตัวแล้วยื่นแตงโมชิ้นเมื่อครู่ให้กัด

ความหวานของเนื้อแตงโมแตกซ่านอยู่ภายในปาก อดจะชื่นชมผลไม้พันธุ์ดีจากต่างจังหวัดไม่ได้ มินนั่งสาธยายถึงผลไม้นานาชนิดที่บ้าน เล่นเอาคนฟังถึงกับอ้าปากค้าง น้ำลายสอกันทั่วหน้า เบสยื่นคำขาดว่าหากมินกลับบ้านครั้งหน้า แล้วไม่แบกของกินเอร็ดอร่อยกลับมาจะไล่ให้ไปเป็นเด็กล้างจานสักสองสามอาทิตย์

“โห พี่เบส ผมไม่กล้าแย่งงานอตินหรอก”

“เฮ้ย พูดดีๆ”

คนถูกอ้างถึงรีบชี้นิ้วใส่หน้าเพื่อนหมี พวกพี่ๆ พากันหัวเราะในท่าทีของพวกเขา ก่อนที่น็อตจะแบกเครื่องปั่นออกมาเสียบปลั๊กในห้องนั่งเล่น แจนช่วยหยิบแตงโมชิ้นเล็กชิ้นน้อยใส่ลงไป แล้วเริ่มแจกจ่ายน้ำแตงโมปั่นใส่แก้วพลาสติกให้สมาชิกทุกคน เบสลุกขึ้นชูแก้วในมือและเริ่มพูดเหมือนคนเมาแตงโม

“เนื่องในโอกาสที่ซันของเรา จะไปเปิดตาในวันพรุ่งนี้ ฉันขอให้ทุกคนร่วมกันดื่มอวยพรให้มันด้วย”

ทุกสายตาจับจ้องไปยังคนปิดตา รอยยิ้มเผยออกมาบนใบหน้าของทุกคนในบ้าน อตินช่วยจับมือซันให้ถือแก้ว แล้วทั้งเจ็ดคนจึงชูน้ำผลไม้ในมือขึ้นกลางอากาศ

“ขอให้ผลออกมาดีนะครับ” แจนเริ่มต้นพูดต่อจากเบส ตามด้วยน็อตและไล่มาถึงมิน

“ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันหยอดยาให้ทุกวัน หายเป็นปกติแน่นอน”

“ขอให้ทุกอย่างผ่านไปด้วยดีครับ”

“โชคดี” มาร์ชพูดสั้นๆ แต่ก็ยังยิ้ม นั่นถือเป็นภาพที่ทำให้อตินใจชื้นขึ้นเยอะ เขานึกว่ามาร์ชกับซันจะเกลียดขี้หน้ากันไปแล้วซะอีก ถึงยังไงก็ยังเป็นเพื่อนสนิทกันนี่นะ

“เอ้า คนโปรด พูดปิดท้ายหน่อยเร็ว” เบสแซวได้ถูกเวลาเหลือเกิน

อตินยิ้มเขินเล็กน้อยแล้วบีบมือข้างที่ว่างของซันไว้ ในหัวรีบประมวลผลว่าควรจะพูดคำไหนออกไปดี...แต่พอคิดออก มันกลับน่าอายจนไม่กล้าพูด โดยเฉพาะต่อหน้าพนักงานคนอื่น ทั้งห้องเงียบสนิทเหมือนตั้งใจเปิดทางให้คนตัวเล็กเอ่ยปาก ใบหน้าขึ้นสีระเรื่อด้วยว่าประโยคต่อไปมันฟังดูเลี่ยนจนมือหงิก

“รีบกลับมามองตากันไวๆ นะครับพี่ซัน” แม้จะพูดเบาขนาดไหน ก็ยังได้ยินชัดเจนกันถ้วนหน้า เบสร้องโหยหวนกับคำพูดสุดหวานเมื่อครู่ ออกอากาศโอเวอร์ซะยิ่งกว่าเจ้าตัวซะอีก

“โอย เลี่ยนอะ”

แจนร่วมแซว ก่อนที่ทั้งเจ็ดคนจะพร้อมใจกันยกน้ำแตงโมปั่นขึ้นซดหมดแก้ว ท่ามกลางความยินดีที่ซันใกล้หาย และกลับมาร่าเริง แม้แต่มาร์ชเองก็ยังอดร่วมยิ้มแย้มไปกับคนอื่นไม่ได้ ถึงแม้ในใจจะแอบหมั่นไส้เรื่องอติน แต่ถ้าตัดเรื่องนั้นทิ้งไป ซันก็คือเพื่อนตายคนหนึ่งที่ทำงานด้วยกันมานาน การเห็นมันเจ็บออดแอดแบบนี้แล้วยังดีใจ ก็คงไม่ใช่วิสัยของเขาเท่าไรนัก

ภายในห้องนั่งเล่นขนาดเล็ก...มีหัวใจเจ็ดดวงค่อยๆ อบอุ่นขึ้นมา

ความผูกพันตั้งแต่วันแรกที่อตินก้าวเท้าลงเหยียบ Café de Sept จนถึงวันนี้ มันเพิ่มพูนจนล้นทะลัก แม้แค่สองมือก็ไม่อาจกอบโกยความรัก ความห่วงใยที่ได้รับมาไว้ครบ

เพราะมันยิ่งใหญ่และมากมาย...

แม้ว่าจะมีหลายเรื่องให้คิดหนักแต่เขาก็ยังดีใจเสมอที่ได้เข้ามาอยู่ที่นี่ และร่วมเป็นส่วนหนึ่งในความทรงจำของทุกคน แม้ว่าหนทางข้างหน้าดูเจ็บปวด...แต่เชื่อว่ายังยิ้มได้เสมอ ตราบที่ยังอยู่ภายใต้ชื่อ Café de Sept แห่งนี้

“เอ่อ ผมมีอะไรจะขอ” อตินเพิ่งนึกเรื่องในหัวออก จึงรีบพูดดักสมาชิกที่กำลังจะลุกออกจากห้องนั่งเล่นไว้

“อะไรเหรอ?”

“คือผม อยากขอสลับห้องนอนได้ไหมครับ” ทุกคนดูแปลกใจกับคำขอนั้น รวมทั้งซันเองด้วย

“ยังไงล่ะ?”

“ผมอยากมานอนกับพี่ซัน จะได้ดูแลสะดวก” น้ำเสียงจริงใจทำเอาไม่มีใครกล้าขัด แม้จะมีคนแอบไม่เห็นด้วยก็ตาม เบสชั่งใจครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้าอนุญาต

“อ่า งั้นให้อตินมานอนกับซัน แล้วมาร์ชย้ายไปนอนกับมินแทนละกันนะ”

มินทำท่าเหมือนจะพูดอะไร แต่พอหันไปเห็นท่าทางห่วงใยของอตินที่มีต่อซัน เขากลับต้องรีบกลืนทุกข้อโต้เถียงลงคอ แล้วยอมเดินคอตกกลับเข้าห้อง ผิดกับมาร์ชที่ยังเอาแต่นั่งนิ่ง สายตาเรียบเฉยจนถึงขั้นน่ากลัวจับจ้องไปยังใบหน้าหวานซึ่งไม่ได้สนใจมองมา

ความจริงคือ เขาเลือกที่จะไม่มองไปทางนั้น แล้วรีบประคองร่างซันกลับเข้าห้อง ต้องทนอึดอัดอยู่เกือบชั่วโมง เพื่อรอมาร์ชเข้ามาขนย้ายข้าวของเครื่องใช้ กว่าคลื่นความกดอากาศจากผู้ชายชื่อมาร์ชจะสงบลงได้ ก็ปาเข้าไปเกือบค่ำ เบสพาซันกลับมาส่งหลังจากอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อย และตอนนี้พวกเขาก็กำลังนั่งซบไหล่กันอยู่บนเตียง ในมือเลื่อนโทรศัพท์ไปมาเงียบๆ

“พี่ดีใจนะ ที่เราย้ายมานอนด้วยกัน”

“อื้อ ผมจะได้ดูแลพี่ซันได้ตลอดเวลาเลยไง”

ซันยิ้มรับแล้วยกมืออตินขึ้นจูบเบาๆ พวกเขายังนั่งคุยกันเรื่องต่างๆ ไปเรื่อยจนเริ่มหาวหวอดทั้งคู่ แต่ก่อนจะได้หลับ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นขัดอีกครั้งพร้อมการปรากฎตัวของคนที่เขาไม่นึกอยากเจอในเวลานี้

“พ..พี่มาร์ช”

คนตัวเล็กยกมือขึ้นปิดปากแล้วรีบหันขวับกลับไปหาคนบนเตียง ซันขยับตัวลุกขึ้นเมื่อได้ยินชื่อที่หลุดออกมา ส่วนมาร์ชไม่สนใจอะไร เพียงแค่เดินดุ่มๆ เข้ามาในห้องแล้วเปรยเสียงเรียบ

“โทษที ลืมของน่ะ”

กล่องกระดาษสองกล่องใหญ่วางซ่อนอยู่ตรงมุมหนึ่งข้างเตียงมาร์ช เขาพยายามยกมันขึ้นพร้อมกันแต่กลับเซจนยืนไม่ไหว ลืมไปว่าของด้านในมันทั้งเยอะและหนัก

“พี่ซัน เดี๋ยวผมช่วยพี่มาร์ชยกของนะครับ” อตินตรงเข้ามาคว้ากล่องด้านบนไปจากมือ แล้วเดินลิ่วๆ ออกนอกห้องโดยไม่ฟังคำตอบรับจากใครทั้งนั้น

สักพักจึงมีมาร์ชยกอีกกล่องตามออกมา สายตาคำถามถูกส่งมาให้เหมือนอยากจะถามว่า ถือไหวไหม แต่อตินไม่สน เพียงแค่ก้าวขาให้ไวขึ้นจนเกือบถึงประตูห้อง แต่กลับต้องร้องเสียงหลงเมื่อจู่ๆ ก้นกล่องก็แยกออก พร้อมกับตุ๊กตาปูนปั้นรูปหมูสามตัวที่ร่วงออกมา พร้อมกับของอื่นๆ อีกมากมายด้านใน คนตัวเล็กใจหายวาบเพราะคิดว่าทำของมาร์ชเสียหาย แต่เมื่อนั่งลงมองให้ดี ถึงเห็นว่าของแตกได้ส่วนใหญ่ถูกห่ออย่างดีไว้ด้วยบับเบิล ดวงตาตกใจกวาดไปทั่วพร้อมกับก้อนเนื้อในอกซ้ายที่เริ่มเต้นผิดจังหวะ

“ลูกหมูสามตัว...” อตินเผลอพึมพำบางอย่างที่เขากับมาร์ชรู้กันดี

งานวันเด็กตอนอายุ 10 ปี มาร์ชเป็นคนพาเขาไปเข้าซุ้มระบายสีตุ๊กตาปั้น ตอนนั้นคนเยอะมากจนแทบไม่เหลือที่ว่าง ถ้าจำไม่ผิดเขางอแงอยากได้ตุ๊กตาลูกหมูสามตัวที่เด็กอีกคนถือไว้เป็นอันสุดท้าย ถึงจะโดนดุและบอกว่าไม่ได้ แต่แค่เห็นเขาร้องไห้ มาร์ชก็รีบตรงไปก้มหัวคุยอะไรกับคุณแม่ของเด็กคนนั้นอยู่นานสองนาน ในที่สุดก็กลับมาพร้อมตุ๊กตาปั้นลูกหมูสามตัว...เราช่วยกันระบายสีเละบ้างสวยบ้าง ก่อนจะเก็บมันไว้กับมาร์ชเพราะกลัวเขาทำตกแตกซะก่อน

เกือบลืมไปแล้วเชียวว่า จนทุกวันนี้ มันก็ยังอยู่กับมาร์ช...

มีของอีกหลายอย่างในกล่องที่เขาจำได้ขึ้นใจบ้าง เลือนรางบ้าง แต่ทุกชิ้นอันล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งของในความทรงจำของเราทั้งคู่เมื่อตอนเป็นเด็ก ตั้งแต่ซองลูกอมที่ไม่ยอมแกะกินเพราะเสียดาย ดินสอกดที่พังตั้งแต่ครั้งแรกที่ใช้ ไปจนถึงตุ๊กตาเน่าลายปิกาจู ของจับฉลากวันปีใหม่ที่เอาแต่เกี่ยงกันว่าใครจะได้ไป เพราะทั้งเขากับมาร์ช ต่างก็ชอบตัวการ์ตูนนี้พอกัน สุดท้ายเราก็สลับกันเก็บไว้คนละอาทิตย์ แต่ตอนจากกัน...ดูเหมือนมันจะติดอยู่กับอีกฝ่ายล่ะมั้ง

“เก็บไว้หมดเลย...เหรอครับ” ถามขึ้นทั้งที่ไม่มองหน้า และพยายามซ่อมกล่องกระดาษที่พัง พลางเก็บของเหล่านั้นกลับมาใส่เหมือนเดิม

“อือ..” มาร์ชยัดตุ๊กตาปิกาจูใส่มือเขา รู้สึกได้ว่ากำลังถูกจ้องมอง “..ทั้งหมดเลย”

ทั่วทั้งบริเวณเงียบลงจนถึงขั้นได้ยินเสียงเพลงจากแลปท็อปของมินดังแว่วออกมา อตินนึกอยากจะส่งยิ้มให้คนที่เฝ้าทะนุถนอมความทรงจำของเขาไว้ แต่ในใจกลับอยากร้องไห้ดังๆ เสียมากกว่า โดยเฉพาะเมื่อได้ยินคำถามต่อมาจากปากมาร์ช

“ทำไมถึงอยากนอนกับซัน?”

“เป็นแฟนกัน...ก็ต้องนอนด้วยกันสิครับ” อตินกลั้นใจตอบออกไปแบบนั้น ทั้งที่ยังจดจ่ออยู่กับการเก็บข้างของกลับใส่กล่องสีน้ำตาล ไม่ทันได้เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังตีหน้าเครียดขนาดไหน

คนตัวเล็กรีบยกกล่องที่กลับมาเป็นเหมือนเดิมขึ้น แล้วตะโกนเรียกมินออกมารับไป มาร์ชพยายามสะกดคำพูดทุกคำเอาไว้ก่อน และเดินเอากล่องไปเก็บเข้าที่เข้าทาง

“ต้องแยกกันเฉยเลย” มินพูดเสียงแง่งอน ทำให้อตินหลุดหัวเราะแล้วแกล้งตีต้นแขนหนาไปที

“เจอหน้ากันทุกวันอยู่ดีอะ”

“ฝากดูแลพี่ซันด้วยละกัน แล้วก็ระวังตัวด้วย”

“ฮ่าๆ โอเค” ไม่ว่าเมื่อไรก็ยังเป็นห่วงไม่เข้าเรื่องเหมือนเดิม แต่นั่นก็เป็นข้อดีของมินแหละนะ

พวกเขายืนพูดคุยกันต่ออีกแค่นิดหน่อย มินก็ผละตัวไปหาแลปท็อปสีเงิน หน้าจอโชว์โปรแกรมแชท Skype ดูเหมือนกำลังคุยกับครอบครัวที่ต่างจังหวัดอยู่ อตินบอกลาครั้งสุดท้ายแล้วหันตัวกลับ แต่ยังไม่ทันปิดประตูดี มาร์ชก็รีบแทรกตัวออกมาเผชิญหน้ากันอีกครั้ง

“พี่ยังคุยกับเราไม่จบ” มาร์ชพูดเสียงเย็นทันทีที่ประตูไม้ปิดตัวลง เขาลากข้อมือเล็กออกมาเกือบจะถึงห้องนั่งเล่น เพื่อกันไม่ให้มินได้ยินบทสนทนาทั้งหลาย

“แต่ผมง่วงแล้ว”

“พี่บอกว่าพี่รักอติน แล้วทำไมถึงทำแบบนี้ อตินรักซันเหรอ?” คนตัวสูงไม่สนใจเสียงบ่น กลับยิ่งรุกไล่คำถามชวนอึดอัดใส่ พร้อมบีบมือเขาแน่น

“เราคบกัน ผมรู้แค่นี้ พี่มาร์ชเลิกถามสักที”

“อตินไม่ได้รักซันใช่ไหม อตินแค่สงสารมัน!”

“พี่มาร์ช หยุดเถอะ!” คนตัวเล็กหลุดหวีดเสียงร้อง พร้อมสะบัดข้อมือออกจากการเกาะกุม แววตาสั่นระริกจ้องมองคนตรงหน้าไม่กะพริบ ก่อนที่จะทำร้ายซันมากไปกว่านี้อีก...เขาจำเป็นต้องหยุด

ความรู้สึกในใจทั้งหมด...หยุดมันซะเถอะ

“ผมดีใจมากนะที่เรากลับมาเป็นพี่น้องกันเหมือนเดิมได้ แต่มันก็แค่นั้นอะ ตอนนี้ผมมีพี่ซันอยู่แล้ว และผมไม่อยากทำผิดต่อเขา...ผมขอให้เราเป็นแค่พี่น้องที่ดีต่อกัน ไม่ได้เหรอครับ”

ขอบตาสองข้างมีน้ำใสๆ เอ่อคลอขึ้นมา ยิ่งบีบรัดหัวใจของคนมองขึ้นอีกเท่าตัว มาร์ชรักอตินมาก มากจนทนเก็บมันไม่ไหวอีกแล้ว แต่เมื่อพร้อมจะเผยออกไป...เรื่องราวกลับตาลปัตร การที่อตินเป็นคนขี้ใจอ่อนขนาดไหนเขารู้ดี และรู้ด้วยว่ากำลังเข้าข้างซันขนาดนี้เพื่ออะไร

เพราะงั้นมันถึงน่าเจ็บใจยังไงล่ะ...เพราะหมอนั่นมันเล่นขี้โกง

ขี้โกงที่รั้งอตินไว้ด้วยความรู้สึกมากมาย และสุดท้ายก็ได้อตินไป...

“แล้วเรื่องเมื่อคืนมันคืออะไรล่ะอติน?” มาร์ชถามเสียงอ่อย เอื้อมมือไปคว้ามือเล็กมากุมไว้อีกครั้ง อตินหลุบตาหนีแล้วปล่อยให้ความเงียบตรงเข้ากัดกินภายในใจของพวกเขาทั้งคู่เป็นเวลานาน ริมฝีปากบางถูกเม้มแน่น นึกเจ็บปวดที่ไม่สามารถพูดตามความคิด สุดท้ายก็ตัดสินใจโป้ปดออกไปคำโต

“ขอโทษครับ...ผมแค่เมา”

คนตัวเล็กสะบัดมือออกแล้วหันหลังให้มาร์ชที่เหมือนจะแข็งเป็นหินไปแล้ว เขาไม่มีหน้าจะรั้งอะไรไว้หลังจากได้ยินคำพูดเมื่อครู่ มันเหมือนว่าเขากำลังถูกปลุกให้ตื่นจากฝันดี เพื่อมาเจอความจริงที่โหดร้าย ต่อให้เขาจะเชื่อแค่ไหนว่าอตินมีใจให้กันบ้าง...ยังไง เขาก็ไม่มีสิทธิ์ได้ครอบครองเด็กคนนั้นอยู่ดี

ไม่เห็นยุติธรรมเลย...

 

ไม่ว่าจะมาร์ช อติน หรือ ซัน ต่างถูกโชคชะตา การตัดสินใจ และความรู้สึก ดึงเข้ามาในวงล้อมของความเจ็บปวดไม่ต่างกัน ราวกับว่าฟ้ากำลังเล่นตลกกับพวกเขาก็ไม่ปาน แต่ดันเป็นตลก...ที่หัวเราะไม่ออกจริงๆ
หัวข้อ: Re: ♡♡ ร้านกาแฟแห่งนี้มีความรักอยู่ ♡♡ by「aonair」 UP! บทที่ 23
เริ่มหัวข้อโดย: aonair13 ที่ 21-06-2016 20:36:23
26



“โชคดีที่ไม่โดนตาดำ เลยไม่เป็นอะไรมาก แต่ก็ต้องหยอดยาต่ออีกสักอาทิตย์นะคะ แล้วช่วงนี้ก็หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ต้องใช้สายตามาก” พยาบาลสาวอธิบายอาการ หลังจากพาซันไปเปิดตาโดยปลอดภัย ท่ามกลางความปลาบปลื้มของสมาชิกคนอื่น

“ขอบคุณมากครับ”

“ค่า รอรับยาช่องเจ็ดเลยค่ะ”

“เป็นไงบ้างครับ?” อตินยิ้มกว้างถามขึ้น ซันยิ้มกลับจนตาหยี ก่อนเข้ามากอดร่างเล็กอย่างไม่สนใจสายตาใคร

“รู้สึกดีขึ้นเยอะเลย”

“แฟนคลับพี่ซันคงดีใจกันใหญ่แล้ว” โยงไปถึงลูกค้าสาวๆ ที่เอาแต่ทำหน้าหงอยมาตลอดหลายวัน ในช่วงที่ซันหายหน้าไป

“แล้วแฟนครับล่ะ?” ซันถามน้ำเสียงกรุ้มกริ่ม มือใหญ่ยกขึ้นบีบจมูกรั้นๆ ตรงหน้าไปทีด้วยหมั่นเขี้ยว อตินได้แต่ขำกลบเกลื่อน

“ก็ต้องดีใจสิครับ”

เสียงประกาศเรียกชื่อซันดังขึ้นหลังจากนั้นไม่นาน เมื่อเคลียร์ค่าใช้จ่ายทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ทั้งเจ็ดหนุ่มจึงเดินกลับไปยังลานจอดรถ มีรถแวนจากบ้านคุณหนูชเวแจนขับมาบริการถึงหน้าบ้านตั้งแต่เมื่อเช้าตรู่ เรียกว่าสร้างความประหลาดใจให้กับอตินอีกเป็นครั้งที่ล้าน สรุปได้ว่าไอ้พนักงานร้านนี้คือรวยอยู่แล้วทุกคนนี่หว่า เหมือนจะมาทำเอาสนุกกันทั้งนั้นเลย บ้าจริงๆ

“ไหนๆ วันนี้คุณวาโยก็ให้ลางานแล้ว เราไปเลี้ยงฉลองให้ซันกันดีไหม”

เบสเสนอเมื่อทุกคนเดินมาหยุดอยู่หน้าประตูรถ มีแจนกับมินพยักหน้าหงึกหงักอย่างบ้าคลั่งจากด้านหลัง น็อตหัวเราะน้อยๆ แต่ก็มีท่าทีเห็นดีเห็นงามด้วย มาร์ชเพียงแค่ยักไหล่ตามใจ ส่วนซันกับอตินนี่ยิ้มกว้างจนปากแทบฉีก เพราะซันต้องทนกับโลกมืดมานานนับสัปดาห์ เขาย่อมต้องการปลดปล่อยความอึดอัดนั้น แต่สำหรับอติน เขาแค่อยากมีเวลาว่างกับสมาชิกทุกคนบ้าง เพราะตั้งแต่เข้าทำงานมา แทบไม่ได้พักเลยจนสงสัยอยู่หลายครั้งว่าคนอื่นไม่เหนื่อยบ้างหรือไง

“ที่ไหนดีล่ะ”

“อืม...ไม่รู้ซันจะอยากไปไหมนะ” เบสเอ่ยไม่มั่นใจนัก ทุกสายตาหันไปจับจ้องยังใบหน้างุนงงของซัน แต่สักพักก็เปลี่ยนสีหน้าเซ็งๆ เหมือนจะเดาความหมายของเบสออก

“อยากไปก็ไปดิ”

ซันพูดสั้นๆ ทำเป็นเสมองทางอื่น เพราะไม่อยากเห็นสายตาหยอกล้อจากคนอื่น หลังจากทุกคนอพยพขึ้นรถเรียบร้อยแล้ว อตินจึงได้โอกาสหันไปลอบถามเรื่องเมื่อครู่กับน็อตซึ่งนั่งข้างๆ โดยมีซันนอนหลับอยู่อีกฝั่ง

“นี่เรากำลังจะไปไหนหรอครับ แล้วทำไมพี่ซันถึงจะไม่อยากด้วยอะ”

“อ้อ เราจะไปร้านเนื้อย่างของครอบครัวขุนน่ะ”

“ขุน...พนักงานร้านคอเดียหรือเปล่าครับ?” ถึงเขาจะไม่เคยเจอ แต่ก็รู้สึกคุ้นชื่ออยู่ ถ้าจำไม่ผิดวันที่ไปเจอเลโอ ก็ได้ยินพนักงานคนอื่นพูดถึงคนนี้เหมือนกัน

“ใช่ แล้วก็อย่างที่รู้ว่าซันมันเกลียดร้านนั้นยิ่งกว่าใคร แต่ความจริงมันชอบกินอาหารร้านนี้มากเลยแหละ แต่มันคงไม่อยากยอมรับเท่าไร”

อตินยิ้มขำทันทีที่รู้ความจริง ดวงตากลมโตเหลือบมองร่างหนาด้านข้างที่ยังหลับปุ๋ย ซันดูเหมือนเด็กเกเร ที่ความจริงแล้วอ่อนโยนกว่าใคร ไอ้ความปากไม่ตรงกับใจก็คงเหมาะกับเขาดีแล้วล่ะนะ

“แล้วถึงจะบอกว่าเกลียดร้านนั้น ยังไงก็เป็นเพื่อนกันแหละ”

“ผมก็ว่างั้นแหละครับ”

ใช้เวลาเพียงไม่นาน รถแวนสีขาวก็เทียบลงหน้าประตูร้านแบบอัตโนมัติ ทุกคนทยอยเดินตามเบสเข้าไปในร้านเนื้อย่างตระกูลซง เป็นตึกสองชั้นแบบ stand alone ดูโอ่อ่ากว่าที่คิดไว้มากนัก และคงไม่น่าตกใจเท่าไรเลยถ้าหากว่าเดินเข้าไปแล้วไม่เจอเข้ากับลูกชายเจ้าของร้านในชุดผ้ากันเปื้อน พร้อมเพื่อนๆ ที่กำลังถอดรองเท้าเตรียมเข้าไปนั่งในห้อง VIP

“เฮ้ย!/เฮ้ย!”

ทั้งสมาชิกคอเดีย และ Café de Sept ต่างทักทายกันด้วยเสียงอุทานพร้อมหน้าตาเหลอหลา เท่าที่นับได้ ฝั่งนั้นมีขุน เลโอ จิน ชาญ ไทป์ กับ ไนล์

“มาได้ไง?”

“ขับรถมาสิ ถามได้” ซันเป็นคนแรกที่เอ่ยปากตอบโต้ ตามมาด้วยเบสที่เข้าขากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย

“เอ้า คุณชายซง จะไม่รับลูกค้าหน่อยเหรอครับ”

ขุนที่ยังงงๆ ได้แต่หันซ้ายขวาก็เห็นมวลลูกค้าเต็มร้าน ก่อนสายตาจะหยุดลงตรงประตูห้อง VIP ด้านหน้า

“โทษนะ เหลือห้องสุดท้ายแล้ว พวกนายต้องนั่งด้วยกันแล้วล่ะ”

“หาาา!”

เสียงอุทานดังขึ้นอีกครั้งจากผู้ชายสิบกว่าชีวิตที่เอาแต่ยืนออกันบนทางเดิน จนคุณแม่ของขุนต้องเดินมาไล่ให้พวกเขาทั้งหมดเข้าไปนั่งรวมกันในห้อง VIP สุดท้ายของร้าน ก็นะ เล่นมาเอาช่วงเที่ยงวันพอดีแบบนี้ ก็ไม่แปลกที่ลูกค้าจะเยอะ อย่างน้อยห้องนี้ก็ใหญ่พอสำหรับจุคนเกินสิบล่ะ

“กลายเป็นแบบนี้ได้ไงเนี่ย”

“ทางนี้สิต้องถามมากกว่า” พี่ใหญ่อย่างจินเถียงขึ้น แต่ก็ไม่ได้ดูรังเกียจอะไรนัก ตามมาด้วยเสียงคุ้นเคยจากเลโอ พี่ชายคนสนิทของอติน

“นั่นสิ พวกนายไม่ต้องไปทำงานกันหรือไง....อ้ะ”

ไม่ทันได้รับคำตอบ สายตาคมก็เหลือบไปเห็นความผิดปกติบางอย่างบนใบหน้าของซันคู่อริ ก่อนจะส่งเสียงนึกขึ้นได้ออกมา และคนอื่นๆ ก็ดูจะเข้าใจตรงกัน

“ตา...ไม่เป็นไรแล้วเหรอ?” รีบถามขึ้นเมื่อสังเกตว่าซันไม่ได้พันผ้าก็อซอย่างที่ควรอีกแล้ว

“เออ ก็เพิ่งไปเปิดตามาเนี่ย”

“วันนี้ซันนัดเปิดตา คุณวาโยเลยถือโอกาสปิดร้านให้เราพักน่ะ” น็อตอธิบาย แล้วยื่นมือไปจิ๊กเมนูในมือชาญมาดูหน้าตาเฉย

“แล้วพี่เลโอไม่ต้องทำงานหรอครับ” อตินถามกลับอย่างสงสัย และดูเหมือนเขาจะเป็นคนเดียวที่ไม่รู้เรื่องด้วย

“อ๋อ ร้านคอเดียมีพนักงาน 12 คนนะ เราผลัดเวรวันเว้นวันน่ะ”

“พี่เบส บอกให้คุณวาโยรับพนักงานเพิ่มเถอะ” คนตัวเล็กรีบหันไปเขย่าแขนหัวหน้าพนักงานแล้วร้องขอความยุติธรรม เล่นเอาคนบนโต๊ะหัวเราะในท่าทีเด็กๆ ของอตินกันใหญ่

“ฉันก็อยากเหมือนกัน” เบสยีหัวเด็กน้อยแล้วขำฟันแทบเฉาะโต๊ะ

ดูเหมือนทั้ง 12 คนตรงนี้จะพยายามอย่างมากในการหาเรื่องขึ้นมาคุยกัน เพราะกลัวความอึดอัดที่อาจเกิดขึ้น ทำไปทำมา เลยเสวนากันถูกคอจนน่าแปลกใจ นั่นทำให้อตินรู้ได้เลยว่า ถึงแม้คอเดียกับ Café de Sept จะถือเป็นศัตรูทางการค้าขนาดไหน ความเป็นเพื่อนร่วมสายงานของพวกเขาก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่ถูกฉาบเอาไว้แม้แต่น้อย สุดท้ายก็เห็นคุยกันได้ปกติดี ออกจะสนุกสนานด้วยซ้ำไป

ไม่นานนัก ขุนก็ยกเหล่าเนื้อวัว หมู ไก่ ซีฟู๊ด และผักนานาชนิดเข้ามาเสิร์ฟ แล้วถือโอกาสร่วมนั่งกินด้วยกันกับทุกคนซะเลย อตินแทบจะลืมคำว่าเกรงใจไปชั่วขณะ เพราะอาหารของร้านนี้อร่อยจริงๆ ขนาดไม่ใช่กูรูก็ยังรู้สึกได้ว่าเนื้อทุกชิ้นทั้งสดและดี

“เป็นยังไงกินได้ไหม” ลูกชายเจ้าของร้านหันมาถามคนตัวเล็กที่เอาแต่เคี้ยวหงุบหงับ อตินพยักหน้ารัวแล้วรีบกลืนเนื้อหมูลงคอ

“อร่อยมากเลยครับ น้ำจิ้มก็อร่อย”

“กินเยอะๆ นะ” คนโตกว่ายิ้มรับแล้วคีบเนื้อบนถาดส่งให้ ก่อนหันไปเอ็ดน้องชายอีกคนที่กำลังตักเนื้อเข้าปากไม่หยุด “ชาญ นายน่ะ กินน้อยๆ หน่อย”

คนถูกทักอมยิ้มแห้งแต่ก็ไม่ยอมหยุดกิน แถมยังเนียนคีบเนื้อใส่จานของขุนอย่างเอาใจ ทำเอาเขาได้แต่ส่ายหน้าด้วยความระอา นี่บวมจนคอเคอหายหมดแล้วยังจะกินมากอีก

“พี่ซัน พอแล้วครับ เดี๋ยวผมคีบให้บ้างดีกว่า” อตินทักถ้วงเมื่อซันเอาแต่ตักเนื้อใส่จานเขาลูกเดียวจนตัวเองแทบไม่ได้กินแล้ว นี่มาเลี้ยงให้ซันนะไม่ใช่ให้เขา ถึงมันจะอร่อยถูกปากมากก็เถอะ

“ไม่เป็นไร อตินชอบอะไร เดี๋...”

“อตินชอบนี่ไม่ใช่เหรอ / เอ้า เนื้อที่เราชอบ”

เลโอกับมาร์ชพูดขึ้นพร้อมกัน ในตะเกียบแต่ละคนมีเนื้อสีกำลังน่ากินคีบอยู่เหนือจานของคนตัวเล็ก อตินได้แต่นั่งนิ่งไม่ไหวติง น้ำลายอึกใหญ่ถุกกลืนลงคออย่างยากลำบาก มีสายตาหลายคู่กำลังจับจ้องมาทางพวกเขาเป็นตาเดียว แน่นอนว่าซันเองก็ด้วย

พวกคอเดียคนอื่นดูงุนงงกับสถานการณ์ตอนนี้ ในขณะที่ฝั่ง Café de Sept กลับรู้สึกได้ถึงคลื่นความมาคุที่กำลังโปรยตัวลงมา ส่วนเลโอนั้นดูออกไวยิ่งกว่าใคร ไม่ต้องบอกเขาก็เดาได้เลยว่าตอนนี้ซันกับมาร์ชกำลังเล่นสงครามอะไรกันอยู่ และเขาคงไม่สนใจถ้ามันไม่ได้ทำให้น้องชายของเขาต้องเดือดร้อนไปด้วย

“อตินชอบอันนี้เหรอ” ซันถามเสียงเรียบแล้วยกตะเกียบขึ้นคีบเนื้อชิ้นหนึ่งบนถาดมาวางบนจาน พยายามส่งสายตาบอกให้ทั้งเลโอและมาร์ชเก็บเนื้อในมือกลับไป

“ค..ครับ”

เวลาในห้องผ่านไปอย่างเอื่อยเชื่อยท่ามกลางเสียงพูดคุยจากทุกทิศ จะยกเว้นก็แต่วงล้อมของอตินที่ดูเงียบลงไปถนัดตาตั้งแต่เมื่อครู่ พอซันขอตัวออกไปเข้าห้องน้ำ เลโอก็นึกพิเรนท์ลุกตามออกไปแทบจะทันทีจนดูน่าสงสัย

ภายในช่องว่างแคบๆ หน้าห้องน้ำที่ไร้ผู้คน มีเสียงเตาย่างกับเสียงพูดคุยดังเซ็งแซ่ทั่วร้านจนแทบไม่ได้ยินว่าผู้ชายสองคนตรงนี้กำลังพูดคุยอะไรกันอยู่ ใบหน้าเครียดไม่ต่างกันฉายออกมาให้เห็น ก่อนที่เลโอจะเป็นฝ่ายเริ่มต้นบทสนทนาขึ้นก่อน

“มึงรักอตินจริงๆ ใช่ไหม?”

“รักสิ มากที่สุด” ซันรีบสวนกลับท่าทางไม่สบอารมณ์ แต่คำต่อไปที่ได้ยินกลับทำเอาเขาเถียงไม่ออก

“แล้วมึงทำร้ายอตินแบบนี้ทำไม?”

“...”

“มึงรั้งอตินไว้ ทั้งที่รู้แก่ใจว่าเขาไม่ได้รักมึง”

“ไอ้เวรนี่” ซันรุดเข้าประชิดคนตรงหน้า มือสากกระชากคอเสื้อเลโอขึ้นอย่างรุนแรง สองสายตาฟาดฟันอย่างไม่มีใครยอมใคร ก่อนที่คนจากคอเดียจะออกแรงผลักร่างคนบุกรุกออกห่าง ไม่หยุดรุกไล่คำพูดตอกย้ำ

“แบบนี้ไม่เรียกว่ารักหรอก มึงแค่เห็นแก่ตัว ซัน!”

“กูรักอติน!”

เลโอเงื้อหมัดขึ้นกลางอากาศจนแม้แต่ซันยังแอบสะดุ้ง แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก่อนที่กำปั้นจะถูกลดลงพร้อมเสียงถอนหายใจแรงๆ บทสนทนาอันรวดเร็วและไม่เข้าใจกันจบลงด้วยประโยคแผ่วเบา

“กูไม่คิดว่ามึงจะทนได้ถึงที่สุดหรอก”

หันหลังกลับไปยังห้องอาหาร ไม่อยากจะใส่ใจไอ้คนหัวรั้นที่เอาแต่ทำให้เรื่องราวมันวุ่นวายและยุ่งเหยิงกว่าเดิม ถ้าหากซันรักอตินจริง เขาก็ขอพนันว่าหมอนั่นจะทนต่อไปได้อีกไม่นาน เพราะถ้าไม่โง่เกินไปก็ต้องสังเกตได้ว่าอตินรักใคร หรือยังอยู่เพราะอะไร ถ้ายังจะรั้งเด็กคนนั้นไว้...ก็มีแต่จะทำร้ายกันไปไม่สิ้นสุดเท่านั้นแหละ

 

จะทนได้ถึงที่สุดหรือเปล่านั้น ซันไม่รู้หรอก แต่หลังจากได้ยินคำพูดของเลโอ เรื่องราวอันแสนยุ่งเหยิงที่ว่าก็เลยเถิดผ่านมาอีกเดือนนึงแล้ว เป็นหนึ่งเดือนที่เต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย...คิดว่าเขาโง่หรือไงถึงจะไม่รู้ ว่าเด็กที่ยังคอยอยู่ข้างๆ ไม่เคยคิดอะไรด้วยเลยสักนิดเดียว

แต่จะปล่อยมือไปง่ายๆ...

เขาทำไม่ได้...

“อ้าว พี่ซัน ยังไม่เช็ดหัวอีกเหรอครับ?” อตินเอ่ยถามเมื่อเขาเดินออกมาจากห้องน้ำ แล้วยังเห็นคนบนเตียงหัวเปียกหมาดๆ อยู่เลย

“เช็ดให้หน่อยสิ”

เขาหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กติดมือขึ้นมายืนเข่าบนเตียงพร้อมหันหน้าเข้าหาอีกฝ่าย ก่อนจะเริ่มลงมือขยี้ผมสีน้ำตาลตรงหน้าไปมาให้แห้ง รู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่ามีสายคู่หนึ่งเหลือบมองตนเองไม่ห่าง

“พี่ซันมองอะไรครับ?”

“มองคนน่ารักไง”

อตินขำกับคำตอบติดตลกนั้น เขายังคงตั้งหน้าตั้งตาเช็ดผมให้ซัน โดยไม่สนใจว่าตอนนี้จะมีมือใหญ่วางลงกับสะโพกทั้งสองข้างของตัวเอง ซันยื่นหน้าเข้าไปใกล้แผ่นอกบางที่กำลังกระเพื่อมขึ้นลงตามแรงหายใจ จมูกโด่งรั้นกดลงแนบเสื้อคอตตอนสีเทา ทำให้อตินต้องหยุดมือชะงัก แล้วก้มลงมองภาพนั้นอย่างนึกตกใจระคนเอ็นดู

“มีอะไรหรือเปล่าครับพี่ซัน?”

อีกฝ่ายไม่ตอบเพียงแต่ส่ายหน้าเบาๆ ซันผละตัวออกเล็กน้อย ก่อนจะรั้งแขนอตินให้นั่งต่ำลงจนใบหน้าอยู่ในระดับใกล้เคียงกัน ริมฝีปากอุ่นตรงเข้าปิดปากบางทันทีอย่างไม่ทันให้อตินตั้งตัว

“อ..อือ...”

“พี่รักอตินนะ” ซันเอ่ยเสียงแผ่ว ก่อนจะซ้ำจูบลงมาอีกไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง จนเขาเริ่มหายใจไม่ทัน ต้องรีบดันไหล่หนาออกห่าง

“พ..พี่ซันเป็นไรหรือเปล่า?”

“เปล่า..”

“พี่ซันมีอะไร บอกผมได้นะ”

“อตินรักพี่ไหม?”

คนตัวเล็กแน่นิ่งไป คำถามนี้เขาได้ยินอยู่ทุกวัน ทุกวัน...ทุกวัน... มันเหมือนเขากำลังถูกสาปด้วยคำถามนี้ไปเรื่อยๆ

“รักสิครับ”

ซันยิ้มบางแล้วยกมือข้างหนึ่งของเขาขึ้นจูบเน้น นาฬิกาบอกเวลาเกือบห้าทุ่ม พวกเขาควรเข้านอนได้แล้วเพราะพรุ่งนี้ยังต้องตื่นเช้าไปทำงานอยู่

อตินลุกไปปิดไฟในห้อง แต่ก็ไม่ทันได้เดินไปถึงเตียงตัวเอง เมื่อได้ยินเสียงตบฟูกดังขึ้นมาแปะๆ นี่คือสัญญาณจากซันที่ต้องการบอกให้เขาไปนอนบนเตียงเดียวกัน มันมักจะเป็นแบบนี้ทุกครั้งที่ซันมีเรื่องคิดมากในหัว และยิ่งถี่ขึ้นทุกทีแล้ว...

“กอด..ได้ไหม?” ซันถามขึ้นเมื่ออตินซุกตัวเข้ามาอยู่ใต้ผ้าห่มผืนหนา ใบหน้าของพวกเขาห่างกันเพียงแค่ไม้บรรทัดเดียว

“ต้องขอด้วยหรอครับ” อตินหลุดหัวเราะ และเป็นฝ่ายขยับตัวเข้าไปติดอกกว้างตรงหน้าซะเอง ซันได้เพียงแค่ลอบยิ้ม ก่อนจะพาดแขนลงกับเอวของคนตัวเล็ก ความอบอุ่นมากมายถูกถ่ายทอดให้แก่กันจนอดหวงแหนช่วงเวลาเช่นนี้ไม่ได้

“อุ่นไหม?” เสียงทุ้มถามขึ้นท่ามกลางความเงียบ พร้อมรั้งเอวบางเข้ามาใกล้ยิ่งขึ้น อตินฉีกยิ้มทั้งที่ไม่ได้ลืมตา

“อุ่นครับ”

“...”

.

.

.

แล้วอุ่นเท่าอ้อมกอดของคนที่อยู่ในใจนายหรือเปล่า...?
หัวข้อ: Re: ♡♡ ร้านกาแฟแห่งนี้มีความรักอยู่ ♡♡ by「aonair」 UP! บทที่ 24-26
เริ่มหัวข้อโดย: aonair13 ที่ 23-06-2016 20:55:50
27

 

“ทุกคนมาแล้วเหรอ” เสียงก้องจากหน้าเคาน์เตอร์ดังขึ้นทักทายทันทีที่พนักงาน Café de Sept ทุกคนทยอยเข้าร้านจนครบ วันนี้พวกเขามาเช้ากว่าปกตินิดหน่อย เพราะจู่ๆ คุณวาโยก็ส่งข้อความมาบอกเบสว่ามีเรื่องด่วนจะแจ้ง

“อะ..”

“น-นั่นมัน!”

“เธอ!”

“มาได้ไง!?”

พนักงานเก่าทุกคนดูจะตกใจจนพูดไม่ได้ศัพท์กันไปหมดเมื่อเห็นผู้หญิงตัวผอมบางเจ้าของเส้นผมสีบลอนด์ชมพูกำลังยืนยิ้มสดใสอยู่ข้างคุณวาโย มาร์ชดูจะเป็นคนเดียวที่ไม่ได้แสดงกริยาอะไรออกมาให้เห็น

“เรลล่า นี่เธอจริงๆ เหรอ?” น็อตตรงเข้าไปจับมือหญิงสาวปริศนา

“ก็ใช่น่ะสิ คิดว่าฉันเป็นผีหรือไง”

“แต่เธอไม่กลับมาที่นี่ตั้งปีกว่าแล้ว”

“เป็นยังไงบ้าง?” เบสเอ่ยขึ้นบ้าง สีหน้าใจดีแบบนั้นไม่ใช่ว่าทุกคนจะได้เห็นหรอกนะ

“ก็สบายดีค่ะ พอดีช่วงนี้ฉันรอรับปริญญา และการตอบรับจากมหาวิทยาลัย”

“โอ้ เผลอแป๊บเดียว จะต่อปริญญาโทแล้วเหรอ”

“ค่ะ” เรลล่ายิ้มกว้างอย่างภูมิใจในตัวเอง พนักงานคนอื่นๆ ต่างเข้าไปทักทายและแสดงความยินดีกับเธอ ไม่เว้นแม้แต่ซันที่จู่ๆ ก็ลากแขนเขาเข้าไปแทรกในวงล้อม

“เรลล่าของเรา ตัวโตขึ้นเยอะเลยนี่”

“ว่าฉันอ้วนเหรอ!”

“เฮ้ย เปล่า หมายถึงสูงขึ้นต่างหาก ยัยบ้า”

ซันยกมือขึ้นเขกหน้าผากขาวมน ตามด้วยเสียงหัวเราะชอบใจของหลายฝ่าย ก่อนที่ดวงตาตี่ของหญิงสาวหนึ่งเดียวในนี้จะไล่มาหยุดลงบนใบหน้าเหรอหราของเด็กไม่คุ้นตา

“แล้วนี่ใครคะ?”

“อ๋อ นี่อติน พนักงานใหม่ของร้าน”

“อติน นี่เรลล่า พนักงานหญิงคนแรกและคนเดียวของเรา” เบสกับน็อตช่วยกันแนะนำคนแปลกหน้าทั้งสองฝ่าย เมื่อเข้ามาพิจารณาให้ดีเขาถึงเพิ่งนึกได้ ว่าเรลล่าคนนี้ก็คือผู้หญิงที่มาร์ชเคยแชทด้วยนั่นเอง อ่า..ว่าแต่ นี่คือพนักงานหญิงที่เขาเล่าลือกันสินะ เห็นว่าทำงานกับที่นี่มาตั้งแต่แรกๆ แต่สุดท้ายก็ลาออกไปตั้งใจเรียน แล้ว Café de Sept ก็กลายเป็นร้านชายล้วนมาตั้งแต่บัดนั้น

“ยินดีที่ได้รู้จักครับ”

“ยินดีที่ได้รู้จักจ่ะ...อติน” เรลล่าเผยรอยยิ้มน่ารัก แต่ทำไมเขาถึงรู้สึกแปลกๆ กับรอยยิ้มและสายตาที่มองมานักก็ไม่รู้

“ไอ้มาร์ชยืนนิ่งอยู่ทำไม ไม่เข้ามาทักเรลล่าเขาล่ะ?”

คราวนี้ทุกสายตากลับเลื่อนไปทางใบหน้าเรียบเฉยของคนพูดน้อย มาร์ชชั่งใจนิดหน่อย ก่อนจะขยับเข้ามาหยุดลงตรงหน้าหญิงสาว ท่ามกลางสายตาลุ้นๆ ของคนอื่น ทั้งสองคนจ้องตากันนานพอตัว กว่าที่มาร์ชจะยอมเปิดปาก

“อยู่ดีๆ กลับมาทำไมล่ะ?”

“เฮ้ย ทำไมเย็นชาจังวะ” ซันตบบ่ามาร์ชอย่างแรง ใจหนึ่งก็นึกขำ แต่ขณะเดียวกันก็อยากตำหนิ คนเคยสนิทอุตส่าห์กลับมาเยี่ยมเยียนทั้งที คำที่เลือกมาทักทายกลับใจร้ายจนน่าถีบ

“เอาล่ะๆ ทุกคนสงบลงก่อน เดี๋ยวฉันจะอธิบายให้ฟังเอง” คุณวาโยยกมือขึ้นปราม ก่อนจะเดินมาโอบไหล่เล็กของเรลล่าราวกับเป็นพ่อลูก

“ช่วงปิดเทอมยาวแบบนี้ร้านเรามันก็ยุ่งๆ ลูกค้าเยอะมากใช่ไหม พอดีเรลล่าเขาก็ว่างอยู่ ก็เลยจะมาช่วยงานเป็นกรณีพิเศษน่ะ”

“โอ้ ดีเลยๆ” แจนส่งเสียงออกมาเป็นคนแรกตามด้วยสมาชิกอื่น

แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน เพราะรัฐบาลเปลี่ยนช่วงปิดเทอมให้เข้ากับอาเซียน ทำให้ปีนี้มีเด็กๆ ว่างเรียนถึง 6 เดือน ลูกค้าเลยอัดแน่นมากจนแทบรับไม่ไหว ขนาดมีอตินมาช่วยแล้วก็ยังหนักหนาเอาการ ถ้าเรลล่ากลับมาช่วยแบ่งเบาภาระไปได้บ้างก็คงเยี่ยมเลย

“ต้องเรียกว่ายินดีต้อนรับกลับสินะ”

“ฮ่าๆ แล้วแบบนี้ถ่านไฟเก่าจะไม่ปะทุแน่นะ”

เบสพูดติดตลก แอบส่งสายตาแซวๆ ไปทางมาร์ชกับเรลล่าที่ต่างตีหน้าไม่ไหวติง แต่ยังหัวเราะไม่ทันจบ หัวหน้าพนักงานก็ถูกน็อตกระทุ้งศอกใส่ท้องอย่างแรงจนจุก บรรยากาศแปลกๆ ชวนมาคุค่อยโปรยตัวเข้าใส่หลังจากเบสแกล้งล้อแบบนั้น คุณวาโยที่เห็นท่าไม่ดีรีบหนีขึ้นไปบนห้องทำงานเป็นคนแรก ปล่อยให้เด็กๆ จัดการเรื่องกันต่อเองซะงั้น

“อ่า..ฉันว่าเรารีบเตรี..”

“ที่พี่เบสพูด หมายความว่าไงหรอครับ?”

“อึก..”

แม้ว่าน็อตจะพยายามหันเหไปเรื่องอื่น แต่อตินกลับเป็นฝ่ายส่งคำถามน่าอึดอัดขึ้นมาก่อน พนักงานคนอื่นก็ไม่มีทีท่าว่าจะช่วยกันเลย แน่ล่ะ ใครจะไปกล้าบอก...ไอ้ที่ห่วงไม่ได้ห่วงมาร์ชกับเรลล่านะ แต่ส่วนตัวเขาห่วงอตินต่างหาก ในเมื่อเห็นๆ กันอยู่ ว่าความสัมพันธ์และความรู้สึกของ ซัน อติน มาร์ช ในตอนนี้มันสับสนปนเปขนาดไหน

แล้วถ้าพูดเรื่องนี้ออกไป จะทำให้อะไรๆ มันแย่ลงหรือเปล่า?

“ถ่านไฟเก่าอะไรหรอครับ?” อตินเลิกหวังคำตอบจากน็อตแล้วหันไปช้อนตาถามซันข้างตัวแทน ตอนนี้เขาแทบควบคุมตัวเองไม่อยู่ เพียงแค่สงสัยมันเลยอยากรู้...และรู้สึกว่าต้องรู้

“ก็ไม่มีอะไรหรอก แค่มาร์ชกับเรลล่าเขาเคยคบกันช่วงนึงน่ะ”

คำตอบของซันทำเอาอตินหน้าชา เรลล่าคือแฟนเก่าของมาร์ชอย่างนั้นสินะ...ช่วงเวลาที่ไม่มีเขาอยู่ มาร์ชเองก็มีความรักกับใครต่อใครอย่างนั้นสินะ อืม มันก็เป็นเรื่องปกตินี่น่า แล้วทำไมถึงได้หงุดหงิดแบบนี้

“ไม่ต้องใส่ใจหรอก พวกเราแค่ล้อกันเล่นๆ เอง ตอนนี้ก็ไม่ได้มีอะไรแล้ว จริงไหม?”

มินรีบพูดเพื่อหวังคลายบรรยากาศ เขาไม่ค่อยเข้าใจหรอกว่าทำไมคำพูดของเบสต้องทำให้ทุกคนดูเครียดด้วย แต่อาจเป็นเพราะว่ามาร์ชกับเรลล่าต้องกลับมาทำงานด้วยกัน พวกเขาเลยกลัวจะมีปัญหารึเปล่า เพราะคนเคยคบกันมาก่อน ต้องกลับมาเจอหน้ากันทั้งที่มันจบไปแล้ว เลยกลัวว่าจะอึดอัดล่ะมั้ง

“อืม” มาร์ชตอบสั้นๆ พอให้ทุกคนคลายใจ แต่กลับต้องสะดุ้งเมื่อเรลล่าโพล่งออกมาเสียงดัง

“ก็ไม่แน่นะ อาจจะมีรีเทิร์นก็ได้” คนตัวเล็กพูดไปขำไป ดูเหมือนจะเป็นเรื่องตลก แต่คนอื่นในที่นี้กลับขำไม่ออก โดยเฉพาะมาร์ชและอตินซึ่งต่างเหลือบมองกันและกันอยู่

“ฮ่ะ..ฮ่ะ ฉันว่าเรารีบเตรียมร้านเถอะ เดี๋ยวจะได้เวลาแล้ว” เบสหัวเราะแห้งแล้วกลั้นใจตัดบท

เขาแสร้งยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูอย่างรีบร้อน ก่อนก้าวขาออกจากหน้าเคาน์เตอร์ ทำให้วงล้อมตรงนั้นค่อยๆ กระจายกันไปเป็นจุดทั่วร้าน ทุกคนเริ่มจัดแจงหน้าที่ของตัวเอง โดยมีเรลล่าเข้ามาช่วยหนุนอีกแรง ไม่นานนักก็ถึงเวลาเปิดร้าน ก่อนที่ความวุ่นวายตลอดวันจะขจัดความอึดอัดใจช่วงเช้าออกไปได้...บ้าง

“ต่อไปอะไร?” มาร์ชถามหลังจากวางแก้วคาปูชิโน่เย็นลงบนถาดพร้อมเสิร์ฟ อตินรีบเอื้อมมือจะไปหยิบใบออเดอร์ขึ้นอ่าน แต่กลับไม่ทันมือเรียวของสาวน้อยแถวนั้น

“คาราเมลมัคคิอาโต้เย็น 1 ที่ ของโปรดมาร์ชหนิ” เรลล่าดึงใบออเดอร์มาไว้ในมือ ก่อนจะเดินแทรกเข้ามาหลังเคาน์เตอร์สูง

“อตินเอานี่ไปเสิร์ฟทีนะ เดี๋ยวทางนี้ฉันจัดการให้เอง”

“อ่า..ครับ” ถึงจะยังงุนงง แต่ก็ยอมก้มหัวผ่านเธอไป ยังไม่ทันที่สองมือจะยกถาดคาปูชิโน่ เสียงดุๆ ของมาร์ชก็ขัดจังหวะขึ้นก่อน

“อติน ไม่ต้อง เรลล่ามีหน้าที่เสิร์ฟก็ทำไปสิ ให้อตินทำตรงนี้ดีแล้ว”

“เราไม่ได้มีหน้าที่เสิร์ฟสักหน่อย คุณวาโยบอกว่าให้เราช่วยพวกนายทุกคน”

“งั้นก็ออกไปช่วยน็อตกับเบสสิ” มาร์ชว่าพลางชายตาไปทางเพื่อนร่วมงานที่ยังวิ่งวุ่นเพื่อรับออเดอร์บ้าง เสิร์ฟเครื่องดื่มกับขนมบ้าง

“มาร์ชก็รู้ว่าเราไม่ถนัด แต่ก่อนเราก็เป็นลูกมือมาร์ชนี่”

“...”

“พี่เรลล่าช่วยพี่มาร์ชทางนี้เถอะครับ เดี๋ยวผมออกไปเสิร์ฟเอง”

คนที่เงียบมาสักพักเป็นฝ่ายตัดปัญหาและรีบยกถาดคาปูชิโน่ออกไปก่อนที่ใครจะทันได้เถียงอะไรออกมาอีก ไม่ได้จะตามใจเรลล่าหรอก แต่เขาแค่เห็นว่าลูกค้าเริ่มคุยกันเสียงดังแล้ว ขืนมัวพิรี้พิไรอยู่ต่อ คาปูชิโนแก้วนั้นคงละลายกลายเป็นน้ำเปล่าหมด

ถึงอย่างนั้น เรลล่าก็ไม่ได้พูดเล่นเลย เขาคืออดีตลูกมือของมาร์ชและอดีตพนักงานมาตรฐานของ Café de Sept จริง เพราะตั้งแต่สลับเรลล่าเข้าไปช่วยหลังเคาน์เตอร์ รู้สึกได้เลยว่างานเดินเร็วขึ้นถึงจะไม่ได้มากมาย แต่ก็เห็นถึงความมืออาชีพที่ต่างชั้นกัน...กับเขา

แต่...มันก็ดีแล้วนี่ ดีต่อร้านของเรา แล้วก็ดีต่อมาร์ชด้วย ได้เรลล่ามาช่วยแบ่งเบาภาระแบบนี้ ทุกคนคงพอใจล่ะนะ

เย็นวันนั้นเบสจงใจปิดร้านเร็วขึ้นเล็กน้อย ทุกคนไม่รอช้ารีบเก็บกวาดข้าวของและตรงดิ่งไปที่บ้าน น็อตกับแจนแอบแว้บออกไปซื้อผักกับเนื้อมาเตรียมไว้ตั้งแต่บ่าย มินยืนล้างหม้อชาบูที่ถูกเก็บจนเก่าไว้ในตู้ครัว มีซันกับอตินช่วยกันจัดโต๊ะสำหรับมื้อค่ำวันนี้

พวกเขาตั้งใจจะกินดีกว่าปกติหน่อย เพื่อถือเป็นการเลี้ยงต้อนรับการกลับมาของเรลล่า แม้จะแค่ชั่วคราวก็เถอะ ตอนแรกก็ชวนคุณวาโยมาเหมือนกัน แต่เขาดันติดธุระกับเพื่อนซะได้เลยอดไป

“ชาบู ชาบู~” มินเดินเอาหม้อที่สะอาดดีแล้วมาวางลงกลางโต๊ะสองหม้อ ก่อนที่เบสจะตามมาช่วยเปิดสวิตช์ และตั้งค่าความร้อน

เรลล่ากับมาร์ชนั่งอยู่ตรงข้ามอตินกับซันพอดีอย่างกับมีใครจงใจแกล้ง ทันทีที่น้ำเริ่มเดือด เหล่าสมาชิกก็เริ่มแย่งกันคีบของตรงหน้าลงไปในหม้ออย่างสนุกสนาน ตลอดระยะเวลาทานอาหาร มีแต่การพูดคุยที่อตินไม่ค่อยเข้าถึงนัก

“เรลล่าต่อโทที่ไหนหรอ”

“มหาวิทยาลัย K น่ะ มันใกล้บ้านหน่อย”

“จริงอะ แบบนั้นก็ดีเลยสิ อยู่ไม่ไกลจากตรงนี้ด้วย ต้องแวะมาบ่อยๆ แล้วน้า”

“เออจริงด้วย เพราะป.ตรี ต้องไปเรียนไกลถึงมหาลัย S ก็เลยย้ายไปอยู่หอ พวกเราคิดถึงเธอแทบแย่”

“น้อยๆ หน่อย ถ้าคิดถึงแล้วทำไมไม่ติดต่อมาหาบ้าง”

“ก็ยุ่งนี่ เห็นแล้วไม่ใช่เหรอ”

“เฮอะ ทีมาร์ชยังคุยไลน์กับฉันได้เลย”

อตินเผลอเหลือบตาขึ้นมองหน้าคนพูดสลับกับผู้ชายตัวสูงด้านข้าง ที่ดูไม่ได้สะทกสะท้านอะไร เขาไม่ทันรู้ตัวว่ามีสายตาจากคนอื่นๆ กำลังลอบมองตัวเองอยู่

“ขี้โกงอะ ทำไมมึงคุยกับเรลล่าแล้วไม่บอกพวกเรา” ซันชี้ตะเกียบไปตรงหน้ามาร์ชอย่างคาดโทษ แต่อีกฝ่ายกลับเพียงแค่ยักไหล่ไม่ยี่หระ

“ก็ยัยนี่ทักฉันมาก่อนเอง”

“อ้าว แบบนี้เรลล่าก็ขี้โกงน่ะสิ”

“อะไรเล่า ก็ฉันอยากคุยกับมาร์ชหนิ” เรลล่าพูดเหมือนเป็นเรื่องปกติ แถมยังชี้ตะเกียบใส่หน้าซันเพื่อแกล้งคืนอีกต่างหาก

“ได้นั่งกินข้าวด้วยกันแบบนี้ ชวนให้คิดถึงสมัยก่อนเนอะ” น็อตพูดแทรกขึ้นมาเพื่อทำการเปลี่ยนเรื่อง เบสกับแจนก็ช่วยเสริมตามลำดับ

“อือใช่ ตอนเปิดร้านใหม่ๆ ลูกค้ายังไม่เยอะเท่านี้ เราชอบทำชาบูกับสุกี้กินกันแทบทุกอาทิตย์เลย”

“แล้วเรลล่าก็กินเยอะสุดทุกทีด้วย ฮ่าๆ”

“โห แจน นายก็กินเยอะเหมือนกันแหละหน่า”

“แต่ไม่มีใครอ้วกเหมือนเธอ” มาร์ชหันไปกัดเรลล่าคำโต จนสาวน้อยถึงกับตีแก้มป่อง ท่ามกลางเสียงหัวเราะชอบใจจากคนทั่วทั้งโต๊ะ ทุกคนคงกำลังมีความสุขอยู่กับการย้อนอดีต ยกเว้นแค่อตินที่ได้แต่นั่งฟังโดยไม่รู้เรื่องอะไร ยิ้มบ้างหัวเราะบ้างไปตามเขา

ถ้าบอกว่าน้อยใจ...มันจะผิดมากไหมนะ

 

“ไม่เห็นออกมาเสิร์ฟนานแล้วนะ”

นี่คือคำทักทายยอดฮิตของช่วงนี้ หลังจากที่เรลล่ากลับมาช่วยงานที่ร้าน เธอรับอาสาเป็นลูกมือให้มาร์ชอยู่หลังเคาน์เตอร์นั่น พร้อมกับที่อตินถูกย้ายมาทำหน้าที่รับออเดอร์และเสิร์ฟเครื่องดื่มแทน

“ครับ”

“เพราะพี่เรลล่า พี่อตินก็เลยอดอยู่กับพี่มาร์ช” น้ำเสียงโกรธเคืองของเด็กสาวมัธยมชื่อม่อน ทำเอาอตินต้องรีบหันควับไปรอบตัวเพื่อเช็คว่าจะมีใครได้ยินหรือเปล่า

น้องม่อนควงคู่มากับน้องไอซ์ คู่หูดูโอ้ อีกสองลูกค้าขาประจำของร้าน ซึ่งบัดนี้เอาแต่นั่งปั้นหน้าตึงเมื่อต้องพูดถึงพนักงานหญิงหนึ่งเดียว

“อย่าพูดแบบนั้นสิครับ พี่เขาตั้งใจมาช่วยร้านน่ะ”

“แต่ว่าพวกเราชอบให้พี่อตินคอยเป็นลูกมือพี่มาร์ชมากกว่านี่”

“เฮะๆ” ไม่รู้ว่าควรพูดว่าอะไร นอกจากหัวเราะแห้งและพยายามหาช่องว่างเพื่อปลีกตัว แต่กลับไม่ง่ายเลยเมื่อน้องไอซ์ชิงพูดขึ้นบ้างอย่างออกอรรถรส

“แบบนี้มันมารความรักชัดๆ!”

“น้องไอซ์!” อตินรีบร้องแล้วทำมือจุ๊ปากเป็นเชิงห้ามปราม โชคดีที่ไม่มีใครสังเกตพวกเขาเท่าไร เพราะวันนี้น้องทั้งสองเลือกที่นั่งติดมุมเสาพอดี

“มะ..มาร ความรักอะไรกันครับ พี่กับพี่มาร์ช..ไม่ใช่...”

“รู้หรอกน่า” ทั้งคู่ทำปากยื่นเหมือนเด็กโดนแย่งของเล่นเมื่อเขารีบโบกมือปฏิเสธเรื่องมาร์ช

“พอเถอะๆ อย่าว่าพี่เรลล่าเลยนะ ทุกคนมีเป้าหมายเดียวกัน คือช่วยร้านนี้และตั้งใจบริการลูกค้าครับ” เขารีบตัดบทก่อนจะก้มหัวให้เด็กทั้งสอง และก้าวขาออกจากบริเวณนั้น ยังไม่วายได้ยินสองสาวซุบซิบไล่หลังท่าทางไม่พอใจนัก

เขาไม่สามารถพูดได้เต็มปากว่าไม่รู้สึกอะไรเลย การที่ถูกไล่ออกจากหลังเคาน์เตอร์ ไม่เจ็บปวดเท่าการเห็นพี่มาร์ชยิ้มแย้มให้ผู้หญิงคนอื่น คนที่เคยใช้เวลาร่วมกับพี่มาร์ชในตอนที่ไม่มีเขาอยู่ แบบนั้นมันน่าน้อยใจอย่างห้ามไม่ได้ แต่ถึงยังไงก็ไม่อยากได้ยินใครต่อใครมานินทาว่าร้ายเรลล่า ในเมื่อเธอไม่ได้ทำอะไรผิดสักนิด แถมยังใจดีมากอีกด้วย

ถ้าคนที่ผิดล่ะก็ ตอนนี้คือเขาเองมากกว่า...ผิดที่รู้สึกไม่ดี ผิดที่ไปนึกถึงสิทธิบ้าบอในตัวพี่มาร์ช ทั้งที่เขาไม่มี...

“รับออเดอร์ด้วยค่า” เสียงใสๆ จากลูกค้าเป็นตัวเรียกสติของเขาให้กลับมาสู่โลกตรงหน้า มือเล็กรีบควานหาสมุดโน้ตกับปากกาจากกระเป๋าผ้ากันเปื้อนเพื่อจดรายการเครื่องดื่มย่างว่องไว

“คาราเมลเฟรปเป้ที่นึงค่ะ”

“ครับ รอสักครู่นะครับ”

หนังสือเมนูปกแข็งลายไม้ถูกเก็บกลับมาไว้แนบอก อตินตรงดิ่งกลับไปยังแถวเคาน์เตอร์ แต่ยังไม่ทันจะก้าวขาถึงดี คนหัวแดงกลับรีบหุนหันออกมาจากประตูผลักบานเล็ก หน้าตาดูเคร่งเครียดจนอดกลัวไม่ได้

“พี่มาร์ช จะไปไห..”

“เดี๋ยวค่อยคุย” มาร์ชยกมือห้ามแล้ววิ่งเข้าหลังร้านทันที ไม่แม้แต่จะหันกลับมามองหน้าเขาด้วยซ้ำ

คนตัวเล็กได้แต่ยืนนิ่ง ใบหน้าชาเป็นแถบ เขาพยายามสะบัดหัวไล่ความเย็นชาเมื่อครู่ออกไป แล้วนำใบออเดอร์ไปเสียบไว้ตามปกติ ส่วนสิ่งที่ไม่ปกติก็น่าจะเป็นเรลล่า ซึ่งกำลังก้มหน้าก้มตามองนิ้วโป้งตัวเองอยู่หลังเครื่องชงกาแฟ

“พี่เรลล่าเป็นอะไรรึเปล่าครับ?”

“อ่า พอดีกระดาษบาดน่ะ ไม่เป็นไรมากหรอก” หญิงสาวฝืนยิ้มพลางยกนิ้วขึ้นโชว์ มีเลือดสีแดงซึมออกมาจากปากแผลเพียงเล็กน้อย แต่ก็พอให้เสียวไส้ได้เหมือนกัน

เขามัวแต่คิดว่าจะช่วยเหลือเธอได้ยังไงในสถานการณ์แบบนี้ แต่ก็ชั่งใจอยู่ได้แค่ไม่กี่วินาที เมื่อมาร์ชกระแทกประตูหลังร้านกลับออกมาพร้อมพลาสเตอร์ยาแบบผ้าสีเนื้อ คนตัวสูงแทบจะเดินชนไหล่เขาเข้าไปหลังเคาน์เตอร์โดยไม่หันมาสนใจกันเลยสักนิด ไม่ แม้แต่จะปรายตามอง

ตอนนี้ความสนใจและสายตาของมาร์ชคงอยู่ที่นิ้วเรียวเปื้อนแผลของพี่เรลล่าล่ะมั้ง

ไม่ใช่เขาอีกแล้ว...

.

.

งั้นเหรอ?

“พี่เรลล่า ไปพักก่อนดีกว่าครับ” อตินผลักประตูเข้าไปด้านหลังเคาน์เตอร์ สายตาห่วงใยทอดไปยังพลาสเตอร์ยาบนนิ้วชี้ เรลล่าส่ายหน้าตอบกลับมาอย่างดื้อรั้น

“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ”

“ไม่เป็นไรครับ ตอนนี้ไม่ค่อยมีลูกค้าด้วย” ขืนปล่อยให้เรลล่าอยู่ตรงนี้ต่อ ก็ไม่รู้จะแบ่งเบาภาระได้มากแค่ไหน นิ้วมีแผลแบบนั้นจะปล่อยให้ทำงานใกล้ของร้อนต่อไปก็ดูท่าจะไม่ดี

“ไม่เป็นไรอติน พี่อยากช่วยมาร์ช..”

“พี่เรลล่าพักก่อนเถอะครับ เรื่องช่วยพี่มาร์ช เดี๋ยวผมทำเอง”

เรลล่าดูอึ้งไปหนึ่งจุดสามวิกับคำพูดตรงไปตรงมาของเด็กตรงหน้า ส่วนมาร์ชที่ยืนซ้อนหลังอยู่นั้นกลับยิ้มน้อยยิ้มใหญ่จนน่าหมั่นไส้ทีเดียว สุดท้ายสาวสวยจึงต้องยอมเดินเข้าไปพักหลังร้านอย่างปฏิเสธไม่ได้ พร้อมคืนพื้นที่หลังเคาน์เตอร์ให้กับอตินดังเดิม

เจ้าของเส้นผมสีน้ำตาลเอี่ยวตัวดึงผ้ากันเปื้อนให้แน่นขึ้น ก่อนดึงกระดาษออเดอร์แผ่นบนสุดขึ้นมาอ่านออกเสียงอย่างคล่องแคล่ว ไม่คิดชายตามองคนตัวสูงที่ยังยืนยิ้มอยู่เลยแม้แต่น้อย

“หืม..ช็อกโกแลตเย็น”

มือบางรีบคว้าเอาช้อนลึกสีเงินขึ้นตวงผงโกโก้ โดยไม่ทันได้สังเกตว่าตอนนี้มาร์ชได้ย้ายร่างมาอยู่ด้านหลังเขาเรียบร้อยแล้ว แถมยังพิเรนท์ไปอีกขั้นด้วยการโน้มหน้าเข้ามากระซิบข้างหูทั้งที่อีกฝ่ายยังง่วนกับงานในมือ

“เป็นอะไรฮึ?”

อตินสะดุ้ง รีบเด้งตัวออกห่างพลางส่งสายตาตำหนิไปให้ มาร์ชหัวเราะน้อยๆ แล้วถือวิสาสะดึงช้อนตวงในมืออตินกลับไปวางไว้ที่เดิม เหมือนต้องการจะคุยกันให้รู้เรื่องก่อน

“ทำท่าเหมือนโกรธใครมา”

“ป..เปล่าสักหน่อย”

“งอนพี่เหรอ?” มาร์ชแกล้งยื่นหน้าเข้าไปใกล้ใบหน้าเลิ่กลั่ก

“เปล่า”

อตินลากเสียงยาว สายตาเสมองไปทางอื่น บ้าชะมัดที่มาร์ชดันรู้ทันไปซะทุกเรื่อง ไม่แฟร์เลย ทั้งที่ดูเขาออกหมดแบบนี้ แต่เขากลับไม่สามารถเดาความรู้สึกของมาร์ชได้

“งั้นก็หึงสินะ” คนตัวสูงกระตุกยิ้มอย่างผู้ชนะ พร้อมกับใบหน้าของคนได้ยินที่เริ่มแดงเรื่ออย่างห้ามไม่อยู่ แววตาสับสนหันกลับมามองมาร์ชอย่างเอาเรื่อง

“บะ บ้าหรอ! พูดบ้าอะไรน่ะพี่มาร์ช!”

เส้นผมสีแดงถูกเสยขึ้น ยิ่งทำให้เห็นตาหยีๆ ยามที่ยิ้มกว้างชัดขึ้นกว่าเดิม มาร์ชดูพอใจกับปฏิกิริยาตอบสนองนี้ ก่อนจะหันไปจัดการช็อกโกแลตเย็นที่ค้างไว้ ปล่อยให้คนเด็กกว่าเอาแต่ยืนส่งเสียงฮึดฮัดไม่พอใจอยู่ใกล้ๆ

“ก็เมื่อกี้เรลล่าได้แผลนี่น่า ก็แค่ไปหยิบพลาสเตอร์น่ะ” มาร์ชเริ่มอธิบายเสียงอ่อน จนอีกฝ่ายเผลอสงบและยืนฟังนิ่งๆ “พี่กับเขาไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ เรลล่าก็เหมือนน้องสาวคนหนึ่ง ไม่ต้องคิดมากหรอก”

อะไรกัน...นี่เขาดูออกง่ายขนาดนั้นเชียวเหรอ อย่างนี้...ก็แย่น่ะสิ

อตินยู่หน้าแล้วขยับเข้ามาตีแขนแข็งแรงไปทีอย่างนึกโกรธ เพราะถูกแกล้งอีกจนได้ มันเป็นแบบนี้เรื่อยมา ตั้งแต่วันที่เขาตัดสินใจปฏิเสธเรื่องราวในคืนนั้น มาร์ชยังคงพยายามทำตัวมากเกินกว่าพี่ชายให้ได้ แกล้งให้เขาหวั่นไหวอยู่ตลอด ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าเขาไม่สามารถปล่อยมือจากซัน

แต่ก็ยังพยายามรุกล้ำหัวใจของเขาอยู่ได้

แถมยังทำมันได้ดีทุกครั้งอีกด้วย...

คนตัวเล็กก้มหน้าก้มตามองผ้าเช็ดโต๊ะบนเคาน์เตอร์ ไม่นึกอยากเห็นใบหน้าอิ่มเอมของคนด้านข้าง ที่คอยแต่จะซ้ำเติมความใจร้ายและน่ารังเกียจของตัวเขาเอง และมันคงไม่เลวร้ายมากเท่าไร หากว่าเขาไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาเจอสายตาเฉยชาของซัน ที่กำลังเพ่งมองมาจากอีกฝั่งของร้าน

ระยะทางนี้มันไม่ได้ใกล้พอที่จะทำให้ซันได้ยินบทสนทนาเมื่อครู่ แต่ก็ไม่ได้ไกลพอที่จะทำให้เขาไม่เห็นท่าทีชวนสงสัยนั้น

เอาอีกแล้วไง...

ทำร้ายซันอีกแล้ว....
หัวข้อ: Re: ♡♡ ร้านกาแฟแห่งนี้มีความรักอยู่ ♡♡ by「aonair」 UP! บทที่ 24-26
เริ่มหัวข้อโดย: aonair13 ที่ 23-06-2016 20:56:54
28

 

เสียงของสิ่วที่ถูกขูดลงไปบนเนื้อไม้แท่งพอๆ กับฝ่ามือผู้ชาย เรียกความสนใจจากอตินได้เป็นอย่างดี คนตัวเล็กโยนผ้าเช็ดตัวไว้กับราวตาก แล้วย้ายลงมานั่งบนพื้น แผ่นหลังพิงเข้ากับเตียงนอน สายตาจับจ้องไปยังร่างกำยำด้านข้าง ที่กำลังดูตั้งอกตั้งใจกับชิ้นงานในมือเป็นอย่างมาก

“ไม่เห็นพี่ซันแกะไม้มาสักพักแล้วนะครับ”

“อือ”

“ทำไมอยู่ดีๆ ก็กลับมาทำล่ะครับ”

“จะได้ไม่ฟุ้งซ่านน่ะ”

คำตอบที่ได้รับกลับทำเอาเขาไม่กล้าพูดต่อ ฟุ้งซ่านอะไร...นั่นเดาได้ง่ายชะมัด คงต้องเป็นเรื่องของเขา และความสัมพันธ์อันเปราะบางของเราแน่นอน

เขารู้ดีว่าเขาทำผิด ผิดที่ไม่สามารถตัดใจจากมาร์ชได้ ทั้งที่คิดแล้วว่าควรจะอยู่ข้างกายซัน ผิดที่เอาแต่คิดวุ่นวายเกี่ยวกับผู้ชายอีกคน ทั้งที่ยังนั่งอยู่ด้วยกัน ผิดที่ทำให้เรื่องมันกลายมาเป็นแบบนี้

“อติน..”

“ครับ?” เขาโน้มหน้าเข้าไปใกล้ซันมากขึ้น แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้หันมาสบตากันเลยก็ตาม

“นายคิดยังไงกับเรลล่าเหรอ?”

“เอ...คิดยังไง หมายความว่ายังไงครับ?” รู้สึกเหมือนว่าเม็ดเหงื่อจะเริ่มผุดขึ้นตามไรผม ทันทีที่ถูกจู่โจมด้วยคำถามคาดคั้นแปลกๆ

“ก็เรลล่ากลับมา เลยเหมือนมาแย่งหน้าที่นายไปรึเปล่า นายรู้สึกไม่ดีบ้างไหม?”

รู้สึกไม่ดีงั้นเหรอ...

ถ้าบอกว่าไม่ ก็ต้องโกหกน่ะสิ

แต่จะให้อธิบายว่าอะไรล่ะ ในเมื่อตัวเขาเองก็ยังไม่มั่นใจกับความรู้สึกตอนนี้เลย แค่น้อยใจที่ถูกแทนที่ ที่ถูกลดความสำคัญเหรอ...หรือมากกว่านั้น

แล้วอะไรที่จะมากกว่านั้นล่ะ?

“เรลล่าเขาสนิทกับมาร์ชมากนะ”

“หะ..”

“แบบนั้น...นายไม่หึงบ้างหรอ?”

ซันผละสายตาออกจากท่อนไม้ในมือ แล้วหันมาฉีกยิ้มหยอกล้อเขาหน้าตาเฉย ทั้งที่คนฟังน่ะสะดุ้งจนลมแทบจับ คนตัวเล็กเบิกตากว้างเพียงวูบหนึ่งก่อนจะรีบปั้นหน้าให้เป็นปกติ อาจเพราะช่วงนี้เขาเอาแต่ถามถึงเรื่องเรลล่ากับมาร์ชมากเกินไป แล้วยังเสียสมาธิในเวลางานอยู่บ่อยๆ ด้วย แถมเมื่อช่วงบ่ายยังเผลอปล่อยใจให้ทำตัวแบบไม่คิดหน้าคิดหลังแบบนั้น... ซันเองก็ไม่ได้โง่ คงรู้อยู่แล้วล่ะ...แต่ว่า ทั้งที่ไม่ควรพูดแบบนั้นออกมาเลย เขาก็ยังจะพูด

นี่มันตั้งใจฆ่ากันเลยนี่น่า...

“พี่ซัน พูดอะไรครับ ผมจะไปหึงพี่มาร์ชได้ยังไง” อตินพยายามอย่างมากที่จะไม่หลบตา

“...อืม”

“...”

“นั่นสินะ นายเป็นของฉัน แล้วจะไปหึงไอ้มาร์ชได้ยังไง ถูกไหมอติน?”

ไม่ชอบเลย...

เดี๋ยวนี้ซันชอบยิงคำถามแปลกๆ ใส่ คำถามที่รู้อยู่แล้วว่าคนฟังต้องลำบากใจ และคนพูดคงเหมือนตายทั้งเป็นอย่างนี้...

“ครับ”

อตินตอบได้เพียงแค่นั้นก่อนเสมองไปทางอื่นอย่างห้ามไม่ได้ เขาได้ยินเสียงอุปกรณ์ไม้ทั้งหลายแหล่ถูกวางลงกับพื้น ก่อนที่ลำแขนแข็งแรงจะตรงเข้าล็อกตัวเข้าไว้ทั้งสองด้าน ริมฝีปากอุ่นร้อนทาบลงตรงสันกรามจนเขานึกจั๊กจี้น้อยๆ แต่เมื่อหันกลับมาเผชิญหน้า ก็ต้องกลืนทุกคำพูดลงคอ เพราะซันตอนนี้ดูย่ำแย่ยิ่งกว่าทุกครั้ง สายตาเว้าวอนดูคล้ายจะเจ็บปวดกับหัวคิ้วที่ขมวดยุ่ง ช่างน่าสงสารเหลือเกิน

ผู้ชายชื่อซัน ที่ถูกความรักและความไม่รักเข้าครอบงำ ช่างดูน่าสงสารและบอบบาง...นั่นทำให้เขานึกเกลียดตัวเองที่ไม่สามารถมอบความสุขให้คนคนนี้ได้อย่างแท้จริง เขาทำไม่ได้...

จะพยายามแค่ไหนเขาก็หลอกหัวใจตัวเองไม่ได้

และก็ไม่รู้แล้ว ว่าจะทนกันต่อไปแบบนี้ได้อีกนานเท่าไร

“เจ็บ..” ซันพึมพำเสียงแผ่ว หากเป็นคนอื่นได้ยินก็คงไม่เข้าใจ แต่เขาน่ะรู้ ว่าเจ็บของซันหมายความว่ายังไง

เขารู้มาตลอด ว่าซันน่ะรู้มาตลอด ว่าเขาไม่ได้คิดกับซันมากเกินไปกว่าพี่ชายที่แสนดี และก็รู้มาตลอด ว่าซันเองก็รู้มาตลอด...ว่าแท้จริงแล้วเขารักใครอยู่กันแน่

ถึงอย่างนั้น พวกเราก็แค่...พยายามดึงดัน

ที่จะไม่ยอมรับความจริง

“ครับ...เจ็บ...” อตินพยักหน้าแล้วรวบตัวซันเข้ามากอด พอดีกับที่คนตัวใหญ่โถมร่างหนักอึ้งลงกับอกบาง ขอซึมซับความอบอุ่นที่ยังคงเหลืออยู่

 

มันเจ็บปวด อติน...

เพราะพี่รักนาย ทั้งที่นายไม่ได้รักพี่

เพราะพี่อยากให้นายเป็นของพี่ ทั้งที่นายไม่ใช่ของพี่

เพราะพี่กอดนาย แต่ดูเหมือนนายไม่ได้กอดพี่

เพราะพี่.....ทำร้ายนาย พี่ถึงเจ็บปวดไง อติน...

 

 

[ Back to School ]

ป้ายผ้าขนาดใหญ่ถูกนำมาแขวนไว้เหนือประตูร้าน ด้านล่างของชื่อ Café de Sept ในเช้าวันหนึ่ง น็อตทำหน้าเหมือนเพิ่งนึกอะไรออก ในจังหวะที่พนักงานทั้งหมดกำลังก้าวขาเดินเข้าร้านไป

“จริงสิ ใกล้เปิดเทอมแล้วใช่ไหม”

“อ่า จริงด้วยนะ เปิดเทอมตามอาเซียน”

“พวกนักเรียนนักศึกษาหยุดกันตั้งนาน สมองไม่ฟ่อหมดแล้วหรอ” ซันแซวขำๆ ท่ามกลางเสียงหัวเราะ

คงมีแค่อตินคนเดียวล่ะมั้งที่สนใจในหัวข้อนี้ บางทีคนอื่นอาจจะหลงลืมกันไปหมดแล้ว ว่าเขามาทำงานแค่ชั่วคราว เพื่อรอวันเปิดเทอมเท่านั้น อ่า...ว่าแต่ ทำไมไอ้หมีที่เด็กกว่าเขาถึงไม่เห็นต้องเรียนหนังสือเลยล่ะ

แล้วก็เหมือนว่าเจ้าตัวจะมองออกซะด้วย ถึงรีบเดินมาตีคู่แล้วอธิบายหน้าระรื่น จนแทบห้ามมือตัวเองไม่ให้ฟาดลงกับหน้าเบิกบานนั่นไม่ได้

“เราก็เรียนนะ ลงเรียนแต่ไม่ค่อยได้เข้า ทำงานส่งบ้างแล้วก็ไปสอบเฉยๆ”

“ชีวิตดีไปอีก”

“ก็จบแล้วคงต้องกลับไปช่วยพ่อแม่ดูแลสวนอยู่ดี เลยไม่ต้องห่วงมากไง แถมพวกแกก็ไม่ได้คาดหวังอะไรด้วย ฮ่าๆ”

“อิจฉาเลยอะ”

“อ่า จริงสิ อตินเองก็ต้องกลับไปเรียน...” มินที่เพิ่งจะนึกเรื่องสำคัญออกรีบตีสีหน้าหมีหงอยทันที จนอตินต้องฉีกยิ้มกว้างให้

“ตอนนี้ก็ยังอยู่นี่น่า อนาคตน่ะ อย่าเพิ่งคิดเลย”

เด็กตัวสูงยิ้มเศร้าแต่ก็ยอมพยักหน้าและพากันไปรวมกลุ่มกับพี่ๆ ตรงหน้าเคาน์เตอร์ เหมือนทุกครั้ง มีซองเสื้อผ้าและเครื่องประดับติดป้ายชื่อของแต่ละคนวางทิ้งไว้ให้

ชื่อธีม Back to School แบบนี้ก็เดาได้ไม่ยากว่าต้องเป็นชุดนักเรียนแน่นอนอยู่แล้ว แต่คนอย่างวาโย มีเหรอจะยอมให้ใส่ชุดนักเรียนแบบปกติเขา ในเมื่อตอนนี้มีสมาชิกเป็นเลขคู่พอดี จึงแบ่งฝั่งง่ายหน่อย โรงเรียนของจริงมันก็ต้องมีทั้งเด็กผู้ชายและผู้หญิงจริงไหม

ถ้างั้นก็จัดไป!

“ทำไมผมได้ชุดผู้หญิงอะ!?”

“ฉันด้วย”

“ผมก็ด้วย..”

อตินโวยวายลั่นร้าน ตามมาด้วยเสียงของน็อตและแจนตามลำดับ พวกที่เหลือเห็นแบบนั้นรีบกระชากซองในมือออกอย่างร้อนรน แต่ก็ต้องถอนใจอย่างโล่งอกเมื่อชุดที่เหลือเป็นเครื่องแบบนักเรียนชายธรรมดา

“นี่มันเรื่องตลกอะไร..” อตินหันไปขอความเห็นใจจากมินที่กำลังพยายามกลั้นขำสุดความสามารถ ขณะที่แจนกำลังจะเดินเอาชุดไปทิ้งถังขยะ แต่เบสเข้ามารั้งตัวไว้ก่อน ส่วนน็อตคงเป็นคนที่ดูปล่อยวางมากที่สุด

“ไม่เห็นเป็นไรเลย ก็ใส่ชุดนักเรียนหญิงเป็นเพื่อนฉันไง” เรลล่าปลอบน้ำเสียงสดใสพลางยกกระโปรงลายสก็อตสีน้ำเงินขึ้นกางออก

“นั่นสิ น่ารักดีออก”

คราวนี้เป็นซันที่ตรงเข้ามาล็อคคออตินไว้ ใช้มือข้างหนึ่งหยิบกระโปรงสั้นประมาณเข่าขึ้นพิจารณา สลับกับใบหน้าสีมะเขือเทศของเด็กในอ้อมแขน ไม่รู้ว่าอายหรือโกรธกันแน่

“พี่ซันใส่แทนผมไหมล่ะ”

“ลาก่อย”

แหมมม ทีเงี้ยล่ะโดดตัวหลบแทบไม่ทัน ซึ้งใจจังเลยครับพี่ครับ!

“เรลล่าใส่น่าจะน่ารักนะ” เบสยิ้มตาหยี

“ขอบใจนะ แต่ฉันรอดูสามหนุ่มทางด้านนี้มากกว่า” หญิงสาวหัวเราะในลำคอ แล้วหันมาส่งสายตาน่ากลัวให้อติน น็อต และแจน เล่นเอาทั้งสามถึงกับเสียวสันหลังวาบ

“ไม่อยากให้ถึงวันนั้นเลย”

แจนทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ แล้วหันไปกอดน็อตแน่น ตามมาด้วยอติน จนกลายเป็นก้อนอะไรบางอย่างที่ดูน่าจับกลิ้งหลุนๆ

“แต่เจอธีมแบบนี้ ชักกลัวแล้วสิครับว่าจะได้เซอร์วิสแบบไหน” มินเกาหัวแกรกๆ ตามมาด้วยเสียงถอนใจรุนแรงของคนอื่น

“เซอร์วิสเหรอ...”

 

“คาเบะด้ง คาเบะด้ง คาเบะด้ง”

พระบิดา พระบุตร และพระจิต ร่วมด้วยสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลก โปรดช่วยให้พนักงานร้าน Café de Sept รอดพ้นวันอันแสนสับสนนี้ไปได้ด้วยดีด้วยเถิด

“คาเบะด้งงงง!” เสียงโห่ร้องน่ากลัวของลูกค้าสาวกลุ่มใหญ่ทำให้บรรยากาศดูครึกครื้นขึ้นผิดหูผิดตา อตินกับมินได้แต่ยืนกระอึกกระอักเพราะทำตัวไม่ถูกอยู่แถวโต๊ะริมหน้าต่าง

ให้ตายเถอะ แค่เขาต้องมาสวมชุดนักเรียนหญิง กระโปรงสั้นๆ เผยเรียวขาเป็นเด็กสาววัยแรกแย้มก็น่าอายพออยู่แล้ว ยังต้องมาเจอเซอร์วิสบ้าบอชวนให้ทั้งลำบากใจและคลื่นไส้ในเวลาเดียวกันอีก

“ว่าแต่ว่า คาเบะด้งนี่คืออะไร?” อตินหันไปกระซิบถามมินที่ดูหน้าเจื่อนลงอย่างเห็นได้ชัด

“ก็คือการผลักคนหนึ่งติดกำแพง แล้วอีกคนก็ใช้มือยันกำแพงไว้ไม่ให้อีกฝ่ายหนีไงล่ะ” ลูกค้าสาวเจ้าของเสียงเชียร์ฮาร์ดคอร์เมื่อครู่ก้าวขึ้นมาอธิบายหน้าตาภูมิใจแรงมาก

“ให้ผมผลักมินเหรอ?”

“ว้าย ไม่ใช่นะอติน! ให้มินผลักอตินสิ”

“ไม่ค่อยเข้าใจเลยอะครับ”

“ถ้าไม่เข้าใจก็ดูโน่น” อตินมองตามนิ้วเรียวที่กำลังชี้ไปทางด้านข้าง เพิ่งเห็นว่ามีแม่ยก เอ๊ย..ลูกค้าอีกกลุ่มกำลังยืนออกันอยู่รอบตัวมาร์ชกับน็อต

แล้วอยู่ดีๆ สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อมาร์ชใช้มือขวาผลักอกน็อตที่ยังไม่ได้เตรียมตัวเข้าไปติดกำแพงกระจกดังปัง ก่อนจะกระแทกฝ่ามือซ้ายลงไปกักตัวน็อตไว้อย่างเชี่ยวชาญ ยิ่งใบหน้าทมึงถึงที่ค่อยๆ ขยับเข้าหากันแบบนั้น ก็ยิ่งเรียกเสียงกรีดร้องให้ดังระงม

“พอละ” มาร์ชเอ่ยเสียงรำคาญ และผละตัวออก ไม่ลืมหันไปรับแบงค์สีม่วงมาเก็บใส่กระเป๋า ในขณะที่น็อตเอาแต่ตะโกนไล่ตามหลังอย่างโกรธแค้น

“ไอ้มาร์ช! เมื่อกี้มันเจ็บนะ ผลักมาได้”

 อตินมองภาพนั้นด้วยความรู้สึกหลากหลายที่ไม่อาจอธิบายได้ เขาค่อยๆ หันหน้ากลับมาสบตากับมิน เมื่อเด็กตัวสูงขยิบตาให้สัญญาณ มือหนาทั้งสองข้างก็ตรงเข้าตะปบหัวไหล่ของเขาหมับ ก่อนออกแรงดันร่างบางไปจนแผ่นหลังติดกระจก ขอบคุณพระเจ้าที่เพื่อนรักคนนี้ไม่ได้กระทำมันรุนแรงนัก ไม่งั้นหลังเขาคงหัก หรือไม่กระจกคงแตกเป็นแน่

คลื่นลูกค้าถูกย้ายมาทางพวกเขาแทนที่ มีเสียงกรี๊ดกับเสียงกระซิบดังขึ้นพอให้ใจเต้นรัวไปตามบรรยากาศ มินยังคงไม่ยอมคลายมือออกจากไหล่ และเอาแต่จ้องหน้าเขาเขม็งเหมือนวิญญาณหลุดหาย ชักน่ากลัวว่าคนตรงหน้าเข้าใจความหมายของคาเบะด้งจริงๆ แล้วหรือยัง เขาแค่ให้ยันกำแพงนะ ไม่ได้ให้จูบ โปรดอย่าทำท่าเหมือนกำลังเตรียมใจแบบนั้น

“เอามือยันกำแพง แค่นั้นแหละ” อตินแอบกระซิบเสียงค่อย ทำให้มินตื่นจากภวังค์ และทำตามอย่างว่าง่ายท่ามกลางเสียงโห่ร้องชอบใจของแฟนๆ ด้านหลัง

คนตัวสูงถูกเรียกตัวไปถ่ายรูปต่อแบบไม่ให้พัก ทำให้อตินใช้จังหวะนี้ปลีกตัวออกจากฝูงชนซึ่งเริ่มหันไปเล็งเป้าหมายใหม่ นั่นก็คือเบสกับแจน (ที่เหมือนอยากทำฮาราคีรีเต็มทีแล้ว)

เขาต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการเดินขึ้นไปยังชั้นสอง ระหว่างทางก็โดนเรียกไปทำนู้นทำนี่จนเสียเวลาไปกว่าสิบห้านาที ในวันนั้นของเดือนแบบนี้ แม้แต่ชั้นสองที่ปกติจะดูปลอดโปร่งก็ยังแน่นขนัด ท่าทางซันเพิ่งจะเอาเครื่องดื่มมาเสิร์ฟลูกค้าเสร็จ เพราะกำลังเดินถือถาดเปล่าตรงมาทางเขาพอดี

“วันนี้เหนื่อยหน่อยนะครับ” นี่คือคำพูดยอดฮิตที่พนักงานทุกคนต่างใช้มันเพื่อเป็นกำลังให้แก่กัน

“นายก็ด้วย”

“อือ ผมจะบ้าตายแล้ว”

ซันหัวเราะแล้วดึงแขนเขาให้เข้าไปหลบอยู่หลังมุมหนังสือ จุดเดียวในร้านตอนนี้ที่ไร้ผู้คน เพราะส่วนใหญ่ที่นี่จะเป็นโซนของเด็กๆ มากกว่า แต่ในเวลาอย่างนี้ ไม่มีเด็กคนไหนกล้าเข้ามาเหยียบร้านหรอก ต้องเรียกว่าเป็นเวลาแห่งการกลั่นแกล้งจากเหล่าลูกค้าวัยรุ่นไปจนถึงผู้ใหญ่รสนิยมน่ากลัวพวกนั้นถึงจะถูก

“ไม่โดนให้ทำอะไรแปลกๆ ใช่ไหม?” คนตัวหนาถามเสียงเป็นห่วง พลางกวาดสายตาไปทั่วเหมือนต้องการเช็คให้แน่ใจ

“ก็ไม่ครับ พี่ซันล่ะ?”

“ไม่มีเหมือนกัน นี่ พี่เป็นห่วงเรามากนะ”

“ไม่ต้องห่วงหรอก ผมผ่านมันมาหลายรอบแล้วนะ ฮ่ะๆ”

“แต่รอบนี้ไม่เหมือนกันนี่ เห็นนายแต่งตัวแบบนี้แล้วน่าเป็นห่วง พวกลูกค้าต้องคิดเรื่องไม่ดีอยู่แน่ๆ”

“เรื่องไม่ดีเนี่ยนะ”

“ใช่ อย่างเช่นคิดว่าอยากแอบเปิดกระโปรงของอตินจัง หรือคิดว่าอยากจะทำให้อตินในชุดนักเรียนหญิงแปดเปื้อนจังเลยอะ”

โป้กก!

คนตัวเล็กจงใจโขกหัวตัวเองลงกับหน้าผากของอีกฝ่ายอย่างแรง จนซันเผลอร้องออกมาเสียงดังพลางยกมือขึ้นลูบเหม่งป้อยๆ

“พี่ซันนั่นแหละที่อันตรายที่สุด น่าเป็นห่วงตัวเองจริงๆ ให้ตาย”

“ฮ่าๆๆ พี่ล้อเล่นเอง”

อตินยู่ปาก แต่ก็อดหัวเราะตามไปด้วยไม่ได้ เขามีความสุขที่เห็นซันร่าเริงแบบนี้ นี่แหละคือซัน พี่ชายคนที่เขานึกชอบมาตลอด สดใส ใจดี และสนุกสนาน ไม่ใช่คนอมทุกข์แบบเมื่อคืน หรือคืนก่อนๆ นั้น

ถ้าเป็นซันแบบตอนนี้ไปได้ตลอด ก็คงดีสินะ...

“ผมว่าเรารีบออกไปกันเถอะ ถ้าพี่เบสจับได้ว่าอู้งาน โดนแพ่นกบาลกันทั้งคู่แน่”

“อือ แต่ขอหอมทีนึงก่อนนะ”

“หา..”

เสียงจุ๊บเบาๆ ดังขึ้นพร้อมกับสัมผัสอุ่นตรงข้างแก้ม ไม่รอให้เขาต่อว่า ซันก็รีบเผ่นออกไปด้านนอกแล้ว อตินตีแก้มป่องแล้วยกมือขึ้นทาบร่องรอยเมื่อครู่ รอยยิ้มบางเบาผุดขึ้นมาโดยที่เขายังไม่ทันจะรู้ตัว...ซันที่เป็นแบบนี้ ชอบมากกว่าตั้งเยอะเลย

“เฮ้อ” ถึงกับต้องถอนใจเมื่อคิดว่าต้องกลับไปเจอเซอร์วิสแปลกๆ อีกแล้ว แต่ช่วยไม่ได้แฮะ เมื่อเป็นงานมันก็ต้องทำ แล้วถึงจะกลัวนิดหน่อย แต่เวลาได้เห็นลูกค้าทุกคนมีความสุข เขาก็รู้สึกดีไปด้วยนั่นแหละ

อตินลากสังขารกลับลงมายังชั้นล่าง เขาตั้งใจจะเข้าไปช่วยงานหลังเคาน์เตอร์ที่มาร์ชประจำอยู่ แต่กลับต้องรั้งขาตัวเองไว้ก่อนเมื่อสังเกตเห็นกลุ่มคนบริเวณกลางร้าน เรลล่ากำลังถูกลูกค้าชายท่าทางเนิร์ดๆ พูดอะไรใส่

“ปุอิ๊ง ปุอิ๊งน่ะ ทำให้ดูหน่อยน้า”

“อ่า...ค่ะๆ”

ปุอิ๊ง?

เรลล่าดูมีสีหน้าลำบากใจเล็กน้อย แต่แล้วก็ยอมยกมือที่กำหมัดหลวมๆ ไว้ทั้งสองข้างขึ้นเหนืออก หยุดไว้ตรงข้างแก้ม ก่อนจะยกหมัดขึ้นลงคล้ายท่าแมวกวักหรือท่าแงๆ ของเด็ก พร้อมส่งเสียงน่าอายแทนไปด้วย

“ปุอิ๊ง..ปุอิ๊งง”

เสียงปรบมือดังขึ้นตามหลังเหมือนเธอเพิ่งไปกู้ชาติมา ลูกค้าชายคนนั้นดูปริ่มเปรมมากตอนยื่นแบงค์ห้าร้อยส่งให้ ในขณะที่สาวสวยกลับหน้าแดงจัดจนน่าสงสาร

ทั้งที่คนที่น่าสงสารจริงๆ ก็คือเขาเองมากกว่า เมื่อลูกค้าสาวแถวนั้นพุ่งเข้ามาดึงแขนเขาไว้ พร้อมดวงตาเปล่งประกายระดับห้าสิบแปด เธอควักแบงค์พันขึ้นมาตรงหน้า ก่อนประกาศกร้าว

“อตินก็ทำปุอิ๊งปุอิ๊งบ้างสิ”

แม่เจ้าาาาาาาา!!

“มะ..ไม่..” เขาตั้งใจจะบอกว่าไม่รับ แต่ขณะนั้นเองที่เรลล่าตรงเข้ามาฉีกยิ้มกว้างพร้อมเข้าร่วมเป็นแกนนำปรบมือหน้าตาเฉย

“เอาเลยอติน ทำให้น่ารักสุดๆ ไปเลยนะ”

“เอ่อ คือ...”

“เอ้า เอาเลยย” เรลล่าเชียร์หนักข้อขึ้นหลังจากยื่นมือไปรับแบงค์พันเมื่อกี้มาแบบไม่มีวี่แววว่าจะคืนเงินทอนให้สักบาท ยิ่งบีบเค้นเขามากขึ้นอีกเท่าตัว

คนถูกชงย่นหัวคิ้วด้วยความเครียด เขารู้สึกเหมือนจะร้องไห้แต่ต้องกลั้นไว้เลยอะ ฮือ พอเสียงเชียร์เริ่มดังขึ้น อตินจึงช่วยไม่ได้ที่จะยกสองแขนขึ้นในท่าเตรียมพร้อม เขาพยายามฉีกยิ้มฝืนๆ และเริ่มออกเสียงอย่างยากลำบาก

“ป..ปุอิ๊ง..”

น้ำเสียงตะกุกตะกักถูกเปล่งออกมาทั้งที่เจ้าตัวยังหลับตาปี๋

“ปุอิ๊ง..ฮืออ”

“กรี๊ดดดดด!!!”

“น่ารักมากกก อ๊ากก!”

คลื่นลูกค้าดูแตกตื่นจนวุ่นวายลายตาไปหมด เสียงหวีดร้องดังไกลถึงท้ายซอย ถึงขนาดว่าเบสกับมาร์ชต้องรีบยกมือขึ้นอุดหู ท่าทางตกใจเป็นอย่างมากกับรีแอคชั่นอันแสนน่าสะพรึงกลัวนี้

อตินเลิกสนใจหน้าที่บ้าบอ แล้วรีบวิ่งเข้าไปหลบหลังเคาน์เตอร์ เด็กผู้ชายในชุดนักเรียนหญิงนั่งกอดเข่าตัวสั่นขวัญหาย ใบหน้าแดงเถือกจนถึงใบหูด้วยความอายแบบรุนแรง ในใจนึกภาวนาให้เหตุการณ์เมื่อกี้เป็นแค่ฝันร้าย แต่กลับคิดอย่างนั้นไม่ได้เลย ในเมื่อยังคงได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักจากคนแถวนี้ดังเข้าหูอยู่ตลอด จนต้องใช้มือข้างหนึ่งตบน่องขาเจ้าของเสียงไปทีอย่างเคืองๆ ดวงตากลมโตเชยมองใบหน้าเรียวที่กำลังก้มลงมาเช่นกัน

“ไม่ต้องหัวเราะเลยนะพี่มาร์ช!”

“เข้าท่าออก” พูดแบบนั้นแล้วย่อตัวลงมาอยู่ในระดับเดียวกัน ท่าทางขบขันเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าจริงจังตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้

“แต่อย่าไปทำให้ใครเห็นอีกล่ะ”

“ชิ!” คนเด็กกว่าส่งเสียงไม่พอใจทันทีที่ได้ยินแบบนั้น

ก็ใช่ซี้~ คนเขาไม่ได้ทำแล้วจะน่ารักเหมือนพี่เรลล่านี่นะ แต่ก็ไม่เห็นต้องมาพูดตรงๆ เพื่อหักหาญน้ำใจกันเลย เมื่อกี้เขาต้องรวบรวมความกล้าขนาดไหนน่ะรู้บ้างไหม!

รู้หรอกน่าว่าไม่น่ารัก จะไม่มีวันทำอีกตลอดชีวิตอยู่แล้ว หึ!

“ไปแล่ว!” อตินลุกขึ้นกระทืบเท้าเดินออกไป ท่าทางหงุดหงิด ปล่อยให้มาร์ชได้แต่มองตามหลังอย่างเป็นห่วง

อะไรของเขา เมื่อกี้ยังดูน่ารักอยู่แท้ๆ แป๊บเดียวก็ตีหน้าโมโหซะงั้น แถมไม่ยอมอยู่ฟังเขาพูดให้จบอีก คนเขาอุตส่าห์จะเตือนด้วยความหวังดีสักหน่อยว่าอย่าไปทำท่าทางน่ารักแบบนั้นกับใคร ขืนถูกจับตัวไปทำมิดีมิร้ายเข้าจะว่ายังไง ขนาดเมื่อกี้เขายังอดจะคิดอกุศลด้วยไม่ได้ แล้วนับประสาอะไรกับพวกผู้ชายเสือสิงห์กระทิงแรดข้างนอกนั่น สักวันต้องตกเป็นเหยื่อคนเลว เพราะความน่ารักของนายนั่นแหละ ยัยอตินเอ๊ย
หัวข้อ: Re: ♡♡ ร้านกาแฟแห่งนี้มีความรักอยู่ ♡♡ by「aonair」 UP! บทที่ 24-26
เริ่มหัวข้อโดย: aonair13 ที่ 23-06-2016 20:58:20
29

 

“อาหารฝีมือน็อตกับแจนนี่อร่อยจริงๆ นะ”

“ครับ อร่อยมาก”

“อยากมาฝากท้องทุกมื้อซะแล้วสิ”

อตินหัวเราะแห้งให้กับบทสนทนาเรียบง่ายของเขากับเรลล่า ภายในห้องครัวเพียงสองคน สมาชิกคนอื่นรวมตัวกันอยู่ในห้องนั่งเล่น ขณะที่พวกเขาได้รับหน้าที่จัดการผลไม้มากมายจากซุปเปอร์ฯ วันนี้ก็เป็นอีกครั้งที่เรลล่ามากินข้าวเย็นด้วยกัน แต่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกอึดอัดมากเช่นนี้

หญิงสาวทยอยล้างแอปเปิ้ลผลน่าทาน ขณะที่เขากำลังลงมือปอกฝรั่งลูกใหญ่ เดธแอร์เกิดขึ้นจนชวนให้รู้สึกไม่ดี เขาต้องรีบหาเรื่องมาคุยต่อ แต่จะคุยเรื่องอะไรล่ะ เรื่องร้านเหรอ ตอนนี้เนี่ยนะ หรือถามไถ่เรื่องชีวิตส่วนตัว แต่จะดูก้าวก่ายมากไปไหม

“นี่ อติน”

“ค..ครับ” คนถูกเรียกสะดุ้งและหลุดออกจากความคิดตัวเอง อีกฝ่ายเริ่มพูดต่อโดยที่ไม่หันมามองหน้าเขา

“เรื่องที่ว่า มาร์ชมีคนที่ชอบอยู่ มันจริงหรือเปล่า?”

อตินสตันท์ไปสามวิให้กับคำถามนั้น จะมาคุยกับเธอเรื่องของมาร์ช...นั่นคือสิ่งที่เขาไม่นึกปรารถนามากที่สุดเลย

“เอ่อ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันสิครับ”

“หรอ แต่ฉันได้ยินมาแบบนั้นน่ะ”

“เหรอครับ..”

“อือ แต่เห็นว่ามาร์ชชอบเขาข้างเดียวนะ” หญิงสาวหันมาส่งยิ้ม ก่อนจะเดินไปหยิบมีดกับจานมาปอกแอปเปิ้ลที่สะอาดดีแล้ว

“แบบนั้นฉันก็ยังมีหวังใช่ไหมอติน”

“หะ? ครับ?” คนถูกถามส่งเสียงตอบกลับด้วยความงุนงง มีหวัง...อย่าบอกนะว่า..

“ฉันน่ะ อยากกลับไปคบกับมาร์ช”

อตินสะอึก แต่ก็เลือกที่จะเงียบ

“ต่อไปฉันจะมาต่อโทที่มหาลัย K มันอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ ฉันก็คิดว่าเราน่าจะกลับมาคบกันได้ น่าเสียดายนะ มาร์ชไปชอบคนอื่นแล้ว...”

“...”

“แต่ช่างเถอะ ถ้าอีกฝ่ายเขาไม่ได้ชอบมาร์ชก็ไม่มีประโยชน์ แบบนั้นแปลว่าฉันยังมีหวังสินะ” มือเล็กพุ่งเข้ามาจับแขนเขาเขย่าเพื่อขอความคิดเห็น แต่ที่สุดแล้ว เขาก็ไม่สามารถสรรหาคำพูดไหนมาโต้ตอบได้ นอกจากรอยยิ้มแห้งๆ

เขาไม่รู้ ว่าต้องพูดว่ายังไง...

ในเมื่อคนที่เรลล่ากำลังพูดถึง คือเขาไม่ใช่เหรอ...

คือเขานะ.....

“อติน~ เสร็จยัง?” เสียงซันดังขึ้นก่อนตัว ทำให้เขาต้องรีบสะบัดหัวไล่ความคิดเมื่อครู่ออก ไม่นานนักก็สัมผัสถึงแรงโอบแถวสะโพก พร้อมใบหน้าหล่อเหลาข้างแก้ม

“จะเสร็จแล้วครับเนี่ย” เขาหันศีรษะไปตอบซัน ซึ่งกำลังยิ้มกว้างจนเรลล่าอดออกปากแซวไม่ได้

“แหม หวานกันจริงนะคู่นี้”

“ฮ่ะ เรลล่า อิจฉาล่ะสิ”

“ชิ”

หญิงสาวจิ๊ปากแล้วชูกำปั้นขึ้นกลางอากาศอย่างติดตลก ซันหัวเราะแล้วทำทีหลบหลังอตินไปมา ปากก็ยังส่งเสียงหาเรื่องเขาไม่หยุด

“ถ้าอิจฉาก็ต้องเอาชนะใจมาร์ชให้ได้ก่อนนะ แบร่”

“เดี๋ยวเถอะซัน เรื่องนั้นฉันทำได้แน่ย่ะ”

“หรา”

เรลล่ายื่นปากไม่พอใจ ก่อนจะสะบัดหน้าหนีคนขี้กวน แล้วยกจานแอปเปิ้ลออกจากครัวไป พอดีกับที่อตินจัดวางฝรั่งบนจานเสร็จเรียบร้อย แต่ยังไม่ทันได้ขยับขา ซันก็โถมร่างหนักอึ้งลงกับแผ่นหลังของเขา พร้อมเชยคางลงกับไหล่ด้านหนึ่งอย่างออดอ้อน ทว่า คำพูดที่เปล่งออกมากลับทำร้ายจิตใจกันเห็นๆ

“เพราะเรลล่ารักมาร์ช ถึงยังไม่ถอดใจ”

“.....นั่นสินะครับ”

“ฉันเอง ก็ไม่อยากยอมแพ้เหมือนกัน...”

“.....”

ไม่อยากยอมแพ้และปล่อยมือนายไปเลยนะ อติน

แม้ว่าสักวันฉันจะต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอนก็ตาม...

 

ครืนน...ครืนนน

“หวา ฟ้าร้องเฉยเลย” แจนชะเง้อคอมองออกไปทางนอกหน้าต่าง ท้องฟ้ามืดลงมากแล้ว

“เรลล่ารีบกลับบ้านดีกว่านะ เริ่มดึกแล้ว”

เบสทักขึ้นอย่างเป็นห่วง คนอื่นๆ ก็พยักหน้าเห็นด้วย รวมทั้งเจ้าตัว เธอหันไปเช็คข้าวของในกระเป๋าให้แน่ใจว่าไม่ลืมอะไรไว้ ก่อนจะลุกขึ้นยืน พร้อมกับมาร์ช

“เดี๋ยวฉันไปส่งเอง”

“เออ ดีเหมือนกัน ฝากด้วยล่ะ” หัวหน้าพนักงานฝากฝังความดูแลไว้กับพี่ใหญ่ ก่อนจะโบกมือลาเด็กสาวแล้วก้าวขาเข้าห้องนอน ไม่ลืมล็อกคอเด็กแจนให้ตามไปด้วยกัน ทั้งที่ปากยังเต็มไปด้วยผลไม้ชิ้นโต

อตินแอบลอบมองมาร์ชกับเรลล่าเดินออกไปจนพ้นประตูบ้าน ก่อนจะหันไปสนใจท้องฟ้าขมุกขมัวด้านนอกหน้าต่าง ชักรู้สึกถึงลางไม่ค่อยดีเท่าไร

เสียงจานผลไม้กระทบกันเรียกสติของอตินกลับมา น็อตกำลังจะยกจานเปล่ากลับไปที่ครัว เขาเลยต้องรีบวิ่งตามไปแย่งมาไว้ในมือเสียก่อน

“ไม่เป็นไรครับพี่น็อต เดี๋ยวผมจัดการเอง”

“พี่ช่วย”

“นิดเดียวเอง พี่ไปอาบน้ำพักผ่อนเถอะ”

“เอางั้นเหรอ”

คนเด็กกว่าพยักหน้างึกงัก เรียกรอยยิ้มจากอีกฝ่าย น็อตยกมือขึ้นลูบหัวอตินอย่างนึกเอ็นดูก่อนจะขอตัวกลับเข้าห้อง สุดท้ายจึงเหลือแค่อตินในครัวลำพัง หลังจากออกปากไล่ซันให้ไปอาบน้ำก่อนได้สำเร็จ

แล้วลางสังหรณ์แปลกๆ ของเขาก็เริ่มต้นขึ้น เมื่อฝนเริ่มตกกระทบกระเบื้องเสียงดังน่ารำคาญ และทำท่าว่าจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

จานในซิงค์ยังไม่สะอาดดี แต่ตอนนี้เขากลับไม่มีกะจิตกะใจจะสนใจมัน อตินคว้าผ้าบนเคาน์เตอร์ขึ้นมาเช็ดมือลวกๆ แล้วเดินไปหยิบมือถือขึ้นมากดโทรออกหามาร์ชในทันที จำได้ว่าที่พักชั่วคราวของเรลล่าตอนนี้ไม่ได้ไกลมาก ถ้าลองกะเวลาจากตอนที่ออกจากบ้านไป ก็น่าจะส่งเธอเรียบร้อยแล้ว แต่โชคร้ายที่ฝนดันตกลงมาห่าใหญ่ แถมไม่ได้พกร่มไป น่าเป็นห่วง...

ตู๊ด..ตู๊ด..ตู๊ด..ตู๊ด..

ติดต่อไม่ได้!?

นิวเรียวกดวางสายแล้วพยายามโทรออกอีกครั้ง เขาทำแบบนั้นซ้ำแล้วซ้ำอีกแต่ผลลัพธ์ก็ยังคงเดิม ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะอีกฝ่ายปิดเครื่องหรือแบตหมด แต่ที่แน่ๆ ก็คือ..

มาร์ชยังไม่กลับมา

และไม่รู้ว่าคืนนี้จะกลับมาไหม

 

 

‘ก็ไม่แน่นะ อาจจะมีรีเทิร์นก็ได้’

 

‘ฉันน่ะ อยากกลับไปคบกับมาร์ช’

 

‘เพราะเรลล่ารักมาร์ช ถึงยังไม่ถอดใจ’

 

 

...แบบนั้น.....

 

ไม่เอานะ...

 

 

“ว่าไงนะ?” เบสขมวดคิ้วคุยกับมาร์ชที่เพิ่งโผล่หน้ากลับมาตั้งแต่รุ่งเช้า

“ฉันบอกว่าวันนี้เรลล่าขอลา”

“มีอะไรหรือเปล่า? แล้วเมื่อคืนทำไมนายไม่กลับบ้าน?”

“เห็นเธอบอกว่ารู้สึกไม่สบาย ส่วนเมื่อคืนฝนมันตกหนักมาก ก็เลยค้างที่นั่นเลย”

“ค้างกับเรลล่า!?” ซันโพล่งออกมาพลางเบิกตากว้าง ก่อนค่อยๆ หรี่ลงอย่างจับผิด มีอตินแอบลอบสังเกตอยู่ด้านหลังด้วยหัวใจที่เต้นรัวประหลาด

“อือ ฉันนอนโซฟา”

“ฮันแหน่ะ ไม่มีอะไรแน่นะ”

“จะไปมีอะไรล่ะ” มาร์ชตอบปัด ท่าทางรำคาญ ก่อนจะขออนุญาตเบสไปอาบน้ำแต่งตัว คนอื่นๆ ทยอยเดินออกจากบ้านเพื่อไปจัดการเปิดร้านกันก่อน ยกเว้นแค่อตินที่ดูลุกลี้ลุกลนต่างจากปกติ

“อติน เป็นไรรึเปล่า?”

“เอ่อ..ป เปล่าครับ”

“งั้นก็ไปกันได้แล้ว เดี๋ยวสายหรอก” น็อตกวักมือเรียกเด็กน้อยที่ไม่ยอมก้าวขาออกจากบ้านสักที ในขณะที่พวกเบสเดินนำหน้าไปแล้ว

“คือ..ผม...ผมปวดท้องเข้าห้องน้ำอะครับ เดี๋ยวขอตามไปทีหลังได้ไหม”

“อ่า”

“งั้นเดี๋ยวพี่รอ” ซันบอก แต่ก็โดนน็อตลากคอเสื้อกลับมาได้ทัน

“ไม่ต้องเลย เราต้องรีบไปจัดแจงร้านก่อนนะ นายก็ต้องมาช่วยด้วย ส่วนอติน ทำธุระเสร็จแล้วก็รีบตามไปล่ะ”

“ครับ”

อตินแสร้งย่ำเท้าให้ดูเหมือนคนต้องการเข้าห้องน้ำจริงๆ แต่ก็ไม่วายยืนส่งซันกับน็อตต่ออีกสักพักเพื่อให้อีกฝ่ายแน่ใจและไม่ต้องห่วง พอทั้งคู่ลับสายตาไปแล้ว เขาจึงปิดประตูบ้านกลับมา แล้วตรงไปทางห้องนอน...ของมิน

กับมาร์ช..

เสียงน้ำจากฝักบัวดังลอดออกมาก่อนใครเพื่อน อตินพยายามปิดประตูไม้ให้เบาที่สุด ก่อนย้ายก้นไปนั่งแหมะอยู่บนเตียงที่เคยเป็นของเขามาก่อน ดวงตากลมกลอกไปรอบบริเวณ อดจะคิดถึงบรรยากาศเก่าๆ ตอนยังเป็นรูมเมทกับเด็กหมีคยอมมี่ไม่ได้

แต่การย้อนอดีตก็ต้องจบลงแค่นั้น ทันทีที่สายน้ำหยุดลง มีเสียงกุกกักตามหลังอีกไม่เท่าไร ประตูห้องน้ำก็เปิดขึ้น พร้อมกลิ่นสบู่คุ้นเคยที่โชยออกมาเตะจมูก มาร์ชในร่างเปลือยอกพร้อมนุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียว จดจ้องแขกไม่ได้รับเชิญอยู่นาน เหมือนต้องการถามผ่านโทรจิตว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น เข้ามาอยู่ในนี้ได้ไง

“เอ่อคือ..ผม ผมมารอพี่มาร์ช จะได้ไปร้านพร้อมกัน...” อตินพูดเสียงอ่อนลงเรื่อยๆ เขารู้ว่ามันดูน่าอายและไม่น่าเชื่อ แต่มาร์ชก็ไม่พูดอะไร เพียงแค่พยักหน้ารับรู้และหันไปเปิดตู้เสื้อผ้า

เขาใช้เวลาแต่งตัวไม่ถึงสองนาที ก็ย้ายมาหยุดอยู่หน้ากระจกบนโต๊ะ ดูเหมือนคนมันจะหน้าตาดีนี่ก็ไม่จำเป็นต้องแต่งเติมเสริมอะไรมากมาย อย่างมาร์ชก็แค่ใช้ปลายนิ้วจัดผมตัวเองสองสามทีก็เสร็จละ เขายัดมือถือใส่กระเป๋ากางเกง เตรียมพร้อมไปทำงาน แต่กลับต้องชะงักเมื่อได้ยินประโยคคำถามที่ฟังดูโกรธเคืองยังไงพิกล

“ทำไมเมื่อคืนไม่กลับบ้านครับ?” อตินลุกขึ้นมายืนขวางทางเขาไว้ หัวคิ้วสองข้างขมวดมุ่นจนแทบจะชนกัน ยิ่งดวงตากลมแป๋วที่กำลังช้อนขึ้นมอง ก็ยิ่งดูน่ารักน่าแกล้ง

“ก็บอกแล้วนี่ว่าฝนมันตกหนัก”

“แล้วบ้านพี่เรลล่าไม่มีร่มรึไง กางร่มกลับมาก็ได้นี่”

“ก็ไม่มีน่ะสิ ที่พักยัยนั่นเป็นแค่หอโล่งๆ เองนะ” มาร์ชอธิบายเสียงเรียบ แต่กลับยิ่งทำให้คนฟังรู้สึกหงุดหงิด ถึงอย่างนั้นอตินก็เลือกที่จะเชื่อ เพราะรู้อยู่หรอกว่าที่พักของเรลล่าตอนนี้เป็นแค่ที่พักชั่วคราวช่วงมาช่วยงานเฉยๆ คงไม่ได้มีของใช้ครบครันเหมือนบ้านคนอื่น

แต่ก็อดน้อยใจไม่ได้อยู่ดีนั่นแหละ

“ผมเป็นห่วงพี่มาร์ชมากเลยนะ”

มาร์ชกระตุกยิ้มพอใจ แล้วแกล้งหยอกคนหน้าบูดไปทีอย่างนึกสนุก

“ขอบใจ แต่เป็นห่วงตัวเองดีกว่า”

“หะ?”

“มัวมาหึงผู้ชายอื่นแบบนี้ ไอ้ซันคงไม่ชอบใจ”

“ห..หึงอะไร! ผมแค่บอกว่าเป็นห่วง” อตินวิ่งตามไปดึงแขนเสื้อมาร์ชไว้ หลังจากที่อีกฝ่ายเพิ่งเดินตัดหน้าเขาไปยังลูกบิดประตู

“ไม่ได้หึงสักหน่อย”

คนตัวสูงหันหลังกลับมาเพื่อพบกับพวงแก้มสีชมพูระเรื่อ เด็กตรงหน้าดูออกง่ายจนน่าหงุดหงิด แบบนี้ยิ่งทำให้เขานึกเกลียดโชคชะตาทั้งหลาย ที่พยายามพรากพวกเขาสองคนออกจากกันหน้าตาเฉย ทั้งที่ดูออกง่ายจะตาย...

ว่าความรู้สึกของอติน มันคืออะไรกันแน่

“หึงก็บอกว่าหึง ไม่ใช่บอกว่าเป็นห่วงแล้วทำหน้าเหมือนจะร้องไห้แบบนี้”

“อึ่ก...”

คนตัวเล็กหน้าชา ใบหูแดงก่ำขึ้นมาด้วยความเขินอาย และมาร์ชก็ไม่ได้ใจดีขนาดจะปล่อยให้โอกาสดีๆ แบบนี้หลุดลอยไปซะด้วย

สองมือหนาตรงเข้าประคองใบหน้าร้อนผ่าว ก่อนโน้มตัวลงไปจนลมหายใจรดใส่กันและกัน อตินหลับตาปี๋อย่างทุกที แต่กลับไม่คิดปฏิเสธสัมผัสนุ่มหยุ่นที่กำลังรุกล้ำเข้าหา มาร์ชจรดริมฝีปากลงกับริมฝีปากของอีกฝ่าย ก่อนค่อยๆ สอดแทรกลิ้นอุ่นเข้าไปควานหารสชาติอันชวนคิดถึง ลิ้นเล็กดูเงอะงะจนน่าขำ แต่ก็ยังพยายามตอบรับเขาได้เป็นอย่างดี

สติสัมปชัญญะของอตินราวกับถูกดูดกลืนหายไปด้วยจูบนี้ จนไม่ทันรู้สึกตัวว่ากำลังถูกไล่ต้อนกลับมาถึงเตียงนอนด้วยแรงนำจากคนตัวใหญ่ มาร์ชเลื่อนมือมาหยุดลงบนไหล่บาง แล้วผลักให้เด็กในความควบคุมนอนราบลงไปบนผ้าห่มสีขาว

เขาค่อยๆ ถอนริมฝีปากออกอย่างอ้อยอิ่ง เปิดโอกาสให้อตินได้หายใจหายคอ ก่อนจะกดจูบร้อนๆ ทาบไปกับลำคอขาว ไล่ต่ำลงมาตามแนวไหปลาร้า พร้อมใช้มือข้างหนึ่งปลดกระดุมเสื้อเกะกะไปด้วยอย่างชำนิชำนาญ เสียงหอบหายใจดังขึ้นทักถ้วง

“พ..พี่มาร์ช อย่าครับ..”

อตินพยายามยืดตัวหลบ พลางใช้สองแขนดันแผ่นอกแกร่งด้านบนออกห่าง แต่ก็ไม่ได้ผลนักเมื่อแรงของทั้งคู่ช่างแตกต่างกัน อีกทั้งส่วนลึกในความรู้สึกของเขาเอง ก็นึกต้องการสัมผัสเหล่านี้อย่างปฏิเสธได้ยาก

“พี่ทำแบบนี้กับเราคนเดียว เข้าใจไว้ด้วย” นิ้วชี้จิ้มลงมาอกแผงอกซึ่งกระเพื่อมขึ้นลงรุนแรงจากอารมณ์ภายในร่างกาย

“เรลล่าก็เป็นเหมือนน้องสาวเท่านั้นแหละ”

“มะ..ไม่ได้ถาม..สักหน่อย”

คนตัวใหญ่ยิ้มมุมปาก จ้องมองท่าทีเขินอายกับการพยายามหลบสายตาของคนเบื้องล่างด้วยความเอ็นดู บางทีเขาน่าจะทิ้งร่องรอยไว้บนตัวเด็กนี่ให้รู้แล้วรู้รอด แต่แบบนั้นอตินก็คงเดือดร้อน ไม่ไหวเลยนะ...

ทั้งที่เรารักกัน แต่ก็ไม่สามารถรักกันอย่างนั้นเหรอ

ถ้าแค่นายจะกล้าทำตามใจตัวเองสักนิด

ก็คงไม่ต้องเจ็บปวด...

แต่เพราะเป็นคนจิตใจดีอย่างนายนั่นแหละ ถึงได้ไม่กล้าทำแบบนั้น... ถึงอย่างงั้นก็เถอะ อติน...ความดีของนายมันกำลังส่งผลร้ายล่ะ ไม่ใช่ต่อตัวเอง และไม่ใช่ต่อเขาเท่านั้น

แต่มันกำลังทำร้ายซันเช่นกันด้วย
หัวข้อ: Re: ♡♡ ร้านกาแฟแห่งนี้มีความรักอยู่ ♡♡ by「aonair」 UP! บทที่ 24-26
เริ่มหัวข้อโดย: aonair13 ที่ 23-06-2016 20:59:38
30

 

สรุปว่าวันนั้นมาร์ชกับอตินโดนเบสกับน็อตบ่นตลอดวัน เหตุเพราะไปทำงานสายกว่าเวลาเปิดร้านตั้งครึ่งชั่วโมง ทั้งที่ควรจะทำธุระเสร็จตั้งแต่ก่อนหน้านั้นแล้ว สำหรับมาร์ชก็คงแค่ฟังแล้วผ่านไป แต่สำหรับอตินมันไม่ใช่ คำตำหนิของเบสน็อตเทียบไม่ได้กับการเมินเฉยจากซันเลยแม้แต่น้อย ก็ถ้าไม่โง่ก็คงดูออกอยู่แล้วว่าต้องเกิดอะไรขึ้นที่บ้าน ไม่อย่างนั้นเสื้อผ้าของพวกเขาคงไม่ยู่ยี่จนผิดสังเกต

ร้ายกว่านั้นก็คือการที่เขาไม่มีหน้าจะไปง้อ หรือไปอธิบายอะไรด้วยซ้ำ

กลายเป็นว่าตั้งแต่ตอนนั้นซันไม่ได้ปริปากคุยกับเขาอีกเลย นอกจากพยักหน้าสองที ส่ายหน้าทีนึง แล้วก็ต่างฝ่ายต่างเข้านอนแบบไม่บอกกล่าว คำว่าฝันดีที่เคยกระซิบข้างหู คืนนี้ก็ไม่มีให้...

มันน่าตีตัวเองไหมล่ะ อติน

 

เช้าวันรุ่งขึ้น ซันก็ยังคงเมินเฉย ถามคำตอบคำจนน่าใจหาย หยาดฝนตกพรำๆ มาตั้งแต่หกโมงจนถึงเวลาใกล้เปิดร้าน ยิ่งทำให้เขารู้สึกหม่นหมอง

เสียงประตูร้านดังขึ้นเรียกสายตาของทุกคนให้หันไปมอง พบว่าเป็นเรลล่าที่กำลังวิ่งหนีฝนเข้ามาภายใน มินรีบวิ่งไปหยิบผ้าเช็ดหัวหลังร้านมาส่งให้เธอซึ่งกำลังเดินผ่านมายังแถวเคาน์เตอร์ พี่คนอื่นๆ ต่างก็พากันถามไถ่ถึงอาการป่วยเมื่อวาน

“หายดีแล้วเหรอ?”

“ได้กินยา พักผ่อน ก็ดีขึ้นมากแล้วค่ะ”

“ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย ดูแลตัวเองด้วยนะ”

“ถ้าเหนื่อยก็บอกล่ะ ไม่ต้องหักโหมหรอก ช่วงนี้งานที่ร้านก็ไม่ค่อยยุ่งมากแล้ว เพราะเริ่มเข้าหน้าฝน คนออกจากบ้านลำบาก”

“ขอบคุณมากค่ะทุกคน”

“พี่เรลล่ารีบเช็ดหัวก่อนเถอะครับ” อตินรีบออกปากเตือน เมื่อสังเกตเห็นหยดน้ำเกาะไปตามเส้นผมสีบลอนด์ เธอเพียงแค่พยักหน้ายิ้มๆ แล้วปราดเข้าไปเขย่าแขนมาร์ชซึ่งกำลังเดินเครื่องชงกาแฟ

“มาร์ช เช็ดหัวให้หน่อยสิ”

“แค่นี้ทำเองสิ”

“หูย มาร์ชอ่า!”

คนตัวสูงจิ้มนิ้วลงบนหน้าผากมน ดูราวกับพี่ชายกำลังดุน้องสาว แต่สุดท้ายก็ยอมดึงผ้าขนหนูในมืออีกฝ่ายมาเพื่อเช็ดหัวให้อยู่ดี แบบนี้จะทำให้ได้ใจกันไปใหญ่

อตินพยายามอย่างมากที่จะเชื่อใจและไม่คิดอะไรบ้าๆ เขาทำทีเป็นเดินเข้าไปช่วยพี่คนอื่นจัดแจงโต๊ะเก้าอี้เพื่อจะได้ไม่ต้องทนยืนมองภาพบาดตา แม้ว่ามาร์ชจะบอกว่าเป็นแค่พี่น้อง แต่เขาก็ยังไม่ชอบที่เห็นมัน ไม่ชอบเลยถ้าจะมีน้องคนไหนสำคัญไปกว่าตัวเอง...

“ให้เช็ดไม่ใช่กระชาก” เสียงเรลล่ายังคงดังลอดเข้ามาแม้จะทำเป็นไม่สนใจแล้วก็ตาม เขาว่าเขาควรขังตัวเองไว้หลังร้าน ไม่ก็ไปช่วยพี่แจนในครัวให้จบๆ ไป หลังเคาน์ต่งเคาน์เตอร์อะไรกัน ไม่ได้อยากทำสักหน่อย..

“เฮ้ย!”

คนหงุดหงิดใจร้องเสียงหลงเมื่อร่างทั้งร่างกำลังจะล้มแหล่มิล้มแหล่ เพราะพื้นที่เปียกน้ำและความไม่ระวัง เขารีบกางแขนออกหวังช่วยทรงตัว แต่สิ่งที่ประคองไม่ให้หน้าคว่ำหลังคะเมนลงไป กลับเป็นความช่วยเหลือจากร่างหนา ซึ่งตรงเข้าชาร์จทันภายในเสี้ยววินาที ท่ามกลางความใจหายของสมาชิกร้าน เสียงดุดันก็ดังขึ้นข้างหู

“เดินดูทางบ้าง ไม่ใช่เอาแต่เหม่อ”

“พ..พี่ซัน”

อตินประคองตัวจนกลับมายืนเต็มความสูงได้ดังเดิม ขณะที่น็อตรีบวิ่งไปหยิบไม้ถูพื้นมาจัดการกับรอยน้ำหกบนพื้น เบสต้องคอยตะโกนสั่งให้คนอื่นๆ หันกลับไปสนใจธุระตัวเองหลังจากสถานการณ์ชวนหวาดเสียวเมื่อครู่คลี่คลาย คงหลงเหลือเพียงแค่อตินกับซันที่ยังเล่นจ้องตากัน ไม่พูดไม่จา

ความจริงคือ เขาไม่รู้ว่าจะพูดยังไงดี กับซันตอนนี้มันชวนให้อึดอัดแปลกๆ ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมคุยกับเขาเลยทั้งวันทั้งคืน ทั้งที่คิดว่าจะโดนโกรธมากขนาดไหน สุดท้ายก็ยังเป็นมือคู่นี้ที่ตรงเข้ามาช่วยเขาไว้ทันทุกที

อะไรกัน...

“เป็นอะไรรึเปล่า?” ซันเอ่ยปากถามเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายดูช็อคไป อตินรีบสะบัดหัวแล้วส่ายหน้า

“เปล่าครับ พี่ซัน ขอบคุณนะ”

“อือ”

อตินตั้งท่าจะเอ่ยปากพูดอะไรต่ออีกสักหน่อย แต่ซันกลับปั้นหน้านิ่งแล้วเดินจากไปเมื่อเห็นว่าเขายืนทรงตัวดีแล้ว สุดท้ายก็ยังคุยกันดีๆ ไม่ได้สินะ

เพราะเขามันแย่เอง ทั้งที่ตั้งใจว่าจะหักใจ ทั้งที่ตั้งใจว่าจะอยู่เคียงข้างซันเอง แต่เขากลับต้านความรู้สึกภายในไม่ได้ และกำลังจะทรยศอยู่ทุกเมื่อแล้ว...

ไลน์!

คนตัวเล็กสะดุ้งเมื่อเสียงเตือนข้อความเข้าจากแอพพลิเคชั่นไลน์ดังขัดจังหวะ เขารีบหยิบมือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วแอบเดินไปหลบมุมเพื่อเปิดอ่าน ไม่กล้าให้เบสกับน็อตเห็น ชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอทำให้เขารู้สึกคลายใจแม้ว่าจะมีเรื่องเครียดในหัวก็ตาม

[Leo Beer: เป็นยังไงบ้าง]

[ATIN: พี่เลโออออ]

อตินพิมพ์แบบลากเสียงยาวเป็นหางว่าว ช่วงหลังมานี้เขาไม่ค่อยได้คุยกับเลโอเลย โดยเฉพาะหลังจากเรลล่าเข้ามาทำงาน ดูเหมือนเขาเอาแต่คิดมากไม่เป็นเรื่องจนแทบลืมโลกภายนอก ก็เกือบลืมไปว่ายังมีพี่ชายคนนี้อยู่อีกคน คนที่เขาสามารถระบายทุกเรื่องให้ฟังได้

[ATIN: ช่วงนี้ผมเครียดมาก ผมขอไปเจอพี่ได้ไหม?]

ฟังดูอ่อยแรง แต่เขาแค่ต้องการที่พึ่งพิงสุดท้าย ในสถานการณ์กืนไม่เข้าคายไม่ออกแบบนี้

[Leo Beer: เอาสิ พี่ก็อยากเจอเราอยู่พอดี]

[ATIN: ให้ไปเจอที่ไหนดีครับ?]

[Leo Beer: ร้านเก่าที่เราเคยมาละกัน]

[Leo Beer: คืนพรุ่งนี้นะ]

[ATIN: โอเคเลย แล้วเจอกันนะครับ]

[ATIN: เดี๋ยวผมทำงานก่อนละ]

อตินเก็บมือถือกลับเข้ากระเป๋าทันทีโดยไม่รออ่านข้อความตอบกลับจากอีกฝ่าย เพราะมินเพิ่งเดินไปพลิกป้าย OPEN ออก พร้อมกับลูกค้ากลุ่มแรกที่มายืนรอตั้งแต่ห้านาทีก่อน

เขารีบเดินกลับไปที่เคาน์เตอร์ แต่ก็ต้องชะลอฝีเท้าลงเมื่อเห็นภาพมาร์ชกำลังช่วยผูกผ้ากันเปื้อนให้เรลล่าอย่างตั้งอกตั้งใจ นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่ลืมไปเหมือนกัน... ลืมไปเลยว่าตอนนี้ หน้าที่ของเขามันไม่ได้อยู่ตรงหลังเคาน์เตอร์ ไม่ได้อยู่...ข้างๆ มาร์ชอีกแล้ว

“เฮอะ” อตินอดจะส่งเสียงหงุดหงิดออกมาไม่ได้ ก่อนจะเปลี่ยนจุดหมายปลายทางไปยังห้องครัว โดยไม่หันกลับไปมองคู่รักเก่านั่นอีก

ภายในห้องครัว ยังคงมีบรรยากาศอบอุ่นแบบคุณแม่และพี่สาวคนโต กลิ่นแป้งกับครีมชวนให้เขาท้องร้องอยู่เสมอถึงแม้จะเพิ่งกินข้าวเช้าไปก็เถอะ

“พี่แจน พี่น็อต คืนพรุ่งนี้ผมขอกลับบ้านดึกหน่อยนะครับ”

“อะไรๆ เดี๋ยวนี้จะเกเรแล้วหรอ” น็อตตั้งท่าเป็นแม่ แล้วย่างเท้าเข้ามาใกล้ ในมือถือถาดขนมเตรียมนำไปวางโชว์ด้านนอก

“เปล่านะครับ ผมแค่นัดพี่เลโอไว้”

“อ่า นายเลโอ”

“ไปใกล้ๆ บ้านพักนี่เอง ไม่ต้องห่วงหรอกครับ”

“งั้นก็ได้ แต่อย่าให้ดึกมากล่ะ วันรุ่งขึ้นยังต้องทำงานนะ ห้ามป่วยห้ามพักห้าม..”

“เข้าใจแล้วคร้าบๆ” อตินยกสองมือขึ้นโบกไปมาเพื่อเบรกการเทศนาของน็อตไว้ก่อน คนเป็นพี่ถอนหายใจแล้วยิ้มเอ็นดู ก่อนจะส่งสัญญาณให้เขาเข้าไปเป็นลูกมือแจนแทน ขณะที่ตัวเองยกขนมออกไปเรียงบนชั้น

“จะไปหาเลโอ มีอะไรรึเปล่า?” แจนถามขึ้นเหมือนรู้ทันไปหมด

เขาเองก็ไม่ได้ซื่อบื้อจนดูไม่ออก ว่าตอนนี้ทุกคนในร้านคงประจักษ์กันหมดแล้ว ถึงความสัมพันธ์และความรู้สึกอันสุดจะซับซ้อนซ่อนเงื่อนของพวกเขาทั้งสาม มันคงเป็นสิ่งที่ทำให้บรรยากาศในร้านไม่ค่อยดีนักมาสักพักแล้ว...บางที เขาก็อยากให้ทุกอย่างกลับไปเป็นเหมือนเดิม

หรือไม่ก็แค่ทำให้ทุกอย่างมันจบสักที...

“ผมอยากไปเคลียร์ทุกอย่างครับ”

 

แต่ละชั่วโมง นาที วินาทีที่ผ่านไปตลอดทั้งวันทั้งคืน คือความทรมานของเขาที่ต้องทนอยู่กับความรู้สึกมากมายในอก เขาต้องทนกับความเฉยชาจากซัน แล้วยังต้องทนกับความพยายามเอาชนะใจมาร์ชของเรลล่าด้วย แต่แย่ที่สุดก็คือการที่ต้องทนข่มใจตัวเองไม่ให้เตลิดเปิดเปิงนี่แหละ

ในที่สุดก็ถึงเวลานัดกับเลโอ ณ ร้านเหล้าสไตล์นั่งชิลร้านเดิม โต๊ะเดิมตรงมุมที่เอะอะน้อยที่สุด มีเลโอกำลังยืนกวักมือเรียกเขาให้เข้าไปเหมือนเคย รอบข้างมีจิน เคฟ ไทป์ กับ ไนล์ ส่วนคนอื่นนั้นไม่เห็นวี่แวว

“พี่ๆ สวัสดีครับ” อตินยกมือไหว้เรียงคน ก่อนทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ไม้ข้างเลโอ ซึ่งเคฟเป็นคนลากมาไว้ให้ ตอนนี้นักดนตรีประจำร้านกำลังเล่นเพลงช้าสบายๆ ทำให้เสียงไม่ดังเท่าไร

“ว่าไงเรา เครียดอะไรฮึ?” เลโอจับหัวเขาโยกสองสามที

“ก็เรื่องพี่มาร์ชกับพี่ซันนั่นแหละครับ”

ทุกคนบนโต๊ะต่างเหลือบมองใบหน้าซึมกระทือของเขาเงียบๆ แม้แต่พนักงานร้านคอเดียเองก็ยังดูออก ถึงเรื่องราวอันปั่นปวนชวนวิงเวียนศรีษะนี้

“ผมรู้นะว่าพี่ซันรู้ เรื่องที่ผมชอบพี่มาร์ช แต่พวกเราก็ยังพยายามหลอกตัวเอง พยายามจะประคองความสัมพันธ์เอาไว้”

“ความจริงพี่เคยคุยกับไอ้ซันเรื่องนี้แล้วนะ”

“หะ”

“พี่บอกมันแล้ว ว่าพวกนายจะฝืนคบกันต่อไปไม่ได้หรอก แต่มันก็ไม่เชื่อ สุดท้ายก็จะเจ็บกันหมด ทั้งอตินทั้งมาร์ช แล้วก็ทั้งมันด้วย”

“ใช่ครับ...มันฝืนไม่ได้เลยจริงๆ”

แม้ว่าเขาเองก็พยายามจะทำให้ได้เช่นกัน แต่ก็เข้าใจแล้วว่าไม่ได้ ยังไงก็หนีความรู้สึกตัวเอง หลอกหัวใจตัวเองไม่ได้ ทุกวันนี้เขากับซันแทบไม่ได้คุยกันเลย ราวกับว่าความพยายามที่ผ่านมากำลังเดินหน้ามาถึงจุดสิ้นสุด เขาไม่สามารถมองตาแล้วรู้ใจซันได้เหมือนเก่า

ตอนนี้ เขาไม่รู้จริงๆ ว่าซันกำลังรู้สึกยังไง คิดอะไรอยู่ และจะทำยังไงต่อไป

ความสัมพันธ์ที่ถูกสร้างขึ้น มันค่อยๆ พังทลาย โดยที่เขาทั้งคู่ต่างรู้ดี...

แต่กลับไม่ยอมพูดมันออกมาให้เคลียร์สักที

ในขณะที่เรื่องราวต่อซันกำลังโคลงเคลงและไม่แน่ใจ ความรู้สึกที่เขามีต่อมาร์ชกลับยิ่งชัดเจน โดยเฉพาะตั้งแต่เรลล่ากลับมา เขารู้เลยว่าตัวเองรักและหวงมาร์ชขนาดไหน แต่ถึงจะรู้สึกขนาดไหน ในฐานะน้องคนหนึ่ง เขาก็ทำอะไรไม่ได้ทั้งนั้น

มันถึงได้ทรมานและสับสนจนแทบจะเป็นบ้าอยู่แล้ว

ไอ้เรื่องบ้าๆ ที่กำลังดำเนินอยู่เนี่ย เขาอยากให้มันจบลงซะตอนนี้เลยได้ก็ดี!

“อ้าว คอเดียไม่ใช่เหรอน่ะ?” เสียงสดใสคุ้นหูดังขึ้น ช่วยดึงอตินออกจากความคิดนับล้านในหัว

ภาพที่ปรากฏต่อหน้าคือเรลล่าที่กำลังเดินควงแขนมาร์ชตรงมาทางโต๊ะของพวกเขา มาร์ชดูตกใจเล็กน้อยที่ดันมาเจอกันในสภาพนี้ ผิดกับอตินที่ตกใจมากจนแทบอยากจะลุกหนี เขาพยายามหันไปขอความช่วยเหลือจากเลโอ แต่อีกฝ่ายยังเอาแต่กดโทรศัพท์ กว่าจะเงยหน้าขึ้นมาได้ เคฟก็ถือวิสาสะชวนสองคนนั้นเข้ามานั่งร่วมโต๊ะซะดิบดีแล้ว

นี่มันเรื่องอะไรถึงทำให้ต้องมาเจอมาร์ชกับเรลล่าที่นี่ ทั้งที่เขาตั้งใจจะหนีจากการมีสองคนนั้นอยู่ในสายตาแท้ๆ เชียว ฮึ แล้วมันเรื่องอะไรถึงได้ควงกันมาร้านเหล้าสองต่อสองโดยไม่บอกกันสักคำ

“ไม่เจอกันนานเลยนะเรลล่า” จินทักทายพร้อมยิ้มตาหยี หญิงสาวหนึ่งเดียวรีบโบกไม้โบกมือแล้วยิ้มตอบตาหยีไม่แพ้กัน

“ถ้างั้นต้องเลี้ยงนะ” เรลล่าพูดติดตลก แต่ไทป์กลับพูดแทรกขึ้นมากลางปล่อง ดูท่าทางจะเริ่มเมาบ้างแล้ว จนไนล์ต้องเกี่ยวแขนสีคล้ำเอาไว้ไม่ให้พุ่งตัวออกไป

“ไม่ต้องเลย ควงลูกเศรษฐีมาซะขนาดนี้”

ทุกสายตาเลื่อนไปหาลูกเศรษฐีที่ว่า มาร์ชตีหน้านิ่งเฉย แล้วยกมือเรียกพนักงานแบบไม่ยี่หระนัก ก็จริงสิ เขาเกือบลืมไปเลยว่าผู้ชายชื่อมาร์ช แท้จริงแล้วมีเงินมากมายขนาดไหน ไม่สิ...ความจริงพนักงานร้าน Café de Sept ทั้งหมดก็เป็นพวกมีฐานะที่แค่อยากหาเวลาเล่นสนุกในร้านกาแฟไม่ใช่เหรอ

“เห็นว่ากลับมาช่วยงานรอเรียนเหรอ?” ไนล์ตีไหล่ไทป์ให้อยู่นิ่งๆ แล้วโยนประเด็นอื่นเข้าแทนที่

ระหว่างที่พวกคอเดียกำลังพูดคุยกับมาร์ชและเรลล่าที่ไม่ได้เจอกันนาน อตินก็ซัดเหล้าบนโต๊ะไปแล้วสองแก้วเต็มด้วยความเร็วแสง แม้ว่าเลโอจะพยายามห้ามแต่เขาก็ดื้อจนได้

ความจริงคือเขาต้องการหาอย่างอื่นสนใจ แทนที่ภาพของคู่รักเก่าซึ่งกำลังบาดตาอยู่ใกล้แค่เอื้อม เขาแทบไม่กล้าหันไปมองด้านนั้นเลย จึงไม่ทันเห็นว่ามาร์ชกำลังเหลือบมองมาเป็นระยะๆ ท่าทางเป็นห่วงแต่ก็ไม่อาจพาตัวเองหลุดออกจากบทสนทนาตรงหน้า

“อติน ใจเย็น” เลโอปรามเมื่อเห็นว่าเขาเอาแต่กระดกแก้วในมือซ้ำแล้วซ้ำเล่าแบบไม่วางมือ ทั้งเนื้อทั้งตัวเริ่มร้อนผ่าว พวงแก้มสองข้างแปรเปลี่ยนเป็นสีชมพูเข้ม พ่วงด้วยสายตาหยดเยิ้มจนชักกลัวว่าจะฟุบแหล่มิฟุบแหล่

 

I don't like the way he's looking at you
​          I'm starting to think you want him too

 

ลำโพงในร้านดังเป็นเพลงจังหวะกลางๆ แต่ความหมายนี่เหมือนโดนตบหน้ากลางสามแยกตอนเที่ยงตรง แม้ว่าสติสตังเขาจะเริ่มล่องลอยไปส่วนหนึ่งแล้ว แต่เสียงเพลงกลับยังดังชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ในโสตประสาท เลโอถอนหายใจให้กับความรั้นของน้องชายคนนี้ ก่อนค่อยๆ ประคองศีรษะโงนเงนของอตินให้พักไว้บนโต๊ะซึ่งถูกเคลียร์ขวดแอลกอฮอลล์ทั้งหมดออก ตอนนี้เขาเหมือนคนกึ่งหลับกึ่งตื่น แม้จะฟุบตัวลงกับโต๊ะไปแล้ว แต่มือขวาก็ยังคงกำแก้วน้ำสีอำพันไว้แน่น หางตาแอบชายมองเรลล่ากับมาร์ชซึ่งยังคงเฮฮาอยู่กับเคฟและคนอื่นๆ

ทั้งที่อยู่ต่อหน้าแค่นี้ แต่เหมือนมองไม่เห็นกันเลยนะ

เพราะมีเรลล่าบังตาอยู่หรือไง...

อ้อ ไม่สิ

แบบนี้ต้องเรียกว่าบังใจ.....

 

​​​I turn my chin music up
​          And I'm puffing my chest
​          I'm getting ready to face you
​          You can call me obsessed


เพลงในร้านราวกับถูกปรับ volumn ให้ดังขึ้นอีก แต่ก็ไม่ได้ทำให้เสียงพูดคุยบนโต๊ะเดียวกันเบาลงไปได้เลย ยิ่งกับเสียงแหลมเล็กแสบแก้วหูที่ดูเหมือนจงใจให้เขาได้ยินแล้วด้วย

“ฉันว่าฉันจะกลับมาคบกับมาร์ชล่ะ” เรลล่ากระแทกเสียงแข่งกับบรรยากาศวุ่นวายรอบตัว มาร์ชไม่โต้แย้งอะไรแต่ก็ไม่ได้ยอมรับ ท่าทางหญิงสาวจะค่อนข้างมึนในระดับหนึ่ง

ท่ามกลางความยินอกยินดีจากพนักงานคอเดียที่ไม่รู้เรื่องอะไรกับเขา อตินเผลอปล่อยแก้วน้ำในมือจนกลิ้งลงไปแตกบนพื้น กระจัดกระจายไปทั่วเบื้องล่าง

“กรี๊ดด!”

เรลล่าร้องแว้ด พอดีกับที่เลโอรีบลุกขึ้นยืน แล้วพยายามจะอุ้มร่างเปื่อยๆ ของเขาให้หลบเศษแก้ว แต่ไม่ทันที่มือของเลโอจะแตะถูกตัว อตินก็เป็นฝ่ายดึงตัวเองขึ้นจากโต๊ะเอง พร้อมตะโกนเสียงดังอย่างลืมอาย

“ไม่ได้!!”

ทุกคนบนโต๊ะตีหน้าเหลอหลา พนักงานร้านที่กำลังจะเข้ามาจัดการกับแก้วที่แตกหยุดชะงักไป ลูกค้าท่านอื่นคอยเหลือบสังเกตการณ์อย่างสอดรู้ เด็กชายร่างผอมบางท่าทางไม่มั่นคงก้าวขาผ่านหน้าเลโอไปทางเรลล่ากับมาร์ช ใบหน้าแดงจัดจากฤทธิ์เหล้าทำเอาคนโตกว่านึกเป็นห่วง แต่กลับปรามอะไรไม่ทัน

อตินกล่าวเสียงเย็นอย่างคนไม่ได้สติเท่าที่ควร แต่นั่นก็น่ากลัวพอจะทำให้เรลล่าถึงกับขนลุกไปวูบหนึ่ง

“พี่มาร์ชเป็นของผม”

“มะ..หมายความว่ายังไง?” เรลล่ารีบย้อนถาม พลางจ้องหน้าอตินกับมาร์ชสลับไปมาหลายที พวกคอเดียคนอื่นๆ ก็ทำแบบนั้นเช่นกัน

“พี่มาร์ชเขารักผม ไม่ได้รักพี่เรลล่า!”

“หะ..”

“ผมไม่ยอมให้พี่เรลล่ามายุ่งกับพี่มาร์ชแล้ว ผมกับพี่มาร์ช เรา-รัก-กัน”

อตินเน้นแต่ละพยางค์ชัดเจน จนเรลล่าเถียงไม่ออก เธอยืนเอ๋ออยู่สองจุดสามวิ ก่อนจะรีบสะบัดหัวรัวๆ แต่อตินก็ไม่ยอมเว้นช่วงให้ใครได้เถียง

“ผมเจอพี่มาร์ชก่อน รักพี่มาร์ชก่อน แล้วเรายังมีอะไ...อื้ออ” คนไม่มีสติสะบัดตัวอย่างหงุดหงิด เมื่อจู่ๆ มาร์ชก็รีบพุ่งเข้ามาปิดปากเขาไว้ด้วยมือใหญ่ สายตาดุๆ ที่ส่งมา ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกกลัวอย่างทุกทีอีกแล้ว

บางทีเขาอาจจะเมามาก จนสมงสมองไม่สั่งการ สต่งสติมันถึงขาดผึ่งแบบกู่ไม่กลับ

ทันทีที่เลาะมือของมาร์ชออกไปได้ อตินก็รั้งคอเสื้ออีกฝ่ายลงมาประจันหน้ากันอย่างแรง ท่าทางกราดเกรี้ยวดูไม่สมกับเป็นอตินที่ทุกคนรู้จัก แต่ถึงอย่างนั้น มาร์ชกลับนึกชอบใจในความตรงไปตรงมาเกินร้อยเปอร์เซ็นอย่างตอนนี้

“พี่มาร์ชห้ามยุ่งกับคนอื่นนะ” น้ำเสียงเด็ดขาดดังลอดไรฟัน ก่อนที่คนตัวเล็กจะทำในสิ่งที่เขาไม่คาดคิด

อตินไม่รอให้มาร์ชพูดอะไรกลับ ก็ดึงคอเสื้ออีกฝ่ายลงต่ำกว่าเดิมพร้อมยืดตัวเองขึ้นสูง ริมฝีปากอุ่นจากความรุ่มร้อนในร่างกายถูกบดขยี้เข้ากับริมฝีปากของคนด้านบนอย่างเก่งกาจ มาร์ชเผลอยิ้มดีใจไปกับท่าทีขี้หวงของเด็กที่เคยปากหนักเหลือเกิน ก่อนจะเริ่มตอบรับจูบจากอตินท่ามกลางสายตาอึ้งๆ จากทุกคนทั่วบริเวณ

ก็เพิ่งรู้ว่าต้องเมาก่อน ถึงจะยอมทำตามใจตัวเองได้สักที

ไอ้เด็กนี่...มันน่าลงโทษให้ปากช้ำไปเลยจริงๆ ให้ตาย

“อ..อื้อ” อตินขมวดคิ้วมุ่นเมื่อเริ่มขาดอากาศหายใจ มาร์ชแกล้งดูดลิ้นเล็กหนักๆ อีกสองสามที จึงยอมปล่อยให้เด็กปากเก่งกลับไปยืนหอบตัวโยน

ดูเหมือนจูบเมื่อกี้จะถูกสูบเรี่ยวแรงไปซะหมด เขาถึงยืนด้วยตัวเองไม่ได้เลย ต้องคอยเกาะเสื้อเชิ้ตของคนตรงหน้าเอาไว้ตลอด สติที่เริ่มกลับเข้าร่างเป็นตัวเร่งให้หัวใจเต้นรัวจนแทบระเบิดออกมาจากอก ใบหน้าที่เคยแดงจากฤทธิ์เหล้ายิ่งแดงซ่านขึ้นไปอีกด้วยความเขินอายระดับเก้าร้อยเก้าสิบเก้า

พอนึกได้ว่าเมื่อกี้พูดอะไรออกไป และทำอะไรออกไป...

...

...

อ๊ากกกกกกกก!!!!

อยากฉีกร่างตัวเองออกเป็นชิ้นๆ แล้วโยนให้แมวกินเดี๋ยวนี้เลยไอ้บ้าเอ๊ย! อตินแบ๊ม! นี่เขาทำบ้าอะไรลงไป๊ โอ้ยยย ตายๆๆ แบบนี้เขาไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองโลกแห่งความเป็นจริงอีกต่อไปแล้ว ฮือ ใครก็ได้เดินเอามีดมาแทงเขาที ตอนนี้เลย!

“สรุปว่า...”

มาร์ชโน้มตัวลงมากระซิบข้างหู แต่ก็เป็นการกระซิบที่ดูกวนตีนดี เพราะมันดังจนแทบจะกลบเสียงดนตรีในร้านไปซะหมด

“...”

“พี่เป็นของอตินนะ”
หัวข้อ: Re: ♡♡ ร้านกาแฟแห่งนี้มีความรักอยู่ ♡♡ by「aonair」 UP! บทที่ 24-26
เริ่มหัวข้อโดย: aonair13 ที่ 23-06-2016 21:15:13
31

 

“หวะ..!?”

คนตัวเล็กถูกมือใหญ่ลากออกไปทั้งที่ใบหน้าแดงก่ำ เขาเหลือบเห็นเงาของใครบางคนปะปนไปกับแขกในร้านแต่ก็ไม่มีเวลาให้ได้สนใจเท่าไรนัก มาร์ชเอาแต่ดึงเขาไปมาตามถนนอย่างเอาแต่ใจ แถมไม่ปริปากสักคำว่าจะไปไหน

สุดท้าย พวกเขาก็มาหยุดอยู่บนเนินหญ้าติดลำธาร ที่เดิมที่เคยหนีออกจากบ้านมานอนดูดาวด้วยกันคราวนั้น

“พี่คิดว่าจะไม่ได้อตินคืนแล้วซะอีก”

“ม..หมายความว่าไง..ครับ”

อตินถามอึกอักขณะหย่อนตัวลงด้านหน้ามาร์ชตามคำสั่งจากอีกฝ่าย คนโตกว่ายิ้มกว้างแล้วเชยคางลงกับศีรษะเล็ก

“พี่รู้นะว่าอตินชอบพี่”

“หะ...” ใบหน้าแดงก่ำยิ่งแดงขึ้นอีกเท่าตัว เขาแทบไม่กล้าหันกลับไปเผชิญหน้ากับคนด้านหลังอีก

“แต่เพราะเรื่องซัน มันถึงขัดขวางความรู้สึกของเรา”

“...”

“พี่ไม่อยากให้อตินฝืนตัวเองอีกต่อไปแล้ว เป็นแบบนี้ก็มีแต่เจ็บกันทุกฝ่าย โดยเฉพาะซันนั่นแหละ อตินต้องยอมรับความจริง ที่ว่าอตินไม่ได้รักมัน!”

“แต่ว่า..”

“ไม่มีแต่แล้วอติน ซันมันก็รู้ดีแก่ใจว่าอตินคิดยังไง ตอนนี้มันเจ็บปวดเพราะต่างก็ฝืนกันหมด ถึงเวลาจบไอ้เรื่องบ้าๆ นี่สักที”

“ตะ...” อตินรีบกัดปาก ไม่ขอต่อล้อต่อเถียงอะไร ในเมื่อในใจเขารู้ดีว่าสักวันต้องเป็นแบบนี้ และสักวันทุกอย่างที่พยายามรั้งกันมา ก็ต้องจบ...

พวกเขาทนฝืนต่อไปไม่ได้จริงๆ นั่นแหละ

“เมื่อกี้...พี่ดีใจนะ ที่ได้ยินแบบนั้น”

อยู่ดีๆ มาร์ชก็เปลี่ยนเรื่องหลังจากปล่อยให้เขาจมอยู่ในความคิดสักพัก แต่มันคงดีกว่านี้ถ้าจะไม่ยกเรื่องเมื่อกี้ขึ้นมาพูดอีก ฮือออ เมื่อกี้เขาเมานะถึงได้ทำตัวบ้าๆ ออกไป พ่อกับแม่ต้องร่ำไห้ให้กับความหน้าไม่อายของลูกชายคนนี้แน่นอนเลย

 “ฮือ เลิกพูดถึงมันเถอะครับ”

“ได้ไง ไหนพูดอีกทีซิ” มาร์ชแสยะยิ้ม แล้วใช้มือจับคางเขาให้หันไปหา

ทั้งที่ร่างกายเขาร้อนไปหมดด้วยความเขินอาย อีกฝ่ายกลับยิ้มกรุ้มกริ่มอยู่ได้...

“พูดอีกทีซิ...ว่าพี่เป็นของใคร?”

“อึ่ก..”

แม้จะอยากหลบสายตาตรงหน้า แต่ท่าทีจริงจังของมาร์ชก็ทำให้เขาหนีไปไหนไม่รอด อตินกลั้นใจเพียงเสี้ยววินาที ก่อนตัดสินใจส่งเสียงออกมา เบายิ่งกว่าลม

“..ข..ของ อติน..”

“ใช่ พี่เป็นของอติน แล้วอติน...ก็เป็นของพี่”

คนตัวสูงยกยิ้ม ก่อนโน้มตัวเข้ามาจูบปิดปากเขาไว้อย่างไม่บอกกล่าว มือเล็กเอื้อมจับชายเสื้อมาร์ชไว้ทันทีที่ลิ้นอุ่นถูกส่งผ่านเข้ามาอย่างจู่โจม ดูเหมือนเขาไม่สามารถขัดขืนจูบนี้ได้เลยแม้เพียงนิดเดียว ในเมื่อทั้งหัวใจเอาแต่ร่ำร้องด้วยความคิดถึง...

คิดถึงจูบที่อบอุ่นของพี่มาร์ช...

มาร์ชถอนจูบออก ปล่อยให้อตินเอนหลังลงซับแผ่นอกตัวเอง พร้อมปล่อยให้เวลาผ่านไปเรื่อยๆ จนแทบจะเรียกว่าเอื่อยเฉื่อย เขาอยากให้คนตัวเล็กได้ซึมซับความผ่อนคลายในตอนนี้เอาไว้ให้มากที่สุด เพราะรู้ดีว่างานหินกำลังรออยู่ในอีกไม่ช้า

อตินจะต้องบอกความจริงกับซัน

จะต้องไปทำให้มันจบ

 

“อยู่คนเดียวได้นะ” มาร์ชยังกังวล ไม่ยอมปล่อยมืออตินเลยจนถึงหน้าห้อง คนอื่นคงเข้านอนหมดแล้ว

“ไม่เป็นไรครับ ผมโอเค”

“อืม พรุ่งนี้พี่จะรอ”

“ครับ” มือใหญ่บีบให้กำลังใจเป็นครั้งสุดท้ายของวัน ก่อนดึงคนตัวเล็กเข้ามาใกล้ แล้วกดจูบลงบนหน้าผากมน มาร์ชเดินอ้อยอิ่งกว่าจะยอมเข้าห้องตัวเองไป

หลังจากนี้ก็มีแค่เขา ที่จะต้องเป็นคนจบเรื่องนี้ด้วยตัวเอง

ประตูไม้ถูกเปิดออกช้าๆ หัวใจเต้นรัวด้วยความตื่นเต้น เขาคลำทางไปทางสวิชต์ไฟ แต่เมื่อทั้งห้องสว่างขึ้นเขากลับขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ ไม่มีใครอยู่ข้างในนั้น...

ซันไม่อยู่งั้นเหรอ...?

อตินเดินตรงไปทางตุ๊กตาไม้ที่ดูเหมือนเพิ่งถูกหยิบออกมาวางไว้บนโต๊ะพับ ที่ซันใช้ประจำตอนทำงานแกะสลัก เป็นตุ๊กตารูปร่างผู้ชายสองคนกำลังยืนจับมือกันอยู่ คนด้านซ้ายแน่นอนว่าคือเขาเอง เพราะสีชมพูที่ถูกป้ายลงไปตรงหน้าม้า กับผมสีน้ำตาลด้านหลังมันชัดเจนจนไม่ต้องเดา นี่คือตุ๊กตาตัวเดียวกันกับที่ซันง่วนอยู่กับมันช่วงหลังมานี้

ส่วนตัวทางด้านขวา เขาไม่แน่ใจ...มันคงจะเป็นซัน ถ้าดูจากหมวกใบใหญ่ที่ครอบหัวมันไว้ หมวกสีน้ำตาลที่ยังลงสีไม่เสร็จ ถูกสว่านเขียนเป็นคำว่า WANG เอาไว้ด้านบน ใช่หมวกของซันร้อยเปอร์เซ็นเลย แต่มันออกจะใหญ่โตเกินไปจนดูไม่สมส่วนหรือเปล่า...ทำไมมันใหญ่จนบังลงมาแม้กระทั่งลำคออย่างนี้

มือซุกซนกับหัวใจที่กำลังสูบฉีบด้วยความอยากรู้อยากเห็นเอื้อมออกไปจับปีกหมวกไม้เอาไว้ ก่อนค่อยๆ เปิดมันออกเพื่อพบกับสีแดงสดที่ถูกระบายลงไปบนส่วนผมของตุ๊กตาอีกตัว

เขาได้แต่ค้างมือนั้นไว้กลางอากาศ ดวงตาสั่นไหวจับจ้องไปยังตุ๊กตาไม้ของซันบนโต๊ะ หัวใจที่เต้นรัวเมื่อครู่ยิ่งถูกบีบรัดจนแสบหน้าอก...ไม่ใช่อตินกับซันหรอกเหรอ...

แอดด...

เสียงประตูห้องเปิดกว้างออกอีกครั้ง ทำให้อตินต้องรีบวางของในมือลงแล้วหันกลับไปยืนเต็มความสูง ซันกำลังก้าวขาเข้ามา ขอบตาแดงก่ำขนาดนั้นตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้

“พี่ซัน...”

“...”

อตินพยายามส่งสายตาคำถามไปให้ แต่ซันกลับเอาแต่เสมองไปทางอื่น เขาพอจะเดาออกแล้วว่าเมื่อกี้มันเกิดอะไรขึ้น เงาของใครบางคนที่ร้านเหล้า คือคนตรงหน้าเขานี่เอง...

“นี่มันอะไรกันครับ?” อตินถามถึงเรื่องตุ๊กตาซึ่งดูยังไงมันก็คือ อตินกับมาร์ชจับมือกันไม่ผิดแน่

คนตัวเล็กตรงเข้าไปคว้ามือใหญ่ที่ชื้นเหงื่อ ออกแรงเขย่าเหมือนต้องการเรียกสติซันกลับมา ตอนนี้สภาพของเขาดูไม่ดีเลย

“พี่ซัน ผมถามว่านี่มันอะไร?”

“พี่ทำให้นาย..”

“ทำไม...?” ถามเสียงอ่อน ตัวเขาเองก็รู้สึกปวดร้าวพอๆ กัน

“เพราะพี่รั้งตัวนายไว้ นานเกินไป...”

ซันยอมหันมาสบตาด้วย หากแต่หัวคิ้วที่ขมวดเข้าหากัน ยิ่งทำให้ภาพตรงหน้าแลดูเปราะบางจนคล้ายว่าจะแตกสลายลงได้ทุกเมื่อ ไม่รู้ว่าต้องใช้ความพยายามมากเท่าไรในการฝืนพูดคำแต่ละคำออกมา

“พี่รักนาย และอยากเป็นเจ้าของนาย...ทั้งที่รู้แก่ใจดีว่า นายไม่ใช่ของพี่”

“...”

“..และไม่มีวันเป็นของพี่ด้วย”

อตินเผลอบีบมือที่จับอยู่แน่น เมื่อสังเกตถึงความสั่นเครือในน้ำเสียงของอีกฝ่าย ดวงตาเรียวมีหยดน้ำวูบไหวอยู่ภายในนั้น แต่ถึงแม้ว่าเขาจะเสียใจมากแค่ไหน ยังไงก็ต้องฝืนทำให้เรื่องทั้งหมดมันจบลงสักที ไม่ใช่เพื่อตัวเขาหรือมาร์ช แต่ก็เพื่อซันเองด้วย

“ตลอดเวลาที่อตินคอยอยู่ข้างๆ พี่ดีใจมาก และขอบคุณมาก...”

“พี่ซัน ผมเต็มใจที่จะอยู่ข้างๆ พี่..”

“ใช่ พี่รู้ เพราะอตินเป็นคนดี อตินคอยอยู่กับพี่ในฐานะน้องชายที่แสนดีมาโดยตลอด” คำว่าน้องชายทำเอาหัวใจเขากระตุกวูบ ซันคงรู้ทุกอย่างมาตลอดจริงๆ ไม่ใช่หลังจากเรื่องคืนนั้นของเขากับมาร์ช แต่น่าจะรู้หัวใจของเขามาตั้งแต่แรกแล้วด้วยซ้ำ

แต่ก็ยัง...ดึงดัน...

จนทั้งเนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผลจากความพยายามนั้น...

“พี่ไม่อยากให้เราต้องฝืนอีกแล้ว ความเอาแต่ใจของพี่มันควรจะจบ”

“พี่ซั...”

“พี่ขอโทษนะ ขอโทษสำหรับทุกอย่าง” ซันพูดเสียงสั่น ขอบตาสองข้างรื้นไปด้วยน้ำใสๆ อตินห้ามไม่ได้นอกจากรีบตรงเข้าโอบกอดร่างตรงหน้าไว้ ไม่อย่างนั้น เขากลัวเหลือเกิน...ว่าซันคงทรุดลงไปกองอยู่กับพื้น ด้วยระดับความอ่อนแอในตอนนี้

“พี่ซันไม่ต้องขอโทษเลย ผมเองก็ผิด”

“ไม่..อตินไม่เคยทำอะไรผิดเลย อตินทำเพื่อพี่มากจริงๆ พี่..ที่เอาแต่ทำร้ายอติน..”

แขนแกร่งรวบตัวอตินเข้าไปกอดตอบ ร่างกายสั่นเทิ้มจนน่าใจหาย แม้ไม่ได้ยินเสียงสะอื้นใดๆ เลย แต่เขากลับสัมผัสได้ถึงเสียงกรีดร้องที่ดังยิ่งกว่านั้นมาก มันเป็นเสียงที่ออกมาจากภายในของซัน...เสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดจากความรักและความไม่รัก

เปราะบางจริงๆ ด้วย...

ซัน...

อตินปล่อยให้ตัวเองร้องไห้ออกมา เหมือนจะอยากแบ่งเบาความเสียใจของอีกฝ่าย พวกเขายืนกอดกันอยู่ในห้องท่ามกลางความเงียบสงบของค่ำคืน ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีก...ขอแค่ครั้งสุดท้าย ให้อ้อมกอดนี้ยังเป็นอ้อมกอดจากอติน คนรักของซัน

ก่อนที่วันรุ่งขึ้นมันจะไม่ใช่อีกต่อไป...

 

เพราะพี่รักนายอติน...

พี่ถึงต้องปล่อยนายไป

ไปหาคนที่นายรัก...

 

 

“เอ่อ.....” เบสลากเสียงยาว ท่าท่างลำบากใจที่จะพูดอะไร

พวกเขาตื่นมาในเช้าวันรุ่งขึ้นเพื่อพบกับอตินและซันที่กลายเป็นใบ้พร้อมขอบตาแดงก่ำจนน่าสยองทั้งคู่ มาร์ชดูลุกลี้ลุกลนเหมือนเป็นห่วงใคร ในขณะที่เรลล่าก็แวะมากดกริ่งตั้งแต่เช้ามืดอย่างกับมีเรื่องสำคัญมาก

สมาชิกร้านทุกคนนั่งล้อมวงกับอยู่ในห้องนั่งเล่น ไม่มีใครยอมเปิดปากเล่าสักที ว่าสรุปแล้วมันเกิดอะไรขึ้น พวกเขายังไม่ทันได้กินข้าวเช้าด้วยซ้ำ

“สรุปว่ามันเกิดอะไรขึ้น เมื่อคืนอตินบอกจะไปหาเลโอ แล้วมาร์ชกับซันออกไปไหนถึงกลับดึกดื่น แล้วทำไมอตินกับซันถึงตาแดงแบบนั้น” อยู่ดีๆ น็อตก็ทำลายทุกอย่างลงด้วยการรัวคำถามทั้งหมดออกไปในทีเดียว เรลล่าเหลือบมองสามหน่อที่ดูอ้ำๆ อึ้งๆ จึงเสนอตัวขึ้นกลางปล่อง

“เอ่อ ขอโทษนะ ฉันรู้ว่าฉันดูเป็นคนนอกสำหรับเรื่องนี้ แต่ฉันขออธิบายแทนละกัน”

“เรลล่าก็รู้เรื่องเหรอ?” แจนถามอย่างตกใจ เขากำลังหมายถึงเรื่องราวความสัมพันธ์อันแสนซับซ้อนที่แม้แต่คนในบ้านอย่างเขาก็ยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรเลย

“ก็...นิดหน่อยน่ะ” เรลล่าพยักหน้าก่อนเริ่มเล่าสิ่งที่เธอรู้มา “ฉันขอพูดตรงๆ เลยนะ...พวกนายคงรู้กันอยู่แล้วใช่ไหมว่า มาร์ชกับอตินน่ะชอบพอกัน”

แทบทุกคนต่างปิดปากเงียบ ดวงตาเบิกกว้างกับการพูดตรงๆ ที่ดูออกจะตรงเกินไปหน่อยของเธอ แต่จากรีแอคชั่นนี้ก็ทำให้เข้าใจว่าทุกคนต่างรู้เรื่องนี้ดีแก่ใจ

“แล้วซันก็ชอบอติน แล้วอตินก็ยอมคบซันจากเรื่องยัยเกล” เบสทำท่าจะแทรกว่าทำไมเรลล่าถึงรู้เรื่องราวในร้านมากจัง แต่เธอไม่รอให้ใครมีโอกาสขัด

“ความจริงฉันรู้จักกับเลโอ แล้วเลโอก็เป็นคนบอกให้ฉันกลับมาที่ร้าน เพื่อมาลองใจอติน”

“หะ!?” คนถูกเอ่ยชื่อรีบร้องเสียงหลง

“อืมใช่ โทษทีนะที่ไม่ได้บอก แต่เลโอบอกว่าถ้าไม่มีตัวละครลับแบบฉัน อตินก็คงยังไม่กล้าพอที่จะทำตามใจตัวเอง”

“พี่เลโอนะพี่เลโอ” อตินพึมพำกับตัวเอง ก่อนที่แจนจะพูดแทรกขึ้นมาอย่างคนมองเรื่องราวออก

“เข้าใจละ แปลว่าอตินกับซันเลิกกันแล้วสินะ”

“พี่แจน..” มินส่งเสียงปราม เหมือนไม่อยากให้พูดสะกิดใจกันตอนนี้ แต่ผิดคาดที่ซันเป็นฝ่ายตอบรับขึ้นมาเอง แถมยังไม่ได้ดูฝืนด้วย

“ใช่ เราเลิกกันแล้ว”

“พี่ซัน..” อตินส่งเสียงเป็นห่วง แต่ซันก็แค่หันมายิ้มแล้วยีหัวเขาเล่นเหมือนทุกที

“ต่อไปนี้พี่ก็แค่กลับไปเป็นพี่ชายของนาย”

“แล้วมาร์ช...” แจนเริ่มประโยค หวังให้ใครสักคนมาต่อให้จบ เพื่อเคลียร์สิ่งที่คาใจทุกคนอยู่ให้ออกไปสักที

“ก็อย่างที่พวกนายเดาได้ ฉันกับอตินรักกันมานานแล้ว และตั้งแต่นี้พวกเราสองคนจะคบกันอย่างเปิดเผยด้วย”

มาร์ชตอบแบบนั้นได้หน้าตาเฉย ขณะที่อตินเอาแต่นั่งก้มหน้า ใบหูแดงฉ่า สมาชิกร้านคนอื่นดูช็อคๆ นิดหน่อยกับเรื่องทั้งหมด แต่ก็ใช่ว่าพวกเขาจะเดาสถานการณ์กันไม่ได้เลย หลังจากนี้ก็ได้แค่หวังว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์บ้าๆ ขึ้นอีก

ซันต้องเรียนรู้ที่จะเติบโตขึ้นอีกก้าวว่าคนเราไม่สามารถครอบครองทุกสิ่งได้อย่างใจหวัง ในขณะที่อตินเองก็ต้องเรียนรู้ที่จะไม่ใจอ่อนกับทุกอย่างจนดึงให้เกิดปัญหาตามมาเหมือนเคย และมาร์ชก็เช่นกัน เรียนรู้ที่จะก้าวต่อไปข้างหน้า ไม่ยึดติดกับอดีตอีกแล้ว

“โอเคๆ เอาเป็นว่าพวกนายเข้าใจกันก็ดีแล้ว” เบสพยายามสรุปเพื่อจะได้แยกย้ายไปกินข้าวและเปิดร้าน ถ้าขืนยังชักช้าคงโดนคุณวาโยแพ่นกบาลกันหมด

“หวังว่านี่จะเป็นบทเรียนให้ทุกคนเติบโตขึ้นก็แล้วกันนะ” น็อตเสริมก่อนลุกขึ้นเป็นคนแรก ตามมาด้วยคนอื่นๆ ซึ่งทยอยกันไปประจำตำแหน่งบนโต๊ะอาหาร

มินจงใจเลื่อนเก้าอี้มาใกล้ซันพลางตบบ่าคนเป็นพี่ปุๆ เขาพยายามสื่อให้เห็นว่าเขาเข้าใจเรื่องนี้ดียิ่งกว่าใคร และนั่นดูเหมือนจะทำให้ซันพอหัวเราะออก อตินเดาว่าซันเองก็คงทำใจกับเรื่องเมื่อคืนมาสักระยะแล้ว ต่อแต่นี้ก็ยังอยากให้ความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้องยังคงเดิม

“แต่อตินเลิกกับซัน แล้วมาคบมาร์ชแบบนี้ พวกแฟนคลับนายคงสับสนน่าดูเลยนะ” เบสยกประเด็นใหม่ขึ้นมาพูด

จะว่าไปก็จริงแฮะ ช่วงแรกคงวุ่นวายกันใหญ่ อย่างตอนที่ข่าวเรื่องเขากับซันคบกันแพร่กระจายออกไปในกลุ่มลูกค้า ก็มีบางส่วนไม่พอใจ และมีบางส่วนที่ยังรับไม่ได้ อืม..แต่ก็มีบางส่วนที่แทบจะปิดซอยเลี้ยงฉลองเหมือนกัน

ตอนนี้สถานการณ์พลิกกลับแล้ว ไม่รู้ว่าจะเป็นยังไงเหมือนกันแฮะ ยิ่งพวกลูกค้าสาวๆ กับพวกนักจิ้นนักชงทั้งหลายเนี่ย เขาเดาจิตใจและความคิดพวกเธอไม่ออกเลย

 

“ได้ไงอะ!!” นั่นเสียงพี่ลูกโป่ง ลูกค้าปริญญาโท หัวหน้าแม่ยกซันอตินที่เคยเหมาโกโก้แจกคนในร้านมาแล้วตอนรู้ข่าวเรื่องสองคนนั้นคบกัน แต่ตอนนี้ดูท่าเหมือนเธอจะอยากจุดไฟเผาร้านมากกว่า

“นั่นสิ ทำไมอยู่ดีๆ พี่ซันถึงเลิกกับอตินล่ะ” ตามมาด้วยเหล่าลูกสมุนของเธอ

ความจริงเรื่องที่ลูกค้าถูกแบ่งเป็นหลายฝ่ายแล้วมาทะเลาะกัน ยังไม่น่าตกใจเท่ากับการที่พวกเธอรู้ข่าววงในเร็วปานสายฟ้าฟาดได้ยังไง

“เพราะเราไม่ได้รักกันไงครับ” ซันพูดขำๆ พยามทำตัวตลกกลบเกลื่อนเพื่อหวังคลายบรรยายมาคุระหว่างพวกลูกโป่ง กับอีกพวก...แม่ยกมาร์ชอติน ซึ่งนำทีมโดยน้องไอซ์กับน้องม่อน ดูโอ้คู่เดิมเพิ่มเติมคือความก้าวร้าว

“ถ้าไม่ได้รักกัน ฝืนไปมันก็ไม่ดีหรอกนะ” ม่อนรีบเสริมจากคำตอบของซัน ยิ่งทำให้ลูกโป่งเดือด

“ไม่จริง! ไม่จริงอะซัน นายรักอตินนี่!”

“เอ่อ...ก็ใช่อะนะ” ซันเกาหัวแกรกๆ เขาไม่อาจปฏิเสธข้อเท็จจริงนี้ได้แฮะ

“เห็นไหม!”

“เดี๋ยวๆ คือรักแหละ แต่อตินไม่ได้รักฉันหรอก เธอก็ใจเย็นๆ หน่อยเถอะ” เขาพยายามจะเตือนสติ

ลูกโป่งเองก็เป็นหนึ่งในลูกค้าประจำ อายุไล่เลี่ยกับพวกซัน ก็เลยสนิทกันง่าย และบางทีความสนิทนั้นอาจทำให้เธอลืมนึกถึงขอบเขตของคำว่า พนักงานกับลูกค้า จนทำให้เข้ามาก้าวก่ายมากเกินไป

“แต่ว่า..!”

“นี่พวกเธอ เกรงใจลูกค้าคนอื่นบ้างสิ” เสียงมาร์ชดังขึ้น ดูเหมือนเขาเองกำลังอารมณ์ไม่ดียังไงไม่รู้

วงล้อมของพวกกลุ่มแฟนคลับสาวๆ ตรงนั้นถูกแหวกออกให้มาร์ชเดินเข้าไป เบสกับน็อตแอบมองสถานการณ์อย่างเป็นห่วง โชคดีที่ตอนนี้ลูกค้าปกติคนอื่นยังไม่มาก แต่เพราะพวกเหล่าแม่ยก ก็เลยทำให้ในร้านดูอึดอัดและโหวกเหวกขึ้นถนัดตา

“พี่มาร์ช” ไอซ์กับม่อนร้องขึ้นพร้อมกัน แต่มาร์ชกลับตวัดสายตาตำหนิใส่พวกเธอจนต้องเงียบเสียงลง

“ฉันขอพูดเป็นครั้งสุดท้าย ว่าฉันกับอติน เราคบกัน”

“นาย!” ลูกโป่งทำท่าเหมือนจะเข้าไปเอาเรื่อง แต่ซันกันเธอไว้ได้ทัน

“เราสองคนรักกัน และพวกเธอคงไม่อยากขัดขวางความรักของคนอื่นใช่ไหม”

“..อึก”

“ฉันขอโทษแล้วกันที่แย่งอตินมาจากซันของพวกเธอ” มาร์ชพูดเสียงเรียบ แต่กลับฟังดูน่ากลัวจับขั้วหัวใจ

“แต่ถ้าไม่รู้อะไรจริง ก็อย่ามาพูดดีกว่านะ”

“เฮ้ยๆ” ซันส่งเสียงเตือนเมื่อเห็นว่ามาร์ชเริ่มแสดงความโกรธออกมาเด่นชัดเกินไป ถึงพวกนี้จะวุ่นวายแต่ยังไงก็เป็นลูกค้าที่ควรเคารพนะ

“ถ้าฉันดูแลอตินได้ไม่ดี วันนั้นพวกเธอก็ค่อยมาด่าฉันเลยแล้วกัน”

“...”

ลูกโป่งหยุดนิ่งไป เธอครุ่นคิดบางอย่างในหัวอยู่นาน ก่อนหันไปซุบซิบปรึกษากันกับสมุนคนอื่น ขณะที่ฝั่งแม่ยกมาร์ชอตินกลับยิ้มชอบอกชอบใจ พลางปรบมือเสียงเบาๆ คลอไปด้วย ในที่สุดลูกโป่งก็ยอมเปิดปากอีกครั้ง หลังจากจงใจจิ๊ปากเสียงดัง

“ถะ..ถ้านายทำอตินเสียใจ พวกเราฆ่านายแน่ มาร์ช!”

มาร์ชยิ้มรับเหมือนมั่นใจนักหนาว่าไม่มีวันนั้น ซันถอดหายใจที่ไม่เกิดโศกอนาฎกรรมในร้าน เขาไล่พวกลูกค้าให้กลับไป หลงเหลือเพียงแค่ไม่กี่คนที่ยังอยู่รับบริการและสั่งเครื่องดื่มต่อ

ไม่นาน อตินก็โผล่หน้าออกมาจากครัวหลังช่วยเป็นลูกมือให้แจนตั้งแต่เช้า ลูกโป่ง ม่อน และ ไอซ์ รีบโร่เข้าไปรุมคนที่เนื้อตัวยังฟุ้งกลิ่นแป้ง โดยที่พนักงานคนอื่นห้ามไว้ไม่ทัน ซันส่งสัญญาณให้มินซึ่งกำลังคุยกับลูกค้าอยู่ใกล้ๆ ประตูห้องครัว ช่วยดูแลความเรียบร้อย เผื่อเกิดเหตุไม่คาดฝัน

“พี่อติน พวกเรารู้เรื่องที่พี่อตินคบกับพี่มาร์ชแล้ว”

“หะ!” อตินหลุดร้อง ก่อนที่ใบหน้าจะเริ่มขึ้นสี “ระ..รู้กันไวอีกแล้วนะครับ”

“ทำไมเรื่องมันตาลปัตรแบบนี้อติน” ลูกโป่งเริ่มงอแงเรียกความสนใจบ้าง

“อืม...ผมต้องขอโทษด้วยนะครับ แต่ผมกับพี่ซัน เราคงเป็นได้แค่พี่น้องกันจริงๆ”

“ก็ถ้าพวกนายยืนยันขนาดนี้ ฉันก็ต้องยอมรับเท่านั้นไม่ใช่หรือไง”

“พี่ลูกโป่ง แต่ผมกับพี่ซันก็ยังเป็นพี่น้องที่ดีต่อกันนะครับ ผมรักและเคารพพี่ซันมากในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง”

“เฮ้ออ เอาเถอะ ถ้ามาจากปากนาย พี่คงว่าอะไรไม่ได้หรอกนะ”

“แฮะๆ”

“แต่ถ้าวันไหนมาร์ชทำร้ายนาย อย่าลืมนะว่ามีซันอยู่อีกคน”

“ฮ่ะๆ แน่นอนครับ ถ้าเกิดพี่มาร์ชทำผมเสียใจอีกล่ะก็ ผมจะหนีไปหาคนอื่นทันทีเลยครับ” อตินทำเป็นพูดติดตลก แต่กลับจงใจตะโกนให้คนด้านหลังเคาน์เตอร์ได้ยิน แถมน้ำเสียงร่าเริงที่เปล่งออกมาก็ฟังดูน่ากลัวพิกล

ลูกโป่งหลุดขำกับท่าทีของอติน ก่อนจะยอมทำตัวว่าง่ายแต่โดยดี ม่อนกับไอซ์อยู่แสดงความยินดีต่ออีกหน่อย ก่อนจะปล่อยให้เขากลับไปทำงานตามปกติ

อตินผลักประตูเข้ามาหลังเคาน์เตอร์ สายตาจดจ่ออยู่กับรายชื่อเมนูบนกระดาษ โดยไม่ทันสังเกตว่ามาร์ชกำลังเคลื่อนตัวมาหยุดอยู่ข้างๆ คนโตกว่าโอบรั้งเอวบางเข้ามาใกล้แบบไม่กลัวสายตาคนอื่น ก่อนกระซิบเสียงแผ่ว พอให้คนโดนโอบเขินจนแทบม้วนตัวหนี

“พี่ไม่ทำให้อตินเสียใจหรอกครับ”

คำพูดที่ฟังดูเหมือนจะหยอกเย้า แต่กลับซ่อนความจริงใจเอาไว้อย่างหนักแน่นจนสัมผัสได้ มาร์ชไม่ได้พูดเล่นๆ เลย นับแต่นี้ เขาไม่มีวันทำให้เด็กน้อยของเขาต้องเสียใจซ้ำสอง อตินก็เช่นกัน จะไม่ยอมหักหลังเทวดาของเขาไปหาใครที่ไหนอีกแล้ว

บางทีก็ต้องขอบคุณโชคชะตาที่คอยแต่จะเล่นตลกร้ายกับพวกเขาเหมือนกัน ถ้าไม่ได้ผ่านเรื่องราวมากมายทั้งหมดมา พวกเขาคงไม่ได้รู้หัวใจตัวเองชัดเจนเท่านี้ และคงไม่ได้มารักกันอย่างเช่นตอนนี้ด้วย

ขอบคุณ...

ขอบคุณที่ทำให้เราพรากกัน และทำให้เราพบกัน

ขอบคุณที่ทำให้เด็กคนหนึ่งดั้นด้นมาถึงนี่ และตามหาอีกคนจนเจอ

ขอบคุณเรื่องราวแสนตาลปัตรที่ทำให้เขาเติบโตขึ้น

ขอบคุณพนักงานทั้งหมดที่คอยช่วยเหลือและดูแลเขามาตลอด

ขอบคุณ...ร้านกาแฟที่แสนอบอุ่น

ขอบคุณ Café de Sept... ขอบคุณจริงๆ
หัวข้อ: Re: ♡♡ ร้านกาแฟแห่งนี้มีความรักอยู่ ♡♡ by「aonair」 UP! บทที่ 24-26
เริ่มหัวข้อโดย: aonair13 ที่ 23-06-2016 21:16:36
ส่งท้ายเล็กน้อย

 

ไลน์!

เสียงโปรแกรมแชทในมือถือดังเตือนตั้งแต่เช้าตรู่ อตินหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกง เห็นชื่อคนส่งข้อความมาก็อดประหลาดใจไม่ได้ จะว่าไปตั้งแต่ปิดเทอมมา เขาก็ไม่ได้ติดต่อใครเลยนี่น่า เวลาผ่านมานานขนาดนี้แล้วเหรอ เพิ่งรู้ตัวแฮะ...

“อติน”

“ฮึ?” เก็บมือถือกลับเข้าที่ แล้วเงยหน้าขึ้นสบตากับมินซึ่งกำลังถือแจกันใบใหม่เอาไว้

“เป็นไรเปล่า เห็นทำหน้าเครียด”

“อ๋อ เปล่าๆ”

อตินรีบโบกไม้โบกมือพัลวัน เขาฉีกยิ้มกว้างให้เพื่อนตัวโตวางใจว่าไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง ก่อนจะยอมแยกย้ายกลับไปทำงานของใครของมัน คลื่นลูกค้าทยอยเข้ามาใช้บริการร้านกาแฟ Café de Sept เหมือนเช่นทุกวัน มันกลายมาเป็นภาพอันเคยชินสำหรับเขาไปตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ แต่พอรู้ตัวอีกที มันก็กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันไปแล้ว

ไม่อยากจะคิดเลยนะ ว่าถ้าต้องจากที่แห่งนี้ไป

จะเป็นยังไง...

 

“พี่น็อต ที่นี่มีเครื่องปริ้นรึเปล่าครับ?” อตินเอ่ยปากถามหลังจากทานอาหารเย็นเรียบร้อยแล้ว น็อตพยักหน้าทั้งที่มะม่วงยังคาอยู่ในปาก เขาพยายามชี้นิ้วไปทางชั้นสอง

“มี อยู่ห้องชั้นสอง ที่ใช้ปริ้นโบรชัวร์โปรโมต Special Day ไง”

“อ่า จริงด้วย ขอบคุณมากครับ”

คนตัวเล็กก้มหัวแล้วรีบแบกแลปท็อปเครื่องบางขึ้นบันไดไป ไม่เว้นช่วงให้น็อตได้ถามคำถามอื่นต่อ อตินเปิดประตูห้องชั้นสองที่ดูกึ่งห้องเก็บของและห้องทำงาน ก่อนจะนำสาย USB สีดำจากเครื่องปริ้นมาต่อเข้ากับแลปท็อป เว็บไซต์จดทะเบียนวิชาเรียนปรากฏอยู่บนหน้าจอ

อตินจัดการปริ้นเอาใบจ่ายเงินออกมาแล้วรีบโทรกลับไปหาที่บ้าน สาบานเลยว่าแม่เขาแทบร้องไห้เมื่อได้ยินเสียง ก็แหงล่ะ พักลังมานี้มีเรื่องเกิดขึ้นมากมาย ทำให้เขาแทบไม่มีเวลาติดต่อหาครอบครัวเลย แล้วให้เดานะ พ่อคงห้ามไม่ให้แม่โทรหาเขาแน่ๆ คงกลัวจะรบกวนการทำงาน ทั้งที่ความจริงเขาก็ออกจะคิดถึงพวกท่านนะ

“แม่ครับ เดี๋ยวผมจะไปจ่ายเงินเองเลยนะ”

(มีเงินพอไหมลูก?)

“มีครับ แม่ไม่ต้องห่วงเลย คุณวาโยให้ค่าจ้างผมดีกว่าร้านกาแฟทั้งประเทศนี้แน่ๆ”

(แหม ขนาดนั้นเชียว แล้วเป็นยังไงบ้างช่วงนี้?)

“ก็วุ่นๆ เหมือนเคยแหละครับ แต่พวกสมาชิกประจำเขาจัดการได้อยู่แล้วล่ะ”

(แบบนั้นก็ดี แม่คิดถึงลูกมากเลยนะ)

“ผมก็คิดถึงแม่ครับ แต่ผมคงได้กลับบ้านใกล้ๆ เปิดเทอมเลย อาจจะแค่ไปเก็บของแล้วก็กลับไปจัดการหอ”

(เอาที่ลูกสะดวกแล้วกัน ถ้าจะกลับวันไหนก็โทรบอกแม่อีกทีนะจ๊ะ)

“ครับ”

พอแม่วางสายไปแล้ว เขาถึงเก็บมือถือกลับเข้ากระเป๋ากางเกง หันไปเช็คความเรียบร้อยว่าไม่ได้ลืมปิดเครื่องปริ้นและดึงปลั๊กออก แต่ยังไม่ทันจะได้ก้าวขาต่อ ประตูห้องก็เปิดออกจากด้านนอก พร้อมร่างโปร่งของคนที่เขาคุ้นดี

“ขึ้นมาทำอะไรบนนี้?” มาร์ชถามพลางกวาดตาไปทั่วบริเวณ

“มาใช้เครื่องปริ้นครับ”

“ทำอะไร ไหนดูสิ”

“หวะ!” อตินตกใจพยายามจะดึงเอกสารในมือไว้แต่ก็ไม่ทันความเร็วของอีกฝ่าย มาร์ชไล่สายตาไปตามตัวอักษรบนกระดาษ ก่อนที่หัวคิ้วหนาจะเริ่มประกบเข้าหากัน ท่าทางไม่สบอารมณ์นัก

“นี่นายจะเปิดเทอมแล้วเหรอ?”

“เอ่...ครับ”

“เมื่อไร?”

“อีกประมาณสองอาทิตย์ แต่ผมคงอยู่ที่นี่ต่ออีกแค่อาทิตย์กว่า เพราะต้องกลับบ้านก่อน แล้วค่อยขนของไปไว้ที่หอ”

“แล้วนายคิดจะบอกพี่เมื่อไร?” มาร์ชกดเสียงต่ำพร้อมเอื้อมมือมาบีบแขนเขาไว้ รู้เลยว่าโกรธ แต่จะทำไงได้ เขาเองก็มาโลดเล่นอยู่ที่นี่นานเกินไปจนลืมวันลืมคืนไปหมด ถ้าไม่ใช่เพราะเพื่อนส่งข้อความมาเตือนให้ลงทะเบียนเรียน เขาก็คงลืมไปแล้ว

“ก็ผมเพิ่งนึกได้นี่น่า”

“มันไวไป..” มาร์ชปรับสีหน้าเป็นน้อยอกน้อยใจแทนอย่างรวดเร็ว ทำเป็นมาเล่นไม้อ่อนใส่ ยังไงเขาก็ทำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว เปิดเทอมนะไม่ใช่นัดกันไปเที่ยวทะเลถึงจะมาเลื่อนได้ตามใจชอบ

“..เราเพิ่งได้รักกัน” มาร์ชต่อประโยคจนจบ

“โธ่ พี่มาร์ช ผมก็ไม่ได้อยากแยกกับพี่สักหน่อย ผมอุตส่าห์ตามมาหาพี่ถึงนี่เลยนะ”

“งั้นก็ไม่ต้องไป ซิ่วมาเรียนมหาลัยที่นี่ เดี๋ยวพี่ออกเงินให้เอง”

“ตลกและ”

“ไม่ตลก” มาร์ชว่าเสียงเย็น พยายามจะคว้ากระดาษในมือเขาไปขยำทิ้ง แต่ยังดีที่รู้ตัวทันจึงแอบเอาไปไขว่หลังไว้ก่อน

“เดี๋ยววันหยุดหรือปิดเทอมผมก็มาหา ถ้าเรียนจบแล้วก็ให้พ่อกับแม่ย้ายมาเลยดีไหมครับ” อตินพยายามพูดเอาใจ พลางดึงแขนมาร์ชให้เดินลงไปนั่งคุยกันดีๆ ตรงโซฟาชั้นล่าง

เขาก็เสียใจนะที่ต้องแยกจากกันทั้งที่เพิ่งเคลียร์ปัญหาจบ แต่เขาก็ต้องกลับไปตั้งใจเรียนนี่น่า กับมาร์ชน่ะ แน่นอนว่าคงคิดถึงมาก แต่เหตุการณ์ต่างๆ ที่เขาได้เรียนรู้จาก Café de Sept ก็ทำให้เขาเป็นผู้ใหญ่ขึ้นเยอะ ถึงจะไม่เจอหน้ากันทุกวันแล้ว แต่ก็ยังติดต่อกันได้แหละ เทคโนโลยีสมัยนี้มันก็ไปถึงไหนต่อไหนแล้ว ถ้าปิดเทอมเขาก็ตั้งใจจะกลับมาช่วยงานที่ร้านอีก แถมที่นี่ยังมีเลโอกับเรลล่า กับพี่ๆ คนอื่นคอยเป็นสายสืบให้ตลอด 24 ชั่วโมง ยังไงก็คงไม่มีปัญหาอะไรหรอกมั้ง

“ผมยังรอเจอพี่มาร์ชมาได้ตั้งนาน พี่มาร์ชรอผมแค่นี้ไม่ได้หรอครับ?” อตินเขย่าแขนแกร่ง ช้อนตามองอย่างออดอ้อน และดูท่าจะได้ผลซะด้วย เมื่อคนโตกว่ายอมคลายสีหน้าหงุดหงิดลง กลายเป็นท่าทางของคนปลงแทน

“อ่าๆ ยังไงพี่ก็ห้ามไม่ได้อยู่แล้วนี่” มาร์ชวาดแขนขึ้นโอบอติน ก่อนผลักศีรษะเล็กลงซบกับอกตัวเอง “แต่ไม่อยู่ในสายตาพี่ อย่าริไปมีผู้ชายคนอื่นล่ะ”

“จะบ้าหรอ ใครจะไปมี พี่มาร์ชเถอะ” อตินทุบกำปั้นลงกับอกกว้าง

“พี่ก็มีแค่อตินเนี่ยแหละ”

“งื้ออ”

คนตัวเล็กส่งเสียงงุ้งงิ้งด้วยจั๊กจี้ เพราะอยู่ดีๆ มาร์ชก็เปลี่ยนมาซุกไซร้ลำคอเขาอย่างไม่ให้ตั้งตัว สองแขนพยายามดันร่างหนาออกห่างแต่ก็ไม่เป็นผล เขายิ่งโดนรุกไล่และเริ่มถูกกดลงนอนราบกับโซฟาตัวโปรด

“พี่ม..อื้อ!” ริมฝีปากอุ่นตรงเข้าปิดปากเขาไม่ให้ส่งเสียง “อื..มม”

“อะ-แฮ่ม!”

เสียงกระแอมไอของใครบางคนดังขึ้นขัดจังหวะ มาร์ชต้องยอมผละตัวออกจากร่างด้านใต้พลางจิ๊ปากใส่ท่าทางไม่พอใจ อตินรีบลุกขึ้นนั่ง จัดแจงตัวเองให้เรียบร้อยทั้งที่ใบหน้ายังร้อนผ่าว

“ทำอะไรเกรงใจคนอื่นด้วย” เบสแซว

เพิ่งสังเกตว่าคนอื่นๆ ก็เดินมารวมตัวอยู่ตรงห้องนั่งเล่นกันหมด ซันรีบเข้ามาคว้าคออตินไว้เหมือนเคย ก่อนยีหัวเด็กน้อยอย่างสนุกมือ

“อตินของเราใกล้ต้องกลับไปเรียนต่อแล้วสินะ”

“ฉันก็จะเปิดเทอมแล้วเหมือนกัน แต่คงไม่ค่อยได้ไป ฮ่าๆ” มินเอ่ยหน้าตาชื่นบาน นิสัยแบบนี้เด็กๆ ไม่ควรเอาเป็นเยี่ยงอย่างนะรู้ไหม

“พวกเราคงคิดถึงนายมาก ว่างๆ ก็ติดต่อมาหาบ้างล่ะ” น็อตเสริมต่อ ตามมาด้วยแจน

“ถ้าสะดวกก็กลับมาเยี่ยมร้านด้วยนะ มีอะไรก็ยังคุยกับพวกเราได้เหมือนเดิม”

“ขอบคุณทุกคนมากนะครับ ผมดีใจจริงๆ ที่ได้มาที่ Café de Sept และเจอกับทุกคน”

“พวกเราก็ดีใจที่ได้เจอนาย” เบสยิ้มตาหยี ไม่ค่อยได้ยินหัวหน้าพนักงานพูดอะไรแบบนี้นักหรอก นั่นยิ่งทำให้หัวใจเขาพองโต

“ทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่นี่ จะอยู่ในความทรงจำของผมตลอดไปครับ”

อตินยิ้มกว้างพลางไล่สายตามองเพื่อนสมาชิกในบ้านหลังนี้ด้วยความรู้สึกหลากหลาย เขาดีใจที่ได้พบกัน ได้รู้จักคนดีๆ มากมาย ร่วมสุขร่วมทุกข์กันมาในช่วงเวลาหนึ่ง สนุกสนานไปกับความพิเรนท์ของ Special Day รับมือกับลูกค้าหลากหลาย และสุดท้ายก็กลายมาเป็นบทเรียนอันแสนยิ่งใหญ่

ซันยังคงกอดคออตินอยู่ ขณะส่งสายตาให้พนักงานคนอื่นตรงเข้ามากอดกันเป็นก้อนเดียว แน่นอนว่ามีมาร์ชกำลังโอบเอวอตินไว้อีกข้าง เด็กหนุ่มทั้งเจ็ดคนต่างหัวเราะให้กับความอบอุ่นในหัวใจ มือเจ็ดคู่โอบรอบตัวกันและกันจนเป็นหนึ่งเดียว

จะไม่มีวันลืมได้เลย...

 

「Cafe' de Sept」





THE END

หัวข้อ: Re: ♡♡ ร้านกาแฟแห่งนี้มีความรักอยู่ ♡♡ by「aonair」 UP! บทที่ 27-ส่งท้าย [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 23-06-2016 23:40:58
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♡♡ ร้านกาแฟแห่งนี้มีความรักอยู่ ♡♡ by「aonair」 UP! บทที่ 27-ส่งท้าย [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: ก๊าบก๊าบ ที่ 27-08-2016 22:00:40
แปะป้าบ เดียวมาอ่านน
หัวข้อ: Re: ♡♡ ร้านกาแฟแห่งนี้มีความรักอยู่ ♡♡ by「aonair」 UP! บทที่ 27-ส่งท้าย [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: เป็ดอนุบาล ที่ 28-08-2016 12:36:37
 :oo1: :oo1: :oo1: :oo1: :oo1: :oo1: :oo1: :oo1: :pig4: